ในระหว่างที่กำลังเดินเท้าไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย โกยอนจูก็โพล่งขึ้นมาว่า
“ซูฮยอน ลองไปห้องควบคุมดูก่อนเป็นไงคะ ถ้าเป็นที่นั่น คงจะมีข้อมูลสถิติอะไรออกมาบ้าง”
“เป็นวิธีที่ดีเลยนะครับ ก่อนอื่นเราสำรวจเมืองกันก่อน…ผมคิดว่าจะลองไปดูสักครั้งก่อนช่วงมืดของวันนี้ครับ”
โกยอนจูพยักหน้ารับ แล้วจึงค่อยๆ คลายวงแขนที่สวมกอดเข้ามา
“โอเคค่ะ งั้นก็เชิญตามสบาย แล้วค่อยมาเจอกันที่จัตุรัสกลางนะคะ”
“ครับ? แล้วโกยอนจูล่ะ?”
“ก็ไหนบอกว่าวันนี้จะอยู่บาร์บาร่าไงคะ จะให้นอนข้างนอกได้ยังไงกัน ฉันก็ต้องไปเสาะหาห้องพักสำหรับคืนนี้หนึ่งคืนน่ะสิคะ”
เสียงของเจ้าหล่อนที่ดังแว่วเข้ามาฟังดูอ่อนแรงอย่างไรชอบกล ส่วนผมได้แต่ยืนเกาหัวแกรกๆ ก่อนหน้านี้ผมก็พูดไปเรื่อย ไม่ได้มีความหมายจริงจังอะไรเลยสักนิด แต่แล้วโกยอนจูกลับดูเหมือนจริงจังมากเกินผมไปเสียอย่างนั้น
ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคิดว่าอย่างน้อยเราได้เดินทางมาถึงเมืองนี้แล้ว การหาห้องนอนพักสักคืนก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร วาร์ปเกตในวันพรุ่งนี้เช้าน่าจะวุ่นวายอยู่พอตัว เพราะฉะนั้นก็นอนพักเสียที่นี่ไปเลย แล้วพอถึงเวลาก็ค่อยตรงดิ่งไปเข้าประชุมเลยก็ดีเหมือนกัน
“โอเคครับ งั้นผมจะอยู่ดูแถวๆ นี้แล้วกันนะ แล้วค่อยมาเจอกันที่จัตุรัสกลางใช่ไหมครับ”
“ค่ะ แต่ว่านะ ถ้าไม่มีห้องแล้วเราจะทำยังไงกันล่ะคะ”
“อย่าคิดเป็นจริงเป็นจังมากเกินไปสิครับ ผมแค่พูดไปงั้นเอง ถ้าไม่มีห้อง ก็ค่อยกลับโมนิก้าก็ได้นี่นา”
“โฮะๆ ล้อเล่นค่ะ ล้อเล่น เห็นฉันเป็นอะไรล่ะคะเนี่ย ชื่อเสียงระดับฉัน ถ้าหาไม่ได้เลยสักห้องเดียวก็คงจะน่าขำแย่เลยนะ ยังไงฉันจะรีบไปหาให้เร็วที่สุดค่ะ”
โกยอนจูตอบอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม ก่อนที่จะเดินแยกออกไป ผมมองดูด้านหลังของหล่อนที่กำลังค่อยๆ ไกลลับตาไปเรื่อยๆ แล้วจึงตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองครู่หนึ่ง
ก่อนอื่นเราก็ควรไปดูลาดเลาอะไรไว้เสียก่อน แล้วจึงค่อยมุ่งหน้าไปยังห้องควบคุมอย่างที่โกยอนจูว่าไว้ก็ดีเหมือนกัน
ถ้าอย่างนั้นก็ต้องผ่านจัตุรัสล่ะสินะ
ผมคิดขึ้นมาได้ว่ามีโอกาสสูงมากที่แคลนเฮาส์ของเผ่าสิงโตทองจะถูกใช้งานเป็นห้องควบคุม จึงได้รีบย่ำเท้าเดินไปยังจัตุรัสที่ว่านั่นทันที
ผมเดินเท้ามาเรื่อยๆ อยู่ตัวคนเดียว ภาพทิวทัศน์ทั่วทั้งเมืองนี้เริ่มปรากฏให้เห็นเต็มสองตา
ยุคสมัยหนึ่ง บาร์บาร่าถือได้ว่าเป็นเมืองใหญ่แห่งทวีปเหนือเลยทีเดียว เป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก แต่ทว่าบัดนี้สภาพบ้านเมืองกลับทรุดโทรมลงไปมากพอสมควร มากเสียจนผมมองไม่เห็นความเจริญรุ่งเรืองเหมือนแต่ก่อนเลยแม้แต่น้อย
ทว่าหากลองสมมติว่าเมืองนี้เพียงแค่ถูกเมืองอื่นเข้ายึดครองเฉยๆ ไม่ได้มีการเสียเลือดเนื้อแต่อย่างใด ก็นับได้ว่าสภาพบ้านเมืองดูดีกว่าที่คิดไว้ แน่นอนว่ามันแค่ดี ‘กว่าที่คิด’ เท่านั้น หากมองข้ามกำแพงปราสาทที่พังทลายจนไม่เหลือชิ้นดีไป ก็จะพบได้ว่าส่วนต่างๆ ของเมืองนี้ยังสมบูรณ์อยู่ ไม่ได้แย่อะไรนัก
