แสงแดดส่องผ่านเข้ามาสะท้อนกับโต๊ะตัวหนึ่ง โต๊ะตัวนั้นมีอะไรสีขาวๆ บางอย่างกำลังนอนหมอบอยู่ และสิ่งนั้นคือยูนิคอร์นน้อยที่คิมซูฮยอนพามาด้วย เจ้ายูนิคอร์นน้อยมีสีหน้าหมดกำลังใจ ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ได้แต่เอาหัวมุดอยู่กับโต๊ะ มีขยับตัวมาขยี้แก้มบ้าง ดมกลิ่นนู่นนี่ ร้องไห้น้ำตาไหลบ้างก็ยังมี ดูท่าทางแล้วเหมือนกำลังคิดถึงใครบางคนอยู่
และแล้วเจ้ายูนิคอร์นน้อยที่เอาแต่นอนอยู่บนโต๊ะมาพักหนึ่ง โดยที่คิดอะไรไม่ออกเลยก็ผงกหัวขึ้นอย่างกะทันหัน เพราะว่ามันได้ยินเสียงคนเดินเตาะแตะๆ ดังขึ้นมาจากด้านนอกประตู
ตึง!
“กยูกยู ยังอยู่ที่นี่อีกหรอเนี่ย”
ประตูเปิดดังปัง พร้อมกับเสียงอันแสนสดใสราวกับสาวน้อยดังขึ้นมา คนที่เปิดประตูเข้ามาคือแพคฮันกยอลนั่นเอง เจ้ายูนิคอร์นน้อยทำหน้าผิดหวัง หลังจากนั้นจึงก้มหัวลงไปมุดกับโต๊ะอีกครั้ง
แพคฮันกยอลดับไฟของไลท์สโตนที่กำลังส่องแสงมาจนถึงตอนนี้ หลังจากนั้นจึงมองมาบนโต๊ะ เขาถอนหายใจออกมา พร้อมกับเดินย่องเข้าไปหายูนิคอร์นน้อย
“กยูกยู ถ้านายยังเป็นอยู่แบบนี้ แล้วจะให้ฉันทำยังไงล่ะเนี่ย อย่างน้อยก็กินข้าวกินปลาเสียบ้างสิ หืม?”
“ฮี้…”
แพคฮันกยอลเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงอันแสนอ่อนโยน พร้อมกับวางจานอาหารลง แต่เจ้ายูนิคอร์นน้อยกลับไม่เหลียวแลเลย มิหนำซ้ำยังส่งเสียงร้องหงิงออกมาเบาๆ หางที่เคยส่ายไปส่ายมา ตอนนี้กลับได้แต่แกว่งไปมาเบาๆ อย่างไร้เรี่ยวแรง เป็นสัญญาณว่าเจ้ายูนิคอร์นน้อยนี้ไม่อยากกินอะไรแล้ว
“ฉันบอกไปแล้วนี่นาว่าพี่ไม่ได้ทิ้งนายเสียหน่อย แค่เผอิญพัวพันอยู่กับอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ เลยติดต่อไม่ได้แค่นั้นเอง”
“ฮี้ ฮี้”
“อย่าเครียดไปเลยน่า ยังไงพี่จะต้องกลับมาแน่นอน ทั้งพี่ฮายอน พี่ซังยง พี่ยูจอง พี่อันฮยอน พี่วิเวียนต่างก็ออกตามหาอยู่ไม่ใช่หรือไงล่ะ ยังไงพี่ต้องกลับมาแน่นอน แล้วถ้าพี่เขากลับมาเจอนายในสภาพแบบนี้ เขาจะชอบใจไหม”
“…ฮี้”
คำพูดนี้เหมือนจะได้ผลนิดหน่อย จึงทำให้เจ้ายูนิคอร์นน้อยเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง แพคฮันกยอลมีสีหน้าโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด เขาฝืนยิ้มออกมาพร้อมกับรื้อสิ่งของไปพลางๆ หลังจากนั้นจึงควักคริสตัลก้อนกลมออกมา แล้วส่งให้ยูนิคอร์นน้อยดู
“ใช่เลย เก่งมาก เอ้า กินซะนะ เห็นคริสตัลนี้ไหม พี่ฮายอนบอกว่าให้ติดต่อสื่อสารกันผ่านคริสตัลลูกนี้ เพราะฉะนั้นเรามาตั้งใจรอพี่ไปด้วยกันเถอะนะ เนอะ?”
