Marvel : The King ราชาของโลกมาเวล 173

ตอนที่ 173

ตอนที่ 173 กําลังมา …

เมื่อเห็นความคาดหวังของเจสสิก้าขนาดนี้แล้วซ้ําเงินจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร เพราะถึงอย่างไรท้ายที่สุด แล้วเธอก็แฟนคลับของเขาถึงกับขนาดสักชื่อของเขาเอาไว้บนร่างกายของเธอตรงไหนสักแห่งหนึ่ง

“มันก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการมันไหม เพราะว่าที่นี่มีอยู่หลายคนที่สามารถสอนคุณได้อยู่มากมาย ไม่ว่าคุณจะต้องการแข็งแกร่งขึ้นหรือกลายเป็นฮีโร่ และถ้าเกิดว่าผมมีเวลาว่างผมก็จะช่วยสอนคุณให้อีกแรง” ซู่เจินพูด ขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“เยี่ยม!”

เจสสิก้าตะโกนขึ้นมาอย่างตื่นเต้น พร้อมกับเอื้อมมือไปกอดซู่เจินเอาไว้และจูบอย่างดูดดื่ม ทําให้ซู่เจินถึงกับผงะถอยหลังไปเล็กน้อยกับความกระตือรือร้นของเธอ และเมื่อซู่เจินรู้สึกตัวเจสสสิก้าก็เดินตะโกนโห่ร้องด้วยความดีใจออกไปไกลแล้ว

ถึงแม้ว่าซู่เจินจะไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับความคิดของพวกแฟนคลับสักเท่าไหร่ แต่ … ความรู้สึกแบบนี้มันให้ความรู้สึกที่ดีจริง ๆ

การที่ได้เจสสิก้า โจนส์มาเข้าร่วมกับพันธมิตรสงครามถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี ถึงแม้ว่าเธอจะยังขาดอะไรหลาย ๆ ด้านอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็มีศักยภาพที่ดี นอกจากนี้มันก็ยังมีคนจํานวนมากมายที่มาเข้าร่วมกับพันธมิตรสงคราม ไม่ว่าจะเป็นตัวละครตัวเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก และความแข็งแกร่งและความสามารถของพวกเขาก็ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่

แน่นอนว่าสําหรับคนธรรมดาพวกเขานั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่สําหรับซู่เจินแล้ว … พวกเขาก็เปรียบเสมือนกับคนธรรมดาคนหนึ่ง

ถึงแม้ว่าเขาจะต้องการจํานวนมากมาเข้าร่วมกับพันธมิตรสงคราม แต่เขาก็ไม่ได้ต้องการทุกคน ซึ่งทุก ๆ คนที่เข้าร่วมจะต้องมีค่าและมีความสามารถบางอย่างที่สามารถทําประโยชน์ให้กับพันธมิตรสงครามได้ยกตัวอย่าง เช่น โทดที่รับหน้าที่ในการทําความสะอาดภายในพันธมิตรสงคราม!

ซึ่งในตอนแรกซู่เจินก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เพราะว่าตอนนี้มีผู้คนจํานวนมากกําลังมองดูพวกเขาอยู่ และรอให้พันธมิตรสงครามได้แสดงความแข็งแกร่งอีกครั้ง

อย่างไรก็ตามซู่เจินก็ไม่ได้คาดหวังว่าโอกาสมันจะมาถึงเร็วขนาดนี้…เช้าวันรุ่งขึ้นซู่เจินก็ได้รับสายโทรศัพท์จากชารอน

“ไม่คิดว่าคุณจะติดต่อมาหาผมเร็วขนาดนี้” ซู่เจินพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ หลังจากรับโทรศัพท์จากชารอน

“ฉันก็ไม่คิดเหมือนกันว่าแผนการมันจะเริ่มเร็วขนาดนี้ ถ้าคุณต้องการที่จะลงมือก็ควรเริ่มลงมือทันที เพราะจากข้อมูลที่ฉันได้รับมาเหมือนกับว่าแผนการมันจะเริ่มภายในสองชั่วโมงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังมีมนุษย์กลายพันธ์มาเข้าร่วมอีกมากมาย” ชารอนพูดขึ้นมาเบา ๆ

“ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณมาก” ไม่น่าแปลกใจเลยที่จะมีมนุษย์กลายพันธ์มาเข้าร่วมด้วย เพราะว่าซู่เจินได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้เรียบร้อยแล้ว

“คุณเองก็…ระวังตัวด้วย” ชารอนพูดขึ้นมาด้วยความลังเลผสมกับความเขินอาย พร้อมกับรีบกดวางสายอย่างรวดเร็วก่อนที่ซู่เจินจะได้มีโอกาสตอบกลับมา

ซึ่งซู่เจินจะยังไม่แจ้งเรื่องนี้ให้กับสมาชิกที่เพิ่งจะเข้าร่วมกับพันธมิตรสงคราม แต่โทรไปหาสตีฟและสมาชิกหลักของพันธมิตรสงครามอย่างรวดเร็ว

“ในอีกสองชั่วโมงข้างหน้าไฮดร้าจะเริ่มแผนการ Insight ซึ่งพวกเราจะต้องเริ่มลงมือในทันที” หลังจาก ติดต่อได้แล้วซ้ําเงินก็รีบพูดเข้าเรื่องทันที “บริ้งค์ , นาตาชา ,ซิฟ, เฉินฮาวหราน , บลิซซาร์ด , ศาสตราจารย์ ซาร์ด , แมโร ภารกิจมีเป้าหมายเพียงอย่างเดียวเท่านั้นก็คือการทําลายเรือบรรทุกเครื่องทั้งสองลํา”

“รับทราบ!”

“ส่วนโควสันและเมย์ พวกคุณเข้าใจเกี่ยวกับ SHIELD เป็นอย่างดี ดังนั้นให้พวกคุณคอยสนับสนุนพวกเขาในยามจําเป็น”

“ฟอลคอน ภารกิจของคุณก็คือการช่วยเหลือ ไม่จําเป็นที่จะต้องช่วยเหลือแต่พวกเราเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประชาชนคนธรรมดาด้วย หากเกิดอันตรายร้ายแรงคุณจะต้องรีบไปช่วยพวกเขาในทันทีโดยเฉพาะบนท้องฟ้า!”

“ไม่มีปัญหา” ฟอลคอนพูดขึ้นมาด้วยความมั่นใจ

“และถ้าเกิดว่าใครต้องการอุปกรณ์ก็ให้ไปหาฟิทซ์และบลิซซาร์ด และเราจะเริ่มออกเดินทางทันทีเมื่อจัดเตรียมอุปกรณ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว” ซู่เจินตบมือขึ้นมาพร้อมกับให้ทุกคนไปเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม

“แล้วฉันล่ะ?”

สตีฟเดินเข้ามาหาซู่เจินพร้อมกับถามขึ้นมาอย่างโกรธเคืองเล็กน้อย “ฉันมีหน้าที่อะไร ? ในเมื่อคุณมอบหน้าที่ให้กับพวกเขาในการทําลายเรือบรรทุกเครื่องบินทั้งสองลํา ส่วนคุณก็จะคอยจัดการในส่วนที่เหลือให้ แล้วทําไมถึงไม่ให้ฉันไปกับพวกเขาด้วยล่ะ ? ฉันมั่นใจว่าฉันสามารถทําหน้าที่นี้ได้อย่างแน่นอน!”

“คุณไม่ใช่คนของฉัน ดังนั้นแล้วฉันจึงไม่ได้มอบหมายภารกิจให้กับคุณโดยตรง” ซู่เจินมองไปที่สตีฟพร้อมกับพูดขึ้นมาเบา ๆ

“ฉันเป็นทหาร! ฉันจะต้องปกป้องประเทศนี้และโลกใบนี้เอาไว้!” สตีฟพูดขึ้นมาด้วยน้ําเสียงอันหนักแน่น “สิ่งที่คุณทํามันก็เหมือนกับหลักการของฉัน และถ้าเกิดว่าคุณต้องการที่จะกีดกันฉันเพราะว่าฉันไม่ใช่คนของคุณ ฉันก็หวังว่าตอนนี้ฉันจะสามารถเข้าร่วมกับพันธมิตรสงครามได้”

“คุณไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ แล้วคุณจะรู้ว่าฉันจะให้ภารกิจอะไรกับคุณ” ซู่เจินตบไปที่ไหล่ของสตีฟเบาๆ พร้อมกับหันไปบอกเจสสิก้าและคนอื่น ๆ ที่เพิ่งจะเข้าร่วมกับพันธมิตรสงครามให้ตามเขามา

ในขณะเดียวกันเมื่อทุกคนได้ยินว่าพวกเขากําลังจะไปที่ SHIELD เพื่อจัดการกับเรือบรรทุกเครื่องบิน พวกเขาก็อดรู้สึกกังวลและตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีความสามารถ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้มีประสบการณ์อะไรมากนัก ทําให้เกิดความกังวลขึ้นมาภายในจิตใจอย่างช่วยไม่ได้

ยานบินของดาร์คเอลฟ์เปิดการทํางานขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับคนจํานวนมากมายที่กําลังทยอยเดินขึ้นมาบนยานบินที่ละคนในขณะเดียวกันซู่เจินก็หันไปยิ้มให้กับสกาย เจมมาและคนอื่น ๆ พร้อมกับบอกให้พวกเธอคอยดูแลที่นี่ให้ดี

แน่นอนยานบินไม่ได้เปิดโหมดล่องหนเอาไว้ ดังนั้นมันจึงบินขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับมุ่งหน้าไปยังสํานักงานใหญ่ของ SHILED ทันที

เป็นธรรมดาที่เมื่อคนบางคนพบเห็นยานบินที่กําลังบินอยู่บนท้องฟ้าจะทําให้พวกเขาตื่นตระหนกเล็กน้อยในตอนแรก แต่เมื่อพวกเขาเห็นคําว่า “สงคราม” ที่โดดเด่นอยู่บนยานบิน พวกเขาก็รู้ได้ในทันทีเลยว่านี้จะต้องเป็นยานบินของพันธมิตรสงครามอย่างแน่นอนทําให้พวกเขารู้สึกโล่งใจในทันทีในขณะเดียวกันพวกเขาก็รู้ได้ในทันทีเลยว่าพันธมิตรสงครามกําลังมุ่งหน้าไปที่ไหน

สํานักงานใหญ่ของ SHIELD!

ในขณะเดียวกันทางด้านของหน่วย SHILED ในตอนนี้ก็เต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่ที่มีอาวุธครบมือกําลังตั้งแถว อยู่บริเวณบนสะพานทางเข้าของหน่วย SHILED แน่นอนว่ามันไม่ได้มีแค่นี้เพราะว่ามันยังมีมนุษย์กลายพันธ์ของบราเธอร์ฮูดออฟมิวแทนต์ส หลายคนที่กําลังยืนอยู่ด้านหน้าของเจ้าหน้าที่ของ SHILED

จักเกอร์นอท , คัสลิสโต , โคลน , เซเบอร์ทูธ และ หลินลี่ หญิงสาวชาวฮ่องกง

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาที่อยู่ที่นี่กําลังรอพันธมิตรสงครามและคนอื่น ๆ ที่ต้องการทําลายเรือบรรทุกเครื่องบินอยู่ แน่นอนแผนการของพวกเขาในตอนแรกนั้นมันเป็นความลับสุดยอด และสามารถดําเนินแผนการเมื่อไหร่ก็ได้แต่เนื่องจากซู่เจินได้ประกาศแผนการของพวกเขาให้กับสาธารณชนได้รับรู้แล้วมันก็ไม่เป็นไรที่แผนการมันจะ เริ่มเร็วกว่าที่กําหนด

ทําให้บรรยากาศบริเวณโดยรอบในตอนนี้เต็มไปด้วยความอึมครึม พร้อมกับหายใจลําบากขึ้นมาเล็กน้อย สายตาของพวกเขาเอาแต่จับจ้องไปด้านหน้าด้วยความกังวล

ทันใดนั้นก็มีเสียงคารามดังขึ้นมาจากระยะไกล ทําให้ทุกคนที่ได้ยินถึงกับสะดุ้งตกใจ หลังจากที่พวกเขาได้เห็นที่มาของเสียงที่ดังขึ้นมา

มันไม่ใช่ยานบินของดาร์คเอลฟ์ แต่เป็นชุดเกราะเหล็กที่กําลังบินอยู่บนท้องฟ้า

ไอรอนแมน!

“เฮ้! พวกเราจะไม่รอซู่เจินและคนอื่น ๆ ก่อนหรอคุณสตาร์ค ?” สไปเดอร์แมนหันไปพูดกับโทนี่

“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องเล็ก ๆ แบบนี้แค่พวกเราก็พอแล้ว ซึ่งฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทําเขาถึงได้เปิดตัวมายิ่งใหญ่ขนาดนั้น แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็อยากรู้เหมือนกันเมื่อฉันจัดการเรื่องพวกนี้เสร็จเรียบร้อยก่อนที่เขาจะมาเขา

ตอนที่ 172 เจสสิก้า โจนส์

มีคนยืนอยู่ด้านหน้าของนาตาชาและบริ้งค์อยู่ประมาณเจ็ดถึงแปดคน ซึ่งพวกเธอกําลังบันทึกชื่อและความสามารถพิเศษของพวกเขาอยู่ และเมื่อพวกเขาสังเกตเห็นซู่เจินที่ค่อย ๆ ร่อนลงมาจากบนท้องฟ้า พวกเขาก็หันหน้าไปมองอย่างสงสัยว่าคนที่กําลังร่อนลงมาจากบนท้องฟ้าคนนี้เป็นใครกันแน่ ?

“เขานั่นเอง … เมื่อไม่นานมานี้เขาเพิ่งจะฆ่าด็อกเตอร์อ็อกโตปุสมาใช่ไหม ?”

ในขณะเดียวกันคนที่ดูเหมือนว่าจะรู้จักซู่เจินก็พูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจว่า “เขาก็มาเข้าร่วมกับพันธมิตรสงครามด้วยอย่างงั้นหรอ ? แต่ดูเหมือนว่ามันจะมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง เพราะว่าชุดของเขาดูเหมือนกับชุดของสมาชิกของพันธมิตรสงครามเป็นอย่างมาก …”

“นายมันบ้าหรือปัญญาอ่อนกันแน่! เขาก็คือซู่เจิน ผู้ก่อตั้งของพันธมิตรสงคราม!” ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดตอบขึ้นมาเห็นได้ชัดว่าเธอรู้สถานะที่แท้จริงของซู่เจิน

“เธอพูดว่าอะไรนะ เขาเป็นผู้ก่อตั้งของพันธมิตรสงคราม ?”

คนที่อยู่บริเวณโดยรอบถึงกับประหลาดเมื่อได้ยินเกี่ยวกับข้อเท็จจริงนี้

“ผู้หญิงคนนั้นพูดถูกฉันชื่อซู่เจิน และฉันก็เป็นผู้ที่ก่อตั้งพันธมิตรสงครามขึ้นมา ซึ่งผมรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมากสําหรับความกล้าหาญของคุณที่กล้าพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะแท้จริงแล้วคุณสามารถเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับก็ได้ ซึ่งผมก็อยากจะบอกให้ทุกคนได้รู้เอาไว้ว่าสิ่งที่เธอคนนี้ทํามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะว่าในตอนนี้ อาจจะมีบางคนในตอนนี้ที่กําลังหวาดกลัวกังวล หรือแม้กระทั่งยังคงมีความรู้สึกไม่เต็มใจอยู่ภายในจิตใจ”

ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับเปิดเผยตัวตนของเขา

แต่เพียงแค่ประโยคง่าย ๆ ของซู่เจินมันก็สามารถทําให้คนที่อยู่บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยความรู้สึกดี ๆ และการยอมรับขึ้นมาในจิตใจของพวกเขา

“อย่างที่พวกคุณได้รู้กันพันธมิตรสงครามของผมเพิ่งจะถูกสร้างขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้ และผมก็ต้องการคนจํานวนสําหรับการต่อสู้กับแผนการร้ายของไฮดร้า และผมก็คิดว่ามันน่าจะมีคนมามากกว่านี้อย่างแน่นอน ดังนั้นผมจึงต้องการให้คุณทําการบันทึกข้อมูลแบบคร่าว ๆ เพื่อประหยัดเวลาและอย่าได้ใช้คําพูดรุนแรงกับพวกเขาล่ะ”

ซู่เจินเดินไปหานาตาชาพร้อมกับเหลือบมองไปยังข้อมูลที่เขียนเอาไว้บนกระดาษ

ชื่อและโค้ดเนมส่วนใหญ่ที่เขียนเอาไว้ในกระดาษซู่เจินไม่ค่อยรู้สึกคุ้นเคยสักเท่าไหร่ ยกเว้นอยู่ชื่อหนึ่งที่ซู่เจินรู้สึกสนใจเล็กน้อย

เจสสิก้า โจนส์

ซู่เจินเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน

เธอเป็นคนที่มีความแข็งแกร่งทางด้านกายภาพที่สุดยอดเป็นอย่างมาก และเธอก็สามารถบินขึ้นไปบนฟ้าได้ในระยะทางสั้น ๆ ในขณะเดียวกันเธอก็มีความสามารถในการป้องกันการโจมตีทางกายภาพที่แข็งแกร่งอย่างมหาศาล และเธอก็ยังมีความเชี่ยวชาญในการตรวจจับและทักษะการต่อสู้บางอย่าง อีกทั้งเธอยังทํางานเป็นนัก สืบเอกชนอยู่ที่สํานักงานแห่งหนึ่งโดยความสามารถพิเศษของเธอเกิดขึ้นมาหลังจากที่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ซึ่งอุบัติเหตุในครั้งนั้นเกิดมาจากการที่พ่อของเธอเกิดเสียหลักในขณะที่ขับรถและพุ่งชนเข้ากับรถบรรทุกสารเคมีทดลองของทางกองทัพ ทําให้พ่อ แม่ และพี่ชายของเธอเสียชีวิตในที่เกิดเหตุในทันทีส่วนเธอก็อยู่ในอา การโคม่าเป็นเวลาหลายเดือน และเธอก็ยังเป็นเพื่อนร่วมชั้นของปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ สไปร์เดอร์แมนอีกด้วย!

ซู่เจินมองไปรอบ ๆ และสามารถหาตัวของเธอเจอได้อย่างรวดเร็ว

เธอสูงประมาณ 1.6 เมตร ซึ่งมันก็ไม่ได้สูงและเตี้ยจนเกินไป เธอดูบอบบางและตัวเล็กเป็นอย่างมาก มีผมยาวสีดําประบ่า อายุประมาณ 22 ปี

ซู่เจินเดินเข้าไปหาเธอพร้อมกับพูดขึ้นมา ซึ่งมันก็มีเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่รู้จักตัวตนของเธอเป็นอย่างดี

“คุณรู้จักฉันด้วยอย่างงั้นหรอ ?” เจสสิก้ารู้สึกแปลกใจและตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะเธอไม่คิดว่าซู่เจินจะเรียกชื่อของเธอขึ้นมา

แน่นอนว่าหลังจากที่เจสสิก้าได้รับความสามารถพิเศษมา เธอก็อยากทําอะไรบางอย่าง อย่างเช่นการเป็นซู เปอร์ฮีโร่ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่สามารถที่จะเป็นอย่างที่เธอต้องการได้ มันจึงทําให้เธอในตอนนั้นรู้สึกหงุด หงิดตัวเองเป็นอย่างมาก และเมื่อเธอเห็นข่าวที่ซู่เจินแพร่กระจายออกมาด้านหนึ่งเธอก็รู้สึกกังวล แต่อีกด้าน หนึ่งเธอก็รู้สึกชื่นชมซู่เจินเป็นอย่างมาก

ไม่ว่าจะเป็นการที่เขาฆ่าดร.อ็อกโตปุส หรือช่วยกัปตันอเมริกาออกมาจากหน่วย SHILED ในขณะเดียวกัน ทางด้านของซูเจินก็รู้สึกชื่นชอบเจสสิก้าเป็นอย่างมาก

หรือจะเรียกได้ว่าซู่เจินเป็นแฟนคลับของเจสสิก้าขนานแท์เลยล่ะ

“คุณจะสะดวกไหมถ้าเกิดว่าผมจะชวนคุณไปหาสถานที่เงียบ ๆ คุยกันสักหน่อย” ซู่เจินพยักหน้าขึ้นมาด้วย รอยยิ้มพร้อมกับชี้นิ้วไปด้านข้างเพื่อเชื้อเชิญ

“ได้สิ”

เจสสิก้าพยักหน้าขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับเดินตามซู่เจินออกไปด้านข้าง

“คุณรู้จักฉันได้ยังไง ? เอ่อ… ฉันหมายถึงว่าคุณไม่น่าจะรู้จักฉันได้ไม่ใช่หรอ ?” เจสสิก้าหันไปถามกับซูเจิ นด้วยความสงสัย

“มันไม่สําคัญหรอกว่าผมรู้จักคุณได้อย่างไร เพราะสิ่งที่สําคัญในตอนนี้ก็คือ … คุณพร้อมที่จะเป็นฮีโร่ไหม ? ผมรู้นะว่าเมื่อไม่นานมานี้คุณเพิ่งจะได้รับความสามารถพิเศษมาใช่ไหม ? แต่ถึงอย่างนั้นการที่จะเป็นฮีโร่มันก็ไม่ ได้ง่ายขนาดนั้น!” เห็นได้ชัดว่า เจสสิก้า โจนส์ ในตอนนี้ไม่ใช่คนที่เขาเคยรู้จักมาก่อน

และถ้าดูจากท่าทางของเธอแล้ว ดูเหมือนว่าตอนที่เจสสิก้าได้รับความสามารถพิเศษมาเธอก็มีความคิดที่จะกลายเป็นฮีโร่และไปช่วยเหลือกัปตันอเมริกาให้หลบหนีออกมาจากหน่วย SHILED ? แต่ถึงอย่างนั้นเส้นทาง

ราบรื่นมากนัก เธอจึงได้แต่ยอมแพ้อย่างท้อใจและเลือกที่จะเป็นนักสืบเอกชน ซึ่งแน่นอนว่าเหตุการณ์ทั้งหมดมันยังไม่ได้เกิดขึ้น และจะไม่มีโอกาสได้เกิดขึ้นอีกแล้วอย่างแน่นอน

“ฉันต้องการเป็นฮีโร่ที่ช่วยเหลือผู้อื่น และฉันก็มีความสามารถที่จะทําแบบนั้นอยู่กับตัว ดังนั้นได้โปรดช่วยบอกฉันที่ว่าฉันควรจะทําอย่างไรดี!”เจสสิก้าพูดขึ้นมาเบา ๆ “คุณช่วยสอนวิธีการเป็นฮีโร่ให้กับฉันได้ไหม … อันที่จริงแล้วฉันเป็นแฟนคลับของคุณเลยล่ะ และฉันก็อยากจะเป็นเหมือนคุณให้ได้อีกด้วย”

“คุณเป็นแฟนคลับของผมอย่างงั้นหรอ ?”

ซูเจนรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย เพราะเขาไม่คิดว่าเธอจะกลายเป็นแฟนคลับของเขา ซึ่งแน่นอนว่าเหล่าฮีโร่ที่มีชื่อเสียงมักจะมีคนชื่นชมเป็นจํานวนมาก และกลายเป็นไอดอลของพวกคนเหล่านั้น แต่ถ้ามองได้ความเป็นจริงแล้วชื่อเสียงของซูเจินก็ยังไม่ได้มากมายขนาดนั้นและเขาก็เคยเปิดเผยตัวตนให้คนอื่นเห็นเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง เท่านั้น ไม่คิดไม่ฝันว่าเขาจะมีแฟนคลับ ?

แถมยังเป็นเจสสิก้า โจนส์ ที่เขาเคยเป็นแฟนคลับของเธออีกด้วย ?

“ใช่ ฉันเป็นแฟนคลับของคุณ และถ้าเกิดว่าคุณไม่เชื่อ คุณลองดูนี่สิ… “เจสสิก้ากลัวว่าซู่เจินจะไม่เชื่อว่าเธอเป็นแฟนคลับของเขา เธอจึงเร่งรีบที่จะพิสูจน์ให้กับซู่เจินได้เห็นอย่างรวดเร็ว

ซึ่งวิธีที่เธอเลือกขึ้นมาเพื่อพิสูจน์มันก็ทําให้ซู่เจินรู้สึกอดประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้ เพราะเธอกําลังเปิดเสื้อของขึ้นมาราวกับว่าเธอกําลังจะถอดมันออก

นี่มันสถานการณ์บ้าอะไรกัน ? เธอกําลังถอดเสื้อเพื่อพิสูจน์ว่าเธอเป็นแฟนคลับของเขา ?

มันยังมีผลประโยชน์อะไรอย่างอื่นนอกจากนี้อีกไหม ?

น่าเสียดายที่เจสสิก้าไม่ได้ถอดเสื้อของเธอออก แต่เธอกับเลิกเสื้อของเธอขึ้นมาและโชว์บริเวณหน้าท้องส่วนล่างของเธอให้กับซู่เจินดู

มันมีรอยสัก!

รอยสักที่มีคําว่า สงคราม” สักเอาไว้อยู่

ซึ่งแน่นอนว่าตัวอักษรบนรอยสักของเธอมันเป็นตัวอักษรจีนแบบดั้งเดิม และน้อยคนนักสําหรับชาวต่างชาติที่จะจดจําตัวอักษรจีนพวกนี้ได้ นับประสาอะไรกับตัวอักษรจีนแบบตัวเต็ม และเขาก็ไม่คิดว่าเธอจะสักตัวอักษรพวกนี้เอาไว้บนร่างกายของเธออีกด้วย

“นี่เป็นคําที่ฉันเจอบนอินเตอร์เน็ตและฉันก็สักมันหลังจากที่ฉันได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับคุณ และฉันยังรู้อีกด้วย ว่าคําว่า Zhan ที่แปลว่าสงคราม ยังสอดคล้องกันชื่อของคุณอีกด้วย!” เจสสิก้าอธิบายขึ้นมาอย่างช้า ๆ

“ผมเชื่อแล้วว่าคุณเป็นแฟนคลับของผมจริง ๆ !”

ตอนนี้ซู่เจินเชื่ออย่างแท้จริงแล้วว่าเจสสิก้าคนนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่แฟนคลับของเขาเพียงเท่านั้น แต่เธอยังเป็นแฟนตัวยงของเขาขนานแท้เลยต่างหาก!

“คุณยินดีที่จะสอนเกี่ยวกับการเป็นฮีโร่ให้กับฉันได้ไหม ?” เจสสิก้าจัดเสื้อผ้าของเธอให้เข้าที่ให้เรียบร้อยพร้อมกับหันไปถามกับซู่เจินอย่างคาดหวัง

ตอนที่ 171 ความสับสนของชารอน

ชารอนเพิ่งจะกลับมาจากการทํางานของเธอ ซึ่งงานที่หมายถึงนี่ไม่ใช่งานที่โรงพยาบาล แต่เป็นงานของหน่วย SHIELD และเธอก็เป็นหนึ่งในคนที่รู้เรื่องของกัปตันอเมริกาด้วยเช่นกัน ซึ่งอันที่จริงแล้วก่อนที่กัปตันอเมริกาจะถูกเรียกตัวไปสอบสวน เธอก็ได้ถูกเรียกตัวไปสอบสวนก่อนกัปตันอเมริกาตั้งนานแล้ว เพราะการที่นิคฟิวรี่ หลบหนีมาอยู่ในบ้านของกัปตันอเมริกา และเธอก็มีหน้าที่ในการตรวจสอบเกี่ยวกับกัปตันอเมริกาทุกอย่าง มันจึงทําให้เธอหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกเรียกตัวไปสอบสวนในทันที

ซึ่งเธอก็ได้แต่ตอบไปตามความจริง และไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมไปมากกว่านั้น นอกจากนี้เธอยังถูกเรียกตัวให้กลับไปทํางานที่หน่วย SHIELD อีกด้วย

ซึ่งชารอนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทําไมอยู่ดี ๆ พวกเขาถึงได้ยกเลิกภารกิจเดิมอย่างกะทันหัน และยอมให้เธอกลับไปทํางานที่ SHIELD แต่ถึงอย่างไรก็ตามความสุขของเธอก็อยู่ได้ไม่นานเพราะเมื่อเธอรู้ว่าซูเจินนําคนของเขาบุกไปที่สํานักงานใหญ่ของ SHIELD เพื่อช่วยเหลือกัปตันอเมริกา และเรื่องของโครงการ Insight มันก็ทําให้เธอรู้ได้ในทันทีเลยว่าหน่วย SHIELD ในตอนนี้เต็มไปด้วยคนของไฮดร้าเต็มไปหมด

ทําให้ชารอนในตอนนี้ไม่รู้ว่าเธอควรจะทําอย่างไรดีและยังคงสามารถไว้ใจใครได้อีกบ้างในตอนนี้ ?

เพราะเมื่อก่อนเธอคิดว่าเธอตั้งใจทํางานอย่างหนักเพื่อความยุติธรรม แต่ในตอนนี้เธอกับพบว่าสถานที่ที่เธอดิ้นรนและทํางานอย่างหนักนั้นกลับกลายเป็นสถานที่แห่งความชั่วร้าย

และเมื่อเธอไขกุญแจและเปิดประตูเข้าไปในห้องของเธอ เธอก็ไม่มีอารมณ์ที่จะทําอาหารหรือเปิดไฟภายในห้องของเธอเลยแม้แต่น้อย เพราะในสมองของเธอในตอนนี้กําลังคิดว่าเธอควรที่จะทําอะไรต่อไปดีในอนาคต

หลังจากเธอปิดประตูห้อง เธอก็โยนเสื้อคลุมของเธอลงบนโซฟา ทันใดนั้นชารอนก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นมาจากในครัวราวกับว่ากําลังมีใครบางคนกําลังทําอาหารอยู่ทําให้ชารอนที่กําลังเมออยู่ในตอนแรกถึงกับตื่นตัวขึ้นมาในทันทีพร้อมกับหยิบปืนออกมาถือเอาไว้บนมือของเธอ และค่อย ๆ เดินไปที่ห้องครัวอย่างช้า ๆ

แก๊ง! แก๊ง!

เสียงการทําอาหารดังขึ้นมาจากภายในครัว

และเมื่อชารอนเดินไปถึงหน้าห้องครัว เธอก็เห็นคน ๆ หนึ่งที่กําลังสวมผ้ากันเปื้อนกําลังยืนทําอาหารอยู่ ซึ่งกลิ่นของอาหารมันก็ลอยตลบอบอวลเต็มห้องไปหมดทําให้ชารอนถึงกับกลืนน้ําลายขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

“ซูเจน ทําไมมันถึงกลายเป็นคุณไปได้ล่ะ ?”

เมื่อชารอนเห็นว่าใครที่กําลังยืนอยู่ภายในครัวเธอก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ

ซูเจินหันไปมองทางชารอนที่กําลังถือปืนอยู่พร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “เอ่อ … ผมว่าคุณควรที่จะเอาปืนที่ชี้ผมอยู่ออกไปก่อนที่จะดีกว่านะ เพราะว่าผมก็ไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่ที่มีคนชี้ปืนมาทางผม!”

ชารอนรู้สึกลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนที่เธอจะค่อย ๆ เอาปืนลงและถามขึ้นมาว่า “คุณมาที่บ้านของฉันทําไม ? แล้วคุณทําอาหารเป็นด้วยอย่างงั้นหรอ ? ดูเหมือนว่ามันจะเป็นอาหารจีนสินะ”

“มันก็แค่อาหารที่ทําสามารถทําเองได้อย่างง่าย ๆ แต่ถึงอย่างนั้นรสชาติของมันก็น่าจะดีกว่าร้านอาหารที่คุณเคยกินมาอย่างแน่นอนเอ่อ… ถ้าผมจําไม่ผิดนี้เป็นครั้งแรกที่ผมทําอาหารให้กับคนอื่นกินเป็นครั้งแรก หลังจากที่ผมถูกส่งตัวมาที่โลกใบนี้ และคุณก็ยังเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้กินอาหารฝีมือของผมอีกด้วย!” ซู่เจินพูดขึ้น มาด้วยรอยยิ้ม ซึ่งมันก็ทําให้ชารอนที่ได้ยินดังนั้นถึงกับยิ้มขึ้นมาอย่างมีความสุขและภูมิใจขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก แต่หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ค่อย ๆ สงบลง และเริ่มคิดว่าทําไมซู่เจินถึงได้มาทําอาหารอยู่ในห้องเธอได้ ?

“คุณยังไม่ได้บอกฉันเลยว่าคุณมาทําอะไรที่นี่ ?”

“ผมมาหาคุณ!”

ซูเจินยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยและพูดต่อว่า “ผมรู้ว่าคุณต้องการที่จะรู้เหตุผล แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ช่วยรออีกสักพักหนึ่งได้ไหม และเมื่อผมทําอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ค่อยมานั่งคุยกันระหว่างรับประทานอาหาร”

หลังจากพูดจบขู่เจินก็หันกลับไปทําอาหารของเขาต่อ ซึ่งชารอนก็ไม่ได้ถามอะไรกับซู่เจินอีกต่อไปและยืนดูซู่เจินอยู่อย่างเงียบ ๆ

หลังจากนั้นไม่นานซู่เจินก็ทําอาหารทั้งหมดจนเสร็จเรียบร้อย พร้อมกับจัดโต๊ะและเชิญให้ชารอนนั่งลงบนเก้าอี้อย่างนุ่มนวล

“คุณลองชิมดูสิ … ผมหวังว่ารสชาติของมันคงจะไม่แย่จนเกินไป” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับใช้ตะเกียบคีบอาหารขึ้นมาและยื่นไปที่ปากของชารอนซึ่งชารอนก็รู้สึกลังเลอยู่เล็กน้อยในตอนแรก แต่หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ค่อย ๆ เปิดปากของเธอขึ้นมาและกัดลงไปที่ตะเกียบเบา ๆ

“รสชาติเป็นไง ?”

เมื่อเห็นว่าชารอนยอมกินอาหารที่ทําขึ้นมา ซู่เจินก็ถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้มทันที

“มันอร่อยมาก…รสชาติของมันไม่เหมือนกับที่ฉันเคยกินที่ไหนมาก่อนเลย” ชารอนมองไปที่ซู่เจินด้วย ความแปลกใจ เพราะเธอก็ไม่คิดเหมือนกันว่าทักษะการทําอาหารของซูเจินจะดีมากขนาดนี้ ซึ่งมันไม่ได้สอดคล้องกับความแข็งแกร่งของเขาที่แสดงออกมาเลยแม้แต่น้อย

“ถ้าคุณชอบก็กินเยอะ ๆ เลย”

ซูเจินพยักหน้าขึ้นมาด้วยความพึงพอใจพร้อมกับนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับชารอน

“คุณถามผมสินะว่าผมมาทําอะไรที่บ้านของคุณ จริง ๆ แล้วเรื่องนี้มันง่ายมาก เพราะว่าผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่สามารถมาขอความช่วยเหลือจากคุณโดยไม่มีของตอบแทนได้ ดังนั้นแล้ว ผมจึงคิดว่าผมน่าจะทําอาหารให้คุณทานน่าจะเป็นสิ่งที่ดีซึ่งผมก็จําได้ว่าคุณบอกว่าคุณอยากกินอาหารจีน และถ้าเกิดว่าผมเดาไม่ผิดถ้าวันนี้ผมไม่มาทําอาหารให้คุณกินคุณก็คงจะไม่มีอะไรให้กินแล้วล่ะ”

“ขอความช่วยเหลือจากฉันอย่างงั้นหรอ ? ฉันไม่เห็นรู้เลยว่าฉันจะทําประโยชร์อะไรให้กับคณได้ ?”ชารอนพูดขึ้นมาด้วยความสงสัย

“ใช่ ผมมาขอความช่วยเหลือจากคุณ และนอกจากคุณแล้วมันคงจะไม่มีใครที่สามารถช่วยผมได้อีกแล้วล่ะ…ผมอยากรู้เวลาที่แน่นอนสําหรับการดําเนินโครงการ Insight และข้อมูลเชิงลึกที่เกี่ยวกับโครงการนี้ทั้งหมดโดยละเอียด” ขู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับยืนขึ้น

ชารอนถึงกับตกตะลึงในทันที เดิมที่เธอต้องการบอกกับซูเจนว่าเธอไม่รู้ว่าเขากําลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ แต่เมื่อเธอเห็นการแสดงออกอย่างเด็ดเดี่ยวของซู่เจิน เธอก็รู้สึกว่ามันคงจะน่าอายเกินไปถ้าหากว่าเธอพูดออกไปแบบนั้น

“คุณรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าฉันเป็นใคร ?” ชารอนถามขึ้นมา

“ใช่!” ซู่เจินพยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ “เพราะว่าตอนแรกผมเห็นว่าคุณยังไม่ค่อยจะเชื่อใจผมสักเท่าไหร่ และ คุณก็ไม่ต้องการที่จะเปิดเผยตัวตนของคุณ ผมจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา ยิ่งไปกว่านั้นการพูดคุยกับคุณโดยไม่มี หน้าที่การงานเข้ามาเกี่ยวข้องมันให้ความรู้สึกที่ดีกว่าจริงไหม ?”

“ถึงแม้ว่าฉันจะเป็นเจ้าหน้าที่ของ SHIELD แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่สามารถช่วยเหลือคุณในเรื่องนี้ได้ เพราะว่าฉันไม่สามารถรับผิดชอบต่อสิ่งที่สําคัญแบบนี้ได้หลังจากที่ฉันเพิ่งจะได้กลับมาทํางานที่ SHILED เมื่อไม่นานมานี้” ชารอนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะว่าตําแหน่งที่เธอได้รับหลังจากกลับไปทํางานที่หน่วย SHIELD ก็คือ คนควบคุมศูนย์ปฏิบัติการทั้งหมด ซึ่งแน่นอนว่ามันได้รวมถึงการควบคุมเรือบรรทุกเครื่องบินด้วยเช่นกัน…

“ผมรู้ว่าคุณรู้ตัวเองดีว่าคุณสามารถช่วยเหลือผมได้หรือเปล่า และผมก็ไม่ได้หวังว่าคุณจะตอบตกลงผมในทันที แต่ถึงอย่างไรก็ตามถ้าเกิดว่าโครงการ Insight เริ่มปฏิบัติการเมื่อไหร่มันจะต้องมีผู้บริสุทธิ์นับล้านคนถูก ฆ่าตายอย่างแน่นอน นี่คือเบอร์โทรศัพท์ของผม และผมก็หวังว่าผมจะได้รับสายโทรศัพท์จากคุณก่อนที่จะเกิด เหตุโศกนาฏกรรมขึ้นนะ” ซู่เจินทิ้งเบอร์ของเขาเอาไว้บนโต๊ะอาหารและหันเดินจากไป

เมื่อชารอนรู้สึกตัว ซู่เจินก็ได้หายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเธอก็ไม่คิดว่าซูเจินจะจากไปแบบนี้เช่นกัน

มาทําอาหารให้กับเธอ พูดกับเธอไม่กี่ประโยคทิ้งเบอร์ของเขาเอาไว้ และเดินจากไป

นี่เขาไม่กลัวว่าฉันจะไม่โทรกลับไปหาเขาบ้างอย่างงั้นหรอ ?

จู่ๆ ชารอนก็รู้สึกว่าเธอไม่เข้าใจในตัวของซูเจินเลยสักนิด ในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกเหมือนกับว่าเธอ…สูญเสียอะไรบางอย่างไป

ในขณะเดียวกันทางด้านของซู่เจิน หลังจากเขาออกมาจากบ้านของชารอน เขาก็รู้สึกอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก เพราะเขาไม่ได้กังวลเลยสักนิดว่าชารอนจะปฏิเสธที่จะช่วยเหลือเขา เพราะถึงยังไงแล้วเธอก็สามารถมองเห็นความจริงเกี่ยวกับหน่วย SHIELD ในตอนนี้ได้เป็นอย่างดี และซูเจินก็เชื่อว่าเธอจะต้องเลือกในสิ่งที่ถูกต้อง ได้อย่างแน่นอน

หลังจากนั้นซูเจนก็บินกลับไปที่ฐานทันที

เมื่อเขาบินมาถึงบริเวณชายฝั่งตะวันตก ซู่เจินก็พบว่าตอนนี้มีผู้คนจํานวนมากมายอยู่ที่ฐานบนเกาะ ไม่ว่าจะเป็น บริ้งค์ นาตาชาและคนอื่น ๆ กําลังตรวจสอบหรือสอบสวนอะไรบางอยู่ และดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้มันน่าจะเกิดขึ้นหลังจากที่เขาเผยแพร่ข่าวออกไป ?

ตอนที่ 170 ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

ณ ฐานพันธมิตรสงคราม

สตีฟมองไปบริเวณรอบ ๆ ด้วยความประหลาดใจ เพราะเขาไม่คิดว่าฐานของพันธมิตรสงครามมันจะงดงาม มากขนาดนี้ และฐานแห่งนี้มันยังใหญ่กว่าสํานักงานใหญ่ของ SHIELD อีกด้วย บวกกับสภาพจิตใจของคนที่อาศัยอยู่ที่นี่มันเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาที่สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน

ความมีชีวิตชีวาแบบนี้เป็นสิ่งที่ SHIELD ไม่มีอย่างแน่นอน

“โควสัน ? นี่คุณเข้าร่วมกับพันธมิตรสงครามแล้วอย่างงั้นหรอ ?”

เมื่อสตีฟเห็นกว่าโควสันก็อยู่ที่นี่เช่นกัน มันก็เลยทําให้เขาอดถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจไม่ได้ และถึงแม้ว่าโควสันจะสวมสูทเอาไว้ด้านนอก แต่เสื้อด้านในของเขานั้นมีตราสัญลักษณ์ของพันธมิตรสงครามติดเอาไว้อยู่อย่างชัดเจน

โควสันพยักหน้าและพูดขึ้นมาว่า “ซู่เจินเป็นคนที่ช่วยฉันและสมาชิกในทีมของฉันเอาไว้ทั้งหมด และบวกกับการที่สถานการณ์ภายใน SHIELD ในตอนนี้ก็ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ และฉันก็ไม่เหมาะที่จะทํางานคนเดียว ดังนั้นแล้วการที่เข้าร่วมกับพันธมิตรสงครามก็ถือได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดแล้วในตอนนี้ อย่างน้อยฉันก็ยังสามารถทําตัวให้มีประโยชน์ได้ถ้าเกิดว่าฉันอยู่ที่นี่”

“มีบางสิ่งบางอย่างที่มีประโยชน์อย่างมหาศาลกําลังรอให้คุณไปจัดการอยู่นะโควสัน ซึ่งเจ้าสิ่งนี้มันสามารถช่วยชีวิตผู้คนได้อย่างน้อยหนึ่งแสนคนและมากสุดอยู่ที่หนึ่งล้านคน” ซู่เจินหันไปพูดกับโควสัน

โควสันมองไปที่ซู่เจินทันที ส่วนทางด้านของสตีฟนั้นก็มีความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาเล็กน้อย เพราะเขารู้ว่าซู่เจินจะไม่ทําอะไรโดยไม่มีเหตุผลอย่างแน่นอน และอะไรที่จะส่งผลกระทบต่อผู้คนนับล้านคนได้กัน ?

“SHIELD มีเรือบรรทุกเครื่องบินอยู่ทั้งหมด 3 ลํา โดยเรือบรรทุกเครื่องบินทั้ง 3 ลํานี้ได้ถูกติดตั้งระบบปฏิบัติการที่เรียกว่า Insight Plan ซึ่งมันมีความสามารถในการตรวจหาคนที่มีความสามารถพิเศษได้อย่างแม่นยํา … และตราบใดที่พวกเขาปล่อยให้เรือบรรทุกเครื่องบินทั้ง 3 ลํานี้บินขึ้นไปบนท้องฟ้าได้เมื่อไหร่ มันก็จะทําให้ผู้คนนับล้านจะต้องตายทันที! ” ซู่เจินพูดขึ้นมาอย่างช้า ๆ

ในขณะเดียวกันเมื่อโควสันและสตีฟได้ยินคําพูดของซู่เจินพวกเขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรง และโควสันก็รีบหันไปถามกับซู่เจินอย่างเร่งรีบว่า “ทําไมฉันถึงไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับแผนการนี้มาก่อนเลย แล้วทําไมพวกเขาจะต้องทําแบบนนั้นด้วยล่ะ ?”

“เพื่อจัดการกับปัญหาที่สําคัญให้หมดไปยังไงล่ะ หลังจากนั้นไฮดร้าก็จะเริ่มทําการยึดครองโลกอย่างแท้จริง ซึ่งการที่ไฮดร้าจะยึดครองโลกมันก็จะต้องมีคนที่มีความสามารถพิเศษ หรือเหล่าฮีโร่ออกมาหยุดเขาอย่างแน่นอน ดังนั้นการใช้ทรัพยากรและเงินของ SHILED ในการมาจัดการกับเหล่าฮีโร่และคนที่มีความสามารถพิเศษมันก็ช่วยประหยัดงบประมาณและทรัพยากรของไฮดร้าไปได้มากเลยทีเดียว และอย่างที่รู้ ๆ กันตอนนี้ภาย ใน SHIELD ก็ได้ถูกคนของไฮดร้ายึดครองไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และผมก็เชื่อว่าอีกไม่นานพวกเขาจะต้องดําเนินการตามแผนนี้อย่างแน่นอน และถึงแม้ว่าคนของพวกเราจะได้รู้ข้อมูลอันนี้ก่อน แต่มันก็ยังไม่ได้รวมถึงผู้คนส่วนใหญ่ที่ไม่มีทางรู้เลยว่าความตายกําลังจะมาเยือนพวกเขา”

“พวกเราจะต้องหยุดพวกเขาให้ได้!” สตีฟพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจัง

ซ่เงินพยักหน้าและพูดว่า “แน่นอน! แต่ว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างที่คุณคิดหรอกนะ เพราะว่าตอนนี้ไฮดร้าได้เข้าร่วมกับกองกําลังของแมกนีโตแล้ว ทําให้มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่พวกเราจะทําลายเรือบรรทุกเครื่องบินได้ ดังนั้นโควสันคุณจะต้องรีบไปกระจายข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด เพราะยิ่งเรามีผู้ช่วยมากเท่าไหร่ โอกาสในการทําสําเร็จมันก็มากขึ้นเท่านั้น และคุณจะต้องพึงระลึกเอาไว้เสมอด้วยว่าตราบใดที่เรือบรรทุกเครื่องบินหนึ่งใน สามลํานี้บินขึ้นเหนือน่านฟ้าเมื่อไหร่อย่างน้อยมันก็จะต้องมีคนตายนับแสนคนอย่างแน่นอน!”

“ดังนั้นการทําลายเรือบรรทุกเครื่องบินในครั้งนี้มันก็คือภารกิจแรกของพันธมิตรสงครางอย่างแท้จริง!”

“ฉันก็อยากจะมีส่วนร่วมในภารกิจครั้งนี้ด้วยเหมือนกัน!”

ทันใดนั้นสกายก็เดินมาด้านข้างของซู่เจินโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียง พร้อมกับพูดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าเธอได้ยินเรื่องราวทั้งหมดมาเรียบร้อยแล้ว

ซู่เจินมองไปที่สกายและพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้อยู่แล้ว ดังนั้นผมจะต้องให้คุณช่วยอย่างแน่นอน”

“งั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ!”

สกายพยักหน้าขึ้นมาอย่างมีความสุข เพราะในที่สุดเธอก็สามารถช่วยเหลือซู่เจินได้สักที

หลังจากนั้นไม่นานข้อมูลก็ถูกแพร่กระจายไปในสื่อต่าง ๆ ทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นข่าวหรือสื่อวิดีโอ ซึ่งมันก็สามารถบอกได้เลยว่าฝีมือของสกายนั้นเก่งกาจขนาดไหน

ในขณะเดียวกันเมื่อผู้คนทั่วโลกรู้ข่าวพวกเขาก็ตกอยู่ในความตกตะลึงทันที และไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือคนที่มีความสามารถพิเศษ ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาเมื่อได้เห็นข่าวนี้มันก็คือกําลังจะมีเรื่องอะไรบางอย่างที่ร้ายแรงกําลังจะเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ และถึงแม้ว่าจะมีคนบางกลุ่มที่คิดว่าข่าวนี้เป็นข่าวปลอม แต่หลังจากที่พวกเขาได้อ่านชื่อที่อยู่ด้านล่าง พวกเขาก็ยอมเชื่อได้ในทันที เพราะว่าชื่อนี้ก็คือ “พันธมิตรสงคราม”

เพราะถึงอย่างไรท้ายที่สุดแล้วชื่อของ “พันธมิตรสงคราม” ก็เพิ่งจะช่วยเหลือกัปตันอเมริกาหลบหนีออกมาจาก SHIELD ได้อย่างง่ายดาย ทําให้เกิดคําถามขึ้นมาว่าทําไม SHIELD ถึงต้องการตัวของกัปตันอเมริกา และทําไมพันธมิตรสงครามถึงได้ไปช่วยเหลือกัปตันอเมริกา ?

ซึ่งชื่อของกัปตันอเมริกาก็ถือได้ว่าเป็นเครื่องมือชั้นดีในการชักจูงผู้คนได้อย่างง่ายดาย เพราะว่าคนส่วนใหญ่ยังคงนับถือในตัวของกัปตันอเมริกาเป็นอย่างมาก ดังนั้นถึงแม้ว่าในครั้งนี้ชื่อที่ปรากฏจะเป็น “พันธมิตรสงคราม” แต่ก็ยังได้รับความน่าเชื่อถือจากคนส่วนใหญ่เป็นจํานวนมากอยู่ดี

และนี่มันก็คือสิ่งที่ซ่เงินต้องการ!

พันธมิตรสงคราม ถูกก่อตั้งขึ้นมาอย่างกะทันหัน และมันก็ไม่ง่ายเลยที่จะสร้างสถานะ ชื่อเสียง และความไว้วางใจจากประชาชนคนธรรมดาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งมันก็แน่นอนว่าถ้าหากพวกเขาค่อย ๆ เริ่มจับอาชญากรไปเรื่อย ๆ สักวันหนึ่งมันอาจจะประสบความสําเร็จในอนาคตอย่างแน่นอน

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ช้าเกินไป …

และถ้าเกิดว่าเขาเปลี่ยนมาใช้อิทธิพลของกัปตันอเมริกาในการเพิ่มชื่อเสียงให้กับ พันธมิตรสงคราม เขาก็จะสามารถได้รับความไว้วางใจจากทุกคนในอย่างรวดเร็ว โดยประหยัดเวลาไปอย่างน้อย 3 – 5 ปี ซึ่งมันคุ้มค่าเป็น อย่างมาก และเขาก็ไม่สนด้วยว่ากัปตันอเมริกาจะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร ? เพราะถึงอย่างไรแล้วการที่ซู่เจินไปช่วยกัปตันอเมริกามามันก็จะต้องมีสิ่งตอบแทนให้กับเขาด้วยเช่นกัน

หลังจากที่ข่าวแรกถูกแพร่กระจายออกไป ซู่เจินก็ขอให้สกายช่วยเผยแพร่ข่าวอื่นต่อทันที กล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็คือการประการศักดาของพันธมิตรสงคราม และเฟ้นหาคนที่มีความคิดเดียวกันมาช่วยกันทําภารกิจในครั้งนี้ เพื่อที่จะทําให้มันมีโอกาสในการประสบความสําเร็จมากยิ่งขึ้น

ในขณะเดียวกันทางด้านของนาตาชาก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย เพราะเธอคิดว่านี่มันไม่เป็นการโอ้อวดมากเกินไปอย่างงั้นหรอ ? แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเกิดว่ามีศัตรูแอบลักลอบเข้ามาจากคนจํานวนมากที่มาช่วยกันทําภารกิจในครั้งนี้ ? แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นคนดีหรือคนชั่ว ? แต่ถึงอย่างนั้นซู่เจินก็แค่ยิ้มออกมาและบอกว่า เขาแน่ใจเกี่ยวกับมันเป็นอย่างมาก!

แน่นอนว่ามันคงจะเป็นเรื่องยากที่จะแยกแยะระหว่างคนดีและคนชั่วสําหรับคนอื่น แต่สําหรับซู่เจินแล้วเรื่องนี้มันง่ายดายเป็นอย่างมาก

และเมื่อพูดถึงความสามารถและชื่อเสียงของซู่เจิน พวกเขาก็สามารถรู้ได้ในทันทีเลยว่าใครคนไหนคือซู่เจิน

และถ้าหากว่าคุณไม่รู้จักชื่อของซู่เจิน มันก็สามารถบอกได้เลยว่าคน ๆ นั้นเป็นเพียงแค่ตัวละครตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่ไม่สามารถทําอะไรกับซู่เจินได้เลยแม้แต่น้อย

ซึ่งสิ่งที่สําคัญที่สุดก็คือด้วยวิธีนี้ถึงแม้ว่าพันธมิตรสงครามจะยืนอยู่บนยอดของกระแสลมและคลื่นทะเล แต่เมื่อเวลาผ่านไปพันธมิตรสงครามก็จะกลายเป็นหนึ่งในองค์กรที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกได้อย่างรวดเร็ว แล สิ่งที่สําคัญรองลงมาก็คือการรวบรวมคนจํานวนมากในครั้งนี้มันก็อาจจะเปิดโอกาสในการหาคนที่มีความสามารถที่น่าสนใจมาเข้าร่วมกับพันธมิตรสงครามได้อีกด้วย

มองยังไงมันก็ได้ผลดีมากกว่าผลเสียอย่างแน่นอน!

หลังจากข่าวนี้แพร่กระจายไปได้ไม่นานไม่เพียงแต่คนที่มีความสามารถพิเศษอยู่กับตัวแต่พวกเขากลับหลบซ่อนอยู่ในฝูงชน SHIELD และ ไฮดร้า ก็ได้รับรู้เกี่ยวกับข่าวนี้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นมันจึงไม่มีอะไรที่สามารถรับประกันได้ว่าพวกเขาจะเริ่มแผนการ Insight Project เมื่อไหร่ ทําให้พวกเขาจะต้องรีบชิงลงมือก่อนให้เร็วที่สุด

โดยซูเจนให้บริ้งค์ นาตาชา และคนอื่น ๆ จัดการเกี่ยวกับสถานการณ์ต่าง ๆ ภายในฐานพันธมิตรสงครามและรับผิดชอบในการรับคนคัดกรอง และกระจายหน้าที่อย่างเป็นระบบ พร้อมกับเฟ้นหาบุคคลที่เหมาะสมจะเข้าร่วมกับพันธมิตรสงครามเอาไว้ด้วย และเมื่อซู่เจินสั่งอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ออกไปจากฐานทันทีเพื่อออกไปตามหาคนที่มีความสามารถพิเศษบางคนก่อน

และด้วยความช่วยเหลือจากบุคคลนี้ซู่เจินก็สามารถจัดการกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น

ตอนที่ 169 เพิ่มชื่อเสียงให้กับพันธมิตรสงคราม

ไกลออกไป ตัวของสะพานก็ค่อย ๆ ปิดตัวลงอย่างช้า ๆ พร้อมกับมีเครื่องบินรบบินอยู่เหนือน่านฟ้า โดยอาวุธของตัวเครื่องบินรบก็กําลังเล็งมาที่สตีฟและคนอื่น ๆ อยู่!

ส่วนด้านหลังก็เต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่จํานวนมากที่กําลังล้อมวงเข้ามาเรื่อย ๆ

“พวกเราถูกล้อมแล้ว”

สตีฟพูดขึ้นมาด้วยน้ําเสียงจริงจัง

“ถูกล้อม ? ทําไมฉันถึงมองไม่เห็นเลยว่าพวกเรากําลังถูกล้อมอยู่” บริ้งค์มองไปรอบ ๆ พร้อมกับพูดขึ้นมาเบา ๆ

“เลิกขัดขืนซะ ไม่งั้นพวกเราจะเปิดฉากยิง!”

มีเสียงพูดเตือนขึ้นมาจากทางเครื่องบิน ทําให้สตีฟที่ได้ยินเช่นนั้นเขาก็หยิบโล่ขึ้นมาและเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ทันที แต่ทันใดนั้นนาตาชาก็ห้ามสตีฟเอาไว้ ทําให้สตีฟได้แต่มองไปที่นาตาชาด้วยความมึนงง และเมื่อนาตาชาเห็นสายตาของสตีฟเธอก็ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับส่ายหัวแล้วพูดว่า “สตีฟ นี่เป็นภารกิจของพวกเรา!”

“แต่…”สตีฟขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไรแล้วภายใต้สถานการณ์แบบนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะฝ่าวงล้อมพวกนี้ออกไปได้ และที่นี่ก็ยังเป็นศูนย์ใหญ่ของ SHIELD อีกด้วย ดังนั้นมันจึงไม่เสี่ยงไปหน่อยหรอที่จะไปต่อสู้กับคนพวกนี้โดยอยู่ในฐานของพวกเขา ?

“คุณหรือฉันดี ?” นาตาชาหันไปถามกับบริ้งค์

“เฮ! ฉันก็มีตัวตนอยู่นะ” เฉินฮ่าวหรานตะโกนขึ้นมาอย่างอารมณ์เสียเมื่อเห็นว่านาตาชาและบริ้งค์ได้ลืมเขาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ฉันจะให้คุณคอยจัดการพวกที่เหลือให้ไง” นาตาชาหันไปพูดกับเฉินฮ่าวหรานเล็กน้อย หลังจากนั้นเธอก็หันไปมองที่บริ้งค์

“คุณ… โอเคได้” นาตาชายิ้มขึ้นมาเล็กน้อยและไม่ได้พูดอะไรต่อ หลังจากนั้นเธอก็ออกตัววิ่งไปที่เครื่องบินรบของ SHIELD อย่างรวดเร็ว

ในขณะเดียวกันเมื่อนักบินเห็นว่านาตาชาวิ่งออกมา พวกเขาก็รู้ได้ในทันทีเลยว่านาตาชาและพรรคพวกของเธอไม่ได้เห็นด้วยกับข้อเสนอที่ให้ไป ทําให้นักบินเริ่มเปิดฉากยิงไปที่นาตาชาทันที

ดาดาดาดาดาดาดาดา…

เสียงปืนจากเครื่องบินรบมันทําให้คนที่อยู่รอบ ๆ ถึงกับรู้สึกปวดหูขึ้นมาทันที

และแน่นอนว่านาตาชาไม่ได้มีความตั้งใจที่จะหลบกระสุนพวกนี้เลยแม้แต่น้อย ทันใดนั้นมันก็มีสนามพลังจิตปรากฎขึ้นมาปกคลุมร่างกายของนาตาชาเอาไว้ ทําให้กระสุนที่กําลังพุ่งเข้ามาหานาตาชาถูกเบี่ยงเบนออกไปทางด้านข้าง และไม่ต้องพูดถึงว่านาตาชาจะได้รับบาดเจ็บอะไร เพราะว่าขนาดสนามพลังจิตของเธอลูกกระสุนพวกนี้ยังไม่สามารถทําลายมันได้เลย

“ความรู้สึกนี้มันยอดเยี่ยมจริง ๆ !”

มุมปากของนาตาชายกขึ้นมาเล็กน้อย ถึงแม้ว่าเธอจะไม่มีพลังจิตจริง ๆ เธอก็สามารถหาวิธีจัดการกับกระสุนพวกนี้ได้อย่างง่ายดาย

ไม่ว่ากระสุนมันจะมากแค่ไหนก็ตาม!

ในชั่วพริบตานาตาชาก็วิ่งมาข้างใต้เครื่องบินอย่างรวดเร็ว พร้อมกับยิงปืนสลิงไปที่เครื่องบินทําให้ร่างกายของเธอสามารถพุ่งขึ้นไปด้านบนของเครื่องบินได้อย่างง่ายดาย หลังจากนั้นเธอก็หยิบปืนคู่ออกมาและยิงไปที่ใบพัดของเครื่องบินอย่างเมามัน

ไม่นานหลังจากนั้นใบพัดของเครื่องบินทางด้านซ้ายก็ติดไฟและระเบิดในที่สุด พร้อมกับการที่เครื่องบินเริ่มเสียการทรงตัวทันที

หลังจากนั้นนาตาชาก็โดดลงมาจากเครื่องบินอย่างสง่างาม และเมื่อขาของเธอลงถึงพื้น ทันใดนั้นเครื่องบินก็ระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ

“น่ากลัว!”

ทันใดนั้นก็มีเสียงของซู่เจินดังขึ้นมา และเมื่อนาตาชาหันกลับไปมองเธอก็พบว่าซูเจินกําลังยืนอยู่ข้างหลังของเธอ ทําให้เธอพูดขึ้นมาว่า “แน่นอนว่าสําหรับคุณเรื่องพวกนี้มันคงจะง่ายเหมือนกับปอกกล้วยเข้าปาก แต่สําหรับฉันแล้วมันเป็นสิ่งที่ยากลําบากเป็นอย่างมาก”

“ขอบคุณสําหรับคําชม ? นี่ก็คือพลังจิตของคุณสินะ … ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้คุณดูเท่มาก ๆ เลยนะ” ซู๋เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

นี่คือเสน่ห์เฉพาะตัวของเธอ!

และเธอก็เป็นเพียงแค่ผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่งเท่านั้น เธอก็คือนาตาชา โรมานอฟ ไม่ใช่แม่ม่ายดํา!

“อืม … ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” นาตาชายืนเขย่งปลายเท้าของเธอและจูบไปที่ปากของซู่เจินเบา ๆ หลังจากนั้นเธอก็เลียปากของเธอและพูดขึ้นมาว่า “ช็อกโกแลตอย่างงั้นหรอ ? ฉันคิดว่าวานิลลาอร่อยกว่าอีกนะ!”

“เอาไว้คราวหน้าจะลองดูละกัน” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

ในขณะเดียวกันทางด้านของบริงค์ สตีฟ และ เฉินฮ่าวหรานก็เดินมาหาซ่เงินอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าด้านหลัง ของพวกเขาจะเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่จํานวนมากมาย แต่การแสดงออกของเฉินฮ่าวหรานก็ทําให้ซูเจนรู้สึกประห ลาดใจจริง ๆ เพราะตอนแรกเฉินฮาวหรานสามารถจุดไฟได้เพียงแค่ประกายไฟดวงเล็ก ๆ เท่านั้น แต่ในตอนนี้ เขากลับสามารถจุดไฟขึ้นมาได้ใหญ่โตกว่าเมื่อก่อนเป็นอย่างมาก

ทําให้เจ้าหน้าที่ของ SHIELD ในตอนนี้เริ่มมีอาการสับสนเล็กน้อย เพราะพวกเขาได้สูญเสียเจ้าหน้าที่ไปจํา นวนมากพร้อมกับเครื่องบินรบ และนี่ก็ยังไม่ได้ร่วมถึงคนที่ได้รับบาดเจ็บอีกจํานวนมาก

ทําให้พวกเขาไม่รู้ว่าจะต้องทําอะไรต่อไปดี และพวกเขาก็ไม่คิดว่าซูเจินจะมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย เพ ราะด้วยความแข็งแกร่งของซู่เจินเพียงคนเดียวก็สามารถทําลายพวกเขาได้อย่างง่ายดาย ซึ่งมันยังไม่ได้รวมถึง สมาชิกของพันธมิตรสงครามที่เหลืออีกสามคน ได้แก่ บริ้งค์ เฉินฮ่าวหราน และนาตาชา

ด้วยพวกเขาทั้งสามคนก็สามารถช่วยเหลือกัปตันอเมริกาได้อย่างง่ายดายแล้ว โดยไม่ต้องถึงมือของซู่เจิน เลยด้วยซ้ํา

ไม่ … นี่มันไม่ใช่การช่วยชีวิตแล้ว แต่เป็นการลักพาตัวไป

แน่นอนว่าพันธมิตรสงครามนั้นไม่ได้มีเพียงแค่สามคนอย่างแน่นอน … ซึ่งใคร ๆ ก็สามารถนึกภาพออกได้ ว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงของพันธมิตรสงครามนั้นมันน่ากลัวขนาดไหน ?

ดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องเริ่มให้ความสําคัญเกี่ยวกับพันธมิตรสงครามให้มากขึ้นในอนาคต

“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่กล้าหยุดเรานะ พวกเราไปกันเลยดีไหม ?” นาตาชาหันไปถามกับซู่เจิน

ซู่เจินจ้องมองลึกลงไปที่ทะเลสาบด้านหน้าของเขาเล็กน้อย เพราะว่าเขารู้ว่าข้างใต้ทะเลสาบนั้นมีเรือบรร ทุกเครื่องบินอยู่ 3 ลํา และถ้าถามว่าเขาอยากทําลายมันไหม ? แน่นอนว่าลืมมันไปเถอะ เพราะว่าเรือบรรทุกเครื่ องบินพวกนี้ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากมายนัก และเขาก็สามารถทําลายมันในภายหลังก็ได้ โดยให้พวกเขาใน ตอนนี้ได้รู้สึกว่าพวกเขาได้ถูกซ่เงินช่วยเอาไว้ พวกเขาจะได้จดจําชื่อของพันธมิตรสงครามและสามารถเพิ่ม อิทธิพลของพันธมิตรสงครามได้อีกด้วย

นอกจากนี้เขายังสามารถใช้โอกาสนี้ในการเพิ่มพูนประสบการณ์การต่อสู้ให้กับสมาชิกของพันธมิตรสงคราม ได้อีกต่อหนึ่ง และยังสามารถปลูกฝังความรู้สึกในด้านต่าง ๆ ให้กับพวกเขาได้อีกด้วย เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียว ได้นกสองตัว

“ไปกันเถอะ!”

ซูเจนพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม ในขณะเดียวกันบริ้งค์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ซู่เจินก็เปิดประตูพอร์ทัลขึ้นมาตรงหน้าของ เธอทันที

และเมื่อพวกเขาเดินเข้าไปด้านในของประตูพอร์ทัลจนหมดแล้ว ประตูพอร์ทัลก็หายไปอย่างไร้ร่องลอย โดยมีฉากหลังเป็นเจ้าหน้าที่ของ SHIELD ที่นอนอยู่บนพื้นเต็มไปหมด บวกกับเศษซากของเครื่องบินรบและประตูเหล็กขนาดใหญ่ที่ดูไร้ประโยชน์ตรงทางออก

ซึ่งปัญหาในครั้งนี้ใช้เวลาในการจัดการเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นพวกผู้มีอํานาจก็ได้รับรู้แล้วว่าพันธมิตรสงครามเป็นคนที่ช่วยกัปตันอเมริกาหนีออกไปจากสํานักงานใหญ่ของหน่วย SHIELD โดยได้ทิ้งวีรกรรมที่หน้าจดจําเอาไว้เบื้องหน้าของพวกเขาด้วย

เรียกได้ว่าการทําภารกิจได้ครั้งนี้มันสมบูรณ์แบบเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่จะช่วยกัปตันอเมริกาได้เท่านั้น แต่ยังสามารถใช้พวกหน่วย SHIELD เป็นบันไดในการเพิ่มชื่อเสียงให้กับพันธมิตรสงคราม และนี่ก็ถือได้ว่าเป็นการปรากฏตัวต่อสายตาของสาธารณชนเป็นครั้งแรกอย่างแท้จริง …

ตอนที่ 168 ช่วยเหลือกัปตันอเมริกา

สํานักงานใหญ่ของ S.H.I.E.L.D.

ลิฟต์ค่อย ๆ ลอยขึ้นไปด้านบนอย่างรวดเร็ว และด้วยตัวลิฟต์เป็นกระจกโปร่งใสทําให้สามารถมองเห็นข้างในตัวลิฟต์ได้อย่างชัดเจนจากภายนอก แต่ถึงอย่างไรก็ตามกระจกของตัวลิฟต์อันนี้ก็ถูกสร้างขึ้นมาจากวัสดุพิเศษทําให้กระสุนไม่สามารถทะลุผ่านมันมาได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน

สตีฟค่อย ๆ เดินเข้าไปในลิฟต์พร้อมกับโล่ที่อยู่บนหลังของเขา ซึ่งสีหน้าของเขาในตอนนี้ก็ดูวิตกกังวลเล็กน้อย

หลังจากเข้าไปในลิฟต์ สตีฟก็เดินไปจับราวของลิฟต์เอาไว้และพูดขึ้นมาว่า “บก.ปฏิบัติการ” หลังจากนั้น ระบบควบคุมของตัวลิฟต์ก็พูดยืนยันคําสั่งขึ้นมาพร้อมกับประตูลิฟต์ที่ค่อย ๆ ปิดตัวลงอย่างช้า ๆ แต่ในขณะเดียวกันจู่ ๆ ก็มีคนยื่นมือเข้ามาป้องกันไม่ให้ประตูลิฟต์ปิดเอาไว้พร้อมกับเดินเข้ามาในลิฟต์อย่างรวดเร็วพร้อมกับลูกน้องของเขา ขณะนั้นกัปตันรัมโลว์ก็หันไปกระซิบอะไรบางอย่างกับลูกน้องในทีมของเขา จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ หันไปทางสตีฟและพยักหน้าขึ้นมาพร้อมกับพูดว่า “ไงกัปตัน!”

“รัมโลว์”สตีฟหันกลับมาเพื่อตอบกลับคําทักทายของรัมโลว์เล็กน้อย

หลังจากนั้นประตูลิฟต์ก็ค่อย ๆ ปิดลงอย่างช้า ๆ พร้อมกับค่อย ๆ เลื่อนลงไปด้านล่าง

บรรยากาศภายในลิฟต์เต็มไปด้วยความเงียบสงัดเล็กน้อย รัมโลว์และสมาชิกภายในทีมของกองกําลังพิเศษกําลังยืนเว้นระยะห่างจะสตีฟเล็กน้อย ซึ่งสตีฟในตอนนี้ก็มีอารมณ์ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ พร้อมกับกวาดสายตาไปรอบ ๆ เล็กน้อย ทันใดนั้นคิ้วของสตีฟก็ขมวดขึ้นมาทันที เพราะว่าตอนนี้เขาเห็นว่ามือของทีมกองกําลังพิเศษกําลังวางไว้บริเวณใกล้เคียงกับอาวุธที่อยู่บริเวณต้นขาของพวกเขากันทุกคน

ในขณะเดียวกันตัวลิฟต์ก็ค่อย ๆ หยดลงและมีคนเดินเข้ามาจํานวนมากมายทําให้ตัวของสตีฟค่อย ๆ ถูกบีบมายืนอยู่ตรงกลางของลิฟต์ที่เดียวกับที่รัมโลว์กําลังยืนอยู่

“ฉันเสียใจด้วยนะเรื่องของฟิวรี่ มันเป็นอะไรที่ทําใจลําบากจริง ๆ” รัมโลว์เอียงศีรษะของเขาพร้อมกับพูดขึ้นมาเบา ๆ

“ขอบคุณ!” สตีฟมองดูผู้คนที่อยู่รอบ ๆ พร้อมกับค่อย ๆ ตอบขึ้นมาอย่างเป็นกันเอง ซึ่งสตีฟก็สังเกตเห็นว่า คนที่อยู่ข้าง ๆ เขาดูเหมือนว่ามันจะมีอะไรบางอย่างผิดปกติ เพราะในขณะที่เขากําลังยืนคุยกับคนอื่นอยู่อย่างอารมณ์ดี แต่หน้าผากของเขากับมีเหงื่อออกเล็กน้อยและก็ดูประหม่าเป็นอย่างมาก

หลังจากลิฟต์เลื่อนลงมาได้ประมาณสองชั้น ตัวลิฟต์ก็หยุดลงอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่สามคนเดินเข้ามาด้านในพร้อมกับเหลือบมองไปที่สตีฟเล็กน้อย

แน่นอนว่าเรื่องทั้งหมดนี้ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเพียงแค่เรื่องปกติ แต่สําหรับสตีฟแล้วมันไม่ใช่เรื่องปกติอย่างแน่นอน

ในขณะที่ประตูลิฟต์เกือบที่จะปิดสนิท สตีฟก็มองดูไปรอบ ๆ พร้อมกับพูดขึ้นมาอย่างช้า ๆ ว่า “ก่อนที่จะเริ่มต่อสู้กัน มีใครอยากถอนตัวออกไปจากที่นี่ไหม?”

เมื่อสตีฟพูดจบมันก็ทําให้คนที่อยู่ภายในลิฟต์ถึงกับชะงักเล็กน้อย พร้อมกับเริ่มโจมตีไปที่สตีฟทันที

ชายคนหนึ่งดึงกระบองไฟฟ้าออกมาแล้วโจมตีไปทางสตีฟทันที ซึ่งภายในลิฟต์ในตอนนี้ก็มีคนอยู่ด้านในจํานวนมากมาย ทําให้สถานการณ์ภายในลิฟต์เต็มไปด้วยความวุ่นวายอย่างรวดเร็ว และเป้าหมายของพวกเขาก็คือ สตีฟ โรเจอร์ส เพียงคนเดียว!

ปัง ปัง ปัง!

การต่อสู้เริ่มดเดือดขึ้นเรื่อย ๆ และแน่นอนว่าคนที่แข็งแกร่งอย่างสตีฟถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในพื้นที่แคบ เขาก็ยังสามารถต่อสู้ได้อย่างไม่ยากเย็นสักเท่าไหร่ ทันใดนั้นข้อมือของสตีฟก็ถูกกุญแจมือไฟฟ้าใส่เข้าที่แขนด้านขวา ทําให้ร่างกายของเขาชาเล็กน้อย

ทันใดนั้นรมโลว์ที่กําลังยืนถือกระบองไฟฟ้าอยู่ในมือก็ส่ายหัวขึ้นมาและพูดว่า “ขอโทษด้วยกัปตัน นี่มันไม่ใช่การแก้แค้นส่วนตัว …”

“ทําไมฉันถึงรู้สึกได้ว่านี่มันคือการแก้แค้นส่วนตัว ?”

ทันใดนั้นมันก็มีเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นมา พร้อมกับประตูพอร์ทัลที่ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาเผยให้เห็นร่างของเฉินฮ่าวหรานและนาตาชา ซึ่งนี่ก็เป็นครั้งแรกที่นาตาชาได้สัมผัสเกี่ยวกับความสามารถของบริ้งค์เป็นครั้งแรก มันจึงทําให้เธอรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย พร้อมกับค่อย ๆ เดินไปกอดคอของรัมโลว์เอาไว้ด้วยรอยยิ้ม

“นาตาชา คุณมาทําอะไรที่นี่ ?”

สตีฟรู้สึกงนงงเล็กน้อยกับสถานการณ์ตรงหน้า แน่นอนว่ารัมโลว์ก็เช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่มีอาการลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะโจมตีไปทางนาตาชาอย่างรวดเร็ว ซึ่งนาตาชาก็ไม่ได้ขยับตัวหนีไปไหน ทันใดนั้นกระบอกไฟฟ้าที่กําลังพุ่งเข้ามาโจมตีเธอก็หยุดอยู่ตรงหน้าเธออย่างกะทันหัน และไม่ว่ารัมโลว์จะออกแรงจนเส้นเลือดที่คอของเขาเกือบจะแตก มันก็ยังไม่สามารถโจมตีไปโดนตัวของนาตาชาได้อยู่ดี

ในขณะเดียวกันนั้นจู่ ๆ เฉินฮ่าวหรานก็ยื่นมือของเขาออกมาด้านหน้า พร้อมกับมีลูกไฟปรากฏขึ้นมาบนมือของเขา และค่อย ๆ ผลักมันออกไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว

ตูม!

ร่างกายของรัมโลว์โดนลูกไฟอันนั้นกระแทกเข้ากับร่างกายของเขา ทําให้ร่างกายของเขากระเด็นไปกระแทกกับกระจกของลิฟต์ที่อยู่ด้านข้างอย่างรุนแรง พร้อมกับทรุดตัวลงกับพื้นและหมดสติไป

หลังจากนั้นเฉินฮ่าวหรานก็ก้มลงไปหยิบโล่ขึ้นมาแล้วยื่นให้กับสตีฟ เมื่อสตีฟเห็นเช่นนั้นเขาก็รับโล่มาจากเฉินฮ่าวหราน หลังจากนั้นเขาก็ทําลายกุญแจมือที่อยู่บนมือของเขาทันที หลังจากนั้นเขาก็หันไปถามกับเฉินฮ่าวหรานและนาตาชาด้วยความสงสัยว่า “พวกคุณมาทําอะไรที่นี่ ?”

“บอสให้พวกเรามาช่วยคุณ!” บริ้งค์หันไปตอบกับสตีฟ

“ชุดแบบนี้ … ซู่เจินใช่ไหม?” จู่ๆ สตีฟก็นึกขึ้นมาได้ว่ามันจะไปมีใครนอกจากซ่เงินที่จะมาช่วยเขาได้แบบนี้ “แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ ?”

“พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่หรอก และฉันก็คิดว่าเขากําลังนั่งกินไอศครีมอยู่อย่างสบายใจเลยล่ะ” นาตาชาพูดขี้นมาอย่างช่วยไม่ได้

ในขณะเดียวกันทางด้านของซู่เจินก็กําลังนั่งกินไอศกรีมอยู่อย่างสบายใจบนท้องฟ้าเหนือฐานของหน่วย SHIELD ขึ้นไป แน่นอนว่าภารกิจในครั้งนี้มันง่ายมาก บวกกับนาตาชาที่มีประสบการณ์มากมาย ทําให้ซู่เจินไม่จําเป็นที่จะต้องกังวลเกี่ยวกับภารกิจในครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย

“ฉันรู้สึกอิจฉาเขาจริง ๆ เลย” สตีฟพูดขึ้นมาพร้อมกับยักไหล่เล็กน้อย ทันใดนั้นลิฟต์ก็หยุดอย่างกะทันหัน และประตูลิฟต์ก็ค่อย ๆ เปิดประตูออกมา พร้อมกับกองกําลังทหารติดอาวุธกําลังมุ่งหน้ามาทางลิฟต์จํานวนมากมาย เมื่อสตีฟเห็นอย่างนั้นเขาก็รีบปิดประตูลิฟท์ทันที ทันใดนั้นมันก็มีเสียงพูดขึ้นมาจากลําโพงของลิฟต์

“สตีฟ คุณรีบยอมจํานนได้แล้ว เพราะว่าตอนนี้คุณไม่มีทางให้หนีอีกแล้ว ส่วนนาตาชาคุณก็อย่าเข้าไปยุ่งกับสตีฟเลยจะดีกว่า เพราะว่านี่คือภารกิจของหน่วย SHIELD ของพวกเรา!”

เมื่อได้ยินอย่างนั้นนาตาชาก็เหลือบมองขึ้นไปที่กล้องที่อยู่ข้างบนลิฟต์เล็กน้อยพร้อมกับยิ้มขึ้นมาอย่างสดใส ทันใดนั้นกล้องที่อยู่ข้างบนลิฟต์ก็เหมือนจะถูกอะไรบางอย่างบีบเข้าหากันและระเบิดเป็นเศษเหล็กทันที

หลังจากนั้นนาตาชาก็มองไปที่บริ้งค์

เมื่อบริ้งค์เห็นอย่างนั้นเธอก็พยักหน้าขึ้นมาอย่างจริงจัง พร้อมกับโยนคริสตัลไปด้านหน้าเพื่อเปิดประตูพอร์ทัล

“ไปกันเถอะ!”

นาตาชาหันไปพูดกับสตีฟเล็กน้อย พร้อมกับพาสตีฟเดินเข้าไปในประตูพอร์ทัล

วินาทีต่อมาพวกเขาก็ปรากฏตัวขึ้นบนพื้นดินที่ไหนสักแห่งหนึ่ง

เมื่อเจ้าหน้าที่ของหน่วย SHIELD เห็นเช่นนั้นพวกเขาก็มองไปรอบ ๆ ด้วยความประหลาดใจ ส่วนทางด้านของสตีฟนั้นก็มองขึ้นไปทางด้านของลิฟต์โดยไม่รู้ตัว หลังจากนั้นเขาก็หันหน้าไปมองทางด้านของบริ้งค์ด้วยความประหลาดใจ

“มันจะน่าตึงเกินไปแล้ว!”

บริ้งค์ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย พร้อมกับมองไปรอบ ๆ และพูดขึ้นมาว่า “บอสได้บอกกับฉันเอาไว้ว่าถึงแม้ว่าภารกิจ ในครั้งนี้ของพวกเราจะเป็นการช่วยเหลือสตีฟออกมา แต่ถึงอย่างนั้นนี้ก็เป็นการต่อสู้ครั้งแรกของพันธมิตรสงครามด้วยเช่นกัน ดังนั้นพวกเราจะต้องแสดงพลังของพวกเราให้พวกเขาได้รู้ว่าพันธมิตรสงครามของพวกเรานั้น แข็งแกร่งมากขนาดไหน!”

“เอาล่ะ! พวกเราจะต้องต่อสู้กันอีกแล้วใช่ไหม ? นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันต้องการ!” เฉินฮ่าวหรานพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับมองไปยังเจ้าหน้าที่ที่กําลังวิ่งเข้ามา ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มขึ้นมาอย่างชั่วร้ายหลังจากนั้นเขาก็ค่อย ๆ โน้มตัวลงไปด้านหน้าพร้อมกับเอามือทั้งสองข้างแตะกับพื้นเอาไว้

หลังจากนั้นเขาก็ตะโกนขึ้นมาเบา ๆ ทันใดนั้นมันก็มีเปลวเพลิงปรากฏขึ้นมาบนแขนของเขาและไหลลงไปตามแขนของเขาลงสู่พื้นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับมุ่งหน้าไปยังทางเจ้าที่ที่กําลังวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

ตูม!

หลังจากสิ้นเสียง เจ้าหน้าที่ก็ค่อย ๆ ล้มลงไปกองกับพื้นที่ละคนพร้อมกับมีรอยไหม้สองรอยปรากฏขึ้นมาบนพื้น

“เป็นไงล่ะ!” เฉินฮ่าวหรานตะโกนขึ้นมาอย่างมีชัย พร้อมกับหันไปมองคนอื่น ๆ

“มันกระจอกยิ่งกว่าของบอสซะอีก” บริ้งค์พูดขึ้นมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย ทําให้เฉินฮ่าวหรานที่ได้ยินเช่นนั้นถึงกับไปไม่เป็น

ตอนที่ 167 ฐานที่สร้างเสร็จสมบูรณ์

“ฉันตกลงที่จะเข้าร่วมกับพันธมิตรสงคราม!” โท้ดพูดขึ้นมาอย่างหนักแน่น

“ผมจะให้คุณทําหน้าที่ในการดูแลรักษาความสะอาดและสิ่งแวดล้อมทั้งหมด คุณจะยังยินดีที่จะเข้าร่วมกับพันธมิตรสงครามอยู่ไหม ?” ซู่เจินมองไปที่โทิดพร้อมกับถามขึ้นมา

โท้ดพยักหน้าขึ้นมาเล็กน้อยและพูดว่า “ฉันยินดีที่จะเข้าร่วมกับพันธมิตรสงคราม และไม่ว่าคุณจะให้ฉันทําอะไรฉันก็ยินดี เพราะฉันรู้ดีว่าคุณเป็นคนดี และถึงแม้ว่าคุณจะเคยบอกกับฉันเอาไว้ว่าฉันมันเป็นคนที่ไร้ประโยชน์ แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ไม่เคยที่จะดูถูกฉันเลยสักครั้ง และฉันยังรู้อีกว่าคุณดูคนอื่นด้วยความแข็งแกร่ง และคุณก็เป็นคนที่แข็งแกร่ง ดังนั้นมันจึงทําให้ฉันคิดว่าคุณมองคนอื่นที่ความสามารถซะมากกว่า ไม่ใช่ที่รูปร่างหน้าตา!”

“คุณเป็นคนที่มีนิสัยแบบนี้นี่เอง … เอาล่ะ! ลืมมันไปเถอะ ในเมื่อคุณยินดีที่จะเข้าร่วมกับพวกเรา คุณก็สามารถอยู่ที่นี่ได้ อย่างไรก็ตามคุณก็ไม่ได้อยู่ที่นี่เพียงคนเดียว ดังนั้นคุณก็ควรจะดูแลรักษาความสะอาดและเรื่องสุขอนามัยให้ดี ส่วนวันเริ่มงานเอาเป็นพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”

หลังจากซู่เจินพูดจบเขาก็ส่ายหัวขึ้นมาเบา ๆ และหันหลังเดินออกจากห้องไป

เขาไม่ได้สนใจว่าจะมีคนแบบโท้ดเพิ่มมาอีกกี่คน ส่วนเรื่องของการทําความสะอาด ซู่เจินก็คิดว่าความสา มารถของโท้ดมันก็ค่อนข้างเหมาะสมดี ยิ่งไปกว่านั้นงานนี้มันเหมาะสมกับโทดที่สุดแล้วในตอนนี้ที่เขาจะได้ไม่ ต้องไปต่อสู้กับใครอีกถ้าไม่จําเป็น

พระอาทิตย์ค่อย ๆ ลอยขึ้นมาบนท้องฟ้าอย่างช้า ๆ เป็นสัญลักษณ์ของวันใหม่ที่กําลังจะเริ่มต้นขึ้น

เสียงนกร้องยามเช้าบวกกับลมทะเลอ่อน ๆ ที่พัดไปพัดมา

ในที่สุดฐานของพันธมิตรสงครามก็เสร็จสมบูรณ์อย่างเป็นทางการ

ซู่เจินเดินสํารวจไปรอบฐาน ๆ อย่างช้า ๆ ซึ่งมันก็ใช้เวลาประมาณเกือบสองชั่วโมง และไม่ว่าจะเป็นตัวอาคาร พื้นดินหรือฐานลับชั้นใต้ดินมันก็ทําขึ้นมาได้พอใจซู่เจินเป็นอย่างมากกับผลลัพธ์ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขา และพร้อมที่จะนําไปใช้งานได้ในทันที

“ยินดีด้วย!” เปปเปอร์หันไปพูดกับซู่เจินด้วยรอยยิ้ม

เมื่อซู่เจินได้ยินเช่นนั้นเขาก็หัวเราะขึ้นมาด้วยความคิกคักและพูดขึ้นมาว่า “ในเมื่อตอนนี้ฐานได้สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นคุณก็สามารถพักอยู่ที่นี่ได้แล้ว และผมก็จะหาชุดเกราะเหล็กมาให้กับคุณด้วย เพราะดูเหมือนว่าครั้งที่แล้วผมจะเห็นว่าคุณชอบมันมากเลยสินะ ?”

“หือ ?” เปปเปอร์ถึงกับตกตะลึงเล็กน้อยที่ซู่เจินบอกว่าจะหาชุดเกราะเหล็กให้กับเธอ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ชอบมัน เพราะเธอก็ไม่คิดเหมือนกันว่าซู่เจินจะใส่ใจเธอมากแบบนี้ ทําให้เธอรู้สึกมีความสุขและตื่นเต้นเป็นอย่างมาก!

“แล้วคุณจะไปหามันมาจากที่ไหนอย่างงั้นหรอ ? หรือว่าคุณจะ …” เปปเปอร์ถามขึ้นมาอย่างสงสัย

ซู่เจินส่ายหัวขึ้นมาเล็กน้อยและพูดว่า “มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดอย่างแน่นอน เพราะที่จริงแล้วผมกะว่าจะหาวัสดุมาและประกอบขึ้นมาให้กับคุณด้วยตัวของผมเอง ซึ่งมันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรสําหรับผมมากนัก เพียงแต่ว่าระบบปฏิบัติการภายในของมันค่อนข้างที่จะลําบากเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ได้คิดวิธีแก้ปัญหาเอาไว้แล้ว ทํ ให้ในตอนนี้สิ่งที่คุณจะต้องทําก็คือรอผมอีกสักพักหนึ่ง และผมก็หวังว่าคุณจะชอบมันนะ”

“ถ้ามันเป็นอย่างที่คุณพูดจริง ๆ ฉันก็จะตั้งหน้าตั้งตารอเลยล่ะ” เปปเปอร์พูดขึ้นมาพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อ

“เดี๋ยวผมจะไปแจ้งให้คนอื่น ๆ ย้ายข้าวของมาที่นี่ ซึ่งมันก็น่าจะใช้เวลาอยู่พอควร ดังนั้นคุณก็สามารถเลือกห้องก่อนคนอื่นได้เลย เพราะไม่งั้นเดี๋ยวคนอื่นจะแยกห้องดี ๆ ไปกันหมด” เมื่อซู่เจินพูดกับเปปเปอร์เสร็จเขาก็หันหลังและบินกลับไปที่ยานบินอย่างรวดเร็วพร้อมกับโทรแจ้งสมาชิกคนอื่น ๆ

ส่วนทางด้านของเปปเปอร์ก็หันหน้ากลับมาและเดินไปเลือกห้องตามที่ซู่เจินบอกอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าเธอจะรู้ดีว่าไม่ว่าจะเป็นชุดเกราะเหล็กหรือการที่ให้เธอเลือกห้องนอนก่อนคนอื่นแบบนี้ มันจะต้องมีจุดประสงค์อะไรบางอย่างแอบแฝงอยู่อย่างแน่นอน ซึ่งมันก็คือการที่ซู่เจินอยากให้เธออยู่ต่อที่นี่ต่อ และเธอก็เห็นด้วยกับซู่เจิน

เพราะที่จริงแล้วเธอก็ไม่ได้อยากจากที่นี่ไปเหมือนกัน เพราะว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่เธอรู้สึกได้ถึงความมีอิสระและความห่วงใยจากคนอื่น ๆ

ซูเจินเรียกทุกคนมารวมตัวกันและบอกเรื่องของฐานที่ได้สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วให้กับพวกเขาฟัง ทําให้ทุกคนที่ได้ยินซ์เงินพูดก็อดที่จะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริงค์ที่คอยดูแลการสร้างฐานมาตั้งแต่ต้นจนจบ มันจึงทําให้ความรู้สึกที่เธอรู้สึกได้ในตอนนี้มันแตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง! เดินชมรอบฐานเลือกห้องนอน … เวลาค่อย ๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

“เอาล่ะ หยุดตื่นเต้นกันได้แล้ว”

ซู่เจินปรบมือขึ้นมาเพื่อดึงดูดความสนใจจากพวกเขา

ตอนนี้ที่ฐานของซู่เจินมีคนมากกว่าแต่ก่อนเป็นอย่างมาก เพราะนอกเหนือจากสมาชิกที่ช่วยกันก่อตั้งพันธมิตรสงครามขึ้นมาแล้ว ตอนนี้ยังมีสมาชิกในทีมของโควสันและซิฟที่เมื่อซู่เจินมองไปที่พวกเขา เขาก็อดรู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมาไม่ได้จริง ๆ

“ผมมีอะไรจะพูดอยู่สองอย่าง!”