อันที่จริง ตัวผมเองก็ต้องการพื้นที่ไว้ใช้สอยอยู่บ้างเหมือนกัน
ผมใช้สายตาจดจ้องไปยังภาพที่ปรากฏอยู่ตรงเบื้องหน้า พร้อมเดินเท้าเข้าไปยังจัตุรัสต่อไป
บริเวณลานกว้างช่างเงียบเหงาเสียเหลือเกิน อีกทั้งยังมีเหล่าผู้เล่นจำนวนหนึ่ง ซึ่งน่าจะเกินสามสิบคนนั่งกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นที่
“…”
“…”
แม้จำนวนคนที่อยู่ตรงหน้าผมนี้ จะมีมากเกินกว่ายี่สิบคน แต่แล้วพวกเขากลับไม่ได้พูดจาอะไรกันเลย ต้องบอกว่าพวกเขาดูไร้เรี่ยวแรงอย่างบอกไม่ถูกจะดีกว่าล่ะมั้ง
จริงๆ แล้วไม่ใช่เพียงแค่จัตุรัสแห่งนี้เท่านั้น ทุกๆ สถานที่ที่ผมเดินผ่านมาเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ก็มีบรรยากาศอึมครึมเหมือนกันหมด แม้จะมีเหล่านักบวชวิ่งวุ่นอยู่บ้างเป็นระยะๆ แต่ผู้คนส่วนใหญ่กลับดูอ่อนแรง ไร้ซึ่งความปรารถนาในการมีชีวิตอยู่ต่อไป เหมือนกับเหล่าผู้เล่นที่อยู่ตรงหน้าผมไม่มีผิด
พอได้เห็นแบบนี้แล้ว…ถึงกลับแยกไม่ออกเลยแฮะ ว่าใครแพ้ ใครชนะกันแน่
ผมยืนเม้มปากอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็คิดถึงเรื่องราวสมัยรอบแรกขึ้นมาเสียได้ สงครามการต่อสู้ในขณะนั้น สิ่งที่ผมเผชิญหน้าอยู่แทบไม่ต่างอะไรกับการเป็นผู้แพ้เลย มิหนำซ้ำสถานการณ์ยังเลวร้ายมากกว่าขณะนี้เป็นเท่าตัว ตอนนั้นผมยังเป็นเพียงผู้เล่นปีที่ศูนย์ จึงอาจจะยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรมาก แต่ก็ยังจำได้ขึ้นใจว่า บรรยากาศบ้านเมืองในตอนนั้นเลวร้ายเสียยิ่งกว่าตอนนี้มากถึงมากที่สุด
อย่างไรก็ยังดีกว่าตอนนั้น เวลาจะเป็นยารักษาไปตราบนานเท่านาน และยิ่งไปกว่านั้น เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตัวผมอีกด้วย ผมคิดว่าตัวเองจะต้องเดินผ่านจัตุรัสนั่นไปอยู่ดี จึงได้รีบสาวเท้าเดินไวๆ
ตึก ตึก ตึก
ดูเหมือนเสียงฝีเท้าจะดังลั่นไปทั่วจัตุรัสอันแสนเงียบสงบ
เหล่าผู้เล่นบางคนที่นั่งอยู่บริเวณซากปรักหักพังของแท่นน้ำพุได้เงยหน้าขึ้นมามองผม ผมปรายตามองเขากลับไปบ้าง และวินาทีที่กำลังจะเดินผ่านไปทั้งอย่างนั้นนั่นเอง
“เอ่อ”
“เอ่อ”
วินาทีที่ผมสบตาเข้ากับชายผู้หนึ่ง จู่ๆ ผมก็หยุดการเคลื่อนไหวไปโดยไม่รู้ตัว
ชายผู้นั้นก็หยุดการเคลื่อนไหวของตัวเองไว้นิ่งเช่นเดียวกัน แววตาที่ดูว่างเปล่า เลื่อนลอยนั้น จู่ๆ ก็มีพลังงานบางอย่างปะทุเข้ามาในช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาที แม้ผมจะรู้สึกได้ว่าสีหน้าของเขาดูไร้ชีวิตชีวาแปลกๆ ไปเสียบ้าง แต่แล้วก็รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาชายคนนี้อย่างบอกไม่ถูก ผมจึงลอบสำรวจใบหน้าของเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วนในทันที
ใบหน้ารูปไข่ แต่ลักษณะรูปพรรณสันฐานกลับเป็นชายหนุ่ม เส้นผมยาวถึงช่วงเอว ร่างกายค่อนไปทางผอมบาง
ตอนนั้น ความคิดหนึ่งจึงได้แล่นเข้ามาผ่านศีรษะของผม
“อู…”
“คิมซูฮยอน?”