เจ้ายูนิคอร์นน้อยส่งสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามที่ว่า ‘จริงหรอ’ ให้ แพคฮันกยอลเห็นดังนั้นจึงพยักหน้าตอบรับ
หลังจากนั้นแพคฮันกยอลจึงค่อยๆ ลูบปลอบโยนยูนิคอร์นที่เริ่มลงมือกินทีละคำ สองคำ พร้อมกับถอนหายใจเบาๆ แล้วเบนสายตามาจ้องคริสตัลลูกนั้นสลับกับมองเจ้ายูนิคอร์นน้อย ทั้งๆ ที่จะถึงวันพรุ่งนี้อยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่รู้เลยว่าจะมีการติดต่ออะไรกลับมาเรื่องพบตัวคิมซูฮยอนแล้วหรือไม่อย่างไร
แต่ทว่าแพคฮันกยอลยังไม่รู้ถึงอะไรบางอย่าง และบางอย่างที่ว่านั้นคือ การติดต่อสื่อสารที่เขาปรารถนานั้นจำเป็นจะต้องผ่านพ้นอีกสองสัปดาห์ไปเสียก่อน ถึงจะมีคนติดต่อกลับมา
* * *
ตอนนี้เรากำลังอยู่ระหว่างการเดินทาง สายลมเย็นพัดเอื่อยเข้ามากระทบกับปลายจมูก ผมหลับตาลงแล้วสูดอากาศอันแสนสดชื่นเข้าไปเต็มปอด เรื่องที่เคยอึดอัดใจสลายหายไปในพริบตา ลมเย็นๆ พัดเข้ามาโอบล้อมทั่วทั้งร่าง ทำเอาผมรู้สึกสดชื่นจับใจ
พอผมลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็ได้พบกับทุ่งหญ้ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาปรากฏอยู่ตรงหน้า นอกจากนี้ยังเห็นเหล่าต้นหญ้าสูงระดับเข่าและเนินเขาลาดเอียงอีกเป็นหย่อมๆ มีร่องรอยของคนสัญจรไปมาปรากฏให้เห็นอยู่ตามจุดต่างๆ ถึงจะไม่ค่อยมีสิ่งของที่ทำขึ้นจากฝีมือคน แต่ก็มีร่องรอยของผู้คนที่สัญจรไปมาปรากฎอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง
“เหมือนจะมาถึงครึ่งทางแล้วนี่คะ”
“เกินครึ่งทางแล้วครับ”
“งั้นเหรอ ยังไงก็แล้วแต่ ดูเหมือนพวกเราจะต้องเปลี่ยนทิศทางให้เร็วที่สุด ไม่ภายในวันนี้ก็พรุ่งนี้ มันแปลกๆ ยังไงชอบกลนะคะ ซูฮยอน จะทำยังไงล่ะคะ”
ผมหยุดเดินแล้วหันกลับมา โกยอนจูมองทางนู้นทีทางนี้ทีเหมือนกับกำลังค้นหาเส้นทาง หลังจากนั้นจึงหยุดสายตามามองที่ผม ไม่รู้ว่าเพราะแสงแดดยามเช้าที่กำลังสาดส่องอยู่ ณ ขณะนี้หรือไม่ ถึงทำให้นัยน์ตาของหล่อนเต็มไปด้วยแสงสีทองเรืองรอง ผมมองไปยังปากที่เม้มน้อยๆ ของหล่อน หลังจากนั้นจึงหันหลังกลับมา แล้วพูดออกไปว่า
“ดูเหมือนเราจะต้องตรวจสอบทิศทางใหม่สักพักหนึ่งแล้วละครับ ไม่ทราบว่ามีใครพอรู้ลักษณะภูมิประเทศของสถานที่ที่เรากำลังอยู่ ณ ตอนนี้อย่างละเอียดไหมครับ”
“…”
“…เดี๋ยวอีกสิบนาที ผมจะเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง ตอนนี้ขอให้ทุกคนช่วยเฝ้าพวกเร่ร่อน แล้วก็เชิญพักผ่อนตามอัธยาศัยครับ”
ผมได้ลองสอบถามไปแล้ว แต่ไม่มีใครตอบกลับมาเลย ทุกคนได้แต่จ้องผมด้วยสายตาอันแสนว่างเปล่า ผมได้แค่เพียงฝากความหวังไว้กับสาวน้อยนักฆ่าที่ค้นพบตัวได้ในตอนแรก แต่แล้วพอหล่อนได้ยินว่าผมอนุญาตให้พักผ่อน หล่อนก็รีบปรี่เข้าไปหาอันซลอย่างทันทีทันใด
“ย้าก ย้าก”
“หะ…หืม? ยะ…อย่านะ ทำไมต้องมาแกล้งกันตลอดด้วยเล่า”