ซู่เจินกางนิ้วขึ้นมาสองนิ้วและพูดต่อว่า “อย่างแรก โควสัน และพวกคุณทุกคนต้องการที่จะเข้าร่วมกับพันธมิตรสงครามของผมไหม ?”

โควสัน , เมย์ , ฟิตซ์, เจมมา , สกาย

แน่นอนว่าสกายไม่จําที่จะต้องพูดอะไรออกมา เพราะว่าซู่เจินรู้สิ่งที่เธอจะตอบอยู่แล้ว ทําให้ตอนนี้เหลือเพียงแค่ โควสันและคนอื่น ๆ อีกสามคน

“ฉัน…ฉันต้องการเข้าร่วมกับพันธมิตรสงคราม”

เจมมาค่อย ๆ ยกมือขึ้นมาอย่างช้า ๆ พร้อมกับพูดขึ้นมาอย่างลังเล

“ผมรู้ว่าคุณจะต้องเข้าร่วมกับพันธมิตรสงครามอย่างแน่นอน … และคุณก็ไม่ได้ทําให้ผมรู้สึกผิดหวังเลย” ซู่เจินมองไปที่เจมมาและพยักหน้าขึ้นมาเล็กน้อย

“ฉันเอาด้วย” ฟิทซ์เหลือบมองไปที่บลิซซาร์ด ดาวนี่ ที่อยู่ข้าง ๆ พร้อมกับพูดขึ้นมาเบา ๆ

โควสันและเมย์ชําเลืองมองไปที่กันและกันเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นานโควสันก็หันไปพูดกับซู่เจินว่า “ถ้าเกิดว่าคุณสามารถทําตามที่คุณได้เคยพูดกับฉันเอาไว้ก่อนหน้านี้ได้ ฉันก็ยินดีที่จะเข้าร่วมกับพันธมิตรสงคราม”

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคําตอบของโควสัน หลังจากนั้นเขาก็ค่อย ๆ เหลือบมองไปที่เมย์ แต่เมย์กับพยักหน้าขึ้นมาโดยไม่พูดอะไร

เมื่อมาถึงจุดนี้ลูกทีมของโควสัน และตัวของโควสันเองก็ถือได้ว่าพวกเขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรสงครามไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“เอาล่ะ ข้อแรกจบไปเรียบร้อยแล้ว ต่อไปอย่างที่สอง ผมเคยพูดเอาไว้ว่าในเร็ว ๆ นี้พวกเราจะเริ่มทําภารกิจแรกกันแล้ว ซึ่งภารกิจในครั้งนี้ก็ใช้จํานวนคนเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น … สามคน … สามคนก็น่าจะเพียงพอสําหรับภารกิจนี้” ซู่เจินเงียบไปพักหนึ่งและพูดต่อว่า “มีใครอยากอาสาทําภารกิจนี้ไหม ?”

“ฉัน”

ซิฟยกมือขึ้นมาพร้อมกับพูดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“ฉันก็อยากทําภารกิจนี้เหมือนกัน” นาตาชาและแคลร์รีบพูดขึ้นมาเกือบที่จะพร้อมกัน

“ฉันด้วย” แน่นอนว่าเฉินห่าวหรานก็ไม่ยอมแพ้คนอื่นเช่นกัน เพราะเมื่อไม่นานมานี้เขาได้พยายามพัฒนาความแข็งแกร่งของเขาอยู่ตลอดเวลา และเขาก็หวังว่าจะได้ทําภารกิจอันนี้เพื่อแสดงให้ทุกคนได้เห็นถึงความพยายามที่เขาได้พยายามมาอย่างเนิ่นนาน

“ฉันต้องการเข้าร่วมภารกิจนี้!” บริ้งค์ค่อย ๆ พูดขึ้นมาอย่างใจเย็น

ซู่เจินมองไปที่พวกเขาและยืนคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดขึ้นมาว่า “บริ้งค์ เฉินห่าวหราน และ นาตาชา จะได้ทําภารกิจในครั้งนี้ และผมก็คิดว่าเพียงแค่สามคนนี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วล่ะสําหรับการทําภารกิจในครั้งนี้”

“ทําไมคุณถึงไม่พาฉันไปด้วยล่ะ” ซิฟพูดขึ้นมาอย่างหมดความมั่นใจ

เมื่อซู่เจินได้ยินเช่นนั้นเขาก็พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “เพราะว่าภารกิจในครั้งนี้มันง่ายมาก ก็แค่ไปช่วยชีวิตคน ๆ หนึ่งเท่านั้น และอีกไม่นานหลังจากนี้จะมีภารกิจมาอีกอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อฟิตซ์และคนอื่น ๆ สามารถตรวจสอบหาที่อยู่ของลอเรไลจนเจอ คุณก็จะต้องรับผิดชอบในการจับตัวของเธอกลับมา”

ถึงแม้ว่าซิฟจะรู้สึกไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ได้แต่พยักหน้าขึ้นมาอย่างเห็นด้วยกับคําพูดของซู่เจิน ส่วนทางด้านของแคลร์นั้น ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เธอก็รู้ดีถึงแม้ว่าเธอจะมีความแข็งแกร่งและความสามารถพิเศษที่ทรงพลัง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้มีทักษะการต่อสู้ติดตัวเลย และเธอก็ไม่สามารถที่จะช่วยอะไรพวกเขาได้มากมายถ้าเกิดว่าเธอได้ไปทําภารกิจด้วยเธอก็คงจะไปเป็นตัวถ่วงของพวกเขา เปล่า ๆ

“ในเมื่อคุณบอกว่าภารกิจในครั้งนี้คือการไปช่วยชีวิตคน ๆ หนึ่ง แล้วพวกเราจะต้องไปช่วยใครอย่างงั้นหรอ ?” บริ้งค์ถามขึ้นมา

“กัปตันอเมริกา สตีฟ โรเจอร์ส!”

“คุณพูดว่าอะไรนะ ?”

เมื่อได้ยินซ์เงินพูดว่ากัปตันอเมริกา โควสันจึงรีบถามขึ้นมาอย่างร้อนรนอีกครั้งว่า “เกิดอะไรขึ้นกับเขาอย่างงั้นหรอ ? แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน!”

ซู่เจินมองไปที่โควสันด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “หน่วย S.H.I.E.L.D. ที่สํานักงานใหญ่ของSHIELD!”

สํานักงานใหญ่ของ SHIELD

เพราะว่ามีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับนิคฟิวรี่ ทําให้สตีฟจึงถึงเรียกตัวกลับไปที่สํานักงานใหญ่ของ SHIELD เพื่อสอบปากคํา แต่ถึงอย่างนั้นผลลัพธ์ที่ออกมาก็ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ และในตอนนี้สตีฟก็กําลังลงลิฟต์เพื่อที่จะกลับไปพักผ่อนที่บ้านของเขา … โดยไม่รู้เลยว่าในอีกไม่นานข้างหน้าจะเกิดเหตุการณ์อะไรบางอย่างขึ้นกับเขา

ขอโทษที่ห่างหายไปนานนะครับ พอดีติดธุรหลาย ๆ อย่าง และเรื่องของโรคโควิดด้วยทําให้ผมไม่ค่อยมีเวลาที่จะแปลนิยายสักเท่าไหร่ จะต้องกราบขออภัยจริง ๆ แต่ผมยังไม่ทิ้งนิยายเรื่องนี้ไปอย่างแน่นอนครับผม

ตอนที่ 166 ความงามยามค่ําคืน

ซู่เจินค่อย ๆ เอื้อมมือออกไปอย่างช้า ๆ ในขณะเดียวกันทางด้านของบริ้งค์ที่เห็นมือของซู่เจินที่ค่อย ๆ ยื่นเข้ามา มันก็ทําให้ตัวของเธอรู้สึกสั่นสะท้านและเริ่มหายใจถี่ขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับใบหน้าที่เริ่มแดงขึ้นเต็มไปด้วยความเขินอาย ทําให้ในสายตาของซู่เจินนั้นบริ้งค์ในตอนนี้เธอน่ารักเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นไม่นานมือของซู่เจินก็ค่อย ๆ แตะลงบนใบหน้าของบริ้งค์เบา ๆ

“แน่นอนว่าผมไม่ใช่คนที่หน้าซื่อใจคด ดังนั้นผมจะไม่ปิดบังความรู้สึกของผม … ผมชอบคุณ และผมก็ไม่สนด้วยว่าคุณจะชอบผมหรือเปล่า เพราะถึงยังไงแล้วผมก็ไม่มีวันที่จะปล่อยคุณไปอย่างแน่นอน ดังนั้นคุณสามารถวางใจได้เลยว่าทุกที่ที่ผมไปจะต้องมีคุณอยู่ข้าง ๆ ผม ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ต้องการมันก็ตาม” ซู่เจินพูดขึ้นมา เบา ๆ พร้อมกับเพลิดเพลินไปกับการลูบไล้ใบหน้าที่สวยงามของบริ้งค์อย่างช้า ๆ

บริ้งค์ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าของซู่เจินอย่างช้า ๆ พร้อมกับยิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

“เอาล่ะ! พวกเราควรที่จะกลับไปพักผ่อนกันดีกว่า และคุณก็ควรที่จะพัฒนาความแข็งแกร่งให้มากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยนะ เพราะถึงอย่างไรแล้วคุณก็เป็นคนแรกที่ติดตามผมมา และก็เป็นคนที่ผมไว้ใจที่สุดด้วย!” ซู่เจินพูดให้กําลังใจกับบริ้งค์เล็กน้อย

“คุณจะกลับแล้วอย่างงั้นหรอ ?” บริ้งค์รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเมื่อได้ยินคําพูดของซู่เจิน ทําให้เธออดไม่ได้ที่จะมองไปที่ซู่เจินอย่างคาดหวัง “ฉันยังไม่รู้สึกง่วงเลย ดังนั้นฉันขออยู่ต่ออีกสักหน่อยได้ไหม ?”

“ตกลง!”

เมื่อเห็นแววตาที่อ้อนวอนของบริ้งค์ ซู่เจินก็ไม่กล้าที่จะพูดปฏิเสธขึ้นมา เขาค่อย ๆ ยื่นมือออกมาพร้อมกับจับไปที่แขนของบริ้งค์และดึงเธอขึ้นมาให้มานั่งบนตักของเขา หลังจากนั้นเขาก็ค่อย ๆ โอบไปที่เอวของเธอจากด้านหลัง ทําให้ร่างกายของบริ้งค์ถึงกับนั่งแข็งที่อและรู้สึกประหม่าเล็กน้อย ในขณะเดียวกันทางด้านของซู่เจิน ก็อดรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ เพราะเขาก็ไม่คิดเหมือนกันว่าบริ้งค์จะผอมมากขนาดนี้ แต่ถึงอย่างนั้นร่างกายของเธอก็รู้สึกนุ่มนิ่มเป็นอย่างมาก

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือบริ้งค์เป็นผู้หญิงในประเภทที่มีโครงกระดูกขนาดเล็กเป็นอย่างมาก ดังนั้นถึงแม้ว่าเธอจะผอม แต่จริง ๆ แล้วเธอกับเป็นคนที่มีน้ํามีนวล ทําให้ความรู้สึกนุ่มนิ่มที่ซ่เจนสัมผัสได้ในตอนนี้มันทําให้เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างสุดจะพรรณนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีลมทะเลพัดมา มันก็ทําให้ผมของเธอมันปลิวไสวไปมาเล็กน้อยพร้อมกับกลิ่นที่หอมฟุ้งกระจายออกมา ทําให้ร่างกายส่วนร่างของซู่เจินมันตอบสนองขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

แน่นอนว่าซู่เจินสามารถสัมผัสถึงส่วนล่างของเขาได้อย่างชัดเจน ในขณะเดียวกันทางด้านของบริ้งค์ก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างเช่นกัน ?

ในตอนแรกเธอก็รู้สึกประหม่าอยู่แล้ว บวกกับการที่เธอสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่อยู่ด้านล่างของเธอ มันก็ยิ่งทําให้เธอรู้สึกประหม่าขึ้นไปอีก ทําให้เธอในตอนนี้ถึงกับทําตัวไม่ถูก ? แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าน้องชายของซูเจินจะมีหน้าตาเป็นอย่างไรเมื่อเขาเอามันออกมา ? ซึ่งเธอก็มีความคาดหวังอยู่เล็กน้อย เพราะ ตั้งแต่ที่เขาบอกกับเธอว่าเธอเป็นผู้หญิงของเขาแล้ว เธอก็เลย…

ใบหน้าของบริ้งค์เริ่มแดงกร่ําขึ้นเรื่อย ๆ ทันใดนั้นจู่ ๆ เธอก็ขยับตัวขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากนั้นเธอก็ค่อย ๆ คว้าไปที่มือของซู่เจินและยกมันขึ้นมา ทําให้ซู่เจินที่เห็นเช่นนั้นรู้สึกสับสนขึ้นมาเล็กน้อย เพราะเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอกําลังจะทําอะไรกันแน่ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงความนุ่มนิ่มอะไรบางอย่างตรงมือของเขา …

ความสูงนี้ ตําแหน่งนี้ สัมผัสนี้

หน้าอก …..

ซู่เจินไม่คิดว่าบริ้งค์ที่เป็นคนขี้อายแบบนั้นจะกล้าทําแบบนี้ขึ้นมา

เขาค่อย ๆ ยิ้มขึ้นมาอย่างช้า ๆ พร้อมกับมือที่เริ่มขย้ําเบา ๆ ในขณะเดียวกันทางด้านของบริ้งค์ก็เริ่มรู้สึกหมดเรี่ยวแรง ทําให้ร่างกายของเธอค่อย ๆ เอนไปพิงที่ตัวของซู่เจินอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นซู่เจินก็ค่อย ๆ ก้มหัวของเขาลงเพื่อดมกลิ่นผมของเธอ ทําให้บริ้งค์ที่สัมผัสได้ถึงความร้อนจากลมหายใจ มันก็ทําให้เธอถึงกับรู้สึกเสียวซ่าน

หลังจากนั้นดวงตาของบริ้งค์ก็ปิดลงโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเสื้อผ้าของเธอในตอนนี้ก็ดูยับยู่ยี่เล็กน้อย เผยให้เห็นชุดชั้นในและร่องอกที่น่าดึงดูด

ซู่เจินค่อย ๆ เอานิ้วของเขาไปปลดกระดุมเสื้อของบริ้งค์อย่างช้า ๆ พร้อมกับพ่นลมหายใจออกมา

“ฉัน… ฉันต้องการมัน … ” บริ้งค์พูดพึมพําขึ้นมาอย่างคลุมเครือ

“คุณคิดดีแล้วใช่ไหม … ผมเพิ่งจะแยกออกมาจากสกายเองนะ” ถึงแม้ว่าซูเจินจะคิดเหมือนกันกับบริ้งค์ แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็จะต้องดูการตัดสินใจของบริ้งค์อยู่ดี

“ฉันไม่เป็นไร!” บริ้งค์พูดขึ้นมาอย่างจริงจัง

เมื่อซู่เจินได้ยินเช่นนั้นเขาก็ยิ้มขึ้นมาพร้อมกับตัวของเขาที่ค่อย ๆ โน้มตัวลงไป หลังจากนั้น … ท้องฟ้ายามค่ําคืนที่เงียบสงบก็มีเสียงแห่งความสุขร้องดังขึ้นมา …

เมื่อซู่เจินและบริ้งค์กลับมาถึงที่ยานบินท้องฟ้ามันก็เกือบสว่างเรียบร้อยแล้ว ซึ่งบริ้งค์ในตอนนี้ก็กําลังนอนหลับอยู่ในอ้อมแขนของซู่เจิน และเมื่อซู่เจินลองนึกถึงใบหน้าและลีลาของบริ้งค์ มันก็ทําให้เขาอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้…

หลังจากนั้นซู่เจินก็พาบริ้งค์ไปส่งที่ห้องพร้อมกับห่มผ้าให้เธอ และค่อย ๆ เดินออกมาจากห้องอย่างเงียบ ๆ ซึ่งเขาก็ไม่ได้กลับไปหาสกาย แต่เดินไปยังห้องขังนักโทษ

โดยห้องทางด้านซ้ายก็คือห้องของวินเทอร์โซลเยอร์ ส่วนทางด้านขวาก็คือ โท็ด

ซู่เจินเดินตรงไปยังห้องขังของโทดในทันที

ซึ่งโท้ดในตอนนี้กําลังนั่งยอง ๆ อยู่ตรงมุมห้อง และเมื่อโท้ดเห็นซู่เจินเดินเข้ามา เขาก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นไปมองที่ซู่เจินโดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ

“ยังคิดไม่ออกอย่างงั้นหรอ ?”

ซู่เจินเดินเข้าไปในห้องขังและนั่งลงบนเก้าอี้อย่างสบาย ๆ พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “แม็กนีโตไม่ใช่คนดีอย่างที่คุณคิด คุณคิดว่าเขาชอบคุณหรือว่าห่วงใยคุณและปฏิบัติต่อคุณแบบคนในครอบครัวอย่างงั้นหรอ ? คุณคิดผิด เพราะว่าเขาได้ใช้ประโยชน์จากคุณจนคุ้มแล้ว และการที่เขาให้คุณมาฆ่านิคฟิวรี่ที่บ้านของกัปตันอเมริกาแบบนี้ มันก็เหมือนกับการส่งคุณมาตายดี ๆ นี่เอง แถมเขายังไม่บอกกับคุณอีกว่าเขาได้ส่งคัสลิสโตตามหลังคุณมาด้วย”

“ในเมื่อเขาไม่ได้ไว้ให้คุณและจริงจังกับคุณ คุณก็ไม่จําเป็นที่จะต้องเสียใจไปกับมัน และถ้าเกิดว่าคุณจะจากไปจริง ๆ คุณก็ออกไปได้ทุกเมื่อ เพราะผมไม่ได้มีความตั้งใจที่จะจับตัวของคุณเอาไว้อยู่แล้ว” เมื่อซู่เจิน พูดจบเขาก็ลุกขึ้นและเตรียมตัวที่จะเดินจากไป

“คุณ … คุณก็ดูถูกฉันเหมือนกันอย่างงั้นหรอ ?”

โท้ดพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน “คุณไม่ได้ต้องการที่จะจับตัวของฉันอยู่แล้วอย่างงั้นหรอ ?”

“ผมคิดว่าคุณเป็นคนที่น่าสงสารมาก แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็พูดถูกที่บอกว่าผมดูถูกคุณ เพราะถึงแม้ว่าจะไม่ใช่คุณ แม้แต่แม็กนีโต ผมก็ดูถูกเช่นกัน” ซู่เจินพูดขึ้นมาเบา ๆ

โท้ดถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่ง เพราะเขาก็ไม่คิดว่าซูเจินจะพูดขึ้นมาตรง ๆ แบบนี้ ซึ่งหลังจากที่เขาได้ลองคิดอีกครั้งหนึ่ง ซู่เจินก็มีคุณสมบัติที่จะพูดขึ้นมาอย่างนั้นจริง ๆ ทําให้เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า “ฉัน … ฉันขออยู่ที่นี่ได้ไหม ?”

“ได้… แต่คุณจะอยู่ที่นี่ได้ก็ต่อเมื่อคุณเข้าร่วมกับพันธมิตรสงคราม” ซู่เจินพูดขึ้นมา

ช่วงนี้ติดเรียนและงานเยอะมากทําให้ไม่ค่อยมีเวลาว่างขอโทษด้วยครับผม

ตอนที่ 165 ไม่กลับก็ตายไปซะ!

นิ้วของซู่เจินค่อย ๆ เคลื่อนขึ้นไปตามหน้าท้องอันแบนราบของสกายอย่างช้า ๆ ทําให้สกายค่อย ๆ หลับตาลงด้วยความเคลิบเคลิ้มพร้อมกับครางขึ้นมาเบา ๆ ทําให้การหายใจของซู่เจินเริ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากเสียงของครางของสกายที่ดังขึ้นมา ในขณะเดียวกันนิ้วของซู่เจินก็ค่อย ๆ ไต่ขึ้นไปยังเนินเขาที่สูงตระหง่านตรงหน้าของเขา

“อืม”

ทันทีที่นิ้วของซู่เจินไปถึงมัน ร่างกายของสกายก็สั่นขึ้นมาอย่างรุนแรงราวกับว่าเธอถูกกระแสไฟฟ้าช็อต หลังจากนั้นเธอก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาและพูดขึ้นมาด้วยความเขินอายเล็กน้อยว่า “อย่าแกล้งฉันแบบนี้สิ คุณกําลังรออะไรอยู่อย่างงั้นหรอ ?”

“ผมกําลังรอให้คุณขอร้องผมอยู่ไง!” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“คุณเป็นคนนิสัยไม่ดี ในเวลาแบบนี้คุณยังแกล้งคนที่น่าสงสารแบบฉันได้ลงคอ” สกายมองไปที่ซู่เจินอย่างบูดบึ้งพร้อมกับพูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า “ได้โปรด… “

“คุณพูดว่าอะไรนะ เสียงมันเบาเกินไป ผมไม่ได้ยินเลย” ซู่เจินแกล้งพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“ฉันขอร้อง!”

สกายขยับร่างกายของเธอเล็กน้อยพร้อมกับแสดงท่าทางออดอ้อนขึ้นมา

เมื่อท่าทางที่ออดอ้อนของสกาย ซู่เจินก็หยุดแกล้งเธอ เพราะว่าตอนนี้เขาก็ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน

เขาค่อย ๆ ก้มหัวลงไปอย่างช้า ๆ และเตรียมพร้อมสําหรับการเข้าพื้นที่หวงห้าม

หลังจากนั้นไม่นานเสียงร้องแห่งความสุขของสกายก็ดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง … โดยไม่รู้ว่าเวลามันผ่านไปนานแค่ไหนหลังจากนั้นเสียงมันก็ค่อย ๆ สงบลงอย่างช้า ๆ โดยมีร่างของซู่เจินที่กําลังโอบกอดสกายเอาไว้อยู่ ทันใดนั้นมันก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ซึ่งเสียงมันก็เบามากราวกับว่าคนที่เคาะประตูไม่อยากรบกวนคนที่อยู่ภายในห้อง

“ใคร ?”

ซู่เจินถามขึ้นมาอย่างขี้เกรียจ

“บอส นี่ฉันเอง”

“บริ้งค์อย่างงั้นหรอ ? ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น คุณนอนไปก่อนเลยก็ได้ เดี๋ยวผมจะออกไปดูข้างนอกสักหน่อย” ซู่เจินพูดขึ้นมากับสกายเบา ๆ หลังจากนั้นเขาก็หยิบเสื้อผ้าขึ้นมาและเดินออกไปด้านนอก

เมื่อซู่เจินปิดประตูห้องเรียบร้อยแล้วเขาก็หันไปถามกับบริ้งค์ว่า “ผมยังไม่ได้พักผ่อนเลย มีอะไรเกิดขึ้นอย่างงั้นหรอ ?”

“ดาร์กเอลฟ์บอกว่ากับฉันว่าไม่ไกลจากนี้มีเครื่องบินกําลังบินอยู่สามล่า และดูเหมือนว่าพวกเขากําลังเฝ้ามองพวกเราอยู่ ซึ่งเขาก็ไม่กล้าที่จะมารบกวนบอส ดังนั้นเขาก็เลยฝากให้ฉันมาถามกับบอสว่าพวกเราจะจัดการกับพวกเขาอย่างไรดี” เมื่อบริงค์พูดจบ เธอก็มองสํารวจไปที่ร่างกายของซู่เจินอย่างเงียบ ๆ …

ถึงแม้ว่าเสื้อผ้าของซู่เจินจะดูเรียบร้อยดี แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ใส่ชุดลําลอง ทําให้สามารถมองเห็นเม็ดเหงื่อบริเวณซอกคอได้อย่างชัดเจน ซึ่งมันก็ทําให้บริงค์รู้ได้ในทันทีเลยว่าก่อนหน้านี้บอสของเธอกําลังทําอะไรอยู่

ตึก ๆ ตึก ๆ

หัวใจของเธอค่อย ๆ เต้นเร็วขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับใบหน้าที่เริ่มแดง

“แล้วรู้ตัวตนของอีกฝ่ายไหม ?” ซู่เจินถามขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ

อย่างไรก็ตามหลังจากผ่านไปสักพักหนึ่งซู่เจินก็พบว่าบริ้งค์ในตอนนี้กําลังยืนคิดฟุ้งซ่านอะไรบางอย่างอยู่ ซึ่งเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอกําลังคิดอะไรอยู่

“คุณมีความต้องการเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นอย่างงั้นหรอ ? ถ้าเกิดว่าคุณต้องการมันจริง ๆ ผมก็สามารถช่วยสนองความต้องการของคุณได้นะ” ซู่เจินพูดขึ้นมาอย่างติดตลก

เมื่อได้ยินคําพูดของซู่เจินใบหน้าของบริ้งค์ก็แดงก่ําขึ้นมาทันที พร้อมกับค่อย ๆ พูดขึ้นมาด้วยความเขินอายว่า “คุณพูดว่าอะไรนะ ? ไม่ … ไม่ใช่ ฉันยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร”

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็เปิดประตูพอร์ทัลวาปไปดูกับผม มันน่าจะอยู่ตรงบริเวณค็อกพิทของเครื่องบิน” ซู่เจินหันไปพูดกับบริ้งค์ด้วยรอยยิ้ม ในขณะเดียวกันบริ้งค์ที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบพยักหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับโยนคริสตัลไปด้านหน้าเพื่อเปิดประตูพอร์ทัลขึ้นมา

หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาทั้งสองคนก็ปรากฏตัวขึ้นบนชั้นบรรยากาศด้านนอกของยานบิน

พลังงานสีเขียวเข้มปรากฏขึ้นมาใต้เท้าของซู่เจินและบริ้งค์อย่างรวดเร็ว ซึ่งด้านหน้าของพวกเขานั้นเป็นท้องฟ้ายามค่ําคืนที่มีเครื่องบินขับไล่กําลังบินอยู่ด้านหน้า

“พวกเขามองไม่เห็นเรา” บริ้งค์พูดขึ้นมาเบา ๆ

ซู่เจินพยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับตะโกนขึ้นมาว่า “ที่นี่คือฐานพันธมิตรสงครามของผม และผมก็ไม่สนว่า พวกคุณจะเป็นใครมาจากไหน ผมจะนับถึงแค่สาม และถ้าหากว่าผมนับถึงสามแล้วพวกคุณยังไม่ออกไป พวกคุณก็อย่าหาว่าผมโหดร้ายก็แล้วกัน”

“เขาหมายความว่าอย่างไร ?”

คนขับเครื่องบินที่อยู่ไม่ไกลอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาเบา ๆ ด้วยความกังวล เมื่อเขาได้ยินคําเตือนของซู่เจิน

แน่นอนว่าเขาได้รับคําสั่งมาว่าให้คอยสังเกตการณ์เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของพันธมิตรสงครามเอาไว้ตลอดเวลา ซึ่งเขาก็ไม่สามารถขัดคําสั่งของผู้บังคับบัญชาได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถละเลยคําเตือนของซู่เจินได้เช่นกัน

“เขาไม่กล้าที่จะทําอะไรกับพวกเราหรอก เพราะถึงยังไงแล้วเขาก็เป็นบอสใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรสงครามและเขาก็คงจะไม่กล้าที่จะเป็นศัตรูกับพวกเราในเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน!”

“แต่ว่า …”

“มันไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องเป็นห่วง เขาไม่กล้าทําอะไรกับพวกเราอย่างแน่นอน” ชายร่างเล็กพูดขึ้นมาอย่างมั่นใจ

ในขณะเดียวกันทางด้านของซู่เจินก็เริ่มนับแล้วเช่นกัน

หลังจากนั้นไม่นานซู่เจินก็นับถึงสาม และก็ดูเหมือนว่าคนพวกนั้นจะไม่ยอมจากไปแต่โดยดี

“ในเมื่อให้ไปแล้วไม่ยอมไป งั้นก็ตายอยู่ที่นี่ซะ”

ซู่เจินถอนหายใจออกมาเบา ๆ ทันใดนั้นมันก็มีฝ่ามือขนาดใหญ่สองอันปรากฏขึ้นมาด้านข้างของเครื่องบิน ทําให้คนขับเครื่องบินที่เห็นเช่นนั้นถึงกับทําอะไรไม่ถูก

ทันใดนั้นฝ่ามือขนาดใหญ่ทั้งสองอันก็ประกบเข้าหากันอย่างรวดเร็ว

“ตูม!”

มีเสียงปรบมือดังขึ้นมาดังลั่น หลังจากนั้นไม่นานมันก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นมาตามหลังกึกก้องไปทั่วท้องนภา ซึ่งเครื่องบินที่อยู่ภายในบริเวณใกล้เคียงทั้งหมดถูกบดขยี้และระเบิดกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย

“เดี๋ยวคุณกลับไปบอกกับดาร์คเอลฟ์ว่าในอนาคตถ้าเกิดว่ามีเครื่องบินหรือใครก็ตามที่ปรากฏตัวขึ้นมาบริเวณนี้ ให้ทําการโจมตีได้เลยโดยไม่ต้องมาแจ้งเตือนกับผมล่วงหน้า …”

ซู่เจินถอนหายใจออกมาเบา ๆ พร้อมกับหันไปพูดกับบริ้งค์

บริงค์พยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ และพูดว่า “ค่ะ เดี๋ยวฉันจะไปอธิบายให้กับเขาฟังเอง”

“เอาล่ะ! ได้เมื่อจัดการอะไรเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว พวกเราไปเดินเล่นกันหน่อยไหม ?” ซู่เจินหันไปถามกับบริ้งค์ด้วยรอยยิ้ม บริ้งค์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

แน่นอนว่าซู่เจินไม่ได้พาเธอไปไหนไกล เขาสร้างเรือลําเล็ก ๆ ขึ้นมา และพวกเขาก็ขึ้นไปนั่งบนเรืออย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเรือมันก็ค่อย ๆ กระเพื่อมไปมาตามคลื่นของทะเล

พระจันทร์ในค่ําคืนนี้สว่างไสวไปทั่วท้องฟ้า บวกกับท้องทะเลที่ส่องแสงระยิบระยับเป็นเกลียวคลื่น

บริ้งค์มองภาพตรงหน้าด้วยความมหัศจรรย์ใจ ราวกับว่าเธอกําลังฝันอยู่ บรรยากาศรอบ ๆ เต็มไปด้วยความเงียบสงบและความโรแมนติก ทําให้เธอรู้สึกชอบมันอย่างบอกไม่ถูก

“คุณชอบมันไหม ?” ซู่เจินถามขึ้นมาเบา ๆ

บริ้งค์พยักหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งภายในดวงตาของเธอในตอนนี้มันเต็มไปด้วยความสุขอย่างชัดเจน

“ที่จริงผมรู้นะว่าคุณกําลังกังวลเรื่องอะไรอยู่ และผมก็รู้ด้วยว่าคุณกําลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นอยู่ แน่นอนว่ามันมีคนมากมายที่พร้อมจะคอยดูแลคุณอยู่ข้าง ๆ และมันก็ดูเหมือนว่าผมจะเห็นแก่ตัวมากเกินไปที่ไม่ได้ให้คําตอบที่ชัดเจนกับคุณ ฮ่า ๆ มันก็ไม่เหมาะจริง ๆ ที่จะมาพูดเอาตอนนี้ … คุณรู้ไหมว่าผมรอโอกาสที่เหมาะสมที่จะบอกกับคุณอยู่ตลอดตลอดเวลา” ซู่เจินพูดขอโทษขึ้นมา

“ไม่เป็นไร ฉันไม่โกรธคุณหรอก” บริ้งค์พูดขึ้นมาพร้อมกับส่ายหัวเบา ๆ หลังจากนั้นเธอก็จ้องมองไปที่ซู่เจิน

“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ผมจะบอกความจริงกับคุณเลยก็แล้วกัน จริง ๆ แล้วตั้งแต่ที่ผมพบกับคุณและขอให้คุณติดตามผมมา ผมก็ไม่เคยคิดที่จะปล่อยคุณให้ไปจากผมเลย แน่นอนว่าผมชอบผู้หญิงที่สวย ซึ่งรอบ ๆ ตัวของผมในตอนนี้มันก็เต็มไปด้วยผู้หญิงที่สวยงามมากมาย และนาตาชายังเคยบอกกับผมเอาไว้ว่า ผมมีอาการเสพติดการสะสมของอย่างหนัก อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ได้หมายความว่าผมไม่ได้มีอารมณ์หรือความรู้สึกกับพวกเธอเลย ซึ่งผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่าคุณจะรู้สึกชอบผมได้เร็วขนาดนี้!”

ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นเขาก็ค่อย ๆ ยื่นมือออกไปสัมผัสใบหน้าที่สวยงามของบริงค์อย่างช้า ๆ ใบหน้านี้ … เขารู้สึกชอบมันจริง ๆ!

ตอนที่ 164 ฐาน หรือ เกาะฮาเร็ม ?

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะออกมาจากฐานของ SHIELD เรียบร้อยแล้ว แต่มันก็ยังมีระบบติดตามอยู่บนยานบินอยู่ดี ซึ่งหลังจากนี้ไม่นานยานบินลํานี้ก็คงจะถูกแทรกแซงระบบให้ลงจอดอย่างแน่นอน และเมื่อยานบินลํานี้ลงจอด พวกเขาก็คงถูกจับ 100 % อย่างแน่นอน

หลังจากที่ทุกคนได้ยินคําพูดของฟิทซ์พวกเขาก็หันหน้าไปมองที่ซู่เจินกันอย่างพร้อมเพียง ซึ่งมันก็รวมถึงโควสันที่เป็นหัวหน้าของทีมนี้ด้วยเช่นกัน โดยพวกเขาหวังว่าซู่เจินจะสามารถแก้ปัญหาภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในปัจจุบันนี้ได้

“ดูเหมือนว่าพวกคุณจะรู้สึกหวาดกลัวจนเกินกว่าเหตุ นี่มันไม่ใช่วันสิ้นโลกนะ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าถ้าเกิดว่ามันเป็นวันสิ้นโลกจริง ๆ ผมก็จะหาทางกอบกู้โลกให้ได้ และพวกคุณก็ไม่ต้องกลัวเลยนะว่าพวกไฮดร้าจะทําอะไรกับพวกคุณ เพราะว่าตอนนี้พวกคุณยังมีผมอยู่” ซู่เจินหันไปมองทุกคนและพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับพูดต่อว่า “ผมได้คิดแผนรับมือเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นตอนนี้พวกเราควรที่จะมุ่งหน้ากลับไปที่ฐานของผมให้เร็วที่สุดก่อนจะดีกว่า”

“แต่ … พวกเขาอาจจะส่งคนมาไล่ล่าพวกเรา ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหลบหนีไปได้” ฟิทซ์พูดขึ้นมา

เมื่อซู่เจินได้ยินคําพูดของฟิทซ์เขาก็พูดขึ้นมาคําเดียวโดยเน้นเสียงว่า “ฆ่า!”

“ฆ่า ?”

“ใช่ ถ้าเกิดว่าพวกเขากล้าที่จะตามมาเราก็ฆ่าพวกเขาให้หมดซะ”

“แต่ถ้าพวกเขาตามเราจนไปถึงฐานพันธมิตรสงครามของคุณ และเปิดฉากโจมตีขึ้นมาคุณจะทําอย่างไร ?” โควสันถามขึ้นมาด้วยความกังวล

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาพร้อมกับส่ายหัวเบา ๆ และพูดว่า “คุณไม่จําเป็นที่จะต้องกังวลเกี่ยวกับมัน เพราะถึงแม้ว่าพันธมิตรสงครามของผมจะไม่เคยมีโอกาสได้ปรากฏตัวขึ้นมาให้สายตาของคนบนโลกได้รับรู้ แต่ถึงอย่างนั้นถ้าเกิดว่ามีคนมาท้าทายหรือมาโจมตี พวกเรา พวกเขาก็จะต้องจ่ายค่าตอบแทนที่สมน้ําสมเนื้อกลับมาด้วย!”

“ดูเหมือนว่าจะมีเครื่องบินกําลังขับไล่ตามพวกเรามาอยู่”

สกายพูดขึ้นมาเบา ๆ

“พวกเขาลงมือกันเร็วมาก!” โควสันพูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ ส่วนซู่เจินก็ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับเดินออกไป

หลังจากที่ซู่เจินกระโดดออกมาจากยานบิน ในไม่ช้าเขาก็สามารถมองเห็นเครื่องบินที่กําลังไล่ตามพวกเขามาอยู่สองลํา ในขณะเดียวกันเมื่อคนขับเครื่องบินเห็นซู่เจินที่ออกมาจากยานบินก็ทําการยิงมิสไซล์ไปที่ซู่เจินทันที

เมื่อซูเจนเห็นเช่นนั้นเขาก็ยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย พร้อมกับเอื้อมมือไปจับมิสไซล์อันนั้นเอาไว้ หลังจากนั้นเขาก็ปามิสไซล์ที่อยู่ในมือของเขาไปยังเครื่องบินอีกลําหนึ่ง

ตูม!

เครื่องบินลํานั้นเกิดการระเบิดขึ้นมาทันทีพร้อมกับเศษซากที่ล่วงตกลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว

ทําให้นักบินของเครื่องบินที่ยิงมิสไซล์มาถึงกับตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น ทันใดนั้นนักบินก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นมาจากด้านบนหัวของเขา และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไปมอง ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

ซึ่งภาพที่เขาเห็นก็คือซู่เจินกําลังยืนยิ้มอยู่พร้อมกับโบกมือให้เขาเบา ๆ ทําให้เขารีบบังคับเครื่องบินให้บินกลับหัวอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะทําให้ซู่เจินกระโดดออกไป แต่ถึงอย่างนั้นมันก็สายเกินไปเรียบร้อยแล้ว!

ซูซานกําลังยิ้มและโบกมือให้เขา เขารีบพยายามทําให้เครื่องบินบินกลับหัวและโยนซูซานออกไป แต่มันก็สายเกินไป!

ฉีก!

มีดเล่มสีดําเจาะทะลุเข้าไปที่หัวของคนขับเครื่องบินโดยตรง และถึงแม้ว่ามันจะมีกระจกที่แข็งแรง แต่เมื่อมาเจอกับมีดคู่แห่งความกลัวมันก็เปรียบเสมือนกับเต้าหูดี ๆ นี่เอง หลังจากนั้นซูเจนก็ค่อย ๆ ดึงมีดออกมาอย่างช้า ๆ พร้อมกับสะบัดเลือดบนมีดทิ้ง และบินกลับไปที่ยานบินอย่างช้า ๆ

เมื่อซู่เจินกลับเข้าไปในยานบินเขาก็พูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า “เห็นไหมปัญหาได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ง่ายจะตาย”

ฟิทซ์และคนอื่น ๆ มองไปที่ซูเจนด้วยความรู้สึกหลากหลาย ซึ่งสิ่งที่พวกเขารู้สึกกังวลในตอนแรก มันไม่ใช่ปัญหาที่ยากเย็นสําหรับซู่เจินเลยแม้แต่น้อย!”

ในขณะเดียวกันหลังจากที่สูญเสียเครื่องบินไปสองลํา พวกเขาก็เลิกติดตามยานบินที่โควสันและคนอื่น ๆ อยู่ทันที เพราะพวกเขารู้ว่าตอนนี้พวกของโควสันยังมีซู่เจินอยู่ และถึงแม้ว่าพวกเขาจะสามารถไล่ตามทัน มันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี แต่ถึงอย่างไรก็ตามยานบินที่พวกโควสันอยู่มันก็มีระบบติดตามอยู่ ดังนั้นมันจึงทําให้พวกเขาสามารถรู้ได้ว่าพวกโควสันกําลังมุ่งหน้าไปที่ไหนและสามารถเตรียมแผนรับมือได้อย่างถูกต้อง

หลังจากที่ไม่มีเครื่องบินไล่ตามพวกเขามาแล้ว ทําให้พวกเขามุ่งหน้ากลับไปที่ฐานของพันธมิตรสงครามทันที ซึ่งมันก็ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง

หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็มาถึงและทําการลงจอดอย่างรวดเร็ว และทันทีที่พวกเขาเดินลงมาจากยานบิน พวกเขาก็พบว่าบริ้งค์ได้มายืนรอพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว และหลังจากนั้นไม่นานสมาชิกทั้งหมดของพันธมิตรสงครามก็เดินทางมาถึง

โควสันมองไปที่สมาชิกของพันธมิตรสงครามอย่างตกตะลึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเห็นบลิซซาร์ดและศาสตราจารย์ลิซาร์ดที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขา ทันใดนั้นภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมามันก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งในหัวของโควสันอย่างรวดเร็ว ซึ่งเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็น่าจะมีซู่เจินอยู่เบื้องหลังด้วยอย่างงั้นใช่ไหม ?

“อย่ามองผมแบบนั้นสิ เพราะว่าผมได้เตรียมพร้อมอะไรหลาย ๆ อย่างเอาไว้ตั้งนานแล้ว และผมก็จะบอกกับทุกคนเมื่อมันมีโอกาสที่เหมาะสมอยู่แล้ว เช่นตอนนี้!” ซู่เจินหันไปมองทางโควสันและพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

โควสันคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดขึ้นมาว่า “มันรวมถึงตัวฉันและทีมนี้ด้วยใช่ไหม ?”

“ใช่!”

ซู่เจินยอมรับขึ้นมาอย่างง่าย ๆ และพูดต่อว่า “เป้าหมายของผมมีเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือการแทนที่ SHIELD กับ อเวนเจอร์ และกลายเป็นเกาะป้องกันให้กับโลกใบนี้ เพราะว่าโลกของเราในตอนนี้มันไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่คุณคิด มันเปรียบเสมือนกับอาหารอันโอชะ และมีคนโลภที่แข็งแกร่งมากมายที่ต้องการจะกลืนกินมัน ดังนั้นพวกเราก็ควรที่จะเตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้และทําให้พวกผู้บุกรุกได้รู้ว่า … พวกเราไม่ใช่เหยื่อ แต่ เป็น นักล่า!”

“เป็นความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ !” โควสันถอนหายใจออกมาเบา ๆ เพราะเขาก็ไม่คิดเหมือนกันว่าซู่เจินจะมีความทะเยอทะยานมากขนาดนี้

ซู่เจินยักไหล่และพูดขึ้นมาว่า “คุณเชื่อหรือเปล่า จริง ๆ แล้วเป้าหมายของผมก็คือการเป็นราชาของโลกใบนี้ และทําให้ผู้บุกรุกทุกคนหวาดกลัว และไม่กล้าที่จะมาบุกรุกดาวโลกใบนี้!”

“คุณเป็นคนที่มีประสบการณ์และความสามารถอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเกิดว่าคุณเต็มใจที่จะเข้าร่วมกับพันธมิตรสงครามของผม คุณก็จะสามารถทําสิ่งต่าง ๆ ได้มากยิ่งขึ้น เอาล่ะ! ผมจะให้เวลาคุณในการพิจารณาให้ถี่ถ้วน”

ความจริงแล้วซู่เจินมองโควสันในแง่ดีมาโดยตลอด เพราะถึงอย่างไรท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังเป็นหนึ่งในผู้อํานวยการคนต่อไปของ SHIELD บวกกับการที่เขาเป็นคนที่มีประสบการณ์และความสามารถอยู่แล้ว นอกจากนี้ เขาก็ยังมีวิธีการทําสิ่งต่าง ๆ ที่แตกต่างจากนิคฟิวรี่โดยสิ้นเชิง ดังนั้นซูเจนก็เลยสรรหาวิธีในการที่จะดึงโควสันเข้ามาในทีมของเขา

“ฉันจะพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอนี้อย่างจริงจัง!” โควสันพูดขึ้นมาพร้อมกับพยักหน้า

ซู่เจินก็พยักหน้าเช่นกัน หลังจากนั้นเขาก็แนะนําให้พวกเขาทําความรู้จักกัน และจัดเตรียมที่พักให้กับลูกทีมของโควสัน หลังจากนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาแยกกันไป ฟิทซ์เดินเข้าไปหาบลิซซาร์ด ดอนนี่ ส่วนเจมมาก็เดินไปหานาตาชา เพราะว่านาตาชาเป็นหนึ่งในสมาชิกของหน่วย SHIELD ที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก

เวลาช่วงค่ําคืนมาถึงอย่างรวดเร็ว

ที่หน้าห้องนอนของซูเจนในตอนนี้ กําลังมีสกายยืนอยู่ หลังจากนั้นเธอก็เคาะประตูขึ้นมาเบา ๆ และรีบเปิดประตูเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว

ในขณะเดียวกันเมื่อซู่เจินเห็นสกายเดินเข้ามา เขาก็ยิ้มขึ้นมาพร้อมกับยื่นมือออกมาเล็กน้อย หลังจากนั้นสกายก็พุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของซู่เจินอย่างรวดเร็วและค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาและถามว่า “ให้ฉันนอนกับคุณในห้องนี้ไปตลอดเลยได้ไหม ฉันไม่อยากแยกจากกับคุณเลย ?”

“ได้สิ ผมก็รอเวลานี้มานานแล้วเหมือนกัน” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“คุณอยากให้ฉันอยู่ต่อ หรือว่า คุณต้องการให้คนอื่นอยู่กันแน่นะ ? เพราะถึงยังไงที่นี่ก็คือฐานของคุณ หรือจะเรียกอีกอย่างว่าหนึ่งว่า เกาะฮาเร็มของคุณ” สกายมองไปที่ซู่เจินและพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม ซึ่งซู่เจินก็ไม่ได้ตื่นตระหนกอะไรกับคําพูดของสกาย พร้อมกับพยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ “มันก็รวมถึงคุณด้วย และไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหน มันก็จะต้องมีคุณอยู่ด้วย”

“นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้นอนบนยานบินของมนุษย์ต่างดาว” สกายพูดขึ้นมาเบา ๆ

“ถ้าเกิดว่าคุณไม่บอกให้ผมหยุด ผมก็จะไม่มีวันปล่อยคุณไปอย่างแน่นอน!”

ตอนที่ 163 หลบหนีออกจากหน่วย SHIELD

หลังจากที่ซู่เจินมาถึง เขาก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศภายในฐานมันค่อนข้างเต็มไปด้วยความอึดอัดและเจตนาฆ่า ซึ่งหลังจากที่ร่างของเขาร่อนลงสู่พื้น เขาก็เดินเข้าไปในฐานทันที และเมื่อเข้ามาด้านในเขาก็สามารถสังเกตได้ชัดเจนเลยว่าเจ้าหน้าที่ที่อยู่ภายในฐานกําลังเสแสร้งแกล้งทําว่าตอนนี้สถานการณ์มันยังคงปกติดีอยู่ ทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย

“ทําไมผมถึงคิดว่าคุณดูประหม่าจัง ?” ซู่เจินหันไปพูดกับคนที่เดินตามเขามา

ชายคนนั้นยิ้มขึ้นมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติและค่อย ๆ พูดขึ้นมาว่า “เอ่อ … ฉันไม่ได้ประหม่า แต่แค่ตื่นเต้นมากไปหน่อย เพราะว่าฉันคอยติดตามข่าวเกี่ยวกับคุณอยู่ตลอดเวลา แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไม่เคยพบคุณตัวเป็น ๆ แบบนี้มาก่อน มันก็เลยทําให้ฉันรู้สึกตื่นเต้นมากไปหน่อย”

“แล้วคุณอยากได้ลายเซ็นของผมไหม ?” ซู่เจินถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“ไม่… ไม่เป็นไร” ชายคนนั้นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะส่ายหัวขึ้นมาเบา ๆ

ซู่เจินยักไหล่ขึ้นมาเบา ๆ และพูดว่า “ดูเหมือนว่าคุณจะไม่ได้ชอบผมมากสักเท่าไหร่ เอาล่ะ! ผมคงจะอยู่ที่นี่อีกสักพักหนึ่ง และผมก็หวังว่าผมจะได้เจอกับคุณอีกครั้งหนึ่งนะ” เมื่อพูดจบซูเจินก็เดินเข้าไปด้านในของยานบินอย่างรวดเร็ว ส่วนชายคนนั้นก็ไม่ได้เดินตามซู่เจินไป แต่เขาหันหลังกลับมาและตะโกนขึ้นมาว่า

“ปิดประตู!”

หลังจากนั้นไม่นานประตูมันก็ค่อย ๆ ปิดลงอย่างช้า ๆ พร้อมกับมีคนมารวมตัวกันอยู่ที่ด้านหน้าของซู่เจิน

ในขณะเดียวกันซู่เจินก็มองไปที่โควสันที่อยู่ตรงหน้าของเขาและพูดขึ้นมาว่า “จําคําที่ผมเคยบอกกับคุณเอาไว้ได้ไหม ? ที่ว่า SHIELD ไม่ใช่สถานที่อย่างที่คุณเคยจินตนาการเอาไว้ ? เพราะว่าหลังจากที่กัปตันอเมริกาสามารถเอาชนะเรดสกัลล์และทําลายไฮดร้าลงไปได้ แต่ถึงอย่างนั้นไฮดร้าก็ยังไม่ได้ถูกทําลายจนหมดสิ้น พวกเขาใช้ความสับสนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นในการแทรกซึมเข้ามาภายใน SHIELD มาหลายปีแล้ว และพวกเขายังพยายามกัดเซาะหรือหาวิธียึดครอง SHIELD อยู่ตลอดเวลา และเมื่อเวลาตอนนั้นมาถึงไฮดร้าก็เตรียมพอที่จะเฉิดฉายขึ้นมาบนโลกอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้มันก็มีเหตุการณ์ที่นิคฟิวรี่ถูกลอบสังหาร แต่ผมก็สามารถช่วยเหลือเอาไว้ได้บวกกับการที่ตอนนี้ไฮดร้าได้รวมมือกับบราเธอร์ฮูดออฟมิวแทนต์สของแม็กนีโตที่เต็มไปด้วยมนุษย์กลายพันธ์จํานวนมากมาย และหลังจากนี้ไม่นาน SHIELD ก็จะถูกควบคุมอย่างสมบูรณ์แบบอย่างแน่นอน”

“มันเป็นไปไม่ได้!”

โควสันพูดขึ้นมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

ซู่เจินโบกมือขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อขัดจังหวะความประหลาดใจของพวกเขาและพูดต่อว่า “มันเป็นไปไม่ได้ที่จะย้อนกลับไปแล้ว แล้วคุณรู้ไหมว่าตอนนี้ที่ฐานแห่งนี้มันไม่สามารถให้พวกอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไปแล้ว ? เมย์ ?”

“ฉันเตรียมพร้อมเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว และมันก็สามารถขึ้นบินได้ตลอดเวลา แต่ว่า .. ” เมย์ตอบกลับมา

“ตอนนี้ประตูของฐานถูกปิดสนิท ทําให้พวกเราไม่สามารถออกไปได้” ฟิตซ์พูดขึ้นมา

“ดูเหมือนว่ามันจะมีอะไรบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นด้านนอก” สกายพูดขึ้นมาด้วยความจริงจังพร้อมกับหยิบคอมพิวเตอร์ขึ้นมา หลังจากนั้นเธอก็กดฉายภาพไปยังหน้าจอโฮโลแกรม

ทําให้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าด้านนอกในตอนนี้กําลังมีกองกําลังติดอาวุธกําลังค่อย ๆ ล้อมรอบยานบินเอาไว้ ทําให้โควสันและคนอื่น ๆ ที่เห็นเช่นนี้ถึงกับตกตะลึงและมองไปที่ภาพนั้นด้วยไม่อยากเชื่อ

“เดี๋ยวฉันจะออกไปจัดการกับพวกเขาให้!”

ซิฟชักดาบของเธอออกมาพร้อมกับพูดขึ้นมาอย่างกล้าหาญ

“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเอง ส่วนพวกคุณก็ไปเตรียมตัวให้พร้อมสําหรับการหนีออกไปจากที่นี่” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับเอามีดคู่แห่งความกลัวทั้งสองเล่มของเขาออกมา หลังจากนั้นเขาก็เดินออกไป ด้านนอกอย่างช้า ๆ

และเมื่อซู่เจินเดินมาถึงบริเวณประตู เขาก็ค่อย ๆ เอามีดฟันไปที่ประตูอย่างช้า ๆ

ในขณะเดียวกันมันก็มีรูขนาดเล็กปรากฏขึ้นมา ทําให้ซู่เจินสามารถมองเห็นกองกําลังที่อยู่ด้านนอกได้ ซึ่งกองกําลังพวกนั้นก็กําลังเล็งปืนมาทางด้านของซู่เจินอยู่

“มันจบแล้ว!”

ซู่เจินขยับข้อมือของเขาพร้อมกับแหว่งมีดคู่แห่งความกลัวเบา ๆ ทันใดนั้นประตูมันก็พังทลายลงอย่างรวดเร็ว และร่างของซู่เจินก็กระโดดไปด้านหน้าทันที

“ปัง!”

เมื่อพวกกําลังติดอาวุธเห็นว่าซู่เจินกระโดดเข้ามาหาพวกเขา พวกเขาก็เริ่มยิงไปที่ซู่เจินทันที!

มีดทั้งสองเล่มในมือของซู่เจินแกว่งไปมาในอากาศ พร้อมกับลูกกระสุนที่เบี่ยงเบนออกไปด้านข้างที่ละนัดอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นร่างของซู่เจินก็ปรากฏตัวขึ้นตรงใจกลางของกองกําลังติดอาวุธ ในขณะเดียวกันมีดของซู่เจินก็ตวัดลงมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับเลือดที่สาดกระเซ็นออกมา ซึ่งมีดคู่แห่งความกลัวในตอนนี้มันเปรียบ เสมือนกับเคียวของยมทูตที่กําลังเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณอย่างต่อเนื่อง

ทันใดนั้นมันก็มีระเบิดลอยมาตรงหน้าของซู่เจิน ทําให้ซู่เจินเงยหน้าขึ้นไปมองมันเล็กน้อย พร้อมกับระเบิดที่หยุดอยู่กลางอากาศ หลังจากนั้นเขาก็หันหน้าไปมองคนที่ปาระเบิดมาพร้อมกับระเบิดที่กระเด็นกลับไปหาคนที่ปาอย่างรวดเร็ว ซึ่งคนที่ปาระเบิดก็พยายามที่จะวิ่งสุดชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นมันก็สายเกินไป ทําให้ร่างของชายคนนั้นถูกระเบิดจนเป็นเสี่ยง ๆ

“พังทลายไปซะ!”

ซู่เจินมองไปที่ประตูเหล็กหนาที่อยู่ตรงหน้าของเขา พร้อมกับตะโกนขึ้นมา ทันใดนั้นเครื่องแบบอีเทอร์ที่สวมอยู่บนร่างกายของเขาก็เปลี่ยนกับเป็นอนุภาคอีเทอร์ และค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นของเหลวสีแดงเข้มและพุ่งตรงไปที่ประตูทันที

ตึง ตึง ตึง

ซึ่งอนุภาคก็สามารถทะลุผ่านประตูเหล็กหนาอันนั้นไปได้อย่างง่ายดาย และมันก็เริ่มเคลื่อนตัวไปมารอบ ๆ ประตูซ้ําไปซ้ํามา และถึงแม้ว่าประตูเหล็กหนามันจะไม่ได้เปิดออกมา แต่ถึงอย่างนั้นหลังจากนั้นไม่นานประตูมันก็ค่อย ๆ หลุดออกมาจากกําแพงและค่อย ๆ ตกลงมาสู่พื้น ทําให้เมย์ที่กําลังนั่งอยู่ตรงห้องควบคุมรู้สึกประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย เพราะถ้าเกิดว่าประตูบานนี้มันตกลงมา มันจะต้องทําให้ยานบินลํานี้เสียหายอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นไม่นานความกังวลของเธอก็หมดไป เพราะในขณะที่ประตูกําลังตกลงมา อนุภาคอีเธอร์ก็เริ่มไหลไปรอบ ๆ ประตูอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับประตูที่ลดขนาดลงอย่างรวดเร็ว และหลังจากนั้นไม่นาน มันก็หายไปอย่างสมบูรณ์

ซึ่งเมื่อเมย์เห็นเช่นนั้นเธอก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และเริ่มเดินเครื่องของยานบินสําหรับการบินออกไปทันที

ในขณะเดียวกันพวกกองกําลังติดอาวุธก็เริ่มยิงไปที่ยานบินอย่างบ้าคลั่ง และพยายามป้องกันไม่ให้ยานบินมันบินขึ้นไปได้ ทันใดนั้นซู่เจินก็โบกมือของเขาขึ้นมาเบา ๆ ทําให้ยานบินถูกปกคลุมไปด้วยพลังงานสีเขียวเข้มห่อหุ้มเอาไว้ หลังจากนั้นไม่นานอนุภาคอีเทอร์ก็กลับคืนสู่ร่างกายของซู่เจินและเปลี่ยนเป็นชุดออกรบของเขา ทันที ทันใดนั้นซู่เจินก็ยกมีดเล่มสีดําของเขาขึ้นมา และทันใดนั้นมีดเล่มสีดําของซู่เจินก็ไปปรากฏขึ้นบนยานบินอย่างกะทันหัน ในขณะเดียวกันกองกําลังติดอาวุธที่อยู่บริเวณใกล้เคียงก็เริ่มรู้สึกถึงความกลัวอย่างอธิบายไม่ถูก พร้อมกับลมหายใจของพวกเขาที่หายใจออกมามันก็เริ่มกลายเป็นหมอกสีดํา ทําให้ความกลัวมันเริ่มฝังลึกเข้าไปภายในจิตใจของพวกเขาอย่างรวดเร็ว

“ฟุบ!”

ปืนที่ถืออยู่ของคนพวกนั้นค่อย ๆ ลดระดับลงหรือไม่ก็หมอบลงไปกับพื้นพร้อมกับเอามือกุมหัวเอาไว้ด้วยความกลัว ทันใดนั้นมันก็มีเสียงปืนดังขึ้นมาพร้อมกับร่างของคน ๆ หนึ่งที่ลงไปนอนกองกับพื้น ซึ่งสาเหตุมันก็น่าจะมาจากการที่เขาถูกครอบงําด้วยความกลัวจนทําให้เขาเสียสติและฆ่าตัวไป

“จะมายุ่งเกี่ยวกับคนพวกนี้ทําไม!” ซู่เจินเหลือบมองไปยังชายคนที่ฆ่าตัวตายเล็กน้อย ซึ่งคน ๆ นี้ก็คือคนที่เดินตามซู่เจินเข้ามาภายในฐานในตอนแรก

หลังจากนั้นซูเจินก็เอาพลังงานห่อหุ้มร่างกายของเขาเอาไว้ พร้อมกับค่อย ๆ บินขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นานซู่เจินก็สามารถบินไล่ตามยานบินจนทัน พร้อมกับเมย์ที่เปิดประตูด้านหลังของยานให้กับซู่เจิน ทําให้ซู่เจินที่เห็นเช่นนั้นก็บินเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว พร้อมกับประตูของยานบินที่ปิดลง

เมย์ทําหน้าที่ในการขับยานบิน ส่วนคนอื่น ๆ นั้นก็กําลังรออยู่ที่ห้องประชุม และเมื่อพวกเขาเห็นซู่เจินเดินเข้ามา ใบหน้าของพวกเขาก็ดูน่าเกลียดขึ้นมาทันที เพราะว่าพวกเขาก็ไม่คิดเหมือนกันว่ามันจะเกิดสิ่งนี้ขึ้น

“พวกเราจะทํายังไงกันดี” ฟิทซ์มองไปที่ซู่เจินพร้อมกับพูดขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว เพราะว่าตอนนี้ซูเจินก็เปรียบเสมือนกับหัวหน้าของพวกเขาไปเรียบร้อยแล้ว!

ตอนที่ 162 จิตใจที่บริสุทธิ์

“ความยากของภารกิจถูกเปลี่ยนเป็นโหมดยากเรียบร้อยแล้ว … เริ่มทําการสุ่มเก็บความสามารถหนึ่งอย่าง … ทําการจัดเก็บความสามารถในการคัดลอก”

“เนื้อหาภารกิจ : อยู่รอดให้ได้เป็นเวลา 7 วันโดยไม่ตาย”

หลังจากสิ้นเสียงแจ้งเตือนจากระบบ ซู่เจินก็รู้สึกแปลก ๆ เล็กน้อยภายในร่างกายของเขา หลังจากนั้นไม่นานเขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าความสามารถของเขามันหายไปหนึ่งอย่าง และเมื่อเขาจะลองใช้มันออกมา เขาก็พบว่ามันไม่สามารถใช้ออกมาได้ราวกับว่ากําลังมีอะไรบางอย่างกําลังปิดกั้นมันเอาไว้ ทําให้เขาไม่สามารถใช้งานมันได้อีกต่อไป

“โชคดีที่มันเป็นความสามารถในการคัดลอก และถ้าเกิดว่ามันเป็นความสามารถในการติดตามหรือความสามารถของเฮดจ์ฮอกมันก็คงจะดีมากกว่านี้” ซู่เจินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกทันทีเมื่อเขารู้ว่าเป็นความสามารถในการคัดลอกที่ถูกเก็บไป “อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าฉันจะไม่มีความสามารถมันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากมาย เพราะถึงอย่างไรแล้วฉันก็ยังมีอนุภาคอีเทอร์ แหวนกรีนแลนเทิร์น และมีดคู่แห่งความกลัวอยู่ และก็ดูเหมือนว่าภารกิจในครั้งนี้มันจะไม่ได้ยากมากนัก ระบบถึงได้เพิ่มระยะเวลาในการเอาชีวิตรอด หลังจากที่เปลี่ยนเป็นโหมดยาก ?”

ซู่เจินเหลือบมองไปยังจักเกอร์นอทที่อยู่ตรงหน้าของเขาเล็กน้อย เพราะว่าพวกเขาค่อนข้างที่จะโชคดีมากเลยที่ระบบปล่อยภารกิจออกมาตอนนี้ ทําให้ซู่เจินไม่มีเวลาที่จะอยู่ต่อกับพวกเขาได้อีกต่อไป หลังจากนั้นซู่เจินก็ส่ายหัวขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับหันหน้าไปมองคัสลิสโตที่ตอนนี้ใบหน้าของเธอมันเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก และค่อย ๆ พูดขึ้นมาว่า “ถือว่าวันนี้คุณโชคดีไปก็แล้วกัน เอาล่ะ! เดี๋ยวผมจะปล่อยตัวของพวกคุณไปในครั้งนี้ และถ้าเกิดว่ามีครั้งหน้าก็อย่าให้ผมรู้ว่าคุณยังอยู่ข้างของแม็กนีโตอยู่ เพราะไม่งั้นผมก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับคุณ ดังนั้น .. ขอให้โชคดี”

หลังจากพูดจบซู่เจินก็ปล่อยตัวของพวกเขาลงกับพื้น

แน่นอนว่ามันไม่ได้รวมถึงวินเทอร์โซลเจอร์

“สําหรับคุณ ผมปล่อยคุณไปไม่ได้” หลังจากพูดจบซู่เจินก็เตรียมตัวที่จะพาวินเทอร์โซลเจอร์บินหนีไป

“เฮ!”

แต่ทันใดนั้นจู่ ๆ ก็มีคนตะโกนเรียกซู่เจินขึ้นมาอย่างกะทันหัน

ทําให้ซู่เจินค่อย ๆ หันหน้าไปมองตามต้นเสียง และเขาก็พบว่าเป็นโท้ดที่ตะโกนเรียกเขาเมื่อกี้นี้

“ฉัน … ฉันขอตามคุณไปด้วยได้ไหม ?” โท้ดพูดขึ้นมาด้วยความเขินอายและลังเลเล็กน้อย

ถึงแม้ว่าซู่เจินจะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็พอจะคาดเดาเหตุผลของโท์ดได้ ดังนั้นเขาจึงเอาพลังไปห่อหุ้มร่างกายของโทัดเอาไว้ และพาบินขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับวินเทอร์โซลเจอร์

ณ ฐานพันธมิตรสงคราม

หลังจากที่บริ้งค์เห็นซู่เจินพาใครกลับมา 2 คน เธอก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย และเธอก็มั่นใจว่าพวกเขาจะต้องเป็นสมาชิกใหม่อย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีอะไรบางอย่างผิดปกติ เพราะว่าตอนนี้ซู่เจินก็ยังไม่ยอมปล่อยตัวของพวกเขา

“บอส พวกเขาทั้งสองคนเป็นใครอย่างงั้นหรอ ?” บริงค์ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

“คนแรกถูกเรียกว่า วินเทอร์โซลเจอร์ ซึ่งที่ผมนําตัวของเขากลับมาก็เพื่อที่จะนําตัวของเขาไปมอบให้กับกัปตันอเมริกา ส่วนอีกคนถูกเรียกว่า … โท้ด เขาเป็นมนุษย์กลายพันธ์ และสถานการณ์ของพวกเขาในตอนนี้มันก็ค่อนข้างจะพิเศษสักเล็กน้อย ดังนั้นผมจึงจําเป็นที่จะต้องล็อคตัวของพวกเขาเอาไว้ก่อน และค่อยจัดการในภาย หลัง!” ซู่เจินพูดอธิบายขึ้นมาอย่างคร่าว ๆ

“แล้วตอนนี้นาตาชาและแคลร์อยู่ที่ไหนกันล่ะ ?” ซู่เจินถามขึ้นมา

“ในห้องของนาตาชา” บริ้งค์ตอบกลับมา

ซู่เจินพยักหน้าและพูดว่า “อีกสองสามวันนี้พวกเขามีภารกิจที่จะต้องทํา ดังนั้นคุณควรที่จะไปพักผ่อนและเตรียมความพร้อมเอาไว้ให้ดี”

บริงค์พยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ และลังเลที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมา

เมื่อซู่เจินเห็นท่าทางของบริงค์ที่เป็นแบบนั้นเขาก็พูดขึ้นมาอย่างสบาย ๆ ว่า “ถ้าเกิดว่าคุณมีเรื่องอะไรที่ต้องการจะพูดกับผม คุณก็พูดมาได้เลย เพราะว่าสําหรับคุณกับผมแล้วมันไม่น่าจะมีเรื่องอะไรที่จะต้องปิดบังกันจริงไหม ?”

“นาตาชาและแคลร์ … พวกเธอ … พวกเธอมีความสัมพันธ์กับคุณที่แตกต่างจากความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับคุณใช่หรือเปล่า” หลังจากบริ้งค์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็อดไม่ได้ที่จะถามมันขึ้นมา “พวกเธอเป็นผู้หญิงของคุณอย่างงั้นหรอ ?”

“โอ้! คุณรู้มันได้ยังไง ?” ซู่เจินถามขึ้นมาอย่างสงสัย

“สายตาของคุณที่มองไปยังพวกเธอมันแตกต่างกับสายตาของคุณที่มองมายังฉัน เอ่อ … ฉันอธิบายออกมาเป็นคําพูดไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็สัมผัสมันได้ แน่นอนว่าแคลร์ยังเด็กเกินไปมันจึงทําให้ฉันไม่สามารถสัมผัสมันจากตัวของเธอได้ แต่มันไม่ใช่กับนาตาชาที่ฉันสามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน และมันก็ยังมีเหตุผลที่นาตาชาสนใจในตัวของแคลร์มากเป็นพิเศษอีกด้วย” บริ้งค์พูดขึ้นมาอย่างช้า ๆ พร้อมกับมีอาการสะดุ้งเป็นระยะ ซึ่งซู่เจินก็เข้าใจแล้วว่าทําไมนาตาชาจึงเริ่มเข้าหาแคลร์อย่างรวดเร็วแบบนั้น และเขาก็ไม่ได้หวังด้วยว่ามันจะเป็นเพราะเหตุผลแบบนี้แต่ ..

ซู่เจินมองไปที่บริงค์พร้อมกับส่ายหัวขึ้นมาเล็กน้อยและพูดว่า “คุณคิดผิดแล้ว!”

“ฉันคิดผิดอย่างงั้นหรอ ?” บริ้งค์รู้สึกมึนงงเล็กน้อย

ซู่เจินพูดขึ้นมาว่า “พวกเขาก็เป็นเหมือนกับคุณ”

“เหมือนกับฉันอย่างงั้นหรอ…?” บริ้งค์ตกตะลึงเล็กน้อย นี่มันหมายความว่ายังไง ? ฉันเป็นผู้หญิงของบอสด้วยอย่างงั้นหรอ ? แต่ทําไม … ทําไมบอสถึงไม่ได้ทําอะไรกับฉันล่ะ ?

“บางสิ่งบางอย่างมันก็ควรจะปล่อยให้เป็นไปตามเวลาของมัน” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับตบไปที่ไหล่ของบริ้งค์เบา ๆ หลังจากนั้นเขาก็หันหลังและเดินจากไป

ภารกิจช่วยเหลือนิคฟิวรี่ในตอนนี้ก็เสร็จไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนภารกิจใหม่ก็เอาชีวิตรอดให้ได้เป็นเวลา 7 วัน ซึ่งมันก็ไม่ได้ระบุเป้าหมายที่ชัดเจนมาให้บวกกับการที่เขาไม่มีที่จะไปด้วย ดังนั้นเขาก็ควรที่จะอยู่อย่างสงบ ๆ เป็นเวลา 7 วัน หลังจากนั้นภารกิจมันก็จะสําเร็จได้อย่างง่ายดาย แต่ถึงอย่างนั้นซู่เจินก็ไม่ได้ลดการระวังตัวของ เขาลงทั้งหมด หลังจากนั้นเขาก็เตรียมตัวที่จะโทรไปหาสกายและถามว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่นั่นบ้างหรือเปล่า

หลังจากมีเสียง ตุ๊ด ๆ ดังขึ้นมาสองสามครั้ง สกายก็รับสายในที่สุด

“ที่รัก …” เสียงของสกายดังขึ้นมาทันทีหลังจากที่เธอกดรับสาย

เมื่อซู่เจินได้ยินเช่นนั้นเขาก็ยิ้มขึ้นมาและพูดว่า “ผมเอง ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนอย่างงั้นหรอ ?”

“ที่ฐาน คุณมีอะไรหรือเปล่า ?”

“คุณสามารถออกมาจากที่นั่นได้ไหม ? ผมหมายถึงเอายานบินทั้งหมดออกมาและพาทุกคนออกมาพร้อมกัน”

“น่าจะได้นะ … มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างงั้นหรอ ?”

“คุณไปปลุกคนอื่นก่อนเถอะ เดี๋ยวผมจะรีบไปหาคุณตอนนี้เลย และเมื่อผมไปถึงที่นั่นแล้วผมจะอธิบายให้คุณฟังเอง”

“อืม!”

หลังจากฟังคําพูดของซู่เจินจบแล้ว สกายก็เชื่อในคําพูดของซู่เจินในทันที และเธอก็ไม่ได้ถามอะไรให้มากมายไปกว่านั้น และหลังจากที่สกายวางสายจากซู่เจินเรียบร้อยแล้ว เธอก็ไปเรียกให้คนอื่น ๆ มาประชุมกันที่ห้องประชุมในทันที

โควสัน , เมย์ , ฟิทซ์ , เจมมา , สกาย และ …ซิฟ

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างงั้นหรอ ?” โควสันหันไปถามกับสกาย

สกายพูดขึ้นมาด้วยน้ําเสียงจริงจังว่า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ซู่เจินได้บอกกับฉันว่าเขาจะมาที่นี่ในอีกสักพักหนึ่ง และเขาก็ยังบอกอีกว่าให้พวกเราเตรียมตัวให้พร้อมสําหรับการออกไปจากที่นี่”

“ออกจากที่นี่ ?”

โควสันและคนอื่น ๆ รู้สึกมึนงงเล็กน้อย เพราะว่าที่นี่ก็คือฐานของ SHIELD

“ซู่เจินเคยบอกกับฉันอาจจะมีอันตรายเกิดขึ้นที่นี่ ดังนั้นเขาจึงสั่งให้ฉันเฝ้าคอยดูสถานการณ์อยู่ที่นี่ และถ้าเกิดว่าสถานการณ์มันไม่ดี เขาก็จะพาฉันไปอยู่ที่พันธมิตรสงครามทันที!” ซิฟพูดขึ้นมา

และด้วยคําพูดของสกายและซิฟมันก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ได้ว่ามันกําลังมีบางสิ่งบางอย่างกําลังจะเกิดขึ้นที่นี่

โควสันขมวดคิ้วขึ้นมาและพูดว่า “ดูเหมือนว่ามันจะมีอะไรบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นจริง ๆ สินะ เมย์! คุณไปเตรียมสตาร์ทยานบินรอเอาไว้เลย ส่วนคนอื่น ๆ ก็เตรียมตัวเอาไว้ให้พร้อม และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็จะรอจนกว่าซู่เจินจะมาถึงที่นี่”

“ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่แล้ว เพราะว่าตอนนี้พวกเราอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก และเมื่อกี้ฉันก็เพิ่งจะส่งคําร้องขอออกจากที่นี่ไปให้พวกเขา แต่พวกเขาไม่ยอมปล่อยให้พวกเราไป และยังบอกอีกว่าให้พวกเราอยู่ที่นี่นิ่ง ๆ อย่าไปไหน และเมื่อฉันพยายามที่จะถามเหตุผลกับพวกเขา เขาก็วางสายไปในทันที”

ตอนที่ 161 ไร้หนทางในการปฏิเสธ

ราชินีสีขาวมองไปที่ซ่เงินด้วยความยั่วยวน เพราะเธอไม่เชื่อว่าซูเจินจะไม่มีความรู้สึกแบบนั้นกับเธอเลยซึ่งเธอก็มั่นใจในตัวของเธอเองเป็นอย่างมากเช่นกันและครั้งสุดท้ายที่เธอเคยเสนอเงื่อนไขที่คล้าย ๆกันแบบนี้ให้กับซูเจินเขาก็ปฏิเสธเธอในทันทีและมาครั้งนี้เธอก็พยายามที่จะใช้เสน่ห์ของเธอในการยั่วยวนซ่เงิน และเธอก็คิดว่าเขาคงจะประทับใจในตัวเธอและตอบตกลงอย่างแน่นอน

เธอสวย เธอเซ็กซี่ … และเธอก็มีเสน่ห์ในแบบของผู้ใหญ่ที่ผู้หญิงของซูเงินไม่มีมันอย่างแน่นอนและสิ่งที่สําคัญที่สุดก็คือเธอสมบูรณ์แบบในทุก ๆ ด้าน

และนี่มันก็คือข้อได้เปรียบของเธอ

ถึงแม้ว่าภายนอกมันจะดูเหมือนกับว่าเธอและซ่เงินกําลังทําข้อตกลงร่วมกันแต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่อย่างที่คิดเพราะยิ่งเธอรู้จักซู่เจินมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งทําให้เธอสนใจในตัวของเขามากยิ่งขึ้นเท่านั้นและซ่เงินก็เป็นคนแรกที่ทําให้เธอรู้สึกแบบนี้

“ผมจําเป็นที่จะต้องขอความช่วยเหลือจากคุณอย่างงั้นหรอ ?”

อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นไม่นานความคาดหวังของเธอมันก็ดับสลายลงอย่างรวดเร็ว ด้วยคําพูดที่ออกมาจากปากของซูเงิน

“ถ้าเกิดว่าผมต้องการที่จะทําลายบราเธอร์ฮูดออฟมิวแทนต์สจริงๆ ผมก็ไม่มีความจําเป็นที่จะต้องขอความช่วยเหลือจากผู้หญิงอย่างแน่นอนเพราะว่าสําหรับผมแล้วไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะแข็งแกร่งมากแค่ไหนฉลาดมากแค่ไหนหรือว่ามีความทะเยอทะยานมากแค่ไหนผมก็ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากพวกเธอเลยแม้แต่น้อย และผมก็ไม่สนด้วยว่าสิ่งที่คุณพูดขึ้นมามันเป็นเรื่องจริงหรือโกหกกันแน่และถ้าเกิดว่าคุณต้องการที่จะเป็นผู้ หญิงของผมจริงๆมันก็ง่ายมาก … คุณและปีศาจแดงก็เข้าร่วมกับพันธมิตรสงครามของผมซะ!” ซูเจนมองไปที่ราชินีสีขาวและพูดขึ้นมาเบา ๆ

“มันเป็นไปไม่ได้” ราชินีสีขาวพูดปฏิเสธขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

“งั้นพวกเราก็ไม่มีอะไรที่จะต้องพูดกันอีก”

ซ่เงินยักไหล่ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ และเขาก็รู้อยู่แล้วด้วยว่าราชินีสีขาวคงจะไม่ยอมตกลงง่าย ๆ อย่างแน่นอนหลังจากนั้นซูเจินก็หันหลังกลับพร้อมกับโบกมือขึ้นมาเบา ๆ ทันใดนั้นร่างของวินเทอร์โซลเจอร์จักเกอร์นอทโคลนนิ่งเฮดจ์ฮอกและคัสลิสโตก็ค่อย ๆ ลอยมาอยู่ข้างหน้าของซูเงิน

ราชินีสีขาวลังเลอยู่สักพักหนึ่ง หลังจากนั้นสีหน้าของเธอก็ค่อยๆเปลี่ยนไปและพูดขึ้นมาว่า “ถ้าเกิดว่าคุณต้องการเฮลไฟลร์คลับจะเปิดประตูตอนรับคุณอยู่ตลอดเวลา!”

หลังจากพูดจบร่างของปีศาจแดงและราชินีสีขาวก็หายไปอย่างรวดเร็ว

ซูเงินขมวดคิ้วพร้อมกับพึมพําขึ้นมาเบาๆ ว่า “เปิดประตูต้อนรับ ? ฉันไม่ต้องการมันหรอก และถึงแม้ว่าประตูมันจะปิดอยู่ ฉันก็จะทําลายมันเอง!”

“เสียใจพอแล้วหรือยัง ? ถ้าเกิดว่าพอแล้วก็ลุกขึ้นมาและกลับไปซะ อ้อ!ฝากข้อความไปบอกแม็กนีโตด้วยว่า … ถ้าเกิดว่าผมจัดการธุรเสร็จเมื่อไรผมจะเป็นคนที่ไปหาเขาด้วยตัวเอง และผมก็หวังว่าคุณจะรับผลของการที่คุณกล้ามายั่วยุผมได้!” ซูเจินหันไปฝากคําพูดกับโท้ดและปล่อยให้เขาเดินจากไป

หลังจากที่โท้ดได้รับอิสระ เขาก็ยังไม่ได้วิ่งหนีหรือขยับตัวไปไหนราวกับว่าอารมณ์ของเขาในตอนนี้มันยังไม่คงที่สักเท่าไหร่

และเมื่อซู่เจินเห็นเช่นนั้นเขาก็ส่ายหัวขึ้นมาเบาๆ และเมินเฉยต่อโทดไป เพราะถึงอย่างไรท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากมายยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ว่าผู้ชายคนนี้จะมีหน้าตาที่หน้าเกลียดแต่เขาก็เป็นคนที่มีอัธยาสัยที่ดี หลังจากนั้นซูเงินก็หันหน้าไปมองคนทั้งห้าคนที่ลอยอยู่ตรงหน้าของเขาซึ่งวินเทอร์โซลเจอร์และคัส ลิสโตในตอนนี้ก็ได้สติขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว ส่วนเฮดจ์ฮอกโคลนนิ่งและจักเกอร์นอทยังอยู่ในสภาพมึนหัวเล็กน้อย

และเมื่อคัสลิสโตเห็นสายตาที่จ้องมองมาจากซู่เจินเธอก็พูดขึ้นมาอย่างอ่อนแรงว่า “แม็กนีโตไม่ได้ต้องการที่จะเป็นศัตรูกับคุณจริง ๆ นะ เขาพยายามที่จะหาทางเอาคุณมาอยู่กับเขาให้ได้อยู่ตลอดเวลา และถ้าเกิดว่าคุณยอมตกลงที่จะเข้าร่วมกับองค์กรของพวกเราคุณก็จะกลายเป็นรองประธานขององค์กรบราเธอร์ฮูดออฟมิวแทนต์สในทันทีซึ่งภายในองค์กรของเราก็มีมนุษย์กลายพันธ์และคนที่มีความสามารถพิเศษอยู่มากกว่า

,000 คน และถ้าเกิดว่าคุณต้องการความสามารถอะไรคุณก็สามารถกลืนกินมันได้เลย”

“รวมถึงความสามารถของคนในกลุ่มคุณด้วย ?” ซูเงินถามขึ้นมา

คัสลิสโตพยักหน้าและพูดว่า “ใช่เพราะว่ามันมีอนาคตของเหล่ามนุษย์กลายพันธ์แขวนเอาไว้อยู่ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ดีที่จะเสียสละเพียงเล็กน้อยเพื่อผลประโยชน์ที่มากกว่า”

“จริงหรอ ? อันนี้มันรวมถึงตัวคุณด้วยหรือเปล่า”

คัสลิสโตเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะพยักหน้าขึ้นมาและพูดว่า “ใช่ รวมถึงฉันด้วย”

“คุณก็น่าจะรู้ดีว่าการสูญเสียความสามารถไปมันเป็นอย่างไรซึ่งคุณก็จะกลายเป็นคนที่ไม่มีประโยชน์สําหรับแม็กนีโตอีกต่อไปและคุณก็อาจจะถูกเขาฆ่าทิ้งในทันทีและถึงแม้ว่าอนาคตของมนุษย์กลายพันธ์มันจะสําคัญมากจริง ๆแต่ถึงอย่างนั้นเรื่องนี้มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคุณเลยด้วยซ้ํา”

“ฉันรู้” คัสลิสโตพูดขึ้นมาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

ซูเงินเหลือบมองไปที่เธอเล็กน้อยก่อนที่จะส่ายหัวขึ้นมาเบาๆ “ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณมันอวดฉลาดหรือโง่กันแน่แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ไม่ได้ทําให้ผมรู้สึกรําคาญมากสักเท่าไหร่ดังนั้นผมจะไว้ชีวิตของคุณเอาไว้ก็แล้วกัน”

หลังจากพูดจบซูเจินก็ใช้พลังจิตของเขาลากร่างเฮดจ์ฮอกมาอยู่ข้างๆของเขาพร้อมกับเอื้อมมือไปแตะที่ตัวของเฮดจ์ฮอกเอาไว้หลังจากนั้นเขาก็เปิดใช้ความสามารถในการกลืนกินทันทีซึ่งหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ สามารถกลืนกินความสามารถของเฮดจ์ฮอกมาได้อย่างง่ายดาย

ซึ่งซ่เงินจะไม่มีวันใช้ความสามารถของเฮดจ์ฮอกอย่างแน่นอน 100% เพราะถ้าเกิดว่าการกลืนกินความสามารถมันไม่ได้ให้พลังงานสําหรับการอัพเกรดระบบแบบนี้ซ่เงินก็ไม่มีความจําเป็นที่จะต้องกลืนกินความสามารถนี้เลย

“กรอบ!”

คอของเฮดจ์ฮอกถูกบิดไปด้านหลังอย่างกะทันหันพร้อมกับร่างของเขาที่ถูกโยนทิ้งไป

“ใครเป็นคนต่อไปดี ? โคลนนิ่ง หรือว่าจักเกอร์นอท ?” ซูเจนมองไปที่พวกเขาพร้อมกับครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่งหลังจากนั้นไม่นานร่างของจักเกอร์นอทก็ค่อย ๆ ลอยเข้ามาหาซ่เงินอย่างช้า ๆ …

พละกําลังที่ไม่มีวันหมด ผิวหนังที่ไม่สามารถเจาะทะลุได?

ความสามารถนี้มันแข็งแกร่งเป็นอย่างมากซึ่งซูเจินก็ไม่มีความคิดที่จะปล่อยมันไปอย่างแน่นอน

“ติ้ง! ภารกิจถูกปล่อยออกมาแล้ว!”

“ภารกิจ : เอาชีวิตรอด เนื้อหา : สุ่มเก็บความสามารถของโฮสต์หนึ่งอย่างและอยู่รอดให้ได้เป็นเวลา 3 วันโดยไม่ตายและภารกิจจะเสร็จสิ้น”

“หมายเหตุ : โฮสต์สามารถเลือกระดับความยากของภารกิจนี้ได้และถ้าเกิดว่าโฮสต์เลือกความยากเป็น 2 เท่ารางวัลของภารกิจก็จะเป็น 2 เท่าเช่นกัน”

การแจ้งเตือนของระบบทําให้ซูเจนรู้สึกตกใจเล็กน้อยเพราะเขาก็ไม่คิดเหมือนกันว่าภารกิจมันจะปรากฏขึ้นมาเร็วแบบนี้และเขาก็เพิ่งจะทําภารกิจเสร็จด้วย

แล้วภารกิจเอาตัวรอดนี่มันคืออะไร ?

สุ่มเก็บความสามารถหนึ่งอย่าง ?

“ระบบ ฉันไม่ทําภารกิจนี้ได้ไหม ?”

ซูเงินถามขึ้นมาอย่างสงสัย

“ไม่ได้ เพราะทันทีที่ภารกิจถูกปล่อยออกมามันก็จะถูกกดยอมรับภารกิจในทันที”

“ไร้หนทางในการปฏิเสธเลยสินะและการสุ่มเก็บความสามารถนี่มันรวมถึงความสามารถในการกลืนกินด้วยหรือเปล่า ?”

“ใช่! รวมถึงความสามารถทั้งหมดของคุณด้วยนอกจากนี้ระบบยังขอแนะนําให้กับโฮสต์ว่าให้โฮสต์เลือกโหมดยากเพราะว่ามันจะได้รางวัลตอบแทนอย่างมหาศาล

ซูเงินขมวดคิ้วและพูดขึ้นมาว่า “อย่าบอกนะว่าตอนนี้พลังงานสําหรับการอัพเกรดระบบมันใกล้จะครบแล้วใช่ ไหม ? ถึงได้มอบภารกิจให้กับฉันมากมายขนาดนี้ … และก็ดูเหมือนว่ามันจะเป็นภารกิจที่ค่อนข้างจะยุ่งยากมากเลยทีเดียว”

“รางวัลที่โฮสต์สามารถเคลียโหมดยากได้นั่นก็คือการเปิดเทมเพลตที่ถูกปรับปรุงแล้วขึ้นมา ซึ่งเทมเพลตอันนี้มันจะสามารถเปิดได้เฉพาะเวลาที่โฮสต์ทําภารกิจเท่านั้น”

“มันมีเอาไว้ทําอะไร ?”

“เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับความสามารถและร่างกายของโฮสต์”

“ระยะเวลาในการทําภารกิจนี้คือสามวันใช่ไหม ? และถ้าเกิดว่าฉันเลือกโหมดยาก รายละเอียดของภารกิจจะมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง ?” ซูเงินถามขึ้นมาอย่างสงสัย

“ระบบสามารถบอกรายละเอียดให้กับโฮสต์ได้ก็ต่อเมื่อโฮสต์กดเลือกโหมดยากแล้วเท่านั้น”ระบบตอบกลับมา

“มันไม่เป็นการเอาเปรียบกันไปหน่อยหรอ ?” ซูเงินพูดขึ้นมาอย่างโกรธเคือง”รางวัลและเนื้อหาของภารกิ จก็บอกให้ไม่หมดระบบนายจงใจที่จะแกล้งกันใช่ไหม ?”

“จะเลือกโหมดยาก ใช่/ไม่

“ใช่!”

เมื่อเห็นว่าระบบแกล้งทําเป็นไม่ได้ยินเซ่เงินก็จะพดอะไรขึ้นมาได้อีก

ตอนที่ 160 จักเกอร์นอทหายใจไม่ออก

“ตูม!”

“ตูม!”

“ตูม!”

จักเกอร์นอททําลายกําแพงที่ซ่เงินสร้างขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทําให้ซูเงินจะต้องกระโดดถอยหลังออกมาเป็นระยะ ๆ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ช่วยทําให้ความเร็วของจักเกอร์นอทลดน้อยลงเลยแม้แต่น้อยในขณะเดียวกันซูเจินก็พยายามที่จะใช้พลังจิตของเขาในการหยุดรักเกอร์นอทเอาไว้ แต่มันก็ไม่ได้ผลและมันก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่สามารถหยุดรักเกอร์นอทในตอนนี้ได้เลย

“ใช้แต่หัวพุ่งชนแบบนั้น คุณไม่รู้สึกเจ็บบ้างหรือไง ? และผมก็ไม่เข้าใจด้วยว่าคุณที่มีความแข็งแกร่งมากขนาดนั้นแต่สมองกับโง่เง่าจัง ? มันอาจจะเป็นเพราะว่าคุณเอาหัวชนกําแพงมากเกินไปใช่ไหมถึงได้ทําให้คุณโง่แบบนี้ ?”