ผมเกือบจะเปล่งชื่อเขาออกไปอยู่แล้วเชียว แต่แล้วก็สามารถอดกลั้นไว้ได้อย่างหวุดหวิด
อ๊ะ ไม่เกี่ยวกับเรานี่
แต่แล้วหลังจากนั้น ผมก็เกิดความคิดขึ้นมาว่าตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยสักหน่อย ก็แค่ผู้เล่นที่มาจากสถาบันผู้เล่นเดียวกันเท่านั้น
ใช่แล้ว ชายหนุ่มตรงหน้าผมคือ อูจองมิน อดีตแคลนลอร์ดของ ‘เผ่าเขี้ยวแดง’ เมื่อรอบแรกผมได้เจอกับเขาครั้งหนึ่งในพิธีเปลี่ยนสภาวะ ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอกันที่นี่…
“ผู้เล่นอูจองมิน”
ชายหนุ่มแสดงปฏิกิริยาตอบกลับมาทันทีหลังผมเรียกชื่อเขาไปเช่นนั้น จากที่ได้ตั้งใจไว้ว่าจะผ่านจัตุรัสไปเฉยๆ ผมจึงได้รีบเปลี่ยนทิศทางการเดินของตัวเอง โดยเดินเข้ามาใกล้ๆ อูจองมินมากขึ้น
ทันใดนั้น เขาคงเห็นว่าผมกำลังเดินเข้ามาใกล้ และตัวเองที่เริ่มตั้งสติได้พอประมาณหนึ่งแล้ว อูจองมินจึงได้ยันกายลุกมาอย่างช้าๆ
หลังจากนั้น พวกเราก็ได้จับมือทักทายกันพอเป็นพิธี
“ไม่เจอกันนานเลยนะ ผู้เล่นคิมซูฮยอน”
“ไม่เจอกันนานจริงๆ ครับ”
ผมไม่ได้ยินเสียงอูจองมินมานาน น้ำเสียงของเขาฟังดูแหบลงไปมากเลยทีเดียว เขามองหน้าผม แล้วกะพริบตาถี่ๆ ก่อนที่จะใช้สายตากวาดมองทั่วร่าง พลางเอียงคอพูดออกมาว่า
“ดูดีไม่ใช่เล่นเลยนะ”
“ผมได้เข้าร่วมอยู่บริเวณฝั่งประตูทิศตะวันตกน่ะครับ พอโมนิก้าฟื้นฟูหลังสงครามเสร็จแล้ว ตอนนี้ผมเลยออกเดินทางมาที่นี่น่ะครับ”
“บริเวณประตูฝั่งทิศตะวันตก?”
อูจองมินเอียงคอสงสัยอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่พยักหน้าพลางเปล่งเสียง ‘อ๋อ’ ออกมา
“ใช่แล้ว เรื่องเผ่าเมอร์เซนต์นารี่อะไรนั่น ฉันเองก็เคยได้ยินข่าวลือมาเหมือนกัน บริเวณประตูฝั่งทิศตะวันตกคงจะลำบากน่าดูเลยสิ”
“ตอนนี้ดีขึ้นมาหน่อยแล้วครับ ว่าแต่คุณน่ะ…”
“ฉัน?”
