สภาพในปัจจุบันเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง
น้ำแข็งแห่งฤดูหนาวที่เฝ้ารอว่าจะเลือนหายไปเมื่อใดนั้น ค่อยๆ เริ่มละลายลงอย่างช้าๆ
การใช้ชีวิตของชินซังยงที่ไร้ซึ่งชีวิตชีวาเช่นนั้น ในที่สุดก็ได้พบเข้ากับจุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่
การเปลี่ยนแปลงที่ว่านั่น เริ่มตั้งแต่รอบกายของเขาเลยทีเดียว
‘ผู้เล่นชินซังยง หากคุณหักโหมมากไปจะไม่ดีนะครับ’
‘ฮ่าๆ ดูไม่เหมือนคำที่น่าจะหลุดออกมาจากปากหัวหน้าเลยนะครับ’
‘ฮ่าๆ! อย่างนั้นหรือครับ’
รอบกายของตัวเองที่ไม่เคยมีใครเข้าหาเลยจนกระทั่งเดี๋ยวนี้
‘โหๆ ดูสิ ดูสิ! ชินซังยง! ท่านอาจารย์คนนี้บอกแล้วไง ในที่สุดก็จะได้ทำหน้าที่สำคัญแล้วนะ’
‘ค…ครับ? หน้าที่สำคัญหรือครับ’
‘ใช่ หน้าที่สำคัญไงล่ะ คิมซูฮยอนขอร้องมา เจ้าตัวขอร้องเองเลยด้วย! จะช่วยใช่ไหมล่ะ’
ทีละคน
‘พี่ครับ! ขอบคุณที่ช่วยเมื่อคราวก่อนนะครับ! พี่เข้ากับพวกเราได้ดีมากเลยเนอะ’
‘เฮ้อ พี่ก็ทำให้หมดเลย พวกเราเคยตัวแล้วเนี่ย’
‘เห็นด้วยค่า’
ค่อย ๆ เพิ่มทีละคน
ชินซังยงคิดว่า ในที่สุดตัวเองก็ค้นพบที่ที่ใช่แล้ว ไม่สิ เป็นที่ที่อยู่ในตอนนี้ อยู่ไปก็มีความสุขได้ เขาดีใจมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจขึ้นมาอีกเมื่อไหร่
‘ในการคัดเลือกคราวนี้ เราขอยกเว้นคุณผู้เล่นชินซังยงนะครับ’
‘การที่คุณเป็นผู้เล่นฝ่ายบุ๊น ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไรหรอกครับ’
มีสมาชิกเผ่าคนหนึ่งที่โดดเด่นเรื่องเวทมากกว่าตัวเขา
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเล่นแร่แปรธาตุ เขาคนนั้นดีกว่าเห็นๆ
หรือว่าเราจะต้องอยู่อย่างไร้ประโยชน์เช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ เขาคิดว่าบางทีตัวเองอาจจะกลับไปเป็นแบบเดิมอีกครั้งหนึ่งก็ได้ใครจะรู้ ดังนั้นชินซังยงจึงตัดสินใจเข้าร่วมในศึกสงครามด้วย โดยมีความคิดที่ว่า จะพิสูจน์ในทุกคนได้เห็นถึงการมีตัวตนอยู่ของเขา
และผลลัพธ์ที่ได้…
เอ๊ะ?
เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นมากะทันหัน ชินซังยงจึงผงกหัวขึ้นมา พลางขยี้ตาไปด้วย ที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ขาวโล่ง ไม่มีอะไรเลย แต่แล้วก็ได้เห็นสมาชิกเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ยืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
ชินซังยงเห็นดังนั้นจึงจะเดินไปหาโดยอัตโนมัติ แต่แล้วเขากลับหยุดการเคลื่อนไหวไปเสียดื้อๆ
ยังพอมีที่ที่จะให้ฉันกลับไปอยู่ใช่ไหม
วินาทีนั้น ความทรงจำต่างๆ จึงได้โลดแล่นเข้ามาดั่งภาพพาโนรามาอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อครั้งกินข้าวด้วยกัน
เมื่อครั้งยืนเฝ้าเวรยามด้วยกัน
เมื่อคราวที่ได้ไปสำรวจโบราณสถาน
เมื่อคราวที่ได้เสี่ยงชีวิตต่อสู้กับศัตรู
เมื่อครั้นที่ตัวเองได้เข้าไปยังแคลนเฮาส์
เมื่อคราที่ได้เพลิดเพลินไปกับงานเลี้ยงที่จัดขึ้นในสวน
ชินซังยงเหม่อลอย ได้แต่จ้องความทรงจำต่างๆ ตรงเบื้องหน้า และตอนนั้นก็มีบุคคลคนหนึ่งกำลังค่อยๆ ยืนหันหลังอย่างช้าๆ ชายผู้นั้นหัวเราะน้อยๆ พลางเขยิบตัวสละตำแหน่งให้ ซึ่งในเวลาเดียวกันนั้นนั่นเอง สมาชิกเผ่าทุกคนจึงได้หันหน้าไปมองชายผู้นั้น
ท่าทางของเขาราวกับเชื้อเชิญให้เข้ามา ชินซังยงจึงเดินไปทางที่ว่าทันที
และ ณ วินาทีที่เข้าไปด้านในได้สำเร็จ
“ยินดีต้อนรับครับ คุณผู้เล่นชินซังยง”
ทัศนวิสัยของเขาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลนอีกครั้ง
“…”
ร่างกายในขณะนี้ ไม่มีประสาทสัมผัสหลงเหลืออยู่เลย สิ่งที่เห็นอยู่ตอนนี้คือความจริง หรือความฝัน เขาแยกไม่ออกเลย
หลังจากนั้นทัศนวิสัยเขาจึงเริ่มสั่นไหวอย่างช้าๆ ซึ่งในการสั่นไหวครั้งนี้ทำให้เขาได้เห็นใบหน้าของคนสามคนที่แสนจะคุ้นเคย
“พะ พี่! พี่ครับ!