แน่นอนว่าซ่เงินไม่ได้จงใจที่จะเยาะเย้ยเขา แต่เขากับรู้สึกสงสารจักเกอร์นอทจริง ๆ ถึงแม้ว่าความสามารถนี้มันจะไม่สามารถพลิกแพลงหรือมีรูปแบบการโจมตีที่หลากหลาย แต่ก็ต้องขอยอมรับเลยว่ามันเป็นความสามารถที่แข็งแกร่งมาก ๆ

น่าเสียดาย… ทั้งที่เขามีความสามารถที่ทรงพลังมากขนาดนี้ แต่เขากับใช้มันไม่เป็น

หลังจากที่ซ่เงินคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเสร็จแล้ว เขาก็ใช้พลังของแหวนกรีนแลนเทิร์นในการเปลี่ยนพลังงานให้เป็นรูปร่างต่าง ๆ ตามจินตนาการของเขา กําแพง , เซลล์ และกําไลข้อเท้าที่ยึดติดกับพื้นเอาไว้และในขณะที่ ร่างของจักเกอร์นอทที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ซู่เจินก็เปลี่ยนมันให้กลายเป็นปืนใหญ่และปืนกลพร้อมกับยิงไปที่จักเกอร์นอท แต่มันก็ไม่ได้ผลเพราะว่ามันทําได้แค่เพียงให้จักเกอร์นอทเคลื่อนที่ช้าลงเท่านั้น

ซึ่งพลังของจักเกอร์นอทนั้นเหมือนมีไม่มีวันหมด ตราบใดที่เขาไม่ยอมหยุดด้วยตัวของเขาเอง เขาก็ยังสามารถวิ่งต่อไปได้เรื่อย ๆ และยิ่งเขาวิ่งไปมากเท่าไรพลังของเขามันก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้นแถมพลังการป้องกันการโจมตีของร่างกายจักเกอร์นอทมันก็ทรงพลังเป็นอย่างมากราวกับว่ามันไม่สามารถทําลายได้เลยซึ่งการโจมตีของซูเงินเมื่อกี้นี้มันก็ไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับจักเกอร์นอทเลยแม้แต่น้อย

เปรียบเสมือนกับว่าการดํารงอยู่ของซูเงินก็คือ แมลง

ซึ่งมันก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่จักเกอร์นอทสามารถต่อสู้กับฮัลค์ได้อย่างสูสี

“ฉันขอสาบานเลยว่า ฉันจะทุบหัวคุณให้แบะให้ได้” จักเกอร์นอทคํารามออกมาดังลั่น พร้อมกับความเร็วของเขาที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในเวลาอันสั้น ทําให้หลังจากนั้นไม่นานเขาก็สามารถพุ่งเข้ามาประชิดตัวของเงินได้อย่างรวดเร็วและเขาก็เอาหัวของเขาพุ่งชนไปที่ซ่เงินอย่างรุนแรง

“ขอลองดูหน่อยสิว่ามันจะแรงมากขนาดไหน”

ซูเงินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะเอาหมัดต่อยไปที่หัวของจักเกอร์นอท

กรอบ!

ซูเงินได้ยินเสียงกระดูกของเขาหักขึ้นมา โดยที่กระดูกข้อศอกของเขาแทงทะลุออกมาด้านนอก ซึ่งมันเป็นภาพที่สยดสยองเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันซ่เงินก็ค่อย ๆ ยิ้มขึ้นมาด้วยความเจ็บ หลังจากนั้นไม่นานร่างกายของเขาก็ถูกกระแทกขึ้นไปบนอากาศและกระเด็นออกไปอย่างรวดเร็ว

“ไอ้เวรเอ้ย!”

ซูเจนพูดด่าขึ้นมาเบา ๆ และในขณะที่ร่างกายของเขากําลังลอยอยู่กลางอากาศ เขาก็ดันกระดูกข้อศอกที่ทะลุออกมากลับไปและหลังจากนั้นไม่นานมันก็หายเป็นปกติอย่างรวดเร็ว

“เขาแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ถ้าเกิดว่าเรายังดึงดันที่จะปะทะซึ่ง ๆ หน้ากับเขาอยู่ เราอาจจะเสียเปรียบก็ได้”

ซูเงินบ่นพึมพําขึ้นมาเบา ๆ ทันใดนั้นมือซ้ายของเขาก็มีเปลวเพลิงพุ่งขึ้นมาจากมือของเขาอย่างรวดเร็วส่วนมือข้างขวาของซูเจินก็เริ่มแกว่งไปมาเล็กน้อยพร้อมกับมีพายุทอร์นาโดขนาดเล็กปรากฏขึ้นมาบนแขนของเขาทันใดนั้นซูเจินก็บังคับกระแสลมให้ไปสกัดกั้นจักเกอร์นอทเอาไว้ซึ่งจักเกอร์นอทก็สามารถรู้สึกได้ถึงแรงต้านจากกระแสลมแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้รุนแรงมากนัก

“คุณหยุดฉันไม่ได้หรอก…”จักเกอร์นอทพูดขึ้นมาอย่างมีชัย

“จริงหรอ ?”

ซูเจินยิ้มขึ้นมาอย่างลึกลับ พร้อมกับกระแสลมที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ และมันก็เริ่มรวมตัวเข้าไปปิดล้อมตัวของจักเกอร์นอทเอาไว้จากทุกทิศทาง ทันใดนั้นซูเจินก็เอาเปลวเพลิงเข้าไปหลอมรวมกับกระแสลมทําให้เปลวเพลิงและกระแสลมมันเริ่มหลอมรวมกันอย่างรวดเร็ว

ซึ่งตอนแรกจักเกอร์นอทก็ไม่ได้สนใจมันมากนักหรอก แต่หลังจากนั้นไม่นาน … เขาก็เริ่มรู้สึกว่าหายใจลําบากเล็กน้อย และก็ดูเหมือนว่าอากาศโดยรอบมันจะน้อยลงเป็นอย่างมาก

และความรู้ที่ขาดออกซิเจนในการหายใจมันก็ทําให้ความเร็วของจักเกอร์นอทตกลงอย่างไม่เต็มใจ

กระแสลมทําหน้าที่ในการกีดขวาง

เปลวเพลิง ทําหน้าที่ในการเผาไหม้อากาศ

ซึ่งจักเกอร์นอทก็กําลังติดอยู่ข้างในนั้นและไม่ว่าเขาจะออกแรงวิ่งอย่างรวดเร็ว หรือเอาหัวพุ่งชนมันก็ไม่ได้ทําให้เขาหลุดออกมาได้เลยแม้แต่น้อย

ซี ซี ซี ซี ซี ซี ซี

ชั้นอากาศบริเวณโดยรอบเริ่มถูกเผาไหม้และระเหยหายไปในอากาศ

“นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น ปล่อยฉันไปเดี๋ยวนี้! … ฉันหายใจไม่ออก! ปล่อยฉัน! เร็วเข้า! ฉันจะฆ่าแกให้ได้”

จักเกอร์นอทตะโกนขึ้นมาอย่างเดือดพลาน เขาพยายามเอาหัวพุ่งชนไปมาอย่างโกรธแค้น ทําให้โรงงานร้างเริ่มพังทลายลงอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันใบหน้าของเขาก็เริ่มแดงก่ํา และหายใจไม่ออก พร้อมกับอากาศหายใจที่ค่อย ๆ หมดลงไปเรื่อย ๆ ทําให้เขาเริ่มเห็นภาพหลอนอยู่ตรงหน้าของเขา

ความเร็วของเขาเริ่มช้าลงเรื่อย ๆ และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็หยุดลง บวกกับการที่เขาหายใจไม่ออกมันก็ยิ่งทําให้เขารู้สึกทรมาณมากขึ้นไปอีกทันใดนั้นเขาก็เริ่มขยับตัวไปมาอย่างรุนแรงโดยหวังว่ามันจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดจากการหายใจไม่ออกได้แต่ก็น่าเสียดาย…ที่มันไร้ประโยชน์

ตูม!

ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วพร้อมกับร่างของจักเกอร์นอทที่ล้มลงไปกองกับพื้นอย่างรุนแรงและหมดสติไป

เมื่อซู่เจินเห็นว่าร่างของจักเกอร์นอทล้มลงไปนอนกับพื้น เขาก็ยกเลิกพลังของเขาและพยักหน้าขึ้นมาด้วยความพึงพอใจ

ซึ่งในแง่ของความแข็งแกร่งแล้วเขายังขาดอยู่เล็กน้อย แต่ในเรื่องของความสามารถนั้นเขาแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรวมกันของลมและไฟ ที่มันสามารถเกื้อหนุนกันได้อย่างไร้ที่ติ

แต่ถึงอย่างนั้นไม่ว่าจะเป็นลมหรือไฟมันก็ไม่สามารถทําให้ร่างกายของจักเกอร์นอทได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ซึ่งร่างกายของจักเกอร์นอทมันแข็งแกร่งยิ่งกว่าร่างกายของมาเลคิธซะอีกในขณะเดียวกันซ่เงินก็มีวิธีที่จะฆ่าจักเกอร์นอทได้อยู่หลายวิธีได้ ซึ่งวิธีพวกนั้นมันก็ง่ายดายเป็นอย่างมาก!

ซึ่งเขาก็ไม่ได้ใช้ความสามารถพวกนั้น แต่ถึงอย่างนั้นมันก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้จริง ๆ

ตอนนี้เขามีความสามารถอยู่มากมาย และมันจะเป็นการดีกว่าถ้าเกิดว่าเขาเลือกเส้นทางที่มันแน่นอนสักสองสามอันและมันจะเป็นการดีที่สุดถ้าเกิดว่าความสามารถทั้งสามอันนั้นมันสามารถใช้แบบผสานรวมกันได้

และในขณะที่เขากําลังยืนคิดอะไรอยู่ ทันใดนั้นมันก็มีแสงแวบสีแดงปรากฏขึ้นมาข้าง ๆ เขา

พร้อมกับมีร่างของชายคนหนึ่งที่มีผิวสีแดงและหางอยู่ด้านหลังของเขา ส่วนข้าง ๆ เขาก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมชุดสีขาวกําลังยืนอยู่!

ปีศาจแดงและราชินีสีขาว

“หม ? พวกคุณก็อยากร่วมวงด้วยอย่างงั้นหรอ”

ซูเจนเลิกคิ้วพร้อมกับถามขึ้นมา

ราชินีสีขาวมองไปรอบ ๆ และพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันเพิ่งได้รับข่าวมาว่าบราเธอร์ฮูดออฟมิวแทนต์สได้ร่วมมือกับไฮดรา ซึ่งฉันก็เป็นกังวลว่าคุณจะเกิดปัญหาจนรับมือไม่ไหว ฉันก็เลยมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือคุณแต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ความช่วยเหลือของฉันมันคงจะไม่จําเป็นแล้วสินะ”

ซ่เงินไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เขากําลังอ่านใจของเธออยู่อย่างเงียบ ๆ

ทันใดนั้นราชินีสีขาวถึงกับตกตะลึงออกมา และรีบเป็นร่างกายของเธอให้กลายเป็นเพชรในทันที จากนั้นเธอก็ยิ้มขึ้นมาพร้อมกับหันไปพูดกับซูเจนว่า “ถึงแม้ว่าผู้หญิงทุกคนจะหวังว่าผู้ชายจะเข้าใจความคิดของเธอแต่สิ่งที่คุณทํามันในตอนนี้ … มันดูจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่จริงไหม ?”

“ผมก็แค่สงสัยว่าทําไมคุณถึงได้รีบมาช่วยเหลือผมขนาดนั้น หรือว่าคุณจะแอบชอบผมอย่างงั้นหรอ ?” ซูเงินรู้สึกเสียดายเล็กน้อยเพราะว่าปฏิกิริยาตอบสนองของราชินีสีขาวมันรวดเร็วเป็นอย่างมากจดทําให้เขาไม่สามารถรู้ได้ว่าเธอกําลังคิดอะไรอยู่

“แล้วถ้ามันเป็นอย่างนั้นล่ะ ? เพราะว่าผู้ชายที่แข็งแกร่งมักจะทําให้ผู้หญิงหลงใหลได้ง่ายดายมากกว่าปกติและยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้คุณมีผู้หญิงอยู่มากมายรอบ ๆ ตัวคุณ ดังนั้นฉันจึงอยากจะถามกับคุณว่าตัวของฉันนั้นแย่กว่าพวกผู้หญิงของคุณหรือเปล่า” ราชินีสีขาวพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มและพูดต่อว่า”และฉันก็คิดว่าฉันน่าจะช่วยเหลือคุณได้มากกว่าพวกเธออย่างแน่นอน,ทําไมคุณถึงไม่ยอมเปิดใจยอมรับฉันสักหน่อยล่ะ ?”

“เพราะถ้าเกิดว่าพวกเราอยู่ด้วย ฉันก็สามารถสนับสนุนและช่วยคุณทําลายบราเธอร์ฮูดออฟมิวแทนต์สได้อย่างง่ายดาย!”

ตอนที่ 159 นิค ฟิวรี่

“ตูม!”

ซูเจินต่อยไปที่หนึ่งในร่างโคลนนิ่งด้วยหมัดของเขาอย่างรุนแรงพร้อมกับวิ่งเข้าไปในฝูงของร่างโคลนนิ่งในทันทีซึ่งร่างของพวกโคลนนิ่งพวกนี้มันก็เหมือนกันหมดทุกตารางนิ้วหรือจะเรียกได้ว่านี่มันก็คือด็อพเพิลเก๋งเกอร์ดีๆนี่เองซึ่งความสามารถนี้มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียข้อดีของมันก็คือเราจะสามารถสร้างกองกําลังได้อย่างมากมาย และร่างของโคลนนิ่งพวกนี้มันก็จะไม่มีวันทรยศเราอีกด้วยอย่างไรก็ตามถ้าหากว่าเรายิ่งโคลนนิ่ งมันมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งมั่นทอนความแข็งแกร่งของเราไปเรื่อยๆทําให้ร่างที่โคลนนิ่งออกมามันสามารถนําไปกลั่นแกล้งได้เพียงแค่คนธรรมดาเท่านั้นและมันจะไม่มีประโยชน์ในทันทีถ้าเกิดว่าเจอกับคนที่แข็งแกร่งมากจริง

ซึ่งร่างโคลนนิ่งพวกนี้มันก็เปรียบเสมือนกับขยะดี ๆ นี่เองไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น!

ซูเงินสามารถไล่จัดการร่างโคลนนิ่งได้อย่างง่ายดายแต่ทันใดนั้นจู่ๆเฮดจ์ฮอกก็ปรากฏตัวขึ้นมาด้านหน้าของซูเงินอย่างกะทันหันพร้อมกับยิ่งหนามออกมาจากทางด้านหลังของเขาอย่างรวดเร็วซึ่งท่าทางของเขาในตอนนี้ก็เต็มไปด้วยความมั่นใจและความเย่อหยิ่งแต่หลังจากนั้นไม่นานสีหน้าของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป

เพราะว่าตอนนี้มันมีค่อนขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาบนหัวของเฮดจ์ฮอกพร้อมกับทุบลงมาอย่างรุนแรงทําให้ใบหน้าของเฮดจ์ฮอกถึงกับลงไปจูบกับพื้นอย่างรุนแรงทําให้เฮดจ์ฮอกในตอนนี้รู้สึกเวียนหัวเป็นอย่างมากและพยายามที่จะตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาแต่ทันใดนั้นค้อนมันก็ทุบลงมาอีกครั้งหนึ่งอย่างรวดเร็ว

“ตูม!”

ฝุ่นฟุ้งกระจายเต็มไปหมด พร้อมกับค่อนขนาดใหญ่ที่ค่อยๆลอยขึ้นมาอย่าช้าๆซึ่งบนพื้นมันก็ไม่ได้มีร่างของเฮดจ์ฮอกอยู่ข้างใต้ค้อนอันนั้น

ทําให้ซ่เงินค่อย ๆ เหลือบไปมองด้านข้างของเขาเล็กน้อย ทําให้เขาเห็นว่าคัสลิสโตเป็นคนที่ช่วยเฮดจ์ฮอกเอาไว้จากการโจมตีของเขา

ซึ่งความเร็วของเธอในการที่เธอเข้ามาช่วยเฮดจ์ฮอกเอาไว้มันเร็วเป็นอย่างมาก และมันก็เกือบจะเทียบได้กับการเทเลพอร์ตเลยด้วยซ้ํา

แต่ถึงอย่างนั้นความเร็วของเธอมันก็ไม่สามารถเทียบเท่าได้กับซิลเวอร์เลยแม้แต่น้อย และนับประสาอะไรกับการเอาไปเทียบกับเดอะแฟลช ซึ่งความเร็วระดับนี้ก็ถือได้ว่าอยู่ในระดับที่ดีมากแล้ว

และเมื่อซูเงินคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นมา เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีอยู่คนหนึ่งที่มีความสามารถในการเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วโดยกฏของกาลเวลาก็ไม่สามารถหยุดยั้งเธอได้ซึ่งอยู่ภายในดันเจี้ยนซูเปอร์ฮีโร่!

หลังจากที่ซ่เงินคิดเรื่อยเปื่อยจนเลยเถิดได้ไม่นาน เขาก็เริ่มกลับมาตั้งสติได้อีกครั้ง ในขณะเดียวกันคัสลิสโตก็ปรากฏตัวขึ้นมาด้านหลังของซูเงินอย่างรวดเร็ว ซึ่งซ่เงินก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วเช่นกันในขณะที่เธอกําลังจะปรากฏตัวขึ้นมาซ่เงินก็ได้ต่อยไปที่จุดที่เธอจะปรากฏตัวขึ้นมาล่วงหน้าก่อนแล้ว ทําให้คัสลิสโตที่เห็นเช่นนั้นถึงกับตื่นตระหนกและรีบหลบหมัดของซูเงินอย่างรวดเร็วและทันใดนั้นร่างของเธอก็ปรากฏตัวขึ้นมาอีกด้านหนึ่งของซูเงินแต่ถึงอย่างนั้นไม่ว่าเธอจะเปลี่ยนทิศทางหรือตําแหน่งอย่างไรหมัดของซู่เจินก็จะนําหน้าเธอไปก้าวหนึ่งเสมอ

เมื่อเห็นว่าคัสลิสโตไม่สามารถต่อสู้กับซูเงินได้โคลนนิ่งก็เริ่มใช้ความสามารถของเขาขึ้นมาอีกครั้งแต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พบว่าความสามารถของเขามันไม่ยอมทํางานทันใดนั้นจู่ ๆ ซูเงินก็ปรากฏตัวขึ้นมาด้านหลังของโคลนนิ่งพร้อมกับจับไปที่ไหล่ของโคลนนิ่งและพาบินออกไปทันที

“เกิดอะไรขึ้น..”

โคลนนิ่งตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก และหลังจากนั้นไม่นานซูเจินก็กว้างร่างของโคลนนิ่งไปยังคัสลิสโตอย่างรวดเร็วทําให้ร่างของพวกเขาทั้งสองคนกระแทกเข้าหากันอย่างรุนแรงพร้อมกับกระเด็นออกไปในทันที

“ตูม!”

โคลนนิ่งค่อย ๆ ลุกขึ้นมาจากพื้นอย่างยากลําบาก ส่วนทางด้านของคัสลิสโตก็มีเลือดไหลออกมาจากมุมปากของเธอเล็กน้อยและในขณะที่โคลนนิ่งกําลังมองสํารวจไปที่อาการบาดเจ็บของคัสลิสโตทันใดนั้นซูเงินก็ปรากฏตัวขึ้นมาต่อหน้าของโคลนนิ่ง

“ระวัง รีบหนีไปเร็วเข้า!” คัสลิสโตรีบตะโกนเดือนขึ้นมาอย่างร้อนรน

โคลนนิ่งรีบหันหน้ากลับมามองตรงหน้าของเขาอย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างนั้นมันก็สายไปเรียบร้อยแล้ว

ตูม!

โคลนนิ่งรู้สึกเจ็บปวดที่ไหล่ของเขาอย่างรุนแรง ทําให้ตัวของเขาถึงกับทรุดลงกับพื้น พร้อมกับอาเจียนออกมาเป็นเลือดและหมดสติไปในทันที

“เสร็จไปสอง เหลืออีกสอง!”

ซูเงินส่ายไหล่ไปมาพร้อมกับพูดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “ยังไม่ได้อุ่นเครื่องเลยนะเนี้ย!”

“วิส!”

หลังจากพูดจบขู่เจินก็เอื้อมมือของเขาไปทางเฮดจ์ฮอกอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นร่างของเฮดจ์ฮอกก็บินทะลุหลังคาโรงงานออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับมีเสียงดังขึ้นมา ปัง ปัง ปังจากการกระแทกอยู่หลายครั้งติดต่อกันหลังจากนั้นซูเจินก็ยกเลิกพลังจิตของเขาออกไปทําให้ร่างเฮดจ์ฮอกถึงกับล่วงตกลงมากับพื้นอย่างรวดเร็วและนอนแน่นิ่งไป

“สาม!”

หลังจากนั้นซูเจินก็มองไปยังจักเกอร์นอทที่ยังไม่เคลื่อนไหวพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยความสนใจว่า “ดูเหมือนว่าคุณจะแตกต่างจากพวกเขาทั้งสามคนนั้นนะ ? ผมรู้สึกสนใจคุณขึ้นมาแล้วสิ คุณถูกเรียกว่าอะไรนะ … จักเกอร์นอทใช่ไหม ?คุณได้รับความสามารถนี้มาจากการกลายพันธ์หรือว่าตัวยาล่ะ ?”

ซูเงินจําได้ว่าจักเกอร์นอทในหนังสือการ์ตูนไม่ใช่คนนิ่ง ๆ แบบนี้ เขาเปรียบเสมือนกับเทพเจ้าแห่งความชั่วร้ายและมีความแข็งแกร่งอย่างมหาศาล ซึ่งมันก็เกือบเทียบเท่ากับฮัลค์ และระหว่างฮัคล์และจักเกอร์นอทก็เคยต่อสู้กันมาหลายครั้งมากแต่ถึงอย่างไรก็ตามหลังจากที่เขาได้กลายเป็นมนุษย์กลายพันธ์อยู่ในภาพยนตร์ความ แข็งแกร่งของเขาก็ลดลงอย่างมหาศาลดังนั้นซูเงินจึงอยากรู้ว่าเขาเป็นตัวละครที่อ้างอิงมาจากภาพยนตร์หรือว่าในหนังสือการ์ตูน? และเนื่องจากการที่เขาอยู่กับบราเธอร์ฮูดออฟมิวแทนต์สเขาก็น่าจะเป็นมนุษย์กลายพันธ์ใช่ไหม ?

“หลังจากที่ฉันจัดการคุณจนย่อยยับแล้ว คุณจะรู้คําตอบนั้นเอง” จักเกอร์นอทคํารามขึ้นมาพร้อมกับพุ่งตรงเข้าไปซ่เงินในทันที

ซึ่งความเร็วของจักเกอร์นอทก็ไม่ได้เร็วมากนักในตอนแรก แต่ถึงอย่างนั้นเวลาที่เขาวิ่งมามันก็ทําให้พื้นดินถึงกับสั่นสะเทือนเพราะร่างกายที่ใหญ่โตและทรงพลังของเขา ตูม ตูม หลังจากนั้นไม่นานความเร็วของเขาก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นมากเรื่อย ๆ ทําให้บรรยากาศโดยรอยเต็มไปด้วยความกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายสีแดงที่ใหญ่โตราวกับภูเขา หน้ากากที่ปกปิดใบหน้าเอาไว้บวกกับวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทําให้ซ่เงินไม่สามารถทําเป็นเล่นได้อีกต่อไป!

ตูม!

ซูเงินใช้พลังของแหวนในการเปลี่ยนมันให้เป็นกําแพงหนาขนาดใหญ่ขึ้นมาเบื้องหน้าของจักเกอร์นอทอย่างรวดเร็ว และเมื่อจักเกอร์นอทเห็นกําแพงอยู่เบื้องหน้า เขาก็เอาหัวพุ่งชนไปที่มันในทันที

“ตูม!”

กําแพงถูกทําลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในทันที

ในขณะที่ซูเงินกําลังจะสร้างกําแพงอันใหม่ขึ้นมาป้องกันจักเกอร์นอท เขาก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมา กกับพลังทําลายล้างของจักเกอร์นอท

ถึงแม้ว่าพลังงานของแหวนกรีนแลนเทิร์นจะไม่ได้แข็งแกร่งมากขนาดนั้น แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่น่าจะทําลายได้ง่ายดายขนาดนั้น และนี่ก็ถือว่าเป็นครั้งแรกด้วยที่มีคนที่สามารถทําลายกําแพงที่สร้างขึ้นมาจากพลังงานของกรีนแลนเทิร์นได้ ? สมกับการที่เขาเป็นจักเกอร์นอท… น่าสนใจมาก! มุมปากของซูเงินยกขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับใช้พลังงานของแหวนขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ใช่กับจักเกอร์นอท แต่เป็นวินเทอร์โซเจอ

เพราะว่าในขณะที่ซ่เงินกําลังต่อสู้กับพวกมนุษย์กลายพันธ์อยู่ เขาก็สังเกตเห็นว่าวินเทอร์โซลเจอร์กําลังจะฆ่านิคฟิวรี่

มีกลุ่มก้อนพลังงานสีเขียวพุ่งเข้าไปปกคลุมที่ร่างของวินเทอร์โซลเจอร์อย่างรวดเร็ว พร้อมกับตรงร่างของวินเทอร์โซลเจอร์เอาไว้กับกําแพงทันใดนั้นกุญแจมือที่ล็อคนิคฟิวรี่อยู่ก็ขาดออกจากกันในทันทีทําให้นิคฟิวรี่ขยับข้อมือไปมาและค่อยๆ ลุกขึ้นยืนพร้อมกับพูดว่า “เดี๋ยวฉันช่วยคุณอีกแรง!”

“หยุดสร้างปัญหาให้กับผมได้แล้ว เอาล่ะ! คุณรีบไปหาที่ซ่อนตัวเดี๋ยวนี้เลย คุณรู้ใช่ไหมว่าควรจะไปที่ไหน ? ในที่สุดผมก็ได้เจอกับคู่ต่อสู้ที่ค่อนข้างน่าสนใจสักที มาสิ! มาทําให้ผมได้สนุกมากกว่านี้!” ซูเงินตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น

เขาต้องการให้นิคฟิวรี่รีบออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุดและหลังจากนั้นภารกิจมันจะเสร็จสมบูรณ์และเขาก็จะสามารถต่อสู้กับจักเกอร์นอทได้อย่างเต็มที่

ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ…

นิคฟิวรี่ยิ้มขึ้นมาอย่างขมขึ้นพร้อมกับหันหลังเดินจากไปอย่างช่วยไม่ได้

และเมื่อร่างของนิคฟิวรี่เดินหายไป ซูเงินก็ได้รับแจ้งเตือนจากระบบว่าภารกิจเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว

ตอนที่ 158 หนึ่งต่อสี่!

เฮ้อ!

หลังจากที่ทราบสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว ซู่เจินก็เตรียมตัวที่จะออกไปทําภารกิจให้มันเสร็จสิ้นสักที แต่ทันใดนั้นประตูห้องของสตีฟก็เปิดขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับชารอนที่เดินเข้ามาภายในห้องอย่างช้า ๆ และเธอก็ค่อย ๆ มองสํารวจไปยังซู่เจินและโทดที่นอนกองอยู่บนพื้น พร้อมกับถามขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า “เกิดอะไรขึ้น อย่างงั้นหรอ ? เมื่อกี้ฉันได้ยินเสียงปืนดังขึ้นมา และสตีฟที่วิ่งออกไปอย่างรีบร้อน”

“มันเกิดอุบัติเหตุขึ้นเล็ก ๆ น้อย ๆ น่ะ” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

ชารอนรู้สึกนุนงงเล็กน้อยกับคําตอบของซู่เจิน เพราะเธอไม่คิดว่าอุบัติเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ มันจะมีเสียงปืนดังขึ้นมาพร้อมกับมีร่างของใครบางคนกําลังนอนกองอยู่กับพื้นหรอกนะ ?

“ไม่ต้องกังวล ผมสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ เพราะงั้นสิ่งที่คุณควรจะทาในตอนนี้ก็คือกลับไปที่ห้องของคุณ และพักผ่อนหรือจะทําอะไรก็แล้วแต่คุณ” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม ซึ่งชารอนก็ยังไม่ได้เชื่อคําพูดทั้งหมดของซู่เจิน เพราะเธอคิดว่าเสียงปืนที่เธอได้ยินมันคงจะไม่ใช่อุบัติเหตุเล็กน้อยอย่างแน่นอน ซึ่งเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทําไมเวลาเธอมองไปที่การแสดงออกที่สงบนิ่งและมั่นคงของซู่เจินเธอจึงเผลอคิดว่าไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไร เขาก็สามารถจัดการมันได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะเสียงของเขาที่เวลาเธอได้ยินมันเมื่อไหร่มันจะทําให้เธอรู้สึกปลอดภัยและรู้สึกโล่งใจอย่างผิดปกติ

ชารอนดูงุนงง แต่ในใจของเธอ เธอสงสัยว่าอุบัติเหตุคืออะไรและใครคือชายที่นอนอยู่ใต้ดิน

“ถ้าอย่างนั้น…ฉันขอตัวกลับก่อนนะ คุณ … คุณระวังตัวด้วย” ชารอนพูดขึ้นมาด้วยความกังวลเล็กน้อย พร้อมกับหันหลังและเดินกลับไปที่ห้องของเธอ

และหลังจากที่ชารอนจากไปแล้ว ซู่เจินก็เตรียมตัวที่จะจากไปเช่นกัน

“เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งไปสิ ฉัน … ฉันควรทําอย่างไรดี”

เมื่อเห็นว่าซู่เจินกําลังจะจากไป โท้ดก็รีบลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับถามซูเจนขึ้นมาด้วยความมึนงง

เมื่อซู่เจินได้ยินเช่นนั้นเขาก็มองไปยังโทดราวกับว่าเขาเป็นคนโง่ เพราะว่าโท้ดได้ถามออกมาโดยไม่คิดเลย

และเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาโท้ดก็ถือว่าเป็นคนที่น่าสงสารพอสมควร เพราะไม่ว่าเขาจะน่าตาขี้เหร่แล้ว เขายังน่ารังเกียจอีกด้วย ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าความสามารถของโทดจะแข็งแกร่งหรือเท่มากแค่ไหน มันก็คือความสามารถของคางคกดี ๆ นี่เอง ดังนั้นแล้วเขาจึงขาดความมั่นใจในตัวเองเป็นพิเศษ และตราบใดที่มีคนใส่ใจในตัวของเขาสักนิดเขาก็คงจะยอมเป็นลูกน้องของคน ๆ นั้นอย่างเต็มใจ ซึ่งแม็กนีโตก็คือคนแรกที่เห็นคุณค่าในตัวของเขา

เนื้อแท้ของเขาแล้วเขาก็ไม่ใช่คนเลว!

“เป็นตัวประกัน เพราะไม่แน่บางที่คุณอาจจะนําไปต่อรองในการช่วยนิคฟิวรี่ได้” ซู่เจินส่ายหัวขึ้นมาเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็เอื้อมมือออกไปคว้าตัวของโท้ดเอาไว้ พร้อมกับทิวทัศน์เบื้องหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากตอนแรกที่อยู่ภายในห้องของกัปตันอเมริกา มันก็เปลี่ยนเป็นโรงงานร้างแห่งหนึ่ง

และหลังจากที่โทดลองมองสํารวจไปรอบ ๆ แล้วเขาก็พบว่าที่นี่มันก็คือฐานชั่วคราวของพวกเขาก่อนหน้านี้ ? และเมื่อเขากําลังจะพูดอะไรบางอย่างขึ้นมา ทันใดนั้นเขาก็พบตอนนี้เขากําลังถูกขังอยู่ภายในห้องขังสีเขียว

หลังจากที่ซู่เจินจัดการเรื่องของโท้ดเรียบร้อยแล้ว เขาก็ก้าวเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวพร้อมกับเฝ้ามองไปที่กลุ่มคนที่อยู่ข้างหน้าของเขาอย่างระมัดระวัง

พวกเขามีกันทั้งหมด 4 คน

คัสลิสโตยืนอยู่ด้านซ้ายสุด ถัดมาจากเธอก็คือชายคนหนึ่งที่มีท่าทางราวกับว่าเขาเป็นคนเอเชีย ใบหน้าและร่างกายของเขาเต็มไปด้วยหนามคล้ายกับเม่น ถัดไปก็มีชายคนหนึ่งที่กําลังสวมหมวกหน้ากากอยู่ ร่างกายของเขาสูงใหญ่เต็มไปด้วยหมัดกล้าม และอีกคนหนึ่งก็คือชายคนหนึ่งที่มีท่าทางราวกับคนงี่เง่า!

คัสลิสโต, เฮดจ์ฮอก, จักเกอร์นอท และ โคลนนิ่ง ?

ซึ่งไม่ไกลจากพวกเขาทั้ง 4 คนก็มีวินเทอร์โซลเจอร์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นิคฟิวรี่ โดยมือของนิคฟิวรี่ถูกมัดติดเอาไว้กับท่อ และใบหน้าของวินเทอร์โซลเจอร์ในตอนนี้ก็ดูซีดเล็กน้อย เพราะว่าเขาเพิ่งจะตื่นจากการหมดสติเมื่อไม่นานมานี้

“แม็กนีโตไปไหนล่ะ ?”

เมื่อซู่เจินลองมองไปรอบ ๆ จนทั่วแล้วไม่เจอกับแม็กนีโต มันก็ทําให้เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

“ซู่เจิน พวกเราไม่ได้อยากเป็นศัตรูกับคุณ และเรื่องนี้มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณเลยด้วย ซึ่งคุณก็ได้ฆ่าอาร์ทไลท์ไปแล้วด้วย ดังนั้นถ้าเกิดว่าคุณยอมถอยกลับไปแต่โดยดี แม็กนีโตจะไม่เอาเรื่องคุณที่คุณได้ฆ่าอาร์ทไลท์ไปอย่างแน่นอน… “คัสลิสโตพูดขึ้นมาด้วยน้ําเสียงจริงจัง

ดูเหมือนว่าคัสลิสโตจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มคนพวกนี้

“ตั้งแต่ที่คุณได้ช่วยวินเทอร์โซลเจอร์หนีไป เรื่องนี้มันก็ได้เกี่ยวข้องกับผมโดยตรงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องของแม็กนีโต เพราะว่าผมจะเป็นคนที่ไปหาเขาด้วยตัวเอง ซึ่งตอนนี้ผมก็มีทางเลือกให้พวกคุณสองทางเลือก ทางเลือกที่หนึ่ง : ปล่อยตัวของนิคฟิวรี่และรีบหนีไปให้พ้นจากสายตาของผมซะ เอ่อ.. ฝากบอกแม็กนีโตด้วยว่าให้เตรียมตัวเตรียมใจรอไว้ได้เลย เพราะอีกไม่นานผมจะไปจัดการกับเขาอย่างแน่นอน ส่วนทางเลือกที่สองนั้น… ผมจะจัดการกับพวกคุณทั้งหมดและพาตัวของนิคฟิวรี่ออกมา”

“คุณมันบ้าหรือโง่กันแน่ ? พวกเรามีกันตั้ง 4 คน คุณคิดว่าเพียงแค่คุณคนเดียวจะชนะพวกเราได้อย่างงั้นหรอ ?” เฮดจ์ฮอกส่ายหัวและพูดขึ้นมาอย่างเย่อหยิ่ง

“คุณไม่สนใจเขาหน่อยหรอ ?”

ซู่เจินชี้ไปที่โทดที่ถูกขังอยู่ภายในกําแพง

เมื่อโท้ดได้ยินเช่นนั้นเขาก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาในทันที

“เขาน่ะหรอ ? เขามันก็แค่ขยะดี ๆ นี่เอง และการที่พวกเราจะช่วยคนที่ไม่สามารถทําภารกิจได้สําเร็จมันจะไปมีประโยชน์อะไรจริงไหม ?” โคลนนิ่งพูดขึ้นมาอย่างดูถูกและพูดต่อว่า “ถ้าเกิดว่าคุณจะเอาเขามาต่อรองละก็ … คุณคิดผิดแล้ว และถ้าเกิดว่าคุณช่วยฆ่าเขาไปก่อนหน้านี้มันก็คงจะดีมากกว่านี้ซะอีก เพราะมันเหมือนกับว่าคุณช่วยกําจัดขยะทําให้โลกใบนี้มันสะอาดมากยิ่งขึ้นไปอีกชิ้นหนึ่ง”

“คุณแน่ใจนะ ? ถ้าเกิดว่าแม็กนีโต… ” ในขณะที่ซู่เจินกําลังพูดอยู่ ทันใดนั้นโคลนนิ่งก็พูดแทรกขึ้นมาอย่างหมดความอดทนว่า “นี่เป็นสิ่งที่แม็กนีโตได้บอกกับพวกเราเอาไว้ด้วยตัวของเขาเอง ดังนั้นล้มเลิกความคิดที่จะเอาเขามาต่อรองหรือแลกตัวกับนิคฟิวรี่ได้เลย และถ้าเกิดว่าคุณอยากจะฆ่าเขาก็เชิญฆ่าได้เลย!”

ซู่เจินเหลือบมองไปที่โทดเล็กน้อย ซึ่งโทดในตอนนี้ก็เต็มไปด้วยความโกรธที่เขาถูกหักหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขารู้ความจริงว่าแม็กนีโตเป็นคนที่ทํากับเขาแบบนี้ มันก็ทําให้เขาถึงกับทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความสิ้นหวังและความเสียใจ

ถึงแม้ว่าซู่เจินจะรู้อยู่แล้วว่าตัวของโท้ดมันไม่สามารถนําไปแลกกับตัวนิคฟิวรี่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อยากให้โท้ดได้รู้ว่าคนที่เขากําลังทํางานให้อยู่เป็นคนแบบไหน และคิดดีแล้วใช่ไหมที่ได้ไปติดตามเขา

“หนึ่งต่อสี่ ? สําหรับคนประเภทพวกคุณแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะมีเป็นสิบยี่สิบคนมันก็ไม่ได้ต่างกันเลย และคุณยังบอกอีกว่าโท้ดได้ถูกแม็กนีโตทิ้งไปแล้ว ? และถ้าเกิดว่าแม็กนีโตพูดขึ้นมาอย่างนั้นจริง ๆ เขาก็น่าจะมีที่นี่ด้วยตัวของเขาเอง โดยไม่ฝากคําพูดมากับพวกคุณทั้งสี่คนหรอก เพราะว่าคนแบบเขาคงไม่ยอมทําอะไรแบบนี้อย่างแน่นอน”

ซู่เจินมองไปที่พวกเขาทั้งสี่คนพร้อมกับส่ายหัวขึ้นมาเบา ๆ ทันใดนั้นมันก็มีชุดอนุภาคอีเทอร์ปรากฏขึ้นมาบนร่างกายของซู่เจินอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นซู่เจินก็ค่อย ๆ ยื่นมือของเขาออกไปพร้อมกับกระดิกนิ้วท้าทายไปยังพวกเขาทั้งสี่คน

“ผมให้พวกคุณเริ่มก่อนเลย ไม่งั้นผมเกรงว่าพวกคุณจะไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว!”

“ฮึ!”

คําพูดของซู่เจินทําให้โคลนนิ่งถึงกับหงุดหงิดหลังจากนั้นเขาก็สูดหายใจเข้าไปลึก ๆ พร้อมกับร่างกายของเขาที่สั่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และค่อย ๆ แยกร่างออกมาจํานวนมากมายอย่างรวดเร็ว พร้อมกับพุ่งเข้าไปหาซู่เจิน ในทันที ในขณะเดียวกันเฮดจ์ฮอกถึงอกหนามออกมาจากด้านหลังของเขา

“นายไม่เอาด้วยกับพวกเขาหรือไง ?” เมื่อคัสลิสโตเห็นว่าจักเกอร์นอทยังยืนอยู่กับที่ เธอก็เลยถามขึ้นมาด้วยความสงสัยเล็กน้อย ในขณะเดียวกันซู่เจินก็พูดขึ้นมาด้วยความเยาะเย้ยว่า “ยังมีคนที่กล้าท้าทายผมอยู่สินะ สงสัยว่าพวกเขาจะสะกดคําว่า “ตาย” ไม่เป็นสินะ”

ตอนที่ 157 แส่มาหาความตายด้วยตัวเอง ?

ซู่เจินตั้งตาคอยอย่างใจจดใจจ่อ พร้อมกับจ้องมองไปที่ร่างของคน ๆ นั้นด้วยแววตาตื่นเต้น ๆ เพื่อดูว่าเขาคนนั้นเป็นใคร ใครที่จะมาทําหน้าที่แทนวินเทอร์โซลเจอร์ในการฆ่านิคฟิวรี่ภายในบ้านของกัปตันอเมริกา ? โดยเฉพาะการใช้วิธีในการลอบเร้นเข้ามาแบบนี้ แทนที่จะเข้ามาซึ่ง ๆ หน้า แสดงว่าเขาคนนั้นจะต้องเชี่ยวชาญในการลอบสังหาร

ซึ่งก็ถือว่าเขาเป็นคนที่กล้าหาญมากเลยทีเดียว และเขาก็จะต้องมั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเองเป็นอย่างมาก

เพราะว่ามันมีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ฆ่านิคฟิวรี่ต่อหน้าของกัปตันอเมริกา ซึ่งมันก็ไม่ได้รวมถึงไฮดราหรือแม็กนีโตที่มีความแข็งแกร่งมากเพียงพอที่จะทําแบบนั้นได้ ดังนั้นมันจึงทําให้ซู่เจินรู้สึกสนใจมากเป็นพิเศษว่าเขาคนนั้นที่กล้าบุกเข้ามาฆ่านิคฟิวรี่ในบ้านของกัปตันอเมริกาจะเป็นใครกันแน่!

หลังจากที่เขาคนนั้นเดินเข้ามาจากทางหน้าต่าง เขาก็ค่อย ๆ เดินไปที่ห้องนั่งเล่นอย่างช้า ๆ ทําให้ซู่เจินสามารถมองเห็นรูปร่างและหน้าต่างของเขาได้

“เอ่อ … เขาเป็นใคร ?” ซู่เจินจ้องมองไปที่ชายคนนั้นเป็นเวลานาน แต่เขาก็ไม่รู้ว่าชายคนนี้เป็นใครกันแน่ ซึ่งมันก็แปลกมากที่เขาจะไม่รู้จักคนที่มีความกล้าบุกเข้ามาในบ้านของกัปตันอเมริกาแบบนี้ ยกเว้นว่า …

ในขณะเดียวกันชายคนนั้นก็ดูเหมือนว่าเขาจะมองเห็นอะไรบางอย่าง ทําให้เขารีบหยิบปืนออกมาและลั่นไกทันที ปัง! ปัง! ลูกกระสุนตรงไปที่โซฟาอย่างรวดเร็ว และเมื่อเขายิงเสร็จทันใดนั้นเขาก็อ้าปากออกมาแบบแปลก ๆ พร้อมกับแลบลิ้นออกมา

“เชี่*!”

เมื่อซู่เจินเห็นลิ้นที่ยื่นออกมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะสบถออกมา

ซึ่งตอนแรกเขาก็คิดว่าใครกันแน่ที่จะมีความมั่นใจถึงกับกล้ารับภารกิจของวินเทอร์โซลเจอร์มาทํา ? และ ตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่ามันเป็นใคร นั่นก็คือ … โท้ด!

แล้วความสามารถของโท้ดมันมีอะไรบ้าง ? กล้ามเนื้อขาที่แข็งแกรงทําให้เขาสามารถกระโดดได้สูงมาก ลิ้นของเขาสามารถยืดยาวออกไปได้เกือบ 6 – 7 เมตร และลิ้นของเขาก็ยังสามารถนํามาใช้โจมตีได้อีกด้วย ในขณะเดียวกันเขาก็สามารถหลั่งกาวที่แห้งเร็วออกมาได้ ซึ่งมันก็สามารถนําไปใช้ในการสร้างกับดักได้ด้วยเช่น กัน และยังไม่หมดแค่นั้นมือและเท้าของเขายังสามารถหลั่งเมือกชนิดหนึ่งออกมาได้ ทําให้เขาสามารถปีนป่ายบนกําแพงได้อย่างรวดเร็ว

และด้วยความสามารถเหล่านี้ มันก็ไม่ได้ติดหนึ่งในอันดับมนุษย์กลายพันธ์ที่แข็งแกร่งเลย แถมมันจะออกไปทางอ่อนแอกว่าอาร์คไลท์ก่อนหน้านี้ด้วยซ้ํา ซึ่งซู่เจินก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปเอาความกล้ามาจากไหนถึงได้มาฆ่านิคฟิวรี่ในบ้านของกัปตันอเมริกา ?

หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า แส่มาหาความตายด้วยตัวเอง ?

ผิดหวัง…มันน่าผิดหวังมากจริง ๆ !

ซึ่งในตอนแรกที่ซู่เจินสร้างภาพลวงตาขึ้นมาก็เพื่อที่จะดูว่าคนที่กล้าบุกเข้ามาคนนั้นเป็นใครกันแน่ บวกกับคิดแผนไปด้วยว่าจะทําไรต่อไปดี แต่ในตอนนี้ซู่เจินคิดว่าการสร้างภาพลวงตาของเขามันสิ้นเปลื้องพลังงานมากเกินไป และมันก็ไม่คุ้มค่าที่จะเอามาใช้กับโท้ดคนนี้

“เดี๋ยวผมจะเอาภาพลวงตาออกให้ ดังนั้นผมฝากคุณจัดการชายคนนั้นด้วย” ขู่เจินหันไปพูดกับสตีฟพร้อมกับเหลือบมองไปที่นิคฟิวรี่เล็กน้อย แน่นอนว่าซู่เจินพูดขึ้นมาโดยไม่ได้ใช้โทรจิตเลยแม้แต่น้อย

“เกิดอะไรขึ้น ทําไมคุณ … ทําไมคุณถึงได้ไม่ตาย ฉันยิง …” โท้ดพูดขึ้นมาด้วยความตกตะลึง เมื่อเขาสังเกตเห็นกัปตันอเมริกาที่เขาเพิ่งจะฆ่าไปได้หายตัวไปในพริบตา

และเมื่อเขาลองหันกลับไปมองด้านหลังเขาก็พบว่ากัปตันอเมริกากําลังยืนอยู่ตรงมุมของห้องพร้อมกับนิคฟิวรี่ โดยที่พวกเขาไม่มีบาดแผลเลยแม้แต่น้อย แถมเขายังเห็นใครอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากกัปตั อเมริกาอีกคนหนึ่ง!

ในขณะเดียวกันโท้ดเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าสิ่งที่เขาเห็นเมื่อกี้มันเป็นภาพลวงตา ทําให้เขาตะโกนขึ้นมาด้วย ความตื่นตะหนกพร้อมกับรีบยกปืนขึ้นมาและยิงไปที่นิคฟิวรี่อย่างรวดเร็ว

“ติ๊งติ้งติ้ง!”

สตีฟที่เห็นเช่นนั้นเขาก็รีบยกโล่ขึ้นมาป้องกันกระสุน และพุ่งเข้าไปหาโท้ดอย่างรวดเร็วพร้อมกับปาโล่ไปทางโท้ดอย่างรุนแรง ทําให้ร่างของโทดที่โดนโล่ของสตีฟกระแทกเข้าไปถึงกับกระเด็นไปติดกับกําแพง พร้อมกับโล่ของสตีฟที่กระเด้งกลับมาอยู่ในมือของสตีฟในทันที โดยไม่สนหลักการทางวิทยาศาสตร์เลยแม้แต่น้อย

ร่างของโท้ดที่ถูกกระแทกอย่างรุนแรงค่อย ๆ ตกลงมากระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง ในขณะเดียวกันสตีฟก็เดินเข้ามาเหยียบร่างของโทดเอาไว้พร้อมกับโล่ในมือของเขา โดยเอาโล่ของเขากดไปที่คอของโท้ดเอาไว้

“อย่าขยับ!”

โท้ดไม่กล้าที่จะขัดคําสั่งของสตีฟ หลังจากนั้นสตีฟก็ค่อย ๆ เอื้อมมือไปหยิบปืนจากมือของโทดออกมา และโยนมันทิ้งไปพร้อมกับถามขึ้นมาว่า “คุณมาที่นี่ทําไม ? ใครเป็นคนส่งคุณมาที่นี่ ?”

“ผมก็บอกกับคุณไปแล้วไงกัปตัน คุณจะไปถามกับเขาอีกเพื่อ ?” เมื่อเห็นว่าสตีฟกําลังจะสอบปากคําโท้ด ซู่เจินก็อดไม่ได้ที่จะบ่นขึ้นมา หลังจากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาต่อว่า “ส่วนเรื่องที่ว่าใครเป็นคนส่งเขามามันก็ต้องเป็น แม็กนีโตอยู่แล้ว”

“แม็กนีโตเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก ๆ ดังนั้นแล้วเขาจึงมีมนุษย์กลายพันธ์อยู่มากมายภายใต้คําสั่งของเขา และการที่เขาส่งมนุษย์กลายพันธ์ที่กระจอกแบบนี้มา ผมก็บอกได้คําเดียวเลยว่า เขากําลังดูถูกคุณอยู่!”

เมื่อนิคฟิวรี่ได้ยินเช่นนั้นเขาก็พูดขึ้นมาว่า “คนที่กล้าดูถูกฉัน มันจะต้องจ่ายด้วยราคาที่เหมาะสม

“ชิ… ทําเป็นพูดโอ้อวด คุณรู้ไหมถ้าเกิดว่าวันนี้คุณไม่มีผมอยู่ละก็คุณได้ตายไปเรียบร้อยแล้ว เพราะเพียงแค่วินเทอร์โซลเจอร์คนเดียวก็สามารถฆ่าคุณได้แล้ว ซึ่งหลังจากที่คุณจากไปได้ไม่นานมันก็ยังมีมนุษย์กลายพันธ์มาเพิ่มอีกสองคน แถมในตอนนี้แม็กนีโตก็กําลังร่วมกับไฮดราอยู่อีกด้วย แล้วคุณจะเอาอะไรไปจัดการกับพวกเขาได้ ? เงินอย่างงั้นหรอ ?” ซู่เจินพูดขึ้นมาพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย ซึ่งเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่านิคฟิวรี่ไป เอาความมั่นใจนี้มาจากไหน

“ฉันก็ยังมีคุณอยู่นี่ไง” นิคฟิวรี่มองไปที่ซู่เจินพร้อมกับพูดขึ้นมา “ถึงแม้ว่าคุณจะบอกกับฉันว่าที่คุณมาช่วยฉันก็เพราะว่านาตาชา ซึ่งฉันก็คิดว่ามันไม่น่าจะใช่อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาไม่ได้ดูถูกเพียงแค่ฉันเท่านั้น แต่มันยังรวมถึงคุณอีกด้วย เพราะว่าพวกเขาน่าจะรู้ว่าคุณน่าจะอยู่ที่นี่และกําลังปกป้องฉันอยู่อย่างแน่นอน เขาถึงได้ส่งคน ๆ นี้มา … “

“อันที่จริงแล้ว ผมรู้สึกเกลียดคุณเป็นอย่างมาก ดังนั้นแล้วมันจึงเป็นเรื่องยากมากที่คุณจะยืมมือผมในการฆ่าใครซักคนด้วยคําพูดเพียงไม่กี่คํา บวกกับตอนนี้ที่คุณกําลังเกลี้ยกล่อมผมอยู่ คุณคิดว่าผมโง่มากสินะ ?” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยความโกรธเล็กน้อยก่อนที่จะพูดขึ้นมาต่อว่า “เอาล่ะ! ครั้งนี้ผมจะช่วยคุณสักเล็กน้อยก็แล้วกัน แต่ปัญหาที่ตามมาที่หลังผมขอไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยก็แล้วกัน”

“เฮ้ แม็กนีโตส่งคุณมาที่นี่เพียงคนเดียวอย่างงั้นหรอ ?” ซู่เจินหันไปถามกับโท้ด

ซึ่งเหตุผลที่ซู่เจินหันไปถามกับโท้ดแบบนั้นก็เพราะว่าตอนนี้ระบบมันยังไม่แจ้งว่าภารกิจได้เสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นมันก็แสดงว่าภารกิจในครั้งนี้มันยังไม่เสร็จ

“ฉัน … ฉันไม่รู้!” โท้ดพูดขึ้นมาพร้อมกับส่ายหัว

“คุณคิดว่าพวกเราจะเชื่อคําพูดของคุณอย่างงั้นหรอ ?” สตีฟพูดถามขึ้นมาด้วยน้ําเสียงที่ลึกล้ํา

ซู่เจินส่ายหัวและพูดว่า “มันไม่สําคัญหรอก เพราะถึงแม้ว่าคุณจะไม่พูดมันออกมา ผมก็มีวิธีอื่นในการที่จะทําให้รู้เกี่ยวกับมัน” หลังจากพูดจบซู่เจินก็ใช้ความสามารถในการอ่านใจของเขาขึ้นมา

หลังจากนั้นไม่นานซู่เจินก็ขมวดคิ้วขึ้นมา

“เกิดอะไรขึ้น ?”

สตีฟถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

“เขาพูดความจริง …” หลังจากที่ซู่เจินลองอ่านใจโทดดูแล้วซู่เจินก็พบว่าโท้ดนั้นไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้จริง ๆ ว่าแม็กนีโตได้ส่งคนอื่นมาอีกหรือเปล่า หรือจะเป็นเพียงแค่โทดคนเดียว แต่ที่แน่ ๆ ในตอนนี้ที่ซู่เจินรู้ก็คือไฮดราไม่ได้เป็นคนที่ส่งโท้ดมาอย่างแน่นอน

ทันใดนั้นซู่เจินก็ได้ยินเสียงนิคฟิวรี่ร้องขึ้นมาอย่างกะทันหันพร้อมกับร่างของนิคฟิวรี่ที่หายไป และทันใดนั้นมันก็มีเสียงปิดประตูดังขึ้นมาอย่างรุนแรง

สตีฟถึงกับชะงักเล็กน้อยและรีบวิ่งไล่ตามไปทันที

ส่วนทางด้านของซู่เจินก็ยังไม่ได้ขยับไปไหน เพราะเขารู้ดีว่าใครเป็นคนที่ลักพาตัวของนิคฟิวรี่ และเมื่อเขาลองนึกถึงเนื้อหาของภารกิจดูดี ๆ แล้ว เขาก็รู้แล้วว่าปัญหาของมันอยู่ตรงไหน

ตอนที่ 156 รอ

ชารอนมองไปที่ซู่เจินอย่างสับสน ในขณะเดียวกันซู่เจินก็มองมาที่เธอด้วยรอยยิ้ม หรือว่าเขาจะรู้ว่าเธอเป็นใคร ? ไม่สิมันเป็นไปไม่ได้หรอก!”

เพราะว่าตัวตนของเธอนั้นถูกเก็บเอาไว้เป็นความลับ รวมถึงเธอก็ไม่ได้ทําภารกิจของ SHIELD มากมายขนาดนั้น และเธอก็ไม่ได้เป็นสายลับระดับสูงของ SHIELD อีกด้วย ดังนั้นแล้วเขาจะรู้เกี่ยวกับตัวตนของเธอได้อย่างไรจริงไหม ?

และ ..

ทันใดนั้นชารอนก็นึกข้อมูลเกี่ยวกับตัวตนของซูเจนขึ้นมาได้ โดยในข้อมูลมันได้เขียนเอาไว้ว่าที่มาของซู่เจินนั้นลึกลับเป็นอย่างมาก และเขาก็มีความสามารถในการกลืนกินความสามารถของคนอื่น ซึ่งความสามารถที่เขาได้กลืนกินไปมันก็มี ความสามารถของปีศาจเพลิง จอห์น และความสามารถของ คนพลังไฟ จอห์นนี่ สตอร์ม ที่ในตอนนี้ก็ยังไม่สามารถหาวิธีฟื้นฟูความสามารถของเขากลับมาได้

และมันก็ยังมีอีกอย่างที่สําคัญไม่แพ้กันนั่นก็คือ เขามีผู้หญิงอยู่ข้างกายเยอะมาก

ซึ่งก็ดูเหมือนว่าในตอนนี้เขากําลังเล็งมาที่ตัวเธอ ?

“ฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณพูดขึ้นมา” ชารอนพูดขึ้นมาอย่างใจเย็น

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยและพูดว่า “ผมคิดว่าสตีฟจะบอกข้อมูลเกี่ยวกับผมให้คุณรู้อยู่ก่อนแล้วซะอีก ดูเหมือนว่าผมจะเข้าใจผิดสินะ”

“มันจะเป็นอย่างงั้นได้อย่างไร ? เพราะว่าฉันและสตีฟเป็นแค่เพื่อนบ้านกันเท่านั้น” ชารอนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

ซู่เจินพยักหน้าขึ้นมาเล็กน้อยและไม่ได้พูดอะไรต่อ ทําให้บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความเงียบและความอึดอัดในทันที

แน่นอนว่าชารอนนั้นรู้จักตัวตนของซู่เจินเป็นอย่างดี ซึ่งซู่เจินก็สามารถรู้เรื่องนี้ได้เช่นกันเพราะว่าเขาได้ยินสิ่งที่เธอกําลังคิดอยู่ภายในจิตใจได้อย่างชัดเจน และเนื่องจากการที่ชารอนมีความคิดเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงของเขาที่อยู่มากมายด้วย ทําให้ซู่เจินจึงไม่กล้าที่จะหยอกล้อเธออีกต่อไป เพราะไม่งั้นเจตนาของเขามันจะชัดเจนมากเกินไป และทําให้สถานการณ์มันจะยิ่งอึดอัดมากขึ้นไปอีก

ในขณะที่บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัด ชารอนก็อยากที่จะพูดอะไรบางอย่างขึ้นมาเพื่อทําให้บรรยากาศ ในตอนนี้มันผ่อนคลายลง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี ซึ่งตามปกติแล้วเธอเป็นคนที่พูดเก่งมาก ๆ แต่เนื่องจากในตอนนี้เธอกําลังรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะคําพูดของซู่เจินเมื่อครู่นี้ มันจึงทําให้เธอสมองของเธอคิดไม่ออกเลยว่าจะพูดอะไรขึ้นมาดี

ซึ่งซู่เจินก็สามารถได้ยินเสียงที่อยู่ภายในจิตใจของเธอพูดอยู่ตลอดเวลาว่า รีบพูดอะไรออกมาสักอย่างสิ, รีบพูดหัวข้อออกมา , มันจะน่าอายเกินไปแล้ว เป็นต้น ดังนั้นซูเจินจงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ เมื่อได้ยินความคิดของเธอ

“ในเมื่อคุณทํางานอยู่ทุกวันแบบนี้ คุณก็คงจะไม่มีเวลาพักผ่อนหรือผ่อนคลายมากนักใช่ไหม ? และในวันหยุด คุณอยากไปเที่ยวที่ไหนมากที่สุดอย่างงั้นหรอ ?” ซู่เจินพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน และเมื่อชารอนได้ยินเช่นนั้นเธอก็ร้องอุทานขึ้นมาด้วยความดีใจ

“ประเทศจีน!” ชารอนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้นมา

“ประเทศจีน ? หรือที่คุณสนใจในประเทศจีน มันจะเพราะว่าผมบอกกับคุณว่าผมเป็นคนจีนอย่างงั้นหรอ ?” ซู่เจินถามขึ้นมา

ชารอนส่ายหัวและพูดขึ้นมาอย่างจริงจังว่า “ไม่ใช่อย่างแน่นอน เพราะที่ฉันสนใจในประเทศจีนก็เพราะว่าประเทศจีนมีอาณาเขตที่กว้างใหญ่ไพศาล และมีมรดกทางวัฒนธรรมอยู่มากมาย แถมยังมีทิวทัศน์ที่สวยงาม โดยเฉพาะกําแพงเมืองจีนที่เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ซึ่งมันก็เป็นเรื่องยากเป็นอย่างมากที่จะจินตนาการ ได้ว่ามันถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ดังนั้นแล้วถ้าเกิดว่าฉันมีโอกาสฉันก็อยากจะไปเที่ยวและพักผ่อนที่นั่น และ ฉันก็อยากเห็นกําแพงเมืองจีนสักครั้งในชีวิตจริง ๆ”

“ถ้าเกิดว่าคุณอยากไปที่นั่นจริง ๆ ผมก็สามารถเป็นไกด์ให้กับคุณได้นะ” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“ขอบคุณ” ชารอนพยักหน้าและพูดขอบคุณขึ้นมาอย่างมีมารยาท

เพราะถึงอย่างไรท้ายที่สุดแล้วงานที่เธอกําลังทําอยู่มันก็อาจจะไม่มีเวลาให้เธอได้หยุดพักเลย

“เอาล่ะ! ตอนนี้สตีฟได้กลับมาเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นผมขอตัวก่อนก็แล้วกัน เอ่อ … ขอบคุณมากสําหรับการต้อนรับของคุณ และถ้าเกิดว่ามีคราวหน้า เดี๋ยวผมจะเลี้ยงอาหารค่ําตอบแทนคุณก็แล้วกัน”

เมื่อซู่เจินได้ยินเสียงไขกุญแจและเปิดประตูเข้าไปภายในห้องจากห้องข้าง ๆ เขาก็ลุกขึ้นยืนและหันไปพูดขอบคุณกับชารอนเล็กน้อย

ชารอนรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย เพราะเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าซูเจนรู้ได้อย่างไรว่าสตีฟกลับมาแล้ว แถมเธอก็ยังไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยด้วย

“ด้วยความยินดี” ชารอนพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับเดินไปส่งซู่เจินที่หน้าประตู

และเมื่อเธอเปิดประตูห้องออกไป เธอก็บังเอิญเห็นสตีฟที่กําลังเปิดประตูเข้าไปในห้องพอดี ทําให้ปากของเธอเบิกกว้างขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ ทันใดนั้นซู่เจินก็เดินแซกตัวของชารอนออกมาจากห้องของเธอ

“ในที่สุดคุณก็กลับมาสักที ผมรอคุณอยู่ตั้งนาน” ซู่เจินหันไปพูดกับสตีฟด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นเขาก็หันไปพูดกับชารอนเล็กน้อยว่า “แล้วเจอกันใหม่นะ”

“เช่นกันนะคะ”ชารอนตอบกลับมา และหันไปพยักหน้าทักทายกับสตีฟเล็กน้อยพร้อมกับปิดประตูเข้าไปภายในห้องของเธอ

“คุณมาที่นี่ทําไม ?” หลังจากซู่เจินเดินเข้าไปในห้องเรียบร้อยแล้ว สตีฟก็ปิดประตูพร้อมกับถามขึ้นมาเบา ๆ

“แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะ ?”

ซู่เจินถามกลับมาด้วยรอยยิ้ม

สตีฟลองคิดย้อนกลับไปตอนที่ซู่เจินเดินออกมาจากห้องของชารอน มันก็ทําให้เขาไม่ต้องคิดอะไรมากมายอีกต่อไป ?

“คุณได้ยินเสียงอะไรไหม ? ดูเหมือนว่ามันจะดังขึ้นมาจากภายในห้อง” สตีฟไม่ได้สนใจเรื่องส่วนตัวของซู่เจินมากนักและเขาก็ไม่มีความกล้าพอที่จะถามกับซู่เจินโดยตรงอีกด้วย ในขณะเดียวกันเขาก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นมาจากภายในห้องของเขา ซึ่งมันเหมือนกับเสียงดนตรีอะไรบางอย่าง

“ลองเดินเข้าไปดูสิ” ซู่เจินพูดขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ

สตีฟพยักหน้าขึ้นมาเล็กน้อย พร้อมกับเดินเข้าไปด้านในอย่างช้า ๆ ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นใครบางคนกําลังนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น

และเมื่อสตีฟเห็นว่าคน ๆ นั้นเป็นใครเขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและถามขึ้นมาอย่างสงสัยว่า “เกิดอะไรขึ้นอย่างงั้นหรอ ? หรือว่าคุณจะไปโกรธใครมา ? ถึงได้มานั่งเล่นอยู่ภายในบ้านของฉันแบบนี้ ?”

นิคฟิวรี่รู้สึกสับสนเล็กน้อย และต้องการที่จะตะโกนถามขึ้นมาว่าใครกันแน่ที่มาหาเขา ? และเมื่อเขาเห็นว่าเป็นซู่เจินและสตีฟ เขาก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนที่จะค่อย ๆ ตั้งสติขึ้นมาได้

“ฉันถูกเมียไล่ออกมานอนนอกบ้าน” นิคฟิวรี่พูดขึ้นมา

“คุณมีเมียมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ทําไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย” สตีฟพูดขึ้นมาด้วยความแปลกใจ

นิคฟิวรี่ส่ายหัวและพูดขึ้นมาว่า “คุณยังไม่รู้จักฉันดีพอ” และเมื่อนิคฟิวรี่พูดจบเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือของเขาขึ้นมา พร้อมกับโบกมือให้ซู่เจินและสตีฟเข้ามาดูใกล้ ๆ

ซู่เจินเหลือบมองไปยังเนื้อหาที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือเล็กน้อย ซึ่งเนื้อหาภายในนั้นมันก็คล้ายกับสิ่งที่เขาเคยเห็นมาก่อน และมันก็ไม่ได้มีอะไรมากมายไปกว่านั้น มันก็แค่บอกว่าห้องที่พวกเขากําลังอยู่ในตอนนี้มันกําลังถูกเฝ้ามองจากใครบางคนอยู่ ซึ่งซู่เจินก็ไม่ได้สนใจอะไรมันมากนัก และปล่อยให้สตีฟและนิคฟิวรี่ได้พูดคุ ยกันตามลําพัง ส่วนเขาก็เดินตรงไปที่หน้าต่างเพื่อดูสภาพแวดล้อมภายนอกข้ามเวลา

ซึ่งเหตุการณ์ตามปกติจากเนื้อเรื่องแล้ว บนตึกที่มีชั้นดาดฟ้าไม่ไกลจากนี้จะวินเทอร์โซลเจอร์คอยซุ่มรออยู่และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็จะยิงไปที่นิคฟิวรี่จากจุดที่เขาอยู่นั่นก็คือชั้นดาดฟ้าบนตึก ซึ่งเหตุการณ์นั้นมันก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้อีกแล้ว เพราะว่าตอนนี้วินเทอร์โซลเจอร์ไม่สามารถทําหน้าที่นี้ได้ ซึ่งมันก็อาจจะเป็นมนุษย์กลายพันธ์ที่ทําหน้าที่นี้แทน

และเมื่อซู่เจินคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่ามีใครบางคนปรากฏตัวขึ้นมาบนดาดฟ้าจากระยะไกล

“มาจริง ๆ ด้วย ?”

ซู่เจินรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อยกับการคาดเดาที่แม่นยําของเขา ในขณะเดียวกันเขาก็รีบโทรจิตไปหาสตีฟและนิคฟิวรี่ในทันที “มีใครบางคนที่น่าสงสัยอยู่ไม่ไกลจากนี้ ซึ่งผมก็คิดว่าเขาน่าจะมาฆ่าคุณโดยเฉพาะ ดังนั้นพวกคุณทั้งสองรีบไปซ่อนตัวอยู่ที่มุมห้องเดี๋ยวนี้เลยและอย่าส่งเสียงดังออกมาเด็ดขาด เพราะเดี๋ยวผมจะสร้างภาพลวงตาขึ้นมาทําให้เขาสับสน

สตีฟและนิคฟิวรี่มองหน้ากันเล็กน้อยหลังจากที่พวกเขาได้ยินคําพูดของซู่เจิน พร้อมกับรีบไปซ่อนตัวอยู่ที่มุมห้องทันที ในขณะเดียวกันสตีฟก็หยิบโล่ของเขาขึ้นมาและมองดูไปรอบ ๆ อย่างเงียบ ๆ

หลังจากนั้นไม่นาน ซู่เจินก็สังเกตเห็นใครบางคนกําลังกระโดดขึ้นมาบนระเบียงและเปิดหน้าต่างเข้ามาอย่างง่ายดาย พร้อมกับเดินเข้าไปด้านใจอย่างช้า ๆ !

ตอนที่ 155 ชารอน คาร์เตอร์

เมื่อมองไปยังร่างของอาร์คไลท์ที่อยู่บนพื้น ซู่เจินก็รู้แย่เล็กน้อย ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาฆ่าอาร์คไลท์ แต่เป็นเรื่องที่แม็กนีโตเจอตัวของเธอก่อนเขา เพราะถ้าเกิดว่าเขาเจอตัวของเธอก่อนแม็กนีโต เธอก็คงจะเป็นหนึ่งในลูกทีมของเขาอย่างแน่นอน และมันก็เป็นเรื่องยากมาก ๆ ด้วยที่จะหาคนที่มีคุณสมบัติที่เพียบพร้อมเหมือนกับเธอได้ง่าย ๆ

“ระบบ ภารกิจเสร็จแล้วหรือยัง ?”

ซู่เจินถามกับระบบขึ้นมาภายในจิตใจ

“ถ้าภารกิจเสร็จสิ้น จะมีข้อความแจ้งเตือนขึ้นมา” ระบบตอบกลับ

ซู่เจินพยักหน้าขึ้นมาเล็กน้อย เพราะว่าตอนนี้เขายังไม่ได้รับการแจ้งเตือนจากระบบ มันก็แสดงว่าภารกิจของเขามันยังไม่เสร็จสิ้น และเมื่อเขาลองมาคิดดูดี ๆ แล้วตอนแรกเขาจะต้องจัดการกับวินเทอร์โซลเจอร์ แต่ตอนนี้กับมีมนุษย์กลายพันธ์เข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยนั่นก็คือ อาร์คไลท์ และคัสลิสโตที่เข้ามาช่วยวินเทอร์โซลเจอร์เอาไว้ ดังนั้นตอนนี้มันก็ไม่น่าจะมีคนที่คอยจัดการกับนิคฟิวรี่แล้ว

“ดูเหมือนว่ามันจะเริ่มน่าสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วสิ ทั้งที่ตอนแรกฉันคิดว่าภารกิจนี้มันจะง่าย ๆ ซะอีก แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้มันจะไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดแล้ว” ซู่เจินพิมพ์ขึ้นมากับตัวเองเบา ๆ หลักจากนั้นเขาก็มาร์คตําแหน่งของนิคฟิวรี่อย่างรวดเร็ว

สมแล้วกับการที่นิคฟิวรี่ได้รับตําแหน่งผู้อํานวยการของหน่วย SHIELD เพราะว่าหลังจากที่เขาแยกตัวออกมาจากซู่เจิน เขาก็สามารถหลบหนีออกมาได้อย่างง่ายดาย โดยหลังจากที่เขาขับรถหนีมาได้สักพักเขาก็จอดรถทิ้งเอาไว้ และรีบวิ่งหนีไปยังบ้านของกัปตันอเมริกาที่อยู่บริเวณใกล้เคียงในทันที

ไม่มีทาง

ไม่มีทางที่กัปตันอเมริกาจะทรยศเขาหรือทําร้ายเขาอย่างแน่นอน เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่กัปตันอเมริกาจะกลายเป็นคนของไฮดราไปได้!

ซึ่งซู่เจินก็ยังไม่ได้ไล่ตามคัสลิสโตไปในตอนนี้ เพราะว่าสิ่งที่สําคัญเป็นอันดับแรกของเขาในตอนนี้ก็คือการทําภารกิจให้เสร็จสิ้นซะก่อน เพราะถึงอย่างไรแล้วการตามหาตัวของคัสลิสโตหรือวินเทอร์โซลเจอร์มันก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นเขาจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมมากกว่านี้ซะก่อน ก่อนที่เขาจะหาไปแม็กนีโต ทันใดนั้นร่างของซู่เจินก็ปรากฏตัวขึ้นที่ชั้นล่างของอพาร์ตเมนต์ของกัปตันอเมริกา

ซึ่งเขาก็อยากรู้เป็นอย่างมากว่าในตอนนี้ใครกันแน่ที่จะเป็นคนที่เข้ามาฆ่านิคฟิวรี่ เพราะถ้าอิงตามจากเนื้อเรื่องของวินเทอร์โซลเจอร์แล้ว นี่จะเป็นครั้งแรกที่วินเทอร์โซลเจอร์จะได้พบกับกัปตันอเมริกา และในขณะที่กัปตันอเมริกากําลังจะพยายามไล่ตามวินเทอร์โซลเจอร์ เขาก็ได้โยนโล่ออกไปเพื่อสกัดกั้นวินเทอร์โซลเจอร์เอาไว้ และในขณะนั้นเองวินเทอร์โซลเจอร์ก็หันหลังกลับมารับโล่ของกัปตันอเมริกาเอาไว้พร้อมกับถือเอาไว้ในมือ ซึ่งภาพนั้นมันก็ให้ความรู้สึกที่มีความหมายเป็นอย่างมาก มันเปรียบเสมือนกับว่าวินเทอร์โซลเจอร์ก็คือคนที่จะขึ้นมาแทนที่กัปตันอเมริกาในอนาคต

แต่ในตอนนี้มันจะไม่มีเหตุการณ์ที่วินเทอร์โซลเจอร์จะได้เจอกับกัปตันอเมริกาอีกต่อไป ดังนั้นแล้วมันจึงทําให้ซู่เจินรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมากว่าใครกันแน่ที่จะถูกส่งตัวมา ?

“เอ่อ… คุณมีปัญหาอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่า ?”

ทันใดนั้นซู่เจินก็ได้ยินเสียงพูดขึ้นมาจากด้านหลังของเขา ทําให้ซู่เจินที่ได้ยินเช่นนั้นก็เลิกคิดเรื่อยเปื่อย พร้อมกับหันหลังกลับมา ทําให้เขาเห็นว่าคนที่อยู่ด้านหลังของเขาเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่กําลังสวมใส่เสื้อยืดสีขาว โดยมือของเธอกําลังถือตะกร้าเสื้อผ้าเอาไว้อยู่ และเมื่อเธอเห็นซู่เจินหันกลับมามองที่เธอ เธอก็พูดขึ้นมาว่า “ฉันไม่เคยเห็นคนที่มีลักษณะแบบคุณมาก่อนเลย คุณมาจากประเทศไหนอย่างงั้นหรอ ? และที่คุณมาที่นี่ก็เพื่อมาตามหาใครบางคนใช่ไหม ?”

“ผมเป็นคนจีน” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“คนจีนอย่างงั้นหรอ ? หนีห่าว สวัสดี” เธอพูดทักทายซู่เจินขึ้นมาเป็นภาษาจีน

“คุณพูดภาษาจีนได้ด้วย ?” ซู่เจินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

เธอยิ้มขึ้นมาอย่างเขินอายเล็กน้อยและพูดว่า “ฉันพูดได้นิดหน่อย เพราะว่าฉันเพิ่งจะเรียนรู้มันไปได้ไม่กี่คําเอง ฉันชื่อชารอน คาร์เตอร์ และฉันก็อาศัยอยู่ที่นี่ คุณมีอะไรให้ฉันช่วยไหม ?”

“ผมชื่อซู่เจิน เอ่อ… มันจะเป็นอะไรไหมถ้าเกิดว่าผมขอเข้าไปนั่งเล่นในห้องของคุณก่อนสักพักหนึ่ง เพราะว่าตอนนี้สตีฟเพื่อนของผมที่พักอาศัยอยู่ที่นี่ยังไม่กลับมาเลย” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับทําท่าทางลําบากใจเล็กน้อย

ชารอนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมาว่า “คุณเป็นเพื่อนของสตีฟอย่างงั้นหรอ ? ได้สิ”

“ขอบคุณมาก”

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาพร้อมกับเดินตามชารอนขึ้นไปด้านบน

ในขณะที่ซู่เจินกําลังเดินตามหลังชารอนขึ้นไปบนห้อง มุมปากของซู่เจินก็ขดขึ้นมาเล็กน้อย ชารอน คาร์เตอร์ หลานสาวของเพ็กกี้ คาร์เตอร์ ชารอนคือสายลับหมายเลข 13 ของหน่วย SHIELD หรือที่เรียกกันว่าตัวแทน 13 เธอได้รับคําสั่งมาว่าให้เฝ้าติดตามกัปตันอเมริกาตั้งแต่ที่กัปตันอเมริกาเพิ่งตื่นจากน้ําแข็ง ซึ่งเธอก็ถือว่าเป็น ตัวแทนชั้นยอดที่เชี่ยวชาญในทักษะการต่อสู้และการสื่อสาร เพราะว่าเธอสามารถพูดได้หลายภาษามาก

และสิ่งที่สําคัญที่สุดก็คือในหนังสือการ์ตูนคอมมิค เธอถูกสะกดจิตให้ไปฆ่ากัปตันอเมริกา ถึงแม้ว่าในตอนนั่นกัปตันอเมริกาจะไม่ตายก็ตาม ซึ่งในภายหลังเธอก็ถือว่ามีบทบาทสําคัญมากจริง ๆ

ซึ่งเมื่อซู่เงินได้เจอกับชารอนมันก็ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับการชําระล้างจิตใจให้กลับมาบริสุทธิ์อีกครั้ง หลังจากที่เขาได้ลงมือฆ่าอาร์คไลท์ไปก่อนหน้านี้

“บางทีนาตาชาอาจจะพูดถูก อาการชอบเก็บสะสมผู้หญิงสวย ๆ ของเรานี้มันร้ายแรงมากจริง ๆ … ” เมื่อรู้ถึงตัวตนของเธอ ซู่เจินก็อดคิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นมาไม่ได้

“ทําไมเขาเอาแต่จ้องมาที่ฉัน ? เขารู้อย่างงั้นหรอว่าฉันเป็นใคร ?”

เมื่อชารอนเดินมาถึงห้องของเธอ เธอก็หยิบกุญแจออกมาพร้อมกับไขเปิดประตูห้องของเธอเข้าไป และเริ่มระวังตัวของเธอมากขึ้น เพราะว่าตอนนี้เธอสัมผัสได้ถึงสายตาที่ร้อนแรงกําลังจ้องมองมาที่เธอจากทางด้านหลัง

หลังจากนั้นเธอก็หันไปพูดกับซู่เจินว่า “เข้ามาก่อนสิ บ้านของฉันอาจจะรกไปหน่อยนะ เพราะว่าฉันไม่ค่อยจะมีเวลาดูแลมันสักเท่าไหร่ เพราะส่วนมากฉันจะอยู่แต่ที่ทํางานอย่างเดียว”

“ไม่เป็นไร เพราะว่ามันควรจะเป็นผมด้วยซ้ําที่จะต้องเกรงใจคุณที่คุณยอมให้ผมมานั่งเล่นอยู่ที่ห้องของคุณก่อนเป็นการชั่วคราว” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

ห้องของเธอมันดูเรียบง่ายเป็นอย่างมาก และมันก็ไม่ได้รกอย่างที่เธอบอกเลยด้วย

“คุณจะนั่งพักตรงไหนก่อนก็ได้ เดี๋ยวฉันขอตัวเอาของไปเก็บก่อน” หลังจากชารอนพูดจบเธอก็เดินเอาของ เข้าไปเก็บในห้องนอนของเธอในทันที

ในขณะเดียวกันซู่เจินก็ค่อย ๆ นั่งลงบนโซฟา พร้อมกับเปิดใช้งานความสามารถสุดยอดการได้ยินขึ้นมา อย่างเงียบ ๆ ทําให้หลังจากนั้นไม่นาน … เขาก็ได้ยินเสียงการหายใจและการเต้นของหัวใจมาจากห้องข้าง ๆ ซึ่งมันก็คือห้องของสตีฟ

และเสียงที่เขาได้ยินมันก็น่าจะเป็นของ นิค ฟิวรี่

ซึ่งมันก็ถือว่านิคฟิวรี่สามารถเลือกได้ดีมากที่เขามาหาสตีฟ เพราะว่าตอนนี้มันมีคนอยู่จํานวนไม่มากที่สามารถไว้ใจได้ และซู่เจินก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะไปหานิคฟิวรี่ในตอนนี้ ซึ่งเขาก็ไม่ค่อยอยากไปหานิคฟิวรี่สักเท่าไหร่ ถ้าเกิดว่ามันไม่ได้มีเหตุการณ์ที่จําเป็นจริง ๆ

เพราะการที่เขาเข้าไปหานิคฟิวรี่ เขาจะต้องถามกับซู่เจินอย่างแน่นอนว่ามันเกิดอะไรขึ้น ซึ่งซู่เจินก็ไม่อยากที่จะอธิบายให้กับเขาฟัง ดังนั้นแล้วการที่เขาอยู่กับชารอนที่นี่มันจึงให้ความรู้สึกที่ดีกว่ามาก ถึงแม้ว่ามันจะมีคนที่มาตามฆ่าเขาก็ตาม

“เดี๋ยวฉันไปเทน้ําให้คุณดื่ม คุณรอแปปหนึ่ง” หลังจากชารอนพูดจบ เธอก็เทน้ําใส่แก้วพร้อมกับยื่นมันให้ซู่เจินและนั่งลงข้าง ๆ เขา

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับพูดขอบคุณขึ้นมา หลังจากนั้นเขาก็หันไปถามกับชารอนอย่างเป็นกันเองว่า “ตอนนี้คุณทํางานอะไรอยู่ ? ปกติคุณยุ่งอยู่ตลอดเวลาเลยอย่างงั้นหรอ ?”

“ฉันเป็นพยาบาล”

นางฟ้าในชุดขาวอย่างงั้นหรอ” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นเขาก็ถามขึ้นมาต่อว่า “คุณเป็นคนที่สวยมาก มีคนมาตามจีบคุณเยอะไหม ?”

“ปกติแล้วฉันจะยุ่งอยู่กับงานตลอดเวลา ทําให้ฉันไม่ค่อยจะมีเวลาว่างสักเท่าไหร่ และฉันก็ไม่เคยคิดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มาก่อน เพราะว่าสําหรับฉันแล้ว งานเป็นสิ่งที่สําคัญที่สุด” ชารอนส่ายหัวขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับอธิบายขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“แน่นอนว่างานมันเป็นสิ่งที่สําคัญ แต่ถึงอย่างนั้นชีวิตและความสุขของคุณก็เป็นสิ่งที่สําคัญไม่แพ้กัน แล้วนับประสาอะไรกับอาชีพ พยาบาล สายลับ ฮีโร่ ฯลฯ ก็เคยผ่านประสบการณ์การมีความรักกันมาทั้งนั้น” ซู่เจิน ยิ้มขึ้นมาและพูดต่อว่า “แล้วคุณคิดว่าตัวผมในตอนนี้ดูเป็นยังไง เหมาะจะเป็นคนรักของคุณหรือเปล่า?

“คนรัก ? คุณอย่าล้อฉันเล่นแบบนี้สิ มันจะกะทันหันเกินไปไหมที่คุณจะพูดขึ้นมาแบบนี้กับฉัน” ชารอนรู้สึกตกใจกับคําพูดของซูเจินเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มที่เขินอายเล็กน้อย

“กะทันหัน ?”

“ใช่ พวกเราเพิ่งจะรู้จักกันเอง ดังนั้นแล้วฉันจึงคิดว่าพวกเราน่าจะทําความรู้จักกันก่อนดีกว่า”

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาพร้อมกับส่ายหัวเล็กน้อย และค่อย ๆ มองไปที่ชารอนด้วยสายตาจริงจังและพูดว่า “แน่นอนว่านี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่พวกเราได้พบกัน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็คิดว่าคุณน่าจะเคยได้ยินเรื่องของผมมาบ้างไม่มากก็น้อย เอ่อ … คุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับผมเลยอย่างงั้นหรอ ?”

ชารอนถึงกับตกตะลึงในทันที

ชารอนมองไปที่ซู่เจินด้วยความมึนงง เพราะเธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคําพูดของเขามันหมายถึงอะไร ?

ตอนที่ 154 น่าเกลียด

อาร์คไลท์ มนุษย์กลายพันธุ์ที่มีความสามารถในการสร้างคลื่นกระทแกจากแรงสั่นสะเทือนด้วยมือทั้งสองข้างของเธอ ซึ่งความสามารถนี้มันก็คล้าย ๆ กับความสามารถของสกายในอนาคต แต่ถึงอย่างนั้นความสามารถของสกายก็แข็งแกร่งกว่าความสามารถของอาร์คไลท์เป็นอย่างมาก และมันก็ยังสามารถพลิกแพลงได้มากกว่าความสามารถของอาร์คไลท์อีกด้วย

ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือ คัสลิสโต เธอมีความสามารถในการตรวจจับสิ่งที่อยู่รอบข้างได้อย่างเฉียบคม บวกกับร่างกายที่แข็งแกร่งของเธอ ทําให้เธอสามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยความเร็วสูง และมีปฏิกิริยาการตอบสนองที่รวดเร็วเป็นอย่างมาก

และแน่นอนว่าทั้งสองคนนี้ก็คือคนของแม็กนีโตทั้งคู่ ซึ่งการที่แม็กนีโตมีพวกเธอทั้งสองคนอยู่มันก็ช่วยทําให้แม็กนีโตสามารถหามนุษย์กลายพันธ์ได้อย่างง่ายดายด้วยความสามารถในการตรวจจับของคัสลิสโต แถมความสามารถของคัสลิสโตมันยังสามารถตรวจสอบได้อีกว่ามนุษย์กลายพันธ์คนนั้นแข็งแกร่งมากขนาดไหนและ มีความสามารถอะไรบ้าง ทําให้องค์กรบราเธอร์ฮูดออฟมิวแทนต์สของแม็กนีโตสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งทั้งคู่ก็ถือว่าเป็นผู้ช่วยคนสําคัญของแม็กนีโตเลยก็ว่าได้

ซึ่งเธอก็ไม่ใช่สไตล์ที่ซู่เจินชอบสักเท่าไหร่ เพราะว่าเธอตัดผมสั้น สั้นจนมากเกินไป แต่ถึงอย่างนั้นรูปร่างของเธอก็ดูดีมาก บวกกับชุดหนังที่รัดรูปของเธอ ทําให้ซู่เจินสามารถพูดออกมาได้เพียงแค่สี่คําว่าน่าเสียดายมาก แต่ถึงอย่างนั้นซู่เจินก็ไม่ได้สนใจอะไรในตัวของเธอมากนัก ซึ่งสิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ ก็คือการกลืนกิน ความสามารถของเธอและกําจัดเธอทิ้งซะ!

และเขายังรู้สึกสงสัยอีกว่าพวกเธอทั้งสองคนมาทําอะไรที่นี่ ? มาเพื่อช่วยวินเทอร์โซลเจอร์อย่างงั้นหรอ ?

ซึ่งถ้าเกิดว่าเขาจําไม่ผิดบราเธอร์ฮูดออฟมิวแทนต์สไม่ได้มีความสัมพันธ์กับวินเทอร์โซลเจอร์มากนัก และนี่มันก็เป็นปัญหาระหว่างไฮดราและ SHIELD ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่พวกเธอจะต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวเลย กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ… ถ้าหากว่าพวกเธอไม่ได้รับคําสั่งจากแม็กนีโตมาโดยตรงพวกเธอก็คงจะไม่มายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน

แสดงว่าแม็กนีโตก็น่าจะอยู่ที่นี่ด้วยใช่ไหม ?

และถึงแม้ว่าซู่เจินจะไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับการร่วมมือระหว่างแม็กนีโตและไฮดรามาก่อน แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรท้ายที่สุดแล้วถ้าเกิดว่า SHIELD ล่มสลายไป มันก็จะส่งผลดีต่อแม็กนีโตเช่นกัน เพราะว่าเขาจะสามารถสร้างกฎต่าง ๆ ขึ้นมาใหม่ได้ และเรียกร้องต่อสิทธิของมนุษย์กลายพันธ์ ซึ่งแน่นอนว่าที่ พูดถึงมาทั้งหมดมันก็เพื่อตอบสนองความทะเยอทะยานของแม็กนีโตดี ๆ นี่เอง เพราะโดยเนื้อแท้ของแม็กนีโตแล้ว เขาเป็นคนที่โหดร้าย และ ไร้ความปราณีอย่างถึงที่สุดและเขาก็ยอมทําทุกวิถีทางเพื่อที่จะทําให้บรรลุเป้าหมายของเขา

และแน่นนอนว่าในมุมมองของมนุษย์กลายพันธ์แล้ว การกระทําของแม็กนีโตถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

ส่วนมุมมองของคนทั่วไปนั้น เขาก็คืออาชญากรตัวฉกาจที่สามารถฆ่าคนอื่นได้โดยไม่กระพริบตา ซึ่งเขาก็คือศัตรูของซู่เจินด้วยเช่นกัน

ตอนแรกแม็กนีโตส่งเวิร์ลวินด์ที่มีความสามารถในการสร้างพายุทอร์นาโดขนาดเล็กได้มาจัดการกับซู่เจิน ซึ่งมันก็ล้มเหลว และเรื่องราวมันก็เงียบหายไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น และในตอนนี้แม็กนีโตก็ได้ส่งมนุษย์กลายพันธ์ของเขามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือวินเทอร์โซลเจอร์ต่อหน้าของซู่เจิน

ซึ่งมันก็ดูเหมือนว่าแม็กนีโตกําลังแหย่เขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น

“วางเขาลงซะ แล้วผมจะปล่อยพวกคุณไป” ซู่เจินมองไปที่อาร์คไลท์และคัสลิสโตพร้อมกับพูดขึ้นมาเบา ๆ

“ถ้าอยากได้ก็เข้ามาเอามันไปเอง!”