วินาทีนั้น อูจองมินจึงได้เบนสายตามองเบื้องล่างของตัวเอง ก่อนที่จะมีสีหน้าห่อเหี่ยวใจอยู่ในที
ผมมองดูภาพเหล่านั้น แล้วจึงเกิดสังหรณ์ใจขึ้นมาว่า คงเกิดเรื่องอะไรบางอย่างที่ไม่ดีต่ออูจองมิน เพราะใบหน้าดูห่อเหี่ยว อีกทั้งมือที่ยื่นจับทักทายกันอยู่ตอนนี้ ก็มีอาการสั่นเทิ้มน้อยๆ จนรู้สึกได้
“ฝั่งนั้นก็เข้าร่วมสงครามในคราวนี้ด้วยเหอรครับ”
อูจองมินไม่ตอบใดๆ ได้แต่พยักหน้ากลับมา
“ดูท่าว่าผู้เล่นปีที่ศูนย์คงจะไม่ได้ถูกบีบบังคับให้มาเข้าร่วม น่าจะเป็นการสมัครใจเสียมากกว่า”
ทันใดนั้น อูจองมินก็ถอนหายใจยืดยาวออกมาทันที ก่อนที่จะเปิดปากพูดออกมาหลังจากเงียบไปนาน
“ไม่รู้สินะ เขาว่าต้องเข้าร่วมนี่แหละ ฉันจะไปทำอะไรได้ ก็ฉันอาศัยอยู่ที่ฮาโลนี่นา”
ตอนนั้นเอง ผมจึงสามารถเข้าใจสถานการณ์ได้บ้าง อูจองมินอยู่ภาคตะวันตก และต้องเผชิญหน้าต่อการรุกรานของอีกฝ่าย เขาไม่ได้เข้าร่วมกับภาคตะวันออกแต่อย่างใด
หลังจากนั้น ต่างคนต่างจึงได้ผละมือออกจากกันและกัน อูจองมินปัดผมหน้าม้าออกไป คงเป็นเพราะมันบดบังทัศนวิสัยของเขา แล้วจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน
“ตาบอดจนได้น่ะ ให้ตายเถอะ ทั้งที่ควรจะต้องรีบหนีแท้ๆ”
“หนี? อ้อ หรือว่า…”
“หึๆ”
ผมรีบหุบปากฉับทันที ทันใดนั้นอูจองมินก็หัวเราะห้วนๆ ออกมา พลางพูดต่อไปว่า
“ก็นั่นแหละ ฉันเข้ามาอยู่ที่บาร์บาร่าได้สองวันแล้ว หลังจากฮาโลโดนเข้ายึดครอง ฉันก็ถูกจับตัวมาเป็นเชลยตั้งแต่ช่วงนั้น ไอ้เจ้าพวกนั้นนั่นแหละ”
เสียงพูดของอูจองมินดังไปทั่วจัตุรัสอันแสนเงียบสงบ คนบางคนที่ผมเห็นนอนขุดคู้อยู่นั้น บางทีอาจจะตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับเขาก็เป็นได้
“….คงจะลำบากมากเลยนะครับ”
“ลำบากเหรอ ก็ไม่ถึงขั้นลำบากอะไรหรอก ก็แค่เหมือนอยู่ในนรกดีๆ นี่แหละ เจ็บปวด ทรมานจนอยากตาย ไอ้พวกนั่นแม่งเป็นปิศาจ ปศาจร้ายชัดๆ”
“…”
“อย่างกับสัตว์เลี้ยง แทบไม่ผิดไปจากนั้นเลยล่ะ ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าชั่วชีวิตนี้จะต้องมาพบเจอกับอะไรแบบนี้ ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ๆ พวกเพื่อนๆ ของฉันแต่ละคนก็ชักจะเริ่มทนไม่ไหว สุดท้ายเลยพากันหนีออกไป แล้วเขาใช้ชีวิตอย่างไรต่อ นายรู้ไหม ฮเยซูเป็นบ้า ส่วนซึงฮยอนก็ฆ่าตัวตาย”
อูจองมินบ่นพึมพำ เหมือนพูดทบทวนอยู่กับตัวเอง ท่าทางการพูดของเขาสะท้อนให้เห็นถึงนัยน์ตาอันแสนว่างเปล่า ดูคล้ายกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังจะพังทลายลงในไม่ช้านี้
ทันใดนั้น ผมจึงเกิดสงสัยเรื่องเกี่ยวกับใครคนหนึ่งที่เคยอยู่ด้วยกันมาแต่ก่อน ผู้เล่นที่แข็งแกร่งหนึ่งในสิบ ที่ชื่อ…
“แล้วเพื่อนคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่สองคนนี้ล่ะครับ เป็นอย่างไรกันบ้าง ผมจำได้ว่ามีอีกคนหนึ่งนี่นา…”
“ทุกๆ วันที่ผ่านไปได้นี่แม่งเหมือนนรกบนดินชัดๆ วนเวียนอยู่อย่างนั้นไม่รู้จักจบจักสิ้น… ใครนะ?”
“…คุณซอนยูอุน?”
“อ้อ ยูอุน…”
อูจองมินทวนชื่อซ้ำๆ เหมือนพูดอยู่กับตัวเอง แต่แล้วเขาก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ได้แต่เม้มปากแน่น ท่าทางดูเหมือนมีอะไรกังวลอยู่ในหัว
เวลาล่วงผ่านเลยไปสักระยะหนึ่งหลังจากนั้น
ในตอนนั้น ผมก็คิดขึ้นมาว่า เขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้ จึงค่อยๆ เปิดปากพูดออกมาหลังจากเงียบไปนาน ทันใดนั้นเอง อูจองมินก็เงยหน้าขึ้นมา แล้วมองตรงมาทางผม
“คิมซูฮยอน”
“…?”
“พอจะมีเวลาสักเดี๋ยวไหม”
ผมชายตามองชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพยักหน้าตอบรับ