“พี่คะ! พี่! ตอบหน่อย! ตอบหน่อยซี่!”
“รักษาเร็ว!”
อันฮยอนตะโกนเสียงดัง
อียูจองเขย่าตัวเขาไปมาอย่างบ้าคลั่ง
อันซลที่กำลังร่ายเวทอย่างลนลาน
“พี่ต้องอยู่ต่อนะครับ ต้องอยู่ต่อนะ!”
“อดทนหน่อยนะ! ตอนนี้กำลังรักษาให้อยู่! เอ๋?”
อยู่ต่อหรือ
ประโยคหนึ่งดังแว่วเข้ามาในหู ชินซังยงจึงค่อยๆ เปิดปากพูดออกมาช้าๆ ว่า
“โชคดี…”
“อะ เอ๊ะ? โชคดี! ใช่สิ! โชคดีใช่ไหมล่ะ! หืม?”
ชินซังยงหัวเราะเจื่อนๆ ให้กับเสียงตะโกนนั่น
ยังมีอะไรที่จะต้องทำต่ออยู่อีกมาก เขายังอยากทำอะไรอีกเยอะแยะเลย
อยากขอโทษเด็กๆ พวกนี้ด้วย
อยากอวดท่านอาจารย์ว่า เขาสามารถอัญเชิญกลลวงได้แล้วนะ
เขาคิดว่าหากเขาสามารถช่วยอะไรในตอนนี้ได้ เขาก็อยากทำ
ทว่ามันกลับตรงกันข้ามกับหัวใจ เขารู้สึกว่าร่างกายตัวเองกำลังเย็นขึ้นเรื่อยๆ
ในอารมณ์และความรู้สึกที่ตีกันอยู่เช่นนั้น เขาควรจะต้องพูดอะไรออกไปดี
ชินซังยงมองทั้งสามคนที่กำลังก้มมองตัวเอง
“ขอโทษ…”
ขอโทษนะ
“ขอ…บ…คุ…มาก…”
ขอบคุณมากนะ
ชินซังยงหัวเราะ แล้วร้องไห้ออกมา ร้องไห้ทั้งๆ ที่หัวเราะอยู่เช่นนั้น
จู่ๆ ในหัวสมองได้บังเกิดความมืดหม่นขึ้นมากะทันหัน ความจริงแล้ว เขารู้สึกว่าตัวเองสติเลื่อนลอยมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว
ดังนั้นชินซังยงจึงคิดว่า เห็นทีตัวเองคงจะต้องหลับตาลงครู่หนึ่ง
“แป๊บหนึ่ง…”
“พี่ ทำไมเป็นแบบนี้ไปล่ะ ทำไมจู่ๆ ถึงหลับตาไปล่ะ หืม?”
ชินซังยงรู้สึกเบาใจอย่างบอกไม่ถูก เขาจึงเอื้อนเอ่ยบทกลอนออกมาอย่างแผ่วเบา
“หากพ้นหน้าหนาวนี้ไป…ความอบอุ่นแห่งฤดูใบไม้ผลิจะผ่านมา…”
วินาทีนั้น เขารู้สึกได้ว่าเหมือนอะไรบางอย่างถูกตัดจนขาดสะบั้นลง
“พี่….พี่ครับ? พี่!”
ก่อนที่จะหลับตาลง ชินซังยงได้คิดขึ้นมาอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม หากเราสามารถลืมตาขึ้นมาได้อีกครั้งล่ะก็…
“พี่คะ…?”