อาร์คไลท์มองไปที่ซู่เจินพร้อมกับพูดขึ้นมาอย่างเย่อหยิ่ง ถึงแม้ว่าเธอจะเคยได้ยินถึงความแข็งแกร่งของซู่เจินมาก่อน ซึ่งเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นความจริงหรือเปล่าที่เขาสามารถกลืนกินความสามารถของคนอื่นได้ ? และถ้าเกิดว่ามันเป็นความจริง เธอก็แค่อยู่ห่าง ๆ เขาก็พอแค่นี้เขาก็ไม่สามารถกลืนกินความสามารถของเธอได้แล้วจริงไหม ?

“พวกเราได้รับคําสั่งมาว่าให้ช่วยเหลือเขาออกไปให้ได้อย่างปลอดภัย” น้ําเสียงของคัสลิสโตที่พูดกับซู่เจินนั้นดีมากกว่าของอาร์คไลท์เล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังทําท่าเย่อหยิ่งไม่ต่างจากอาร์คไลท์

“ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วสินะ!”

ซู่เจินยักไหล่ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ พร้อมกับเหยียดแขนทั้งสองข้างออกไปเล็กน้อย ทันใดนั้นมันก็มีคลื่นกระแทกอย่างรุนแรงกวาดไปรอบ ๆ ตัวของซู่เจินอย่างรวดเร็ว ทําให้เกิดการสั่นเทือนที่มาพร้อมกับเสียงดังตูมตาม

ทําให้พื้นดินบริเวณโดยรอบเริ่มแตกร้าวออกจากกันที่ละน้อย เศษหิน เศษดิน เริ่มที่จะลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ซึ่งอากาศโดยรอบก็เต็มไปด้วยแรงสั่นสะเทือน

ทันใดนั้นรอยยิ้มแห่งชัยชนะก็ถูกยกขึ้นมาจากมุมปากของอาร์คไลท์

“คุณทําได้แค่นี้เองอย่างงั้นหรอ ? ฉันคิดว่าคุณจะเก่งมากกว่านี้ซะอีก”

คลื่นกระแทกที่มาพร้อมกับแรงสั่นสะเทือนพุ่งเข้าไปหาซู่เจินอย่างรวดเร็ว ซึ่งซู่เจินก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนร่างกายของเขาเลยแม้แต่น้อย แต่ทันใดนั้นมันก็มีกําแพงสีเขียวเข้มปรากฏขึ้นมาตรงหน้าของซูเจินเพื่อป้องกันคลื่นกระแทกเอาไว้อย่างกะทันหัน

สีหน้าของอาร์คไลท์ดูน่าเกลียดขึ้นมาเล็กน้อย และเธอก็เตรียมตัวที่จะโจมตีไปที่ซู่เจินอีกครั้งหนึ่ง แต่ทันใดนั้นคัสลิสโตที่ยืนอยู่ข้างก็พูดขึ้นมาว่า “อย่าหุนหันพลันแล่นสิ พวกเราจะต้องทําภารกิจที่ได้รับมาให้เสร็จก่อน”

“เธอพาเขาหนีไปก่อนเลย” อาร์คไลท์พูดขึ้นมาด้วยน้ําเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ

เมื่อเห็นท่าทางที่จริงจังของอาร์คไลท์ คัสลิสโตก็ส่ายหัวขึ้นมาเล็กน้อย พร้อมกับจับตัวของวินเทอร์โซลเจอร์เอาไว้ให้แน่น หลังจากนั้นร่างของเธอก็กลายเป็นภาพติดตาและหายไปทันที

ซู่เจินชําเลืองมองไปยังที่ที่คัสลิสโตอยู่ก่อนหน้านี้เล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้รีบที่จะตามเธอไป

“ผมชักสงสัยแล้วสิว่าทําไมคุณถึงได้กล้าต่อสู้กับผมตัวต่อตัว ?” ซู่เจินมองไปที่อาร์คไลท์พร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยน้ําเสียงอันเย็นชา

เมื่ออาร์คไลท์ได้ยินเช่นนั้น เธอก็พูดขึ้นมาอย่างเย่อหยิ่งว่า “ฉันเคยได้ยินว่าคุณแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก และมันก็เห็นได้ชัดว่าคุณไม่ได้เป็นมนุษย์กลายพันธ์ ซึ่งแม็กนีโตก็ต้องการที่จะให้คุณเข้าร่วมกับบราเธอร์ฮอดออฟมิวแทนต์สให้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่ได้เห็นด้วยกับเขาเลยสักทีเดียว เพราะว่าสําหรับฉันแล้วมนุษย์กลายพันธ์คือสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งมากที่สุด และฉันก็ไม่ต้องการให้คุณมาเข้าร่วมกับพวกเรา!”

ปัง ปัง ปัง!

หลังจากพูดจบ เธอก็ตบฝ่ามือไปด้านหน้าของเธออย่างรวดเร็ว ทําให้มีคลื่นกระแทกสามลูกพุ่งเข้าไปหาเงินอย่างรวดเร็ว ทําให้ซู่เจินที่เห็นเช่นนั้นอดส่ายหัวขึ้นมาเบา ๆ ไม่ได้พร้อมกับมีกําแพงขึ้นมาป้องกันด้านหน้าของเขาเอาไว้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทําไมเธอถึงได้อยากฆ่าเขามากขนานนั้น หรือว่าสมองของเธอมันจะทํางานผิดปกติ ?

เธอคิดว่ามีความสามารถแค่นี้จะมาสู้กับเขาได้ ?

เมื่อคลื่นกระแทกกระทบเข้ากับกําแพงมันก็เกิดการกระจายตัวออกไปโดยรอบอย่างรวดเร็ว โดยกําแพงไม่มีความเสียหายเลยแม้แต่น้อย

ทันใดนั้นสีหน้าของอาร์คไลท์ก็ดูกังวลขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับตะโกนขึ้นมาว่า “ถ้าเกิดว่าคุณมีความสามารถจริง ๆ ก็ออกมาสู้กับฉันซึ่ง ๆ หน้าสิ อย่ามัวแต่หลบอยู่หลังกําแพง!”

“ตอนแรกผมก็คิดนะว่าการฆ่าคุณมันจะทําให้มือของผมมันสกปรกไปเปล่า ๆ แต่เมื่อผมเห็นท่าทางของคุณ ในตอนนี้ ผมก็สามารถพูดขึ้นมาได้เลยว่า คุณเป็นคนที่โง่ที่สุดตั้งแต่ที่ผมเคยเจอมาเลย” ซู่เจินส่ายหัวขึ้นมาด้วยความเอือมระอา พร้อมกับโบกมือของเขาขึ้นมา ทันใดนั้นร่างของอาร์คไลท์ก็พุ่งเข้ามาหาซ่เงินอย่างรวดเร็ว โดยเธอไม่สามารถควบคุมร่างกายของเธอได้เลยแม้แต่น้อย

อาร์คไลท์พยายามที่จะใช้ความสามารถของเธอออกมา แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่สามารถขยับมือของเธอได้เลย

“คุณมีความสามารถอยู่แค่นี้ ? แต่คุณกับกล้าท้าทายผมซะดิบดีด้วยความสามารถอันกระจอกงอกง่อยและความเย่อหยิ่งที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรคุณได้เลยเนี้ยนะ ? สมองคุณยังดีอยู่หรือเปล่า ?” ซู่เจินส่ายหัวขึ้นมาพร้อมกับมองไปที่อาร์คไลท์ที่พยายามดิ้นรนไปมาด้วยความโกรธ

“ถ้าเกิดว่าคุณกล้าคุณก็ฆ่าฉันเลยสิ แต่ถ้าเกิดว่าคุณฆ่าฉัน แม็กนีโตจะไม่มีวันปล่อยคุณไปอย่างแน่นอน เขาจะล้างแค้นให้ฉัน!”

“โง่”

เมื่อเห็นอาร์คไลท์ที่พยายามตะโกนข่มขู่เขาขึ้นมาอย่างโง่งม ซู่เจินก็หักคอของเธอทิ้งอย่างรวดเร็ว ทําให้เสียงตะโกนของเธอเงียบหายไปอย่างกะทันหัน พร้อมกับหัวของเธอที่ค่อย ๆ ก้มตกลงมา

ตอนที่ 153 ไม่เป็นไปตามเนื้อเรื่อง

“ตูม!”

ระเบิดสนามแม่เหล็กเกิดการระเบิดขึ้นมาอย่างกะทันหันกลางอากาศ และพลังการทําลายล้างของมันก็ค่อนข้างรุนแรงมาก

แน่นอนว่าเสียงการระเบิดที่ดังขึ้นมามันจะไม่ทําให้บ้านเรือนบริเวณโดยรอบไม่ได้ยินได้อย่างไร ? รถจํานวนมากมายค่อย ๆ เลี้ยวไล่ตามรถของนิคฟิวรี่ไปอย่างรวดเร็ว ทําให้ผู้คนที่หลบอยู่ภายในบ้านอดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า โดยไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าพวกเขาเคยชินกับมันไปแล้ว

เมื่อเห็นว่ารถของนิคฟิวรี่ขับออกไปแล้ว วินเทอร์โซลเยอร์ก็รีบวิ่งไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันซู่เจินที่เห็นว่าวินเทอร์โซลเยอร์วิ่งไล่ตามนิคฟิวรี่ไป ร่างกายของเขาก็สั่นขึ้นมาเล็กน้อย ทันใดนั้นมันก็มีชุดอีเทอร์ปรากฏขึ้นมาบนร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับมีดแห่งความกลัวทั้งสองเล่มบนมือของเขา

วิส!

ซู่เจินรีบบินตามวินเทอร์โซลเยอร์ไปอย่างรวดเร็ว

“ปัง!”

ในขณะที่วินเทอร์โซลเยอร์กําลังวิ่งตามรถของนิคฟิวรี่อยู่นั้น เขาก็สังเกตเห็นว่ากําลังมีคนไล่ตามเขามาอยู่ ทําให้เขาหันหลังกลับมาอย่างกะทันหันและยิงไปทางซู่เจินอย่างรวดเร็ว

ซู่เจินเหวี่ยงมีดไปด้านหน้าของเขาเบา ๆ เพื่อเบี่ยงเบนวิถีของกระสุนปืน ทําให้กระสุนปืนกระเด็นออกไปด้านข้างทันที หลังจากนั้นไม่นานเขาก็บินเข้ามาประชิดร่างของวินเทอร์โซลเยอร์อย่างรวดเร็ว พร้อมกับเอามีดเล่มสีเงินฟันไปที่วินเทอร์โซลเยอร์โดยตรง ซึ่งวินเทอร์โซลเยอร์ก็สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว เขารีบหลบออกไปด้านข้าง และเอาแขนกลของเขาโจมตีไปที่ซู่เจิน

“ตึง”

ซู่เจินบล็อกการโจมตีของวินเทอร์โซลเยอร์ด้วยแขนของเขา แต่ถึงอย่างนั้นด้วยแรงมหาศาลของวินเทอร์โซลเยอร์มันก็ทําให้เขาถึงกับถอยหลังไปหลายก้าว และแขนของเขาก็เริ่มปวดเมื่อยขึ้นมา

มันแข็งแกร่งมาก ดูเหมือนว่าแขนกลอันนี้จะจัดการได้ค่อนข้างยุ่งยาก

ทันใดนั้นซู่เจินก็สังเกตเห็นว่าวินเทอร์โซลเยอร์ยกมือขวาที่ถือปืนกลขึ้นมาและยิงใส่เขาอย่างรวดเร็ว ทําให้ซู่เจินรีบเหวี่ยงมีดไปป้องกันในทันที ทําให้เกิดเสียงดัง ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง ขึ้นมาพร้อมกับวิถีกระสุนที่เบี่ยงเบนออกไป และในขณะที่เขากําลังปัดป้องกระสุนเขาก็เดินไปข้างหน้าไปด้วย ทําให้หลังจากนั้นไม่นานเสียงของกระสุนปืนก็หยุดลงอย่างกะทันหัน ซึ่งมันก็อาจจะเป็นเพราะว่าตอนนี้กระสุนได้หมดไปเรียบร้อยแล้ว ทําให้วินเทอร์โซลเยอร์จ้องมองไปที่ซู่เจินเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็ทิ้งปืนลงไว้ข้าง พร้อมกับดึงกริซออกมา และกระโดดแทงไปยังซู่เจินอย่างรวดเร็ว

ทําให้ซู่เจินรีบยกมีดขึ้นมาสกัดกั้นเอาไว้ ทําให้มีดของพวกเขาทั้งสองคนในนี้กําลังต้านกันไปมา แต่ทันใดนั้นวินเทอร์โซลเยอร์ก็เปลี่ยนการเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน เขากระโดดข้ามหัวของซู่เจินไปพร้อมกับถีบไปที่แผ่นหลังของซู่เจินกลางอากาศ

ทําให้ซู่เจินกระเด็นไปด้านหน้าสองสามก้าวและค่อย ๆ หันหลังกลับมามองที่วินเทอร์โซลเยอร์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น

สมแล้วกับการที่เขาเป็นหุ่นเชิดของไฮดรา ทักษะการต่อสู้ของเขามันสุดยอดมาก

เดิมที่ซู่เจินต้องการที่จะถ่วงเวลาวินเทอร์โซลเจอร์เอาไว้ และปล่อยให้นิคฟิวรี่หนีไป แต่ในตอนนี้ … เขารู้สึกอยากต่อสู้กับวินเทอร์โซลเจอร์ขึ้นมาจริง ๆ แล้ว

และถ้าเกิดว่าเขาต่อสู้กับวินเทอร์โซลเจอร์โดยไม่ใช้ความสามารถออกมา มันก็คงจะเป็นเขาที่ถูกโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว และไม่สามารถต่อสู้กับวินเทอร์โซลเจอร์ได้เลย

หลังจากที่พวกเขายืนจ้องกันอยู่สักพักหนึ่ง ทันใดนั้นพวกเขาก็เคลื่อนไหวพร้อม ๆ ราวกับว่าหัวใจของพวกเขาตรงกันอย่างไรอย่างนั้น ซู่เจินรีบวิ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ส่วนวินเทอร์โซลเจอร์ก็กว้างกริซไปทางซู่เจิน เช่นกัน และเมื่อซู่เจินเห็นกริซที่พุ่งเข้ามาเขาก็รีบเอามีดปัดมันออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ทันใดนั้นวินเทอร์โซลเจอร์ก็พุ่งเข้ามาอยู่ด้านหน้าของเขาอย่างรวดเร็วพร้อมกับหยิบปืนพกขึ้นมาจากเอวและยิงไปที่ซู่เจินทันที

แน่นอนว่าซู่เจินสามารถตอบสนองมันได้อย่างรวดเร็ว

มีดและกระสุนปืนเข้าประทะกัน ทําให้กระสุนเบี่ยงเบนวิถีไป

ทันใดนั้นซู่เจินก็เอามีดเล่มสีดําฟันไปที่แขนกลของวินเทอร์โซลเจอร์ พร้อมกับเอามีดเล่นสีเงินฟันไปที่แขนอีกข้างของวินเทอร์โซเจอร์ ทําให้วินเทอร์โซลเจอร์ถึงกับตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น พร้อมกับโยนปืนของเขาขึ้นไปบนฟ้าและใช้เท้าเตะไปที่ปืนที่กําลังลอยอยู่บนฟ้าไปที่ใบหน้าของซู่เจิน

แต่ทันใดนั้นจู่ ๆ ร่างของซู่เจินก็กระพริบหายไปและปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของวินเทอร์โซลเจอร์พร้อมกับเตะไปที่หลังของวินเทอร์โซลเจอร์อย่างรุนแรง

ทําให้ร่างของวินเทอร์โซลเจอร์กระเด็นไปกระแทกเข้ากับตัวรถที่อยู่บริเวณใกล้เคียงอย่างรุนแรง ทําให้รถคันนั้นถึงกับบุบเข้าไป วินเทอร์โซลเจอร์ส่ายหัวขึ้นมาเล็กน้อยและเตรียมตัวที่จะลุกขึ้นมา แต่ทันใดนั้นมันก็มีเงาบางอย่างขึ้นมาปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา

ตูม!

หมัดอันหนักหน่วงกระแทกซ้ําเข้าไปที่ร่างของวินเทอร์โซลเจอร์อย่างรุนแรง ทําให้ตัวของวินเทอร์โซลเจอร์ถึงกับบุบเข้าไปด้านในตัวรถ และไม่มีกระจิตกระใจจะสู้อีกต่อไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นซู่เจินก็ยังไม่ได้หยุดแค่นั้น เขาต่อยซ้ําเข้าไปอีกสองสามครั้ง จนทําให้หัวของวินเทอร์โซลเจอร์เอียงลงมาและหมดสติไป

“ปัง!”

มีเสียงปืนดังขึ้นมาอีกครั้ง ทําให้ซู่เจินถึงกับขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยและค่อย ๆ หันหลังกลับมามองด้านหลัง แน่นอนว่ากระสนมันไม่ได้สร้างบาดแผลให้กับเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะว่ามันไม่สามารถยิงทะลชดอนภาคอีเทอร์ได้

ซึ่งคนที่ยิงซู่เจินก็คือพวกตํารวจที่ไล่ตามนิคฟิวรี่ไป แต่เขาก็ไม่สามารถไล่ตามนิคฟิวรี่ได้ทัน ทําให้พวกเขาจําเป็นที่จะต้องย้อนกลับมาและเห็นซู่เจินกําลังทุบตีวินเทอร์โซลเจอร์อยู่ ซึ่งวินเทอร์โซลเจอร์ก็ถือว่าเป็นคนของพวกเขา ทําให้พวกเขายิงปืนไปที่ซู่เจินเพื่อให้เขาหยุดทําร้ายวินเทอร์โซลเจอร์

และพวกเขาก็ไม่คิดด้วยว่ากระสุนมันจะไม่สามารถทําอะไรซู่เจินได้เลยแม้แต่น้อย

ทันใดนั้นพวกเขาก็สังเกตเห็นซู่เจินที่หันกลับมามองที่พวกเขา พวกเขาก็รีบยิงปืนใส่ซู่เจินอย่างบ้าคลั่ง ทําให้กระสุนกระแทกเข้ากับร่างของซู่เจินอย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างนั้นซู่เจินก็ไม่ได้ป้องกันกระสุนพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย ทันใดนั้นซู่เจินก็หายตัวไปในพริบตาและมีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาพร้อมกับร่างของตํารวจที่ค่อย ๆ ล้มลงกับพื้นที่ละคน โดยไม่สามารถตอบโต้ได้เลย

เปรียบเสมือนกับว่าซู่เจินเป็นยมทูตที่คอยเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณอยู่ฝ่ายเดียว

ซู่เจินค่อย ๆ เดินเข้าไปหาคนพวกนั้นอย่างช้า ๆ ซึ่งสีหน้าของคนพวกนั้นในตอนนี้มันเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ไม่ อย่าเข้ามา อย่าเข้ามา ไม่งั้นฉันจะยิงจริง ๆ นะ ฉันจะยิง … “ความหวาดกลัวทําให้พวกเขาถึงกับสติแตก และตะโกนขึ้นมาอย่างสิ้นหวัง พร้อมกับยิงปืนไปด้านหน้าโดยไม่สนอะไรทั้งสิ้น

ปังปังปังปังปังปังปังปัง ….

เสียงปืนดังขึ้นมาตลอดเวลา พร้อมกับกระสุนที่พุ่งไปยังซู่เจินอย่างรวดเร็ว แต่หลังจากนั้นไม่นานมันก็มีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้น เพราะว่าตอนนี้กระสุนมันได้ถูกหยุดอยู่ตรงหน้าของซู่เจิน โดยพวกมันถูกหยุดอยู่กลางอากาศโดยไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย

พร้อมกับรอยยิ้มของซู่เจินที่ยกยิ้มขึ้นมา รอยยิ้มแห่งความสงสาร…

ซึ่งฉากสุดท้ายของคนพวกนั้นที่พวกเขาสามารถมองเห็นได้ก็คือ หัวของกระสุนที่หมุนกลับมาและพุ่งมาทางพวกเขาอย่างรวดเร็ว

เชี่ยเอ้ย!

กระสุนจํานวนนับไม่ถ้วนพุ่งทะลุร่างกายของพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว และหลังจากนั้นไม่นาน…ร่างของพวกเขาก็ค่อย ๆ ล้มลงกับพื้นอย่างช้า ๆ โดยไม่เต็มใจ

หลังจากนั้นซู่เจินก็หันหลังกลับมาและเดินไปยังร่างของวินเทอร์โซลเจอร์ทันที

แต่หลังจากที่เขาเดินไปได้ประมาณสองก้าว ทันใดนั้นเขาก็รู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงกําลังพุ่งตรงมาที่เขา

เพ้ง! เพ้ง!

กระจกของรถและบ้านบริเวณโดยรอยแตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ๆ ทําให้ซู่เจินถึงกับกระเด็นถอยหลังไปสองสามก้าวจากแรงสั่นสะเทือน ในขณะเดียวกันซู่เจินก็สังเกตเห็นบ้างคนที่มีลักษณะคล้าย ๆ กับผู้ชาย กําลังยืนอยู่ไม่ไกลจากเขามากนัก

และเมื่อซู่เจินสังเกตไปที่คน ๆ นั้นอย่างละเอียดเขาก็รู้ได้ในทันทีเลยว่าเธอเป็นใครกัน

“วิส!”

มีลมพัดขึ้นมาอย่างรนแรง พร้อมกับร่างของวินเทอร์โซลเจอร์ที่หายไป และไปปรากฏอยู่บนมือของเธอในพริบตา

ซึ่งซู่เจินก็ไม่คิดเหมือนกันว่าพวกเขาจะมาช่วยวินเทอร์โซลเจอร์เอาไว้ …

เพราะโดยปกติแล้วเรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับข้องอะไรกับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย แล้วทําไมพวกเขาถึงได้เข้ามายุ่ง ? ซึ่งจังหวะการปรากฏตัวของเธอมันก็แม่นยําเป็นอย่างมาก และมันก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอนที่เธอปรากฏตัวขึ้นแบบนี้ และเธอก็ไม่น่าจะมาเพียงแค่คนเดียวด้วย…

ตอนที่ 152 วินเทอร์โซลเจอร์

“นั่งรถเล่นเป็นเพื่อน ?” นิคฟิวรี่มองไปยังซู่เจินที่กําลังนั่งอยู่ด้านหลังรถด้วยรอยยิ้ม ซึ่งใจจริงของนิคฟิวรี่ในตอนนี้เขาอยากจะชักปืนออกมายิงซู่เจินเป็นอย่างมาก และเขาก็ไม่รู้ตัวด้วยว่าซูเจนขึ้นมานั่งบนรถตั้งแต่เมื่อไหร่ โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย

นิคฟิวรี่สูดหายใจเข้าไปล็ก ๆ พร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยน้ําเสียงอันลึกล้ําว่า “คุณต้องการทําอะไร ?”

“ผมก็แค่ติดรถคุณไปเท่านั้น และคุณก็ไม่จําเป็นที่จะต้องห่วงผมเลยแม้แต่น้อย เพราะผมรู้ว่าควรจะทําตัวอย่างไร และเมื่อผมจัดการอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้วผมจะลงจากรถทันที” ซู่เจินพูดขึ้นมาอย่างสบาย ๆ พร้อมกับหันหน้ามองไปยังนอกหน้าต่าง เหมือนกับว่าเขาไม่ได้สนใจนิคฟิวรี่เลยแม้แต่น้อย

นิคฟิวรี่จ้องมองไปที่ซู่เจินอยู่สักพักหนึ่ง และถึงแม้ว่าเขาจะมีเพียงแค่ตาเดียว เขาก็ยังจ้องมองไปยังซู่เจินได้อย่างชัดเจน และถ้าเกิดว่าดวงตาของเขามันสามารถยิงเลเซอร์ได้ ป่านนี้ร่างของซู่เจินก็คงจะมีรูสักสองสามรูอยู่บนร่างกายไปนานแล้ว ?

เมื่อเห็นว่าซู่เจินนั่งอยู่บนรถและไม่มีทีท่าที่จะไป นิคฟิวรี่ก็ได้แต่ทําใจและค่อย ๆ ขับรถออกไปอย่างช้า ๆ โดยในขณะที่เขาขับรถออกไปเขาก็คิดไปด้วยว่าจุดประสงค์ของซู่เจินมันคืออะไรกันแน่

และเมื่อเขาขับมาเรื่อย ๆ จนติดด่านตรวจเขาก็เหลือบมองไปยังซู่เจินที่ยังนั่งไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เลย ซึ่งมันก็ทําให้เขารู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาเล็กน้อย และทันใดนั้นมันก็มีรถตํารวจขับเข้ามาจอดใกล้ ๆ กับเขา โดยตํารวจพวกนั้นก็กําลังมองมาที่นิคฟิวรี่ด้วยความโกรธอะไรบางอย่าง

ซึ่งเมื่อนิคฟิวรี่เห็นเช่นนั้น เขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก พร้อมกับเอากระจกลงและตะโกนไปทางรถตํารวจว่า “ทําไม ต้องการดูใบขับขี่ของฉันอย่างงั้นหรอ ?”

เจ้าหน้าที่มองมายังนิคฟิวรี่เล็กน้อย ก่อนที่พวกเขาจะกดเปิดสัญญาณเตือนขึ้นมาพร้อมกับขับรถออกไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ทําให้นิคฟิวรี่ที่เห็นเช่นนั้นถึงกับพ่นลมหายใจออกมาอย่างรุนแรงพร้อมกับสตาร์ทรถและขับรถออกไป และในขณะที่รถกําลังแล่นผ่านด่านตรวจ ทันใดนั้นมันก็มีรถต่ารวจพรุ่งเข้าชนท้ายรถอย่างรุนแรง ทําให้รถของนิคฟิวรี่กระเด็นไปชนกับรถตํารวจที่อยู่ด้านหน้าทันที

ในขณะเดียวกันมันก็มีถุงลมนิรภัยกระเด้งออกมาอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันแรงกระแทกจากการถูกชน ทําให้นิคฟิวรี่ในตอนนี้รู้สึกมึนหัวเล็กน้อย ในขณะเดียวกันมันก็มีรถตํารวจอีกคันขับมาเพื่อปิดรถของนิคฟิวรี่เอาไว้ ทําให้ตอนนี้เขาไม่สามารถขยับรถออกไปไหนได้เลย

“ตรวจพบรอยร้าว!”

ระบบ AI ของรถแจ้งเตือนขึ้นมา

นิคฟิวรี่ส่ายหัวขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับเหลือมองไปยังซู่เจินที่นั่งอยู่ด้านหลังรถ

แน่นอนว่าซู่เจินไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ซึ่งในตอนนี้เขาก็กําลังมองไปข้างนอกด้วยความสนใจ

รถตํารวจหน่วยพิเศษคันสีดําขับเข้ามาจอดอยู่ตรงหน้าของพวกเขา และเปิดประตูออกมาโดยมีเจ้าหน้าที่ตํารวจอาวุธครบมือวิ่งออกมาจากตัวรถอย่างรวดเร็ว

“จะเริ่มแล้วสินะ …”

ซู่เจินบ่นพึมพําขึ้นมาเบา ๆ โดยที่ยังไม่ได้ลงมือทําอะไร

ใช่! เขากําลังรอ…รอวินเทอร์โซลเยอร์

ซึ่งภารกิจของเขาก็คือการช่วยเหลือนิคฟิวรี่จากการตามล่าของวินเทอร์โซลเยอร์ และในเมื่อตอนนี้วินเทอร์โซลเยอร์ยังไม่มา มันก็ยังไม่มีเหตุจําเป็นอะไรที่ซ่เงินจะต้องช่วยเขา

“เจ้าหน้าที่ตํารวจวอชิงตัน … บริเวณนี้ไม่มีตํารวจหน่วยอื่นนอกจากนี้”

ระบบ AI ของรถแจ้งเตือนขึ้นมาอีกครั้ง

แน่นอนว่านิคฟิวรี่ก็เห็นสถานการณ์บริเวณด้านนอกเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เข้าใจว่าคนพวกนั้นต้องการอะไรจากเขา ? หลังจากนั้นไม่นานรถของเขาก็ถูกล้อมด้วยคนพวกนั้นเต็มไปหมด และคนพวกนั้นก็เริ่มยิงมาที่รถของนิคฟิวรี่อย่างบ้าคลั่ง

เสียงกระสุนปืนดังขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทําให้รถในตอนนี้เต็มไปด้วยรอยกระสุนเต็มไปหมด แต่ถึงอย่างนั้นกระจกของรถก็ยังไม่แตก เพราะว่ารถคันนี้ถูกปรับแต่งขึ้นมาอย่างพิเศษ และรถคันนี้ยังเป็นรถของผู้อํานวยการหน่วย SHIELD

“คุณไม่มีอะไรจะพูดเลยอย่างงั้นหรอ ?”

นิคฟิวรี่หันไปพูดกับซู่เจิน

ซู่เจินยักไหล่และพูดขึ้นมาว่า “ดูเหมือนว่าเป้าหมายของผมจะยังมาไม่ถึง!”

“ไอ้บ้าเอ้ย รีบพาฉันออกไปจากที่นี่เร็ว!”

นิวฟิวรี่หันไปตะโกนสั่งกับระบบ AI บนรถทันที เพราะดูจากท่าทางของซู่เจินแล้ว เขาไม่สามารถหวังอะไรกับซู่เจินได้เลย

“ระบบการขับเคลื่อนเกิดอาการขัดข้อง”

“รีบรีสตาร์ทระบบเร็วเข้า!”

นิคฟิวรี่ตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง เพราะว่าตอนนี้เขาเห็นคนที่อยู่ด้านนอกหยิบกําลังหยิบอุปกรณ์อะไรบางอย่างออกมาจากตัวรถ มันเป็นเครื่องกระแทกที่สามารถกระแทกรถของเขาให้พลิกคว่ําได้อย่างง่ายดาย

ทําให้นิคฟิวรี่ในตอนนี้รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย เขาหยิบปืนขึ้นมาเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้อยู่ตลอดเวลา แต่ถึงอย่างไรก็ตามทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่ามีพลังงานสีเข้มกําลังห่อหุ้มตัวรถเอาไว้ และรถของเขามันก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นและลอยข้ามรถที่จอดขว้างเอาไว้ไปจอดอยู่ตรงถนนโล่ง ๆ อย่างรวดเร็ว

“มัวทําอะไรอยู่ รีบขับรถหนี้สิ!” ซู่เจินพูดตะโกนเตือนสติขึ้นมา

เมื่อนิคฟิวรี่ได้ยินเช่นนั้นเขาก็รีบสตาร์ทรถ และขับออกไปอย่างรวดเร็ว

“ฉันคิดว่าคุณจะไม่ช่วยฉันซะอีก ?” นิคฟิวรี่ถามขึ้นมาพร้อมกับเหลือบมองไปยังด้านหลังที่มีรถตํารวจกําลังขับไล่หลังเขามาอยู่ติด ๆ

“ผมรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยกับการกระทําของคนพวกนั้น” ซู่เจินพูดขึ้นมาเบา ๆ

“มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่ ? ฉันรู้นะว่าคุณจะต้องรู้อะไรบางอย่างอย่างแน่นอน ไม่งั้นคุณก็คงจะไม่ปรากฏตัวขึ้นมาบนรถของฉันหรอก!” นิวฟิวรี่เชื่อว่าซู่เจินจะต้องรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ในครั้งนี้อย่างแน่นอน เพราะว่าครั้งนี้ซู่เจินทําตัวแปลกไปจากปกติอย่างสิ้นเชิง

และเขาก็รู้ด้วยว่าซู่เจินไม่ค่อยชอบเขาสักเท่าไหร่ และซู่เจินก็จะไม่มีวันมาหาเขาอย่างแน่นอนถ้าเกิดว่าเขาไม่มีเหตุผลที่มันจําเป็นจริง ๆ และยิ่งไม่ต้องพูดถึง … ซู่เจินไม่มีเหตุจําเป็นที่จะต้องนั่งอยู่บนรถแบบนี้เลย

“ตอนนี้นาตาชาย้ายมาอยู่กับผมเรียบร้อยแล้ว และแน่นอนว่าการที่เธอย้ายมาอยู่กับผมมันเป็นเรื่องปกติ เพราะถึงยังไงเธอก็เป็นผู้หญิงของผม แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เป็นสมาชิกของหน่วย SHIELD ทําให้ผมจําใจมาช่วย คุณสักครั้งหนึ่ง” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“ช่วยฉันสักครั้งหนึ่ง ? แสดงว่าคุณรู้ใช่ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

นิคฟิวรี่ในตอนนี้ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องของนาตาชามากนัก เพราะว่าตอนนี้เขาอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“อย่าพูดอย่างกับว่าคุณไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และถึงแม้ว่าคุณจะไม่รู้มันจริง ๆ ผมก็ไม่บอกคุณอยู่ดี เอาล่ะ! จอดรถซะ ไม่งั้นเดี๋ยวรถจะบินขึ้นฟ้าโดยไม่รู้ตัว” ซู่เจินพูดขึ้นเบา ๆ และเมื่อนิคฟิวรี่ได้ยินเช่นนั้นเขาก็รีบหยุดรถโดยไม่รู้ตัว หลังจากนั้นเขาก็สังเกตเห็นใครบางคนกําลังยืนอยู่กลางถนนบริเวณด้านหน้าของพวกเขา

เขาสวมชุดสีดํา หน้ากาก และผ้าปิดตา ทําให้ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าได้ชัดเจนมากนัก แขนซ้ายของชายคนนั้นเป็นแขนกลสีเงิน – ขาว และมือขวาของเขาก็ถือปืนกลเอาไว้ในมือ

“เขาเป็นใคร ?” นิคฟิวรี่ถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ

“คนที่จะฆ่าคุณไง!”

ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม และพูดต่อว่า “เดี๋ยวคุณหลบหนีไปทางอื่น ซึ่งผมก็เชื่อว่าคุณน่าจะหลบหนีจากการตามล่าของคนพวกนั้นได้ไม่อยากเย็นมากนัก”

หลังจากพูดจบ ซู่เจินก็เปิดประตูและเดินลงมาจากรถพร้อมกับเดินเข้าไปหาวินเทอร์โซลเยอร์อย่างช้า ๆ

นิคฟิวรี่เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาก็รีบขับรถไปอีกเส้นทางในทันที แต่ในขณะที่เขากําลังจะขับรถออกไปทันใดนั้นวินเทอร์โซลเยอร์ก็หยิบอะไรบางอย่างออกมา มันมีลักษณะคล้าย ๆ แหวน ซึ่งแหวนตัวนี้มันก็คือระเบิดสนามแม่เหล็ก และตราบใดที่มันถูกติดเข้ากับรถของนิคฟิวรี่เมื่อไหร่ มันจะเกิดการระเบิดในทันที

และเมื่อซู่เจินเห็นว่าวินเทอร์โซลเยอร์โยนแหวนอันนี้ไปยังรถนิคฟิวรี่ เขาก็โบกมือขึ้นมาเบา ๆ ทําให้สิ่งนั้นมันหยุดค้างอยู่กลางอากาศในทันที

ตอนที่ 151 เคลื่อนย้ายแคลร์

ซู่เจินก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทําไมมันถึงเป็นแบบนี้ เพราะดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย

“ระบบ นี่มันเสร็จแล้วอย่างงั้นหรอ ?”

“ใช่ โฮสต์สามารถพาเธอออกไปจากสนามประลองได้ตลอดเวลา และตราบใดที่โฮสต์ต้องการ โฮสต์ก็สามารถส่งเธอกลับมายังสนามประลองได้ตลอดเวลา” ระบบตอบกลับมา

“โอเค”

ซึ่งความหมายของประโยคหลังจากระบบมันก็คือเขาสามารถควบคุมคนที่เขาพามายังโลกของเขาได้อย่างสิ้นเชิง โดยการสามารถส่งพวกเขากลับไปยังสนามประลองได้ตลอดเวลา และในอีกแง่มุมหนึ่งถ้าเกิดว่าคนที่เขาพามาเกิดตกอยู่ในอันตรายหรือถูกคุมขังเอาไว้ เขาก็สามารถส่งตัวของพวกเขากลับไปยังสนามประลองได้ ในทันที ซึ่งดูยังไงมันก็เหมือนกับสูตรโกงดี ๆ นี่เอง

“นอกจากนี้ เมื่อโฮสต์ส่งคนจากโลกใบอื่นไปยังโลกหลัก ระบบจะทําการสุ่มภารกิจในโลกหลักขึ้นมาให้กับโฮสต์อีกด้วย”

ในขณะที่ซู่เจินกําลังจะอธิบายสถานการณ์คร่าว ๆ ให้กับแคลร์ฟัง ทันใดนั้นระบบก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง

“สุ่มภารกิจในโลกหลัก ?” ซู่เจินถึงกับตกใจขึ้นมาในทันที “ช่วยอธิบายคร่าว ๆ ให้ฉันฟังหน่อยได้ไหมว่า ทําไมจู่ ๆ มันถึงได้มีภารกิจขึ้นมาในโลกหลัก และยังเป็นภารกิจแบบสุ่มอีกด้วย”

“ระบบได้ถูกตั้งค่าเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ถ้าเกิดว่ามีผู้คนจากดันเจี้ยนถูกย้ายไปยังโลกหลัก ระบบภารกิจของโลกหลักจะถูกเปิดใช้งานขึ้นมาในทันที เพื่อกระตุ้นให้โฮสต์พยายามที่จะอัพเกรดระบบให้สูงมากขึ้นไปอีก”

“ดังนั้นแล้ว … “

ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิด แต่มันก็ยังมีข้อดีอยู่เช่นกัน เพราะเมื่อมีภารกิจ มันก็จะต้องมีรางวัลด้วยเช่นกัน และรางวัลมันก็คือ พลังงาน ที่ใช้สําหรับการอัพเกรดระบบ และถ้าเกิดว่าเขาสามารถอัพเกรดระบบได้มากเท่าไหร่ เขาก็จะมีฟังก์ชั่นมากขึ้นด้วยเช่นกัน

และตราบใดที่ภารกิจมันไม่โหดร้ายมากเกิน เขาก็มั่นใจว่ามันจะต้องสําเร็จอย่างแน่นอน

“ฉันเข้าใจแล้ว”

หลังจากนั้นซู่เจินก็หันไปพูดกับแคลร์ว่า “หลังจากนี้ผมจะส่งตัวของคุณไปยังโลกของผม แต่ก่อนที่คุณจะออกจากที่นี่ ผมจะอธิบายเกี่ยวกับสถานการณ์คร่าว ๆ ให้คุณฟังก่อน”

ยี่สิบนาทีต่อมา

“มันก็เป็นอย่างที่ผมอธิบายให้คุณฟังนั่นแหละ ซึ่งคุณสามารถไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ในภายหลังเมื่อคุณมีเวลา ส่วนเรื่องสนามประลองแห่งนี้คุณควรที่จะเก็บมันเอาไว้เป็นความลับ ถึงแม้ว่ามันจะมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ และถึงแม้ว่าคุณจะมาจากโลกใบอื่น มันก็ไม่ได้สําคัญอะไรมากมายขนาดนั้น เพราะถึงอย่างไรท้ายที่สุดแล้วมันคงจะดีกว่าถ้าเกิดว่าคุณรักษาความเป็นตัวเองของคุณเอาไว้”

ถ้าเกิดว่าแคลร์เปิดเผยความสามารถนี้ของเขาออกไป มันก็คงจะมีเรื่องยุ่งยากตามมามากมายอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาก็เลยไม่อยากบอกความลับนี้ให้กับคนอื่นรู้สักเท่าไหร่ เพราะเท่าที่เขารู้มาภายในโลกมาเวลแห่งนี้มีเทพเจ้าที่แข็งแกร่งอยู่มากมาย และระบบอันนี้ก็ถือว่าเป็นไพ่ตายของเขา ดังนั้นมันจึงไม่สามารถเปิดเผยให้คนอื่นรู้ได้โดยง่าย

“อืม” แคลร์พยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ

“เอาล่ะ พวกเราออกไปกันเถอะ”

เมื่อซู่เจินพูดจบเขาและแคลร์ก็ออกมาจากสนามประลองพร้อมกันอย่างรวดเร็ว

ซึ่งแคลร์ก็มองไปรอบ ๆ ห้องอย่างสงสัย และถ้าจําไม่ผิดซ่เงินก็ได้บอกกับเธอเอาไว้ว่าที่นี่คือห้องภายในยานบินของดาร์กเอลฟ์ โดยสําหรับแคลร์แล้วที่นี่มันก็เปรียบเสมือนกับยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวดี ๆ นี่เอง

“ติ้ง!”

“ภารกิจถูกปล่อยออกมาแล้ว!” เสียงแจ้งเตือนของระบบดังขึ้น

“ระบบ ฉันเพิ่งจะพาเธอมาเองนะ มันไม่เร็วเกินไปหน่อยงั้นหรอ ?” ซู่เจินไม่คิดว่าระบบจะปล่อยภารกิจออกมาเร็วมากขนาดนี้

“ภารกิจช่วยเหลือ : เนื้อหา : ช่วยเหลือนิค ฟิวรี่ จากการตามล่าของ วินเทอร์ โซลเยอร์ ให้สําเร็จ”

“ภารกิจนี้มันควรจะมาหลังจากนี้ไม่ใช่หรอ ? หรือว่ามันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ทําให้ภารกิจถูกปล่อยออกมาก่อนเวลา ?” ซู่เจินพิมพำขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับส่ายหัวเล็กน้อย

เดิมทีเขาไม่ได้ต้องการที่จะยุ่งเกี่ยวกับนิค ฟิวรี่เลยแม้แต่น้อย เพราะถึงยังไงเขาก็ไม่ตายอยู่ดี แต่เนื่องจากมีภารกิจเข้ามา เขาก็จําเป็นที่จะต้องออกไปช่วยเหลือเขาอย่างช่วยไม่ได้

“คุณพร้อมหรือยัง ?” ซู่เจินหันไปถามกับแคลร์ ทําให้แคลร์สูดหายใจเข้าไปลึก ๆ และพยักหน้าขึ้นมาด้วยความจริงจังพร้อมกับเดินตามหลังซู่เจินออกไป

และเมื่อพวกเขาเดินมาถึงห้องประชุม นาตาชาและแซมในตอนนี้ก็ได้อยู่ในชุดเครื่องแบบเรียบร้อยแล้ว และ เมื่อพวกเขาเห็นว่าซู่เจินพาเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมา พวกเขาทุกคนก็มองไปยังซู่เจินด้วยความสงสัยเล็กน้อย

เด็กมาก ? เธอน่าจะอายุไม่เกิน 15 – 16 ปีเลยด้วยซ้ํา แถมในตอนนี้เธอยังสวมใส่ชุดของเชียร์ลีดเดอร์อยู่อีกด้วย ซึ่งก็ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นเพียงแค่นักเรียนมัธยมปลายธรรมดา และถึงแม้ว่าเธอจะสวยและมีรูปร่างที่ดูดี แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความเยาว์วัยของเธอ ซึ่งเธอยังไม่บรรลุนิติภาวะเลยด้วยซ้ํา

“คุณไม่ได้พามาผิดคนใช่ไหม ?”

นาตาชาหันไปถามกับซู่เจินอย่างสงสัย

ซู่เจินส่ายหัวและพูดว่า “แน่นอนว่าผมไม่ได้พามาผิดคนอย่างแน่นอน เธอมีชื่อว่า แคลร์ ส่วนฉายาของเธอก็คือ อันเดดเกิร์ล และเธอก็จะเป็นสมาชิกของพันธมิตรสงครามต่อจากนี้”

“อันเดดเกิร์ล ? ความสามารถของเธอก็ตามชื่อเลยอย่างงั้นหรอ ?”

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับมองไปที่แคลร์ที่ยังคงประหม่าอยู่เล็กน้อย และเมื่อแคลร์เห็นสายตาของซู่เจินเธอก็เข้าใจได้ในทันทีเลยว่าเขาต้องการให้เธอทําอะไร หลังจากนั้นไม่นานแคลร์ก็ค่อย ๆ เดินไปข้างหน้า พร้อมกับหยิบมีดจากซู่เจินมา

สาวน้อยคนนี้กล้าหาญมาก!

ซู่เจินส่ายหัวขึ้นมาเล็กน้อย แน่นอนว่าแคลร์ก็มองไปยังซู่เจินด้วยความสงสัยเล็กน้อยด้วยเช่นกัน ซึ่งวิธีที่จะแสดงพลังของตัวเองให้คนอื่นรู้ดีที่สุดก็คือการสาธิตนั่นเอง

แคลร์เหยียดแขนของเธอออกมาพร้อมกับมองไปที่ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ เล็กน้อย หลังจากนั้นเธอก็เอามีดกรีดไปบนแขนของเธออย่างรวดเร็ว

“ความเร็วในการรักษาตัวเองของเธอมันเร็วมาก และมันก็ดูคล้ายกับความสามารถของวูล์ฟเวอรีนอีกด้วย” นาตาชามองไปที่แคลร์พร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ

“เจ็บไหม ?” ซู่เจินหันไปถามกับแคลร์

แคลร์ส่ายหัวขึ้นมาเบา ๆ

“อืม … เป็นความสามารถที่แข็งแกร่งมากจริง ๆ” นาตาชาพยักขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากนั้นเธอก็พูดขึ้นมาต่อว่า “เธอมีความสามารถอื่นนอกจากนี้ไหม ?”

แคลร์ส่ายหัวขึ้นมา และเมื่อได้นาตาชาเห็นเช่นนั้นเธอก็พูดขึ้นมาต่อว่า “เธอควรที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายให้มากกว่านี้ เพราะว่ามันจะช่วยเธอได้ในยามวิกฤติ และถ้าเกิดว่าเธอต้องการเรียนทักษะการป้องกันตัวเอง ฉันก็สามารถสอนให้กับเธอได้นะ”

แน่นอนว่าทักษะการต่อสู้ระยะประชิดของนาตาชานั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก และมันก็คงจะดีถ้าเกิดว่าให้นาตาชาสอนให้กับแคลร์ ซึ่งมันก็ยังมีเรื่องให้ซู่เจินสงสัยอยู่เล็กน้อยว่าทําไมนาตาชาถึงได้สนใจเธอมากขนาดนั้น ?

ซู่เจินส่ายหัวขึ้นมาอย่างลับ ๆ พร้อมกับเดินไปตรงกลางและปรบมือขึ้นมาเพื่อดึงดูดความสนใจจากคนอื่น ๆ และพูดขึ้นมาอย่างช้า ๆ ว่า “ตอนนี้ฐานบริเวณด้านนอกใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว ทําให้พวกเราสามารถไปใช้มันได้ในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งฐานของเราในตอนนี้ก็ใกล้จะได้เวลาเปิดตัวแล้วเช่นกัน และภายในไม่กี่วันหลังจากนี้ผมหวังว่า พวกเราทุกคนจะเตรียมตัวให้พร้อมเอาไว้ เพราะว่าอีกไม่นานพวกเราจะออกไปทําภารกิจแรกด้วยกัน!”

เมื่อได้ยินคําพูดของซู่เจิน สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปในทันที บางคนตื่นเต้น บางคนก็เฉย ๆ ส่วนบางคนก็หมดสติไปเลยก็มี ซึ่งเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทําอะไรกับคน ๆ นี้ดี

“คุณอยู่ที่นี่ไปก่อนก็แล้วกัน และผมก็ขอฝากให้คุณช่วยดูแลแคลร์ให้ผมหน่อย” ซู่เจินเดินไปด้านหน้าของนาตาชาพร้อมกับพูดขึ้นมาเบา ๆ

“แล้วคุณล่ะ ?”

“ผม ? ผมมีอะไรบางอย่างที่จะต้องทํามันให้เสร็จโดยเร็วที่สุดในตอนนี้!”

ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับมาร์คตําแหน่งของนิค ฟิวรี่ในทันที

ซึ่งก็ดูเหมือนว่าในตอนนี้นิคฟิวรี่จะอยู่ในลานจอดรถ และกําลังเตรียมตัวที่จะขับรถออกไป และเขาก็จะ … ถูกโจมตีในไม่ช้า

นิคฟิวรี่สตาร์ทรถขึ้นมาและเตรียมที่จะขับรถออกไป แต่ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นใครบางคนจากการมองผ่านกระจกหลัง และเมื่อเขาเห็นว่าคน ๆ นั้นเป็นใคร เขาก็ถึงกับตกตะลึง

“ไง ผมมานั่งรถเป็นเพื่อนน่ะ” เมื่อเห็นนิค ฟิวรี่ที่มองมาที่เขา ซู่เจินก็พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

ตอนที่ 150 ซูเงินผู้ชื่นชอบการสะสม

ตั้งแต่ที่ซู่เจินเลือกแซม เขาก็ได้ช่วยปลุกจิตวิญญาณการต่อสู้และช่วยเอาอุปกรณ์ที่เป็นสัญลักษณ์ประจําตัวของเขามา ทําให้เขากลายเป็น ฟอลคอน ในที่สุด ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยที่สตีฟจะเกลี้ยกล่อมเขาได้ง่าย ๆ

และก่อนที่แซมจะมาทําภารกิจในครั้งนี้ เขาก็ได้เข้าร่วมกับพันธมิตรสงครามไปเรียบร้อยแล้ว

ถึงแม้ว่าสตีฟจะผิดหวังเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ทําอะไรไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นเขาจึงทําได้แต่ปล่อยมันไป และเดินจากไปพร้อมกับตัวประกันที่เขาได้ช่วยเหลือออกมาพร้อมกับหน่วยรบพิเศษ

“ที่รัก คุณไม่คิดว่ามันน่าลําบากใจไปหน่อยหรอ ?”

“ไม่หรอก เพราะถึงยังไงพวกเขาก็เป็นพี่น้องกันได้ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ชายทุกคนก็เป็นเหมือนกันหมด พวกเขามีศักดิ์ศรีเป็นของตัวเองและไม่กล้าที่จะยอมรับอะไรง่าย ๆ ซึ่งมันก็อาจจะไม่ดีในแง่มุมหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นพวกคนเหล่านั้นก็มีความกล้าหาญอยู่ภายในตัว” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

นาตาชายิ้มและพูดขึ้นมาว่า “แล้วคุณล่ะ ?”

“ผมหรอ ? แน่นอนว่าผมเป็นคนที่มีความสามารถและความกล้าหาญอยู่ภายในตัว! ไม่งั้นผมจะมานอนอยู่กับคุณแบบนี้ได้ยังไง” ซู่เจินหัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นนาตาชาก็ส่ายหัวขึ้นมาและพูดว่า “ฉันรู้นะว่าคุณเป็นคนที่ชอบการสะสม และตราบใดที่เป็นผู้หญิงสวย ๆ คุณก็อยากจะเก็บสะสมมันเอาไว้ และในไม่ช้าก็เร็วรอบ ๆ ตัวของคุณก็จะเต็มไปด้วยผู้หญิงมากมายขึ้นเรื่อย ๆ”

“เอ่อ… ผมยอมรับก็ได้ว่าผมเป็นอย่างที่คุณบอก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็คุ้มค่าจริงไหม ?” ซู่เจินบีบไปที่คางของนาตาชาเล็กน้อย และบังคับให้สายตาของเธอมองมาที่เขา

“ในกรณีนี้ฉันก็ควรจะภูมิใจในตัวเองสินะ เพราะอย่างน้อยฉันก็ยังมีคุณค่าเหมาะแก่การสะสมของคุณ” นาตาชามองไปที่ซู่เจินและค่อย ๆ พูดขึ้นมาต่อว่า “ฉันรู้สึกว่าฉันจะเสียเปรียบคุณมากเกินไปแล้ว และฉันก็กลายเป็นผู้หญิงคนหนึ่งของคุณไปเรียบร้อยแล้วด้วย ดังนั้นคุณจะต้องทําให้ฉันพอใจมากกว่านี้!”

หลังจากพูดจบ นาตาชาก็ลุกขึ้นมาและกระโดดค่อมไปบนตัวของซู่เจินอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเธอก็เริ่มเทศกาลขี่ม้าในทันที

รุ่งเช้าวันต่อมา

ณ ฐานของพันธมิตรสงคราม

ในเวลานี้ฐานเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว

ในขณะเดียวกันซู่เจินที่กําลังกอดนาตาชาเอาไว้ในอ้อมแขนก็กําลังบินกลับมาที่ฐานอย่างรวดเร็ว โดยมีฟอลคอนบินกําลังบินตามหลังเขามาอย่างติด ๆ ซึ่งเมื่อซู่เจินลองมองจากระยะไกลเขาก็สามารถมองเห็นตึกที่สูงตระหง่านตั้งอยู่ด้านหน้าของเขา

ซึ่งด้านบนของตัวตึกมีคําว่า “สงคราม” ขนาดใหญ่สลักเอาไว้ ทําให้ตัวตึกมันสะดุดตาเป็นอย่างมาก

“ที่นี่คือฐานของพันธมิตรสงครามอย่างงั้นหรอ ? ดูเหมือนว่ามันใกล้จะเสร็จเรียบร้อยแล้วนะ” นาตาชามองไปที่เกาะด้านล่างด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ซึ่งที่นี่มันใหญ่ยิ่งกว่าฐานของ SHIELD ซะอีก

“ผมคิดว่าอาทิตย์หน้าก็น่าจะเสร็จแล้วล่ะ” ซู่เจินพูดขึ้นมา พร้อมกับชี้ไปด้านหน้าและพูดขึ้นมาต่อว่า “ยานบินของผมอยู่ตรงนั้น และตอนนี้คนของผมทั้งหมดก็กําลังรวมตัวกันอยู่ที่นั่น”

หลังจากนั้นซู่เจินก็เริ่มเร่งความเร็วของเขา ทําให้หลังจากนั้นไม่นานเขาก็บินไปถึงประตูของยานบินอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นประตูมันก็เปิดออกอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ภายในยานบิน

และเมื่อเข้าไปในยานบิน ซู่เจินก็โทรจิตไปหาทุกคนและบอกให้พวกเขามารวมตัวกันที่นี่

บริ้งค์ , แมโร , เฉินห่าวหราน , บลิซซาร์ด , ศาสตราจารย์ลิซาร์ด , เป็ปเปอร์ , ดาร์กเอลฟ์ และ แบล็คสมิท [ เอลเลียต แรนดอล์ฟ ]

ซึ่งในตอนนี้พวกเขากําลังสวมเครื่องแบบสีดําของพันธมิตรสงคราม โดยยกเว้นเป็ปเปอร์เอาไว้คนหนึ่งที่ไม่ได้สวมใส่มัน

และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ซ่เงินได้เห็นพวกเขาในชุดแบบนี้ ซึ่งมันก็ทําให้เขาถึงกับตกตะลึงในแวบแรก ทันใดนั้นชุดของซู่เจินก็เปลี่ยนเป็นชุดออกรบของเขาในทันที

“นี่แม่ม่ายดํา ชื่อว่านาตาชา ส่วนอีกคน ฟอลคอน ชื่อว่าแซม” ซู่เจินชี้ไปที่นาตาชาและแซมพร้อมกับแนะนําตัวของพวกเขาขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็แนะนําบริ้งค์และคนอื่น ๆ ให้กับนาตาชาและแซมรู้จัก

ในช่วงเช้าซู่เจินพยายามที่จะเกลี้ยกล่อมให้นาตาชาเข้าร่วมกับพันธมิตรสงครามอยู่ตลอดเวลา แต่ถึงอย่างนั้นนาตาชาก็ยังไม่ยอมตกลงอยู่ดี เพราะเธอกลัวว่าจะสร้างปัญหาให้กับซู่เจิน ซึ่งเมื่อซู่เจินเห็นว่าเกลี้ยกล่อมไป มันก็ไม่ได้ผลเขาก็หันไปเล่าความจริงบางอย่างให้เธอฟังว่า SHIELD จะล่มสลายอีกไม่นานหลังจากนี้

ซึ่งเมื่อนาตาชาได้ยินคําพูดของซู่เจินมันก็ทําให้เธอตกใจเป็นอย่างมาก และเธอก็เชื่อด้วยว่าซู่เจินจะไม่โกหกเธออย่างแน่นอน ซึ่งไม่นานมานี้เธอก็เพิ่งจะพบอะไรบางอย่างผิดปกติเช่นกัน แต่เธอก็ยังไม่ได้ตรวจสอบมันอย่างละเอียด

ส่วนเรื่องของแซมนั้นง่ายกว่ามาก เพราะว่าตอนนี้เขาได้เข้าร่วมกับพันธมิตรสงครามไปเรียบร้อยแล้ว

และนอกจากนาตาชาและแซมแล้ว ซู่เจินก็วางแผนจะเอาใครบางคนเข้าร่วมกับเขาด้วย แต่คน ๆ นี้ไม่ได้อยู่ที่นี่ในขณะนี้ “บริ้งค์ เดี๋ยวคุณช่วยพานาตาชาและแซมไปหาเสื้อผ้าเปลี่ยนด้วย ส่วนผมจะออกไปข้างนอกสักครู่หนึ่ง และไม่แน่อาจจะพาคนกลับมาด้วย”

หลังจากอธิบายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซู่เจินก็หันหลังและเดินจากไปทันที

แน่นอนว่าเขาไม่ได้ไปไหน แต่เขากลับไปที่ห้องนอนของเขา

หลังจากเขามาในห้องนอนเรียบร้อยแล้ว ซู่เจินก็กดเข้าสู่สนามประลองในทันที

ซึ่งภายในสนามประลองในตอนนี้ รูปภาพของแคลร์ก็สว่างขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว และหลังจากที่เขากดสั่งการด้วยความคิด ทันใดนั้นร่างของแคลร์ก็ปรากฏตัวขึ้นมา

“คุณจําที่ผมพูดเอาไว้ได้ไหม ผมเคยบอกว่าผมจะพาคุณไปเปิดโลกใหม่!” ซู่เจินหันไปพูดกับแคลร์

แคลร์พยักหน้าและพูดว่า “แน่นอนว่าฉันจําได้ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี…”

“อันที่จริงผมไม่ใช่คนที่อยู่ภายในโลกของคุณ ผมมีความสามารถในการเดินทางไปยังโลกต่าง ๆ ได้ ซึ่งโลกที่ผมอยู่จริง ๆ มันเต็มไปด้วยฮีโร่อยู่มากมาย และแน่นอนว่ารวมถึงความสามารถพิเศษต่าง ๆ มากมายด้วยเช่นกัน และถ้าเกิดว่าคุณคอยช่วยเหลือผู้คนภายในโลกของผม คุณจะถูกยกย่องว่าให้เป็นฮีโร่ และถึงแม้ว่าคุณจะมีความสามารถพิเศษกอย่าง คุณก็จะไม่ถูกมองว่าเป็นสัตว์ประหลาดและเลือกปฏิบัติอย่างแน่นอน ตรงกันข้าม … พวกเขาจะอิจฉาคุณและเทินทูนคุณ”

“และถ้าเกิดว่าคุณต้องการสัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ และไม่เป็นสัตว์ประหลาดในสายตาของคนอื่น ๆ แต่ถูกเคารพในฐานะของฮีโร่ ผมก็จะพาคุณมาที่โลกของผม!”

“แล้ว …ฉันจะกลับมายังโลกเดิมของฉันได้ไหม ?”

คําพูดของซู่เจินทําให้แคลร์รู้สึกตกใจเป็นอย่างมากในตอนแรก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็รู้สึกตื่นเต้นด้วยเช่นกัน เพราะถ้าเกิดว่ามีโลกแบบนั้นอยู่จริง ๆ แล้วทําไมเธอจะไม่ไปล่ะจริงไหม ?

อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องกังวลว่าคนอื่นจะรู้ความลับของเธอ และเธอก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ

“ถึงแม้ว่ามันจะยังมีข้อจํากัดอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็สามารถส่งคุณกลับไปยังโลกเดิมได้”

“แล้วคุณ … คุณจะพาฉันไปยังโลกของคุณเมื่อไหร่ ?” เมื่อความกังวลหายไป แคลร์ก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย

“ในพริบตา!”

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาพร้อมกับออกคําสั่งกับระบบขึ้นมาภายในจิตใจของเขา

ทันใดนั้นมันก็มีล่าแสงปรากฏขึ้นมาห่อหุ้มร่างกายของแคลร์เอาไว้ ทําให้แคลร์ตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย และพยายามที่จะหลบหนีไปจากมันโดยไม่รู้ตัว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็พบว่าเธอไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้เลย ทําให้พลังงานภายในลําแสงอันนั้นเริ่มไหลเข้าสู่ร่างกายของเธออย่างรวดเร็ว ทําให้เสียงร้องอย่างตื่นตระหนกของเธอค่อย ๆ เงียบหายไป

ผ่านไปครู่หนึ่ง ลําแสงมันก็ค่อย ๆ หายไป

แคลร์ยกมือของเธอขึ้นมาพร้อมกับมองไปที่ตัวของเธอและถามขึ้นมาด้วยความมึนงงว่า “ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย ?”

ตอนที่ 149 เขามารับสาว!

ณ มหาสมุทรอินเดีย

พิกัดละติจูด N55.12.06 ลองจิจูด N56.7.09

มีเครื่องบินขับไล่กําลังบินผ่านก้อนเมฆไปอย่างรวดเร็ว

ซึ่งภายในเครื่องบินขับไล่ลํานั้นมีกัปตันหน่วยรบพิเศษ ครอสโบนส์กําลังอธิบายภารกิจให้กัปตันอเมริกา

เลมูเรียนสตาร์ เรือประจัญบานนําร่องที่บรรทุกแท่นปล่อยดาวเทียมกําลังเคลื่อนที่ผ่านน่านน้ําไปอย่างช้า ๆ ซึ่งในตอนนี้เรือประจัญบานลํานี้ได้ถูกพวกโจรสลัดแย่งชิงไป โดยโจรสลัดพวกนั้นได้เรียกร้องค่าไถ่มา 1.5 พัน ล้าน สําหรับการคืนเลมูเรียนสตาร์ให้กับทาง SHIELD และที่ค่าไถ่มันแพงขนาดนี้มันก็เพราะว่าเรือประจัญบาน ล่านี้เป็นของ SHIELD นั่นเอง

“มีโจรสลัดอยู่ 25 คน และชายคนนี้คือทหารรับจ้างชั้นยอด ชื่อว่า จอร์จ บารัค ชายที่เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดในโลก เขาเป็นที่รู้จักในเรื่องของความโหดเหี้ยมและความโหดร้าย”

“แล้วตัวประกันล่ะ ?”

“ส่วนใหญ่เป็นช่างซ่อมบํารุง และมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งชื่อว่า กัสปาร์ ไฮท์วิลล์ ซึ่งตอนนี้ถูกขังอยู่ภายในห้องครัว”

“ฉันจะตามหาตัวของจอร์จให้ ส่วนนาตาชา เธอ.” ในขณะที่สตีฟกําลังหันไปบอกแผนการ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินใครบางคนพูดขึ้นมา

“นาตาชา ไม่จําเป็นที่จะต้องใช้แผนของคุณหรอก…”

“ใคร ?”

เห็นได้ชัดว่าเสียงที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันมันไม่ใช่เสียงของคนของพวกเขา ทําให้ครอสโบนส์ตะโกนขี้ นมา หลังจากนั้นไม่นานหน่วยรบพิเศษที่อยู่รอบ ๆ ก็เริ่มหยิบอาวุธของพวกเขาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเล็งไปที่ชายคนหนึ่งที่อยู่ข้างหลังของพวกเขา

“คุณมาจริง ๆ อย่างงั้นหรอ ? ฉันคิดว่าคุณจะไม่มาแล้วซะอีก” นาตาชารีบเดินเข้าไปหาชายคนนั้นด้วยความ ดีใจ

“ผมมาไม่ได้หรือไง ?”

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาพร้อมกับจูบไปที่หน้าผากของนาตาชาเบา ๆ หลังจากนั้นเขาก็มองไปรอบ ๆ และพูดว่า “พวกคุณเอาปืนลงจะดีกว่า เพราะว่าผมไม่ค่อยชอบให้คนอื่นเอาปืนมาทางผมสักเท่าไหร่!”

เมื่อสตีฟได้ยินเช่นนั้นเขาก็โบกมือให้กับคนที่อยู่รอบ ๆ เอาปืนลงทันที หลังจากนั้นเขาก็หันไปพูดกับซู่เจินว่า “คุณมาที่นี่เพื่อช่วยพวกเราอย่างงั้นหรอ ?”

“ใช่!”

“เยี่ยม!”

สดีฟรู้ดีว่าซู่เจินมาหานาตาชาโดยเฉพาะ แต่ด้วยความช่วยเหลือของซู่เจินในตอนนี้ ภารกิจในครั้งนี้มันจะง่ายดายมากขึ้นกว่าเดิม

“เดี๋ยวผมจะช่วยปิดระบบพลังงานภายในเรือให้ ส่วนที่เหลือพวกคุณก็ไปจัดการกันเอาเองก็แล้วกัน”

สตีฟพยักหน้าขึ้นมา หลังจากนั้นเขาก็หันไปบอกแผนกับคนอื่น ๆ ต่อ และเมื่อเขาบอกแผนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็หยิบโล่ขึ้นมาพร้อมกับเปิดประตูและเตรียมที่จะกระโดดลงไป

“เฮ้! เดี๋ยวก่อนสิ…ผมจะแนะนําใครบ้างคนให้คุณรู้จักก่อน” ซู่เจินรีบพูดหยุดสตีฟขึ้นมาอย่างกะทันหัน และโบกมือไปด้านหลังเล็กน้อย ซึ่งสตีฟก็มองไปที่ซู่เจินอย่างสงสัยเช่นกัน และหลังจากนั้นไม่นานก็มีคนบิน ผ่านพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว เขามีปีกอยู่คู่หนึ่งอยู่กลางหลังของเขา และกําลังโบยบินไปบนท้องฟ้าอย่างอิสระ

“นั่นมันแซมไม่ใช่หรอ ?”

เมื่อสตีฟมองไปที่ชายคนนั้นเขาก็จําได้ในทันทีว่าเป็นใคร และค่อย ๆ พูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยและพูดว่า “ตอนนี้เขามีชื่อว่า ฟอลคอน!”

“กัปตัน ฉันจะไปพร้อมกับคุณ” แซมตะโกนไปทางสตีฟ และเมื่อสตีฟได้ยินเช่นนั้นเขาก็พยักหน้าขึ้นมาเล็กน้อย พร้อมกับกระโดดลงไปทันที ทันใดนั้นแซมก็บินเข้ามารับตัวของสตีฟเอาไว้และมุ่งหน้าไปยังเลมูเรียน สตาร์อย่างรวดเร็ว

“ดูเหมือนว่าเขาจะได้ผู้ช่วยที่ดีอีกแล้ว” นาตาชาหันไปพูดกับซู่เจินด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ขนาดนั้นหรอกมั้ง เอาล่ะ! ตอนนี้เราเหลือกันสองคนแล้ว และหลังจากจบภารกิจครั้งนี้คุณจะเข้าร่วมกับพันธมิตรสงครามใช่ไหม ?” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

นาตาชาส่ายหัวและพูดว่า “คุณก็รู้ว่าฉันอยากจะไปอยู่ข้าง ๆ คุณอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าเกิดว่าฉันถอนตัวออก ไปจาก SHIELD อย่างกะทันหัน มันอาจจะไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น และทําให้พวกเขาเพ่งเล็งมาที่คุณ เพราะถึงอย่างไรท้ายที่สุดแล้ว SHIELD ก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น ซึ่งถ้าเกิดว่าฉันถอนตัวออกมาจริง ๆ นิค ฟิวรี่ ก็คงจะทําได้แค่โกรธเท่านั้น เพราะว่ามันยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาไม่สามารถทําได้”

“ไม่เป็นไร เพราะอีกไม่นานเสื้อผ้าของคุณก็จะมีคําว่า “สงคราม สลักเอาไว้อยู่ดี” ซู่เจินยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ทันใดนั้นมันก็มีชุดออกรบของเขาปรากฏขึ้นมาสวมบนร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเขาก็หันไปอุ้มนาตาชาและหายตัวไปอย่างรวดเร็ว

วินาทีต่อมาพวกเขาทั้งสองคนก็ปรากฏตัวขึ้นในห้องควบคุมของเลมูเรียนสตาร์

นาตาชาถึงกับตกตะลึงกับสิ่งที่เธอเห็นเป็นอย่างมาก จนกระทั่งเธอได้ยินเสียงของซู่เจินทําให้เธอค่อย ๆ กลับมาได้สติ

“คุณรู้ไหมว่าตอนนี้ผมกําลังคิดอะไรอยู่ ?” ซู่เจินถามขึ้นมากับนาตาชา

นาตาชาส่ายหัวและพูดว่า “คุณคิดอะไรอยู่อย่างงั้นหรอ ?”

“ผมกําลังคิดว่าเรือลํานี้มันดูดีมาก เพราะว่านี่เป็นเรือของหน่วย SHIELD ทําให้ห้องหลาย ๆ ห้องภายในเรือลำนี้มันถูกตบแต่งอย่างหรูหรามากเลย คุณว่าไหม ?”

“ที่รัก ฉันรู้นะว่าคุณกําลังหมายถึงอะไรอยู่ ซึ่งข้อเสนอของคุณมันก็น่าสนใจมากเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้น คุณก็ควรจะรอให้ภารกิจของฉันเสร็จก่อนดีไหม ?” นาตาชาเลียมุมปากของเธอเล็กน้อย พร้อมกับค่อย ๆ พูดขึ้นมาอย่างช้า ๆ

“ตกลง”

ถึงแม้ว่าซู่เจินจะคิดว่ามันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นภายในภารกิจครั้งนี้ และเขาก็ไม่ได้เป็นคนที่ไม่รู้เวลาขนาดนั้น ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่กิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ก็ตาม

นาตาชารีบเดินไปปิดแหล่งพลังงานของเลมูเรียนสตาร์ในทันที ทําให้หลังจากนั้นไม่นานเครื่องยนต์มันก็ค่อย ๆ เริ่มหยุดทํางานอย่างช้า ๆ พร้อมกับนาตาชาที่หยิบอุปกรณ์อะไรบางอย่างออกมาเพื่อคัดลอกข้อมูลบางอย่าง ซึ่งซ่เงินก็ไม่ได้สนใจในเรื่องนี้มากนัก ทําให้เขาได้แต่มองสํารวจไปรอบ ๆ เท่านั้น แต่เขาก็พบว่ามันไม่มีอะไรให้ดูทําให้เขาค่อย ๆ หันกลับมาสนใจนาตาชาอีกครั้ง

รูปร่างที่เซ็กซี่ขยี้ใจ โดยเฉพาะส่วนโค้งของเธอที่มองจากทางด้านหลังนั้นมันชัดเจนเป็นอย่างมาก บวกกับชุดออกรบของเธอที่รัดรูป มันก็ยิ่งทําให้รูปร่างของเธอยิ่งเด่นชัดเข้าไปอีกทําให้ซู่เจินอดไม่ได้ที่อาวุธของเขา มันจะตั้งตรงขึ้นมา ทําให้นาตาชาหันไปมองที่ซ่เงินด้วยสายตาอันว่างเปล่า แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้ว่าอะไรเขา

และเมื่อเห็นสายตาของนาตาชาที่มองมาที่เขา มันก็ยิ่งทําให้ซู่เจินได้ใจขึ้นไปอีก

“หยุดเลย … คุณอย่าเพิ่งมากวนฉันได้ไหม ฉันขอเวลาสักครู่หนึ่ง” นาตาชาเริ่มที่จะทนไม่ไหวทําให้เธอรีบ พูดห้ามซู่เจินทันที

“ไม่มีทาง ใครใช้ให้คุณสวยขนาดนี้ล่ะ” ซู่เจินส่ายหัวและพูดขึ้นมา

“เฮ้อ!”

นาตาชาพ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะหันไปจูบซู่เจินที่หนึ่ง หลังจากนั้นเธอก็หันกลับไปคัดลอกข้อมูลของเธอต่อ

“แค่นี้เอง ?” ซ่เงินถามขึ้นมา

ไม่นานนาตาชาก็หันไปพูดกับซ่เงินว่า “เอาล่ะ! ฉันจัดการเสร็จเรียบร้อย เราไปจัดการปัญหาเรื่องของเรากันดีกว่า”

“จู่ๆ ผมก็รู้สึกว่าที่นี่มันไม่ค่อยจะดวกสักเท่าไหร่ แถมเวลามันก็ไม่พอด้วย ดังนั้น … “ซู่เจินเดินเข้าไปกอด นาตาชาด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นพวกเขาก็ปรากฏตัวขึ้นที่บ้านของนาตาชาในพริบตาทําให้นาตาชารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะเธอก็ไม่คิดเหมือนกันว่าซู่เจินจะพาเธอมาที่นี่

อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นไม่นานซ่เงินก็ค่อย ๆ อุ้มนาตาชาไปที่ห้องนอน และถอดเสื้อผ้าของเธอออกอย่างรวดเร็ว ซึ่งนาตาชาไม่ได้ทันตั้งตัวเลยแม้แต่น้อย

“ตูม!”

ด้วยหมัดอันรุนแรงของสตีฟ ทําให้ จอร์จ บารัค ถึงกับล้มลงไปกองกับพื้น พร้อมกับสตีฟค่อย ๆ หันไปพยักหน้าให้กับฟอลคอน หรือ แซมที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขา หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็เดินไปที่ห้องครัวด้วยกัน

ในขณะเดียวกันตอนนี้หน่วยรบพิเศษก็ได้ช่วยเหลือตัวประกันเอาไว้ได้ทั้งหมดแล้ว

“นาตาชาและซ่เงินไปอยู่ไหนกันล่ะเนี้ย ?” หลังจากช่วยเหลือตัวประกันได้ทั้งหมดแล้ว มันก็ทําให้ภารกิจในครั้งนี้ของพวกเขามันเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว และเมื่อแซมลองมองสํารวจไปรอบ ๆ เขากับไม่พบนาตาชาและซ่เงินเลย

และเมื่อสตีฟลองคิดเกี่ยวกับคําพูดของแซมดู หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หันไปพูดกับแซมด้วยรอยยิ้มอันบิดเบี้ยวว่า “ดูเหมือนว่าพวกเขาจะกลับไปก่อนพวกเราแล้วล่ะ เพราะฉันรู้ดีว่าที่ซู่เจินมาที่นี่ก็เพื่อมารับนาตาชา!”

แซมยักไหล่ขึ้นมาเล็กน้อย พร้อมกับค่อย ๆ กางปีกด้านหลังของเขาออกมา และลอยตัวขึ้นไปบนท้องฟ้า อย่างช้า ๆ “ในเมื่อภารกิจมันเสร็จสิ้นแล้ว มันก็คงจะถึงเวลาที่ฉันจะต้องไปแล้ว”

“คุณจะไปไหนล่ะ ? อยากเข้าร่วมกับ SHIELD ไหม ?” สตีฟหันไปพูดกับแซมพร้อมกับเชื้อเชิญเขาไปในตัว

“ฉันได้เข้าร่วมกับ พันธมิตรสงคราม เรียบร้อยแล้ว!” หลังจากแซมพูดจบเขาก็บินจากไปทันที

ตอนที่ 148 ตามที่ขอ

แซมถึงกับเงียบไปครู่หนึ่ง เพราะว่าคําพูดเมื่อกี้นี้ของซู่เจินมันได้ทะลุเข้าไปยังภายในหัวใจของเขา ซึ่งหลังจากที่เขาเกษียณออกมาจากกองทัพ ออกจากสนามรบ และห่างไกลจากอันตราย แถมยังมีหน้าที่การงานที่ดี แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ตัวเองดีว่าเขาต้องการอะไรมากที่สุดภายในจิตใจของเขา

เมื่อเขารู้ว่ากัปตันอเมริกา หรือ สตีฟ โรเจอร์ส ได้ตื่นขึ้นมาจากการจําศีลภายในก้อนน้ำแข็ง และก้าวสู่สนามรบอีกครั้ง ต่อกับมนุษย์ต่างดาวและปกป้องผู้คน มันก็ทําให้แซมอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้จริง ๆ และถึงแม้ว่ามันจะเป็นสนามรบที่แตกต่างกันก็ตาม

“ฉันคิดว่าก่อนแล้วว่าฉันควรจะทําอย่างไรดี เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสกลับไปยังสนามรบได้เหมือนกับกัปตันอเมริกา และสามารถเป็นทหารได้ต่อไปเหมือนกับเขา โดยมีศรัทธาที่เต็มเปี่ยมอยู่ภายในหัวใจ” แซมส่ายหัวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“ศรัทธา ? คุณมีมันอยู่ในตัวเสมอ เพราะถ้าเกิดว่าทหารสูญเสียศรัทธาไป พวกเขาก็เปรียบเสมือนคนที่ตายไปแล้ว ซึ่งหลังจากที่ผมลองมองไปที่ตัวคุณในตอนนี้ ผมก็รู้ว่าคุณยังมีมันอยู่ และสิ่งที่คุณต้องการในตอนนี้ก็ คือโอกาส” ซู่เจินพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง ทําให้แซมค่อย ๆ เงยหน้ามองไปยังซ่เงิน เพราะเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ทําไมซ่เงินถึงได้พูดกับเขาแบบนี้

“ผมสามารถให้โอกาสนั้นกับคุณได้!”

ซู่เจินมองดูไปที่แซมและพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มต่อว่า “คุณยังจําที่ผมพูดได้ไหม ?”

แน่นอนว่าซู่เจินได้พูดไปเยอะมากเมื่อกี้นี้ แต่ถึงอย่างนั้นแซมก็รู้ดีว่าสิ่งที่ซ่เงินต้องการจะสื่อมันคืออะไร “ได้ทุกอย่าง ?”

“ใช่ ตามที่คุณต้องการ!”

“แถมผมยังได้ยินพวกคนในพูดกันว่า เขาจะให้คุณส่วนอุปกรณ์บางอย่างและนําคุณกลับมาสู่สนามรบครั้งในชื่อของ ฟอลคอน ?”

“คุณรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ?” แซมมองไปที่ซู่เจินอย่างประหลาดใจ

ซู่เจินส่ายหัวและพูดว่า”เรื่องนี้มันไม่สําคัญ เพราะว่าสิ่งที่สําคัญจริง ๆ ก็คือคุณต้องการมันหรือไม่ ? โลกนี้มันไม่ได้สวยงามอย่างที่คุณคิดหรอกนะ คุณสามารถเลือกได้ว่าจะเป็นเพียงแค่ทหารผ่านศึกและใช้อย่างสบาย ๆ ต่อไปโดยแสร้งทําเป็นไม่รู้ไม่เห็นหรือว่าคุณจะเลือกที่จะซูเปอร์ฮีโร่และต่อสู้เพื่อเจตจํานงของตัวคุณเองและ โลกใบนี้!”

“แน่นอนว่าผมยังไม่อยากได้คําตอบของคุณในตอนนี้ ผมจะไปรอคุณในที่ที่คุณควรจะมา และผมก็หวังว่าคุณจะรอผมเช่นกัน! “ซู่เจินตบไปที่ไหล่ของแซมเบา ๆ พร้อมกับร่างของเขาที่ค่อย ๆ บินขึ้นไปบนท้องฟ้า

และก่อนที่เขาจะบินจากไป ขู่เจินก็เหลือบมองไปแซมด้วยความแปลกใจเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็บินหายไปอย่างรวดเร็ว

แซมเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าเล็กน้อย และมองไปยังภาพของซู่เจินที่บินหายไป หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เริ่มคิดเกี่ยวกับตัวเอง ความรู้สึกของการบินอยู่บนท้องฟ้า และความรู้สึก…

ความรู้สึกของความแข็งแกร่ง … แข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก ทําให้เลือดภายในร่างกายของแซมในตอนนี้เต็มไปด้วยความมุ่งพลาน

“ฟอลคอน!”

แซมพึมพําขึ้นมาเบา ๆ ก่อนที่เขาจะกัดฟันและหันหลังเดินจากไป

มีฐานทัพลับแห่งหนึ่งซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นฐานสําหรับการวิจัยและพัฒนาระบบการต่อสู้ทางอากาศซึ่งหลัง จากนั้นไม่นานโครงการนี้ก็ถูกยกเลิกและทําลายทิ้งไป

และสิ่งที่เหลืออยู่ก็คืออุปกรณ์ที่ช่วยในการบินที่มีปีกคล้าย ๆ กับเหยี่ยวเพียงชิ้นเดียวเท่านั้นที่หลงเหลืออยู่

แต่อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะได้มันมา เพราะว่าที่นี่ไม่ได้มีแค่ประตูเหล็กหนาหลาย 10 เซนติเมตรเท่านั้น แต่มันยังมีคนที่คอยคุ้มกันอยู่มากมาย

ทําให้แซมมองไปที่ประตูเหล็กอันนั้นด้วยความกังวลเล็กน้อย

เขาเริ่มมีความคิดเช่นนี้ขึ้นมาก็ตั้งแต่ตอนที่เขาเจอกับกัปตันอเมริกา บวกกับคําพูดของซู่เจินที่กระตุ้นให้เขากระตือรือร้นมากเป็นพิเศษ และเขาก็ตัดสินใจว่าเขาจะเป็นทหาร และบ้านของทหารก็คือสนามรบ แต่ถึงอย่างไรก็ตามถ้าหากว่าเขาต้องการที่จะกลับเข้าสู่สนามรบ เขาก็จะต้องได้เจ้าอุปกรณ์อันนั้นมา

แน่นอนว่าเขารู้เกี่ยวกับความสามารถของตัวเองเป็นอย่างดี ทักษะการต่อสู้บนบก ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง แต่ถ้าเป็นทักษะการต่อสู้ทางอากาศล่ะก็ ต่อให้เป็น ไอรอนแมน หรือ โทนี่ สตาร์ค ก็อาจจะไม่ใช่ของเขา

ถึงแม้ว่าในกรณีที่อุปกรณ์มันยังไม่เอื้ออํานวยมากสักเท่าไหร่ในตอนนี้ และก็มีความมั่นใจเป็นอย่างมาก

แต่ในตอนนี้เขากับทําอะไรไม่ถูกเลย

“ซู่เจิน ไหนคุณบอกว่าฉันเป็นทหาร และทหารก็ควรจะกลับไปที่สนามรบ แถมคุณยังบอกอีกว่าคุณจะปรากฏตัวขึ้นในที่ที่ฉันควรจะมา ? ฉันมาแล้วนี่ไง แล้วตอนนี้คุณกลับไปอยู่ที่ไหน ?” แซมอดไม่ได้ที่จะพึมพํากับตัวเองขึ้นมาเบา ๆ

“ผมอยู่นี่!”

เมื่อแซมพูดจบ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงใครบางคนพูดขึ้นมาข้าง ๆ ของเขา ทําให้แซมถึงกับตกใจและ เมื่อเขาลองฟังดี ๆ เขาก็พบว่าเป็นเสียงของซ่เงิน

แซมหันไปยิ้มให้กับซู่เจินอย่างตื่นเต้น

“ดูเหมือนว่าผมจะโชคดีนะ ที่คุณยังรอผมอยู่”

“พระเจ้า! คุณอยู่ที่นี่จริง ๆ ด้วย คุณรู้จักที่นี่ได้อย่างไร ? แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าฉันจะมาที่นี่ ?” แซมพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

“ผมไม่รู้เพียงแค่นี้หรอกนะ ผมยังรู้อีกด้วยว่ามันมีอุปกรณ์บางอย่างที่คุณต้องการอยู่ข้างในนั้น และเมื่อคุณได้มันมา คุณก็จะกลายเป็นฟอลคอน และสามารถแสดงความแข็งแกร่งของคุณออกมาได้อย่างแท้จริง หลังจากนั้นคุณก็สามารถกลับสู่ท้องฟ้าของคุณพร้อมกับอุปกรณ์อันนั้น ?”

“ใช่ เอาล่ะ! ฉันพร้อมแล้ว”

“ไปกันเถอะ!”

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาและเดินไปที่ประตูเหล็กทันที

“คุณจะทําอะไร ? ประตูเหล็กอันนั้นมันหนาอย่างน้อย 10 เซนติเมตร แม้กระทั่งขีปนาวุธ…”แซมเดินตาม ซ่เงินไปพร้อมกับอธิบายให้ซ่เงิน แต่ทันใดนั้นซู่เจินก็เอามือของเขาวางลงไปที่ประตูเหล็กน้อย พร้อมกับมีเปลวเพลิงปรากฏขึ้นมาบนมือของเขาอย่างรวดเร็ว

ความร้อนสูงเริ่มเผาไหม้ละลายประตูเหล็กในทันที พร้อมกับคลื่นความร้อนที่กระจายอยู่รอบ ๆ และหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ประตูเหล็กอันนั้นก็ปรากฏรูขนาดใหญ่ขึ้นมา

“ขีปนาวุธก็ทําลายไม่ได้ ?”ซู่เจินมองไปที่แซมด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับแกล้งถามเขาขึ้นมา

แซมรีบส่ายหัวและพูดว่า “ไม่…ไม่มีอะไร”

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาและเดินนําเข้าไปด้านใน ซึ่งแซมก็วิ่งตามหลังขู่เจินมาติด ๆ

และหลังจากที่พวกเขาเดินเข้ามาได้ไม่นาน ทันใดนั้นก็มีพวกทหารวิ่งออกมากันเต็มไปหมด

“พวกคุณเป็นใคร! หยุดอยู่กับที่ซะ! ไม่งั้นยิง!”

แซมมองไปที่ซ่เงินด้วยความกังวล แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าของซู่เจินในตอนนี้ก็ดูใจเย็นเป็นอย่างมาก “ผมมา ที่นี่เพื่อเอาของบางอย่าง และผมจะออกไปทันทีเมื่อได้มันมา”

“ของทุกอย่างภายในนี้เป็นของกองทัพ พวกคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะเอาอะไรออกไปทั้งนั้น กรุณาออกไปด้วย ไม่อย่างนั้นฉันจะใช้กําลังบังคับคุณออกไป” ทหารคนนั้นพูดขึ้นมาด้วยน้ําเสียงอันหนักแน่น

ซู่เจินส่ายหัวและพูดว่า “ของสิ่งนั้นมันจะเป็นเพียงแค่ของตกแต่งถ้าเกิดเก็บมันไว้ที่นี่ มันคงจะดีกว่าถ้าเกิดว่านําไปมอบให้กับคนที่สามารถนํามันไปใช้ประโยชน์ได้จริงมันจะดีกว่าไหม ? และถ้าเกิดว่าพวกคุณไม่ยอม ผมก็ขอโทษกับพวกคุณไว้ตั้งแต่ตอนนี้เลย” เมื่อซู่เจินพูดจบ ทันใดนั้นมันก็มีคลื่นลมกระแทกทหารพวกนั้นออกไป อย่างกะทันหัน ทําให้ร่างของทหารพวกนั้นกระเด็นไปกระแทกกับกําแพงและหมดสติไป

“คุณรู้ใช่ไหมว่าของชิ้นนั้นมันอยู่ที่นไหน ?” ซู่เจินหันไปถามกับแซม

แซมพยักหน้าขึ้นมาและวิ่งนําทางซู่เจินไป

หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็เจอเข้ากับอุปกรณ์อันนั้น แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวของแซมนั้นมีความชํานาญมาก เขาสวมอุปกรณ์อันนั้นและถืออาวุธอะไรบางอย่างอีกสองชิ้นเอาไว้ในมือ

“ไปกันเถอะ ฟอลคอนพร้อมที่จะโบยบินแล้ว”

ตอนที่ 147 กัปตันอเมริกา

“คุณไม่ใช่คนธรรมดาจริง ๆ ด้วยสินะ!”

เมื่อเห็นว่าความเร็วของซู่เจินค่อย ๆ เร็วขึ้นเรื่อย ๆ เร็วขึ้นเรื่อย ๆ และเกือบจะวิ่งทันชายคนนั้นในชั่วพริบตา มันก็ทําให้แซมอดไม่ได้ที่จะพึมพําขึ้นมาเบา ๆ

ในแง่ของสมรรถภาพทางร่างกายเพียงอย่างเดียวของซู่เจินในตอนนี้มันก็ไม่ได้น้อยไปกว่าของกัปตันอเมริกาเลย ดังนั้นเขาจึงไม่จําเป็นที่จะต้องใช้ความสามารถอะไรออกมาเลยในการที่เขาจะไล่ตามกัปตันอเมริกาให้ทัน ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่าสตีฟก็ยังไม่ได้ใช้ความเร็วสูงสุดของเขาเช่นกัน และเขาก็ไม่คิดด้วยว่าจะมีใครสามาร ถตามเขาทัน แต่ทันใดนั้นสตีฟก็เห็นว่ากําลังมีคนวิ่งตามเขามาจากข้างหลังอย่างรวดเร็ว มันก็ทําให้เขาอดรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ ทําให้สตีฟเริ่มเร่งความเร็วของเขาให้มากยิ่งขึ้นไป

ความเร็วของพวกเขาทั้งสองคนในตอนนี้มันรวดเร็วเป็นอย่างมาก ซึ่งสตีฟก็ไม่ได้มีความสุขแบบนี้มานานมากแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นไม่ว่าสตีฟจะเร่งความเร็วไปมากเท่าไหร่ เขาก็เห็นว่าชายคนนั้นก็ยังตามเขาทันอยู่ ทําให้เขาค่อย ๆ หันหน้าไปมองว่าชายคนนั้นเป็นใครกันแน่ และเมื่อเขาเห็นว่าชายคนนั้นเป็นใครมันก็ทําให้เขา ถึงกับตกตะลึง และเกือบที่จะสะดุดล้มลงกับพื้น แต่ด้วยปฏิกิริยาการตอบสนองที่รวดเร็วมันก็ทําให้เขาสามารถรักษาสมดุลของร่างกายได้อย่างรวดเร็ว

“ทําไมถึงเป็นคุณไปได้ล่ะ ?”