จริงๆ แล้ว สถานการณ์ตอนนี้ยังคงคลุมเครืออยู่ จะเป็นพวกเดียวกับเหล่านักธนูก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นเหมือนโกยอนจูที่อยู่ในวงนักฆ่าเหมือนกันก็ไม่เชิง สิ่งที่ผมปรารถนาไว้ตั้งแต่ต้นนั้นล้วนเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นทั้งสิ้น ผมมองทั้งสองคนที่กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน แล้วจึงออกเดินไปข้างหน้า หลังจากนั้นจึงรู้สึกได้ว่าโกยอนจูกำลังเดินตามหลังอยู่
พวกเราหลุดพ้นออกมาจากป่าไม้ที่เคยใช้เปิดฉากต่อสู้กับพวกเร่ร่อนได้สักพักหนึ่งแล้ว ส่วนพื้นที่ที่เชื่อมต่อกันอยู่นี้กลับเป็นทุ่งหญ้า และที่นั่นก็คือที่ที่เรากำลังเดินผ่านอยู่ในตอนนี้ ที่แห่งนี้คือทุ่งหญ้าที่ไม่สามารถมองเห็นดาวได้ อาจเรียกอีกชื่อว่าทุ่งหญ้าแห่งเมฆหมอกก็ได้ ตั้งแต่ที่พวกเราเข้ามาในที่แห่งนี้ หากตัดเรื่องต่อสู้กับเหล่าสัตว์ประหลาดสี่ครั้งออกไป ที่แห่งนี้ก็เป็นได้แค่เพียงพื้นที่ที่แสนจะน่าเบื่อเท่านั้น
ถึงจะไม่ใช่สถานที่ที่มีต้นไม้ขึ้นอยู่เต็มไปหมดจนทำให้รู้สึกสับสนวุ่นวายใจก็จริง แต่ปัญหาในตอนนี้คือความกว้างสุดลูกหูลูกตาของสถานที่นี้ต่างหาก ลักษณะภูมิประเทศดูคล้ายๆ กันไปเสียหมด ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราจะต้องเปลี่ยนทิศทางไปทางไหน
“ทิศทางน่ะ…ถ้าอิงตามทางที่เราจะไปก็ ผมว่าจะไปทิศตะวันตกดูครับ”
“ทิศตะวันตกงั้นเหรอ ถ้างั้นสุดท้ายเราก็ไปเอเดนเหรอคะ”
“ครับ แต่ผมยังจับความรู้สึกไม่ได้เลยว่าจะต้องไปตรงไหน ถึงจะโผล่ไปเอเดนได้”
“โฮะๆ แคลนลอร์ดของพวกเรามีอะไรที่ไม่รู้กับเขาด้วยเหรอคะเนี่ย”
โกยอนจูพูดเย้าแหย่ ผมถอนหายใจเล็กน้อยแล้วจึงตอบกลับไป
“มันเป็นแผนที่ที่ผมเคยคุ้นเคย เมื่อครั้งมาถึงฮอลล์เพลนแรกๆ น่ะครับ แต่ว่าตอนดูแผนที่กับตอนที่ได้ลองมาเดินเองจริงๆ แล้วเนี่ย ผมว่ามันต่างกันคนละเรื่องเลย”
“งั้นเองหรอกเหรอ~ ฉันนึกมาตลอดว่าคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญ สามารถทำอะไรฉับๆ ได้ตัวคนเดียวเสียอีกนะคะ”
“ผมปีที่ศูนย์เองนะครับ”
“อุ๊ย? ไม่ใช่ปีที่สิบหรอกเหรอคะ คิกๆ”
ผมมองรอยยิ้มนั้นด้วยความตกใจ หล่อนน่ะพูดล้อเล่นอยู่แล้วแหละ แต่ผมกลับรู้สึกเจ็บแปลบข้างในอกอย่างบอกไม่ถูก ผมได้แต่สงวนท่าทีนิ่งเฉยเอาไว้อย่างนั้น แล้วหันไปกระดิกนิ้วเรียกโกยอนจู เป็นสัญญาณบอกว่าให้หล่อนเข้ามาใกล้ๆ หล่อนยื่นหน้าออกมาทันทีทันใด แล้วทำตาโต หันซ้ายที ขวาที ผมเห็นดังนั้นจึงใช้นิ้วดีดเข้าไปยังจมูกโด่งๆ ของหล่อน
“อ๊าก เดี๋ยวเถอะนะ ทำเกินไปแล้วนะคะ”
“อย่ามาเสแสร้งหน่อยเลยครับ เลิกล้อเล่นสักทีเถอะครับ”
“ค่า ค่า~ ก็เห็นซูฮยอนดูอึดอัดยังไงชอบกลนี่คะ เลยแหย่เล่นนิดๆ หน่อยๆ เองค่ะ อย่าเครียดมากนักสิ มันไม่ใช่ที่ที่จำเป็นจะต้องไปต่อนี่นา หรือว่ายังไงคะ”
“…”