ตอนนี้คงจะต้องเตรียมต้อนรับฤดูใบไม้ผลิอันแสนอบอุ่นได้แล้วนะ
ดวงตาของชินซังยงปิดสนิท พร้อมกับน้ำตาที่เอ่อล้นอยู่บริเวณขอบตา ไหลรินลงมาอาบข้างพวงแก้ม
อันฮยอนกับอียูจองร้องไห้คร่ำครวญจนแทบเจียนตาย ในขณะที่อันซลกำลังร่ายเวทเพื่อช่วยรักษาอยู่เช่นเดิม แล้วหล่อนก็ได้วางมือที่กำลังสั่นน้อยๆ ทาบลงบริเวณอกข้างซ้าย หัวใจหยุดเต้นไปแล้วเรียบร้อย ไร้ซึ่งการตอบสนองต่อสิ่งใด หล่อนรู้สึกได้แค่เพียงอุณหภูมิของร่างกายที่เย็นลงไปแล้วเท่านั้น
อันซลค่อยๆ เลื่อนสายตาไปมองช้าๆ เสื้อคลุมของหล่อนเปียกชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงฉานที่ไหลซึมออกมาจากหน้าท้องของเขา แต่กระนั้นสีหน้าของชินซังยงก็ยังดูผ่อนคลายเหมือนอย่างเคย แม้เลือดจะไหลรินออกมามากเท่าใด ริมฝีปากเขาก็ยังคงยกยิ้มน้อยๆ ให้เห็นอยู่เสมอ
อันซลจึงค่อยๆ ปริปากพูดออกมาว่า
“พี่คะ…?”
ไร้ซึ่งการตอบกลับใดๆ
และในช่วงที่อันซลกำลังจะเปิดปากพูดอีกครั้งนั่นเอง
“พ…”
ตุ้บ
ก่อนที่อันซลจะพูดคำนั้นจบ ศีรษะของชินซังยงกลับตกลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
ตึกตัก!
ในตอนนั้น
ตึกตัก ตึกตัก!
หัวใจของอันซลก็เริ่มเต้นแรงมากขึ้น
ฟิ้ว! เพียะ!
“ฮึก!”
แส้ตวัดเข้ามาพลางกลับเข้าไปอยู่ในมือเจ้าของอีกครั้ง พร้อมกับราชินีแห่งดาบที่ส่งเสียงครวญครางออกมาอย่างแผ่วเบา และหล่อนจึงคิดได้ว่าบัดนี้ถึงคราวสิ้นสุดกันเสียทีแล้ว
“ว้าว สุดยอดเลยนะเนี่ย มีแผลใหญ่ขนาดนั้น ใช่คลาสลับหรือเปล่าเนี่ย”
แม้หญิงสาวผู้ถือแส้อยู่ในมือจะเรียกร้องความสนใจมากขนาดไหน แต่ตอนนี้ราชินีแห่งดาบก็ไม่มีแรงมากพอที่จะไปโต้แย้งกับหล่อนด้วยแล้ว เรี่ยวแรงของหล่อนลดฮวบฮาบลง หลังจากผ่านการต่อสู้กับพวกเร่ร่อนมาก่อนหน้านี้ และเพราะไร้พลังขนาดนี้ ซ้ำร้ายยังโดนโจมตีเข้าที่ท้องโดยไม่ทันตั้งตัวอีกด้วย จึงทำให้หล่อนล้มเกลือกกลิ้งอยู่กับพื้น แม้จะปลุกกระตุ้นพลังอย่างไร ทว่าความทนทานนั้นกลับถดถอยไปอย่างน่าใจหายเลยทีเดียว
สภาพการณ์ของราชินีแห่งดาบในขณะนี้ ถือว่าเข้าขั้นวิกฤติหนัก
หากหล่อนสามารถสู้กับอีกฝ่ายได้อย่างตัวคนเดียว ก็เรียกได้ว่าแทบจะเป็นอภินิหารเลยก็ว่าได้
ราชินีแห่งดาบค่อย ๆ ควบคุมสติของตัวเองที่กำลังจะเลื่อนลอยไปไกล แล้วจึงมองอีกฝ่ายด้วยหางตา จากนั้นจึงคิดต่อมาว่า หากหล่อนได้รับความช่วยเหลือเหมือนครู่ก่อนหน้านี้ บางทีอาจจะมองเห็นหนทางที่อยู่เบื้องหน้าก็ได้ ทว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของหล่อน ณ ขณะนี้ กลับมีเพียงแค่คนสามคนที่กำลังร้องไห้คร่ำครวญอยู่ข้างกายชายที่นอนราบไปกับพื้นคนนั้น
เมื่อแน่ใจว่าความหวังสุดท้ายจางหายไปเสียแล้ว ความมืดมน สิ้นหวัง ไร้หนทางฉายผ่านอยู่ในแววตาของราชินีแห่งดาบ และในตอนนั้นเอง
“ถ้าเหม่อระหว่างที่ต่อสู้กันอยู่ จะทำยังไงล่ะ”
พลั่ก!
“อึ้ก!”
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในชั่วพริบตา หญิงสาวผู้นั้นที่กำลังจดจ้องราชินีแห่งดาบผู้ซึ่งกำลังท้อแท้ใจ จึงวางท่าจะฟาดแส้ใส่อีกฝ่าย ราชินีแห่งดาบเห็นดังนั้นจึงเอี้ยวตัวกะจะหลบ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจเบี่ยงไหล่หลบพ้นเจ้าแส้เส้นนั้นไปได้ ดาบซอลอาหลุดมือไป พลางส่งเสียงกรีดร้องสั้นๆ หลังจากนั้นจึงล้มกายลงไป
ฟิ้ว! พลั่ก!