สตีฟมองไปที่ซ่เงินอย่างแปลกใจ ซึ่งเขาก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะเป็นซู่เจิน

“ไม่คิดเลยว่าคุณจะแปลกใจมากขนาดนั้น” ซู่เจินหยุดวิ่งพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม และหันไปโบกมือให้กับแซมที่กําลังวิ่งเข้ามาหาพวกเขา และพูดว่า “ไง ผมทําสําเร็จแล้วนะ”

“ขอบคุณ!”

แซมพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับหันไปมองสตีฟด้วยความประหลาดใจและพูดว่า “คุณคือกัปตันอเมริกา สตีฟ โรเจอร์ส ใช่ไหม ?”

“สวัสดี!” สตีฟพูดทักทายขึ้นมา

“สวัสดีเช่นกัน ฉันชื่อแซม”

แซมรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยและหันไปพูดกับซูเจนว่า “คุณรู้จักกับกัปตันอเมริกาด้วยหรอ ?”

ซู่เจินยักไหล่ขึ้นมาเล็กน้อยและพูดว่า “นี่มันยังไม่ชัดเจนมากพออีกหรอ ? “

“แล้วคณเป็นใครกันแน่ ? เอ่อ…ที่ฉันหมายถึงก็คือ… คณไม่ใช่คนธรรมดาใช่ไหม ?” แซมถามขึ้นมาอย่างสงสัย

แน่นอนว่าสิ่งที่แซมถามไม่ใช่ชื่อ แต่เป็นฉายาของซู่เจิน และไม่ว่าจะเป็นวายร้ายหรือซูเปอร์ฮีโร่ พวกเขาก็จะมีฉายา หรือความสามารถที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งก็ดูเหมือนว่าซู่เจินจะไม่มีมันเลย

“เรียกเขาว่า ราชาแห่งสงครามก็ได้!”

สตีฟพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“ราชาแห่งสงคราม ?”

แซมและซู่เจินพูดขึ้นมาพร้อมกัน แน่นอนว่าแซมไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย ในขณะเดียวกันซู่เจินก็สงสัย เช่นกันว่าชื่อนี้ของเขามันมีความเป็นมาอย่างไร แล้วเขาไปมีฉายาว่าราชาแห่งสงคราม ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?

“ใช่ ราชาแห่งสงคราม!”

เมื่อมองดูไปยังท่าทางมึนงงของซู่เจินและแซม สตีฟก็พยักหน้าขึ้นมาด้วยความจริงจัง

“ถ้าเกิดว่าคุณเคยอ่านข่าว คุณก็น่าจะเคยเห็นอยู่ว่ามันมีอยู่ข่าวหนึ่งที่ ดร.ออคโตปสถูกฆ่าตาย และคุณก็น่า จะรู้ว่าชายคนที่ฆ่า ดร.ออคโตปุสนั้นเป็นใคร และถ้าเกิดว่า … เขาสวมชุดออกรบของเขาคุณก็อาจจะจําเขาได้ ในทันที”

เมื่อได้ยินสตีฟพูดเกี่ยวกับข่าวของดร. ออคโตปุสขึ้นมา มันก็ทําให้แซมจําขึ้นมาได้ในทันที

ความแข็งแกร่งอันมหาศาลที่มาพร้อมกับความน่าเกรงขาม

ชุดสีดําที่มาพร้อมกับผ้าคลุมที่พลิ้วไหวไปมาท่ามกลางสายลม และดาบคู่สีเขียมเข้มบนมือทั้งสองข้างของเขา ซึ่งมันเป็นภาพที่เห็นแล้วจะต้องประทับใจและยากที่จะลืมเลื่อนอย่างแน่นอน

“พระเจ้า! คุณนั่นเอง ฉันขอโทษด้วย เพราะฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะเป็นคุณ ซึ่งฉันก็เห็นด้วยกับการกระทําของคุณในครั้งนั้นเป็นอย่างมาก เพราะว่าคนเราจะต้องมีวิธีการที่เด็ดขาดในการจัดการกับศัตรู และถ้าเกิดว่าเราเป็นคนใจอ่อน เราก็อาจจะถูกศัตรูตลบหลังและฆ่าตายได้ ดังนั้นฉันจึงคิดว่าวิธีการที่คุณทําในตอนนั้นมัน ถูกต้องที่สุดแล้ว แถมยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้คนที่อยู่รอบ ๆ อีกด้วย!” เมื่อรู้ว่าซู่เจินเป็นใคร แซมก็รีบพูดขอโทษขึ้นมาทันที และหันไปพูดกับซู่เจินด้วยความตื่นเต้น

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เพราะเขาก็ไม่คิดเหมือนกันว่าแซมจะชื่นชอบในตัวของเขามากขนาดนี้ และก็ดูเหมือนว่าการที่เขาจะดึงตัวแซมมาอยู่กับเขามันจะไม่ใช่เรื่องยากแล้ว และเขาก็ประเมินชื่อเสียงของตัวเองต่ำไปด้วย เพราะสําหรับทหารผ่านศึกอย่างแซมแล้ว พวกเขาจะต้องเห็นด้วยกับวิธีการที่เขาได้ทําลงไปอย่างแน่นอน

พวกเขาทั้งสามคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาม และหลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็เดินมาข้างถนนอย่างรวดเร็ว

สตีฟหันไปพูดกับแซมและซ่เงินว่า “ฉันต้องไปแล้ว เพราะว่าตอนนี้มันยังมีเรื่องอีกมากมายให้จัดการแซม คุณจะต้องฝึกให้มากกว่านี้ เพราะว่าตอนนี้ความเร็วของคุณยังช้าเกินไป”

แซมขมวดคิ้วและพูดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ฉันจะไปเทียบกับคุณได้อย่างไร … “

“ปิ๊น ปิ๊น…”

ในขณะที่พวกเขากําลังยืนพูดคุยกันอยู่ ทันใดนั้นก็มีเสียงแตรรถดังขึ้นมาพร้อมกับจอดลงตรงหน้าของพวกเขา พร้อมกับหน้าต่างของรถสปอร์ตสีดําค่อย ๆ เลื่อนลงมา และก็มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “กัปตัน เรามีภารกิจ… ซู่เจิน คุณมาทําอะไรที่นี่อย่างงั้นหรอ ?”

นาตาชามาที่นี่ก็เพื่อแจ้งให้กัปตันอเมริการู้ว่าตอนนี้มีภารกิจเข้ามา แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่คิดว่าซู่เจินจะอยู่ ที่นี่ด้วย หลังจากนั้นเธอก็ลงมาจากรถอย่างรวดเร็วพร้อมกับกอดซู่เจินในทันที ทําให้สตีฟและแซมหันหน้าไป มองกันอย่างช่วยไม่ได้ และแซมก็ถามขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า “แม่ม่ายดําเป็นแฟนของราชาแห่งสงคราม ? พระเจ้า! แล้วผู้หญิงที่ฉันเห็นในตอนนั้นเธอเป็นใครกันล่ะ ?”

“ผู้หญิงที่เขาพูดถึงเป็นใครอย่างงั้นหรอ ?”

เมื่อนาตาชาได้ยินคําพูดของแซม เธอก็หันไปถามกับซู่เจินอย่างสงสัย

ซ่เงินเหลือบมองไปทางแซมอย่างรวดเร็ว และเมื่อแซมเห็นเช่นนั้นเขาก็รีบแสดงท่าทางขอโทษขึ้นมาทันที “ฉันไม่ได้ตั้งใจ…”

“ซิฟ จากแอสการ์ดน่ะ” ซู่เจินพูดขึ้นมาเบา ๆ

“ดูเหมือนว่าคราวนี้จะเป็นเทพธิดา” นาตาชาพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มและพูดต่อว่า “ตอนนี้ฉันมีภารกิจที่จะต้องทํากับกัปตัน คุณอยากมาด้วยกันกับด้วยฉันไหม ?”

“มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และเวลาในการทําภารกิจมันก็ยังเป็นตอนกลางคืนอีกด้วย ซึ่งถ้าเกิดว่าผมว่าง ผมจะไปที่นั่นก็แล้วกัน” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

นาตาชาถึงกับตกตะลึง เพราะดูเหมือนว่าซู่เจินจะรู้ว่าภารกิจในครั้งนี้มันคืออะไร ? เธอพยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ และไม่ได้พูดอะไรให้มากมาย เพราะถึงอย่างไรภารกิจในครั้งนี้มันก็ไม่ได้อันตรายมากนัก ซึ่งเธอก็แค่หวังว่าซู่เจินจะเข้าร่วมภารกิจด้วย มันจะได้ทําให้เธอทําภารกิจในครั้งนี้ได้ไม่อยากลําบากมากนัก

หลังจากที่นาตาชาและสตีฟจากไป แซมก็หันไปพูดกับซู่เจินด้วยความตกใจว่า “คุณช่วยบอกฉันหน่อยได้ ไหมว่าคุณทําแบบนั้นได้อย่างไร ? เพราะว่าเธอไม่ถามด้วยซ้ําว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรกับคุณ”

“เพราะว่าเธอรู้”

“นี่มันจะสุดยอดมากเกินไปแล้ว!” แซมอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา

“บางทีนี่มันอาจจะเป็นเพราะเสน่ห์ที่มากเกินไปของผมก็ได้ เอาล่ะ! อย่าพูดถึงเรื่องนี้กันเลยมาพูดถึงเรื่อง ของคุณกันดีกว่า” ซู่เจินยิ้มขึ้นมาพร้อมกับหันไปมองทางแซม

แซมชะงักไปครู่หนึ่งและพูดขึ้นมาว่า “ฉัน ? คุณต้องการพูดอะไรเกี่ยวกับฉัน ?”

“มันคงจะเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดมากเลยสินะตั้งแต่ที่คุณกลับไปเข้าร่วมกับกองทัพ ? ถึงแม้ว่าคุณในตอนนี้จะ มีหน้าที่การงานที่ดีและชีวิตที่มั่นคง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รู้ว่า … นี่มันไม่ใช่ชีวิตที่คุณต้องการ ดังนั้นคุณอยากก้าวเข้าสู่สนามรบอีกครั้งหรือไม่ ? เป็นเหมือนกับสตีฟ ?”

ตอนที่ 146 เผชิญหน้ากับฟอลคอน

ชายคนนี้มีผิวสีดํา ไว้ผมสกินเฮด สวมชุดออกกําลังกาย และมีเหงื่อออกเล็กน้อยบริเวณหน้าผากของเขา เขาวิ่งผ่านหน้าของซูเงินและซิฟไปอย่างรวดเร็ว และก็ดูเหมือนว่าเขากําลังออกกําลังกายเบา ๆ ในยามเช้า ซึ่งลักษณะการวิ่งของเขานั่นก็คือการวิ่งสักพักหนึ่ง และหยุดพัก

ทําให้ซูเงินชําเลืองมองไปที่เขาพร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขาโดยไม่รู้ตัว

แซม , แซม วิลสัน

แน่นอนว่า แซม เป็นชื่อที่ค่อนข้างธรรมดามาก และสามารถพบเจอได้มากมายตามท้องถนนแต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีเพียงแค่ แซมเดียวเท่านั้น ที่มีฉายาว่า ฟอลคอน

แซม วิลสัน คืออดีตหน่วยพลร่มกู้ภัยของกองทัพอากาศในสหรัฐอเมริกา ก่อนที่เขาจะได้เข้าร่วมทดลองในโครงการลับของกองทัพ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้อุปกรณ์สําหรับการต่อสู้ทางอากาศมา และมันก็เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการมีตัวตนของเขา นั่นก็คือ ฟอลคอน ซึ่งเขาก็เคยเป็นหนึ่งในสมาชิกของอเวนเจอร์สเช่นกัน และสิ่งที่สําคัญที่สุดนั่นก็คือเขาได้รับการยอมรับจาก บัคกี้ บาร์นส์ ในการที่เขาจะได้รับตําแหน่ง กัปตันอเมริก้า คนต่อไปในอนาคต

และการที่เขาได้รับเกียรติในครั้งนั้น มันก็ช่วยเป็นเครื่องยืนยันเป็นอย่างดีว่าความสามารถของเขามันไม่เลวเลย

ซึ่งแซมในตอนนี้ก็เปรียบเสมือนกับทหารผ่านศึกธรรมดา ๆ คนหนึ่ง โดยที่เขายังไม่ได้ปักหรือที่เรียกว่าฟอลคอนมา

และถ้าถามว่าทําไมอเวนเจอร์สถึงได้แข็งแกร่งมากขนาดนั้น ?

ก็ต้องขอตอบว่านอกเหนือจากปัจจัยอื่น ๆ แล้ว จํานวนคนก็เป็นสิ่งสําคัญเช่นกัน ถ้ามีคนเข้ามันก็มีคนออก และเมื่อลองเอาอเวนเจอร์สมาเปรียบเทียบกับพันธมิตรสงคราม พันธมิตรสงครามก็มีจํานวนคนอยู่น้อยมากจนน่าสมเพช และตั้งแต่ที่ซูเงินเห็นเขา ซูเงินก็ไม่คิดที่จะปล่อยตัวเขาไปง่าย ๆ เช่นกัน

“เกิดอะไรขึ้นอย่างงั้นหรอ ?”

เมื่อเห็นว่าซูเงินเหลือบมองไปที่ผู้ชายที่วิ่งผ่านไป ซิฟก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาด้วยความมึนงง

ซูเงินส่ายหัวและพูดว่า “ไม่มีอะไรหรอก ผมก็แค่เจอคนที่น่าสนใจคนหนึ่ง และบางที ผมอาจจะได้เจอคนอื่น ๆ อีกด้วย ผมขอโทษนะ ทั้งที่ผมสัญญากับคุณเอาไว้ว่าจะพาคุณเดินไปดูรอบ ๆ และสนุกไปกับการใช้ชีวิตบนโลก แต่ดูเหมือนว่าในตอนนี้ผมจะมีเรื่องเร่งด่วงที่จะต้องไปจัดการก่อน ดังนั้นคุณช่วยกลับไปรอผมที่ SHIELD ก่อนได้ไหม ?”

“ได้สิ แล้วคุณต้องการให้ฉันช่วยอะไรไหม ?” ซิฟพยักหน้าขึ้นมาด้วยความเข้าใจ เพราะเนื่องจากซู่เจินมีธุรจริง ๆ เธอจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องว่าเขา ซึ่งเธอก็อยากช่วยเขาเช่นกันถ้าเกิดว่าเธอช่วยได้

กล่าวอีกนัยหนึ่งมันก็คือนิสัยของเธอ ในการที่จะพุ่งชนต่ออุปสรรคที่ขวางหน้าทุกอย่าง เพราะว่าเธอคือเทพธิแห่งสงคราม ของแอสการ์ด

“ไม่เป็นไร เพราะว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องยุ่งยากอะไรขนาดนั้น และในตอนที่ผมไม่อยู่ผมก็ฝากคุณช่วยดูแลโควสันและคนอื่น ๆ ด้วยนะ” ซูเงินส่ายหัวขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับพูดขึ้นมา

ซิฟก็พยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ เช่นกัน

ซูเงินคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดขึ้นมาว่า “ถ้าสถานการณ์มันเลวร้าย และไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดีคุณก็พาพวกเขาไปอยู่ที่พันธมิตรสงครามก่อน ส่วนสถานที่ก็ไปถามกับสกายเอา”

“อืม!”

เมื่อได้ยินคําพูดของซูเจิน ซิฟก็รู้สึกว่าสิ่งที่เธอจะเจอหลังจากนี้มันอาจจะไม่ง่ายอย่างที่เธอคิดทําให้เธอพยักหน้าขึ้นมาด้วยความจริงจัง

“เดี๋ยวผมไปส่งคุณที่นุ่นก่อน”

ซูเงินวางมือลงบนไหล่ของซิฟ หลังจากนั้นพวกเขาก็ไปปรากฏตัวขึ้นที่ยานบินของ SHIELD และหลังจากส่งตัวซิฟเสร็จแล้วซูเงินก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากซูเจินกลับมาที่เดิม เขาก็มองไปยังแซมที่วิ่งอยู่ด้านหน้าของเขาจากระยะไกล ซึ่งความเร็วของเขาก็ไม่ได้ช้าหรือเร็วมากเกินไป และถ้าลองเอาไปเปรียบเทียบกับในหนังกัปตันอเมริกาก็ดูว่าเขาจะวิ่งช้าไปหน่อย

เพราะถึงอย่างไรท้ายที่สุดแล้ว แซมก็ไม่ได้ฉีดซูเปอร์โซเดอร์เซรั่ม และเขาก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มีพลังกําลังมากกว่าคนปกติอยู่ดี

ซูเงินไม่ได้รีบร้อนที่จะเข้าไปพูดคุยกับแซม เพราะถ้าเกิดว่าเขาเข้าไปพูดคุยกับแซมในตอนนี้มันจะสูญเปล่าในทันที เพราะถึงอย่างไรชื่อเสียงของเขาก็ไม่ได้เทียบเท่ากับกัปตันอเมริกาเลยแม้แต่น้อย เพราะกัปตันอเมริกาคือสัญญาลักษณ์แห่งความเสรีภาพของคนอเมริกัน ดังนั้นในสายตาของคนอื่นกัปตันอเมริกาเปรียบเสมือนกับวีรบุรุษ และถึงแม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งว่ากัปตันอเมริกา แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้รวมถึงชื่อเสียง ทําให้ซูเจินจะต้องพยายามให้มากขึ้นไปอีก เพราะว่าหนทางมันยังอีกยาวไกล

ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงทําได้เพียงแค่รอ รอให้สตีฟปรากฏตัวขึ้นมาและติดต่อกับแซมผ่านสตีฟ

และในขณะที่ซูเจินกําลังยืนคิดเรื่อยเปื่อยอยู่ แซมก็วิ่งวนจนครบรอบและมาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ ซูเงิน และเมื่อซ์เงินเห็นว่าแซมมาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ เขา ซูเงินก็รู้สึกประหลาดขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับรีบหันไปทักทายทันที

“สวัสดี”

“สวัสดี คุณเพิ่งทะเลาะกับแฟนมาอย่างงั้นหรอ ? เพราะเมื่อกี้ฉันเห็นว่าคุณเพิ่งจะนั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน แต่ตอนนี้กับเหลือเพียงแค่คุณคนเดียว ? เธอหายไปไหนแล้วล่ะ ?” แซมโบกมือทักทายให้กับซูเงินเล็กน้อยก่อนจะถามขึ้นมา

” ทะเลาะกัน ? ผมไม่ได้ทะเลาะกับเธอสักหน่อย ก็แค่เธอมีธุรด่วนก็เลยขอตัวไปก่อน และในตอนนี้ผมก็ยืนคิดอยู่ว่าจะทําอะไรดี” ซูเงินอธิบายขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“คุณลองวิ่งดู มันอาจจะช่วยคุณแก้เบื่อได้!”

แซมยิ้มขึ้นมาและพูดต่อว่า “ฉันชื่อ แซม และถ้าเกิดว่าคุณไม่มีอะไรทําลองไปวิ่งด้วยกันกับฉันไหม ? คุณรู้ไหมการที่เราเกิดเป็นผู้ชายจะต้องมีร่างกายที่ดีและสามารถวิ่งหนีได้อย่างรวดเร็วในตอนที่เกิดอันตราย!”

“ร่างกายที่ดี ? ความเร็ว ? นี่เขาต้องการสื่ออะไรหรือเปล่า ?”

ซูเงินส่ายหัวขึ้นมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะวิ่งตามแซมไป “ผมชื่อซู่เจิน” ซูเงินพูดขึ้นมาเมื่องมาถึงด้านข้างของแซม

แซมรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะเขาก็ไม่คิดเหมือนกันว่าซูเจินจะวิ่งเร็วมากขนาดนี้ ทําให้เขาพยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ และพวกเขาทั้งสองคนก็ออกวิ่งไปพร้อม ๆ กัน

ซูเงินไม่ได้ใช้ความเร็วมากนัก โดยที่เขาจะพยายามรักษาความเร็วพอ ๆ กับแซม และหลังจากที่พวกเขาวิ่งไปได้ประมาณสองสามรอบ แซมก็อดไม่ได้ที่จะมองไปซูเงินด้วยความประหลาดใจเพราะแค่วิ่งไปสองสามรอบแซมก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยมากแล้ว แต่เมื่อแซมลองมองสํารวจไปที่ซูเงิน แซมก็พบว่าซูเงินไม่มีอาการหน้าแดง เหนื่อยหอบ หรือเหงื่อเลยแม้แต่หยดเดียว ” คุณไม่ใช่คนธรรมดาใช่ไหม ?”

“ใช่ ผมไม่ใช่คนธรรมดา” ซูเงินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“คุณเป็นใครกันแน่ ?” แซมรู้สึกมึนงงเล็กน้อยเพราะว่าเขาไม่รู้ว่าซูเจินเป็นใครกันแน่ แต่หลังจากนั้นไม่นาน . เขาก็ได้ยินใครบางคนตะโกนมาจากด้านหลังว่า “ระวังทางซ้าย!”

ในขณะที่แซมกําลังจะหันไปดูว่าเป็นใคร ทันใดนั้นชายคนนั้นก็วิ่งแซงหน้าเขาไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงหัวเราะ หลังจากนั้นไม่นานระยะห่างระหว่างแซมกับชายคนนั้นก็เริ่มไกลขึ้นเรื่อย ๆ

”เขาเป็นใคร ?” แซมหันไปถามกับซูเงินอย่างสงสัย

ซูเงินยิ้มขึ้นมาและไม่ได้พูดอะไร หลังจากนั้นไม่นาน แซมก็ได้ยินคําพูดนั้นขึ้นมาอีกครั้งและนา…!

“ระวังทางซ้าย!”

” เห้ย ไอ้บ้าเอ้ยย…”

แซมตะโกนขึ้นมาด้วยความโกรธและพยายามที่จะวิ่งไล่ตามชายคนนั้นให้ทัน แต่ก็น่าเสียดายเพราะหลังจากที่เขาวิ่งตามไปได้ไม่นาน เขาก็ยอมแพ้ขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจ

“คุณรีบตามเขาไปเร็ว คุณจะต้องตามเขาทันอย่างแน่นอน” เมื่อมองไปยังซูเงินที่กําลังวิ่งเข้ามาหาเขาอย่างช้า ๆ แซมก็หันไปพูดกับซูเงินอย่างรวดเร็ว

ซูเจินยักไหล่และพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “ได้เลยเพื่อน!”

เพื่อพูดจบซูเจินก็เร่งความเร็วและไล่ตามชายคนนั้นไปอย่างรวดเร็ว

ตอนที่ 145 ซิฟ

ซูเงินพาเมย์และซิฟกลับไปที่ยานบินเพื่อพบโควสันและคนอื่น ๆ และเมื่อโควสันเห็นว่าซิฟเดินเข้ามาเขาก็ถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจว่า “ทำไมคนที่คุณพามาถึงไม่ใช่ลอเรไล แต่เป็นซิฟล่ะ ?

“ลอเรไลหลบหนีไปได้ และที่ซิฟมาที่นี่ก็เพื่อตามจับตัวของเธอกลับไป” ซูเงินพูดอธิบายขึ้นมาอย่างสั้น ๆ หลังจากนั้นเมย์ก็เดินไปเล่าสถานการณ์คร่าว ๆ ให้กับโควสันฟังอีกที

ในขณะเดียวกัน ฟิซท์ , เจมมา และสกายก็มองไปที่ซิฟอย่างสงสัย เพราะว่าชุดที่เธอใส่อยู่มันน่าสนใจเป็นอย่างมาก

” เธอชื่อว่าซิฟ เป็นชาวแอสการ์ด เธอถูกส่งตัวมาที่นี่ก็เพื่อตามจับลอเรไล”

ซูเงินสังเกตเห็นสายตาของพวกฟิทซ์ที่มองไปยังซิฟด้วยความสงสัย ทำให้ซูเงินรีบอธิบายขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาเข้าใจผิดว่าซิฟคือลอเรไล

ซิฟวางมือของเธอเอาไว้ข้างหน้าพร้อมกับงอแขนขึ้นมาเล็กน้อย และค่อย ๆ โน้มตัวลงไปข้างหน้าเพื่อทักทาย ซึ่งในตอนแรกซูเจินก็รู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับการที่ซิฟจะเจอกับสกายแต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีปัญหาอะไร แน่นอนว่าสกายก็ไม่ได้รู้เรื่องนั้น ส่วนซิฟก็ไม่ได้พูดอะไรขึ้นมา และก็ดูเหมือนว่าพวกเธอจะเข้ากันได้ดีด้วย

และเนื่องจากการที่เขาไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว มันก็ทำให้เขาเริ่มคิดถึงเกี่ยวกับเรื่องของลอเรไลในทันที

เขาพยายามที่จะใช้ความสามารถในการค้นหาตำแหน่งของลอเรไลอีกครั้ง แต่มันก็ยังล้มเหลวทำให้ซูเจินเริ่มสนใจเกี่ยวกับเธอมากขึ้นไปอีก และมันก็อาจจะเป็นเพราะว่าในตอนนี้เธออาจจะอยู่มิติบางอย่างที่ความสามารถของเขามันไปไม่ถึง หรืออาจจะเป็นว่าเธอเป็นชาวแอสการ์ดทำให้เขาไม่สามารถหาตำแหน่งของเธอได้ ?

หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นมา ซูเงินก็ลองค้นหาตำแหน่งของซิฟดู

ซึ่งมันก็ได้ผลแต่มันก็ไม่ได้บอกว่าซิฟอยู่ตรงไหน แต่มันบอกเพียงแค่ว่าเธออยู่ใกล้ ๆ เท่านั้นดังนั้นแล้วดูเหมือนว่าความสามารถของเขาจะไม่สามารถหาตำแหน่งของชาวแอสการ์ดได้

และในเมื่อมันเป็นแบบนี้ เขาก็สามารถพึ่งพาทรัพยากรของหน่วย SHIELD ในการตามหาตัวของลอเรไลได้ และตราบใดที่ SHIELD หาตัวของเธอพบ ซูเงินก็มั่นใจได้เลยว่าเขาจะสามารถจับตัวของเธอได้อย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างไรก็ตามมันก็คงจะเป็นเรื่องยากมากอย่างแน่นอนในการที่จะตามหาตัวของเธอถ้าเกิดว่าเธอไม่ปรากฏตัวออกมา แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เป็นคนที่ไม่ยอมอยู่แบบหลบ ๆ ซ่อนอย่างแน่นอน และในไม่ช้าเธอก็จะปรากฏตัวออกมา ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องรีบไปตามหาตัวของเธอเลย

การที่ซิฟจะมาบนโลกได้นั้นมันเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก และเธอก็จะอยู่ที่นี่จนกว่าเธอจะสามารถตามจับตัวของลอเรไลได้

” สกาย เดี๋ยวผมจะพาซิฟออกไปเดินซื้อของนะ เพราะว่าเธอเพิ่งจะมาบนดาวโลกเป็นครั้งแรก” ขู่เจินหันไปพูดกับสกายเบา ๆ

สกายมองไปที่ซูเงินและถามขึ้นมาเบา ๆ เช่นกันว่า ” คุณมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเธออย่างงั้นหรอ ?”

” ผมเคยพบเธอตอนที่ผมไปแอสการ์ด ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเธอก็ดีมาก ๆ เลยล่ะ” ซูเจินพยักหน้าและพูดขึ้นมา

“ได้ซิ … เธอเป็นคนที่น่ารักมากเลยล่ะ และถ้าเกิดว่ามีข่าวอะไร ฉันจะรีบติดต่อไปหาคุณทันที!” สกายพูดขึ้นมาเบา ๆ

“คุณเป็นคนที่น่ารักที่สุดเลย”

ซูเจินยิ้มขึ้นมาและจูบไปที่แก้มของสกายอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันซิฟที่กำลังพูดคุยกับโควสันอยู่ก็เหลือบมามองทางซูเงินเช่นกัน แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรมา ทันใดนั้นซูเงินก็เดินมาคว้าตัวของซิฟไปในทันที ทำให้โควสันที่ต้องการจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่เขาก็ไม่ได้พูดพร้อมกับมองไปที่ซูเงินและซิฟที่เดินหายไป

“ที่นี่คือที่ไหน ?”

ซิฟมองไปที่ห้องตรงหน้าและถามขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า “เมื่อกี้พวกเรายังอยู่ที่ยานบินอยู่เลย ? คุณเทเลพอร์ตมาที่นี่อย่างงั้นหรอ ?”

ประมาณนั้น และที่นี่ก็คือโรงแรม ดังนั้นในตอนนี้คุณจะต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน แต่ถึงอย่างนั้นคุณจะใส่ชุดนี้ก็ได้นะ เพราะว่าในตอนนี้สถานการณ์บนโลกมันต่างไปจากเดิมนิดหน่อย”

เมื่อพูดจบมันก็มีชุดปรากฏขึ้นมาบนมือของซูเงินอย่างรวดเร็ว กางเกงยีนส์ เสื้อยืดและแจ็กเก็ตหนัง

ซึ่งชุดนี้เป็นชุดที่ซ่เงินได้เตรียมไว้ให้กับซิฟโดยเฉพาะ เพราะว่าบุคลิกและอารมณ์ของซิฟนั้นเอนเอียงไปในทางของผู้หญิงกล้าหาญและอารมณ์ที่เหมือนผู้ชายมากกว่า ซึ่งมันเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากลอเรไลและสกายโดยสิ้นเชิง

ดังนั้นถ้าเกิดว่าเขาให้เสื้อผ้าของผู้หญิงโดยเฉพาะให้กับเธอใส่มันจะทำให้เกิดอารมณ์ที่ดูขัดแย้งกันขึ้นมา และมันจะดูไม่สมเหตุสมผล ดังนั้นแล้วชุดนี้จึงเหมาะสมกับเธอเป็นอย่างมาก

ซิฟลังเลอยู่เล็กน้อยในตอนแรก ก่อนที่เธอจะยอมเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่ซ่เงินหยิบออกมาให้

หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ความรู้สึกของซิฟในตอนนี้ที่ซูเจินสัมผัสได้มันก็แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

เพราะว่าตอนนี้เธอไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนกับ “นักรบ” อีกแล้ว ซึ่งมันให้ความรู้สึกที่เจ๋งกว่านั้นเล็กน้อย

“เอาล่ะ! หลังจากนี้ผมจะสอนให้คุณรู้ว่าการจะใช้ชีวิตอยู่บนโลกจะต้องทำอย่างไรบ้าง”

ซูเงินพูดขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับมองไปที่ซิฟด้วยความพึงพอใจ หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินออกไปข้างนอกพร้อมกัน

ซึ่งซ่เงินก็สามารถบอกได้เลยว่าความเร็วในการเรียนรู้ของซิฟนั้นสุดยอดมาก ถึงแม้ว่าในตอนแรกเธอจะรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่หลังจากนั้นไม่นานเธอก็สามารถปรับตัวและเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้ทำตัวเหมือนกับธอร์ที่เอาแต่ดื่มเหล้าหลังจากที่เขามาบนดาวโลกเป็นครั้งแรก

และเมื่อตกเวลากลางคืน พวกเขาก็ไปหาอาหารเย็นทานด้วยกัน ก่อนที่จะหาที่พักบริเวณใกล้ ๆ เพื่อพักผ่อนพร้อมกับทำกิจกรรมผ่อนคลายร่างกายหลังจากที่พวกเขาไม่ได้เจอกันมานาน ทำให้ซิฟในตอนนี้ช่างเร่าร้อนยิ่งกว่าตอนไหน ๆ

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เธอก็รู้เหมือนกันว่าซูเจินกำลังอ่านความคิดของเธออยู่ ทำให้เธอยิ่งกระตือรือร้นมากขึ้นไปอีก

ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงกระตือรือร้นมากขนาดนั้น นั่นก็เพราะว่าเธอต้องการพิสูจน์ว่าเธอไม่ได้แย่ไปกว่าผู้หญิงคนอื่น ๆ ของเขา และก็เพื่อพิสูจน์ด้วยว่าเพียงแค่เธอเพียงคนเดียวก็เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการของเขา ทำให้เขาไม่จำเป็นที่จะต้องไปหาผู้หญิงคนอื่นอีก

นี่ถือว่าเธอพยายามที่จะเก็บเขาไว้เพียงคนเดียวอย่างงั้นหรอ ?

และนี่ก็คือความคิดของผู้หญิงทุกคนในแอสการ์ดที่เป็นแบบนี้

ในขณะเดียวกันซูเงินที่รู้ความคิดของซิฟ เขาก็ไม่สามารถหาคำพูดอะไรออกมาได้เลย และถ้าถามว่ามันน่าอายไหม ? เขาก็บอกได้เลยว่ามันน่าอายมากจริง ๆ นั่นแหละ

หลังจากนั้นไม่นานกิจกรรมผ่อนคลายของเขาและซิฟก็จบลง โดยซิฟเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และร้องขอความเมตตาจากซูเงิน

“อืม … ฉันขอโทษ ฉันจะไม่คิดแบบนั้นอีกแล้ว”

เมื่อเห็นท่าทางของซูเงินที่แสดงออกมาอย่างมีชัย ซิฟก็ฟื้นพูดขึ้นมาด้วยความไม่เต็มใจ

ซูเจินยิ้มขึ้นมาพร้อมกับโอบกอดไปที่ซิฟและพูดว่า “ตอนนี้มันดึกมากแล้ว คุณรีบนอนเถอะเดี๋ยวผมจะปลุกคุณอีกทีตอนเช้า และจะพาคุณไปดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน”

“อืม!”

ซิฟพยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็นอนกอดกันและหลับไปอย่างรวดเร็ว

เวลาประมาณตีสี่ ซูเงินและซิฟก็เดินออกมาจากโรงแรมด้วยกัน หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินไปที่ริมทะเลสาบในสวนสาธารณะ พร้อมกับนั่งลงบนม้านั่งอย่างเงียบ ๆ รอพระอาทิตย์ขึ้น ซิฟพิงไปที่ไหล่ของซูเงินพร้อมกับมองไปบนท้องฟ้า หลังจากนั้นไม่นานความมืดมิดมันก็ค่อย ๆ หายไปและแสงอันอบอุ่นของดวงอาทิตย์ค่อย ๆ ลอยขึ้นมาแทน ซึ่งมันก็สวยงามเป็นอย่างมากทำให้ซิฟรู้สึกมีความสุขเป็นพิเศษ

“มันสวยมากเลย”

หลังจากพระอาทิตย์ขึ้นจนสุดขอบฟ้าเรียบร้อยแล้ว ซิฟก็หันไปพูดกับซูเงินด้วยสีหน้าที่มีความสุข

ซูเจินยิ้มและพูดว่า “แน่นอน เราไปกันเถอะ ตอนนี้ผมหิวข้าวมากเลย”

แต่ในขณะที่พวกเขาลุกขึ้น ทันใดนั้นก็มีคนวิ่งผ่านหน้าของเขาไป ทำให้ซูเงินถึงกับหรี่ตาลงและยิ้มขึ้นมาในทันที

ตอนที่ 144 มาลองดูกันว่าใครกันแน่ที่จะชนะ

แน่นอนว่าข้อเสนอของลอเรไลนั้นน่าสนใจมากสำหรับซูเงิน ทำให้เมย์รู้สึกกังวลว่าซูเจินจะตอบตกลงกับลอเรไลไป และเธอก็ไม่เชื่อด้วยว่าลอเรไลจะยอมจำนนง่ายดายขนาดนั้น ตรงกันข้ามนี่อาจจะเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้ซูเงินประมาทและหาทางเข้าใกล้ซูเงินก็ได้

ทำให้เมย์พยายามพูดเกลี้ยกล่อมซูเงินไม่ให้เห็นด้วย แต่ทันใดนั้นซูเจินก็ส่ายหัวขึ้นมาเบาๆ และหันไปพูดกับลอเรไลขึ้นมาว่า ” แน่นอนว่าข้อเสนอของคุณมันน่าดึงดูดมาก และคุณก็สามารถจัดการปัญหากับ SHIELD และแอสการ์ดได้ในทันที แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่ต้องการผู้ช่วยหรือลูกน้องคนใหม่ในตอนนี้ และแน่นอนว่าด้วยความสามารถของคุณผมสามารถสร้างกองทัพขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย และก็ดูเหมือนว่าผมควรที่จะเห็นด้วยกับข้อเสนอของคุณใช่ไหม ?”

“แน่นอน เพราะว่าฉันสามารถทำสิ่งที่คุณพูดขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย” ลอเรไลพูดขึ้นมาด้วยความมั่นใจ เธอค่อย ๆ เดินเข้าไปหาซ่เงินอย่างช้า ๆ ด้วยรอยยิ้ม และในขณะที่เธอเดินเข้าไปหาเงินเธอก็พูดไปด้วยว่า “คุณสามารถจินตนาการได้เลยว่าถ้าเกิดว่าคุณมีฉันเป็นผู้ช่วย องค์กรพันธมิตรสงครามของคุณจะกลายเป็นองค์กรที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกได้อย่างรวดเร็ว และถ้าเกิดว่าคุณต้องการฉันก็สามารถทำให้คุณกลายเป็นประธานาธิบดีก็ได้เช่นกัน หรือกลายเป็นราชาเพียงองค์เดียวบนโลกใบนี้ก็ได้ ตราบใดที่คุณ ”

“มอบตัวของคุณให้กลับฉัน!”

มือของลอเรไลค่อย ๆ เอื้อมไปแตะที่ไหล่ของซูเงินอย่างช้า ๆ ทำให้ใบหน้าของลอเรไลในตอนนี้มีความสุขขึ้นมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับแสดงท่าทางอย่างมีชัยขึ้นมาในทันที

” แย่แล้ว!”

เมย์ถึงกับตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดของลอเรไลเมื่อครู่นี้ และเธอก็อดคิดไม่ได้ถึงความเป็นไปที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าลอเรไลได้แตะไปที่ตัวของซูเงินเรียบร้อยแล้ว

และถ้าเกิดว่าลอเรไลสามารถควบคุมซูเงินได้ เธอก็ไม่อยากคิดสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้เลย

เมย์รีบวิ่งเข้าไปหาลอเรไลอย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างนั้นลอเรไลก็สามารถหนีออกมาได้อย่างง่ายดาย พร้อมกับเอามือแตะไปที่ไหล่ของซูเงินและไปยืนอยู่ข้างหลังของซูเงินอย่างรวดเร็ว พร้อมกับกระซิบไปที่หูของซูเงินอย่างมีชัยว่า “ฆ่าเธอซะ!”

“ไม่ ซูเงินอย่าไปฟังเธอ เธอกำลังควบคุมคุณอยู่!” เมย์รีบตะโกนขึ้นมาด้วยความร้อนรน พร้อมกับเข้าไปหาซูเงินด้วยความระมัดระวังและตะโกนกระตุ้นสติของซูเงินไปด้วย

“อย่าพยายามให้เหนื่อยเปล่าเลย เขาไม่สามารถหลุดจากการควบคุมของฉันได้อย่างแน่นอนน่าเสียดาย … เฮ้อ! ฉันคิดว่าเขาจะเป็นราชาที่ฉันกำลังตามหาอยู่ซะอีก แต่ในตอนนี้เขากับเป็นเพียงแค่เบี้ยในมือของฉัน เป็นเพียงแค่หุ่นเชิด … “

“เป็นเช่นนี้นี่เอง คุณจะยอมจำนนต่อผู้ที่จะขึ้นเป็นราชาเท่านั้นสินะ ดูเหมือนว่าผู้หญิงของชาวแอสการ์ดจะเป็นเหมือนกันหมด” ขู่เจินพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน

ลอเรไลถึงกับตกตะลึงและรีบผละตัวออกจากซูเงินอย่างรวดเร็ว

“นี่มันเป็นไปได้ยังไง”

ถึงแม้ว่าลอเรไลจะมองหาราชาที่คู่ควรกับเธอ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีที่สามารถต้านทานเสน่ห์ของเธอได้เลยสักคน พวกเขาล้วนตกอยู่ในการควบคุมของเธอ และเมื่อเธอเห็นว่าซ่เงินไม่ได้ตกอยู่ในการควบคุมของเธอ มันก็ทำให้เธอรู้สึกหนักใจขึ้นเล็กน้อย

บางที …. ผมอาจจะเป็นราชาที่คุณกำลังตามหาอยู่ก็ได้ ?” ซูเจินหันกลับไปมองที่ลอเรไลพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงไม่โดนเธอควบคุม นั่นก็เป็นเพราะว่าความสามารถในการคัดลอกของเขา เขาคัดลอกความสามารถของลอเรไลมา และความสามารถที่เหมือนกันมันก็เริ่มหักล้างซึ่งกันและกัน และส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงต้องแกล้งทำเป็นว่าถูกเธอควบคุมอยู่ :

นั่นก็เป็นเพราะว่าเขาอยากรู้ว่าลอเรไลจะแสดงออกมาอย่างไร

และตอนนี้เขาก็ได้เห็นมันแล้ว

ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก

“ฟูม!”

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาจากบนท้องฟ้า ทำให้ลอเรไลเงยหน้าขึ้นไปมองอย่างรวดเร็วพร้อม กับสีหน้าของเธอที่เปลี่ยนไปในทันที หลังจากนั้นเธอก็หันไปมองที่ซูเงินและพูดว่า “ฉันจะกลับมาหาคุณอีกครั้งอย่างแน่นอน”

เมื่อเธอพูดจบ ทันใดนั้นก็มีกลุ่มแสงสีเขียวปรากฏขึ้นมาห่อหุ้มร่างกายของเธอเอาไว้ และในพริบตาร่างของเธอก็หายไปอย่างรวดเร็ว

“นี่มันการเคลื่อนย้ายเวทย์มนตร์อย่างงั้นหรอ ?” ซูเงินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ซึ่งเขาก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเธอจะมีความสามารถนี้ด้วย ทำให้เขาพยายามที่จะค้นหาตำแหน่งของลอเรไลอย่างรวดเร็ว แต่มันก็ไม่สำเร็จ “จะกลับมาหาอีกอย่างงั้นหรอ ? เอาสิ! ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าคุณหรือผมกันแน่ที่จะชนะ!”

การเคลื่อนย้ายเวทย์มนตร์ของลอเรไลเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงจริง ๆ เพราะเขาก็ไม่สามารถคัดลอกความสามารถนี้ของเธอมาได้ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดว่าเธอจะมีความสามารถแบบนี้ด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ตามถ้าเกิดว่าเขาต้องการหยุดเธอจริง ๆ มันก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก แต่มันอาจจะต้องใช้เวลาสักเล็กน้อย

แถมเธอยังเป็นคนที่กล้าท้าทายเขา

“แล้วนี่ใครอีกล่ะ ?”

ทันใดนั้นเมย์ก็มองไปยังผู้หญิงคนหนึ่งที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน เธอถือดาบและโล่อยู่ในมือ พร้อมกับสวมชุดเกราะสีเงินแวววาว ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาด้วยความมึนงง

” เธอเป็นคนที่มาจากแอสการ์ด และเธอก็เป็นหนึ่งในผู้หญิงของผมด้วย”

ซูเงินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

ซิฟลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนที่เธอจะค่อย ๆ เดินเข้าไปกอดซูเงิน

เมย์มองไปยังฉากตรงหน้าด้วยความแปลกใจเล็กน้อย

“ทำไมคุณเพิ่งจะลงมาบนโลกล่ะ ? ผมคิดว่าคุณจะลงมาบนโลกเร็วกว่านี้ซะอีก” หลังจากกอดกันจนพอใจแล้ว ซูเงินก็ถามซิฟขึ้นมาเบา ๆ

“คุณรู้ด้วยหรอว่าฉันจะลงมาที่โลก ?” ซิฟถามขึ้นมาด้วยความตกใจเล็กน้อย

“คุณจะต้องตามจับลอเรไลที่หลบหนีออกมาจากแอสการ์ด ซึ่งเธอก็เป็นคนที่มีความสามารถพิเศษมากมาย ดังนั้นจึงมีเพียงแค่คุณเท่านั้นที่จะเหมาะกับงานในครั้งนี้ ยิ่งไปกว่านั้นผมยังอาศัยอยู่บนโลก ทำให้ผมคิดว่าคุณน่าจะลงมาที่โลกอย่างแน่นอน” ซูเงินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

ซิฟพยักหน้าเบา ๆ และพูดว่า “คุณพูดถูก ฉันได้รับคำสั่งมาว่าให้มาตามจับตัวของลอเรไลกลับไป และในทันทีที่ฉันรู้ตำแหน่งของเธอ ฉันก็รีบลงมาที่โลกทันที แต่ฉันก็ไม่คิดว่าเธอจะหนีไปได้ซะก่อน ยังไงก็เถอะ … คุณเป็นอะไรมากไหม ?”

” ผมไม่เป็นไร เพราะว่าความสามารถของเธอมันไม่ได้ผลกับผม” ซูเงินอธิบายขึ้นมา

“มันไม่ถูกต้อง ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ล่ะ ? เพราะตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมันยังไม่มีใครที่จะสามารถต้านทานต่อความสามารถของลอเรไลได้เลยสักคน” ซิฟพูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ

“เพราะว่าผมคือซูเงินยังไงล่ะ และถ้าเกิดว่าผมไม่ใช่คนพิเศษ ผมจะกลายเป็นผู้ชายของคุณได้อย่างไรจริงไหม ?” ซูเงินกระซิบไปที่หูของซิฟเบา ๆ ทำให้ใบหน้าของซิฟถึงกับเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที “ฉันคิดว่า … คุณน่าจะไม่ใช่ผู้ชายเพียงคนเดียวของฉันหรอกจริงไหม ?”

“อะแฮ่ม! นี่“

คำพูดของซิฟทำให้ซูเงินถึงกับหายใจไม่ทั่วท้องในทันที แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังโชคดีอยู่ที่ซิฟไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น ทำให้ซูเงินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ค่อยสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก ?

“ลอเรไลเป็นคนที่เจ้าเล่ห์มาก และฉันก็คิดว่ามันคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตามหาตัวของเธอดังนั้นฉันจึงต้องการความช่วยเหลือจากคุณ!” ซิฟหันไปมองที่ซูเงินและค่อย ๆ พูดขึ้นมาอย่างช้า

ซูเจินพยักหน้าและพูดขึ้นมาว่า “ไม่ต้องกังวล ผมจะต้องตามหาตัวของเธอให้เจออย่างแน่นอน และถึงแม้ว่าจะหาตัวของเธอไม่เจอ ผมก็จะพยายามหาตัวของเธอให้เจอให้ได้”

” อะแฮ่ม!

ฉันคิดว่าพวกเรากลับไปที่ยานบินกันก่อนดีกว่าไหม ?”

เมื่อเห็นว่าพวกเขาทั้งสองคนจะพูดคุยกับอีกนาน เมย์ก็แกล้งกระแอมขึ้นมาเพื่อขัดจังหวะการพูดคุยของพวกเขา

“โอเค พวกเรากลับกันก่อนเถอะ”

ซูเจินพยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ หลังจากนั้นเขาก็ปลดปล่อยพลังงานของแหวนมาห่อหุ้มร่างกายของเมย์และซิฟเอาไว้ เพราะว่าเขาไม่สามารถพาพวกเธอทั้งสองคนวาร์ปไปได้ ทำให้เขาได้แต่พาพวกเธอบินกลับไปเท่านั้น

ตอนที่ 143 ลดพัดกระโปรง

ผู้คนที่อยู่ภายในโรงเตี้ยมทั้งหมดถึงกับตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะตอนแรกพวกเขาได้ยินแค่เสียงลมที่พัดอยู่ข้างนอกอย่างรุนแรงเท่านั้น

หลังจากที่โรงเตี้ยมลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ทําให้ผู้คนที่อยู่ข้างในถึงกับล้มระเนระนาดกันไม่เป็นท่า พร้อมกับกรีดร้องขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว ซึ่งความรู้สึกของพวกเขาในตอนนี้มันเหมือนกับว่าพวกเขากําลังนั่งรถไฟเหาะอยู่อย่างไรอย่างนั้น

“เห็นไหม วิธีนี้มันง่ายกว่ามาก” ซู่เจินเอามือของเขาลง และหันไปยิ้มให้กับเมย์ที่อยู่ข้างหลังของเขา

ในขณะเดียวกันโรงเตี้ยมก็ค่อย ๆ หล่นลงมากระแทกกับพื้นอย่างมั่นคง ทําให้เมย์ที่เห็นเช่นนั้นก็เดินผ่านซู่เจินไปเพื่อเดินไปยังโรงเตี้ยมที่อยู่ข้างหน้าของเธอ

ซึ่งคนอื่น ๆ ที่อยู่ภายในโรงเตี้ยมในตอนนี้ก็ได้หนีหายกันไปหมดแล้ว ทําให้มีผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ข้างในโรงเตี้ยม ซึ่งสภาพของเธอในตอนนี้ก็ดูน่าอายเล็กน้อย เพราะ ผมของเธอในตอนนี้มันพันเข้าหากันยุ่งเหยิงเต็มไปหมด แถมกระโปรงของเธอก็ยังถูกพัดขึ้นเผยให้เห็นต้นขาที่ขาวเรียวสวยเป็นประกายระยิบระยับ

หลังจากนั้นไม่นานลอเรไลก็จัดชุดของเธอให้เข้าที่ให้เรียบร้อย พร้อมกับมองไปที่เมย์ที่กําลังเดินเข้ามาหาเธอจากระยะไกลด้วยความประหลาดใจ … โดยมีซู่เจินที่อยู่ด้านหลังของเมย์

เธอรู้จักเขา!

ย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ในคุกของแอสการ์ด ในตอนนั้นเธอได้ใช้ประโยชน์จากความโกลาหลที่เกิดขึ้นในการหลบหนีออกมา และเมื่อเธอหลบหนีออกมาข้างนอกเรียบร้อยแล้ว ทันใดนั้นเธอก็สังเกตเห็นซู่เจินที่กําลังปลดปล่อยพลังจํานวนมหาศาลในการทําลายยานบินรบของดาร์กเอลฟ์ไปจํานวนมากมาย ทําให้เธอได้รู้ว่านี่แหละคือความแข็งแกร่งที่แท้จริง

ซึ่งลอเรไลก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเธอจะได้พบกับเขาที่นี่ ทําให้สิ่งแรกที่เธออยากทําในตอนนี้ก็คือ หนีไปให้เร็วที่สุด เพราะขนาดดาร์กเอลฟ์ที่แข็งแกร่งมากขนาดนั้นก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา แล้วเธอจะไปสู้เขาไหวได้อย่างไรจริงไหม ? แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็มีความคิดอื่นที่ดีมากกว่านั้น

และมันก็ถือว่าเป็นโอกาสของเธอ

เพราะถ้าเกิดว่าเธอสามารถควบคุมเขาได้ เธอก็จะมีลูกน้องที่แข็งแกร่งกว่าคนปกติธรรมดามากกว่า 1 คนซะอีก

และถ้าเกิดว่าไม่สามารถควบคุมเขาได้ เธอก็สามารถขอติดตามเขาไปได้ เพราะผู้ชายคนนี้สามารถปกป้องเธอได้และปล่อยให้เธอทําอะไรก็ได้เธอที่ต้องการ

เพราะถึงอย่างไรท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าคุณจะแข็งแกร่งมากขนาดไหนหรือว่าจะเป็นราชามาจากไหน ถ้าเกิดว่าคนเหล่านั้นล้วนเป็นผู้ชาย!

ตราบใดที่เป็นผู้ชาย ก็จะไม่มีใครสามารถต้านทานเสน่ห์ของเธอได้อย่างแน่นอน!

หลังจากนั้นลอเรไลก็ค่อย ๆ เดินออกไปข้างนอกอย่างสง่างาม

“อย่าขยับ” เมย์รู้สึกประหลาดใจกับการกระทําของลอเรไลเป็นอย่างมาก เพราะถึงแม้ว่าพวกเธอจะเป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่เธอก็ต้องขอยอมรับเลยว่าลอเรไลเป็นคนที่งดงามมาก ๆ แต่ก็ถึงอย่างไรก็ตามเมย์ก็ไม่กล้าที่จะประมาทกับคนตรงหน้า ทําให้เธอรีบชี้ปืนไปยังลอเรไลอย่างรวดเร็ว

ลอเรไลเหลือบมองไปยังเมย์พร้อมกับยกมุมปากขึ้นมาด้วยความรังเกียจเล็กน้อย หลังจากนั้นเธอก็เดินตรงไปยังซ่เงินในทันที

“ฮึ”

เมย์พ่นลมหายใจออกมาด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยพร้อมกับยิ่งไปที่ลอเรไลอย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างนั้นลอเรไลก็สามารถหลบหลีกมันได้อย่างง่ายดาย และเมื่อเมย์เห็นว่าปืนไม่ได้ผลมันก็ทําให้เธอรีบวิ่งเข้าไปต่อสู้กับลอเรไลอย่างรวดเร็ว

เหม่ยพ่นลมออกมาอย่างไม่สบายใจและยิงออกไปตรงๆ แต่ลอเรไลหลีกเลี่ยงได้ง่าย และเมย์ก็รีบเข้าไปต่อสู้กับลอเรไล

” เยี่ยม!”

เมื่อมองไปยังเมย์และลอเรไลที่กําลังต่อสู่กันไปมา ซู่เจินก็เริ่มสํารวจไปยังพวกเธออย่างช้า ๆ แน่นอนว่าทักษะการต่อสู้ระยะประชิดของเมย์นั้นดีกว่าลอเรไลมาก แต่ถึงอย่างนั้นความแข็งแกร่งทางร่างกายของลอเรไลก็ดีกว่าเมย์เช่นกัน พวกเธอต่อสู้กันไปมาอยู่ระยะหนึ่ง ทันใดซู่เจินก็ลองสำรวจไปยังลอเรไลให้ละเอียดมากยิ่งขึ้น เธอสูงประมาณ 165 – 170 เซนติเมตร ขาของเธอเรียวสวย และสิ่งที่สําคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือเธอขาวมาก!

ทําให้ซู่เจินไม่สามารถละสายตาออกไปจากมันได้

“บูม!”

เมย์ต่อยไปที่ร่างของลอเรไลอย่างรุนแรง แต่ทันใดนั้นลอเรไลก็ปลดปล่อยพลังของเธอออกมาอย่างรวดเร็ว ทําให้เมย์ถึงกับกระเด็นออกไปอย่างรุนแรง

“ตายไปซะ ฮึ่ม!!”

ลอเรไลตะโกนขึ้นมาด้วยความดูถูกเหยียดหยาม หลังจากนั้นเธอก็หันไปมองที่ซู่เจิน ด้วยท่าทางที่มีเสน่ห์ขึ้นมาทันตา

“ฉันรู้จักคุณ คุณซู่เจิน ผู้ชายที่สามารถจัดการกับเหล่าดาร์กเอลฟ์ได้อย่างสิ้นซาก” ลอเรไลพูดขึ้นมาพร้อมกับเดินเข้าไปหาซ่เงินอย่างช้า ๆ

“ถึงแม้ว่าผมอยากจะทําความรู้จักกับคุณอย่างใกล้ชิด แต่ก็น่าเสียดายที่ผมรู้ว่าคุณเป็นใคร ดังนั้นคุณควรหยุดกับที่ซะ” ซู่เจินมองไปที่ลอเรไลและพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม แต่น้ําเสียงของซู่เจินมันไม่ได้เป็นเหมือนกับรอยยิ้มของเขาเลยแม้แต่น้อย ทําให้รอยยิ้มของลอเรไลถึงกับแข็งข้างขึ้นมาเล็กน้อย

“คุณกลัวฉันอย่างงั้นหรอ ? นี่ไม่ใช่ความคิดของผู้ชายที่แข็งแกร่งควรจะมีมันเลยนะ!” ลอเรไลมองไปที่ซู่เจิน พร้อมกับส่ายหัวขึ้นมาเบา ๆ ด้วยความผิดหวังเล็กน้อย

สีหน้าและแววตาที่เธอแสดงออกมา มันทําให้ซู่เจินรู้สึกเหมือนกับว่าเขาเป็นอาชญากรที่ชั่วร้ายที่ทําให้เธอต้องผิดหวังและเสียใจอย่างไรอย่างนั้น

สมแล้วกับการที่ลอเรไลจะเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์มากขนาดนี้

ทําให้ซู่เจินในตอนนี้รู้สึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อยว่าเสน่ห์ของแม่มดอโมราน้องสาวของเธอจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร เธอจะมีมนต์เสน่ห์ที่น่าหลงใหลเหมือนกับลอเรไลหรือไม่ ?

” ผมกลัวว่าผมจะควบคุมพลังของตัวเองไม่ได้ และผมก็ไม่อยากทําร้ายคุณด้วย” ซู่เจินยิ้มและส่ายหัว

“ไม่อยากทําร้ายฉัน ? คุณกล้าทําร้ายฉันอย่างงั้นหรอ ?” ลอเรไลถึงกับทําหน้าบึงออกมาพร้อมกับมองไปที่ซู่เจินด้วยดวงตาที่เปื้อนน้ําตา

ซู่เจินยักไหล่และพูดว่า ”เสียงของคุณมันไม่สามารถทําให้ผมสับสนได้ บางที … คุณอาจจะทําสําเร็จก็ได้ถ้าเกิดว่าคุณสามารถสัมผัสร่างกายของผมได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้นถ้าเกิดว่าคุณต้องการเข้ามาใกล้ผม ดังนั้นผมจึงเตือนให้คุณหยุดอยู่กับที่จะดีกว่า”

“จริงหรอ ? ฉันคิดว่าคุณไม่กล้าทําฉันอย่างแน่นอน ..”

ลอเรไลยิ้มขึ้นมาพร้อมกับเดินเข้าไปหาซู่เจินอย่างช้า ๆ

” อย่าท้าทายผมจะดีกว่า”

ซู่เจินส่ายหัวและโบกมือไปทางเธอ

การกระทําของซู่เจินนั้นมันเรียบง่ายมาก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทําให้ลอเรไลถึงกับตกใจในทันที และเธอก็ไม่คิดว่าซู่เจินจะกล้าทําร้ายเธอจริง ๆ เขาไม่สนใจเธอเลยอย่างงั้นหรอ ?

“วิส!”

มีกระแสลมพัดมา ทําให้ลอเรไลค่อย ๆ หลับตาลงอย่างช้า ๆ แต่หลังจากนั้นไม่นานเธอก็รู้สึกได้ว่ามันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น มันมีเพียงแค่กระแสลม … ลมที่เบามาก มากกว่าที่เธอคิดเอาไว้

ลอเรไลในตอนนี้ดูดีใจมากเป็นพิเศษ และก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่กล้าทําร้ายเธอจริง ๆ ทําให้เธอค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ แต่ในขณะที่เธอกําลังจะพูดอะไรบางอย่างขึ้นมา ทันใดนั้นใบหน้าของเธอก็ดูน่าเกลียดขึ้นมาทันที

ไม่ใช่ว่าเขาไม่กล้าที่จะทําร้ายเธอ แต่ .. เขามีจุดประสงค์อื่น

ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่กระโปรงของเธอกับถูกพัดขึ้น ทําให้เขาสามารถมองเห็นส่วนล่างของเธอได้อย่างชัดเจน เขา … กําลังล้อเล่นและดูถูกตัวเธออยู่อย่างงั้นหรอ ?

“ครั้งนี้เป็นแค่คําเตือน และมันจะไม่มีในครั้งต่อไป” ซู่เจินยกมือของเขาขึ้นมา พร้อมกับมีเปลวเพลิงประทุขึ้นมาจากอากาศอย่างรวดเร็ว ทําให้อากาศบริเวณโดยรอบถึงกับร้อนขึ้นมาในทันที

ลอเรไลรู้สึกลังเลอยู่เล็กน้อย และเธอก็ไม่รู้ว่าซู่เจินจะกล้าทําร้ายเธอจริง ๆ หรือเปล่า ? เธอต้องการโอกาส โอกาสที่จะเข้าไปใกล้ชิดกับซู่เจิน และเมื่อเธอคิดถึงเรื่องนี้ ลอเรไลก็ยิ้มขึ้นมา และพูดว่า “คุณมาที่นี่เพื่อจับฉันใช่ไหม ? ฉันยอมไปกับคุณก็ได้ แต่ฉันมีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง!”

“ผมไม่คิดว่าคุณจะมีคุณสมบัติที่จะต่อรองอะไรกับผมได้นะ” ซู่เจินพูดขึ้นมาเบา ๆ

ลอเรไลยิ้มขึ้นมาอย่างไม่ชอบใจและพูดว่า “ฉันอยู่อาศัยบนโลกมาสักพักแล้ว และฉันก็พอจะรู้ข่าวเกี่ยวกับคุณมาบ้าง เช่น … พันธมิตรสงคราม! ตอนนี้คุณมีทีมเป็นของตัวเอง ดังนั้นคุณไม่ต้องการผู้ช่วยอย่างฉันเลยอย่างงั้นหรอ ? แถมคุณก็รู้ความสามารถของฉันเป็นอย่างดี และฉันก็คิดว่าฉันจะต้องมีประโยชน์กับคุณอย่างแน่นอน ดังนั้นตราบใดที่คุณช่วยปกป้องฉันจากคนของแอสการ์ดได้ ฉันก็ยินดีที่จะติดตามคุณไป ยิ่งไปกว่านั้น … “ ลอเรไลมองไปที่ซู่เจินด้วยรอยยิ้ม ในขณะเดียวกันเมย์ที่เพิ่งฟื้นตัวจากการโจมตีของลอเรไลกําลังมองไปที่ซู่เจินและพูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า “พวกเขาไม่คิดว่าการพูดคุยนี้มันจะทําให้ฉันเข้าใจผิดหรือเกิดอันตรายอะไรเลยอย่างงั้นหรอ?”

ตอนที่ 142 ลอเรไล

“ฉัน ฉันเอาด้วย” เจมมายกมือขึ้นอย่างเขินอายพร้อมกับพูดขึ้นมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไหร่

ตอนนี้เธอมีความสามารถพลังจิตอยู่กับตัว ทําให้เธอพอที่จะต่อสู้ได้บ้าง แต่ถึงอย่างไรแล้วลอเรไลก็เป็นชาวแอสการ์ดและก็สามารถเรียกเธอได้ว่าเป็นเทพเจ้าบนโลกมนุษย์ และก็แน่นอนว่า เมย์ไม่เหมาะที่จะไปต่อสู้กับเธอเพียงลําพัง

“เจมมา คุณควรยกเลิกความคิดนี้ไปได้เลย เพราะถึงแม้ว่าคุณจะต้องการช่วย แต่คุณก็ไม่มีความชํานาญในการใช้ความสามารถของคุณเลย” โควสันส่ายหัวและพูดขึ้นมา

ซู่เจินยิ้มและพูดขึ้นมาว่า “ผมรู้ว่าคุณกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเมย์ แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ไม่ควรที่จะดูถูกเมย์มากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเกิดว่ามันจําเป็นจริง ๆ ผมก็สามารถขอความช่วยเหลือจากพันธมิตรสงครามให้มาช่วยเหลือในภารกิจครั้งนี้ได้”

เจมมาพยักหน้าขึ้นมาเมื่อเธอได้ยินคําพูดของซู่เจิน

เมย์ก็หันไปพยักหน้าให้กับซู่เจินเช่นกัน หลังจากนั้นเธอก็กลับไปควบคุมยานบิน และมุ่งหน้าไปยังหุบเขามรณะ

หุบเขามรณะ อยู่ในสถานที่ที่ค่อนข้างห่างไกล

มีภูมิอากาศที่แห้งแล้งเป็นอย่างมาก ซึ่งบริเวณโดยรอบถูกรายล้อมไปด้วยทะเลทราย

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีโรงเตี้ยมเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่มีรถมอเตอร์ไซค์จอดเรียงรายอยู่หลายคันตรงหน้าประตู และมันยังมีกลุ่มคนที่แต่งตัวสปิดไรเดอร์กําลังยืนจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่ในขณะเดียวกันก็มีรถขับเข้ามาและหยุดลงตรงข้างหน้าโรงเตี้ยม

ทันใดนั้นก็มีผู้หญิงผมสีบลอนด์ยาวใส่ชุดเดรสสีเขียวก้าวลงมาจากรถ ใบหน้าที่งดงามราวกับตุ๊กตา และท่าทางที่สง่างาม บวกกับมุมปากของเธอที่ยกขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับดวงตาที่เร่าร้อน ทําให้เธอกลายเป็นผู้หญิงในประเภทที่ทําให้ผู้ชายตกหลุมรักในแวบแรกที่เห็นได้อย่างสิ้นเชิง

และในทันทีที่เธอปรากฏตัวขึ้น เธอก็ดึงดูดความสนใจจากผู้ชายที่อยู่โดยรอบอย่างรวดเร็ว และก็มีบางคนถึงกับผิวปากขึ้นมาทันที

“ดูนั่น มีสาวงามมาที่นี่วะ!” ผู้ชายที่ดูเหมือนว่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มของสปีดไรเดอร์ก้าวลงมาจากรถมอเตอร์ไซค์และเดินตรงไปหาเธออย่างรวดเร็ว และในขณะที่เขากําลังเดินเข้าไปหาเธอเขาก็พูดขึ้นมาด้วยว่า “คนสวยอย่างคุณมาทําอะไรที่นี่อย่างงั้นหรอ ? แล้วผู้ชายที่อยู่บนรถเขาเป็นอะไรกับคุณ ?”

ลอเรไลมองย้อนกลับไปที่ผู้ชายบนรถและหันกลับไปพูดกับผู้ชายตรงหน้าของเธอว่า “ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับเขา และฉันก็เพิ่งจะแย่งเขามาจากแฟนของเขา ดังนั้นในตอนนี้ฉันก็เลยอยากได้คนที่คอยปกป้องฉันได้”

ทันทีที่เธอปรากฏตัว เธอก็ดึงดูดความสนใจจากทุกฝ่ายในทันที และบางคนถึงกับผิวปากโดยตรง

” คุณกําลังมีปัญหาอยู่อย่างงั้นหรอ ? และถ้าเกิดว่าคุณต้องการซ่อนตัวจากแฟนของเขา ที่นี่มันก็เหมาะมากเลยล่ะ!”

“ดีเลย แล้วคุณชื่ออะไรอย่างงั้นหรอ ?” ลอเรไลถามขึ้นมาพร้อมกับมองไปที่ชายคนนั้น

ชายคนนั้นชี้ไปยังรูปไก่บนเสื้อนอกของเขาและพูดขึ้นมาว่า “คนของฉันเรียกฉันว่า ชิกเก้น”

ลอเรไลมองไปยังผู้ชายที่อยู่รอบ ๆ และถามขึ้นมาอีกครั้งว่า “คุณเป็นหัวหน้าของพวกเขาอย่างงั้นหรอ ?”

ชิกเก้นยิ้มขึ้นมาอย่างมีชัยและพูดว่า “ใช่”

ลอเรไลก็ยิ้มขึ้นมาเช่นกัน แต่รอยยิ้มของเธอมันดูชั่วร้ายเป็นอย่างมาก เธอค่อย ๆ เอื้อมมือของเธอไปแตะบนไหล่ของชิกเก้นพร้อมกับมองไปที่เขาและพูดว่า “คุณและคนของคุณจะต้องจงรักภักดีต่อฉันเพียงผู้เดียว”

เสียงของเธอที่เปร่งออกมามันช่างไพเราะเป็นพิเศษ เพราะเสียงของเธอในตอนนี้มันเต็มไปด้วยพลังเวทย์มนตร์ที่น่าหลงไหล

“คุณมีปัญหาอะไรไหม ?”

ชายที่อยู่ในรถรีบวิ่งออกมาหาลอเรไลอย่างรวดเร็ว พร้อมกับถามขึ้นมาและค่อย ๆ มองสํารวจไปยังชิกเก้นอย่างระแวดระวัง

ลอเรไลส่ายหัวขึ้นมาเล็กน้อยและพูดว่า “ไม่เป็นไร ตอนนี้เขาตกเป็นของฉันเรียบร้อยแล้ว”

” อะไรกัน ไม่ใช่ว่าฉันก็เป็นของคุณเหมือนกันอย่างงั้นหรอ ? คุณอย่าบอกนะว่าคุณจะให้เขาตามพวกเราไปด้วย ?” ชายคนนั้นตะโกนขึ้นมาอย่างกังวล

ลอเรไลมองไปที่ชายคนนั้นและพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่ ฉันเคยบอกกับคุณว่าฉัน จะให้คุณอยู่กับฉันไปตลอด แต่ในตอนนี้ … ฉันไม่ต้องการคุณแล้ว!”

เมื่อพูดจบลอเรไลก็ต่อยไปที่เขาอย่างรุนแรง ทําให้ร่างของชายคนนั้นกระเด็นออกไปอย่างรวดเร็ว และกระแทกเข้ากับรถอย่างรุนแรง หลังจากนั้นร่างของเขาก็หล่นลงมากองกับพื้นและแน่นิ่งไป …

การกระทําอย่างกะทันหันของเธอทําให้ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ถึงกับตกอยู่ในความหวาดกลัวอย่างสมบูรณ์ หลังจากนั้นลอเรไลก็เดินเข้าไปหาคนพวกนั้นด้วยใบหน้าที่ชั่วร้ายและรอยยิ้มอันยิ้มแย้มแจ่มใส

หลังจากนั้นไม่นานคนพวกนั้นก็ค่อย ๆ โดนเธอควบคุมทีละคนอย่างช้า ๆ ทําให้พวกเขาถึงกับเปลี่ยนไปเป็นคนละกัน และปฏิบัติกับเธออย่างกับราชินี

” จอดตรงนี้ล่ะ เดี๋ยวผมจะเป็นคนพาเมย์ไปเอง”

เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงหุบเขามรณะแล้ว ซู่เจินก็พูดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทําให้ไม่นานหลังจากนั้นยานบินก็ค่อย ๆ ลงจอดอย่างเร็ว เมย์เดินออกมาจากห้องนักบินและจัดเตรียมอุปกรณ์ที่จําเป็นให้พร้อม ทันใดนั้นเธอก็หันไปถามกับซู่เจินว่า “ตําแหน่งของเป้าหมายยังอยู่อีกไกลมาก พวกเราจะบินไปกันอย่างงั้นหรอ ?”

“ไม่ใช่ พวกเราจะวาร์ปไปกัน”

เมื่อซู่เจินพูดจบเขาก็คว้าไปที่ไหล่ของเมย์อย่างรวดเร็ว พร้อมกับหันไปยิ้มให้กับคนอื่น ๆ เล็กน้อย หลังจากนั้น ร่างของเขาและเมย์ก็หายไปอย่างรวดเร็ว

“ว้าว!”

ฟิทซ์อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงร้องแปลก ๆ ออกมา ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่าเขาตกใจเป็นอย่างมาก

โควสันรีบมองไปทางสกายอย่างรวดเร็ว และเมื่อสกายเห็นเช่นนั้นเธอก็ยักไหล่ขึ้นมาและพูดว่า “อย่ามองมาที่ฉันแบบนั้นสิ ฉันก็เคยตกใจแบบนั้นมาก่อน”

“ว้าว มันสุดยอดมาก … แต่ครั้งหน้าคุณควรที่จะบอกฉันก่อนนะ” เมื่อเห็นว่าภาพเบื้อง หน้าของเธอมันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทําให้เมย์อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าไปลึก ๆ และหันไปพูดกับซู่เจิน

“ ตกลง”

ซู่เจินพูดตอบขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม ในขณะเดียวกันพวกเขาก็มองไปยังโรงเตี้ยมที่อยู่ไม่ไกลจากพวกเขามากนัก

บริเวณด้านนอกโรงเตี้ยมเต็มไปด้วยรถมอเตอร์ไซค์จอดเรียงรายอยู่หลายคัน แต่ถึงอย่างนั้นประตูโรงเตี้ยมกับบิดสนิทและไม่มีคนอยู่ด้านนอกเลยสักคน ทําให้ซูเจินเริ่มใช้ความสามารถสุดยอดการได้ยินขึ้นมาในทันที และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมา ซึ่งในเสียงพวกนั้นมันก็มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่ไพเราะเป็นอย่างมาก และก็เห็นได้ชัดว่าเจ้าของเสียงอันนี้ก็น่าจะเป็นลอเรไลอย่างแน่นอน

” ข้างในมีคนอยู่ประมาณ 20 กว่าคน” ซู่เจินพูดขึ้นมา

เมย์พยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าซู่เจินรู้ได้อย่างไร แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เชื่อในคําพูดของซู่เจินอยู่ดี

“ให้ฉันจัดการเอง”

หลังจากพูดจบ เมย์ก็หยิบปืนออกมาและเตรียมตัวที่จะเดินเข้าไป

แต่ในขณะที่เธอกําลังจะเดินเข้าไป ซู่เจินก็พูดแทรกขึ้นมาก่อนว่า ” ผมไม่รู้ว่าความสามารถของลอเรไลมันจะส่งผลต่อผมหรือเปล่า แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องยากมากที่คุณจะเข้าไปข้างในเพียงตัวคนเดียว และถ้าเกิดว่าคุณถูกคนที่อยู่ข้างในจับได้ และไม่สามารถหนีออกมาได้ คุณจะไม่ตายเอาอย่างงั้นหรอ ? ซึ่งที่ผมพูดขึ้นมายังไม่ได้รวมถึงลอเรไลเลยนะ”

เมย์ขมวดคิ้วและพูดขึ้นมาด้วยความมั่นใจว่า “ฉันจัดการได้”

“ผมรู้ แต่ผมมีวิธีที่ง่ายกว่านั้น”

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาพร้อมกับควงแขนของเขา ทําให้เกิดกระแสลมขึ้นมาบนแขนของซู่เจินอย่างรวดเร็ว มันเริ่มแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทําให้เมย์ที่กําลังเดินตามหลังซู่เจินมาถึงกับเซเล็กน้อย

ทรายและโขดหินเริ่มปลิวว่อนไปตามสายลม

มอเตอร์ไซค์ถูกพัดให้บินขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นานมันก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นมา คาดว่ามอเตอร์ไซค์ที่ถูกพัดบินขึ้นไปคงจะเบิดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ในขณะเดียวกันโรงเตี้ยมก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงราวกับว่ามันจะพังทลายได้ทุกเมื่อ มีเสียงเอี้ยดแอดดังขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทันใดนั้นตัวโรงเตี้ยมก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นจากพื้นดินที่ละเล็กทีละน้อย และไม่นานโรงเตี้ยมทั้งหลังก็ลอยขึ้นไปบนฟ้าอย่างรวดเร็ว

ตอนที่ 141 ความอับอายของเจมมา

ซู่เจินไม่ได้มีเวลาในการศึกษาปัญญาประดิษฐ์ด้วยตัวเองมากนัก และยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าดันเจี้ยนก็คือแหล่งทรัพยากรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสําหรับเขา

“ฉันเข้าใจแล้ว เดี๋ยวฉันจะช่วยหาคนที่คุณต้องการให้เร็วที่สุด พร้อมกับสั่งให้เขาเริ่มทําการวิจัยเกี่ยวกับมันในทันที” เจสสิก้าพยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้นมา

ซู่เจินพยักหน้าเบา ๆ และพูดว่า “ตอนนี้ผมสามารถติดต่อคุณได้ฝ่ายเดียว ดังนั้นถ้าเกิดว่าคุณมีปัญหาอะไร คุณก็รอให้ผมกลับมาก่อน ซึ่งในตอนนี้มันยังติดปัญหาอะไรบางอย่างอยู่ ทําให้ผมไม่สามารถพาคุณมาที่นี่ได้โดยตรง”

” ที่นี่ไม่ใช่ภาพลวงตาที่คุณสร้างขึ้นมาอย่างงั้นหรอ ?” เจสสิก้าถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

ซู่เจินส่ายหัวและพูดว่า “ทั้งใช่และไม่ใช่ ถ้าพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ คุณในตอนนี้ยังอยู่ภายในโลกเดิมของคุณ ส่วนผมก็อยู่อีกโลกหนึ่ง และเมื่อเงื่อนไขมันครบเมื่อไหร่ผมก็จะสามารถพาคุณมายังโลกของผมได้”

“อีกโลกหนึ่ง ?” เจสสิก้าพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ

“ตอนนี้มันยังเร็วเกินไปที่จะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และคุณจะรู้มันเองเมื่อถึงเวลา ดังนั้นตอนนี้ผมจะส่งคุณกลับไปยังโลกเดิมของคุณแล้วและช่วยจัดการเรื่องนั้นให้ผมด้วย”

“อืม”

ซู่เจินโบกมือขึ้นมาเบา ๆ ทันใดนั้นเจสสิก้าก็หายไปจากสายตาของซู่เจินทันที

หลังจากนั้นซู่เจินก็ออกมาจากสนามประลองและนอนหลับไปด้วยความสบายใจ

เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากซู่เจินตื่นขึ้นมา เขาก็วาร์ปไปยังห้องนอนของสกายทันที ซึ่งสกายในตอนนี้ก็ยังไม่ตื่น ทําให้ซู่เจินเดินไปนอนลงบนเตียงพร้อมกับกอดเธอจากด้านหน้า

เมื่อสกายรู้สึกว่ากําลังมีใครบางคนกําลังกอดเธออยู่ ทําให้เธอค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความมึนงง

“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยคุณนอนต่อเถอะ เดี๋ยวเราค่อยคุยกันตอนที่คุณตื่นดีแล้ว” ซู่เจินพูดขี้นมาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับกอดเธอให้แน่นยิ่งกว่าเดิม

สกายเมื่อได้ยินดังนั้นเธอก็เข้าไปในอ้อมแขนของซู่เจินอย่างรวดเร็ว และเธอก็เอา แขนของเธอโอบไปที่ตัวของซู่เจินด้วยเช่นกัน และด้วยร่างกายที่แข็งแรงและความรู้สึกที่คุ้นเคยจากซู่เจินทําให้สกายผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากหลับไปได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง สกายก็ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

“ทําไมจู่ ๆ คุณถึงได้เข้ามาในห้องได้โดยฉันไม่รู้ตัวเลยล่ะ ? มันเป็นความสามารถพิเศษใหม่ของคุณอย่างงั้นหรอ ?” สกายถามขึ้นมาพร้อมกับหรี่ตาลงเล็กน้อย

“ใช่ นี่เป็นความสามารถใหม่ที่ผมเพิ่งได้มา และด้วยความสามารถนี้มันก็ทําให้ผมสามารถควบคุมเวลาและเดินทางไปในที่ต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว มันเป็นความสามารถที่แข็งแกร่งมากเลยล่ะ” ซู่เจินอธิบายขึ้นมาอย่างช้า ๆ

หลังจากนั้นสกายก็ไม่ได้ถามอะไรกับซู่เจินอีก พร้อมกับเริ่มออกกําลังกายยามเช้ากันอย่างรวดเร็ว

หลังจากออกกําลังกายกันเสร็จแล้ว สกายก็นึกขึ้นมาได้ว่าเธอมีอะไรบางอย่างที่อยากจะถามกับซู่เจิน แต่ในขณะที่เธอกําลังจะพูดขึ้นมา ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงของเจมมา

“สกาย เธอ … เธอตื่นแล้วหรือยัง ถ้าตื่นแล้วเธอก็ช่วยรีบออกมาเร็ว ๆ หน่อยนะ เพ ราะตอนนี้พวกเรามีภารกิจที่ต้องทํา เอ่อ… ซู่เจินที่อยู่ข้างในด้วยนะ เพราะภารกิจครั้งนี้มันค่อนข้างจะยุ่งยาก …”

“อ้า … เธอรู้ด้วยว่าคุณอยู่ที่นี่ เรารีบออกไปกันเถอะ” สกายรีบพูดขึ้นมาด้วยความเร่งรีบพร้อมกับใบหน้าที่แดงก่ํา “ไม่นะ มันน่าอายเกินไปแล้ว เธอจะต้องได้ยินมันหมดแล้วอย่างแน่นอน”

“ถ้าได้ยินก็ปล่อยให้เธอได้ยินไปสิ”

ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มโดยไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด สกายเมื่อได้ยินเช่นนั้นเธอก็รีบผลักซู่เจินให้ไปใส่เสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว

“ผมรู้นะว่าคุณต้องการพูดเรื่องอะไร แต่เนื่องจากตอนนี้มันมีภารกิจเข้ามา ดังนั้นรอจนกว่าภารกิจจะเสร็จก็แล้วกัน” หลังจากแต่งตัวเสร็จ ซู่เจินก็หันไปพูดกับสกายด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับเปิดประตูห้องออกไป

ซึ่งด้านนอกห้องนอนของสกายในตอนนี้ก็มีเจมมาที่กําลังมีท่าทางอึดอัดเล็กน้อยกําลังยืนอยู่ และเธอก็ต้องการพูดอะไรบางอย่างกับซู่เจิน แต่เธอก็ไม่ได้พูดขึ้นมา เพราะเธอเห็นว่าสกายกําลังเดินตามหลังซู่เจินออกมา

“งั้นฉันไปถามเรื่องภารกิจก่อนนะ”

สกายที่เห็นว่าเจมมามีอะไรบางอย่างที่ต้องการจะพูดกับซู่เจิน ทําให้เธอหันไปพูดกับเจมมาด้วยรอยยิ้มและเดินจากไป

ทําให้ในตอนนี้มีแค่ซูเงินและเจมมาที่กําลังยืนจ้องหน้ากันอยู่สองต่อสอง แต่ถึงอย่างนั้นเจมมาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี

“ไม่นานมานี้ผมเพิ่งได้ความสามารถมาใหม่” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

เจมมาถึงกับตกใจและรีบถามขึ้นมาว่า “คุณรู้ได้อย่างไรว่าฉันกําลังคิดอะไรอยู่ ?”

“อ่านใจ นี่เป็นความสามารถใหม่ที่ผมเพิ่งได้มา” ซู่เจินมองไปที่เจมมาและพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มต่อว่า ” ผมไม่เพียงรู้ว่าคุณต้องการจะถามอะไร แต่ผมยังรู้อีกว่า …”

“อย่าพูด อย่าพูด!” เจมมารีบเอื้อมมือไปปิดปากของซู่เจินเอาไว้อย่างรวดเร็ว

ซู่เจินค่อย ๆ เอามือของเธอออกอย่างช้า ๆ และพูดว่า “โอเคผมไม่พูดก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รู้เกี่ยวกับมันแล้ว ดังนั้นคุณก็ไม่จําเป็นที่จะต้องประหม่าแบบนี้ ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณก็ปล่อยให้มันไหลไปตามสิ่งที่มันควรจะเป็นเถอะ เอาล่ะ! ตอนนี้เราไปฟังข้อมูลของลอเรไลที่ห้องประชุมกันก่อนดีกว่า!”

หลังจากพูดจบซู่เจินก็หันหลังและเดินจากไปทันที

“ใครคือลอเรไล ?”

เจมมาถึงกับมึนงงและรีบวิ่งตามซู่เจินไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับตะโกนถามไปด้วย

“ลอเรไล ?”

หลังจากนั้นไม่นานซู่เจินก็มาถึงห้องประชุมที่มีคนอื่น ๆ อยู่ข้างในกันพร้อมแล้ว ในขณะเดียวกันเจมมาที่วิ่งตามซู่เจินมาก็ยังตะโกนถามอยู่ว่าใครคือลอเรไลกันแน่ ทําให้โควสันมองไปยังซู่เจินด้วยสงสัยและถามขึ้นมาว่า “คุณรู้แล้วอย่างงั้นหรอว่าเธอเป็นใคร ?”

“ลอเรไล ชาวแอสการ์ดที่ความแข็งแกร่งทางร่างกายพอ ๆ กับผู้หญิงภายในวังของแอสการ์ด ร่างกายของเธอแข็งแกร่งมากกว่ามนุษย์ถึง 3 เท่า และเธอยังมีพละกําลังและความอดทนที่สูงมาก มีช่วงชีวิตที่ยาวนาน และภูมิต้านทานต่อโรคต่าง ๆ แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งพื้นฐานของชาวแอสการ์ดทุกคน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เทียบไม่ได้เอลเลียตแลนดอล์ฟ แต่นี่ยังไม่ได้รวมถึงความสามารถของเธอที่พิเศษเป็นอย่างมาก เพราะว่าเธอสามารถดึงดูดเพศตรงข้ามได้เกือบทั้งหมดผ่านทางคําพูดและการสัมผัสทางกาย เรียกได้ว่าเธอเป็นพระเจ้าในโลกมนุษย์เลยก็ได้ แถมเธอยังรู้จักเวทมนตร์อะไรบางอย่างอีกด้วย ทําให้มันไม่ง่ายเลยที่จะรับมือกับเธอ!”

ซู่เจินรู้จักลอเรไลดีกว่าใคร เพราะว่าเธอเป็นคนที่แข็งแกร่งมากจนแทบจะไม่มีใครสามารถเอาชนะเธอได้ ซึ่งเธอได้สร้างความโกลาหลให้กับเหล่านานาประเทศจํานวนมากมาย และหลังจากนั้นไม่นานเธอก็ถูกจับได้และถูกนําตัวไปขังเอาไว้ในคุกของแอสการ์ด

ซึ่งมันก็น่าจะเป็นตอนที่เขาไปที่แอสการ์ด และมีดาร์กเอลฟ์บุกเข้ามาทําลายคุก ทําให้เธอฉวยโอกาสนี้หลบหนีออกมา

อย่างไรก็ตามในเมื่อเธอหนีมาบนโลก … ซิฟก็น่าจะมาด้วยใช่ไหม ?

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ซู่เจินก็รู้สึกคิดถึงเธอขึ้นมาเล็กน้อย

“ลอเรไล แข็งแกร่งมากขนาดนั้นเลยอย่างงั้นหรอ ?” โควสันยังไม่เชื่อคําพูดของซู่เจินเล็กน้อย

ซู่เจินพยักหน้ายืนยันและพูดว่า “สิ่งนี้มันไม่เกี่ยวกับจิตวิญญาณ เพราะตราบใดที่เป็นผู้ชาย เธอก็จะสามารถควบคุมพวกเขาได้ในทันที ดังนั้นคุณไม่ควรที่จะเข้าร่วมภารกิจในครั้งนี้ มิฉะนั้น คนอื่น ๆ จะลําบากถ้าเกิดว่าคุณถูกควบคุมโดยเธอ”

” แล้วคุณล่ะ ?” สกายหันไปถามกับซูเงิน

ซู่เจินยิ้มและพูดว่า “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะสามารถต้านทานมันได้หรือเปล่า ดังนั้นผมขอลองดูก่อน และถ้าเกิดว่ามันมีผลกับผมด้วย ผมก็คงจะไม่เข้าร่วมภารกิจในครั้งนี้”

“สงสัยคงจะต้องถึงมือฉันแล้วสินะ” เมย์ยักไหล่และพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับสะบัดข้อมือของเธอไปมา

ตอนที่ 140 ศึกษาเกี่ยวกับชุดเกราะเหล็ก

หลังจากนั้นไม่นานซูเจินก็ลุกขึ้นบิดขี้เกรียจ และเตรียมพร้อมที่จะเริ่มเป้าหมายที่สองของเขา

ชุดเกราะไอรอนแมน!

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยสนใจเกี่ยวกับชุดเกราะไอรอนแมนสักเท่าไหร่ เพราะถึงอย่างไรท้ายที่สุดแล้วชุดเกราะนี้มันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเขามากมาย แต่มันดันมีประโยชน์มาก สําหรับผู้หญิงของเขา ตัวอย่างเช่น …. เฟลิเซ่ ที่เอาไว้ใช้สําหรับการปกป้องตัวเอง หรือเปปเปอร์ที่คอยเอาไว้ช่วยงานเขาในด้านต่างๆ

แน่นอนว่าทักษะการบินของเฟลิเซ่นั้นยอดเยี่ยมมาก และเธอก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาทั่วไป ไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไร ดังนั้นชุดเกราะไอรอนแมนจึงเหมาะกับเธอมาก ส่วนเปปเปอร์นั้น ซู่เจินสังเกตเห็นว่าเธอค่อนข้างที่จะชอบเกี่ยวกับชุดเกราะไอรอนแมนเป็นอย่างมาก

ถ้าเธอชอบเขาก็จะเป็นคนที่จัดหามาให้

ซึ่งซู่เจินก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทําไมทุกครั้งที่นากามูระใช้ความสามารถเขาจะต้องขยี้ตา หน้าสั่นและท้องผูกทุกครั้ง หลังจากนั้นไม่นานซู่เจินก็ปรากฏตัวขึ้นมาในคฤหาสน์ของโทนี่ สตาร์ค

แน่นอนว่าซู่เจินได้หยุดเวลาเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ค่อย ๆ เดินสํารวจไปรอบ ๆ อย่างช้า ๆ และก็ต้องขอบอกเลยว่าที่นี่มันหรูหรามากจริง ๆ หลังจากนั้นไม่นานซู่เจินก็สังเกตเห็นโทนี่ สตาร์คที่อยู่ในห้องของแลป ซึ่งเขาก็ไม่ได้กังวลเลยสักนิดว่าจาร์วิส ปัญญาประดิษฐ์ของโทนี่จะเจอตัวของเขาหรือเปล่า ? เพราะถึงอย่างไรท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่ต้องการเสียเวลาไปกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องพวกนี้

และจุดประสงค์หลักของเขาในการมาที่นี่ก็คือชุดเกราะเหล็ก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ต้องการชุดเกราะที่มันสําเร็จรูปแล้ว ซึ่งสิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ นั่นก็คือขั้นตอนการผลิตและโครงสร้างของชุดเกราะ

ในเมื่อเขาสามารถเรียนรู้วิธีการสร้างมันขึ้นมาได้ด้วยตนเอง และสามารถสร้างชุดเกราะเหล็กของตัวเองขึ้นมาได้ แล้วทําไมเขาจะต้องไปเอาผลงานของคนอื่นมาด้วยจริงไหม?