จากคำพูดของโกยอนจู สื่อออกมาได้ว่าให้ปรับเส้นทางเดินไปยังทิศตรงข้ามเสียเถอะอะไรแบบนั้น แล้วผมจึงมองทางหล่อนที่กำลังนั่งทุบพื้นดินอยู่ ผมพยักหน้าลงอย่างใจเย็น ผมดูจะใจร้อนขึ้นอย่างไม่รู้ตัวกับความจริงที่ว่าเจ้าพวกเร่ร่อนได้บุกเข้ามาโจมตีพวกเรา
หากเราไปตามเส้นทางที่สั้นที่สุด ก็จะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มอะไรเข้าไปอีกแล้ว แต่การที่จะมานั่งคิดมากคนเดียวทั้งที่ความทรงจำยังพันกันยุ่งเหยิงเหมือนในตอนนี้ก็เป็นเรื่องไร้สาระเหมือนกัน หากเดินทางต่อไปอีก อาจจะมีพื้นที่ที่ผมรู้จักบ้างก็ได้ ดังนั้นใจเย็นเข้าใจอย่างที่โกยอนจูบอกเห็นจะเข้าท่ามากกว่า
“ร่างกายเป็นยังไงบ้างครับ คืนนี้เห็นทีดวงตาแห่งการล่อลวงต้อง…”
ผมแกล้งทำเป็นยอมๆ แล้วนั่งลงข้างกายหล่อนพร้อมกับถามคำถามออกไป ไม่รู้ว่าหล่อนทุบพื้นดินไปนานเท่าไหร่ ถึงได้มานั่งขยำหญ้าที่กำลังขึ้นชี้โด่ชี้เด่อยู่เช่นนี้
“ค่ะ ไม่เป็นไรแล้วค่ะ คืนนี้น่าจะยังใช้ได้อีกครั้งค่ะ”
โกยอนจูตอบคำถามโดยไม่มองมาทางผม หล่อนได้แต่มองจ้องไปยังที่ที่เหล่าผู้เล่นรวมตัวกันอยู่
หลังจากปิดฉากการต่อสู้กับพวกเร่ร่อนได้สำเร็จ พวกเราสามารถจับพวกมันมาเป็นเชลยได้ถึงสิบเอ็ดคน ซึ่งในบรรดาจำนวนเหล่านั้น มีอยู่เก้าคนที่หลงเหลือมาได้จนถึงปัจจุบันนี้ คนแรกฉวยโอกาสหนีในช่วงกลางดึก สุดท้ายจึงโดนฆ่าตายเป็นตัวอย่างให้กับคนอื่นๆ ส่วนอีกคนได้ฆ่าตัวตายไปแล้ว และในทุกๆ ค่ำคืนเราได้ใช้ดวงตาแห่งการล่อลวง อันเป็นความสามารถพิเศษของโกยอนจูในการขุดค้นข้อมูลจากพวกมันทั้งเก้าคน
ด้วยความสามารถของหล่อน ทำให้สามารถรู้ข้อเท็จจริงสำคัญๆ ได้ แต่นั่นเป็นเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น สถานการณ์ในขณะนี้คือ มีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ยังไม่สามารถขุดคุ้ยข้อมูลชั้นสูงตามที่ใจปรารถนาได้ เหตุผลที่ว่านั้นคือ ดวงตาแห่งการล่อลวงมีข้อจำกัดในการใช้อยู่นั่นเอง
ตามที่โกยอนจูได้พูดไว้ หล่อนบอกว่าความสามารถของหล่อนนั้นมีข้อจำกัดอยู่เพียงไม่กี่ข้อเท่านั้น
ข้อแรกคือ ในหนึ่งวันสามารถใช้ได้เพียงแค่หนึ่งครั้งเท่านั้น ข้อที่สอง ในกรณีที่เป้าหมายเป็นเพศตรงข้าม มีโอกาสสูงที่จะประสบความสำเร็จ ซึ่งในจุดนี้ย่อมสามารถใช้กับคนเพศเดียวกันได้ แต่หล่อนบอกไว้ว่าหากเป้าหมายคนนั้นไม่ใช่เลสเบี้ยน โอกาสที่จะไม่สำเร็จก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน
ข้อสามคือ แม้จะเป็นเพศตรงข้าม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องสำเร็จอยู่ร่ำไป ยิ่งพลังจิตของเป้าหมายนั้นแข็งแกร่งมากเพียงใด ยิ่งทำให้มีโอกาสสูงมากที่จะไม่สำเร็จ
และข้อสุดท้าย ข้อที่สี่ หากจิตใจของเป้าหมายผู้นั้นอยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมหรือพังทลายไปแล้ว จะมีโอกาสสูงมากๆ ที่จะทำสำเร็จได้ โดยที่ไม่เรื่องเพศเดียวกันหรือเพศตรงข้ามเข้ามาเกี่ยวข้อง