เมื่อเขาเดินเข้าไปหาโทนี่และมองเห็นภาพวาดและข้อมูลที่แสดงอยู่บนหน้าจอโฮโลแกรม มันก็ทําให้ซู่เจินอดรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้จริง ๆ

“นี่ นี่คือชุดเกราะฮัลค์บัสเตอร์อย่างงั้นหรอ ? ไม่คิดเลยว่าเขาจะเริ่มศึกษาเกี่ยวกับมันเร็ว มากขนาดนี้”

ถึงแม้ว่านิสัยของโทนี่จะไม่ค่อยดี แต่เขาก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์มากจริง ๆ ซึ่งชุดเกราะตัวนี้จะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะในอนาคตโทนี่จะสามารถสร้างชุดเกราะที่เอาไว้ใช้สําหรับการต่อสู้กับธอร์ หรือไม่แน่ว่ามันอาจจะมีชุดเกราะที่เอาไว้ใช้ต่อสู้กับเขาโดยเฉพาะ ?

ซู่เจินส่ายหัวขึ้นมาพร้อมกับเดินไปด้านข้างเพื่อดูข้อมูลของชุดเกราะต่าง ๆ ที่กําลังแสดงอยู่บนหน้าจอ ทันใดนั้นซู่เจินก็ขยับนิ้วของเขา ทําให้ชุดเกราะเริ่มแยกออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ เหมือนกับว่ากําลังรอการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่

ซู่เจินเดินเข้าไปใกล้ ๆ พร้อมกับกระดิกนิ้วชี้ของเขาเบา ๆ และเปิดใช้ความสามารถพลังจิตของเขา หลังจากนั้นชิ้นส่วนชุดเกราะมันก็ลอยมาประกอบเข้ากับร่างของซู่เจินอย่างรวดเร็ว ซึ่งซู่เจินที่มีความสามารถของเซอร์ร่า เขาก็สามารถมองเห็นการการทํางานของมันได้อย่างชัดเจน มันสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ชิ้นส่วนมีอะไรบ้าง และมันทํางานอย่างไร! แน่นอนว่าความสามารถนี้มันซับซ้อนยิ่งกว่าความสามารถในการกลืนกินซะอีก พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ เขาจะต้องฝึกใช้งานมันก่อนถึงจะสามารถใช้งานความสามารถนี้ได้

และถึงแม้ว่าซูเจินจะไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนในตอนแรก และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าชิ้นส่วนเล็ก ๆ มันควรอยู่ส่วนไหนของชุดเกราะ

ประกอบเข้าด้วยกันและแยกชิ้นส่วนออกเป็นชิ้น ๆ

หลังจากการทําซ้ําอยู่หลายครั้ง ซูเจินก็เริ่มเข้าใจเกี่ยวกับมันที่ละเล็กที่ละน้อย

หลังจากนั้นซูเจินก็มองไปยังชุดเกราะเหล็กตัวอื่น ๆ และทําซ้ําแบบเดิม ถึงแม้ว่าการทํางานมันจะแตกต่างกัน แต่โดยพื้นฐานแล้วมันก็มาจากชุดต้นแบบอันเดียวกัน หลังจากนั้นไม่นานซู่เจินก็สามารถประกอบชุดเกราะหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ และเหมือนกับตัวต้นแบบของโทนี่ทุกประการ

ซึ่งถ้าเกิดว่าเขามีชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบในตอนนี้ เขาก็สามารถสร้างชุดเกราะเหล็กขึ้นมาได้ในทันที

แน่นอนว่าที่เขาหมายถึงคือชุดเกราะเหล็กเท่านั้น ซึ่งมันยังไม่ได้รวมถึงระบบปฏิบัติการต่าง ๆ ท้ายที่สุดแล้วโทนี่จะไม่สามารถเป็นไอรอนแมนได้ถ้าเกิดว่าเขาไม่มีจาร์วิส และความแข็งแกร่งของชุดเกราะไอรอนแมนจะลดลงไปเยอะมาก ถ้าเกิดว่าไม่มีจาร์วิสเช่นกัน

ซึ่งเกี่ยวกับระบบปฏิบัติการของชุดเกราะเหล็ก ซู่เจินก็มีแผนอย่างอื่นรองรับเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่กังวลอะไรมากมาย เขายืนตัวตรงพร้อมกับตบที่ขาของเขา ทันใดนั้นโลกเบื้อง หน้าของซู่เจินก็หมุนอย่างรวดเร็ว ทําให้เขารู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย ซึ่งที่เขาทําก็คือการย้อนเวลากลับไปประมาณ 2 – 3 ชั่วโมง

ซู่เจินโบกมือของเขาเพื่อนําชุดเกราะเหล็กกลับไปยังตําแหน่งเดิม หลังจากนั้นซู่เจินก็ออกมาจากห้องแลปพร้อมกับบินออกไปอย่างรวดเร็ว หลังจากบินออกไปได้สักพัก ซู่เจินก็ทําให้เวลากลับมาเดินเหมือนเดิม

หลังจากนั้นซูเจินก็ปล่อยพลังงานของแหวนออกมาห่อหุ้มร่างกายของเขาเอาไว้ พร้อมกับบินกลับไปยังยานบิน ซึ่งซู่เจินได้เรียกพลังของเขากลับมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

หลังจากบินไปได้ไม่นาน ซู่เจินก็รู้สึกได้ว่าพลังงานภายในร่างกายของเขามันฟื้นฟูเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทําให้เขาเริ่มใช้ความสามารถขึ้นมาอีกครั้ง วินาทีต่อมาเขาก็ปรากฏตัวขึ้นมาภายในห้องนอนของเขา

“ระบบ ส่งฉันเข้าไปที่สนามประลอง”

หลังจากพูดจบร่างของซู่เจินก็ปรากฏตัวขึ้นในเวทีการประลองอย่างรวดเร็ว

ซึ่งรูปภาพของแคลร์ในจอโฮโลแกรมยังมืดอยู่เล็กน้อย แต่จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับแคลร์มากนัก แต่ที่เขาสนใจจริง ๆ ก็คือเจสสิก้า

หลังจากนั้นไม่นานเจสสิก้าก็ปรากฏตัวขึ้นมาต่อหน้าของซู่เจิน เหมือนกับตอนที่แคลร์มาที่นี่ในครั้งแรก ทําให้เจสสิก้าในตอนนี้ถึงกับตื่นตระหนก และตั้งท่าเตรียมพอที่จะต่อสู้อยู่ตลอดเวลา

และเมื่อเธอสังเกตเห็นซูเจิน เธอก็ค่อย ๆ ลดมือลงพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า “คุณพาฉันมาที่นี่ทําไม ? ที่นี่คือ … ภาพลวงตาอย่างงั้นหรอ ?”

“เอาล่ะ! คุณต้องตั้งสติให้ดีก่อนในตอนนี้”

ซู่เจินไม่ได้พูดอธิบายอะไรออกมา แต่พูดอย่างอื่นขึ้นมาแทนว่า “ผมมีอะไรบางอย่างให้คุณทําคุณช่วยผมหาคนสองคนหน่อย คนแรกชื่อว่า ชาร์ลี เป็นพนักงานเสิร์ฟอยู่ในร้านอาหาร เธอเป็นคนที่มีความจําที่เป็นเลิศมาก ส่วนอีกคนหนึ่งชื่อว่า ฮันนาห์ กัตโตมัน เขาเป็นคนที่สามารถควบ

รถควบคุมเครื่องกลอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างไร้ที่ติ และถ้าเกิดว่าคุณสามารถหาตัวของพวกเขาเจอ คุณก็บอกให้ชาร์ลีเริ่มศึกษาเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์เอาไว้ได้เลย ส่วนฮันนาห์ก็ขอให้เขาช่วยกันสร้างปัญญาประดิษฐ์ให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น”

” ปัญญาประดิษฐ์ ?”

เจสสิก้ารู้สึกสับสนเล็กน้อย เพราะจู่ ๆ ซู่เจินก็สั่งงานมาให้กับเธอมากเกินไป ตามหาคน ? และสร้างปัญญาประดิษฐ์ ?

“ใช่ เมื่อฟังดูแล้วมันอาจจะยากไปหน่อย แต่ด้วยความช่วยเหลือของฮันนาห์ ผมก็คิดว่ามันไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่อะไร คุณลองให้พวกเขาลองศึกษาดู และถ้าเกิดว่าพบปัญหาอะไร เดี๋ยวผมจะช่วยหาวิธีแก้ไขอีกแรง”

เมื่อพูดถึงดันเจี้ยนของซูเปอร์ฮีโร่แล้วดันเจี้ยนแห่งนี้มันเป็นการพัฒนาเกี่ยวกับความสามารถพิเศษและพันธุกรรมเป็นหลัก และถ้าเกิดว่าเขาลองให้มันพัฒนาไปทางด้านของเทคโนโลยี มันอาจจะเวิร์คก็ได้ บวกกับการที่เขามีคนอย่างฮันนาห์ หรือมิคาห์ มันก็ยิ่งทําให้ปัญญาประดิษฐ์ของเขาสามารถสร้างเสร็จได้อย่างรวดเร็ว

และหลังจากที่พวกเขาสามารถสร้างมันขึ้นมาได้เรียบร้อยแล้ว เขาก็คัดลอกมันมาและนํามันกลับมาแก้ไขให้กลายเป็นปัญญาประดิษฐ์ในแบบฉบับของเขา ซึ่งมันช่วยประหยัดเวลาได้อย่างมหาศาล

ตอนที่ 139 การย้อนเวลา

“เรื่องมันค่อนข้างซับซ้อน ถ้าพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือผมทําให้คุณมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่พร้อมกับฟื้นความสามารถพิเศษให้กับคุณ ส่วนเหตุผลเดี๋ยวผมจะอธิบายให้คุณฟังในภายหลัง ดังนั้นในตอนนี้ผมจะส่งคุณกลับไปที่เดิมก่อนที่คุณจะจากมา โดยหลงเหลือความทรงจําเอาไว้” ซู่เจินเดินไปกุมมือของแคลร์เอาไว้พร้อมกับอธิบายขึ้นมาอย่างช้า ๆ ทําให้แก้มของแคลร์แดงขึ้นมา และค่อยๆมองไปที่ซู่เจิน “คุณเชื่อผมไหม ?”

” เชื่อสิ!” แคลร์พูดขึ้นมาพร้อมกับมองไปที่ซู่เจินด้วยสายตาจริงจัง

” ดีมาก เดี๋ยวหลังจากนี้ผมจะพาคุณไปเปิดโลกใหม่!” ซู่เจินก้มหัวลงพร้อมกับจูบไปที่ปากของแคลร์ หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็แยกออกจากกัน และซู่เจินก็ส่งแคลร์ออกจากสนามประลองไป

“ระบบ ส่งฉันออกจากดันเจี้ยน”

ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยน้ําเสียงนุ่มลึก ผ่านไปไม่นานทิวทัศน์เบื้องหน้าของซู่เจินก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับร่างของเขาที่ปรากฏตัวขึ้นในห้องพักในโรงแรมก่อนที่เขาจะเข้าไปในดันเจี้ยน

และเมื่อเขาลองมองไปยังแผนผังบนกําแพงห้อง เขาก็รู้ได้ในทันทีเลยว่าห้องของเขาในตอนนี้มีคนอื่นเข้ามาอยู่อาศัยแทนเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเขาได้จองห้องนี้เอาไว้เป็นเวลา 7 วัน และตอนนี้มันก็เลย 7 วันไปแล้ว

ซู่เจินไม่ได้รีบร้อนที่จะออกจากห้องไปในตอนนี้ แต่เขาใช้ความสามารถในการหาตําแหน่งของ สกาย บริ้งค์ และคนอื่น ๆ ก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานตําแหน่งของพวกเธอก็มาอยู่ในหัวของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มันช่างเป็นความสามารถที่ดีมากเลยจริง ๆ

มุมปากของซู่เจินยกขึ้นเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นานร่างของซู่เจินก็หายไปในพริบตา

วินาทีต่อมา ซู่เจินก็มาปรากฏตัวขึ้นในห้องของสกาย

ในขณะเดียวกันสกายที่เพิ่งจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จและกําลังจะหันหลังกลับเพื่อไปพักผ่อน ทันใดนั้นเธอก็สังเกตเห็นว่ามีใครบางคนอยู่ในห้องของเธอ และเมื่อเธอเห็นว่าเขาคนนั้นเป็นใคร เธอก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า ” ที่รักฉันตกใจหมดเลย คุณเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ทําไมฉันถึงไม่ได้ยินเสียงเลยล่ะ ?”

” ผมเพิ่งเข้ามาเอง ขอโทษนะที่รัก ทั้งที่ผมบอกว่าจะใช้ช่วงเวลา 1 เดือนนี้ในการอยู่กับคุณ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ชอบหายตัวไปอยู่บ่อย ๆ” ซู่เจินเดินเข้าไปกอดเอวของสกายเอาไว้พร้อมกับพูดขอโทษขึ้นมา

สกายส่ายหัวเบา ๆ และพูดว่า “ไม่เป็นไร เพราะฉันรู้ว่าคุณมีธุรอะไรบางอย่างที่จะต้องจัดการ แต่ … คุณรู้ไหมตอนนี้เจมมากลายเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษแล้วนะ ฉันคิดว่าถ้า … ฉันหมายถึงถ้าเกิดว่าฉันมีความสามารถพิเศษแบบนั้น ฉันก็อาจจะช่วยคุณได้มากกว่านี้”

เมื่อซู่เจินได้ยินความปรารถนาอันแรงกล้าภายในหัวใจของสกาย เขาก็มองไปที่สกายด้วยสายตาจริงจัง และพูดว่า” เชื่อผมสิ คุณจะได้รับมันอย่างแน่นอน!”

“เดี๋ยวผมจะหาคุณอีกทีในภายหลัง งั้นผมขอตัวก่อนนะ เพราะว่าตอนนี้ผมยังมีบางอย่างที่จะต้องจัดการอยู่อีกนิดหน่อย”

“อืม” สกายพยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ แต่ทันใดนั้นเธอก็พบว่าซู่เจินที่อยู่ตรงหน้าของเธอ จู่ๆก็หายตัวไปอย่างกะทันหัน

หลังจากนั้นเธอก็ลองเอื้อมมือไปสัมผัสบริเวณโดยรอบด้วยความสงสัย สงสัยว่าซูเจินหายตัวไปได้อย่างไร?

เมื่อเจ็ดเดือนก่อนที่สงครามกลางนิวยอร์ค โควสันถูกโลกแทงเข้าที่หัวใจจนหัวใจของเขาแตกสลาย หลังจากนั้นร่างของเขาก็ถูกส่งกลับไปยังฐานลับที่ถูกเรียกว่า “เกสท์เฮ้าส์” เพื่อรับการรักษา ซึ่งยาที่ใช้สําหรับการรักษาโควสันถูกเรียกว่า GH325 ที่ถูกสกัดมาจากร่างของมนุษย์ต่างดาว

ซึ่งจุดประสงค์ของซู่เจินก็คือยาตัวนี้!

เขากําลังจะย้อนเวลากลับไปในอดีต ก่อนที่โควสันจะถูกยาตัวนี้ฉีดเข้าสู่ร่างกาย เพื่อเอายาตัวนี้มา โดยเฉพาะอย่างยิ่งศพของมนุษย์ต่างดาว

หลังจากที่ซู่เจินแยกตัวออกมาจากสกาย เขาก็มาปรากฏตัวขึ้นที่นิวยอร์ค

อย่างไรก็ตามที่นี่คือนิวยอร์คเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ส่วนสาเหตุที่ถามว่าทําไมเขาถึงได้เลื่อนเวลาออกไปอีกหนึ่งเดือน นั่นก็เพราะว่าเขาจะได้มั่นใจได้ว่าในตอนนี้โควสันได้อยู่ใน “เกสท์เฮ้าส์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทําให้เขาสามารถหาตําแหน่งของโควสันได้ ซึ่งตอนนี้โควสันก็อยู่ที่

“ทําไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ ?”

เมื่อซู่เจินเห็นตําแหน่งของโควสันเขาก็รู้สึกสับสนขึ้นมาเล็กน้อย วินาทีต่อมา เขาก็ปรากฏตัวขึ้นในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง และเขาก็เห็นว่าโควสันในตอนนี้กําลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ในร้านอาหารบริเวณใกล้เคียง

และเมื่อลองสังเกตไปยังร่างกายหรือหน้าตาของเขา ซู่เจินก็พบว่าเขาไม่ได้มีอาการบาดเจ็บอะไรเลย

” เกิดอะไรขึ้น ? เขาสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วหลังจากเกิดสงครามกลางนิวยอร์คอย่างงั้นหรอ ?”

ซู่เจินขมวดคิ้วขึ้นมา ในขณะเดียวกันเขาก็สังเกตไปเห็นคนที่กําลังเดินผ่านเขาไปกําลังถือหนังสือพิมพ์อยู่ ทําให้ซูเจินหยุดเวลาเอาไว้พร้อมกับเดินเข้าไปอ่านหนังสือพิมพ์ ซึ่งภายในหนังสือพิมพ์อันนี้มันก็มีข่าวเกี่ยวกับสงครามกลางนิวยอร์คอยู่ แต่ข่าวอันนั้นมันก็ผ่านมาได้ประมาณ 2 เดือนแล้ว

“ดูเหมือนว่าฉันจะกะเวลาพลาดไปนิดหน่อย”

หลังจากรู้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น ซู่เจินก็เริ่มใช้ความสามารถของเขาขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากนั้น ไม่นานเขาก็ปรากฏตัวขึ้นที่นิวยอร์คอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งแรกที่เขามาที่นี่มันเป็นครั้งแรกที่เขาลองกําหนดระยะเวลาในการย้อนเวลา และหลังจากที่เขารู้ระยะเวลาจนแน่ชัดแล้ว เขาก็สามารถเริ่มลงมือตามแผนการของเขาได้ในทันที หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เจอตําแหน่งของโควสัน พร้อมกับร่างของเขาที่ปรากฏตัวขึ้นมาข้าง ๆ โควสันอย่างรวดเร็ว

ในห้องผ่าตัดในตอนนี้ค่อนข้างที่จะมืดสลัวเล็กน้อย โดยมีโควสันที่กําลังนอนอยู่บนเตียงอย่างสงบ ซึ่งหัวของเขาในตอนนี้ถูกผ่าออกจนเผยให้เห็นสมองที่อยู่ภายใน และภายในหัวสมองของโควสันก็มีเครื่องจักรที่กําลังทํางานอยู่ตลอดเวลาเพื่อกระตุ้นสมองของเขา …

และยังมีหมออยู่สองคนที่กําลังยืนมองโควสันอยู่ใกล้ ๆ เพื่อคอยสังเกตอาการของโควสัน

” คุณเป็นใคร เข้ามาที่นี่ได้อย่างไร!”

เมื่อเห็นว่าจู่ๆซู่เจินก็ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทําให้พวกเขาทั้งสองถึงกับตกใจและรีบตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก

ซู่เจินถึงกับชะงักไปชั่วครู่ ก่อนที่เขาจะมองไปยังหมอทั้งสองคนด้วยแววตาที่น่ากลัว และค่อย ๆ เดินเข้าไปหาพวกเขาอย่างช้า ๆ ด้วยรอยยิ้มพร้อมกับเหยียดมือออกมาและโบกเบา ๆ เพื่อลบความทรงจําของหมอทั้งสองคนนี้ทิ้งซะ

หลังจากนั้นซูเจินก็หายตัวไปครู่หนึ่ง และค่อย ๆ ปรากฏตัวขึ้นมาที่เดิม โดยตอนนี้โควสันและหมอทั้งสองคนได้หายไปแล้ว

เขากลับสู่ช่วงเวลาเดิม

เขารีบเดินไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นานยา GH325 ก็ถูกซู่เจินหาเจออย่างรวดเร็ว พร้อมกับเก็บพวกมันเข้าไปในมิติเก็บของ หลังจากนั้นซู่เจินก็เดินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเขาเจอกับภาชนะที่เก็บศพของมนุษย์ต่างดาวเอาไว้

หลังจากเปิดมันออกมา ซู่เจินก็เห็นร่างของมนุษย์ต่างดาวที่เหลือเพียงแค่ร่างกายส่วนบนโดยผิวของมนุษย์ต่างดาวตัวนี้เป็นสีฟ้า และมีท่อหลายอันติดอยู่ตามร่างกายของเขา

“นี่คือ “ครี” อย่างงั้นหรอ ? เขาว่ากันว่า ครี คือผู้สร้างอินฮิวแมนขึ้นมา ดังนั้นยาตัวนี้มันจึงไม่มีผลข้างเคียงสําหรับอินฮิวแมน ตัวเช่น สกาย”

ศพของชาวครีถูกซูเจินนําไปเก็บเอาไว้ในมิติเก็บของ พร้อมกับแฟลชไดร์ฟที่เก็บข้อมูลต่าง ๆ เอาไว้ หลังจากนั้นร่างของซูเจินก็หายไป และปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในห้องนอนบนยานบินของดาร์คเอลฟ์

“เฮ้อ ………….”

หลังจากนั้นเขาก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างรวดเร็ว

เวลาค่อย ๆ ไหลผ่านไปอย่างช้า ๆ โดยการเดินทางข้ามกาลเวลาของซู่เจินนั้นเป็นอะไรที่ เหนื่อยมาก ๆ มันดูดพลังงานภายในร่างกายของเขาไปอย่างมหาศาล ทําให้ซู่เจินในตอนนี้รู้สึกอ่อนแอเป็นพิเศษ

“ไม่คิดเลยว่าความสามารถของนากามูระมันจะกินพลังงานมากขนาดนี้ ทั้งที่นากามูระสา

ประมาณ 10 นาที เขาก็รู้สึกได้ว่าพลังงานภายในร่างกายในตอนนี้มันฟื้นตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพราะถึงอย่างไรท้ายที่สุดแล้วสมรรถภาพทางร่างกายของเขาก็แตกต่างกับของนากามูระอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้ว่าเขาจะใช้พลังงานไปจํานวนมหาศาล แต่ถึงอย่างนั้นมันก็สามารถฟื้นฟูมันกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งร่างกายของเขาในตอนนี้มันเหมาะกับความสามารถนี้ยิ่งกว่าของนากามูระเสียอีก

ตอนที่ 138 ลาก่อนนากามูระ

ซู่เจินใช้ความสามารถในการควบคุมจิตใจกับลินดามัน เพื่อที่เขาจะสามารถออกไปจากที่นี่ได้อย่างหมดห่วง และถึงแม้ว่าความสามารถของลินดามันจะแข็งแกร่งและมีประโยชน์เป็นอย่างมาก ซึ่งความสามารถของเขาก็คือการรักษาผู้อื่น และถ้าเกิดว่าเขากลืนกินความสามารถของลินดามัน ในตอนนี้องค์กรลึกลับก็จะส่งคนอื่นเข้ามาแทนที่เขา ทําให้เจสสิก้าและอีเดนจะต้องตกอยู่ในอันตราย

อย่างไรก็ตามในตอนนี้ลินดามันก็ตกอยู่ในการควบคุมของเขาเรียบร้อยแล้ว ทําให้เขาสามารถกลืนกินความสามารถของลินดามันได้ตลอดเวลา บวกกับการที่เขาจะให้ลินดามันช่วยดูแลอีเดน และคนอื่น ๆ ให้ในขณะที่เขาไม่อยู่ ทําให้เขาหมดห่วงในเรื่องนี้ไป

หลังจากจัดการเรื่องอะไรต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ซูเงินก็เริ่มค้นหาตําแหน่งของ ฮิโรชิ นากามูระ ทันที

ซึ่งก็โชคดีที่ ฮิโรชิ นากามูระ ยังคงอยู่ในช่วงเวลานี้หรือไทม์ไลน์อันนี้ ไม่งั้นซู่เจินคงจะหาเขาไม่พบอย่างแน่นอน

หลังจากรู้ตําแหน่งของนากามูระเรียบร้อยแล้ว ซู่เจินก็พร้อมที่จะออกเดินทาง

แต่ก่อนที่เขาจะออกเดินทาง ซู่เจินก็ได้ไปบอกลากับเจสสิก้า นิกกี้ และอีเดนก่อน หลังจากที่เขาบอกลาเสร็จแล้ว ทันใดนั้นเจสสิก้าก็พุ่งไปจูบซู่เจินและพูดอะไรสองสามคํา หลังจากนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นนิกกี้ที่ทําแบบเดียวกันกับเจสสิก้า โดยมีสายตาของอีเดนที่กําลังมองมาทางซู่เจินด้วยความลังเล ปนความอิจฉาเล็กน้อย

” ผมจะไปแล้วนะ ดังนั้นคุณอย่าคิดถึงผมมากเกินไปล่ะ เดี๋ยวอีกสักพักหนึ่งผมก็กลับมาแล้ว” ซู่เจินเดินเข้าไปกอดอีเดนพร้อมกับพูดขึ้นมาเบา ๆ

“คุณต้องระวังตัวด้วยนะ”

ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าซู่เจินกําลังจะทําอะไร แต่เธอก็อดเป็นห่วงเขาไม่ได้

” ไม่ต้องห่วง”

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย และพาชาวเฮติเดินไปที่ระเบียงเพื่อเตรียมตัวที่จะจากไป

ในขณะเดียวกันอีเดนก็กัดฟันลังเลอยู่นาน และในที่สุดเธอก็ตัดสินใจได้ ทําให้เธอรีบวิ่งไปหาซู่เจินที่ระเบียง และเตรียมตัวที่จะทําอะไรบางอย่างที่เธออยากทํามาตลอด แต่เธอก็พบว่า … ซู่เจิน ได้บินออกไปแล้ว

ในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งใกล้ ๆ กับลาสเวกัส มีร้านอาหารเล็ก ๆ อยู่ร้านหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ในทําเลที่ค่อนข้างดี

ซึ่งภายในร้านมี ฮิโรชิ นากามูระ กําลังนั่งทานอาหารอยู่ภายในร้าน ในขณะเดียวกันประตูร้านก็ค่อย ๆ เปิดออกมาพร้อมกับมีคนเดินเข้ามา และเมื่อนากามูระเห็นว่าคนที่เดินเข้ามาเป็นใคร เขาก็รีบลุกขึ้นยืนและพูดขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนักว่า “คุณ … คุณคือคนชั่วที่ต้องการเอาความสามารถของฉันไปในตอนนั้น!”

คนชั่ว….

เมื่อได้ยินคํานี้ของนากามูระ ซู่เจินก็ถึงกับใบ้กิน

มันไม่ใช่เพราะความหมายของคํา แต่มันเป็นเพราะคําพูดที่ออกมาจากปากของนากามูระ ที่ให้ความรู้สึกที่ไร้เดียงสาเหมือนกับเด็ก ?

“คุณมาที่นี่เพื่อกลืนกินความสามารถของฉันใช่ไหม ? ฉันจะไม่ยอมให้คุณทําได้สําเร็จหรอก เพราะว่าฉันคือฮีโร่ ดังนั้นฉันจะต้องเอาชนะคุณให้ได้!”

นากามูระพูดขึ้นมาอย่างโกรธเคือง พร้อมกับดวงตาที่หดแคบลง และเตรียมตัวที่จะใช้ความสามารถของเขา

”ตาของคุณมีขนาดเล็กขนาดนั้น แต่คุณก็ยังจะหดให้มันเล็กลงไปอีก เอาล่ะ! ผมจะรอดูว่าความพยายามของคุณมันจะสูญเปล่าหรือเปล่า ?” ซู่เจินส่ายหัวพร้อมกับพูดขึ้นมาเบา ๆ โดยมีชาวเฮติเดินไปยืนอยู่ข้างหลังของนากามูระอย่างรวดเร็ว

“ทุกคนที่อยู่ในร้านจงฟังให้ดี ถ้าไม่อยากเจ็บตัว ให้รีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดซ่ะ!” ซู่เจิน ตะโกนขึ้นมาพร้อมกับร่างของเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงทันที ทําให้ผู้คนที่อยู่ภายในร้านถึงกับตื่นตระหนกและรีบหนีออกไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นไม่นานก็ไม่มีใครหลงเหลืออยู่ในร้านอีกต่อไป

ซู่เจินรีบคว้าไปที่ตัวของนากามูระอย่างรวดเร็ว “คราวที่แล้วผมทําไม่สําเร็จ แต่คราวนี้ … ผมจะต้องเอาความสามารถของคุณมาให้ได้!”

ความสามารถในการกลืนกินถูกใช้งานขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และในทันทีที่มันเริ่มใช้งานซู่เจินก็รู้สึกได้ถึงการต่อต้านขึ้นมาในทันทีซึ่งมันทําให้หัวใจของซู่เจินรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก และเริ่มจดจ่อไปกับการกลืนกินความสามารถของนากามูระ

ความสามารถของนากามูระค่อย ๆ ถูกดึงออกมาจากร่างกายอย่างช้า ๆ และหลังจากนั้นไม่นานมันก็ถูกดึงออกมาจากร่างกายของนากามูระ และพุ่งเข้าสู่ร่างกายของซู่เจินอย่างรวดเร็ว!

ตึง!

นากามูระล้มลงไปนอนกับพื้นในทันทีพร้อมกับร้องไห้ขึ้นมาด้วยความเสียใจ

“ฮ่า ๆ ไหนขอลองหน่อยซิว่าความสามารถนี้มันจะแข็งแกร่งมากแค่ไหน” ซู่เจินหัวเราะขึ้นมาอย่างตื่นเต้นพร้อมกับหันไปพูดอะไรบางอย่างกับชาวเฮติ

ทันใดนั้นชาวเฮติก็เปิดใช้ความสามารถในการปิดกั้นของเขาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับคิ้วของซู่เจินที่ขมวดเข้าหากันและเปิดใช้งานความสามารถของนากามูระขึ้นมาทันที

เงียบ -!

ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวของซู่เจินนิ่งไปหมด ราวกับว่าโลกทั้งใบถูกกดปุ่มหยุดเอาไว้ชั่วคราว ซี่งมันน่ามหัศจรรย์เป็นอย่างมาก และเมื่อเขาลองสังเกตไปยังชาวเฮติและนากามูระที่หยุดนิ่ง ซู่เจิน ก็ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ออกมาอย่างไรดี

หลังจากนั้นซู่เจินก็หยุดใช้ความสามารถของเขา ทําให้เวลากลับมาเดินเหมือนเดิม

“ชาวเฮติ ลบความทรงจําเกี่ยวกับความสามารถของเขาให้หมด และทําให้เขาเลิกร้องไห้ด้วย” ซู่เจินหันไปสั่งกับชาวเฮติ หลังจากนั้นร่างของเขาก็หายไปอย่างรวดเร็ว

เขาเคยสัมผัสถึงเวลาที่หยุดนิ่งมาแล้ว ดังนั้นในตอนนี้เขาก็อยากลองสัมผัสถึงการเดินทางข้ามกาลเวลาบ้าง ซึ่งเขาก็เลือกย้อนเวลาไปในตอนที่เขาพบกับแคลร์เมื่อเดือนก่อน

ในตอนนั้นแคลร์ยังคงมีความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองอยู่ ซึ่งซู่เจินก็ต้องการที่จะอัพเดทสถานะในตอนนี้ของเธอลงไปในสนามประลอง

”วิส!”

หลังจากนั้นไม่นานซูเงินก็ค่อย ๆ ลืมตาของเขาขึ้นมาอย่างช้า ๆ และดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในรัฐเท็กซัส ในขณะเดียวกันเขาก็สังเกตเห็นแคลร์ที่เพิ่งกลับมาจากการไปโรงเรียน

” อัพเดทสถานะของ อันเดดเกิร์ล : แคลร์ เบนเน็ตต์ ในตอนนี้ลงในสนามประลอง” ซู่เงินจ้องมองไปที่แคลร์ พร้อมกับสั่งระบบในใจ

แคลร์มองไปยังคนเอเชียตรงหน้าของเธอด้วยความประหลาดใจ เพราะว่าแววตาของเขา .. มันดูแปลกนิดหน่อย ? และก็ดูเหมือนว่าเขาจะรู้จักเธอด้วย ? ซึ่งแคลร์ก็พยายามคิดอยู่ตั้งนาน แต่เธอก็จําไม่ได้ว่าเขาคือใคร ?

ในขณะที่แคลร์กําลังจะเดินผ่านเขา เธอก็หันไปยิ้มให้กับซู่เจินอย่างสุภาพ แล้วเดินจากไปทันที แต่หลังจากเธอเดินไปได้ไม่นาน แคลร์ก็หันกลับมามองข้างหลังเป็นระยะ ๆ และเธอก็พบว่ากําลังมีคนเดินตามเธอมาอยู่ ซึ่งเขาคนนี้ก็กําลังมองมาที่เธอด้วยรอยยิ้ม ทําให้แคลร์รู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย และรีบเร่งฝีเท้าของเธอให้เร็วขึ้น

“ผมรู้สึกขอบคุณในอนาคตมากกว่าอยู่ดี!”

เมื่อมองไปยังแคลร์ที่เดินจากไปหลังจากที่เขาหยุดเดิน ซู่เจินก็พูดขึ้นมาเบา ๆ

หลังจากระบบอัพเดทสถานะของแคลร์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ซู่เจินก็เข้าไปยังสนามประลองอย่างรวดเร็ว

ซึ่งในตอนนี้เจสสิก้าก็สามารถเข้ามาในสนามประลองได้เช่นกัน ส่วนอีเดนถึงแม้ว่าค่าความสัมพันธ์จะเพิ่มขึ้นแต่มันก็ยังไม่ถึง 80% อยู่ดี ซึ่งมันก็อาจจะเป็นว่าเขายังไม่ทําอะไรแบบนั้นกับเธอ

สีที่แสดงสถานะบนหัวของแคลร์ในจอภาพโฮโลแกรมมันสว่าง ทําให้ซู่เจินกดเลือกไปที่เธอ และกดยืนยันทันที หลังจากนั้นไม่นานแคลร์ก็ปรากฏตัวขึ้นมาต่อหน้าของซู่เจิน โดยที่ความทรงจําก่อนหน้านี้ถูกลบไป ทําให้เธอตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย แต่หลังจากที่เธอสังเกตเห็นซู่เจิน เธอก็ค่อย ๆ สงบสติลง พร้อมกับพุ่งเข้าไปกอดแขนของซู่เจินอย่างรวดเร็วและพูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นว่า ” ทําไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ ? แล้วที่นี่คือ ”

“อย่าเพิ่งถามเรื่องนี้เลย ตอนนี้คุณสามารถใช้ความสามารถของคุณได้ไหม ?” ซู่เจินพูดขัดจังหวะและถามเธอขึ้นมาแทน

“ได้สิ ซึ่งฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นเพราะอะไร เพราะดูเหมือนว่าตอนนี้ฉันจะสามารถกลับมาใช้ความสามารถได้เหมือนเดิมแล้ว” แคลร์พยักหน้าและรีบพูดขึ้นมาอย่างเร็ว

“ดีแล้ว!”

ซู่เจินพยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ ในเมื่อตอนนี้แคลร์ก็ได้ความสามารถของเธอกลับคืนมาเรียบร้อย แล้วเขาก็สามารถออกไปจากดันเจี้ยนแห่งนี้ได้สักที

ตอนที่ 137 ความสามารถในการคัดลอก

ซูเจินไม่ได้สนใจเกี่ยวกับความสามารถในการคัดลอกความสามารถของคนอื่นมากนัก เพราะถึงอย่างไรท้ายที่สุดแล้วความสามารถในการกลืนกินของเขามันก็แข็งแกร่งขึ้น บวกกับการที่เขามีความสามารถอยู่มากมาย และจุดประสงค์หลักของเขาก็คือพลังงานสําหรับการอัพเกรดระบบ ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจว่าความสามารถในการคัดลอกมันจะสามารถคัดลอกความสามารถมาได้ถาวรหรือไม่

เพราะถ้าเกิดว่ามีความสามารถที่เขาต้องการมันจริงๆ เขาก็แค่กลืนกินความสามารถนั้นมาก็แค่นั้นเอง

อย่างไรก็ตามความสามารถในการคัดลอกมันก็ให้พลังงานในการอัพเกรดระบบมาเช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้มันก็ทําให้เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

“ระบบ ถ้าเกิดว่าความสามารถที่ฉันคัดลอกมาถูกฉันกลืนกินเข้าไปมันจะยังให้พลังงานอยู่หรือไม่? แล้วพลังงานมันจะได้น้อยลงหลังจากที่ฉันคัดลอกความสามารถมาหรือเปล่า?”

“ไม่”

“แล้วถ้าเกิดว่าฉันคัดลอกซ้ําอีกครั้งหนึ่งล่ะ มันจะให้พลังงานเหมือนเดิมใช่ไหม ?”

“ไม่”

ในตอนแรกมันก็ทําให้ซูเจินรู้สึกมีความสุขอยู่หรอก แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็รู้สึกหดหูขึ้นมาทันที

เพราะเดิมที่แล้วเขาคิดว่ามันจะสามารถทําได้เรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าพลังงานมันจะให้น้อยลงเรื่อยๆก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังให้พลังงานจํานวนมหาศาล แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ ความคิดนี้มันจะไม่สามารถใช้ได้แล้ว

“คุณ … นี่คือความสามารถที่คุณเพิ่งจะคัดลอกมาอย่างงั้นหรอ?” หลังจากที่อีเดนเข้าใจเรื่องราวคร่าวๆแล้ว เธอก็ค่อยๆถามขึ้นมาอย่างใจเย็น

“ความสามารถในการเพิ่มความแข็งแกร่ง!” ซูเจินพูดขึ้นมาเบาๆ

อีเดนเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับถามว่า “นี่คือความสามารถของผู้หญิงคนนั้นที่คุณพาไปเมื่อคืนใช่ไหม ?”

“ใช่ เธอชื่อว่าเจสสิก้า และภายในร่างกายของเธอก็มีดวงวิญญาณอยู่อีกดวงหนึ่งชื่อว่านิกกี้ โดยที่พวกเธอใช้ร่างกายรวมกัน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว” ซูเจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“คุณเคยพบกับดวงวิญญาณอีกดวงหนึ่งแล้วอย่างงั้นหรอ? ไม่น่าแปลกใจเลย … “อีเดนเม้มปากของเธอและพูดต่อว่า” แล้วคุณมีวิธีที่ทําให้ดวงวิญญาณทั้งสองดวงของพวกเธอรวมเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างงั้นหรอ ?”

“นี่เป็นครั้งแรกมันอาจจะมีผลกระทบตามมาที่หลังก็ได้”

“ยังไงก็เถอะ มั่นใจได้เลย

“ไม่ต้องห่วง” ซูเจินยิ้ม และพูดต่อว่า “ตอนนี้มันดึกมาแล้ว คุณไปพักผ่อนเถอะ”

“คุณไปอาบน้ําก่อนเลย แล้วค่อยเข้าไปนอน เพราะฉันไม่อยากได้กลิ่นอื่นๆที่อยู่รอบๆตัวของคุณ” อีเดนรีบพูดขึ้นมาอย่างเร่งรีบ

ซ่เงินยักไหล่ขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับเดินไปอาบน้ําอย่างว่าง่าย

หลังจากนั้นไม่นานซ่เงินก็เดินออกมาจากห้องน้ํา พร้อมกับสังเกตเห็นว่าอีเดนนอนหลับไปแล้ว ซึ่งจริงๆแล้วเธอยังไม่ได้หลับ แต่แค่แกล้งทําเป็นหลับก็เท่านั้น ทําให้ซูเจินค่อยๆเดินลงไปนอนบนเตียงเบาๆ พร้อมกับกอดไปที่เธอจากด้านหลังอย่างเงียบๆ หลังจากนั้นพวกเขาก็นอนกอดกันแบบนี้ทั้งคืน

หลังจากพบลินดามันในตอนนั้น ซูเจินก็ไม่เคยเห็นเขาอีกเลยภายในสองสามวันมานี้ ซึ่งซูเจินก็ไม่ได้ทําอะไรเลยนอกจาก กิน ดื่ม และสนุกสนานไปกับการพักผ่อน โดยมีอีเดนอยู่ข้างๆเขาและในบางครั้งก็เป็นเจสสิก้าและนิกกี้

ในขณะเดียวกันความสามารถของเขาก็ค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับมาอย่างช้าๆ และในที่สุดร่างกายของเขามันก็ฟื้นตัวเสร็จสมบูรณ์ แถมเขายังรู้สึกได้อีกว่าร่างกายของเขาในตอนนี้มันแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิม ราวกับว่าภายในร่างกายของเขามันมีพลังงานอยู่อย่างไร้ขีดจํากัด

ระบบ ฉันจะอยู่ในดันเจี้ยนแห่งนี้ได้อีกนานแค่ไหน ?”

“สองวัน!”

” เหลือเวลาอีกแค่สองวันเองอย่างงั้นหรอ? สงสัยฉันจะต้องรีบหน่อยแล้ว ไม่งั้นฉันจะไม่สามารถเข้ามาในดันเจี้ยนแห่งนี้ได้อีกสักพักหนึ่ง แถมมันยังมีความสามารถอยู่อีกมากมายที่ฉันยังไม่ได้กลืนกินมันเลย”

หลังจากที่ร่างกายฟื้นตัวเสร็จสมบูรณ์ บวกกับการที่ความสามารถในการกลืนกินของเขามันแข็งแกร่งมากขึ้น และเหลือเวลาเพียงแค่สองวันเท่านั้น ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสดีที่ซู่เจินจะเริ่มลงมือได้แล้ว

“ฮิโรชิ นากามูระ เตรียมตัวรอไว้ได้เลย ฉันจะไปหาคุณในเร็วๆนี้อย่างแน่นอน!”

ซูเจินพึมพําขึ้นมาเบา ๆ กับตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็หันไปพูดกับเจสสิก้าว่า “คุณช่วยติดต่อลินดามันให้ผมหน่อย ผมอยากพูดคุยกับเขา”

“คุณต้องการจะทําอะไรอย่างงั้นหรอ?” เจสสิก้าถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

ซ่เงินไม่กลัวว่าเจสสิก้าจะทรยศเขา เพราะตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมา ซูเจินก็เคยสังเกตเธออยู่ตลอดเวลา ควบคู่ไปกับการใช้ความสามารถในการอ่านใจกับเธอไปด้วย ทําให้เขาสามารถล่วงรู้ความคิดของเจสสิก้าได้อย่างง่ายดาย

“ผมจะไปข้างนอกสักพักหนึ่ง และก่อนที่ผมจะจากไป ผมจะต้องจัดการกับเรื่องของคุณให้เรียบร้อยซะก่อน ส่วนเรื่องที่ว่าผมจะทําอะไร คุณช่วยติดต่อลินดามันให้ผมก่อนแล้วหลังจากนั้นคุณจะรู้มันเอง”

“อืม”

เจสสิก้าพยักหน้าขึ้นมาเบาๆ หลังจากนั้นเธอก็หันหลังเดินจากไป

แน่นอนว่าลินดามันไม่ได้เชื่อใจเจสสิก้ามากขนาดนั้น และเจสสิก้าก็ไม่ได้มีตําแหน่งที่จะสามารถติดต่อลินดามันได้โดยตรง ดังนั้นเธอจึงจําเป็นที่จะต้องไปหันกันดิสและขอให้กันดิสติดต่อหาลินดามันแทนเธอ

สองชั่วโมงต่อมา ภายในห้องประชุม

ซูเจิน อีเดน ชาวเฮติ เจสสิก้า กันดิส และลินดามัน

ในฐานะที่คนอื่น ๆ เป็นลูกน้อง ทําให้พวกเขาได้แต่ยืนอยู่ห่างๆ ส่วนซูเจินและลินดามันก็นั่งอยู่ตรงข้ามกัน หลังจากนั้นลินดามันก็ถามขึ้นมาว่า “ฉันได้ยินว่าคุณกําลังตามหาฉันอยู่ คุณมีเรื่องอะไรให้ฉันช่วยอย่างงั้นหรอ ?”

“ผมมีเรื่องให้คุณช่วยจริงๆนั่นแหละ” เมื่อลินดามันมองไปที่ดวงตาของซูเจิน ทันใดนั้นดวงตาของซูเจินก็ค่อยๆกลายเป็นสีดําสนิท ทําให้ลินดามันที่กําลังนั่งอยู่เริ่มรู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างผิดปกติ ทําให้เขาเตรียมตัวที่จะทําอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นซูเจินก็ค่อยๆพูดขึ้นมาอย่างช้าๆว่า “ผมมีธุรอะไรบางอย่างที่จะต้องไปจัดการ ดังนั้นผมจะไม่อยู่ที่นี่สักพัก และในช่วงที่ผมไม่อยู่ ผมจะให้คนของผมอาศัยอยู่ที่นี่ก่อน และจงฟังคําสั่งของพวกเขาเหมือนกับว่าเป็นคําสั่งของผม และผมก็หวังว่าคุณจะฟังคําสั่งของผม … “

“ได้ ฉันจะฟังคุณ” ลินดามันพึมพําซ้ําไปซ้ํามา

“เกิดอะไรขึ้น! คุณทําอะไรกับเจ้านายของฉัน!”

กันดิสที่สังเกตเห็นว่าลินดามันมีท่าทางที่ผิดปกติ ทําให้เธอรีบตะโกนไปทางซูเจินทันที

ซูเจินส่ายหัวเล็กน้อยพร้อมกับโบกมือขึ้นมาเบาๆ ทันใดนั้นร่างของกันดิสก็ค่อยๆลอยมาอยู่ตรงหน้าของซูเจินอย่างช้าๆ

“ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทําไมคุณถึงได้พูดมากขนาดนี้ แต่มันก็ไม่สําคัญ เพราะว่าผมจะไม่ให้คุณมาพูดต่อหน้าของผมอีกในอนาคต”

ร่างของกันดิสสั่นเทาด้วยความตื่นตระหนัก พร้อมกับมองไปที่ลินดามัน โดยหวังว่าเจ้านายของเธอจะสามารถช่วยเธอได้ แต่น่าเสียดายที่แววตาของลินดามันไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเขามองไม่เห็นกันดิสเลยด้วยซ้ํา

“คุณอยากรู้ใช่ไหมว่าหน้าตาของเขาเป็นอย่างไร? ดังนั้นคุณก็ควรตั้งสติให้ดี และอย่าหวาดกลัวจนสติแตกล่ะ” ซูเจินหันไปพูดกับอีเดน พร้อมกับค่อยๆเอามือของเขาแตะไปที่ร่างกายของกันดิสเพื่อกลืนกินความสามารถ

หลังจากนั้นไม่นานซูเจินก็เอามือออกจากร่างกายของกันดิส เพราะตอนนี้เขาได้กลืนกินความสามารถของกันดิสมาเรียบร้อยแล้ว

“ถึงแม้ว่าการกระทําในตอนนั้นมันจะอันตรายเป็นอย่างมาก แต่ผลลัพธ์ที่ได้มันก็คุ้มค่า!” ซูเจินพอใจมากกับความเร็วในการกลืนกินความสามารถของเขาในปัจจุบัน และมันก็น่าจะกลืนกินความสามารถของ ฮิโรชิ นากามูระ ได้แล้ว

ติ้ง!

ร่างของกันดิสล้มลงกับพื้นเผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเธอ

ผู้หญิงอ้วนที่สามารถอุ้มอีเดนได้พร้อมกัน 4 – 5 คน

” พระเจ้า …. เขาเป็นคนอ้วนขนาดนี้เลยอย่างงั้นหรอ!”

อีเดนถึงกับตกตะลึง เพราะเธอไม่คิดว่ากันดิสในตอนแรกที่ผอมเพรียวซะขนาดนั้น จริงๆแล้วเธอจะเป็นหญิงอ้วนที่มีหน้าตาขี้เหร่มากขนาดนี้ ทําให้อีเดนค่อนข้างที่จะรับไม่ได้กับสภาพความเป็นจริงตรงหน้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน

ไม่เพียงแค่อีเดนเท่านั้นที่ตกตะลึง แต่มันยังรวมถึงเจสสิก้าและชาวเฮติด้วย

ซึ่งพวกเขาเพิ่งจะเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของกันดิสเป็นครั้งแรก

ลบความทรงจําของเธอ แล้วปล่อยเธอไป”

ตอนที่ 136 วิเศษมาก

หลังจากเจสสิก้าออกมาพูดอะไรบางอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็เปลี่ยนกลับไปเป็นนิกกี้ทันที ซึ่งซูเจินก็สามารถมองเห็นอาการเขินอายของเธอได้อย่างชัดเจน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร

ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ลงเอยด้วยการมอบความรักให้กันและกัน!

และถึงแม้ว่าจะเป็นร่างเดียวกัน แต่ปฏิกิริยาของนิกกี้ในขณะที่กําลังบรรเลงบทเพลงรักมันก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากของเจสสิก้าอย่างสิ้นเชิง ทําให้ซูเจินได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไป

ร่างกายเดียวกัน แต่ความรู้สึกไม่เหมือนกัน

ซึ่งซูเจินก็สามารถบรรยายความรู้สึกออกมาเป็นคําพูดได้เพียงแค่สี่คําเท่านั้น นั่นก็คือ ….

“มันสุดยอดมาก!”

“สาวน้อยจอมพลัง : เจสสิก้า/นิกกี้ ค่าความสัมพันธ์เพิ่มขึ้นอีก 20% ทําให้ค่าความสัมพันธ์ในตอนนี้มีทั้งหมด 100%”

ซูเจินไม่ได้แปลกใจเลยแม้แต่น้อยที่ค่าความสัมพันธ์มันจะเพิ่มขึ้นอีกครั้ง

“เป็นไง คุณพอใจกับประสบการณ์ในครั้งนี้ไหม?” ซูเจินถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“ไม่เลว!”

เมื่อได้ยินน้ําเสียงแบบนี้ ซูเจินก็รู้ได้ในทันทีเลยว่าเธอคือใคร

“เจสสิก้า คุณเคยคิดที่จะเปลี่ยนหัวหน้าอย่างถาวรไหม? ผมชอบคุณมาก ดังนั้นผมจึงไม่อยากปล่อยคุณไปให้กับคนอื่น” ในขณะที่ซูเจินกําลังแต่งตัวเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขาได้ฉีกเสื้อผ้าของเจสสิก้าออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเขาก็หยิบชุดที่ขนาดพอดีกับตัวของเธอออกมาจากมิติเก็บของ และยื่นมันให้เธอ

เจสสิก้ารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากเมื่อเธอเห็นว่าซูเจินหยิบเสื้อผ้าออกมาจากอากาศอันโล่งโจ้ง แต่เธอก็ประหลาดใจกับมันเพียงครู่เดียวเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรท้ายที่สุดแล้วซูเจินก็มีความสามารถมากมายอยู่ภายในตัวของเขา ดังนั้นสิ่งที่ทําให้เธอรู้สึกประหลาดใจจริงๆ ในตอนนี้ก็คือเสื้อผ้าแบรนด์ดังที่มีมูลค่าอย่างน้อยหลายหมื่นดอลลาร์ที่ซูเจินมอบให้กับมากกว่า

“ฉันคิดว่านี่อาจจะเป็นคําแนะนําที่ดี” เจสสิก้ายิ้มขึ้นมาอย่างสดใส พร้อมกับเปลี่ยนเสื้อต่อหน้าซูเจินทันที หลังจากนั้นเธอก็เหลือบมองไปยังคาบเลือดสีแดงที่อยู่บนผ้าปูที่นอน พร้อมกับถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปพูดกับซูเจินว่า “อย่างไรก็ตามฉันคิดว่ามัน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะถึงอย่างไรลินดามันก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก และถ้าเกิดว่าเราทําให้เขาไม่มีความสุข เราก็จะมีปัญหาตามมามากมายไม่รู้จบรู้สิ้น”

“คุณกังวลเกี่ยวกับลินดามันมากเกินไป” ซูเจินส่ายหัวพร้อมกับพูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจว่า “ในตอนนี้เขายังมีค่าอยู่ ดังนั้นมันจึงไม่เลวนักที่จะร่วมมือกับเขา แต่ถึงอย่างไรก็ตามคุณก็จะต้องอยู่กับผมอยู่ดี ดังนั้นถ้าเกิดว่าเขาถามคุณ คุณก็บอกเขาไปตรงๆเลยก็ได้”

“แค่นี้อย่างงั้นหรอ ?” เจสสิก้าถามขึ้นมา

“ถ้าผมบอกว่าจะทํา ผมก็จะทํามันให้สําเร็จ!”

ซูเจินยิ้มและพูดว่า “ตอนนี้มันยังเร็วเกินไป เรากลับกันเถอะ อ้อ! ผมเกือบลืมไปเลยว่าผมยังมีเลขาอีกคนหนึ่งกําลังรอผมอยู่ และผมก็คิดว่าเธอน่าจะโกรธผมน่าดู”

หลังจากอุ้มเจสสิก้าขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว ซูเจินก็บินออกจากอพาร์ตเมนต์และมุ่งหน้ากลับไปยังโรงแรมอย่างรวดเร็ว

“ฉันจะไม่เข้าไปรบกวนเวลาของคุณในการเกลี้ยกล่อมเลขาอีกคนหนึ่งของคุณ ถ้าเกิดว่าคุณทําได้ บางที … เธออาจจะ “ เจสสิก้าวางมือลงบนไหล่ของซูเจินพร้อมกับยิ้มขึ้นมาอย่างจงใจ

” ผมไม่เคยล้มเหลว” ซูเจินพูดตอบขึ้นมาพร้อมกับบีบไปที่สะโพกของเจสสิก้า ทําให้เจสสิก้าถึงกับถอนหายใจออกมาและทําหน้ามุ่ยขึ้นมาในทันที ทําให้ซูเจินยิ้มขึ้นมาอย่างมีชัย

หลังจากนั้นซูเจินก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง พร้อมกับเดินเข้าไปอย่างไม่เร่งรีบ และค่อยๆใช้ความสามารถสุดยอดการได้ยินในการฟังเสียงที่อยู่ภายในห้อง

มีเสียงการเต้นของหัวใจดังขึ้นมา และเมื่อลองฟังอัตราการเต้นของหัวใจ ก็ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของเธอในตอนนี้อย่างชัดเจน

เธอกําลังโกรธ

หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า หึง ?

สิ่งนี้ทําให้ซูเจินอดยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ และดูเหมือนว่าอีเดนจะไม่ได้ตั้งใจแสดงแสดงด้านนี้ออกมาให้เขาเห็น

เมื่อผลักประตูเข้าไป ซูเจินก็เห็นว่าอีเดนกําลังนั่งอยู่ข้างหน้าของเขาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ เธอทําตัวปกติและทําเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่อัตราการเต้นของหัวใจของเธอมันกับทรยศต่อตัวเธอ

“คุณโกรธอย่างงั้นหรอ ?”

ซูเจินเดินเข้าไปหาเธอใกล้ๆ พร้อมกับถามขึ้นมาเบาๆ

“โกรธ? ทําไมฉันจะต้องโกรธด้วย!” อีเดนถามขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ

“ผมรู้นะว่าทําไมคุณถึงโกรธ และตัวคุณเองก็น่าจะรู้เช่นกัน ดังนั้นอย่าได้ปฏิเสธเลย เพราะถึงอย่างไรคุณก็รู้ถึงความสามารถของผมเป็นอย่างดี ซึ่งจริงๆแล้วผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่าลินดามันจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วมาก ขนาดเขารู้ว่ามีคุณอยู่ข้างๆผมอยู่แล้ว เขาก็ยังใช้แผนสาวงามกับผมอีก ซึ่งในตอนแรกผมก็ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับตัวเธอเช่นกัน อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ที่ผมได้มันก็ดีมาก เพราะผมสามารถแย่งสาวงามที่มีความสามารถพิเศษเฉพาะตัวมาจากลินดามันได้อย่างฟรีๆ!”

ซูเจินค่อย ๆ อธิบายขึ้นมาอย่างช้าๆด้วยรอยยิ้ม ซึ่งในตอนแรกอีเดนก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทําไมหลังจากที่เธอได้ฟังคําอธิบายของซูเจิน เธอก็รู้สึกได้ว่าความโกรธมันค่อยๆหายไป

“คุณสะกดจิตฉันอย่างงั้นหรอ ?” อีเดนพูดขึ้นมาด้วยความโกรธ หลังจากที่ตกใจเสร็จเรีย บร้อยแล้ว

“ผมหรอ ? ผมเปล่านะ!” ซูเจินส่ายหัวขึ้นมาและพูดต่อว่า ” ทําไมผมจะต้องสะกดจิตคุณด้วยล่ะ ถ้าเกิดว่าผมต้องการทําให้คุณหายโกรธจริงๆ ผมก็มีวิธีทํามันหลายวิธีมาก ไม่เห็นจําเป็นที่จะต้องใช้วิธีนี้เลย”

“คุณ … คุณจะต้องสะกดจิตฉันอย่างแน่นอน และ … ดูเหมือนว่ามันจะเป็นความสามารถของฉันอีกด้วย คุณกลืนกินความสามารถของฉันไปแล้วอย่างงั้นหรอ ? แล้วทําไมฉันยังรู้สึกได้ถึงความสามารถของฉันอยู่ล่ะ ?” อีเดนพูดขึ้นมาด้วยความสงสัย เพราะถ้าเธอลองคิดดูดีๆแล้วเธอก็พบว่าซูเจินไม่จําเป็นที่จะต้องทําเช่นนั้นจริงๆ

แต่เมื่อกี้เธอรู้สึกได้ว่าเธอโดนสะกดจิตและโน้มน้าวโดยไม่รู้ตัว

“ผมรู้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น” ซูเจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มอย่างกะทันหัน

“ผมเคยกลืนกินความสามารถในการคัดลอกความสามารถของคนอื่นมาก่อน ซึ่งความสามารถนี้มันพิเศษมากๆ เพราะผมสามารถคัดลอกความสามารถของคนอื่นได้โดยที่เขาไม่รู้ตัว ซึ่งในตอนแรกร่างกายของผมมันเกิดอะไรบางอย่างผิดปกติภายใน ทําให้ผมไม่สามารถใช้ความสามารถนี้ได้ และก็ดูเหมือนว่าในตอนนี้ร่างกายของผมมันจะฟื้นฟูจนผมสามารถใช้ความสามารถนี้ออกมาได้แล้ว ดังนั้นผมจึงคัดลอกความสามารถของคุณมาโดยไม่รู้ตัว”

ซูเจนเดินไปยังโต๊ะที่อยู่ข้าง ๆ พร้อมกับเอามือของเขาคว้าจับไปที่โต๊ะที่หนักและแข็งแรงพร้อมกับยกมันขึ้นมาอย่างง่ายดาย

ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้มันแข็งแกร่งมากกว่าแต่ก่อนมาก และนี่ก็คือความสามารถของสาวน้อยจอมพลัง!

ซึ่งก็ดูเหมือนว่าตอนที่เขาอยู่กับเจสสิก้าความสามารถในการคัดลอกมันคงจะฟื้นฟูเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทําให้เขาคัดลอกพลังของเจสสิก้ามาโดยไม่รู้ตัว และไม่สามารถสังเกตเห็นมันได้

“ระบบ ถ้าเกิดว่าฉันคัดลอกความสามารถมันจะให้พลังงานสําหรับการอัพเกรดระบบไหม ?”

นี่คือสิ่งที่ซูเจนกังวลมากที่สุด

“ได้ แต่มันก็น้อยมาก นอกจากนี้ความสามารถที่ถูกคัดลอกมามันก็ไม่ได้อยู่ติดตัวกับโฮสต์ไปอย่างถาวร บวกกับการที่ความสามารถในการคัดลอกนี้มันค่อนข้างขัดแย้งกับความสามารถในกา กลืนกินของโฮสต์ ซึ่งความสามารถในการคัดลอกมันจะสามารถใช้ได้เพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น และหลังจากนั้นไม่นานมันก็จะหายไป ส่วนความสามารถในการกลืนกินมันจะอยู่ติดตัวกับโฮสต์ไปชั่วชีวิต”

“งั้น … “ ซูเจินพึมพําขึ้นมาเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้ผิดหวังมากนัก

ตอนที่ 135 ฝาแฝด

ถึงแม้ว่าเจสสิก้าจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ความแข็งแกร่งของเธอมันก็ได้กระตุ้นความสนใจของซูเจินขึ้นมาแล้ว

ซึ่งมันอาจจะเป็นเพราะความแตกต่างอะไรบางอย่าง ซึ่งภายในร่างของเจสสิก้าในตอนนี้ก็มีดวงวิญญาณอยู่ 2 ดวงภายในร่างเดียวกัน ทําให้สามารถเรียกได้ว่าเขาสามารถยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว โดยการพิชิตพวกเธอทั้งสองคนไปพร้อมๆกัน!

และแน่นอนว่าความรู้สึกแบบนี้มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสัมผัสกับคนอื่นๆแล้วจะได้แบบนี้ ทันใดนั้นพลังงานของแหวนอีเทอร์ก็ถูกใช้งานขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทําให้ในพริบตามือของเจสสิก้าก็ถูกมัดเอาไว้ด้วยเชือกสีเขียวเข้มอย่างแน่หนา

การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันทําให้เจสสิก้าตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอมองไปยังซูเจินที่กําลังทําสายตาอันร้อนแรงมาทางเธออยู่ ทําให้เจสสิก้าเริ่มออกแรงเพื่อทําลายเชือกเส้นนี้ทิ้ง ทันใดนั้นเชือกมันก็เริ่มแกว่งไปมาดูเหมือนว่ามันกําลังจะขาดออกจากกัน

ทําให้ซ่เงินที่เห็นเช่นนั้นก็รีบพุ่งเข้าไปหาเธออย่างรวดเร็ว แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมา

“ได้โปรดอย่าทําแบบนี้ อย่า … ฉัน .. นี่ยังเป็นครั้งแรกของฉัน ได้โปรด… “

นี่คือเสียงที่อยู่ภายในจิตใจของเจสสิก้า ทําให้ซูเจินที่กําลังจะพุ่งเข้าไปถึงกับหยุดชะงักด้วยค วามแปลกใจเล็กน้อย ” จริงๆอย่างงั้นหรอ?

“คุณ คุณหมายความว่ายังไง ?” เจสสิก้าไม่เข้าใจความหมายที่ซูเจินต้องการจะสื่อ

“สิ่งที่คุณกําลังคิดอยู่ภายในจิตใจของคุณในตอนนี้มันเป็นความจริงใช่ไหม ? เรื่องนี้ทําให้ผมรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่ครั้งแรกที่คุณหมายถึงนี่หมายถึงของคุณใช่ไหม? แล้วครั้งแรกที่หมายถึงนั่นมันหมายถึงจิตวิญญาณของคุณ หรือครั้งแรกของร่างกายนี้?” ซูเจินถามขึ้นมาด้วยความสนใจพร้อมกับมองไปที่เธอ

เจสสิก้าเงียบไปครู่หนึ่งและพูดขึ้นมาว่า “คุณรู้จักฉันอย่างงั้นหรอ ?”

“ถ้าเกิดว่าคุณหมายถึงดวงวิญญาณอีกดวงหนึ่งที่อยู่ภายในร่างกายของคุณ … แน่นอนว่าผมรู้! เธอชื่อว่านิกกี้ใช่ไหม? และผมก็คิดว่าคนที่ครอบครองร่างกายในตอนนี้อยู่ก็คือ เจสสิก้า ไม่ใช่นิกกี้ไม่ใช่หรอ?”

“คุณรู้ได้อย่างไร?” เจสสิก้าถึงกับตกตะลึง เพราะน้อยคนมากที่จะรู้ความลับนี้ของเธอ

“เรื่องนี้ผมจะเล่าให้คุณฟังในภายหลังอย่างช้าๆ แต่ตอนนี้พวกเรามาทําธุรสําคัญกันก่อนดีกว่า ไม่ต้องกังวล … ผมจะไม่แสดงท่าทางที่โหดร้ายแบบนั้นอีกแล้ว” ซูเจินพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะเบาๆ

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ปล่อยฉันไป!”

“ไม่มีทาง … ผมจะไม่ปล่อยคนที่มีเสน่ห์แบบคุณไปอย่างแน่นอน!”

ซูเจินยิ้มขึ้นมาพร้อมกับค่อยๆเดินเข้าไปหาเธออย่างช้าๆ

หลังจากเวลาล่วงเลยผ่านไป ซูเจินก็ค่อยๆตื่นขึ้นมาพร้อมกับถามสารทุกข์สุกดิบกับเจสสิก้า

ปรากฏว่าเจสสิก้าหรือนิกกี้ยังไม่เคยผ่านพิธีแต่งงานกันมาก่อนเลยสักครั้งในชีวิต ซึ่งในตอนเด็กนิกกี้เกิดประสบอุบัติเหตุทําให้วิญญาณของเธอล่องรอยเข้าไปอยู่ในร่างของเจสสิก้า ทําให้พวกเธอกลายเป็นคนที่มีดวงวิญญาณ 2 ดวงภายในร่างเดียวกัน และนี่ก็คือเหตุการณ์ที่แตกต่างกับที่ซูเจินรู้มาเล็กน้อย

เพราะว่านี่คือร่างของเจสสิก้า เธอจึงสามารถควบคุมร่างของเธอเอาไว้ได้โดยธรรมชาติ แถมเธอยังกลายเป็นลูกน้องของลินดามันอีกด้วย และด้วยเหตุนี้เธอจึงถูกส่งตัวให้มาเฝ้าซูเจินเอาไว้ ซึ่งงานที่ดินดามันได้มอบให้กับเธอนั้นง่ายมาก นั่นก็คือการทําให้ซูเจินรู้สึกพอใจและคอยติดตามเขาเอาไว้ และจะเป็นการดีที่สุดถ้าเกิดว่าเธอสามารถทําให้ซูเจินสามารถเชื่อฟังเธอได้ ซึ่งเธอก็ไม่คิด เหมือนกันว่าภารกิจนี้มันจะเสร็จได้รวดเร็วแบบนี้ และมันก็ใช้เวลาไม่นานสําหรับการที่เธอจะไปถึงจุดนั้น

” สาวน้อยจอมพลัง : เจสสิก้า/นิกกี้ ค่าความสัมพันธ์เพิ่มขึ้น 80 % กําลังเปิดสนามประลอง

เมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากระบบ ซูเจินก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะเขาก็ไม่คิดเหมือนกันว่ามันจะเพิ่มสูงถึง 80% และถึงแม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกของเธอ แต่มันก็ไม่น่าจะสูงมากขนาดนี้หรอกจริงไหม ? ดูเหมือนว่าค่าความสัมพันธ์นี้มันจะไม่ใช่แค่ของเจสสิก้าเพียงคนเดียวแต่มันยังรวมนิกกี้เข้าไปด้วย

” คุณ … คุณต้องการเจอเธอไหม ?” เจสสิก้าหันไปถามกับซูเจินด้วยความลังเล

ซึ่งที่เธอหมายถึงก็คือนิกกี้

ซูเจินพยักหน้าขึ้นมาเบาๆ และพูดว่า ” แน่นอน ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าคุณและเธอแตกต่างกันอย่างไร ?”

“ฉันชื่อนิกกี้ ส่วนเธอก็คือเจสสิก้า นั่นแหละคือสิ่งที่แตกต่างระหว่างพวกเรา” เจสสิก้าพูดขี้นมาอย่างกะทันหัน พร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างกายของเธอเอาไว้

“เจสสิก้า ไม่สิ … คุณในตอนนี้น่าจะเป็นนิกกี้ คุณคือนิกกี้ใช่ไหม?”

เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงกับร่างกายของเจสสิก้า แต่ถึงอย่างนั้นสีหน้าและอารมณ์ของนิกกี้ก็แตกต่างจากเจสสิก้าอย่างสิ้นเชิง ทันใดนั้นนิกกี้ก็รู้สึกสนใจซูเจินขึ้นมา

และเมื่อซูเจินลองมองสํารวจไปที่เธอดีๆ เขาก็พบว่ามันมีความแตกต่างบางอย่าง

อย่างแรกเลยก็คือนิสัย เพราะว่านิสัยของเจสสิก้าค่อนข้างที่จะเป็นคนที่ดื้อรั้นและมีเสน่ห์ในแบบผู้หญิงร้ายๆ

แต่นิสัยของนิกกี้ที่ซูเจินสัมผัสได้ก็คือความอ่อนโยน และเห็นได้ชัดว่าพวกเธออยู่ภายในร่างเดียวกัน แต่นิสัยของพวกเธอมันต่างกันคนละขั้ว ทําให้ความรู้สึกที่ซูเจินสัมผัสได้ในตอนนี้มันช่างไม่เหมือนใครเลยจริงๆ !

“พวกเธอช่างเป็นฝาแฝดที่วิเศษมากจริงๆ งั้นในตอนนี้เจสสิก้าก็สามารถได้ยินเสียงและมอง เห็นผมด้วยใช่ไหม?” ซูเจินถามขึ้นมาอย่างสงสัย

นิกกี้พยักหน้าและพูดขึ้นมาว่า “ใช่ เธอสามารถรู้ได้ว่าฉันกําลังทําอะไรอยู่ และในทางกลับกันฉันก็รู้ได้เหมือนกันว่าเธอกําลังทําอะไรอยู่เช่นกัน ก็แค่ …. คนที่อยู่ข้างในไม่สามารถควบคุมร่างกายได้แค่นั้นเอง”

“งั้นก็หมายความว่าคุณรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าผมได้ทําอะไรกับเจสสิก้าไปเมื่อครู่นี้ ?”

คําถามของซูเจินทําให้นิกกี้ถึงกับนั่งก้มหน้าลงอย่างเงียบๆ พร้อมกับพึมพําขึ้นมาในลําคอเบาๆ

“น่าสนใจ!”

ซูเจินคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “มีวิธีที่ทําให้พวกคุณปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกันได้ไหม? อย่างเช่นสื่อสารกันผ่านทางกระจก ?”

“ไม่ได้!” นิกกี้พูดขึ้นมาอย่างผิดหวังเล็กน้อย

ลองคิดดูเธอเป็นคนนอก และนี่ก็ไม่ใช่ร่างกายของเธอ และถ้าเกิดว่าเธอมีโอกาสที่จะเป็นอิสระจากร่างกายนี้เธอก็อยากจะคว้ามันเอาไว้เหมือนกัน

“อย่าเศร้าไปเลย มันจะต้องมีหนทางแน่ในอนาคต” เมื่อเห็นว่านิกกี้เริ่มซึมเศร้า ซูเจินก็เลยพูดขึ้นมาเพื่อให้เธอสบายใจ

ในตอนแรกเขายังไม่ได้มีจุดมุ่งหมายอะไรมากนัก และไม่เคยคิดเกี่ยวกับเจสสิก้าหรือนิกกี้เลยแม้แต่น้อย และเขาถึงกับวางแผนที่จะกลืนกินความสามารถของเธออีกด้วย แต่ในตอนนี้ดูเห มือนว่าเขาจะเปลี่ยนใจแล้ว

เพราะการกลืนกินมันไม่ได้ให้อะไรมากไปกว่าการได้รับพลังงานที่ใช้สําหรับการอัพเกรดระบบซึ่งการกลืนกินอนุภาคอีเทอร์ก็ให้พลังงานนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่มีความจําเป็นที่จะต้องกลืนกินความสามารถของเธอเลยแม้แต่น้อย

ในทางกลับกันการเก็บรักษาความสามารถของเธอเอาไว้ย่อมเป็นการดีกว่า แถมการที่เขาจะเก็บเธอเอาไว้ข้างกาย ถึงแม้ว่าเธอจะไม่มีความสามารถ ซูเจินก็ไม่สามารถปล่อยเธอไปได้อยู่ดี

เมื่อมองไปยังนิกกี้ผู้อ่อนโยน ซูเจินก็พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มอันนุ่มนวลว่า “คุณอยากลองสัมผัสมันอีกรอบไหม ? ไม่ใช่ในสถานะของผู้มองดู แต่เป็นผู้กระทํา! และผมก็คิดว่า …. เจสสิก้าก็น่าจะไม่คัดค้านใช่ไหม? เจสสิก้า”

ทันใดนั้นการแสดงออกของนิกกี้ก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “ไม่มีปัญหา”

ซูเจินถึงกับตกตะลึงขึ้นมาอีกครั้ง กับสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเธอ

และแน่นนอนว่าเจสสิก้ากําลังพูดถึง …

ตอนที่ 134 เจสสิก้า

“ยกตัวอย่างเช่น ?” ซู่เจินมองไปที่ผู้หญิงผมบลอนด์ร่างสูงที่กําลังยืนอยู่ตรงหน้าของเขาด้วยความประหลาดใจ เธอเป็นคนที่ค่อนข้างสูงและไม่ผอมจนเกินไป โดยเฉพาะชุดชั้นในที่แถบจะมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายใน มันยิ่งทําให้บุคลิกของเธอกลายเป็นคนที่ดูน่าค้นหาอย่างบอกไม่ถูก

เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาที่ร้อนแรงของซู่เจิน ผู้หญิงผมบลอนด์เลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่จะพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันชื่อว่า เจสสิก้า และฉันก็คิดว่าฉันมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะทํางานนี้!”

” เจสสิก้า ?”

ซู่เจินมองไปที่เธอพร้อมกับพึมพําขึ้นมาเบา ๆ เพราะเมื่อกี้เขาคิดว่าเธอคือนิกกี้

เจสสิก้าคนนี้หรือนิกกี้ พวกเธอเป็นฝาแฝดกัน และหลังจากที่เจสสิก้าตายไปดวงวิญญาณของเธอก็ได้เข้าไปหลอมลวมกับนิกกี้ ทําให้คน ๆ เดียวมีบุคลิกอยู่สองด้าน ซึ่งนิกกี้เป็นคนที่ไร้ความสามารถพิเศษ ส่วนเจสสิก้านั้นมีความสามารถพิเศษที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก และในเนื้อเรื่องเดิมนั้นได้กล่าวเอาไว้ว่าความแข็งแกร่งของเธอมันเทียบเท่ากับฮัลค์ ซึ่งมันค่อนข้างจะเกินจริงไปเล็กน้อย แต่เมื่อเธอได้แสดงพลังออกมามันก็ทําให้ได้รู้ว่าเธอแข็งแกร่งมากแค่ไหน และในเนื้อเรื่องเดิม เจสสิก้ายังเป็นคนที่คอยให้ความช่วยเหลือกับลินดามัน!

แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เนื้อเรื่องมันจะดําเนินเร็วไปกว่าที่กําหนด ทําให้เนื้อเรื่องมันเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้งหนึ่ง

“เลขาของผมไม่ได้เป็นคนที่ง่าย ๆ อย่างที่คุณคิดหรอกนะ แต่ถึงอย่างนั้นผมจะให้โอกาสคุณในการแสดงความสามารถของคุณออกมาให้ผมดูสักหน่อยเป็นยังไง ?” เห็นได้ชัดว่านิกกี้หรือเจสสิก้าไม่ค่อยไว้ใจในตัวของลินดามันสักเท่าไหร่ ทําให้เธอมาหาเขา ? แต่ก็ไม่เป็นไร ในเมื่อมีสาวงามมาอยู่ข้างกายของเขามันก็ไม่ได้เสียหายอะไร

“เดี๋ยวฉันจะแสดงมันให้คุณดู!”

เจสสิก้าพูดขึ้นมาอย่างมั่นใจ

ในฐานะที่เป็นเมืองการพนันที่มีชื่อเสียงที่สุด ลาสเวกัสก็ยังคงมอบปาฏิหาริย์และความสิ้นหวังให้กับคนจํานวนมากอยู่ทุกวัน คนรวยบางคนกับกลายเป็นคนยากจนในชั่วข้ามคืน ส่วนคนจนบางคนก็กับกลายเป็นรวยอย่างกะทันหัน แถมที่นี่ยังเต็มไปด้วยสุรามึนเมา เงินทอง และ ความสนุกสนาน ซึ่งสามารถเรียกที่นี่ได้ว่าเป็นสรวงสวรรค์ และนรกในเวลาเดียวกัน

บริเวณรอบ ๆ เต็มไปด้วยเสียงของผู้คนดังไปทั่ว โดยแต่ละโต๊ะจะมีผู้คนนั่งอยู่ พวกเขาเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการเล่นพนัน

ซูเงินเดินไปเดินมาเพื่อสังเกตการณ์พนันแต่ละประเภทอย่างช้า ๆ เพราะถึงอย่างไรก็ตามเงิน ที่เขาเอามาเล่นก็เป็นของลินดามัน ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวว่าจะเสียมันไปมากเท่าไหร่ ซึ่งซูเจินก็ไม่ได้ เป็นคนที่เก่งในเรื่องของการพนันมากนัก ดังนั้นเขาจึงอาศัยเพียงแค่โชคเพียงอย่างเดียวเท่านั้น โด ยการชนะบ้างแพ้บ้างสลับกันไปมา

และแน่นอนว่าเจสสิก้าเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถมาก เธอไม่เพียงแต่แนะนํารายละเอียดต่าง ๆ ให้กับเขาเท่านั้น แต่เธอยังยอมรับในการกระทําบางอย่างของเขาอีกด้วย และเมื่อพูดถึงเรื่องนี้หลังจากที่เดินไปรอบ ๆ ซู่เจินก็พบว่าไม่มีใครที่สวยไปกว่าเจสสิก้าเลยสักคน!

“ใครจะเป็นคนเล่นดี ?” ซู่เจินหันไปถามกับเจสสิก้าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขา

เจสสิก้ารู้สึกลังเลเล็กน้อย

ลินดามันก็ไม่สามารถทําอะไรกับคุณได้หรอก”

” นี่คือชิปต่อรอง ถ้าเกิดว่าคุณแพ้หรือชนะ” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“นี่มัน เรื่องจริงอย่างงั้นหรอ ?” เจสสิก้าขยับตัวของเธอเล็กน้อย

“คุณไม่ต้องกังวล คุณอย่าลืมนะว่าตอนนี้คุณเป็นเลขาของผมแล้ว” ซูเงินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับดึงแขนของเจสสิก้าให้นั่งลงบนตักของเขา พร้อมกับใช้มืออีกข้างโอบเอวของเจสสิก้าเอาไว้ และหันไปพูดกับคนที่อยู่ข้างว่า ๆ “คุณควรสนใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของคุณจะดีกว่านะ”

แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้รู้ไม่พอใจกับคําพูดของซู่เจิน เพราะว่าที่คาสิโนแห่งนี้มีคนเร่ร่อนอยู มากมาย และไม่ต้องพูดถึงว่ามีหญิงเข้ามาการพนันที่นี่ด้วยเช่นกัน และบางทีพวกเธอก็สามารถทําเงินได้อย่างมหาศาลกับไป

ในขณะเดียวกันเจสสิก้าก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมือของซู่เจินที่อยู่ไม่นิ่ง แต่หลังจากนั้นไม่นานความสนใจของเธอก็มุ่งเป้าไปที่โต๊ะพนัน ซึ่งในตอนแรกซูเงินก็มองไปที่โต๊ะเช่นกัน แต่หลังจากเขาเห็นว่าเจสสิก้าสนใจมันมากกว่าเขา เขาก็ละสายตาจากมันและ หันไปมองยังเรือนร่างที่น่าดึงดูดของเจสสิก้าแทน โดยเฉพาะอย่างเมื่อเธอขยับร่างกายของเธอในขณะที่เธอกําลังนั่งอยู่บนตักของเขา มันก็ทําให้ซูเงินรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมาไม่ได้

และยิ่งเจสสิก้าขยับร่างกายของเธอมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทําให้ซู่เจินรู้สึกอึดอัดมากขึ้นเท่านั้น อันที่จริงแล้วเจสสิก้าไม่ได้ตั้งใจที่จะแกล้งซู่เจิน เพราะว่าเธอก็ไม่ได้ตั้งใจจะทํามันจริง ๆ และคิดว่าหรอว่าเธอจะไม่รู้สึกถึงปฏิกิริยาที่ซูเงินแสดงขึ้นมาอย่างชัดเจน ?

หลังจากนั้นไม่นานเธอก็เริ่มควบคุมสติไม่อยู่ ทําให้เธอแพ้หลายเกมติดต่อกัน

” ที่รัก ไปเล่นอย่างอื่นกันดีกว่าไหม ?” ซู่เจินยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ กับหูของเจสสิก้าและพูดขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับเป่าไปที่หูของเธอเล็กน้อย

ทําให้เจสสิก้าอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสั่นสะท้าน บวกกับความรู้สึกเสียวซ่าทําให้เธอรู้สึกหนักใจเล็กน้อย ”เอาสิ แล้วจะเล่นอะไรล่ะ ?”

“เกมที่เล่นกันได้เพียงแค่สองคนเท่านั้น – เกมที่เล่นได้เฉพาะผู้ชายและผู้หญิง!”

ซู่เจินพูดขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับดึงเจสสิก้าให้ลุกขึ้นมา และในขณะที่เจสสิก้ากําลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เธอก็ถูกซ่เงินลากตัวออกไปจากคาสิโนอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันอีเดนที่กําลังเดินลงมาด้านล่างก็สังเกตเห็นซูเงินกําลังอุ้มผู้หญิงคนหนึ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ทําให้เธอขดริมฝีปากขึ้นมาพร้อมกับหันหลังเดินกลับไปที่ห้องทันที

“คุณกําลังพาฉันไปไหน ?”

หลังจากที่ออกมาด้านนอก เจสสิก้าก็หันไปถามกับซู่เจินด้วยความสงสัย

ซู่เจินหัวเราะขึ้นมาและพูดว่า “แน่นอน ผมจะพาคุณไปที่ที่ไม่มีใครรบกวน”

หลังจากพูดจบซู่เจินก็กอดเจสสิก้าเอาไว้แน่น หลังจากนั้นก็เกิดเสียงดัง วิส! พร้อมกับร่างของซู่เจินและเธอที่บินออกไปอย่างรวดเร็ว

ในขณะเดียวกันเจสสิก้าก็สะดุ้งขึ้นมาด้วยตกใจและรีบกอดไปที่คอของซู่เจินอย่างรวดเร็ว และหลังจากนั้นไม่นานเธอก็ค่อย ๆ เริ่มผ่อนคลาย และหัวเราะออกมาด้วยความตื่นเต้น

” พระเจ้า! ฉันกําลังบิน …” เจสสิก้าพึมพําขึ้นมา

“สวยจัง ฉันไม่คิดเลยว่าท้องฟ้ามันจะสวยมากขนาดนี้

ซู่เจินค่อย ๆ โอบกอดไปที่เธออย่างช้า ๆ และปล่อยให้เธอได้สัมผัสถึงความรู้สึกของการบินอยู่บนท้องฟ้า และหลังจากนั้นไม่นานซูเงินก็ค่อย ๆ ร่อนตัวลงที่อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง พร้อมกับลอยไปที่หน้าต่างของห้องบนชั้นที่สิบสาม ทันใดนั้นมันก็มีเสียงดัง คลึก! ดังขึ้นมาพร้อมกับหน้าต่างที่เปิดออก ทําให้ซู่เจินลอยเข้าไปข้างในห้องอย่างช้า ๆ และหลังจากที่เข้ามาเรียบร้อยแล้ว เขาก็ปิดหน้าต่างลงอีกครั้งหนึ่ง

“คุณ … คุณรู้ได้ยังไง … ว่าที่นี่คือบ้านของฉัน ?” หลังจากเข้ามาภายในห้อง เจสสิก้าก็ถึงกับอ้าปากค้างพร้อมกับมองไปที่ซู่เจินด้วยความประหลาดใจ

“ถ้าถามว่าผมรู้ได้ยังไงว่าที่นี่คือบ้านของคุณอย่างงั้นหรอ ? ผมก็ขอตอบว่า … ผมรู้ว่าในตอนนี้คุณกําลังคิดอะไรอยู่!” ซู่เจินยื่นนิ้วออกมาและชี้ไปที่หัวใจของเธอ อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นไม่นานนิ้วของซู่เจินก็กลายเป็นฝ่ามือพร้อมกับโอบกอดไปที่เจสสิก้าอย่างรวดเร็วและค่อย ๆ ดึงตัวของเธอเข้ามาจูบอย่างดูดดื่ม

หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็ค่อย ๆ เดินเซไปยังห้องนอน

ซู่เจินเริ่มฉีกเสื้อผ้าของเจสสิก้าออกเป็นชิ้น ๆ อย่างรวดเร็ว โดยที่เจสสิก้าพยายามที่จะขัดขืนเล็กน้อย พร้อมกับเผลอผลักซูเงินออกไป

ทําให้ซู่เจินถอยหลังออกไปสองสามก้าว ด้วยความแปลกใจ

“ขอโทษ ฉัน ไม่ได้ตั้งใจ” เจสสิก้ารีบพูดขอโทษขึ้นมาทันที แต่ทางด้านของซู่เจินกับยิ้มขึ้นมาและพูดว่า “ความแข็งแกร่งของคุณมันยอดเยี่ยมมาก ซึ่ง … มันค่อนข้างน่าสนใจมากเลยทีเดียว”

ตอนที่ 133 นอนด้วยกัน

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของกันดิส ซู่เจินก็ยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจพร้อมกับถอนมือออกมาจากหัวของเธอ และเดินไปที่รถที่จอดเตรียมเอาไว้

หลังจากขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว ซู่เจินและอีเดนนั่งอยู่ที่เบาะด้านหลัง ส่วนชาวเฮติและกันสนั่นนั่งอยู่ด้านหน้า

ซึ่งกันดิสก็ต้องการที่จะหันไปบอกกับซู่เจินว่าเธอจะต้องพาเขาไปที่สนามบินส่วนตัวและขึ้นเฮลิคอปเตอร์เพื่อมุ่งหน้าไปยังลาสเวกัส แต่เมื่อเธอนึกถึงคําเตือนของซูเงินในตอนนั้น เธอก็รู้สึกกลัวที่จะพูดออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอเห็นว่าซู่เจินเดินไปพร้อม ๆ กับอีเดนและในขณะที่พวกเขากําลังจะเดินขึ้นรถเธอก็สังเกตเห็นว่าซูเงินกัดไปที่หูของอีเดนเบา ๆ พร้อมกับพูดขึ้นมาอย่างสนิทสนม ทําให้เธอไม่กล้าที่จะรบกวนพวกเขา

กันดิสและชาวเฮตินั่งกันอยู่อย่างเงียบ ๆ ภายในรถ โดยมีเพียงเสียงของซูเงินและอีเดนเท่านั้นที่ตั้งอยู่ภายในรถ และเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าซู่เจินพูดอะไร มันถึงได้ทําให้อีเดนหัวเราะคิกคักอยู่ตลอดเวลา

ครึ่งชั่วโมงต่อมา พวกเขาก็เดินทางมาถึงสนามบินส่วนตัว ซึ่งที่นั่นได้มีเฮลิคอปเตอร์เตรียมพร้อมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นพวกเขาก็ลงจากรถและขึ้นไปยังเฮลิคอปเตอร์ และหลังจากที่พวกเขาเดินทางมาได้ประมาณสองชั่วโมง พวกเขาก็มาถึงตึกแห่งหนึ่งในลาสเวกัสที่มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์อยู่ด้านบน

” ผมบอกไปแล้วไงว่าเจ้านายของเธอรวยมาก”

ซู่เจินเดินลงมาจากเฮลิคอปเตอร์พร้อมกับอีเดน หลังจากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับโอบไปที่เอวของเธอ

เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปด้านในซู่เจินก็พบว่าข้าวของด้านในตกแต่งได้หรูหราเป็นอย่างมาก และ เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในห้องแห่งหนึ่ง พวกเขาก็พบว่ามีคน ๆ หนึ่งกําลังนั่งรอพวกเขาอยู่ภายในห้อง

ชายชราคนหนึ่งที่มีผมสีขาวและเคราสีขาวประดับอยู่บนใบหน้าของเขา

เขาสวมสูทที่ดูกระชับให้ความรู้สึกที่ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย พร้อมกับใบหน้าที่ใจดีของเขา และหลังจากที่เขาเห็นว่าซู่เจินเดินเข้ามาภายในห้อง เขาก็รีบเดินเข้าไปหาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นอย่างอบอุ่นว่า “ยินดีต้อนรับสู่ลาสเวกัส”

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันคุณลินดามัน” ซู่เจินยิ้มตอบพร้อมกับจับมือของลินดามันเบา ๆ หลังจากนั้นซู่เจินก็เริ่มแนะนําคนที่อยู่ด้านหลังของเขา “นี่คือเลขาของผมชื่อว่า อีเดน ส่วนอีกคนหนึ่ง ผมคิดว่ามันไม่มีความจําเป็นที่จะต้องแนะนําให้กับคุณรู้จักหรอกจริงไหม ?”

ลินดามันมองไปที่ชาวเฮติ และค่อย ๆ พยักหน้าให้กับซู่เจินเบา ๆ

เพราะว่าลินดามันรู้จักเกี่ยวกับตัวตนชาวเฮติเป็นอย่างดี ดังนั้นซู่เจินจึงไม่มีความจําเป็นที่จะต้องแนะนําตัว

ลินดามันเดินไปที่บาร์ที่อยู่ข้าง ๆ พร้อมกับเชิญให้ซู่เจินและอีเดนนั่งลง หลังจากนั้นลินดามันก็รินไวน์ใส่แก้วและส่งมันให้กับซู่เจินกับอีเดน พร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “มีคํากล่าวเอาไว้ว่า คนจีนไม่ชอบการพูดลับหลัง ดังนั้นฉันจึงได้เชิญคุณมาที่นี่ โดยฉันหวังว่าฉันจะได้รู้จักคุณ และฉันก็หวังว่าจะได้ร่วมมือกับคุณ”

“ผมอยากฟังรายละเอียดเพิ่มเติม” ซู่เจินพูดขึ้นมาเบา ๆ ในขณะที่เขาจิบไวน์ไปด้วย

“ถึงฉันจะไม่รู้ว่าคุณหาข้อมูลมาจากช่องทางไหน แต่ฉันก็เกรงว่าคุณน่าจะรู้อะไรบางอย่างอยู่แล้ว และถ้าเกิดว่าคุณเข้าร่วมกับฉัน ฉันคิดว่าพวกเราน่าจะสามารถสร้างอนาคตที่ดีกว่านี้ขึ้นมาได้!”

ซู่เจินไม่ได้ตอบอะไรออกมา และด้วยท่าทางที่ชัดเจนของซู่เจินแบบนี้ลินดามันก็รู้ได้ในทันทีเลยว่าสิ่งนี้มันไม่เพียงพอที่จะทําให้ซู่เจินรู้สึกสนใจขึ้นมา ซึ่งลินดามันก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเกี่ยวกับท่าทางของเขา เพราะเขารู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะทําให้คน ๆ หนึ่งรู้สนใจขึ้นมาด้วยคําพูดเพียงไม่กี่คํา หรือจะพูดได้ว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

“ในโลกใบนี้มีผู้คนที่มีความสามารถพิเศษอยู่มากมาย และก็พอจะเดาได้ว่าคนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นบุคคลที่อันตรายที่สามารถทําความเสียหายต่อสังคมและมนุษยชาติได้มากน้อยเพียงใด และ ถ้าเกิดว่าพวกเขาสูญเสียความสามารถไป พวกเขาก็จะไม่สามารถทําร้ายผู้อื่นได้อีกต่อไป และ คุณก็มีความสามารถในการจะทําสิ่งนั้นได้ ดังนั้นได้โปรดช่วยเหลือทุกคนและสร้างอนาคตให้มันดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ด้วยเถอะ!” ลินดามันมองไปที่ซู่เจินอย่างจริงจังและพูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น ” และด้วยทรัพยากรต่าง ๆ ที่ฉันมีมันจะช่วยอํานวยความสะดวกในเรื่องต่าง ๆ ให้กับคุณอย่างมหาศาล และช่วยพัฒนาสังคมให้มันขยับเขยื้อนไปข้างหน้าได้!”

” คุณคิดว่าไง ?” ซู่เจินหันไปถามกับอีเดน

อีเดนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “คุณควรที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องที่สําคัญแบบนี้ด้วยตัวของคุณเอง เพราะว่าฉันเป็นแค่เลขาของคุณเท่านั้น”

” ผมรู้สึกชอบเลขาแบบคุณจัง!” ซู่เจินยิ้มขึ้นมาพร้อมกับบีบไปที่เอวของอีเดนเบา ๆ และหันไปพูดกับลินดามันว่า ดังนั้นแล้วจุดประสงค์ของความร่วมมือกับคุณก็คือการที่ให้ผมกลืนกินความสามารถของคนอื่น ? แต่ผมไม่คิดว่ามันจะง่ายดายนั้นหรอกจริงไหม ?”

“คุณฉลาดมาก เพราะว่าฉันยังต้องการความช่วยเหลือจากคุณ” ลินดามันพูดขึ้นมาด้ วยรอยยิ้ม

“เอาจริง ๆ เลยนะจุดประสงค์จริง ๆ ของผมก็คือการกลืนกินความสามารถ ส่วนเรื่องอื่น ๆ มันขึ้นอยู่กับอารมณ์ของผม!” ซู่เจินเขย่าแก้วไวน์พร้อมกับจิบมันเบา ๆ และค่อย ๆ จ้องมองไปที่ลินดามัน

ลินดามันรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ยิ้มขึ้นมาและพูดว่า “แน่นอน ฉันจะไม่บังคับให้คุณทําอะไรที่ไม่อยากทํา เพราะฉันเชื่อว่าคุณจะช่วยเหลือฉันอย่างแน่นอนเมื่อเวลานั้นมาถึง”

ซู่เจินยิ้มและพูดขึ้นมาในทันทีเลยว่า มันเป็นเรื่องยากมากที่จะได้เที่ยวในลาสเวกัส ดังนั้นผมจึงอยากรบกวนให้คุณลินดามันช่วยจัดการเรื่องนี้ให้กับผมหน่อย”

“เดี๋ยวฉันจะให้คนของฉันจัดการให้ ดังนั้นคุณสามารถเพลินเพลินไปกับการท่องเที่ยวได้อย่างมีความสุข ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ฉันจะเป็นคนจัดการให้เอง”

” ขอบคุณ!”

ลินดามันขยิบตาให้กันดิสเล็กน้อย ทําให้กันดิสเดินนําทางพวกเขาไปยังที่พัก

“อ้อ! อีกอย่างหนึ่ง ผมคิดว่ามันจะดีกว่าถ้าเกิดว่าให้เขาอยู่ข้าง ๆ ผม ดังนั้นคุณลินดามัน ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม ?” ในขณะที่ซู่เจินกําลังจะเดินออกจากห้องไป เขาก็ชี้ไปทางชาวเฮติพร้อมกับหันไปถามทางลินดามัน

ลินดามันยิ้มขึ้นมาและพูดขึ้นมาโดยไม่คิดอะไรมาก ” แน่นอน”

” ทําไมถึงมีแค่ห้องเดียวล่ะ ?”

ซู่เจินและอีเดนเดินเข้ามาภายในห้องที่กันดิสได้จัดเตรียมเอาไว้ให้ ซึ่งหลังจากที่อีเดนเดินเข้ามาภายในห้องเธอก็พบว่ามันมีห้องนอนเพียงห้องเดียว ที่มาพร้อมกับเตียงกลมสีแดงขนาดใหญ่

ซู่เจินยักไหล่เล็กน้อยและพูดขึ้นมาว่า ” แน่นอนว่าเจ้านายและเลขาจะต้องนอนอยู่ ภายในห้องเดียวกัน”

“สิ่งที่ลินดามันพูดขึ้นมามันไม่ใช่สิ่งที่ธรรมดา ๆ เลยนะ คุณจะร่วมมือกับเขาจริง ๆ อย่างงั้นหรอ ?” อีเดนถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง

“คุณอย่าไปคิดอะไรมากสิ” ซู่เจินยิ้มขึ้นมาและตบไปที่ตูดน้อย ๆ ของอีเดนเบา ๆ และพูดขึ้นมาอย่างสบาย ๆ ว่า “เนื่องจากการที่เขาเต็มใจที่จะมอบความสามารถพิเศษมาให้ผมกลืนกินได้อย่างง่ายดายแบบนี้ ผมก็คิดว่ามันไม่ได้เสียหายอะไร แถมผมยังสามารถพักผ่อนได้อย่างสบายใจ โดยไม่ต้องไปตามหาคนที่มีความสามารถพิเศษให้เหนื่อย คุณไม่คิดว่ามันสะดวกสบายดีอย่างงั้นหรอ ?”

“ส่วนเรื่องจุดประสงค์ของเขา มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมอยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงไม่ได้คิดที่จะสนใจเกี่ยวกับจุดประสงค์ของเขาเลยแม้แต่น้อย”

“เขากําลังโกหกคุณอยู่หรือเปล่า ? ฉันกลัวว่ามันจะเกิดเรื่องยุ่งยากในภายหลัง” อีเดนขมวดคิ้วขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

“คุณควรกังวลเกี่ยวกับปัญหาของคุณในตอนนี้ก่อนจะดีกว่านะ เพราะอีกไม่นานคุณจะต้องนอนบนเตียงเดียวกับผม!” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

” คุณออกไปรอข้างนอกเลย!” หลังจากอีเดนพูดจบเธอก็ผลักซู่เจินออกจากห้องไปและพูดขึ้นมาต่อว่า “ฉันจะอาบน้ําเปลี่ยนเสื้อผ้า คุณไปหาอะไรทําอยู่ด้านนอกก่อน”

“เอาล่ะ! งั้นผมจะไปที่คาสิโนที่อยู่ด้านล่างเพื่อเล่นข้ามเวลา และเมื่อคุณอาบน้ําแต่งตัวอะไรเสร็จแล้ว คุณก็ลงไปหาผมที่ด้านล่าง” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มในขณะที่เขากําลังถูกอีเดนผลักออกไปจากห้อง

“ปัง!” เมื่อเห็นประตูตรงหน้าปิดลง ซู่เจินก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ หลังจากนั้นเขาก็หันหลังกลับเพื่อมุ่งหน้าไปยังคาสิโนที่อยู่ด้านล่าง

และเมื่อเขาหันหลังกลับมาเขาก็พบว่ามีผู้หญิงร่างสูงคนหนึ่งกําลังยืนอยู่ เธอสวมใส่ชุดที่เปิดไหล่ทําให้ให้ซู่เจินสามารถมองเห็นชุดชั้นในสีขาวที่มีลวดลายกลวง ๆ ที่อยู่ข้างในได้อย่างชัดเจนจากร่องอกของเธอ ผู้หญิงคนนั้นมองไปที่ซู่เจินด้วยรอยยิ้มและพูดขึ้นมาว่า ” ดูเหมือนว่าเลขาของ คุณจะไม่ค่อยฟังคําสั่งของคุณสักเท่าไหร่ แล้วทําไมคุณถึงไม่ลอง … เปลี่ยนเลขาเป็นคนอื่นชั่วคราวล่ะ ดีไหม ?”

ตอนที่ 132 ความสามารถในการสร้างภาพลวงตา

“วันนี้คุณมีนัดอะไรไหม ?”

ถึงแม้ว่าตอนนี้อีเดนจะเป็นเลขาของซู่เจิน แต่เธอก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับซู่เจินเลยแม้แต่น้อย และเธอก็ไม่รู้ด้วยว่าเลขาเขาทําหน้าที่อะไรกันบ้าง

“ไปกินข้าวกันก่อน หลังจากนั้นก็ดูอารมณ์ของผม”

ในตอนนี้ซู่เจินไม่มีอะไรให้ทํามากนักนอกจากรอให้ร่างกายมันฟื้นตัว ซึ่งมันก็เหมือนกับการพักผ่อนดี ๆ นี่เอง เพราะไม่ว่าจะเป็นในโลกมาเวลหรือดันเจี้ยน เขาก็ไม่ค่อยจะมีเวลาผ่อนคลายแบบนี้สักเท่าไหร่

อีเดนยักไหล่ขึ้นมาอย่างเฉยเมย และเรียกชาวเฮติให้เตรียมรถให้พร้อมสําหรับการออกไปกินอาหาร ซึ่งในเรื่องของร้านอาหารอีเดนก็รู้จักอยู่มากมาย และเมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงร้านอาหารที่อีเดนแนะนํา พวกเขาก็พบว่าที่นี่มันดูดีมากเลยทีเดียว ในขณะเดียวกันชาวเฮติก็เดินแยกออกไปนั่งอีกโต๊ะหนึ่งอย่างรุ้งาน เพื่อปล่อยให้ซู่เจินและอีเดนนั่งทานอาหารด้วยกัน

หลังจากที่อีเดนสั่งอาหารให้ซู่เจินเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็วางแผนที่จะใช้โอกาสนี้เพื่อสอบถามเกี่ยวกับความเป็นมาของซูเงิน ซึ่งอย่างน้อยเธอก็อยากรู้ว่าคนที่เป็นเจ้านายของเธอเขาเป็นใครกันแน่ และกําลังทําอะไรอยู่

แต่ในเวลาเดียวกันจู่ ๆ ก็มีคนสองสามคนเดินเข้ามาในร้าน โดยมีผู้หญิงผมบลอนด์แสนสวยเดินนําเข้ามา พร้อมกับบอดี้การ์ดอีกหลายคนที่เดินตามมาด้านหลังของเธอ และเมื่ออีเดนเหลือบมองไปที่เธอ เธอก็รู้ได้ในทันทีเลยว่าผู้หญิงคนนี้มีพื้นหลังไม่ธรรมดา และไม่ง่ายที่จะยั่วยุเธอ หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นเดินเข้ามาแล้วเธอก็มองไปรอบ ๆ และสังเกตเห็นซู่เจินและอีเดนอย่างรวดเร็ว รวมถึงชาวเฮติที่นั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ ของพวกเขาด้วย

เธอเหลือบมองไปที่ชาวเฮติด้วยความกังวลใจ และไม่กล้าที่จะเดินไปตรงนั้น

ทันใดนั้นซู่เจินก็กวักมือเรียกไปที่ผู้หญิงคนนั้น พร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยน้ําเสียงที่ราวกับว่าพวกเขาเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันมาก่อนด้วยรอยยิ้มว่า “คุณมาที่นี่เพื่อมาหาผมไม่ใช่หรอ ? ทําไมคุณไม่เดินมาหาผมล่ะ ?”

“คุณรู้จักผู้หญิงสวย ๆ มากมายจริง ๆ!” อีเดนพูดขึ้นมาด้วยความอารมณ์เสีย

ซู่เจินเมื่อเห็นเช่นนั้นก็พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า ” ถ้าเป็นคนอื่นก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าเป็นคนนี้ … คุณลืมมันไปเถอะ เพราะถ้าเกิดว่าคุณเห็นหน้าตาที่แท้จริงของเธอ คุณจะไม่พูดขึ้นมาแบบนี้อย่างแน่นอน”

” หน้าตาที่แท้จริงของเธออย่างงั้นหรอ ?” อีเดนพูดขึ้นมาด้วยความสงสัยพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย

เมื่อเห็นว่าซู่เจินเริ่มทักทายเธอขึ้นมาก่อน กันดิสก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย และลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเดินเข้าไปหาซูเงินอย่างช้า ๆ และเธอก็รู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติเกิด

“คุณไม่ต้องระวังตัวขนาดนั้นหรอก เพราะผมไม่ปล่อยให้เขาปิดกั้นความสามารถของคุณอย่างแน่นอน” เมื่อเห็นว่ากันดิสดูหวาดระแวง ซู่เจินก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้

ใบหน้าของกันดิสกันยังไม่เปลี่ยนแปลงเช่นเดิม เธอหันไปมองที่ซู่เจินและพูดขึ้นมาว่า “ดูเหมือนว่าฉันจะไม่จําเป็นที่จะต้องแนะนําตัวกับคุณสินะ เจ้านายของฉันต้องการพบคุณ”

“ได้สิ ผมก็อยากเจอเขาเหมือนกัน” ซู่เจินพูดขึ้นมาอย่างสบาย ๆ

กันดิสเลิกคิ้วขึ้นมาด้วยความแปลกใจเล็กน้อย เพราะเธอก็ไม่คิดเหมือนกันว่าซู่เจินจะตอบตกลงง่าย ๆ แบบนี้ เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะรู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่เจ้าของนายของเธอต้องการพูดกับเขามันคืออะไร ? หรือว่าเขามั่นใจในตัวของตัวเองว่าไม่มีใครสามารถทําอะไรเขาได้ ? หรือว่าเป็นเพราะว่าเขาไม่รู้ว่าบอสของเธอเป็นคนแบบไหน ? เมื่อเห็นท่าที่สบาย ๆ และไม่แยแสของซู่เจิน กันดิสก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งและพูดขึ้นมาว่า “ไปกันตอนนี้เลยได้ไหม ?”

“ตอนนี้ ? คุณไม่เห็นหรอว่าผมกําลังกินอาหารอยู่ เดี๋ยวเราค่อยคุยกันตอนผมกินเสร็จเรียบร้อยแล้ว” ซู่เจินส่ายหัวขึ้นมาและหันไปพูดกับอีเดนว่า “ช่วงนี้ผมไม่มีอะไรทํามาสักพักแล้ว ดังนั้นคุณไม่ต้องกังวล ผมจัดการได้”

อีเดนไม่ได้พูดตอบอะไรออกมา และเธอก็เห็นว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้กังวล เพราะเธอรู้ถึงความแข็งแกร่งของซู่เจินเป็นอย่างดี บวกกับการที่ซู่เจินยังมีท่าทางที่สงบแบบนี้ ซึ่งเธอก็แค่รู้สึกสงสัยเล็กน้อยเท่านั้น

” ทําไมคุณถึงยังยืนอยู่ที่นี่อีก 2 ผมจะกินข้าวลงได้ไงเมื่อมีคนกําลังยืนมองอยู่ รีบออกไปไกล ๆ เลย” ซู่เจินเงยหน้าขึ้นมาด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นว่ากันดิสยังคงยืนอยู่ข้าง ๆ เขา

กันดิสขมวดคิ้วและต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง และเมื่อซู่เจินเห็นท่าทางเช่นนั้นเขาก็พูดขี้นมาต่อว่า “อย่าได้สร้างปัญหาให้กับผม ไม่งั้นผมจะให้ชาวเฮติจัดการกับคุณ”

เมื่อได้ยินสิ่งที่ซู่เจินพูด กัสดิสก็แทบที่จะเป็นลมในทันที เธอเหลือบมองไปที่ซ่เงินอย่างขมขื่น และค่อย ๆ หันหลังเดินออกจากไป

” เธอกลัวอะไร ?” อีเดนถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

” ชาวเฮติมีความสามารถอยู่สองอย่าง อย่างแรกเลยก็คือการลบความทรงจํา และอีกอย่างหนึ่งก็คือการปิดกั้นความสามารถพิเศษของคนอื่น ๆ ได้” ซู่เจินอธิบายขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

อีเดนเหลือบมองไปที่ชาวเฮติที่อยู่ข้าง ๆ ด้วยความแปลกใจ เพราะเธอไม่นึกเลยว่าคนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นบอดี้การ์ดจะมีความสามารถมากมายขนาดนี้ “ถึงแม้ว่าความสามารถจะถูกปิดกั้น แต่กันดิสก็ไม่น่าจะกลัวสิ่งนี้ไม่ใช่หรอ ? แล้วเรื่องที่คุณพูดมันหมายความว่าอย่างไรกับการที่คุณบอกว่านั่นไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริงของเธอ ?”

“คุณอยากรู้อย่างงั้นหรอ ? จูบผมสิแล้วผมจะบอกคุณ” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

อีเดนมองไปที่ซู่เจินด้วยความโกรธ และเธอก็รู้ได้ในทันทีเลยว่าซู่เจินกําลังจะใช้ประโยชน์จากความอยากรู้อยากเห็นของเธอ! ทําให้เธอลึกขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับเอนตัวเข้าไปจูบ … “เอาล่ะ บอกฉันมาสิ”

” เพราะว่าเธอมีความสามารถในการสร้างภาพลวงตาได้ เมื่อความสามารถของเธอถูกปิดกั้นภาพลวงตาของเธอมันก็จะหายไป จากนั้นทุกคนจะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใบหน้าที่แท้จริงของเธอมันแตกต่างกับสิ่งที่คุณเห็นในตอนนี้มากเลยล่ะ และนี่ก็เป็นสิ่งที่ทําให้เธอรู้สึกกลัว” ซู่เจินพยักหน้าขึ้นมาด้วยความพึงพอใจพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“สร้างภาพลวงตา ? มันเป็นความสามารถที่สุดยอดมาก แล้วจริง ๆ แล้วเธอมีหน้าตาเป็นอย่างไร ?” อีเดนถามขึ้นมาด้วยความสงสัยอีกครั้ง

“ไว้มีโอกาสผมจะบอกคุณในภายหลัง” ซู่เจินพูดขึ้นมา

” แล้วเจ้านายของเธอเป็นใครอย่างงั้นหรอ ? คราวนี้ ฉันจะไม่ยอมจูบคุณอีกครั้งแน่ ๆ” อีเดนถามขึ้นมา

ซู่เจินมองไปที่อีเดนและพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “ดูเหมือนว่าคุณจะอยากรู้อยากเห็ นมากเป็นพิเศษ ผมขอเดาว่าคุณต้องการรู้เรื่องเกี่ยวกับตัวผมใช่ไหม ?”

“ถ้าเกิดว่าคุณไม่เต็มใจก็ไม่เป็นไร” อีเดนไม่ได้พูดปฏิเสธ

“เจ้านายของเธอก็คือ ลินดามัน ชายชราคนหนึ่งหนึ่งที่มีอํานาจมากมาย และเขาก็เป็นคนที่รวยมาก ซึ่งตัวตนที่แท้จริงของเขาก็คือสมาชิกขององค์กรลึกลับ และเป็นบุคคลที่มีอํานาจมากที่สุดภายในองค์กร โดยที่องค์ลึกลับแห่งนี้มีเป้าหมายไปที่พวกคนที่มีความสามารถพิเศษโดยเฉพาะ และชาวเฮติก็เคยทํางานให้กับองค์กรนี้มาก่อน แต่เขาก็ถูกผมสะกดจิตเอาไว้ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่ามันมีอะไรบางอย่างผิดปกติ ทําให้พวกเขาจึงส่งคนมาผมอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้”

“คุณมีความสามารถในการสะกดจิตอย่างงั้นหรอ ? ถ้าอย่างนั้น แล้วคุณสะกดจิตฉันไม่ได้อย่างงั้นหรอ ?” อีเดนถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

ซู่เจินยักไหล่ “คุณคิดว่ามันเป็นสิ่งที่จําเป็นอย่างงั้นหรอ ?”

หนึ่งชั่วโมงต่อมา ซู่เจิน อีเดน และชาวเฮติ ก็เดินออกมาจากร้านอาหาร โดยที่มีกันดิสที่กําลังยืนรออยู่ด้านนอกรีบเดินเข้ามาหาซู่เจินอย่างรวดเร็ว พร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจว่า ” ทําไมพวกคุณออกมาช้ากันจัง!”

“แล้วไง ?”

ซู่เจินมองไปที่เธอด้วยรอยยิ้มอันสดใส และค่อย ๆ วางมือของเขาลงบนหัวของกันดิสพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยน้ําเสียงอันอ่อนโยนว่า “หลังจากนี้ ถ้าเกิดว่าคุณพูดอะไรขึ้นมาอีก ผมจะทําให้คุณกลายเป็นคนที่ไร้ความสามารถ เชื่อผมสิตอนนี้เลขาของผมกําลังอยากรู้ใบหน้าที่แท้จริงของคุณอยู่พอดี!”

กันดิสรีบปิดปากของเธอโดยไม่รู้ตัว เพราะเธอกลัวว่ามันจะมีเสียงเล็ดลอดออกมา

ตอนที่ 131 ลองความสามารถใหม่

“คุณอย่าพูดแบบนั้นสิ คุณรู้ไหมชุดนี้มันราคาตั้ง 30,000 ดอลลาร์ แถมมันยังเป็นชุดที่คล้ายๆกับสไตล์วิคตอเรียน ที่ได้ผ่านการพัฒนาและปรับปรุงมันขึ้นมาใหม่ และถ้าเกิดว่าคนที่ออกแบบชุดนี้ขึ้นมาได้ยินคุณพูดขึ้นมาแบบนี้ เขาจะไม่โกรธคุณแย่เลยอย่างงั้นหรอ?”

ซู่เจินมองไปที่อีเดนพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยความข่มขึ้นเล็กน้อย

อีเดนขดริมฝีปากของเธอและเสแสร้งแกล้งทําเป็นไม่สนใจเกี่ยวกับคําพูดของซู่เจิน แต่ถึงอย่างนั้นเสื้อผ้าพวกนี้มันก็สวยงามมากจริงๆ ถึงแม้ว่าราคามันจะแพงไปหน่อย แต่เวลาเธอสวมใส่มันมันก็ให้ความรู้สึกที่สบายเป็นอย่างมาก ซึ่งสิ่งเดียวที่เธอไม่ค่อยชอบเลยก็คือมันโปร่งใสมากเกินไป และถ้าเกิดว่ามันเป็นชุดที่รัดรูป เธอก็คงจะไม่ยอมใส่มันอย่างแน่นอน

ดังนั้นถึงแม้ว่าอีเดนจะสวมใส่ชุดนี้ แต่เธอก็ไม่ได้ถอดชุดชั้นในที่อยู่ด้านในออก ทําให้ซู่เจินในตอนนี้รู้สึกผิดหวังขึ้นมาเล็กน้อย

ซู่เจินแกล้งทําเป็นผิดหวังอยู่นาน และพยายามที่จะเกลี้ยกล่อมให้อีเดนสวมใส่ชุดนี้โดยไม่มีชุดชั้นใน เพราะไม่งั้นมันจะไม่สามารถดึงเสน่ห์ที่แท้จริงของชุดนี้ออกมาได้ แต่ถึงอย่างนั้นอีเดนก็ปฏิเสธเสียงแข็ง ทําให้ซู่เจินได้แต่ยอมแพ้ด้วยความสิ้นหวัง

“คุณจะนอนในห้องของผมหรือห้องรับแขก ?”

ซู่เจินหันไปถามกับอีเดน

อีเดนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดขึ้นมาว่า “ฉันขอนอนห้องรับแขกก็แล้วกัน”

“โอเค งั้นผมขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะ” ซู่เจินพูดขึ้นมาเบาๆ

อีเดนขดริมฝีปากของเธอและค่อยๆถามขึ้นมาเบาๆว่า “คุณไม่โกรธฉันแล้วอย่างงั้นหรอ

“ผมจะโกรธคุณเรื่องอะไร?”

“เพราะว่าฉันไม่ยอมให้คุณเห็นในสิ่งที่คุณต้องการ คุณก็เลยบอกให้ฉันไปนอน”

ซู่เจินส่ายหัวด้วยความมึนงงและพูดว่า “ผมไม่ได้เป็นคนที่เห็นแก่ตัวขนาดนั้นสักหน่อย และถ้าเกิดว่าคุณปล่อยให้ผมเห็นในสิ่งที่ผมต้องการเห็นจริงๆ ผมก็ไม่มีอารมณ์ทําอะไรกับคุณหรอก เพราะว่าตอนนี้ผมรู้สึกง่วงเป็นอย่างมาก”

เมื่อเห็นว่าซู่เจินไม่ได้โกรธเธอจริงๆ อีเดนก็เดินไปที่ประตูอย่างช้าๆด้วยความโล่งอก หลังจากนั้นเธอก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหันกลับมากล่าวขอบคุณกับซู่เจิน และเธอก็หันหลังกลับพร้อมกับเดินออกจากห้องนอนไป

หลังจากหยอกล้อกับอีเดนอยู่สักพักหนึ่ง ซู่เจินก็รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย หลังจากที่เขาลงนอนบนเตียงได้ไม่นาน เขาก็รู้สึกง่วงและผล็อยหลับไป

เขาหลับไปนานแค่ไหนไม่รู้เหมือนกัน ซู่เจินค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ พร้อมกับมองไปรอบๆเขาก็เห็นว่าตอนนี้ภายในห้องมันยังสลัวๆอยู่ ซึ่งข้างนอกมันก็ยังมืดอยู่ และมันก็อาจจะไม่สว่างในเร็วๆนี้

เขายืนขึ้นมาพร้อมกับบิดเอวไล่ความเมื่อย และก็ดูเหมือนว่าร่างกายของเขาในตอนนี้มันจะฟื้นตัวได้เยอะมากแล้ว เพราะว่าตอนนี้ไวรัสเอ็กต์ตรีมมิส และความสามารถในการรักษาตัวเอง บวกกับความสามารถอื่น ๆ อีก 7 – 8 อันก็ได้ฟื้นฟูกลับมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งในตอนนี้เขาสามารถได้ยินเสียงการเต้นของหัวใจและการหายใจได้อย่างชัดเจนมาก มันดังก้องอยู่ในหูของเขา

“นี่คือความสามารถสุดยอดการได้ยินใช่ไหม ?”

เขาได้ยินเสียงการเต้นของหัวใจของอีเดนได้อย่างชัดเจน ในขณะที่เธอกําลังนอนอยู่ในห้อง ข้างๆมันเต้นเป็นจังหวะอย่างสงบ และก็ดูเหมือนว่าเธอกําลังหลับสนิทอยู่

ซึ่งเขาก็รู้จักความสามารถนี้เป็นอย่างดี และถ้าเกิดว่าเขาไม่หาวิธีการควบคุมมันให้ดี เขาจะต้องทรมาณกับความสามารถนี้อย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าเสียงมันจะเบาแค่ไหนเขาก็สามารถได้ยินมันได้อย่างชัดเจน ซึ่งมันทําให้เขารู้สึกรําคาญหูเป็นอย่างมาก ดังนั้นซู่เจินจึงค่อยๆพยายามที่จะควบคุมมัน และค่อยๆปรับสเกลการได้ยินของเขาให้มันต่ําลงจนอยู่ในระดับที่พอดี

ซึ่งในตอนแรกมันก็ทําให้เขาหูหนวก และค่อยๆกลับมาเป็นปกติ หลังจากนั้นมันก็กลายเป็นว่าเขาไม่ได้ยินอะไรเลย

หลังจากที่เขาลองพยายามควบคุมอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ในเวลาไม่นานเขาก็สามารถควบคุมมันได้ตามที่เขาต้องการ โดยที่เขาสามารถขยายการได้ยินของเขาออกไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และถ้าเกิดว่าเขาไม่ต้องการได้ยิน เขาก็ปิดมันได้ แม้กระทั่งเขาสามารถปิดการได้ยินของเขาได้อย่างสมบูรณ์

หลังจากศึกษาความสามารถสุดยอดการได้ยินอยู่เป็นเวลานาน ทันใดนั้นพลังจิตของซู่เจินก็เริ่มสั่นไหว หลังจากนั้นร่างกายของเขาก็ค่อยๆโปร่งใสและหาย

ถ้าเกิดว่าฉันไม่ได้ใช้มันสักหน่อย ความสามารถนี้มันคงจะสูญเปล่าอย่างแน่น

“ล่องหนอน!”

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาอย่างมีความสุข พร้อมกับลุกขึ้นอย่างช้าๆ และเดินไปที่ประตู และค่อยๆเปิดประตูออกไปเบาๆ และไม่นานเขาก็เดินมาถึงห้องของอีเดน

ซึ่งในตอนนี้อีเดนก็กําลังนอนหลับอย่างสบายใจ และท่าทางการนอนของเธอในตอนนี้มันก็ชั่งดูดีไม่น้อยเลยทีเดียว เธอนอนตะแคงข้างพร้อมกับห่มผ้าห่มเอาไว้ ทําให้ซู่เจินเหล่ตาของเขามองไปที่เธอเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มอันลึกลับว่า “คุณไม่อยากให้ผมเห็นนักใช่ไหม ผมอยากรู้จริงๆเลยว่าคุณจะยังใส่มันไว้ข้างในอยู่หรือเปล่าในตอนที่คุณกําลังนอนหลับแบบนี้ ขอโทษด้วยเพราะดูเหมือนว่าวันนี้มันจะเป็นวันของผม ฮิฮิ…”

ซู่เจินค่อยๆเดินเข้าไปใกล้อีเดนอย่างช้าๆ พร้อมกับเกาไปที่เท้าของเธอเบาๆ ซึ่งอีเดนก็รู้สึกถึงมันได้ แต่เธอก็ยังไม่ตื่นเธอทําเพียงแค่ขยับขาของเธอเล็กน้อย

หลังจากนั้นนิ้วของซู่เจินก็ค่อยๆ ปีนป่ายขึ้นไปเรื่อยจนเกือบจะถึงสามเหลี่ยมเมอร์บิวด้า ทันใดนั้นอีเดนก็ขมวดคิ้วขึ้นมาพร้อมกับลุกขึ้นมานั่งและค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงง

และเมื่อสังเกตไปมองรอบๆแล้วไม่เห็นอะไร มันก็ทําให้เธอเม้มปากบ่นขึ้นมาอย่างไม่พอใจ หลังจากนั้นเธอก็พลิกตัวกลับไปนอนต่อ

“ไม่คิดเลยว่าเธอจะน่ารักมากขนาดนี้”

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาพร้อมกับมองไปที่อีเดนที่กําลังนอนราบไปกับที่นอนอยู่ในขณะนี้ ทําให้ซู่เจินสามารถมองเห็นยอดของปลายภูเขาทั้งสองลูกได้อย่างชัดเจน บวกกับชุดนอนที่มันโปร่งใสทําให้เธอไม่สามารถซ่อนรูปลักษณ์ของพวกมันเอาไว้ได้

แถมด้านล่างของเธอนั้นก็ไม่ได้ใส่กางเกงใน

ซึ่งเธอได้ถอดมันออกไปก่อนที่เธอจะนอน

“ดูพอแล้วหรือยัง ?”

ในขณะที่ซู่เจินกําลังจะเข้าไปมองดูใกล้ๆ เขาก็สังเกตเห็นว่าอีเดนลืมตาขึ้นมาอย่างกะทันหัน พร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยน้ําเสียงจริงจัง ทําให้ซู่เจินถึงกับตกตะลึง “ได้ยังไงกัน? ตอนนี้ฉันล่องหนอยู่ไม่ใช่หรอ? เธอรู้ได้ยังไง?”

“ฉันรู้นะว่าคุณกําลังมองมาที่ฉันอยู่ ซึ่งมันเกือบจะเนียนแล้ว ดังนั้นคุณควรที่จะออกมาไม่ งั้นฉันจะโกรธจริงๆแล้วนะ” อีเดนพูดขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้นซู่เจินก็สังเกตเห็นว่าดวงตาของเธอมันไม่ได้มองมาที่เขาเลย แถมท่าทางของเธอมันก็ดูลังเลเล็กน้อยด้วย

“เธอกําลังหลอกฉันอยู่อย่างงั้นหรอ?”

ซู่เจินกลั้นหายใจและยืนรออยู่เงียบๆเป็นเวลานาน

“ดูเหมือนว่าฉันจะกังวลมากเกินไปสินะ” หลังจากเธอรอมาอยู่สักพักหนึ่ง เธอก็พบว่ามันไม่มีอะไรผิดปกติ ทําให้เธอพึมพําขึ้นมาเบาๆ และกลับลงไปนอนตามเดิม

“เธอไม่หวาดระแวงมากเกินไปหน่อยอย่างงั้นหรอ?”

เมื่อเห็นว่าอีเดนจงใจหลอกเขาจริง ๆ ซู่เจินก็รู้เจ็บปวดขึ้นมาเล็กน้อย เพราะดูเหมือนว่าประสบการณ์ที่เธอเจอมาในอดีตมันจะทําให้เธอตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ?

ดูเหมือนว่าชีวิตก่อนหน้านี้ของเธอมันจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ …

ซู่เจินส่ายหัวขึ้นมาอย่างเงียบๆ และค่อยๆเดินกลับไปที่ห้องของเขา

เพราะเมื่อเขาเห็นว่าอีเดนทําท่าทางแบบนั้นออกมา เขาก็ไม่มีอารมณ์ที่จะเอาเปรียบเธออีกต่อไป

หลังจากเวลาล่วงเลยจนมาถึงตอนเก้าโมงช้า อีเดนก็เดินมาเคาะประตูห้องนอนของซู่เจิน

เมื่อเห็นว่าอีเดนแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซู่เจินก็ยิ้มขึ้นมาและพูดว่า “เป็นไง เมื่อคืนนอนหลับสบายดีไหม ?”

“ก็ไม่เลว

อีเดนจ้องมองไปที่ซู่เจินเป็นเวลานาน พร้อมกับพยักหน้าและพูดขึ้นมา

ตอนที่ 130 อย่าคิดอะไรเกินเลย

“ได้โปรดอย่าฆ่าฉันเลย ฉันก็แค่สงสัยว่าทําไมคุณถึงได้ปล่อยคนที่มีความสามารถพิเศษแบบ เธอไป … จริงๆ แล้วฉันไม่ได้อยากทําร้ายเธอเลยนะ” เซอร์รารีบอธิบายขึ้นมาอย่างร้อนรน และขอร้องให้ซู่เจินปล่อยตัวของเขาไป

“ใช่หรอ ? แล้วทําไมผมเพิ่งได้ยินคุณพูดว่าคุณจะตัดหัวของเธอออกมาเพื่อดูว่าความสามารถของเธอมันทํางานอย่างไร?” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

เซอร์ร่ารีบส่ายหัวขึ้นมาและพูดว่า “ฟังฉันอธิบายก่อน การที่พวกเรามีความสามารถพิเศษแบบนี้ มันก็เปรียบเสมือนกับว่าพวกเรามีความพิเศษมากกว่าคนอื่นๆที่มีความสามารถพิเศษ แล้วทําไมคุณและฉันไม่เอาความสามารถอันนี้ไปทําเรื่องที่มันสําคัญมากกว่านี้ล่ะ? เพราะถึงยังไง พระเจ้าก็ประทานความสามารถพิเศษมาให้กับพวกเราแล้ว ดังนั้นพวกเราก็ไม่สามารถปล่อยให้ ความสามารถพวกนี้มันสูญเปล่าและตกไปอยู่ในมือของคนธรรมดาได้ยังไงจริงไหม ?”

“ที่คุณพูดมาก็มีเหตุผล” ซู่เจินพยักหน้าขึ้นมาเบาๆ

ทันใดนั้นเซอร์ร่าก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันที เมื่อเห็นว่าซู่เจินเห็นด้วยกับคําพูดของเขา และเตรียมพร้อมที่จะจู่โจมต่อในขณะที่เหล็กมันยังร้อนอยู่ แต่ก่อนที่เซอร์ร่าจะได้พูดอะไรขึ้นมา เซอร์ร่าก็ได้ยินซู่เจินพูดขึ้นมาเบาๆประโยคหนึ่งว่า “แต่คนๆนั้นมันก็ควรจะเป็นผมเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ก็เพราะว่าคุณมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย”

เซอร์ร่าถึงกับพูดไม่ออก เพราะเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพูดอะไรดี

“ในเมื่อพูดไม่ออกหรือไม่รู้ว่าจะพูดอะไร งั้นก็ไม่ต้องพูดออกมา!”

เมื่อซู่เจินพูดจบทันใดนั้นร่างของเซอร์ร่าก็พุ่งเข้าไปกระแทกเข้ากับกําแพงอย่างรุนแรง

ตูม! ตูม! ตูม!

กําแพงค่อยๆถูกเจาะเป็นรูขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ส่วนทางด้านของเซอร์ร่าในตอนนี้เขาก็เริ่มมึนหัวพร้อมกับค่อย ๆ มีเลือดไหลออกมาจากมุมปากเขา หลังจากนั้น ร่างของเขาก็ค่อยๆถูกลากเข้าไปหาซู่เจิน

หนังตาของเขาเกือบที่จะปิดสนิทและกําลังจะตาย

“ความสามารถของคุณ … ผมขอละนะ!”

หลังจากซู่เจินพูดจบ เขาก็วางมือของเขาลงบนร่างกายของเซอร์ราพร้อมกับเปิดใช้งานความสามารถในการกลืนกินของเขาทันที แต่มันก็ค่อนข้างยากลําบาก เพราะถึงอย่างไรตอนนี้ร่างกายของเขามันยังปรับสภาพไม่เสร็จและความสามารถเดิมของเขาก็ยังไม่สามารถใช้ได้ ทําให้ตอนนี้มันค่อนข้างยากที่จะกลืนกินความสามารถของเซอร์รา

แต่ถึงอย่างนั้นซู่เจินก็ไม่ได้สนใจอะไรมันมากนัก เพราะถ้ามันเกิดอาการบาดเจ็บเหมือนครั้งนั้น เขาก็แค่หยุดพักเพิ่มอีกสักสองสามวัน

หลังจากนั้นไม่นานซ่เงินก็ค่อยๆปล่อยมือของเขาออกจากร่างกายของเซอร์ร่า พร้อมกับหันหลังเดินไปที่ห้องนั่งเล่นอย่างช้าๆ ซึ่งเซอร์ร่าก็ถูกลากออกไปเช่นกัน

“คุณรีบไปเก็บของของคุณให้เร็วที่สุด” ซู่เจินหันไปพูดกับอีเดนเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะบังคับร่างของเซอร์ร่าให้บินออกไปทางหน้าต่าง หลังจากนั้นพลังงานของแหวนที่บังคับร่างของเซอร์ร่าอยู่มันก็หายไปในทันที พร้อมกับร่างของเซอร์ร่าที่ตกลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว

“แผละ!”

มีเสียงกระแทกอันหนักแน่นดังขึ้นมา ทําให้ไม่ต้องมองดูก็รู้ว่าจุดจบของเซอร์ร่าเป็นเช่นไร

และเมื่ออีเดนได้ยินเสียงนี้เธอก็รีบกลับไปที่ห้องนอนของเธออย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ออกมาพร้อมกับกระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่บนหลังของเธอและกระเป๋าเดินทางอีกใบหนึ่งที่เธอลากออกมา

เซอร์ร่าตายไปแล้วดังนั้นตํารวจจะต้องมาที่นี่อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าเธอจะแก้ไขปัญหาได้ แต่มันจะต้องมีเรื่องเดือดร้อนอะไรบางอย่างมาหาเธออย่างแน่นอน

ทําให้อีเดนใช้เวลาไม่นานนักในการเก็บของที่จําเป็นใส่กระเป๋า

“มีแค่นี้อย่างงั้นหรอ ?” ขู่เจินหันไปถามกับอีเดน ซึ่งอีเดนก็พยักหน้าขึ้นมาเบาๆ ทันใดนั้น กระเป๋าเป้และกระเป๋าเดินทางของเธอมันก็หายไปในพริบตาต่อหน้าต่อตาของเธออ

อีเดนมองไปที่ซ่เงินด้วยความสงสัย แต่ทันใดนั้นซู่เจินก็พุ่งเข้ามากอดเธอเอาไว้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับกระโดดออกไปทางหน้าต่างทันที

“คุณจะทําอะไร รอเดี๋ยวก่อน … “ อีเดนตกใจเป็นอย่างมาก เพราะว่าตอนนี้เธอและเขากําลังอยู่สูงจากตัวพื้นพอๆกับตึกสูงสิบชั้น และในเมื่อเซอร์ร่าก็ตายไปแล้ว ทําไมเขาจะต้องกระโดดออกมาข้างนอกอีกล่ะ?

“รออะไร ?”

ซู่เจินถามขึ้นมา โดยที่เขากําลังกอดอีเดนเอา พร้อมกับร่างกายของพวกเขาที่ลอยอยู่กลางอากาศ ซึ่งร่างกายของพวกเขาในตอนนี้มันมีชั้นพลังงานสีเขียวเข้มห่อหุ้มร่างกายของพวกเขาเอาไว้อยู่ อีเดนมองไปยังพื้นที่อยู่ด้านล่างและพบว่าเธอในตอนนี้กําลังลอย ทําให้เธอส่ายหัวขึ้นมาเบาๆ และพูดว่า “ไม่… ไม่มีอะไร”

“ก็แล้วไป”

หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็บินกลับมาถึงโรงแรมที่ซู่เจินกําลังพักอยู่

หลังจากเข้ามาในของเรียบร้อยแล้ว ซู่เจินก็หยิบกระเป๋าของอีเดนออกมา ซึ่งอีเดนก็ยืนอยู่เฉยๆ แบบนั้นจนกระทั่งซู่เจินยื่นไวน์แก้วหนึ่งให้กับเธอ และเธอก็ดื่มมันเข้าไปโดยไม่รู้ตัวก่อนที่เธอจะได้สติ

“คุณจะให้ฉันพักอยู่ที่ไหน ?” อีเดนหันไปถามกับซู่เจิน

ดูเหมือนว่าเธอจะตั้งสติได้เร็วมาก หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์แบบนั้นมา

“ที่นี่ก็ออกจะกว้าง มันไม่พอสําหรับคุณหรือไง ?” ซู่เจินถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“บอกฉันมาเถอะ เพราะถึงยังไงฉันก็เป็นแค่เลขาของคุณ ไม่ใช่คนรัก ดังนั้น … คุณไม่ควรคิดอะไรเกินเลยไปมากกว่านั้น” อีเดนพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง

“คิดอะไรที่เกินเลยไปมากกว่านั้น เช่น…ใช่ไหม ?”

ทันใดนั้นซู่เจินก็เดินไปข้างหน้าของอีเดนอย่างรวดเร็วพร้อมกับโอบไปที่เอวของเธอและดึงตัวของเธอเข้ามา ทันทีที่เขาสัมผัสไปที่ตัวของเธอ เขาก็รู้สึกได้ถึงความนุ่มนวลและความยืดหยุ่น ส่วนทางด้านของอีเดนก็พ่นลมหายใจออกมาเบาๆและค่อยๆเอามือของเธอไปจับไว้ที่เอวของซู่เจินโดยไม่รู้ตัว

ท่าทางแบบนี้มันดูเหมือนกับว่าเธอกําลังจะทําอะไรบางอย่างกับเขา

ซู่เจินค่อย ๆ ก้มหัวของเขาเข้าไปใกล้ๆ กับอีเดนอย่างช้าๆ ซึ่งในตอนแรกอีเดนก็จ้องมองไปที่เขาด้วยความไม่ยินยอม และเมื่อเธอเห็นสายตาของซู่เจิน เธอก็ถามขึ้นมาเบาๆ ด้วยความไม่มั่นใจอะไรบางอย่างว่า “คุณ … คุณจะไม่ทําอะไรกับฉันโดยที่ฉันไม่ยินยอมใช่ไหม?”

“คุณไม่อยากให้คนอื่นทําอะไรคุณ แต่คุณจะเป็นคนลงมือทํากับพวกเขาเองอย่างงั้นหรอ ?” ซู่เจินไม่ได้ตอบคําถามของเธอ แต่จงใจพูดอะไรบางอย่างขึ้นมาอย่างเฉียบขาด

“เอ่อ … นี่เป็นวิธีเดียวที่ฉันจะตอบคุณที่คุณได้ช่วยชีวิตของฉันเอาไว้”

อีเดนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะค่อยๆเขย่งเท้าของเธอขึ้นมาพร้อมกับจูบไปที่ปากของซู่เจิน ทําให้ซู่เจินถึงกับตอบสนองไม่ทันกับการกระทําของเธอที่ทําขึ้นมาอย่างกะทันหัน หลังจากนั้นไม่นานเธอก็รีบแยกตัวออกมาจากมือของซู่เจินพร้อมกับถอยห่างออกไปเล็กน้อย

“เป็นผู้หญิงที่เจ้าเล่ห์อะไรอย่างนี้ …”

ซู่เจินแตะไปที่มุมปากของเขา พร้อมกับส่ายหัวและยิ้มขึ้นมา

“คุณไม่ต้องการเสื้อผ้าที่ผมซื้อมาตอนกลางวันแล้วอย่างงั้นหรอ ? นี่เป็นชุดของคุณ ใส่ให้ผมดูด้วยล่ะ” ซู่เจินพูดขึ้นมากับเอเดน ทันใดนั้นก็มีเสื้อผ้าปรากฏขึ้นมาบนมือของซู่เจิน โดยที่มันกําลังลอยอยู่

อีเดนมองไปที่มันและพูดว่า “นี่มันชุดนอน!”

“ใช่ เพราะว่าตอนนี้มันดึกแล้วไม่ใช่หรอ แน่นอนว่าคุณจะต้องสวมชุดนอนนอน หรือว่าคุณจะสวมใส่ชุดราตรีแบบนั้นนอนอย่างงั้นหรอ ?” ซู่เจินพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง

“ชุดนอนตัวนี้มันบางมาก แถมยังโปร่งใสอีกด้วย แล้ว … พวกถุงน่องพวกนี้มันคืออะไร ? อย่าบอกนะว่าคุณจะให้ฉันใส่ของพวกนี้นอนจริงๆ … “อีเดนถามขึ้นมาพร้อมกับมองไปที่ถุงน่องสีดํา และเสื้อผ้าที่วางอยู่ข้างๆ

“คุณก็ลองสวมใส่มันดู เพราะผมอยากลองดูว่า … มันจะดูดีอย่างที่ผมคิดเอาไว้หรือเปล่า? ซู่เจินพูดขึ้นมาอย่างเคร่งขรึม

อีเดนพ่นลมหายใจออกมาด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย หลังจากนั้นเธอก็หยิบเสื้อผ้าขึ้นมา

ส่วนถุงน่อง …. เธอไม่ได้สนใจมันเลยแม้แต่น้อย

“น่าเสียดาย” ซู่เจินส่ายหัวขึ้นมาอย่างผิดหวัง และตะโกนบอกกับอีเดนที่เดินเข้าไปในห้องน้ํา ว่า “คุณจะไม่ลองใส่มันจริงๆงั้นหรอ? ถ้าคุณใส่คู่กับมันมันจะต้องออกมาดูดีอย่างแน่นอน”

“ทําไมคุณไม่ใส่มันเองล่ะ ?” เสียงของอีเดนดังขึ้นมาจากในห้องน้ํา ทําให้ซู่เจินยิ้มขึ้นมาอย่างมีความสุข เพราะเขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ดูน่าสนใจนิดหน่อย และดูเหมือนว่าช่วงนี้เขาจะมีอะไรให้ทําแก้เบื่อในขณะที่รอร่างกายมันฟื้นฟู

ตอนที่ 129 แค่เรื่องบังเอิญ

ก่อนที่เธอจะจากไปอีเดนยืนมองไปยังโรมแรมที่สูงตระหง่านอยู่ข้างหน้าของเธอด้วยความมั่นคง เพราะว่าสิ่งที่เธอได้รับในตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะเป็นความฝันสําหรับเธอ

“เลขาอย่างงั้นหรอ ?”

อีเดนพึมพําขึ้นมาเล็กน้อยก่อนที่จะเดินหันหลังจากไป

ในฐานะที่เธอเป็นคนโสด ดังนั้นเธอก็เลยซื้ออพาร์ตเมนต์เอาไว้ในนิวยอร์ค ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ค่อยได้อยู่ที่นี่ก็ตาม

ซึ่งอพาร์ตเมนต์แห่งนี้มันก็ไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่มันก็มีหลายสิ่งหลายอย่างอยู่ในห้องอย่างครบครัน และถึงแม้ว่าเธอจะซื้อวิลล่าก็ได้แต่เธอก็คิดว่ามันจะใหญ่เกินไป บวกกับอาการเหงาที่จะต้องอยู่บ้านเพียงคนเดียว ? ดังนั้นเธอก็เลยบ้านที่มันมีสถานที่พอดีกับการอาศัยอยู่คนเดียว แถมมันยังทําให้เธอรู้สึกปลอดภัยขึ้นอีกด้วย!

หลังจากที่เธอเปลี่ยนเป็นชุดนอนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็นอนคว่ําหน้าลงบนที่นอนพร้อมกับเอาคางวางลงบนหมอน และค่อยๆพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอของซู่เจิน

ตัวของเธอนั้นไม่มีเป้าหมายอะไรเลย เอาแต่เที่ยวเล่นไปวันๆ ชีวิตช่างไม่มีความหมายเลย บางทีจะตามเขาไปดีไหมนะ ? ไม่แน่ว่าอาจจะเจออะไรใหม่ๆก็ได้ และถ้าเกิดว่ารู้สึกเบื่อกับการอยู่กับเขาขึ้นมา เธอก็แค่ลาออกมาก็เท่านั้น ? ดูไปดูมาเขาก็ไม่ใช่คนที่ดูใจร้ายอีกด้วย ….

“แครก! แครก!”

ในขณะที่อีเดนกําลังนอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงดังมาจากทางประตูห้อง เสียงมันเหมือนกับว่ากําลังมีใครบางคนกําลังงัดประตูห้องของเธออยู่ ทําให้เธอชะงักไปชั่วครู่หนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้ตื่นตระหนก ซึ่งเธอก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครกันแน่ที่มันกล้าหาญกล้ามาขโมยของในห้องของเธอ

เสียงของการงัดแงะดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทันใดนั้นประตูมันก็เปิดออกมาเล็กน้อย ทําให้มันสามารถเปิดเข้ามาได้ตลอดเวลา

ในขณะเดียวกันอีเดนก็คิดเกี่ยวกับเรื่องที่ซู่เจินได้เคยพูดไว้ขึ้นมา เกี่ยวกับเรื่องของชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า เซอร์ร่า เขามีความสามารถในการแย่งชิงความสามารถจากฆ่าคนที่มีความสามารถพิเศษ ถึงแม้ว่าอีเดนจะคิดว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องบังเอิญ แต่เธอก็รู้แล้วว่าคนๆนี้ที่ซู่เจินได้ พูดถึงเขาได้มาอยู่หน้าประตูห้องของเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น … เธอก็ยังไม่เชื่อทั้งหมด ทําให้เธอค่อยๆเดินไปที่ประตูห้องนอนโดยใช้เสียงให้เบาที่สุดพร้อมกับบิดประตูและมองผ่านตาแมว

“ตูม!”

ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างรุนแรง พร้อมกับร่างสูงใหญ่ค่อยๆเดินเข้ามาอย่างช้าๆ

เขาก็คือ เซอร์ร่า!

เซอร์ร่ามองไปรอบๆ หลังจากที่เขาเดินเข้ามาภายในห้อง และเขาก็รีบเลื่อนสายตาของเขาไปที่ห้องนอนทันที

“แกรก!”

อีเดนรีบล็อคประตูห้องนอนของเธออย่างรวดเร็วพร้อมกับถามขึ้นมาเบาๆว่า “คุณเป็นใคร … มาที่บ้านของฉันทําไม!”

เซอร์ร่าไม่ได้ตอบ แต่เขาค่อยๆใช้พลังจิตของเขาควบคุมโคมไฟและโซฟาที่อยู่ข้างๆให้ลอยไปกระแทกที่ประตูห้องนอน

“บัง!” “บัง!” “ปัง!”

ประตูห้องนอนถูกกระแทกอย่างรุนแรง แต่ถึงอย่างนั้นอีเดนก็ยังถามขึ้นมาด้วยน้ําเสียงอันหนักแน่นว่า “คุณคือเซอร์ร่า ?”

เสียงการกระแทกเงียบหายไป พร้อมกับค่อยๆมีเสียงของเซอร์ร่าดังขึ้นมาว่า “คุณรู้จักฉัน? เขาคงจะบอกเรื่องของฉันกับคุณแล้วสินะ … แล้วทําไมเขาถึงไม่พาคุณไปด้วย ? คุณบอกฉันหน่อยได้ไหมว่ามันเพราะอะไร ?”

“ใช่ เขาบอกเรื่องของคุณกับฉันแล้ว ดังนั้นตอนนี้คุณควรที่จะรีบออกไปจากที่นี่ทันที เพราะว่าตอนนี้เขาเป็นเจ้านายของฉัน ถ้าฉันบอกให้เขารู้ล่ะก็ เขาจะไม่ปล่อยคุณเอาไว้แน่!”

“คุณควรออกไปจากที่นี่แล้วไปหาอะไรดื่ม บางที… สิ่งนี้มันอาจจะเป็นสิ่งที่คุณต้องการก็ได้”

อีเดนพยายามพูดขู่ให้เขากลัวพร้อมกับสะกดจิตเขาไปในตัว

ถึงแม้ว่าความสามารถในการสะกดจิตของเธอมันจะสามารถใช้ออกมาได้รวดเร็วมาก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้สําเร็จในทันที เพราะว่ามันจะต้องใช้เวลา

“คุณกําลังพยายามที่จะสะกดจิตฉันอยู่อย่างงั้นหรอ? มันไม่มีประโยชน์หรอกนะ ”

เพราะว่าตอนนี้เซอร์ร่าได้เตรียมความพร้อมมาอย่างดี โดยการใส่หูฟังเอาไว้ทั้งสองข้าง ถึงแม้ว่ามันจะไม่สามารถปิดกั้นเสียงจากภายนอกได้อย่างสมบูรณ์ แต่มันก็ช่วยลดผลของการสะกดจิตของเธอไปได้อย่างมหาศาล ในขณะเดียวกันเซอร์ราก็เริ่มลงมืออีกครั้งหนึ่ง

เสียงกระแทกเริ่มดังขึ้นมาที่ประตูห้องนอนของเธออีกครั้งหนึ่ง

หลังจากประตูห้องนอนโดนกระแทกไปได้ไม่นานมันก็ถูกเปิดห้อง พร้อมกับโซฟาที่ลอยเข้าไปกระแทกกับผนังภายในห้องนอนอย่างรุนแรง ทําให้อีเดนถึงกับเดินถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว และรีบไปซ่อนตัวอยู่ที่มุมห้องพร้อมกับมองไปที่ใบหน้าที่ชั่วร้ายของเซอร์ร่าที่กําลังเดินเข้ามาในห้องของเธออย่างช้าๆ

และเมื่อเธอสังเกตเห็นหูฟังที่เซอร์ร่าใส่อยู่ เธอก็รู้ได้ในทันทีเลยว่าเธอไม่สามารถสะกดจิตเขาได้อย่างแน่นอน

เซอร์ร่าเหยียดนิ้วของเขาไปทางอีเดน พร้อมกับขยับมันขึ้น ทันใดนั้นร่างของอีเดนก็ค่อยๆลอยขึ้น

“ดูเหมือนว่าเจ้านายของคุณจะไม่สามารถมาช่วยคุณได้ทันแล้วล่ะ ดังนั้นคุณมาให้ฉันตัดหัวของคุณเพื่อดูว่าความสามารถของคุณมันทํางานอย่างไรดีกว่า เพราะว่า …ความสามารถของคุณมันน่าสนใจมากเลยทีเดียว ความสามารถในการสะกดจิตคนอื่นด้วยเสียง!”

เซอร์ร่ายิ้มขึ้นมาอย่างชั่วร้ายพร้อมกับชี้นิ้วไปที่หน้าผากของอีเดน ซึ่งมันก็เทคนิคปกติของเขา ค่อยๆเจาะทะลุเนื้อหนังเข้าไปจนถึงสมองอย่างช้าๆ ส่วนทางด้านของอีเดนในตอนนี้ก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก เพราะเธอควรที่จะตอบตกลงกับซู่เจินไปตั้งแต่ที่เธออยู่ที่นั่น แต่ถึงอย่างนั้นตอนนี้มันก็สายไปแล้ว เพราะว่าเธอไม่สามารถทําอะไรได้เลย เบอร์โทรศัพท์ของซู่เจินเธอก็ไม่มี และถึงแม้ว่าเธอจะรู้เบอร์โทรศัพท์ของเขา เธอก็ไม่กล้าโทรหาเขาเพราะรู้สึกเกรงใจ บวกกับตอนนี้มันก็สายเกินไปแล้วที่จะขอความช่วยเหลือ

“ฉันไม่รู้ว่าเขาจะรู้ไหมว่าเซอร์ร่าอยู่ที่นี่ หรือว่าเขาจะสามารถเอาชนะเซอร์ร่าได้หรือเปล่า

อีเดนไม่อยากคิดอะไรมากมาย และค่อยๆหลับตาลงอย่างช้าๆ

“ตูม!”

ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างกระแทกเข้ากับกําแพง ทําให้เธอค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆด้วยความสงสัย พร้อมกับมองไปยังเซอร์ร่าด้วยความไม่อยากเชื่อ เพราะว่าตอนนี้เซอร์ร่ากําลังถูกพลังงานสีเขียวเข้มจับยึดติดกับผนั่งเอาไว้

“เจ้านาย ?”

อีเดนยังพบอีกว่าตอนนี้มีพลังงานสีเขียวเข้มยึดติดกับร่างกายของเธอเอาไว้ด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้เธอล้มลงกับพื้น ทันใดนั้นเธอก็ตะโกนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว พร้อมกับมองไปที่ซู่เจินที่กําลังเดินเข้ามาจากประตูอย่างช้าๆ

“ดูเหมือนว่าคุณจะตอบตกลงกับข้อเสนอของผมแล้วสินะ ?” ซู่เจินถามอีเดนขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

ซู่เจินโบกมือของเขาเบา ๆ และค่อย ๆ วางตัวของอีเดนลงกับพื้นอย่างช้าๆอีเดนรีบเดินไปอยู่ข้างๆซู่เจินอย่างรวดเร็วและถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจว่า “คุณมาที่นี่ได้ยังไง ? คุณรู้งั้นหรอว่าฉันกําลังตกอยู่ในอันตราย ?”

“มันเป็นเรื่องยากนะที่ผมจะหาเลขาที่ถูกใจได้ ดังนั้นผมจึงไม่อยากต้องไปไล่หาเลขาคนใหม่อีก!” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม ซึ่งที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องบังเอิญ เพราะว่าหลังจากที่อีเดนจากไปได้ไม่นาน ซู่เจินก็พบว่าร่างกายของเขามันฟื้นตัวขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับการที่เขาสามารถใช้ความสามารถขึ้นมาหนึ่งอย่างได้

ความสามารถในการหาตําแหน่ง

ดังนั้นเขาจึงสามารถหาตําแหน่งของอีเดนได้อย่างง่ายดาย และเมื่อเขาพบตําแหน่งของเธอแล้ว เขาก็สามารถหาเซอร์ร่าได้อย่างง่ายดาย และทันใดนั้นเขาก็พบว่าพวกเขาทั้งสองคนอยู่ในสถานที่เดียวกัน ทําให้เขารู้ได้ในทันทีเลยว่าตอนนี้อีเดนกําลังตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน เขาจึงรีบมาที่นี่อย่างรวดเร็ว

และก็ดูเหมือนว่าเขาจะมาที่นี่ได้ทันเวลาพอดี

บวกกับท่าทางที่ตื่นเต้นของอีเดน ซู่เจินก็มั่นใจได้เลยว่าตําแหน่งเลขาของเขามันได้ถูกตัดสิ้นเรียบร้อยแล้ว

ซู่เจินหันไปมองเซอร์ร่าเล็กน้อย

“ผมรู้สึกชื่นชมคุณจริงๆ เพราะถ้าเกิดว่าผมเป็นคุณ ผมจะไปซ่อนตัวอยู่ที่ไกลๆอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วผมจะตัวคุณเจอก็ตาม แต่อย่างน้อยคุณก็ยังสามาถมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกหนึ่งวัน เพราะถึงยังไงตอนนั้นผมก็จงจงปล่อยให้คุณวิ่งหนีไปเอง” ซู่เจินเงียบไปครู่หนึ่งและค่อยๆพูดขึ้นมาต่อว่า “ถ้าเกิดว่าผมต้องการจริงๆ คุณคิดหรอว่าจะวิ่งไปจากผมได้จริงไหม ?” ซู่เจินมองไปที่เซอร์ร่าด้วยความสนใจเล็กน้อย ซึ่งเซอร์ร่าก็กัดฟันดังกรอดพร้อมกับพยายามดิ้นรน ที่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ผล ทําให้เขาได้แต่อยู่นิ่งๆ และร้องขอความเมตตา

ตอนที่ 128 เลขา

ซูเจินพูดขึ้นมาอย่างสบาย ๆ ส่วนทางด้านของอีเดนก็เริ่มวิตกกังวล เพราะเธอก็ไม่คิดว่าเป้าหมายที่เธอเลือกเขาจะไม่ถูกเธอสะกดจิต บวกกับการที่เขาหลอกเธอให้มาที่นี่ แล้วไหนจะห้องขังที่สร้างขึ้นมาจากพลังงานสีเข้มแบบนี้อีก อีเดนไม่รู้เลยว่าเขาเป็นใครกันแน่

และเมื่อเธอเห็นว่าซูเจินกําลังนั่งดื่มอยู่อย่างสบาย ๆ เธอก็ค่อย ๆ สงบสติลง เพราะเธอรู้ดีว่าเขาจะต้องแข็งแกร่งมากกว่าเธออย่างแน่นอน ดังนั้นการที่เขาจะจัดการกับเธอมันก็เป็นเพียงแค่เรื่องง่าย ๆ และถ้าเกิดว่าเธอไม่ไปทําอะไรให้เขาหงุดหงิด บางที …. เขาอาจจะไม่ทําอะไรเธอก็ได้ ?

“ผมบอกแล้วว่าคุณอาจจะต้องการมัน จริงไหม ?” เมื่อเห็นว่าอีเดนสามารถสงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว ซูเจินก็เดินเข้าไปหาเธอใกล้ ๆ พร้อมกับแก้วไวน์ หลังจากนั้นเขาก็ยื่นแก้วไวน์ให้กับเธอผ่านรูที่เข้าสร้างขึ้นมา อีเดนลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนที่เธอจะหยิบแก้วไวน์มาจากมือของซูเจิน ทันใดนั้นรูบนห้องขังก็ค่อย ๆ ปิดลง เอเดนหยิบไวน์ขึ้นมาดมเล็กน้อยก่อนที่จะจิบมันเบา ๆ

เธอดื่มมันเข้าไปด้วยความกังวลเล็กน้อย ไวน์แดงค่อย ๆ ไหลลงไปที่มุมของปากแก้ว พร้อมกับไหลเข้าไปในคอของเธอ พร้อมกับความรู้สึกที่ลึกล้ำที่เธอสัมผัสได้จากการดื่มไหว ทําให้ซูเจินไม่สามารถละสายไปจากเธอได้ ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มขึ้นมาพร้อมกับถามเธอขึ้นมาว่า “พวกเรามาคุยกันหน่อยดีกว่าว่า … คุณสะกดรอยตามผมทําไม ?”

“มันเป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรอ ? เพราะเมื่อฉันเห็นว่าคุณใช้เงินไปมากมายขนาดนั้น การที่คุณจะตกเป็นเป้าสนใจของคนอื่น ๆ มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรอ ? ฉันก็แค่เลือกที่จะลงมือเร็วกว่าคนอื่น ๆ ก็เท่านั้น” อีเดนพูดขึ้นมา

“แล้วจุดประสงค์ของคุณคืออะไร ? เพื่อเงิน ? เพราะด้วยความสามารถของคุณ การหาเงินมันน่าจะเป็นเรื่องง่ายดายสําหรับคุณ และผมก็คิดว่าเงินมันน่าจะไม่มีความสามารถสําหรับคุณจริงไหม ?” ซูเจินพูดขึ้นมาด้วยความสงสัยเล็กน้อย แน่นอนว่าความสามารถในการสะกดจิตของเธอมันไม่ได้อ่อนแอ และไม่ว่าเธอจะต้องการอะไร เธอก็จะสามารถหามันมาได้อย่างง่ายดาย และเงินมันก็เป็นเพียงแค่เศษกระดาษสําหรับเธอ ดังนั้นเหตุผลนี้มันจึงไม่สมเหตุสมผลเลยแม้แต่น้อย

“เพราะว่าฉันต้องการใช้เงินอย่างเร่งด่วง”

อีเดนยักไหล่เล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นมาต่อว่า “แล้วที่นี้คุณจะปล่อยฉันไปได้หรือยัง ?”

“ผมปล่อยคุณไปแน่นอนไม่ต้องเป็นห่วง แต่ก่อนหน้านั้นผมยังมีคําถามถามกับคุณอยู่อีกมากมาย”

ซูเจินหยิบขวดไวน์ขึ้นมาพร้อมกับมองไปที่อีเดนและพูดว่า “ถ้าผมจําไม่ผิด คุณน่าจะเป็นผู้ช่วยของเบนเน็ตต์ ที่เป็นศาสตราจารย์ด้านพันธุศาสตร์ และเป็นคนอินเดียวไม่ใช่หรอ ?”

“ใครคือเบนเน็ตต์ ?” อีเดนไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน และเธอก็ไม่รู้ว่าทําไมซูเจินถึงได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมา “คุณ ฉันยอมรับผิดเรื่องที่ฉันหลอกหลวงคุณ แต่เรื่องของศาสตราจารย์เบนเน็ตต์ ฉันไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลยสักนิด!”

และหลังจากที่ซูเจินสังเกตท่าทางของเธอก็ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้โกหก หรือว่าเนื้อเรื่องมันจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย ? ถึงแม้ว่าความสามารถในการควบคุมจิตใจของเขามันจะยังไม่สามารถใช้ได้ชั่วคราว แต่เธอก็ไม่มีความจําเป็นที่จะต้องโกหกเขา และถ้าเกิดว่าเธอโกหกจริง ๆ ชาวเฮติก็น่าจะรู้จักเกี่ยวกับตัวตนของเธออย่างแน่อน!

“บางทีผมอาจจะจําผิด แต่คุณก็ยังเป็นคนเดิมอยู่ใช่ไหม ? ใช้ชีวิตไปวัน ๆ ไม่มีเป้าหมายอะไรสักอย่าง ?” ซูเจินถามขึ้นมา

“คุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง คุณรู้จักฉันมาก่อนอย่างงั้นหรอ ?” อีเดนถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นสีหน้าของเธอก็ดูหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย และดูเหมือนว่าเธอจะโกรธเขาด้วย ทันใดนั้นเธอก็พูดขึ้นมาด้วยความโกรธเล็กน้อยว่า “คุณรู้อะไรไหม .. คุณไม่ใช่ตัวฉัน ดังนั้นอย่าได้พูดอะไรออกมาเหมือนกันว่าคุณรู้จักฉันเป็นอย่างดี!”

“คุณอย่าโกรธผมไปเลย เพราะว่า … มันค่อนข้างที่จะน่าเสียดายถ้าเกิดว่าน้ำเสียงที่ไพเราะของคุณมันจะต้องเต็มไปด้วยความโกรธแบบนี้” ซูเจินพูดขึ้นมาอย่างนุ่มนวลพร้อมกับค่อย ๆ ปลอบประโลมให้อีเดนสงบลง

ทันใดนั้นซูเจินก็โบกมือของเขาขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับห้องขังที่หายไปทันที และค่อย ๆ พูดขึ้นมาอย่างช้า ๆ ว่า “วันนี้ถือว่าคุณโชคดีนะ ถ้าเกิดว่าคุณเจอผมเมื่อวานนี้ ความสามารถของคุณคงจะถูกผมกลืนกินไปแล้วอย่างแน่นอน หลังจากนั้นคุณก็จะกลายเป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่จะต้องทํางานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจําวัน”

” คุณหมายความว่ายังไง คุณ … คุณสามารถกลืนกินความสามารถของฉันได้อย่างงั้นหรอ ?” อีเดนถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ”

ซูเจินยักไหล่พร้อมกับพูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า “ใช่ แต่มันก็ยังมีอีกคน ๆ หนึ่งที่ทําแบบผมได้เช่นเดียวกัน แต่วิธีการของผมมันค่อนข้างที่จะโอนโยน ส่วนวิธีการของเขาเขาจะต้องฆ่าคนที่มีความสามารถคนนั้นให้ตายเพื่อที่จะแย่งชิงความสามารถของคน ๆ นั้นมา ทําให้เขาคนนี้เป็นคนที่อันตรายยิ่งกว่าผมซะอีก และเขาก็น่าจะเล็งความสามารถของคุณเอาไว้เช่นกัน แต่สําหรับผมแล้ว ความสามารถของคุณมันไม่ค่อยจําเป็นสักเท่าไหร่ ดังนั้นในตอนนี้เขาก็อาจจะแอบสะกดรอยตามคุณอยู่ที่ไหนก็ได้ในตอนนี้”

” แล้วจุดประสงค์ของคุณคืออะไรกันแน่!”

ให้คุณมาเป็นคนติดตามของผม” ซูเจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

” เพราะอะไร ?” อีเดนถามขึ้นมาอย่างสงสัย ” เพราะด้วยความแข็งแกร่งของคุณ มันไม่น่าจะจําเป็นที่จะต้องการฉันไปติดตามคุณเลยจริงไหม ?”

“ในตอนนี้ผมมีลูกน้องอยู่คนหนึ่ง ซึ่งเขาก็เป็นคนที่เรียบร้อยมาก แต่ .. เขาก็เป็นผู้ชาย และถ้าเทียบกันแล้ว เขาก็เปรียบเสมือนคนขับรถและบอดี้การ์ดของผม แต่ในตอนนี้ผมต้องการเลขาสาวเท่านั้น” ซูเจินเงียบไปครู่หนึ่งและค่อย ๆ พูดขึ้นมาต่อว่า “อย่างน้อยมันก็จะทําให้ผมรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาบ้าง” ซูเจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“แค่นี้อย่างงั้นหรอ ?” อีเดนยังไม่เชื่อคําพูดของซูเจินทั้งหมด และในเมื่อความสามารถของเธอมันไม่มีประโยชน์กับเขา แล้วจุดประสงค์จริง ๆ ของเขามันคืออะไรกันแน่ ?

เรื่องระหว่างชายหญิง ?

เพราะว่ามันสามารถโยงไปในเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน

“มันยังไม่พออย่างงั้นหรอ ? ถ้าเกิดว่าคุณต้องการอย่างอื่น ผมก็มักจะได้ยินคนอื่นพูดกันว่าเลขามักจะทําอะไรบางอย่างกับ เอ่อ …” ซูเจินจงใจหยุดและไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ถึงอย่างนั้นอีเดนก็เข้าใจความหมายของมัน

“ผมจะให้เวลาคุณคิดดู และผมก็หวังว่าคุณจะยอมติดตามผมชั่วคราวไปก่อน และหลังจากที่คุณมั่นใจแล้วก็ค่อยให้คําตอบกับผมในภายหลัง ซึ่งผมก็หวังว่าผมจะเจอคุณมารออยู่ที่นี่ในวันพรุ่งนี้” ซูเจินพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจัง

“คุณกล้าปล่อยฉันไป ? คุณไม่กลัวว่าฉันจะหนีไปอย่างงั้นหรอ ?”

“คุณเลขา! ถ้าเกิดว่าผมต้องการจริง ๆ มันก็ยังมีผู้หญิงสวย ๆ อีกมากมายที่เต็มใจที่จะทํางานนี้อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเกิดว่าผมต้องการตามหาใครสักคน ต่อให้คน ๆ นั้นจะหนีไปสุดขอบโลก ผมก็สามารถหาเขาเจอได้อยู่ดี!”

อีเดนยื่นอยู่เงียบ ๆ ราวกับว่าเธอกําลังครุ่นคิดอยู่

ทันใดนั้นซูเจินก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา ทําให้เขาเปลี่ยนพลังงานให้กลายเป็นฝ่ามือหลังจากนั้นเขาก็บังคับให้มันไปเปิดประตู

และหลังจากที่ชาวเฮติเดินเข้ามาในห้อง เขาก็ถึงกับตกตะลึงเมื่อเขาสังเกตเห็นอีเดนที่กําลังยืนอยู่ภายในห้อง สีหน้าของชาวเฮติเริ่มดูอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย เพราะเขารู้ได้ในทันทีเลยว่าเขามาขัดขวางความสุขของซูเจิน และเมื่อซู่เจินเห็นท่าทางของชาวเฮติ เขาก็รู้ได้ในทันทีเลยว่าชาวเฮติไม่ได้รู้จักกับเธออย่างแน่นอน และเขาก็รู้ว่าเธอไม่ได้โกหกเขาอย่างแน่นอน

“ฉันจะพิจารณาเกี่ยวกับมันอย่างจริงจัง”

อีเดนพูดขึ้นมาพร้อมกับค่อย ๆ วางแก้วไวน์ลง หลังจากนั้นก็เดินออกจากห้องไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด

และหลังจากที่เธอเดินมาถึงด้านล่างของโรงแรม เธอก็พบว่าซูเจินและชาวเฮติไม่ได้ตามเธอมาทําให้เธอรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก และรีบเดินออกจากโรงแรมไปอย่างรวดเร็ว

นายคิดว่าไงเธอเป็นไง ? เธอมีคุณสมบัติเหมาะสมกับการเป็นเลขาใช่ไหม ?” ซูเจินหันไปถามกับชาวเฮติด้วยรอยยิ้ม

ชาวเฮติไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะถึงอย่างไรท้ายที่สุดแล้ว … มันก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของซูเจินอยู่ดี!

ตอนที่ 126 จ่ายพลังงานแลกเวลา

ซูเจินในตอนนี้กําลังนอนหมดสติโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว หลังจากที่เขาได้กลืนกินความสามารถเข้าไปสี่อัน ซึ่งสิ่งแรกที่เขาสัมผัสได้ก่อนที่จะหมดสติไปนั่นก็คือพลังงานจํานวนมหาศาลที่กําลังปั่นป่วนอยู่ภายในร่างกายของเขา

ซูเจินไม่รู้ว่าตอนนี้เวลามันผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ทันใดนั้นซูเจินก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ และเขาก็เริ่มรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดอย่างมหาศาลที่อยู่ภายในร่างกายของเขา ราวกับว่าร่างกายของเขาในตอนนี้มันถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ถ้าเกิดว่าเขาขยับตัวสักนิดละก็ร่างกายของเขา มันอาจจะพังทลายลงก็ได้

หลังจากนั้นเขาก็ค่อย ๆ หันไปมองรอบ ๆ อย่างช้า ๆ

เขาสังเกตเห็นว่าคนทั้งเจ็ดคนที่ถูกเขานําตัวมาเพื่อกลืนกินความสามารถของพวกเขา ในตอนนี้กําลังนอนหมดสติอยู่บนพื้น และดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้รับอันตรายอะไร ทําให้ซูเจินรู้สึกโล่งใจขึ้นมาในทันที

เพราะเขายังจําได้ดีว่าครั้งสุดท้ายที่เขาสูญเสียการควบคุมของตัวเอง มันทําให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงกับหลี่เสี่ยวลู่ และถ้าเกิดว่ามันเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีกล่ะก็คราวนี้มันจะเป็นคนแก่ และป้าอ้วน ๆ แทน แค่ซู่เจินคิด … เขาก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันทีโชคดีที่มันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น

“ฉันมีแผนการอันบ้าระห่ำ แต่ดันลืมคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไป โชคดีแล้วที่มันไม่มีอะไรเกิดขึ้น …. ไม่อย่างงั้นชีวิตที่เหลือคงเต็มไปด้วยความอับอายอย่างแน่นอน” ซูเจินรู้สึกเสียเซลฟ์เล็กน้อย และเขาก็สาบานขึ้นมาในใจอย่างเงียบ ๆ ว่ามันจะต้องไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกเด็ดขาด เขาจะต้องวางแผนล่วงหน้าพร้อมกับเตรียมตัวให้พร้อมโดยเขาจะต้องหาสาวงามสักสองสามคนเอาไว้ข้างกาย ยามที่มันเกิดเหตุฉุกเฉินจริง ๆ

“ฮึบ!”

ซูเจินพยายามที่จะลุกขึ้น แต่ทันใดนั้นเขาก็พบว่าร่างกายของเขาในตอนนี้มันไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แถมเขายังได้กลิ่นเลือด กลิ่นนี้มันมาจาก … ร่างกายของเขา

และเมื่อเขามองลงไปที่ร่างกายของเขา เขาก็พบว่าเสื้อผ้าของเขาในตอนนี้มันเปื้อนเลือดเต็มไปหมด

“ฉันได้รับบาดเจ็บอย่างงั้นหรอ ?” ซูเจินขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย และเมื่อเขาลองสังเกตดูเขาก็พบว่าร่างกายของเขามันไม่มีบาดแผลอะไรเลย แต่ถึงอย่างนั้นสภาพร่างกายของเขาในปัจจุบันมันก็ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่

ซูเจินลุกขึ้นมานั่งอย่างยากลําบาก เขาพยายามที่จะใช้พลังจิตบังคับแก้วไวน์ที่อยู่บนโต๊ะให้ลอยมาให้เขา เพราะว่าตอนนี้เขารู้สึกกระหายน้ำเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นเขาก็พบว่า … แก้วไวน์มันยังอยู่นิ่ง ๆ อยู่บนโต๊ะไม่ยอมขยับไปไหน

”เวรเอ้ย! อย่าบอกนะว่าฉันกลายเป็นคนพิการ หลังจากที่เสียเลือดมากเกินไป”

ซูเจินรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากและพยายามที่จะใช้ความสามารถอื่นของเขา แต่เขาก็พบว่ามันไม่ตอบสนองเลยสักนิด ทําให้ซูเจินค่อย ๆ หายใจเข้าไปลึก ๆ เพื่อตั้งสติ หลังจากนั้นเขาก็ใช้พลังของแหวนในการหยิบแก้วไวน์แก้วนั้นมา และดื่มมันเข้าไปสักสองสามจิบ พร้อมกับพูดถามระบบ

“มันเกิดอะไรขึ้น … ทําไมฉันถึงใช้ความสามารถของฉันไม่ได้ ? มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่หลังจากที่ฉันหมดสติไป ?”

“โฮสต์กลืนกินความสามารถมากเกินไป ทําให้ร่างกายของโฮสต์ไม่สามารถปรับสภาพได้ทันและเกิดการพังทลายลง” ระบบตอบกลับมา

ซูเจินขดริมฝีปากของเขาและพูดขึ้นมาว่า ” ดังนั้นฉันก็ควรที่จะดีใจสินะที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ ?”

“มันเป็นเพราะความสามารถในการฟื้นฟูของโฮสต์ที่สามารถทํางานได้อย่างยอดเยี่ยม ถึงแม้ว่าร่างกายของโฮสต์จะพังทลายลง แต่มันก็สามารถฟื้นฟูกลับมาได้ทันท่วงที และนี่ก็คือเหตุผลที่โฮสต์ยังมีชีวิต ส่วนเรื่องของความสามารถที่ใช้ไม่ได้นั้น มันก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะหลังจากที่ร่างกายของโฮสต์สามารถปรับสภาพเสร็จเรียบร้อยแล้ว มันก็จะกลับมาใช้ได้ตามปกติ ดังนั้นนี่ก็จึงเป็นเหตุผลอีกข้อที่ทําให้โฮสต์ไม่สามารถใช้ความสามารถได้นั่นเอง”

“ถ้าพูดให้เขาใจง่าย ๆ ก็คือ ตอนนี้ฉันไม่มีความสามารถอะไรที่ใช้ได้เลย ฉันจะต้องรอจนกว่าร่างกายจะปรับสภาพเสร็จถึงจะใช้ความสามารถได้ตามเดิม เอ่อ … ถึงแม้ว่าจะมีเลือดออกนิดหน่อย แต่มันก็อยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้ เพราะถึงยังไงสิ่งที่สําคัญที่สุดก็คือความสามารถในกลืนกิน เป็นไงมันแข็งแกร่งขึ้นไหม ?”

“หลังจากลองตรวจสอบดูแล้วก็พบว่ามันแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิม 2 เท่า!”

“แข็งแกร่งขึ้น 2 เท่า ? เอาล่ะ! ยังดีที่มันแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิมตั้ง 2 เท่า บวกกับตอนนี้ที่ฉันยังไม่สามารถใช้ความสามารถได้ ฉันก็ควรที่จะพักสักสองสามวัน อย่างไรก็ตามในตอนนี้ฉันยังเหลือเวลาอยู่ในดันเจี้ยนได้อีกประมาณ 4 – 5 วัน ดังนั้นฉันจะกลับมากลืนกินความสามารถของฮิโรชิ นากามูระ ในครั้งหน้าก็แล้วกัน”

ซูเจินค่อนข้างที่จะผิดหวังเล็กน้อย เพราะถึงยังไงการที่เขาเลือกเข้ามาที่ดันเจี้ยนแห่งนี้ก็เพราะความสามารถของ ฮิโรชิ นากามูระ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าเขาจะต้องเสียเวลาไปฟรี ๆ สองสามวัน

“น่าเสียดาย เพราะดูเหมือนว่าโฮสต์จะต้องอยู่ที่นี่อีกสักพัก” ทันใดนั้นระบบก็พูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน

ซูเจินถึงกับตกตะลึงและรีบถามขึ้นมาว่า “หมายความว่าไง ?”

“เนื่องจากตอนนี้สภาพร่างกายของโฮสต์มันยังไม่ได้เข้าสู่สภาวะปกติดี ทําให้โฮสต์ไม่สามารถออกจากดันเจี้ยน ซึ่งระบบก็ไม่สามารถทําอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ เพราะเรื่องที่ระบบทําได้ก็แค่การให้ภารกิจและคําแนะนําเล็ก ๆ น้อย ๆ” ระบบอธิบายขึ้นมาอย่างช้า ๆ

“ฉันสามารถอยู่ในดันเจี้ยนได้แค่ 7 วันไม่ใช่หรอ ? ถ้าหมดเวลาฉันก็จะต้องออกไปจากที่โดยทันทีไม่ใช่หรอ ?” ซูเจินถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ

“โฮสต์สามารถอยู่ที่นี่ต่อได้โดยใช้พลังงานของระบบและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่สูงมาก และเนื่องจากการที่โฮสต์กลืนกินความสามารถของคนทั้งเจ็ดคนนี้ไปหมด จากคํานวณเบื้องต้น โฮสต์สามารถอยู่ในดันเจี้ยนแห่งนี้ต่อได้อีก 7 วัน และถ้าเกิดว่าร่างกายของโฮสต์มันไม่สามารถฟื้นตัวจนกลับไปเป็นปกติได้ โฮสต์ก็จะต้องใช้พลังงานที่มากขึ้นเพื่อแลกกับเวลา”

” อย่างนั้นฉันก็ขาดทุนย่อยยับเลยน่ะสิ!”

ซูเจินส่ายหัวขึ้นมาอย่างหดหู พลังงานที่เขากลืนกินมาจากคนทั้งเจ็ดคนนี้แน่นอนว่ามันจํานวนมหาศาลมาก แต่มันกลับถูกใช้ไปเพื่อแลกกับเวลาในการอยู่ภายในดันเจี้ยนเพิ่ม ซึ่งเขาก็เข้าใจความหมายของระบบเป็นอย่างดี เพราะว่าเขามีเวลาอยู่ในดันเจี้ยนได้อย่างจํากัดบวกกับ

การที่ร่างกายของเขาในตอนนี้มันยังไม่สามารถเดินได้เลยด้วยซ้ำ ทําให้เขาได้แต่จะต้องพักอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราว และการที่เขาพักอยู่ที่นี่เขาก็จะต้องจ่ายเงินให้กับทางโรงแรมเพิ่มเติม … ถ้าคุณอยากจะอยู่ที่นี่ต่อคุณก็จะต้องใช้เงิน

“โชคดีที่ฉันไม่ได้เป็นคนที่พึ่งแต่ความสามารถพิเศษอย่างเดียว ไม่อย่างงั้น ลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปเลยอย่างงั้นหรอ ?”

ซูเจินห่อหุ้มร่างกายของเขาด้วยพลังของแหวนพร้อมกับค่อย ๆ ลอยไปที่ห้องน้ำ

หลังจากที่เขาอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ใช้พลังของแหวนสร้างชุดขึ้นมาบนร่างกายของเขา

“ก๊อก ก๊อก ก๊อก!” มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นทําให้ซูเจินค่อย ๆ ลอยตัวของเขาไปที่ประตูพร้อมกับเปิดประตูเข้ามา และเขาก็พบว่าเป็นชาวเฮติที่กําลังยืนรอเขาอยู่ด้านนอก

“นายกลับมาที่นี่ทําไม ?” ซูเจินถามขึ้นมา

“คุณบอกให้ฉันกลับมาที่นี่ในตอนเช้าไม่ใช่หรอ ?”

” กลับมาตอนเช้า ? ไม่ใช่ว่าฉัน … ฟัง … เอ่อ … ฉันหมดสติไปหนึ่งวัน ?” ซูเจินเพิ่งคิดได้ว่าเขาเพิ่งหมดสติไปทั้งหมด และในตอนนี้มันก็เป็นตอนเช้าของวันรุ่งขึ้นเรียบร้อยแล้ว

“งั้นนายช่วยเข้าไปลบความทรงจําของพวกเขาให้หน่อย หลังจากนั้นก็พาพวกเขากลับไปส่งที่เดิม”

ชาวเฮติเป็นลูกน้องของเขาที่ทําหน้าที่ได้ดีมาก ทํางานหนักแทนเขาและมีประโยชน์เป็นอย่างมาก หลังจากที่ชาวเฮติพาพวกเขาออกไปหมดแล้ว ซู่เจินก็โทรไปสั่งซื้ออาหารเช้าและชุดกับทางโรงแรม

หลังจากที่เขากินอาหารเช้าจนอิ่มเรียบร้อยแล้ว เขาก็รู้สึกว่าร่างกายของเขามันดูดีขึ้น อย่างน้อยตอนนี้เขาก็สามารถลุกขึ้นมาเดินได้แล้ว

“ดูเหมือนว่าความเร็วในการฟื้นตัวของฉันมันจะค่อนข้างเร็วมาก”

ซูเจินรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย ดังนั้นในช่วงที่ร่างกายของเขากําลังฟื้นอยู่นั้น เขาก็ควรที่จะออกไปหาซื้อเสื้อผ้าสวยให้กับสกายและคนอื่น ๆ สักสองสามชุด และมันก็ยังเป็นของขวัญจาก … อีกมิติหนึ่งอีกด้วย!

ตอนที่ 125 กลืนกินอย่างบ้าคลั่ง

ซู่เจินสูดหายใจเข้าไปลึก ๆ สองสามครั้ง ก่อนที่ดวงตาของเขาจะค่อย ๆ จริงจังขึ้น

ความสามารถของ ฮิโรชิ นากามูระ จะต้องถูกเขาเอามาให้ได้ ไม่ว่าจะมีอุปสรรคอะไร ขวางหน้าก็ตาม เขาก็จะพยายามแย่งชิงมันมาให้ได้ เพราะว่าเขาคือ … คนที่จะขึ้นเป็นราชา!

“ไปกันเถอะ … ได้เวลาออกล่าแล้ว!”

ซู่เจินดื่มไวน์ที่อยู่ในแก้วจนหมดพร้อมกับหันไปพูดกับชาวเฮติด้วยน้ําเสียงนุ่มลึกยากที่จะคาดเดา

ชาวเฮติไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับซู่เจิน แต่เขาก็เลือกที่จะไม่พูด เพราะเขารู้สึกได้ว่าซู่เจินในตอนนี้ให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเขาก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันแตกต่างตรงไหน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีความรู้สึกที่ทําให้เขารู้สึกยอมจํานนต่อมัน ความรู้สึกของการเคารพบูชาดั่งราชาผู้ยิ่งใหญ่

หลังจากที่พวกเขาเดินออกมาจากโรงแรม ซู่เจินก็พบรถคันหนึ่งกําลังขับมาจอดหน้าโรงแรม และเมื่อเขามองดูไปที่สติ๊กเกอร์โฆษณาบนรถแล้ว รถคันนี้มันน่าจะเป็นรถทําความสะอาด

ทําให้ซู่เจินเดินไปหาคนขับที่กําลังลงมาจากรถพร้อมกับตบไปที่ไหล่ของเขาเบา ๆ ทําให้คนขับหันไปมองทางซู่เจินและถามขึ้นมาว่า “มีอะไรให้ผมช่วยอย่างงั้นหรอ ?”

” ผมขอยืมรถคุณชั่วคราวได้ไหม ? เดี๋ยววันพรุ่งนี้ผมจะเอามาคืน และคุณก็มารอผมที่นี่ในวันพรุ่งนี้!” เมื่อซู่เจินพูดจบ ดวงตาของเขาก็ค่อย ๆ มืดลง

“ตกลง พรุ่งนี้ฉันจะมารอที่นี่เพื่อเอารถของฉันคืน!” คนขยับหยิบกุญแจรถออกมาพร้อมกับยื่นออกไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว หลังจากนั้นชาวเฮติก็เดินไปหยิบกุญแจมา และพวกเขาก็เดินขึ้นไปบนรถอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่ซู่เจินขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว เขาก็เริ่มใช้ความสามารถของเขาในการตามหาคนที่มีความสามารถพิเศษทันที

ซึ่งเป้าหมายแรกของเขาก็คือ ปีเตอร์ เพเทรลรี่ ทําอาชีพเป็นพยาบาลชาย และเป็นตัวของดันเจี้ยนซูเปอร์ฮีโร่ ซึ่งพี่ชายของเขามีชื่อว่า นาธาน เพเทรลรี่ เป็นนักการเมืองที่มีความสามารถในการบิน ส่วนแม่ของพวกเขาก็มีความสามารถเช่นกันนั่นก็คือการทํานายอนาคตโดยใช้การฝันเป็นสื่อกลาง เรียกได้ว่าครอบครัวนี้เป็นผู้มีความสามารถพิเศษทุกคน

และเขายังว่ากันว่าหลานสาวของปีเตอร์ก็คือแคลร์ ลูกสาวของพี่ชายของเขานาธานที่เป็นผู้ให้กําเนิดเธอขึ้นมา และแน่นอนว่าพวกเขายังไม่ได้รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลยด้วยซ้ํา

ในขณะเดียวกันทางด้านของปีเตอร์ในตอนนี้ที่กําลังเดินออกมาจากบ้านของผู้ป่วยที่เขาดูแลอยู่ ทันใดนั้นในขณะที่เขากําลังจะเดินลงบันไดเขาก็สังเกตเห็นใครบางคนกําลังเดินขึ้นมา ทําให้เขาพยายามที่จะหลีกทางให้ แต่เขาก็พบว่าชายคนนั้นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา

” ปีเตอร์ ?”

“คุณรู้จักฉันงั้นหรอ ?”

“เป็นคุณนั่นเอง!”

ชายคนนั้นยิ้มขึ้นมาทันที ทําให้ปีเตอร์ในตอนนี้เริ่มรู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างผิดปกติ เพราะ หลังจากที่เขาลองสังเกตชายคนนี้ดูแล้วเขาก็พบว่าดวงตาของชายคนนี้เป็นสีดําสนิท และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ยินชายคนนั้นพูดขึ้นมาว่า “คุณไปรอผมอยู่ในรถคันนั้น!”

“ได้!”

ปีเตอร์ตอบขึ้นมาพร้อมกับเดินลงจากบันไดและมุ่งหน้าไปที่รถตู้คันนั้นทันที

ซู่เจินพยักหน้าไปทางชาวเฮติที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาเล็กน้อย หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินไปพร้อมกัน

หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็มาถึงห้อง ๆ หนึ่ง ซู่เจินจ้องมองไปที่ลูกบิดประตูเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงคลิ้กดังขึ้นมาจากด้านใน ทําให้เขาเปิดประตูและเดินเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่พวกเขาเดินเข้าไปได้สักพัก เขาก็สังเกตเห็นชายชราผิวดําคนหนึ่งกําลังนอนอยู่

โดยสภาพร่างกายของเขาก็อ่อนแอมากและสภาพมันก็ดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ซึ่งเขาก็คือผู้ป่วยที่อยู่ภายใต้การดูแลของปีเตอร์ ผู้ป่วยที่กําลังจะตาย แต่ถึงอย่างไรก็ตามเขาก็เป็นคนที่มีความสามารถในการโทรจิต

“ช่วยขยายขอบเขตการปิดกั้นหน่อย เพราะว่ายังมีอีกคนหนึ่งอยู่ไม่ไกลจากนี้มากนัก”

ซู่เจินหันไปพูดกับชาวเฮติ หลังจากนั้นเขาก็เดินไปที่ระเบียงและกระโดดข้ามไปยังฝั่งตรงข้าม ซึ่งฝั่งตรงข้ามก็มีกรงนกพิราบอยู่มากมาย และที่ข้างกรงนกพิราบนั้นมีชายคนหนึ่งกําลังนั่งขดตัว พร้อมกับมองไปที่ซู่เจินอย่างระมัดระวัง

“คุณไม่หนีอย่างงั้นหรอ ? หรือคุณคิดว่าผมมองไม่เห็น ?”

ซู่เจินมองไปที่ชายคนนั้นพร้อมกับพูดขึ้นมาเบา ๆ

สีหน้าของชายคนนั้นดูตกตะลึงเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา และพึมพําขึ้น มาในใจว่า ”เขามองเห็นฉันอย่างงั้นหรอ ? เขาเห็นฉันจริง ๆ ใช่ไหม ? หรือว่าเขาจะโกหก ?”

” ผมไม่ได้โกหกคุณหรอกนะคุณมนุษย์ล่องหน เพราะว่าผมมองเห็นคุณจริง ๆ เพราะว่าตอนนี้คุณไม่ได้ล่องหนอยู่” ซู่เจินพูดขึ้นมา

“คุณรู้งั้นหรอว่าฉันคิดอะไรอยู่”

ชายมนุษย์ล่องหนพูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ และเขาก็พบว่าตอนนี้ความสามารถล่องหนของเขามันหายไปแล้วจริง ๆ

“นี่ … คุณเป็นพวกเดียวกับคนพวกนั้นอย่างงั้นหรอ ?”

หลังจากชายมนุษย์ล่องหนพูดจบ เขาก็รีบวิ่งหนีไปด้วยความตื่นตระหนก โดยไม่ถามซู่เจินสักคําว่าปล่อยให้ไปได้แล้วหรือยัง ? ทันใดนั้นก็มีบอลเพลิงพุ่งตามเขาไปอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันทางด้านของชายมนุษย์ล่องหนก็รู้สึกเจ็บที่ต้นคออย่างรุนแรง ทําให้เขาหมดสติไปในทันที

ซึ่งจริง ๆ แล้วชายมนุษย์ล่องหนคนนี้ก็คืออดีตเพื่อนร่วมงานของเบนเน็ตต์ พวกเขาเคยทําภารกิจขององค์กรด้วยกันมาก่อน แต่แล้วเขากับคิดที่จะกลับใจเป็นคนธรรมดา ทําให้เขาหลบหนืออกจากองค์กรแล้วมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่จนถึงปัจจุบัน

หลังจากที่เงินเดินไปอุ้มตัวของชายมนุษย์ล่องหนมาเรียบร้อยแล้ว เขาก็กระโดดกลับไปที่ห้องของชายชราผิวดํา พร้อมกับมอบมนุษย์ล่องหนให้กับชาวเฮติ หลังจากนั้นเขาก็หันไปพูดกับชายชราผิวดําว่า “อีกไม่นานคุณก็ตายแล้ว และความสามารถของคุณมันก็จะสูญเปล่า ดังนั้นคุณควรที่จะมอบมันให้กับผมจะดีกว่า และผมก็ขอสัญญาว่าถ้าเกิดว่าผมเจอคนที่ควบคุมพลังของคุณได้ ผมจะช่วยต่อชีวิตให้กับคุณอีกสักสองสามปีก็แล้วกัน”

หลังจากพูดจบ ซู่เจินก็ใช้พลังจิตของเขาห่อหุ้มไปที่ร่างกายของชายชราผิวดําทันที หลังจากนั้นเขาก็ย้ายร่างของชายชราผิวดําไปบนรถเข็น และเดินออกมาจากห้องเพื่อมุ่งหน้าไปที่รถทันที

“สาม!”

หลังจากที่เขาเอาร่างของชายชราผิวดํา ชายมนุษย์ล่องหน และปีเตอร์ขึ้นไปบนรถเสร็จแล้ว ซู่เจินก็ขับรถออกไปอย่างรวดเร็วโดยมีชาวเฮติที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขา โดยที่ซู่เจินจะยังไม่หยุดแค่นี้อย่างแน่นอนเพราะว่าแค่สามคนมันยังไม่เพียงพอ

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ซู่เจินก็กลับมาถึงห้องพักที่โรงแรม

ซึ่งนอกจากเขาและชาวเฮติแล้ว ยังมีคนอีกมากมายที่อยู่ภายในห้องของเขา

ปีเตอร์ มีความสามารถในการเลียนแบบความสามารถของคนอื่น , ชายชราผิวดํา มีความสามารถโทรจิต , ชายล่องหน มีความสามารถล่องหน , พี่ชายของปีเตอร์ นาธาน มีความสามารถในการบิน , แม่ของปีเตอร์ มีความสามารถในการทํานายอนาคตผ่านการฝัน , ชายอ้วน มีความสามารถในการละลายของแข็ง ป้าคนหนึ่ง มีความสามารถสุดยอดการได้ยิน

คนที่มีความสามารถพิเศษทั้ง 7 คนที่มีความสามารถแตกต่างกัน

ซึ่งซู่เจินก็พยายามหาคนที่มีความสามารถพิเศษที่มีความสัมพันธ์กับปีเตอร์ เพราะว่ามันสะดวกดี แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีข้อยกเว้นอยู่สองคนที่ไม่ค่อยสะดวกนักเพราะว่าพวกเขาอาศัยอยู่ค่อนข้างไกลจากตัวเมืองมาก ทําให้ซู่เจินจะต้องเสียเวลาสักพักหนึ่งกว่าจะพาตัวของพวกเขามาได้

และถ้าถามว่าทําไมซู่เจินถึงได้ยอมเหนื่อยขนาดนี้ ก็เพราะว่าพวกเขาทั้งสองคนนี้ก็คือคนที่มีความสามารถ ในการละลายของแข็ง และ สุดยอดการได้ยิน ซึ่งพวกเขาจะถูกฆ่าโดยเซอร์ร่าในเวลาต่อมา ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียซู่เจินจึงต้องยอมเสียเวลามากขึ้นไปอีกสักเล็กน้อย

แน่นอนว่าความสามารถของคนทั้งเจ็ดคนนี้ ความสามารถของปีเตอร์นั้นกลืนกินได้อยากที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ยากไปกว่าของ ฮิโรชิ นากามูระ อย่างแน่นอน

ซู่เจินมองไปที่พวกเขาที่ละคน ก่อนที่จะสูดหายใจเข้าไปลึก ๆ พร้อมกับพูดขึ้นมากับชาวเฮติ เบา ๆ ว่า “นายออกไปจากที่นี่ก่อน และค่อยมาหาผมพรุ่งนี้ตอนเช้า”

ชาวเฮติพยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับหันหลังเดินจากไปทันที

ด้วยความสามารถของคนทั้งเจ็ดคนนี้มันก็น่าจะเพียงพอแล้ว ซึ่งซู่เจินก็ยังไม่ต้องการกลืนกินความสามารถของชาวเฮติในตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงไล่ชาวเฮติให้กลับไปก่อน ไม่งั้นถ้าเกิดว่าเขาเสียการควบคุมขึ้นมาเขาอาจจะเผลอกลืนกินความสามารถของชาวเฮติขึ้นมาก็ได้

หลังจากชาวเฮติเดินจากไปเรียบร้อยแล้ว ซู่เจินก็ตัดสินใจที่จะกลืนกินความสามารถของป้าที่มีความสามารถสุดยอดการได้ยินเป็นคนแรก เขาค่อย ๆ วางมือลงบนหัวของเธอพร้อมกับใช้ความสามารถในการกลืนกินของเขาทันที

หลังจากที่เขากลืนกินเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซู่เจินก็เริ่มกลืนกินความสามารถของคนต่อไปทันที

ซู่เจินค่อย ๆ กลืนกินความสามารถที่ละคนอย่างช้า ๆ และเมื่อเขากลืนกินไปได้สามคน เขาก็รู้สึกได้ว่าภายในร่างกายของเขามันเต็มไปด้วยพลังงานอันท่วมท้นเต็มไปหมด ทําให้เขาพยายามที่จะกัดฟัน และเริ่มกลืนกินความสามารถต่อไป ซึ่งหลังจากที่เขากลืนกินความสามารถของคนที่สี่เสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็หมดสติไปในทันที …

ตอนที่ 124 กลืนกินไม่ได้ ?

ซู่เจินพูดขึ้นมาเป็นภาษาอังกฤษ ทําให้นากามูระจะต้องใช้เวลาอยู่สักพักหนึ่งจนกว่าเขาจะเข้าใจความหมายของประโยคนี้ทั้งหมด พร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยความเคร่งขรึมว่า “ใช่ ฉันเป็นคนญี่ปุ่น และครอบครัวของฉันทั้งหมดก็เป็นคนญี่ปุ่น!”

เมื่อซู่เจินเห็นว่านากามูระพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจัง เขาก็เข้าใจได้ในทันทีเลยว่านากามูระจะต้องไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของประโยคนี้อย่างแน่นอน

ซู่เจินส่ายหัวขึ้นมาเบา ๆ และพูดว่า “ฮิโรชิ นากามูระ ผมหาพวกเราไปหาที่คุยกันที่อื่นกันเถอะ”

“คุณรู้จักชื่อของฉันได้ยังไง คุณรู้จักฉันอย่างงั้นหรอ ?”นากามูระถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ

“ถ้าคุณอยากรู้ คุณก็ตามผมมา”

เมื่อซู่เจินพูดจบเขาก็หันหลังเดินจากไปทันที

โดยที่มีเสียงตะโกนของนากามูระดังขึ้นมาจากทางด้านหลังว่า “เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งไป ทําไมคุณถึงรู้ชื่อของฉันได้ว่า ฉันชื่อฮิโรชิ นากามูระ หยุดก่อน …”

นากามูระตะโกนไล่หลังซูเจนขึ้นมาดังลั่น ทําให้ซู่เจินรู้สึกรําคาญขึ้นมาเล็กน้อย เพราะว่ามันเสียงดังและน่าอายเกินไป

ทําให้ซู่เจินได้แต่เดินไปอย่างเงียบ ๆ เพราะเขากลัวว่าคนอื่น ๆ จะมองว่าเขาเป็นพวกเดียวกับนากามูระคนนี้

“หุบปาก แล้วเดินตามมาเงียบ ๆ!”

แน่นอนว่านากามูระไม่ได้ฟังที่ซ่เงินพูดเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่เขาเดินตามซู่เจินจนทัน เขาก็หันไปพูดกับซู่เจินทันที โดยซู่เจินก็สังเกตเห็นว่าผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ตัวของเขากําลังมองที่เขาด้วยสายตาแปลก ๆ ทําให้ซู่เจินหันไปตะโกนใส่นากามูระพร้อมกับทําท่าทางน่ากลัวออกมา

นากามูระถึงกับผงะเมื่อเห็นท่าทางที่ไม่พอใจของซู่เจิน เขาก็รีบปิดปากเงียบอย่างรวดเร็ว

ซู่เจินส่ายหัวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ พร้อมกับเร่งความเร็วในการเดินขึ้นมาเล็กน้อย

หลังจากเดินมาได้ไม่นานพวกเขาก็เดินมาถึงตรอกที่ห่างไกลจากผู้คน นากามูระหันไปสังเกตรอบ ๆ เขาก็พบว่านอกจากซู่เจินแล้วยังมีผู้ชายผิวสีอีกคนหนึ่งที่กําลังยืนอยู่

“ฉันขอถามอะไรคุณหน่อยได้ไหม ?” นากามูระหันไปถามกับซู่เจินด้วยความลังเล

ซู่เจินพยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ

นากามูระถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและรีบพูดขึ้นมาว่า ”คุณเป็นใครกันแน่ ? คุณรู้ชื่อของฉันได้อย่างไร ? คุณรู้ใช่ไหมว่าฉันมีความสามารถพิเศษ ?”

นากามูระพูดขึ้นมาอย่างติด ๆ ขัด ๆ เพราะว่าเขาไม่ค่อยเก่งภาษาอังกฤษมากนัก

“ผมรู้ว่าคุณเป็นใครและมีความสามารถพิเศษอะไร ดังนั้นผมจึงมาหาคุณที่นี้โดยเฉพาะ!” หลังจากนากามูระพูดจบซ่เงินก็พูดขึ้นมาทันที

“คุณมาหาผมทําไม ? เพราะอะไร ?” นากามูระถามขึ้นมาด้วยความมึนงงเล็กน้อย

” เพราะว่าผมต้องการความสามารถของคุณ!”

หลังจากพูดจบซู่เจินก็เอาไว้คว้าจับไปที่ไหล่ของนากามูระอย่างรวดเร็วพร้อมกับใช้ความส มารถในการกลืนกินของเขาขึ้นมาทันที

“อะไรน่ะ ไม่ ไม่ … อย่านะ … นี่มันคือความสามารถพิเศษของฉัน คุณจะเอามันไปไม่ ได้” นากามูระพยายามที่จะเอามือของซู่เจินออกมา แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามเท่าไหร่มันก็ไม่สําเร็จ

นากามูระกัดฟันของตัวเองอย่างรุนแรง และเตรียมพร้อมที่จะใช้ความสามารถของเขาในการหลบหนี

“ไม่ได้ผล ทําไมมันถึงเป็นอย่างนี้ ฉัน…ฉันจะต้องลองมันอีกครั้ง!”

แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามใช้ความสามารถมากเท่าไหร่มันก็ไม่สําเร็จสักที

ซึ่งซู่เจินก็ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับนากามูระมากนัก ในเมื่อตอนนี้เขายังมีชาวเฮติยืนอยู่ใกล้ ๆ ดังนั้นความสามารถของนากามูระจึงถูกปิดกั้นโดยสมบูรณ์ และนี่มันก็ยังไม่ได้รวมถึงเรื่องที่ว่าเขาเพิ่งจะได้รับความสามารถมาเมื่อไม่นานมานี้ ทําให้โอกาสที่เขาจะหลบหนีไปได้มันช่างน้อยนิดนัก แต่ถึงอย่างนั้นความสามารถของนากามูระก็กลืนกินได้ยากจริง ๆ

ความสามารถของนากามูระมันแข็งแกร่งยิ่งกว่าความสามารถของแคลร์ซะอีก

ในตอนที่เขากลืนกินความสามารถของแคลร์มันยังมีความรู้สึกต่อต้านขึ้นมาอย่างรุนแรงและ ยากที่จะกลืนกินมันได้ แต่ในตอนนี้เขากับพบว่าความสามารถของนากามูระมันไม่มีการตอบสนองใด ๆ เลย

ไม่มีการตอบสนองใด ๆ ราวกับว่าเขาเป็นคนที่ไม่มีความสามารถ

ทําให้ซู่เจินในตอนนี้อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอเหตุการณ์แบบนี้

“ได้โปรด ปล่อยฉันไปเถอะ ปล่อยฉันไป … “

ในเมื่อเขาเห็นว่าไม่สามารถหนีรอดไปได้ ดังนั้นเขาจึงทําได้เพียงแต่ตะโกนขอความเมตตาจากซู่เจินอย่างต่อเนื่อง หลังจากเขาตะโกนไปได้ไม่นาน ซู่เจินก็ปล่อยตัวของเขา

หลังจากที่เขาเป็นอิสระเขาก็หยุดนิ่งไปสักครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะหันหลังและวิ่งออกไป แต่หลังจากที่เขาวิ่งไปได้สองสามก้าว เขาก็หันหลังกลับไปและเห็นว่าซู่เจินไม่ได้ตามมา ทําให้เขารู้สึกลังเลใจ

แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจหันหลังวิ่งหนีออกไป

ซึ่งซู่เจินก็ไม่ได้ไล่ตามนากามูระ เพราะว่าการที่เขาจะตามหาตัวของนากามูระมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ .. มันก็คงจะไร้ประโยชน์ก่อนไปถ้าเขาจะไปตามหาตัวของเขาในตอนนี้ ถ้าเกิดว่าเขายังไม่สามารถกลืนกินความสามารถของเขาได้

“ไปหาที่พักกันก่อนเถอะ”

ซู่เจินหันไปพูดกับชาวเฮติ หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินออกมาจากตรอกอย่างรวดเร็ว

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้การที่เขาพาชาวเฮติมาด้วยมันช่างเป็นทางเลือกที่ถูกต้องจริง ๆ เพราะการที่มีชาวเฮติยืนอยู่ข้าง ๆ มันช่างทําให้เขาสามารถทําอะไรต่าง ๆ สะดวกมากขึ้นจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการไปทําธุรให้กับเขา หรือการจัดการเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ

ซู่เจินเดินเข้าไปเปิดห้องในโรงแรมห้าดาว หลังจากที่เขาเข้าห้องมาเรียบร้อยแล้วเขาก็นั่งลงบนโซฟานุ่ม ๆ พร้อมกับจิบไวน์เบา ๆ และค่อย ๆ มองออกไปยังนอกหน้าต่างเพื่อชมทิวทัศน์ที่อยู่ด้านนอก ในขณะเดียวกันเขาก็พูดคุยกับระบบไปด้วย ..

“ระบบ ทําไมฉันถึงไม่สามารถกลืนกินความสามารถของ ฮิโรชิ นากามูระได้ แถมฉันยังรู้สึกถึงความสามารถของเขาไม่ได้อีกด้วย” ซู่เจินรู้สึกงงงวยขึ้นมาเล็กน้อย โดยหวังว่าระบบจะไขข้อสงสัยให้กับเขาได้

” ความสามารถมีการแบ่งแยกเป็นระดับสูงและต่ําอย่างชัดเจน โดยที่ความสามารถบางอย่างมันจะค่อย ๆ แข็งแกร่งขึ้นตามการฝึกฝน และบางความสามารถมันก็แข็งแกร่งมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ซึ่งความสามารถของนากามูระก็เป็นอย่างหลัง ส่วนความสามารถในการกลืนกินของโฮสต์มันเป็นอย่างแรก!”

” ความสามารถในการกลืนกินของคุณมันมาจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในร่างกายของโฮสต์ตอนที่โฮสต์ข้ามมายังโลกมาเวล โดยที่ร่างกายของโฮสต์สามารถปรับสมดุลและหลอมรวมเข้ากับความต่าง ๆ ได้อย่างไร้ขีดจํากัด แต่ถึงอย่างนั้นความสามารถในการกลืนกินของโฮสต์ในตอนนี้ก็ยังอ่อนด้อยกว่าความสามารถของนากามุระอยู่มาก ดังนั้นโฮสต์จึงจําเป็นที่จะต้องเพิ่มความแข็งแกร่งในการกลืนกินก่อนถึงจะกลืนกินความสามารถของนากามูระได้!”

“ถ้าอย่างนั้นในตอนนี้ฉันก็ยังไม่สามารถกลืนกินมันได้สินะ แล้วฉันจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับความสามารถในการกลืนกินของฉันได้อย่างรวดเร็วยังไง ?” ซู่เจินถามขึ้นมา

” กลืนกินความสามารถ เพราะยิ่งโฮสต์กลืนกินความสามารถเข้าไปมากเท่าไหร่ ความสามารถของโฮสต์ก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น โดยที่โฮสต์จะรู้ได้ด้วยตัวเอง” ระบบพูดขึ้นมา

ซู่เจินพยักหน้าเห็นด้วยขึ้นมาเล็กน้อย เพราะยิ่งเขากลืนกินความสามารถเข้าไปมากเท่าไหร่ ความเร็วในการกลืนกินของเขามันก็เร็วมากขึ้นเท่านั้น แถมมันจะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ

“แต่ถ้าเกิดว่าฉันกลืนกินมันมากเกินไป ร่างกายของฉันมันก็คงจะไม่สามารถปรับตัวได้ทันอย่างแน่นอน และหลังจากนั้นฉันก็จะเสียการควบคุมของตัวเอง!” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยความกังวล

“การเสียการควบคุมของตัวเองเป็นเพียงแค่ผลกระทบข้างต้นเท่านั้น เพราะถ้าเกิดว่าโฮสต์กลืนกินมันมากยิ่งกว่านี้อีก ร่างกายของโฮสต์จะไม่สามารถหลอมรวมเข้ากับความสามารถที่มากมายได้อย่างแน่นอน และผลของมันก็คือการล่มสลาย”

” ล่มสลาย ?”

”ร่างกายของโฮสต์ก็จะระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ”

“เป็นโกโก้ครัน!”

คําตอบของระบบทําให้ซูเงินรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า ”นั่นก็เท่ากับตายไม่ใช่หรอ ?”

“ใช่ แต่มันก็มีแค่วิธีนี้เท่านั้นที่จะทําให้โฮสต์สามารถเพิ่มความแข็งแกร็งของความสามารถในการกลืนกินได้อย่างรวดเร็ว”

“ไม่มีทางอื่นแล้วอย่างงั้นหรอ ?”

“การจะเป็นราชามันไม่ใช่เรื่องง่าย!”

ซู่เจินถึงกับเงียบ ใช่ ราชา! นี่คือระบบของราชา และเป้าหมายของเขาก็คือการเป็นราชา ดังนั้นเขาจึงจําเป็นที่จะต้องแข็งแกร่งขึ้น แต่เมื่อไหร่เขาถึงจะได้เป็นราชาล่ะ ?

เห็นความสามารถที่แข็งแกร่งอยู่ตรงหน้าแต่กับกลืนกินไม่ได้ เพราะความแข็งแกร่งของตัวเองยังมีไม่มากพอ

และนี่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ราชาควรจะเป็น

Marvel: The King ราชาของโลกมาเวล

ตอนที่ 123 นิวยอร์ค ฮิโรชิ นากามูระ

ถึงแม้ว่าซู่เจินจะเคยลองวัดขนาดของแคลร์ด้วยสายตามาก่อนแล้ว แต่เขาก็ยังอดรู้สึกตื่นตาตื่นใจไม่ได้เมื่อเขาได้ลองสัมผัสมันจริง ๆ ร่างกายของเธอมันเต็มไปด้วยความเยาว์วัย และเสน่ห์อันน่าหลงใหล

ในขณะที่แคลร์ในตอนนี้กําลังเขินอายเป็นอย่างมาก และกําลังนั่งหลับตารอเป็นเวลานาน แต่ซู่เจินก็ยังไม่ได้ทําอะไรกับเธอ ทําให้เธอค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างสงสัย และทันใดนั้นเธอก็สังเกตเห็นสายตาของซู่เจินที่จ้องมาที่เธออย่างร้อนแรง เธอก็รีบปิดตาลงอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นร่างกายของเธอมันก็ค่อย ๆ ร้อนขึ้นเหมือนกับว่ามีอะไรอยู่ภายในร่างกายของเธอ

ที่ด้านนอกของตัวบ้านมีลมอ่อน ๆ พัดไปพัดมาอยู่ตลอดเวลา พร้อมกับเสียงลมหายใจ …

ในป่าที่เงียบสงัดในตอนนี้มันเต็มไปด้วยเสียงหายใจอย่างรุนแรงดังขึ้นมาเป็นระยะ ๆ และในบางครั้งเสียงมันก็รุนแรงจนทําให้นกถึงกับหวาดกลัวจนบินหนีขึ้นไปบนท้องฟ้า พร้อมกับเสียงอันไพเราะ ๆ ที่ค่อย ๆ ดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ….

ไม่รู้เหมือนกันว่าเวลามันผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว แต่ตอนนี้เสียง ๆ มันค่อย ๆ เบาลงอย่างช้า ๆ และเงียบไป

“คุณไม่ต้องพูดอะไรหรอก … ผมรู้นะว่าคุณพอใจกับมันมาก ซึ่งผมก็เช่นเดียวกัน!”

ในขณะที่แคลร์กําลังจะพูดอะไรบางอย่าง ซู่เจินก็พูดขัดจังหวะเธอขึ้นมาก่อนพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ

“คุณรู้จริง ๆ งั้นหรอว่าฉันกําลังคิดอะไรอยู่ ?” แคลร์ถามขึ้นมา

“มันเป็นความสามารถในการอ่านใจของผู้อื่นได้ ซึ่งผมก็เพิ่งได้มันมาไม่นานนี้เอง และ ในตอนนี้ผมก็พยายามฝึกควบคุมมันอยู่เพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องได้ยินในสิ่งที่ไม่ต้องการได้ยิน” ซู่เจินอธิบายขึ้นมาอย่างช้า ๆ

“ฉัน ฉันจะได้เจอคุณอีกไหม ?” แคลร์ไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอทําเพียงแค่จ้องมองไปที่ซู่เจินและคิดขึ้นมาภายในใจเท่านั้น

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาและพูดว่า “แน่นอน ถึงแม้ว่าผมจะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่ผมก็ยังมาหาคุณได้ตลอดเวลา”

แคลร์ยิ้มขึ้นมาอย่างอ่อนหวาน และไม่ได้คิดจริงจังเกี่ยวกับมันมากนัก ซึ่งซู่เจินก็ไม่ได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน

ด้วยสนามประลองซู่เจินสามารถเรียกตัวของแคลร์มาได้ตลอดเวลา ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้ระบบมันได้แจ้งเตือนค่าความสัมพันธ์ของแคลร์ที่เพิ่มขึ้นมาอีกครั้ง

และมันก็เป็นการเพิ่มที่น่าประทับใจมาก 80%!

ทําให้ในตอนนี้เขามีค่าความสัมพันธ์กับแคลร์สูงถึง 175%

หนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ ? เดิมที่ซู่เจินคิดว่าหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์มันคือขีดจํากัน ซึ่งเขาก็ไม่คิดเหมือนกันว่ามันจะเป็นแบบนี้

ด้วยค่าความสัมพันธ์ที่สูงมากขนาดนี้ เขาน่าจะพาเธอออกจากดันเจี้ยนไปยังโลกมาเวลได้ใช่ไหม ?

หลังจากที่แคลร์นอนพักจนหายเหนื่อยแล้ว ซู่เจินก็ช่วยเธอแต่งตัว พร้อมกับค่อย ๆ เดินออกมาจากบ้านต้นไม้ และเดินกลับไปที่รถ

และหลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็กลับเข้ามาภายในเมือง และซู่เจินก็ขับรถไปส่งถึงที่บ้าน

“คุณ … คุณจะกลับมาหาฉันจริง ๆ ใช่ไหม ?” แคลร์มองไปที่ซู่เจินพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยความกังวลเล็กน้อย

ซู่เจินยิ้มและพูดขึ้นมาว่า “อืม! เอาล่ะ กครั้งอย่างแน่นอน ในเร็ว ๆ นี้”

มันถึงเวลาที่ผมต้องไปแล้ว พวกจะได้พบกันอีก

หลังจากกลับมาที่เมือง แคลร์เริ่มปล่อยให้ซูซานวางตัวเองลง

เมื่อมองแคลร์ที่เดินจากไป ทันใดนั้นซู่เจินก็พบชาวเฮติกําลังเดินเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันซู่เจินก็รู้ตัวแหน่งของเซอร์ร่าแล้วเช่นกัน ซึ่งเขาก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเซอร์ร่า ในตอนนี้จะหนีออกไปจากเทกซัสเรียบร้อยแล้ว

” เขาหนีไปเร็วมาก แต่ก็ชั่งมันเถอะ .. ฉันจะปล่อยให้คุณมีชีวิตอยู่อีกสักสองสามวันก็แล้วกัน”

ซู่เจินไม่อยากเสียเวลากับการไล่ล่าเซอร์ร่ามากนัก เพราะว่าเป้าหมายของเขาคือนิวยอร์ค

ที่นิวยอร์คในตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่กําลังเดินสัญจรเต็มไปหมด

ซู่เจินพาชาวเฮติออกจากเทกซัสเพื่อมุ่งหน้าไปที่นิวยอร์ค ซึ่งนิวยอร์คในตอนนี้มันก็เต็มไปด้วยผู้คนที่เดินพลุกพล่านเต็มถนนไปหมด ทําให้ซู่เจินในตอนนี้กําลังมองไปรอบ ๆ ด้วยความสนใจ เปรียบเสมือนกับว่าเขาเป็นนักท่องเที่ยวที่กําลังเที่ยวชมสถานที่ที่สวยงามต่าง ๆ

“ถึงแม้ว่าสภาพแวดล้อมส่วนใหญ่ของที่นี่จะเหมือนกัน แต่ตึกหลาย ๆ อย่างที่ฉันเคยเห็นมันหายไป เช่น ตึกของสตาร์กอินดัสตรีส์หรือตึกของ Damage Control

ซู่เจินเปรียบเทียบระหว่างนิวยอร์คของที่นี่กับโลกมาเวล และถึงแม้ว่ามันจะเป็นเมืองแห่งเดียวกัน แต่มันก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เพราะว่าผู้คนของที่นี่เต็มไปด้วยความผ่อนคลายและความมีชีวิตชีวา ซึ่งมันอาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ได้มีแรงกดดันเหมือนกับที่โลกมาเวลก็ได้

เพราะถึงอย่างไรท้ายที่สุดแล้ว ที่นี่ก็ไม่มีมนุษย์ต่างดาวมาบุกบ่อยเหมือนกับที่โลกมาเวล

หลังจากเดินไปได้ไม่นานซู่เจินก็เดินมาถึงไทม์สแควร์อย่างรวดเร็ว

มีตึกที่สูงระฟ้าอยู่รอบ ๆ ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ จออิเล็กทรอนิกมากมาย ทําให้ผู้คนที่เห็นจะต้องตื่นตาตื่นใจ เห็นได้ชัดว่าที่นี่มีคนอยู่มากมายที่อื่น ๆ ซึ่งในจํานวนที่มากขนาดนี้มันก็มีชาวเอเชียอยู่จํานวนมากเช่นกัน

เมื่อซู่เจินลองเดินไปที่ตู้หนังสือที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็เห็นหนังสือการ์ตูนอยู่เล่มหนึ่ง

โดยหน้าปกของหนังสือการ์ตูนเล่มนี้มีรูปของชายชาวเอเชียคนหนึ่งที่กําลังสวมแว่นอยู่ที่ไทม์สแคร์ด้วยท่าทางประหลาดใจและตื่นเต้น

ฮิโรชิ นากามูระ!

ซู่เจินหยิบหนังสือการ์ตูนเล่นนั้นขึ้นมาพร้อมกับเปิดอ่านไปสองสามหน้า แต่ทันใดนั้นเจ้าของร้านก็พูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจว่า “เฮ้ ที่นี่ไม่ใช่ห้องสมุดนะ คุณจะยืนเปิดอ่านแบบนี้ไม่ได้!”

ซู่เจินไม่ได้เงียบหน้าขึ้นมามอง แต่เขากับกระดิกนิ้วไปด้านหลัง

ชาวเฮติที่ยืนอยู่ข้างหลังก็รีบเดินเข้าไปจ่ายเงินอย่างรวดเร็ว ทําให้เจ้าของร้านรีบปิดปากอย่างรวดเร็วหลังจากที่เขาได้รับเงิน

หนังสือการ์ตูนเล่นนี้มันไม่ได้หนามากนัก ทําให้ซู่เจินใช้เวลาในการอ่านมันเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น บวกกับจํานวนหน้าที่มีอยู่เพียงแค่นิดเดียว ซึ่งเนื้อหาในตอนแรกก็คือ ฮิโรชิ นาการมูระ ย้อนเวลากลับไปที่ญี่ปุ่นเพื่อไปบอกเกี่ยวกับเรื่องความสามารถของเขาให้กับเพื่อนของเขา ที่ไม่ยอมเชื่อ หลังจากนั้นเขาก็เดินทางข้ามกาลเวลากลับไปที่นิวยอร์คโดยนั่งอยู่ในรถไฟใต้ดิน

สวนเนื้อหาในตอนท้ายของเรื่องก็คือ ฮิโรชิ นากามูระ ใช้ความสามารถของเขาขึ้นมาอีกครั้งราวกับว่าเขากําลังจะไปที่ไหนสักหนึ่ง พร้อมกับเนื้อเรื่องที่ตัดจบลงตรงนี้

“ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเพราะฉันสินะ ที่ทําให้เนื้อเรื่องเดิมมันเปลี่ยนไป แต่ … ตอนสุดท้าย นี่มันหมายความว่าอย่างไร ? เพราะว่าเขารู้ว่าฉันมาที่นี่ เขาก็เลยใช้พลังของเขาเพื่อหนีอย่างงั้นหรอ ?”

ซู่เจินขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย เพราะว่าเนื้อหาในการ์ตูนมันยังไม่สมบูรณ์ มันยังมีอะไรบางอย่างที่ขาดหายไปอยู่ ฮิโรชิ นากามูระปรากฏตัวขึ้นที่นิวยอร์คพร้อมกับสร้างเรื่องที่สุดเซอร์ไพรส์นมา ตามมาด้วยการใช้ความสามารถของเขาเพื่อหนีไป

“เฮ้!”

ซู่เจินได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนขึ้นมา โดยที่เสียงของเขานั้นเหมือนกับสําเนียงของคนญี่ปุ่น ? และเมื่อซู่เจินมองไปตามเสียงนั้น เขาก็เห็นว่ากําลังมีชายชาวญี่ปุ่นที่สวมแว่นกําลังอ้าแขนพร้อมกับตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นว่า “สวัสดี นิวยอร์ค!”

ฮิโรชิ นากามูระ!

นากามูระตะโกนไปรอบ ๆ ด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับเดินไปทักทายคนที่สัญจรไปมาอย่างกับคนบ้า โดยที่เขาตะโกนว่า “ฉันรักนิวยอร์ค!”

ซึ่งเขาก็เป็นคนที่พูดอังกฤษได้ไม่เคยเก่งนัก ทําให้เขาได้แต่พูดคําเดิมซ้ําแล้วซ้ําเล่า โดยบางทีเขาก็ผสมกับคําภาษาญี่ปุ่นเข้าไปด้วย ทําให้คนที่กําลังเดินผ่านไปผ่านมามองไปที่เขาด้วยสายตาแปลก ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก

“บุคลิกของเขาค่อนข้างที่จะแตกต่างจากที่ฉันคิดไปสักเล็กน้อย!”

ซึ่งมันก็อาจจะเป็นเพราะว่านากามูระเป็นคนญี่ปุ่นก็ได้ ? ดังนั้นวิธีการแสดงออกของเขาจึงค่อนข้างพิเศษ ? แต่ถึงอย่างไรก็ตามเขาก็เป็นเพียงแค่ชายวัยกลางคนที่ต้องการจะกอบกู้โลกก็เท่า

“สวัสดี”

“สวัสดี”

ในระหว่างที่นากามูระเดินผ่านคนอื่น ๆ เขาก็หันไปทักทายทุกคนด้วยความตื่นเต้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครสนเขาเลยสักนิด จนกระทั่งเขาเดินมาถึงซู่เจิน และกําลังจะพูดทักทายซูเจนขึ้นมา แต่ทันใดนั้นเมื่อเขาลองสังเกตดูดี ๆ แล้วเขาก็พบว่าซู่เจินก็เป็นคนเอเชียเช่นเดียวกัน ทําให้เขาค่อย ๆ พูดขึ้นมาด้วยความไม่แน่ใจว่า “สวัสดี เอ่อ … คุณเป็นคนญี่ปุ่นใช้ไหม ?”

“ผมไม่ใช่คนญี่ปุ่น แต่คุณนั้นเป็นคนญี่ปุ่น รวมถึงครอบครัวของคุณด้วยที่เป็นคนญี่ปุ่น!” ซู่เจินไม่คิดว่านากามูระจะถามเขาขึ้นมาแบบนี้ ทําให้เขามองไปที่นากามูระพร้อมกับพูดขึ้นมาเบา

ตอนที่ 122 สิ่งที่อยู่ภายในจิตใจของแคลร์

เดิมที่ซู่เจินก็ไม่ค่อยอยากกินข้าวกับแคลร์มากสักเท่าไหร่ แต่เนื่องจากการที่เขาได้พบกับเธอโดยบังเอิญและเธอก็ค่อนข้างที่จะคาดหวังเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะปฏิเสธเธอ ยิ่งไปกว่านั้นการได้กินข้าวกับสาวงามก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่หรอ ?

“ไปกันเถอะ” ซู่เจินเปิดประตูให้พร้อมกับเขยิบไปนั่งตรงที่นั่งคนขับ แต่ทันใดนั้นชาวเฮติก็เดินกลับมาพร้อมกับของในมือ ทําให้เขาโบกมือไปที่ชาวเฮติเบา ๆ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นเขาก็สตาร์ทรถและขับออกไปอย่างรวดเร็ว

“คุณอยากกินอะไรอย่างงั้นหรอ ?”

ในขณะที่ซู่เจินกําลังขับรถอยู่ เขาก็หันไปถามกับแคลร์

“ฉันกินอะไรก็ได้!” แคลร์ตอบขึ้นมาเบา ๆ

ซู่เจินยิ้มและไม่ได้พูดต่อ เพราะว่าเขาได้ยินเสียงที่อยู่ภายในความคิดของเธอหมดแล้ว

“คือว่า…”

เมื่อเห็นว่าซู่เจินไม่ได้พูดอะไร แคลร์ก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรขึ้นมา จนกระทั่งซู่เจินขับรถมาจอดในร้านอาหารตะวันตกแห่งหนึ่ง ทําให้แคลร์มองไปที่ซู่เจินด้วยความประหลาดใจและพูดขึ้นมาว่า “คุณรู้จักร้านนี้ได้อย่างไร ? ฉันหมายความว่า อาหารของที่นี่มันอร่อยมาก และฉันก็อยากมาที่ร้านนี้นานมากแล้ว แต่ไม่มีโอกาสเลย!”

“บางทีผมอาจจะได้ยินเสียงจากภายในจิตใจของคุณ ?”

ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับชี้ไปที่ตําแหน่งหัวใจของเธอ

ใบหน้าของแคลร์แดงขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากนั้นเธอก็พยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับค่อย ๆ ลงรถพร้อมกับซู่เจิน

เมื่อซู่เจินเห็นเช่นนั้นเขาก็อดส่ายหัวขึ้นมาอย่างลับ ๆ ไม่ได้ เพราะว่าตอนนี้มันยังเร็วก่อนไปจริง ๆ ที่เด็กผู้หญิงตัวน้อย ๆ จะเติบโตจนได้เต็มที่ เห็นได้ชัดว่าที่เขาหมายถึงก็คือ ปัญหาหัวใจของสาวน้อยแคลร์ ไม่ได้หมายถึงเรื่องอื่นเลยแม้แต่น้อย

และก็ดูเหมือนว่าเขาจะทิ้งความประทับใจเอาไว้ภายในจิตใจของเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แต่เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา แคลร์ก็ถือได้ว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วเช่นกัน ดังนั้นเธอจะมีควา มรู้สึกชอบพอเกี่ยวกับตัวของเขามันก็ไม่แปลก เพราะว่าเขาเป็นคนที่ช่วยเธอเอาไว้จริงไหม ?

หลังจากที่พวกเขาเดินเข้าไปในร้านอาหารเรียบร้อยแล้ว ซู่เจินก็เข้าใจได้ในทันทีเลยว่าทําไมแคลร์ถึงได้อยากมาที่นี่

เพราะว่าร้านอาหารแห่งนี้มันเป็นร้านอาหารที่มีไว้สําหรับให้คู่รักมาดินเนอร์ด้วยกัน โดยดูได้จากบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความโรแมนติก

และหลังจากที่พวกเขานั่งลง พลังงานเสิร์ฟก็รีบยื่นเมนูมาให้กับซูเงินอย่างรวดเร็ว ซึ่งซู่เจินก็ส่งต่อมั่นให้แคลร์อีกที แคลร์มองดูไปที่มันและลังเลว่าจะสั่งอะไรดี เพราะว่าราคาอาหารของที่นี่มันก็ไม่ใช่ถูก ๆ เลย แถมแคลร์ก็อายที่จะต้องใช้เงินของซู่เจินจ่าย ดังนั้นเธอจึงเลือกไม่ได้สักทีว่าจะสั่งอะไรดี

“งั้นเดี๋ยวผมสั่งให้ก็แล้วกัน”

ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับพูดชื่ออาหารขึ้นมาสองสามอย่างกับพนักงานเสิร์ฟ

แคลร์มองไปที่ซู่เจินด้วยความประหลาดใจและพูดว่า “คุณได้ยินเสียงที่อยู่ในใจของฉันจริง ๆ อย่างงั้นหรอ ?”

“แล้วคุณคิดว่าไงล่ะ ?” ซู่เจินถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

แคลร์รอจนกว่าพนักงานเสิร์ฟจะเดินจากไปและเธอก็พูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า “นี่เป็นหนึ่งในความสามารถของคุณใช่ไหม ? มันเหมือนกับความสามารถของฉันก่อนหน้านี้หรือเปล่า ?”

ซู่เจินยิ้มและไม่ได้พูดตอบคําถามของเธอ แต่เขากับพูดอย่างอื่นขึ้นมาแทนว่า “อันที่จริง คุณไม่จําเป็นที่จะต้องตอบแทนผมเลย ถึงแม้ว่าผมจะช่วยแก้ปัญหาให้กับคุณ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ได้ประโยชน์เหมือนกัน ดังนั้นคุณควรที่จะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติแบบที่คุณต้องการได้แล้ว เพราะหลังจากที่ผมรับประทานกับคุณเสร็จแล้ว … ผมจะออกไปจากที่นี่ทันที”

“คุณจะไปไหนอย่างงั้นหรอ ?”

“นิวยอร์ค!”

หลังจากที่ซู่เจินกับแคลร์ถามคําถามกันหมดแล้ว แคลร์ก็เงียบไปพร้อมกับท่าทางที่ดูหดหูเล็กน้อย ซึ่งซู่เจินก็ไม่ได้พูดอะไรขึ้นมา จนกระทั่งพนักงานเสิร์ฟเอาอาหารมาให้ แคลร์ก็ดูกระตือรือร้นขึ้นมาเล็กน้อย

พวกเขาใช้เวลาในการกินอาหารกันแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น

และหลังจากที่ซู่เจินจ่ายบิลเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินออกมาจากร้านพร้อมกับแคลร์

“เอาไว้ค่อยเจอกันใหม่ แล้วคุณ .. จะกลับบ้านหรือไปที่โรงเรียนล่ะ ผมจะได้ไปส่งคุณก่อน ?” ซู่เจินถามหันไปถามกับแคลร์หลังจากที่พวกเขาเดินมาถึงที่รถ

“คุณ … อยู่กับฉันก่อนได้ไหม ?”

แคลร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหันไปมองซูเงินและค่อย ๆ พูดขึ้นมาอย่างช้า ๆ

ซู่เจินมองไปที่เธอและยังไม่ได้ตอบในทันที เพราะเขารู้ว่าเธอกําลังคิดอะไรอยู่

ไปที่นั่นและทําอะไรต่อหลังจากนั้น!

ซึ่งซู่เจินก็รู้สึกแปลกใจไม่ใช่น้อย เพราะว่าเขาก็ไม่คิดเหมือนกันว่าแคลร์จะมีความคิดแบบนี้

แคลร์รู้สึกประหม่าและตื่นเต้นเป็นอย่างมาก และถ้าเกิดลองฟังดี ๆ จะได้ยินเสียงหัวใจของเธอมันเต้นแรงมาก ซึ่งเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าซู่เจินสามารถเดาสิ่งที่เธอคิดอยู่ได้หรือเปล่า ? แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่เสียใจกับการตัดสินใจในครั้งนี้อย่างแน่นอน

“ขึ้นรถเถอะ!”

หลังจากนั้นไม่นาน ซู่เจินก็พูดขึ้นมา

แคลร์ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกพร้อมกับรีบขึ้นไปบนรถอย่างรวดเร็ว

การรอคอยแบบนี้เป็นสิ่งที่ทรมาณเธอเป็นอย่างมาก และถ้าเกิดว่าซู่เจินยังไม่พูดขึ้นมาอีก เธอคิดว่าเธอคงจะทนไม่ไหวอย่างแน่นอน

หลังจากที่ขึ้นรถเรียบร้อยแล้วซู่เจินก็ไม่ได้ถามเธอว่าจะไปไหน แต่เขากับสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างรวดเร็ว

สิ่งนี้ทําให้แคลร์รู้สึกประหม่าและสงสัยอยู่ตลอดเวลาว่าซู่เจินกําลังคิดอะไรอยู่ภายในจิตใจของเขากันแน่ และถ้าเกิดว่าเขารู้จริง ๆ ล่ะก็ว่าเธอกําลังคิดอะไรอยู่ บวกกับการที่เขาขับรถออกไปแบบนี้ แสดงว่าเขาเห็นด้วยกับเธอแล้วใช่ไหม ?

เสียงความคิดอะไรต่าง ๆ นา ๆ ของแคลร์พุ่งเข้าสู่โสตประสาทของซู่เจินอย่างรวดเร็ว

ทําให้ซู่เจินในตอนนี้ค่อนข้างที่จะรู้สึกลําบากใจเป็นอย่างมากและเขาก็เริ่มที่จะเข้าใจความรู้สึกของแมตต์ขึ้นมาแล้ว

การได้ยินเสียงความคิดของคนอื่นอยู่ตลอดเวลา มันค่อนข้างที่จะสร้างความรําคาญให้กับเขาเป็นอย่างมาก

“ดูเหมือนว่าฉันจะต้องใช้ความสามารถนี้ในยามที่จะต้องใช้มันจริง ๆ จะดีกว่า!” ซู่เจินคิดขึ้นมาเงียบ ๆ ภายในจิตใจของเขา ซึ่งอย่างน้อยในตอนนี้เขาจะต้องรีบความคุมความสามารถนี้ให้ได้สมบูรณ์ ไม่งั้นมันจะสร้างภาระให้กับเขามากเกินไป

หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง รถก็ค่อย ๆ หยุดลงที่ปาในแถบชานเมือง ป่าที่นี่มันทึบ และห่างไกลจากผู้คนเป็นอย่างมาก และก็ดูเหมือนว่าจะไม่เคยมีใครมาที่นี่สักเท่าไหร่

หลังจากนั้นพวกเขาก็ลงมาจากรถ ซู่เจินเหลือบมองไปที่แคลร์พร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “คุณนําทางเลย”

“อืม!”

แคลร์พยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ และไม่ได้ถามกับซู่เจินว่าเขารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร เพราะเธอรู้แล้วล่ะ ว่าซู่เจินจะต้องรู้อย่างแน่นอนว่าเธอกําลังคิดอะไรอยู่ในตอนนี้

หลังจากที่พวกเขาเดินเข้ามาในปากันประมาณสิบนาที ทันใดนั้นทิวทัศน์เบื้องหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ปรากฏเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างว่างเปล่าแห่งนี้ และเหนือพื้นดินขึ้นไป ห้าถึงหกเมตรก็มีบ้านต้นไม้อยู่หลังหนึ่ง

“คุณสร้างสิ่งนี้ด้วยตัวของคุณเองอย่างงั้นหรอ ?” ซู่เจินหันไปถามกับแคลร์

แคลร์พยักหน้าเบา ๆ และพูดว่า “มันนานมากแล้วล่ะ และที่นี่ก็เป็นสถานที่ที่สําคัญกับฉันมาก”

“ผมรู้!” เพราะถ้าเกิดว่าที่นี่มันไม่สําคัญจริง ๆ เธอก็คงจะไม่มาที่นี่อย่างแน่นอน

“ปกติฉันจะปีนขึ้นไปด้วยตัวเอง แต่ครั้งนี้ฉันไม่อยากปืนขึ้นไปเลย”

“งั้นเดี๋ยวผมช่วยคุณเอง!”

ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับโอบไปที่เอวของแคลร์ หลังจากนั้นร่างของเขาและแคลร์ก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นอย่างช้า ๆ

บ้านต้นไม้หลังนี้ไม่ค่อยใหญ่มากนัก แต่ถึงอย่างนั้นความสูงมันก็พอดี ทําให้เขาไม่จําเป็นที่จะต้องก้มหัวเวลาเดิน ซึ่งด้านในมันก็เต็มด้วยไปข้าวของเครื่องใช้มากมาย ส่วนด้านนอกก็เต็มไปด้วยวิวอันสวยงาม

แคลร์เอาเบาะรองนั่งออกมาว่างให้ซู่เจิน เมื่อซู่เจินเห็นเช่นนั้นเขาก็ค่อย ๆ นั่งลง หลังจากนั้น แคลร์ก็คุกเข่าลงต่อหน้าของซู่เจินพร้อมกับหายใจเข้าไปลึก ๆ และจ้องมองไปที่ซู่เจิน

แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เธอกับคิดอยู่ภายในใจของเธออย่างเงียบ ๆ

เสียงความคิดของเธอมันดังก้องอยู่ภายในหัวของซู่เจิน มันยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ

ทันใดนั้นซู่เจินก็จ้องมองไปที่แววตาของแคลร์ที่ยังมีความประหม่าอยู่ ทําให้เขาค่อย ๆ ยื่นมือออกมาพร้อมกับจับไปที่กระดุมเสื้อของเธอและค่อย ๆ แกะมันออกมาอย่างช้า ๆ หลังจากนั้นไม่นานเสื้อผ้าแต่ละชิ้นก็ค่อย ๆ ถูกถอดออกอย่างช้า ๆ พร้อมกับแคลร์ที่ค่อย ๆ หลับตาลง

” ผมจะทําให้เบามือที่สุด … “

ตอนที่ 121 อ่านใจ

เบนเน็ตต์โบกมือของเขาด้วยความเจ็บปวดเล็กน้อยพร้อมกับมองไปที่ซู่เจินด้วยความไม่อยากเชื่อ เพราะว่าความสามารถของชาวเฮติคนนี้ไม่เคยผิดพลาดมาก่อน แล้วทําไมมันถึงใช้ไม่ได้ผลกับซู่เจิน ?

ทําให้เบนเน็ตต์ในตอนนี้รีบหันหลังวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว แต่ทันใดนั้นซู่เจินก็โบกมือของเขาขึ้นมาเบา ๆ ทําให้ประตูของห้องวิจัยมันปิดลงอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นร่างของซู่เจินก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว และไม่นานหลังจากนั้นคนที่อยู่ภายในห้องวิจัยก็ค่อย ๆ ล้มลงกับพื้นและหมดสติไป

หลังจากจัดการพวกเขาเสร็จหมดแล้ว ความสามารถในการปิดกั้นความสามารถของชาวเฮติก็ค่อย ๆ หายไป

ซึ่งอันที่จริงแล้วความสามารถของชาวเฮติคนนี้มันไม่ได้ล้มเหลว แต่มันก็แค่แสดง ประสิทธิภาพได้ไม่เต็มที่เท่านั้น เนื่องจากความต่างของความแข็งแกร่งของความสามารถมันไม่เหมือนกัน ดังนั้น พลังจิต , การแช่แข็ง , และความสามารถอื่น ๆ ของซู่เจินจึงไม่สามารถใช้งานได้ แต่ถึงอย่างนั้นความสามารถของ คนพลังไฟ หรือ ความสามารถของจอห์นนี่มันก็แข็งแกร่งมากเกินไป มากกว่ากว่าที่ชาวเฮติคนนั้นจะสามารถปิดกั้นได้ ทําให้ซู่เจินสามารถใช้ความสามารถนี้ได้นั่นเอง

และเขาก็ต้องการความสามารถของชาวเฮติคนนี้

ซู่เจินมองไปที่ชาวเฮติพร้อมกับค่อย ๆ ใช้ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงความทรง จําของชายคนนี้ ซึ่งมันก็คล้าย ๆ กับการที่เขาเปลี่ยนความทรงจําของคีร่า เพราะว่าตอนนี้เขายังไม่สามารถกลืนกินความสามารถของชายคนนี้ได้ ทําให้เขาได้แต่เพียงพาตัวของชายคนนี้มาอยู่ใกล้ ๆ เขาเอาไว้ หลังจากนั้นเขาก็ค่อยกลืนกินความสามารถของชายคนนี้หลังจากที่ร่างกายของเขามันปรับสภาพร่างกายเสร็จเรียบร้อยแล้ว

หลังจากที่เปลี่ยนแปลงความทรงจําเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซู่เจินก็ปลุกชาวเฮติขึ้นมา พร้อมกับสั่งให้เขาลบความทรงจําของคนที่อยู่ที่นี้ให้หมด โดยที่เว้นเบนเน็ตต์เอาไว้ เพราะว่าซู่เจินจะเป็นคนที่ควบคุมเบนเน็ตต์ด้วยตัวของเขาเอง

” พาผมไปเดินดูรอบ ๆ หน่อยซิ!”

ซู่เจินหันไปพูดกับเบนเน็ตต์ หลังจากนั้นเบนเน็ตต์ก็เดินนําไป โดยที่มีซู่เจินและชาวเฮติเดินตามหลังไปอย่างเงียบ ๆ

หลังจากที่พวกเขาเดินไปได้สักพัก ซู่เจินก็พบว่าที่นี่มีคนที่มีความสามารถพิเศษอยู่คนหนึ่ง ซึ่งเขาก็เพิ่งจะถูกจบตัวมาที่นี่และเตรียมที่จะนําตัวของเขาไปทําการวิจัย

และเมื่อซู่เจินเห็นว่าเขาคนนี้คือใคร ซู่เจินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมาอย่างมีความสุข

เขาเป็นชายร่างท้วมที่มาพร้อมกับหน้าตาที่จริงจัง เขามีชื่อว่าแมตต์ เป็นตํารวจที่มีความสามารถในการอ่านใจ

ซึ่งถ้าเกิดว่าเขาไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวของจัสมิน หลังจากที่เซอร์ร่าฆ่าพ่อแม่ของจัสมินเสร็จเรียบร้อยแล้ว แมตต์คนนี้ก็จะเข้ามารับผิดชอบคดีนี้ด้วยตัวของเขาเอง พร้อมกับเจอจัสมินที่กําลังหลบซ่อนอยู่ และเขาก็สงสัยว่าจัสมินก็คือเซอร์ร่า ทําให้เขาได้โทรไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่ FBI โดยไม่ได้ตั้งใจ และการที่เขามีความสามารถในการอ่านใจบวกกับการที่เขาเป็นเจ้าหน้าที่ในการสืบสวน มันช่างเป็นความสามารถที่เข้ากับตัวของเขาจริง ๆ เพราะว่าเขาสามารถรู้ได้ว่าคนอื่นกําลังคิดอะไรอยู่ ทําให้มันสะดวกในการที่เขาจะสอบปากคําคนร้ายได้อย่างง่ายดาย แต่ถึงอย่างงั้นมันก็น่าเสียดายเพราะว่าหลังจากที่เขารู้ว่าภรรยาของเขาแอบไปมีชู้ เขาก็ไม่ได้ใช้ความสามารถนี้ออกมาอีกเลย

“ไปจัดเตรียมห้องไว้ให้ผมพักผ่อนหนึ่งห้อง”

ซึ่งซู่เจินก็จะพักอยู่ที่นี่เป็นเวลาหนึ่งคืน หลังจากนั้นพรุ่งนี้เขาก็จะกลืนกินความสามารถของแมตต์

เบนเน็ตต์รีบไปจัดห้องให้กับซู่เจินอย่างรวดเร็ว ซึ่งซู่เจินก็ให้เบนเน็ตต์ย้ายไปนอนที่อื่น ส่วนชาวเฮติซู่เจินจะให้อยู่ใกล้ ๆ เขาเอาไว้ เพราะว่าเขาต้องการทดสอบว่าความสามารถในการปิดกั้นความสามารถของชาวเฮติคนนี้มันจะไปได้ไกลแค่ไหน!

เวลาช่วงค่ําคืนผ่านไปอย่างเงียบ ๆ หลังจากนั้นไม่นานพระอาทิตย์ก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นมาบนฟ้า พร้อมกับวันใหม่ที่มาถึง

หลังจากที่ซู่เจินตื่นขึ้นมาเขาก็พบว่าร่างกายของเขาในตอนนี้อยู่ในสภาพที่ดีมาก เพราะว่าตอนนี้เขาได้หลอมรวมเข้ากับความสามารถในการแช่แข็ง และความสามารถในการหาตําแหน่งหรือ GPS ได้เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นซู่เจินก็สั่งให้ชาวเฮติใช้ความสามารถในการปิดกั้นของเขา หลังจากนั้นซู่เจินก็ลองใช้ความสามารถในการแช่แข็งของเขาขึ้นมาทันที แต่ผลลัพธ์มันก็ยังคงล้มเหลวโดยสิ้นเชิง!

เพราะว่ามันมีแค่เกล็ดน้ําแข็งจาง ๆ เท่านั้นที่ปรากฏขึ้นมาบนมือของซู่เจิน แต่ถึงยังไงมันก็ดีกว่าของเมื่อวานมาก เพราะว่าเมื่อวานเขาไม่สามารถใช้ความสามารถนี้ออกมาได้เลย ดังนั้นครั้งนี้ก็ถือว่ามันพัฒนาขึ้นมานิดหน่อย

เมื่อซู่เจินเดินออกมานอกห้อง เขาก็รีบมุ่งหน้าไปหาแมตต์ทันที

และเมื่อแมตต์เห็นว่าซู่เจินและชาวเฮติเข้ามาหาเขาอย่างกะทันหัน แมตต์ก็รีบตะโกนขึ้นมาในทันทีเลยว่า ” พวกคุณเป็นใคร !? จับฉันมาที่นี่ทําไม !? ปล่อยฉันไปเดี๋ยวนี้นะ! ฉันเป็นเจ้าหน้าที่ตํารวจ!”

“ไม่ต้องกังวล เพราะอีกเดี๋ยวผมจะปล่อยตัวของคุณไปอย่างแน่นอน! แต่ก่อนหน้านั้น .. ผมจะต้องทําอะไรกับคุณสักสองสามอย่างก่อน!” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“พวกคุณจะทําอะไรกับฉัน ?”

“มันง่ายมาก คุณสามารถอ่านใจของคนอื่นได้ใช่ไหม ? งั้นคุณก็ลองอ่านใจของผมดู” ซู่เจินมองไปที่ชาวเฮติเล็กน้อย หลังจากนั้นชาวเฮติก็รีบหยุดใช้ความสามารถในการปิดกันความสามารถขึ้นเขาในทันที

แมตต์จ้องมองไปที่ซู่เจินพร้อมกับค่อย ๆ เอียงหูของเขา หลังจากผ่านไปสักครู่หนึ่ง เขาก็ส่ายหัวขึ้นมาเบา ๆ และพูดว่า “ไม่ได้… ฉันไม่สามารถอ่านใจของคุณได้ มันเหมือนกับว่ากําลังมีอะไรบางอย่างกําลังปิดกั้นอยู่”

“แล้วตอนนี้ล่ะ ?” ซู่เจินถามขึ้นมาอีกครั้ง

แมตต์เงียบไปครู่หนึ่งและค่อย ๆ พูดขึ้นมาว่า “คุณต้องการกลืนกินความสามารถของฉันอย่างงั้นหรอ ?”

“ดูเหมือนว่าสิ่งที่ขัดขวางการอ่านใจของคุณมันจะเป็นเพราะแหวนของผม กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือการอ่านใจของคุณมันไม่สามารถใช้ได้กับคนที่มีพลังจิต เว้นแต่ว่าพวกเขาจะไม่ได้ป้องกันมันเอาไว้ ซึ่งความสามารถนี้ของคุณก็ถือว่าดีมากเลยทีเดียว! ”

ซู่เจินไม่ได้สนใจเกี่ยวกับตัวของแมตต์มากนัก และเขาก็ยังไม่กลัวด้วยว่าแมตต์จะรู้ความลับของเขา

“ในเมื่อคุณรู้ทุกอย่างหมดแล้ว ดังนั้นผมจะกลืนกินความสามารถของคุณเลยก็แล้วกัน!”

ซู่เจินยิ้มให้กับแมตต์เล็กน้อย ซึ่งในตอนแรกแมตต์ก็รู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย แต่หลังจากนั้น ไม่นานเขาก็ค่อย ๆ สงบลง หลังจากที่เขารู้สิ่งที่ซู่เจินกําลังคิดอยู่ทั้งหมดแล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าสิ่งที่ซู่เจินพูดขึ้นมาล้วนเป็นความจริง และมันก็จะไม่มีอันตรายอะไรอย่างแน่นอน เพราะหลังจากที่ซู่เจินกลืนความสามารถของเขาจนเสร็จ ซู่เจินก็จะลบความทรงจําและปล่อยตัวของเขาออกไปจากที่นี่

ทําให้แมตต์ในตอนนี้เลิกต่อต้านซู่เจิน และซู่เจินก็สามารถกลืนกินความสามารถของเขามาได้อย่างง่ายดาย

หลังจากที่ซู่เจินกลืนกินความสามารถของแมตต์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ลบความทรงจําของแมตต์ทิ้งไปได้อย่างง่ายดาย

เพราะไม่ใช่แค่ชาวเฮติเท่านั้นที่มีความสามารถในการลบหรือเปลี่ยนแปลงความทรงจําได้

เมื่อได้รับความสามารถของแมตต์มาเรียบร้อยแล้ว ซู่เจินก็ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป ดังนั้นเขาก็เลยสั่งให้ชาวเฮติพาแมตต์เดินออกไปพร้อมกับเขา และหลังจากที่พวกเขาเดินออกมาจากองค์กรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาก็สั่งให้ชาวเฮติวางร่างของแมตต์เอาไว้บริเวณแถวนี้ พร้อมกับเดินจากไปทันที โดยที่มีชาวเฮติที่กําลังเดินตามหลังของซู่เจินอยู่ไม่ห่าง ซึ่งซู่เจินกะว่าจะพาชาวเฮติคนนี้ไปกับเขาก่อน ซึ่งซู่เจินก็จะกลืนกินความสามารถของชาวเฮติคนนี้ก่อนที่เขาจะออกจากดันเจี้ยน

เมื่อซู่เจินกลับมาถึงเมือง เขาก็สั่งให้ชาวเฮติออกไปซื้ออาหารมาให้ ส่วนเขาก็นั่งรออยู่ในรถ พร้อมกับดูไปที่แผนที่เพื่อตามหาตัวของเซอรร์ร่า แต่ในขณะที่เขากําลังจะใช้ความสามารถ ทันใดนั้นก็มีคนมาเคาะที่กระจกรถของเขาเบา ๆ

และเมื่อซู่เจินหันไป เขาก็พบว่าเขากําลังมีคน ๆ หนึ่งกําลังยืนอยู่ด้านนอกหน้าต่างของตัวรถ

เด็กผู้หญิงผมสีบลอนด์ที่กําลังยืนอมยิ้มอยู่

ซู่เจินเอากระจกลงพร้อมกับถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “แคลร์ คุณมาที่นี่ทําไม ? ไม่ใช่ว่าตอนนี้คุณควรที่จะอยู่ในโรงเรียนไม่ใช่หรอ?”

“ฉันมาที่โรงแรมเพื่อตามหาคุณ … แต่เจ้าของโรงแรมกับบอกว่าคุณไม่ได้อยู่ที่นี่ ซึ่งฉันก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมาเจอกับคุณโดยบังเอิญแบบนี้!” แคลร์พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“เยี่ยม ฉันคิดว่าจะไม่ได้เจอคุณอีกแล้วซะอีก!”

มีเสียงสองสายดังขึ้นมาพร้อม ๆ กัน ทําให้ซู่เจินรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อยก่อนที่เขาจะตระหนักได้ว่าเสียงที่ได้ยินอีกเสียงหนึ่งมันน่าจะเป็นเสียงที่มาจากความสามารถในการอ่านใจของเขา

“คุณกังวลว่าจะไม่ได้เจอผมอีกแล้วอย่างงั้นหรอ ?” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

แคลร์ลิ่งไปครู่หนึ่ง เพราะเธอก็ไม่คิดว่าซู่เจินจะเดาออกว่าเธอกําลังคิดอะไรอยู่ ทําให้เธอรีบอธิบายขึ้นมาว่า “ฉันพยายามอธิบายเกี่ยวกับคุณให้กับพ่อฟังแล้ว แต่เขาก็ไม่เชื่อแถมยังบอกให้ฉันอยู่ห่าง ๆ คุณเอาไว้อีก แต่ถึงอย่างงั้นคุณก็คือผู้มีพระคุณของฉัน ดังนั้นฉันจึงอยากที่จะแสดงความขอบคุณกับคุณเป็นการส่วนตัว คุณ … คุณพอจะมีเวลาว่างไหม ? ฉันอยากเชิญคุณไปทานอาหารเย็นด้วยกันกับฉัน!”

“ตอบตกลงสิ ได้โปรด… ตอบตกลงเถอะนะ!”

เมื่อเห็นแคลร์ที่กําลังตั้งตารออย่างประหม่า ในขณะเดียวกันซู่เจินก็รู้ในสิ่งที่เธอกําลังคิดอยู่เช่นกัน ทําให้เขายิ้มขึ้นมาและพูดว่า “ได้สิ แต่ว่า …. ผมจะเป็นคนเชิญคุณไปทานอาหารเย็นเอง!”

ตอนที่ 120 องค์กรลึกลับ

ในขณะที่ซู่เจินกําลังเดินไปบนท้องถนน เขาก็สัมผัสได้ว่ากําลังมีคน ๆ หนึ่งกําลังเดินตามเขามาอย่างช้า ๆ

เซอร์ร่า!

มาตกรที่มีความสามารถในการตัดหัวของผู้มีความสามารถพิเศษและเอาความสามารถของคนที่เขาฆ่ามาเป็นของตัวเองได้

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เซอร์ร่าก็ถือว่าเป็นยอดคนจริง ๆ เพราะเดิมที่เขาเป็นเพียงแค่ช่างซ่อมนาฬิกา แต่ถึงอย่างนั้นเขาไม่ก็ยอมรับในโชคชะตาที่โหดร้ายแบบนี้ ทําให้เขาไล่ฆ่าคนที่มีความสามารถพิเศษคนอื่น ๆ เพียงเพื่อให้เขาแข็งแกร่งขึ้น!

ซึ่งเซอร์ร่าที่มีความสามารถพิเศษมากมายแบบนี้ เขาก็ถือได้ว่าเป็นตัวอันตรายเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังห่างไกลจากซู่เจินอยู่ดี เพราะว่าซู่เจินสามารถสัมผัสถึงตัวตนของเซอร์ร่าได้ ตั้งแต่ที่เขาอยู่บ้านของจัสมินแล้ว และถ้าเกิดว่าเขาไม่ปรากฏตัวที่นั่นเหตุการณ์ต่าง ๆ มันก็คงจะเกิดขึ้นไปตามเดิม และเมื่อเซอร์รารู้ว่าเขาก็มีความสามารถในการกลืนกินความสามารถของคนอื่นได้ ซึ่งมันก็คล้าย ๆ กับความสามารถของเซอร์ร่า ดังนั้นเซอร์จึงรู้สึกสนใจเขาเป็นพิเศษ

ในขณะที่เขาซู่เจินกําลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ เขาก็รีบเดินไปที่ตรอกบริเวณใกล้เคียงที่ไม่มีคนอย่างรวดเร็ว

และเมื่อเซอร์ร่าเห็นว่าซู่เจินเดินเข้าไปในตรอก เขาก็รีบเดินตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว แต่ทันใด นั้นเขาก็ต้องตกตะลึงเพราะเมื่อเขาเดินเข้าไปในตรอก เขาก็พบว่า…

มันไม่มีใครอยู่สักคน!

นอกจากนี้ตรอกแห่งนี้ยังเป็นทางตันอีกด้วย

ทําให้เซอร์ร่าที่เดินเข้ามาในตรอก ได้แต่มองไปรอบ ๆ ด้วยความมึนงง และค่อย ๆ ขมวดคิ้วขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ

“เขาหายไปไหนแล้ว ?”

“คุณกําลังมองหาผมอยู่ใช่หรือเปล่า ?”

มีเสียงดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง ทําให้เซอร์ร่าหันกลับมาพร้อมกับมองไปที่ซู่เจินที่กําลังยืนพิงกําแพงอยู่ด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ซึ่งเซอร์ราก็รู้สึกประหลาดใจเหล็กน้อยที่ซู่เจินมาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังเขาได้อย่างไร ? แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ตื่นตระหนก หลังจากที่เขาเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มขึ้นมาและพูดว่า “สวัสดี ฉันชื่อโมฮินเด้ ฉันเป็นศาสตราจารย์ด้านพันธุศาสตร์อยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และฉันก็สนใจคุณมาสักพักหนึ่งแล้ว เพราะว่าคุณเป็นคนที่ค่อนข้างพิเศษ ดังนั้นฉันขอคุยกับคุณสักครู่หนึ่งได้ไหม?”

“โมฮันเด้ ?” ซู่เจินมองไปที่เซอร์ร่าพร้อมกับถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “ถ้าผมจําไม่ผิดศาสตราจารย์โมฮันเด้เป็นคนอินเดียไม่ใช่หรอ ? และหน้าตาของคุณก็ไม่ได้เหมือนกับเขาเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นผมเพิ่งจะมาถึงที่นี่เป็นวันแรก แต่คุณกลับบอกมาว่าคุณสนใจเกี่ยวกับตัวผมมานานมากแล้ว หรือว่ามันจะเริ่มตั้งแต่ที่บ้านของจัสมินกันแน่นะ ? ใช่ไหม … เซอร์ร่า!”

การแสดงออกของเซอร์ร่าเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อในทันที และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยว่า “ฉันไม่คิดว่าคุณจะรู้จักฉันด้วย ? แถมคุณยังรู้อีกว่าฉันติดตามคุณมานานมากแล้ว คุณตั้งใจทําแบบนี้ขึ้นมาอย่างงั้นหรอ ?”

“ได้เมื่อคุณอยากได้ความสามารถของผม งั้นผมก็ขอพูดกับคุณตามตรงเลยก็แล้วกัน … ผมก็อยากได้ความสามารถของคุณเหมือนกัน ดังนั้น เรามาต่อสู้กันดีกว่าเพื่อที่จะได้รู้ว่าใครกันแน่ที่จะได้ความสามารถนี้ไป” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

เซอร์ร่ายิ้มขึ้นมาอย่างชั่วร้ายและพูดว่า “น่าสนใจมากเลยทีเดียว ความสามารถของคุณ … ฉันจะแย่งชิงมันมาซะ!”

เซอร์ร่ายกมือของเขาขึ้นมาพร้อมกับชี้นิ้วไปที่หัวของซู่เจิน และค่อย ๆ ยกยิ้มขึ้นมาด้วยความมั่นใจ

ทันใดนั้นซู่เจินก็รู้สึกเจ็บเล็กน้อยที่หน้าผากของเขา พร้อมกับคราบเลือกที่ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาอย่างช้า ๆ แต่หลังจากนั้นไม่นาน บาดแผลมันก็หายเป็นปกติอย่างรวดเร็ว

“หืม ? คุณมีความสามารถในการรักษาตัวเองด้วยอย่างงั้นหรอ ?”

เซอร์ร่าพูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ

“จบแล้วใช่ไหม ? งั้นต่อไปตาผมบ้าง”

ซู่เจินยังไม่ได้ขยับอะไร แต่ทันใดนั้นเซอร์ร่าก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาขยับไม่ได้ และร่างของเขาก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นพร้อมกับบินไปหาซู่เจินอย่างรวดเร็ว

” พลังจิต ?” เซอร์ร่าตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย เพราะเขาก็ไม่คิดว่าคู่ต่อสู้ของเขาจะมีความสามารถมากมายขนาดนี้ แถมพลังจิตของเขายังแข็งแกร่งมากอีกด้วย

ซึ่งเซอร์ร่าก็พยายามที่จะกระตุ้นพลังจิตของเขา โดยการที่เขาจะเอาถังขยะที่อยู่ข้าง ๆ พุ่งเข้าใส่ซู่เจิน

แต่ในขณะที่ถังขยะกําลังจะลอยขึ้น มันก็ถูกซู่เจินใช้พลังจิตควบคุมให้มันกลับไปที่เดิมอย่างรวดเร็ว และไม่ว่าเซอร์ร่าจะพยายามขยับมันมากเท่าไหร่ มันก็ไม่ขยับเลยสักนิด

และเมื่อเซอร์ร่าถูกลากมาอยู่ข้างหน้าของเขา ซู่เจินก็หัวเราะขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับพูดว่า “ดูเหมือนว่าคุณจะไม่มีทางหนีแล้วนะ ถ้างั้น … ผมขอเอาความสามารถของคุณไปล่ะ” หลังจากพูดจบซู่เจินก็ค่อย ๆ ยื่นมือของเขาออกไป แต่ทันใดนั้น

“ปุ!”

ทันใดนั้นก็มีเสียงอะไรบางอย่างเบา ๆ ดังขึ้นมา ทําให้ซู่เจินรู้สึกเสียวซ่านบริเวณต้นคอของเขาเล็กน้อย ราวกับว่ามีอะไรบางแทงเข้ามา ทําให้เขาค่อย ๆ หันไปมองด้านหลังและพบกับเบนเน็ตต์ที่กําลังยืนอยู่ ทันใดนั้นความง่วงมันก็เริ่มถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“ยาสลบ ?”

ซู่เจินครุ่นคิดขึ้นมาเงียบ ๆ ภายในจิตใจ หลังจากนั้นเขาก็ปล่อยเซอร์ราลงกับพื้น

หลังจากที่เซอร์ร่าเป็นอิสระ เขาก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตัดสินหันหลังวิ่งหนีไป

แทนที่เบนเน็ตต์จะไล่ตามเซอร์ร่าไป แต่เขากับจ้องมองไปที่ซู่เจินที่กําลังนอนหมดสติอยู่บนพื้น หลังจากนั้นเขาก็ทําสัญญาณมืออะไรบางอย่างไปทางด้านหลังของเขา หลังจากนั้น ไม่นานก็มีชายผิวสีคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับอุ้มตัวของซู่เจินขึ้นมาและนําร่างของเขาเอาไปไว้ในรถ!

หลังจากนั้นรถก็ขับออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขากําลังไปที่ไหน

และถึงแม้ว่าสภาพของซู่เจินในตอนนี้จะดูเหมือนหมดสติ แต่จริง ๆ แล้วเขาก็แค่แกล้งทําเท่านั้น เพราะว่าตอนนี้เขามีสติสัมปชัญญะอยู่ครบถ้วน

เพราะถึงยังไงยาสลบก็ไม่ค่อยจะมีผลอะไรกับเขามากนัก ถึงแม้ว่าตอนแรก ๆ เขาจะรู้สึกง่วงเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นไม่นานความรู้สึกแบบนั้นมันก็ค่อย ๆ หายไป ส่วนเหตุผลที่ว่าทําไมเขาถึงต้องแกล้งทําแบบนี้ก็เพราะว่า เขาเพิ่งจะกลืนกินความสามารถไปสามความสามารถ และถ้าหากเขากลืนกินความสามารถของเซอร์ร่าขึ้นไปอีก มันอาจจะทําให้เขาควบคุมสติของตัวเองไม่อยู่ก็ได้ บวกกับการที่ความสามารถของเซอร์ร่ามันคงจะไม่ง่ายสําหรับการกลืนกินอย่างแน่นอน

และมันก็ยังมีเรื่องบังเอิญที่เบนเน็ตต์มาอยู่ที่นี่พอดิบพอดี

ซึ่งซู่เจินก็กําลังจะหาทางไปที่องค์กรของเบนเน็ตต์อยู่พอดี หลังจากนั้นเขาก็จะใช้ประโยชน์จากองค์นั้นเล็ก ๆ น้อย ๆ

ส่วนเรื่องของเซอร์ร่า มันก็ไม่ใช่เรื่องยากนักในการที่จะตามหาตัวของเขา ดังนั้นซู่เจินก็เลย ปล่อยให้เขาหนีไปก่อน และค่อยไปตามจัดการเอาทีหลัง

หลังจากนั้นไม่นานซู่เจินก็ถูกพาตัวมายังองค์กรของเบนเน็ตต์

พร้อมกับพาตัวของซู่เจินไปยังห้องวิจัยในทันที เพื่อทําการวิจัยเกี่ยวกับความสามารถของเขา

“ผมไม่คิดว่า … คุณจะปฏิบัติต่อคนที่เคยช่วยเหลือคุณด้วยวิธีแบบนี้เลยนะ ?”

หลังจากที่ล็อคร่างของซู่เจินเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่พวกเขากําลังจะเริ่มการทดสอบนั้น จู่ ๆ ซู่เจินก็ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับหันไปถามกับเบนเน็ตต์

เบนเน็ตต์พูดขึ้นมาด้วยความเรียบเฉยว่า “ไม่ต้องกังวล พวกเราไม่ได้มีเจตนาที่จะทําร้ายคุณ พวกเราก็แค่อยากจะทดสอบอะไรเกี่ยวกับตัวของคุณเล็กน้อย หลังจากนั้นพวกเราก็จะปล่อยตัวของคุณไป”

“จริงหรอ ? ผมกลัวว่าพวกคุณจะเอาไวรัสอะไรบางอย่างฉีดเข้าไปในร่างของกายของผมเพื่อที่พวกคุณจะสามารถตามหาตัวของผมได้ และก่อนที่พวกคุณจะปล่อยตัวของผมไป พวกคุณก็คงจะลบความทรงจําของผมทิ้งไปก่อนใช่ไหม ?” ซู่เจินพูดขึ้นมาและค่อย ๆ มองไปยังชายผิวสีทํากําลังยืนอยู่ข้าง ๆ เขา

เขาเป็นชาวเฮติ

และความสามารถของผู้ชายคนนี้ก็น่าสนใจมากเลยทีเดียว เพราะว่าเขาคนนี้มีความสามารถอยู่ตั้งสองอันภายในร่างกายของเขา

ความสามารถในการปิดกั้นความสามารถพิเศษของคนอื่น ๆ ได้ ช่างเป็นความสามารถที่น่าสะพรึงกลัวซะจริง ๆ

ส่วนอีกความสามารถหนึ่งของเขาก็คือ การลบความทรงจํา

ซึ่งซู่เจินก็รู้สึกได้ว่าเขาก็ได้รับผลกระทบจากมันเช่นกัน ชายชาวเฮติคนนี้ช่างเป็นคนที่มีความสามารถจริง ๆ !

“ดูเหมือนว่าคุณจะรู้เยอะเหมือนกัน ? แต่แล้วยังไงล่ะ ? เพราะถึงยังไงเดี๋ยวคุณก็จํามันไม่ได้อยู่ดี!” เบนเน็ตต์พูดขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับสั่งให้คนของเขาเริ่มเตรียมการ หลังจากนั้นเขาก็พูดว่า “อย่าพยายามขัดขืน เพราะว่าเขามีความสามารถในการปิดกั้นความสามารถของคุณได้ ดังนั้น คุณควรที่จะให้ความร่วมมือกับพวกเราโดยดีจะดีกว่า จริงไหม?”

” จริงไหม ?”

เมื่อเห็นท่าทางที่มั่นใจของเบนเน็ตต์ ปากของซู่เจินก็ยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากนั้น ร่างกายของเขาก็ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงในทันที ทําให้สิ่งที่ล็อคร่างกายของเขาเอาไว้มันเริ่มละลายไปจนหมด

หลังจากนั้นร่างกายของเขาก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นมาอย่างช้า ๆ และค่อย ๆ ร่อนลงกับพื้น

ทันใดนั้นเปลวเพลิงที่ปกคลุมร่างกายของซูเงินมันก็หายไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับมองไปเบนเน็ตต์ทํากําลังท่าทางประหลาดใจและตื่นตระหนกเล็กน้อย ในขณะเดียวกันเบนเน็ตต์ก็หันไปมองที่ชาวเฮติคนนั้น ทําให้ชาวเฮติคนนั้นได้แต่ยักไหล่ขึ้นมาเบา ๆ และพูดว่า “ดูเหมือนว่าความสามารถของฉัน มันจะไม่สามารถปิดกั้นความสามารถของเขาได้…”

“ นี่…มันเป็นไปไม่ได้!”

หลังจากนั้นเบนเน็ตต์ก็รีบหยิบปืนยิงยาสลบขึ้นมา เพื่อเตรียมที่จะวางยาสลบซู่เจินอีกครั้งหน้า

ซู่เจินกํามือของเขาเบา ๆ ทันใดนั้นก็มีกลุ่มก้อนเปลวเพลิงปรากฏขึ้นมา ทําให้ปืนของ เบนเน็ตต์เกิดระเบิดขึ้นมาในทันที แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ทําให้มือของเบนเน็ตต์บาดเจ็บมากนัก

ตอนที่ 119 ความสามารถแช่แข็ง

ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้ค่อนข้างที่จะมีอัธยาศัยที่ดีมาก เพราะหลังจากที่ซ่เงินไล่ถามกับพวกเขาได้ไม่นาน เขาก็พบบ้านของจัสมินได้อย่างรวดเร็ว และก็เห็นได้ชัดว่ายังไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นกับเขา

ถ้าอ้างอิงตามเนื้อเรื่องแล้วพ่อของจัสมินจะตกเป็นเป้าหมายของเซอร์ร่า เพราะว่าเขามีความสามารถในการแช่แข็งคล้าย ๆ กับความสามารถของดอนนี่ที่สามารถแช่แข็งวัตถุที่แตะต้องได้ อย่างไรก็ตามความสามารถนี้มันก็ไม่ได้น่าสนใจมากนักสําหรับซูเจิน เว้นแต่ว่ามันจะเป็นความสามารถของไอซ์แมน หนึ่งในสมาชิกของ X-Men ที่สามารถสร้างน้ําแข็งขึ้นมาจากชั้นบรรยากาศบาง ๆ ได้โดยไม่สนกฎเกณฑ์อะไรทั้งสิ้น มิฉะนั้นศักยภาพของความสามารถมันก็ยังคงมีขีดจํากัดอยู่

ซึ่งเป้าหมายหลักของเขาก็คือจัสมิน หรือ GPS ในรูปแบบของมนุษย์ และถ้าเกิดว่าเขาเอาความสามารถนี้รวมเข้ากับการเทเลพอร์ตมันก็จะไม่มีใครสามารถซ่อนตัวจากเขาได้อีกต่อไป

ในขณะเดียวกันในตอนนี้ครอบครัวของจัสมินก็กําลังทําอาหารเย็นกันอยู่ และดูเหมือนว่าตอนนี้พวกเขากําลังมีความสุขกันเป็นอย่างมาก ไม่ต่างจากครอบครัวปกติทั่วไป แต่ใครจะไปคิดล่ะ ว่าอีกไม่นานหลังจากนี้หัวของเขาจะถูกตัดออกจากบ่าและนําไปติดกับผนังเอาไว้ ?

“ก๊อก ๆ!”

ซูเจินยืนอยู่ที่หน้าประตูพร้อมกับเคาะเบา ๆ

หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนกําลังเดินมา และทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออก ปรากฏเป็นร่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่กําลังยืนมองมาที่ซ่เงินด้วยความสงสัยพร้อมกับถามขึ้นมาว่า “คุณมาหาใครสั้นหรอค่ะ?”

“ผมมาหาสามีของคุณ…เขาอยู่หรือเปล่า ?” ซูเจินถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“รอแปปสักครู่หนึ่งนะคะ” ผู้หญิงคนนั้นเดินกลับเข้าไปในบ้าน หลังจากนั้นไม่นานก็มีชายคนหนึ่งเดินมาเปิดประตู

“คุณมาหาฉันอย่างงั้นหรอ ?”

“ใช่…คุณออกมาคุยกับผมข้างนอกสักพักหนึ่งได้ไหม ?” ซูเจินถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

พ่อของจัสมินลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ในที่สุดเขาก็ปิดประตูและเดินตามหลังซูเจินไป

“สวัสดีผมชื่อซ่เงิน และจุดประสงค์ที่ผมมาที่นี่ก็เพื่อช่วยเหลือคุณ และคนในครอบครัวของคุณ”

คําพูดของซูเจินทําให้พ่อของจัสมินถึงกับตกใจ และเขาก็พูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยว่า “ถ้าเกิดว่าคุณมาที่นี่เพื่อแกล้งฉันล่ะก็ฉันก็คิดว่าคุณน่าจะทํามันสําเร็จแล้วล่ะ!”

“คุณเป็นคนที่มีความสามารถในการแช่แข็ง และความสามารถนี้ของคุณก็ถูกคน ๆ หนึ่งรู้เข้า เขาชื่อว่าเซอร์ร่า ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนหรือเปล่า ? เพราะว่าคน ๆ นี้เป็นมาตกรที่มีความสามารถในการตัดหัวของผู้มีความสามารถพิเศษและเอาความสามารถของคนที่เขาฆ่ามาเป็นของตัวเอง และเขาก็จะไม่ฆ่าเพียงแค่คุณเท่านั้น แต่มันยังรวมถึงภรรยาของคุณด้วย ซึ่งถ้าเกิดว่าเขารู้ว่าลูกสาวของคุณก็มีความสามารถพิเศษเหมือนกัน เขาก็คงไม่ปล่อยเธอเอาไว้เช่นกัน ดังนั้นในตอนนี้คุณมีทางเลือกอยู่สองทางเลือกทางเลือกที่หนึ่ง : คุณและครอบครัวรีบ เก็บข้าวของย้ายออกไปจากที่นี่และใช้ชีวิตแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไปตลอดชีวิตด้วยความหวาดกลัว ส่วนทางเลือกที่สอง”

“มันคืออะไร ?” พ่อของจัสมินถามขึ้นมาด้วยความร้อนรน

“ทําให้ความสามารถของคุณมันหายไป ดังนั้นเขาก็จะไม่สนใจเกี่ยวกับตัวคุณอีกต่อไป และ คุณก็จะสามารถใช้ชีวิตได้แบบคนปกติธรรมดาทั่วไปอย่างมีความสุข”

ซูเจินหยุดไปครู่หนึ่งและพูดต่อว่า “ผมมีความสามารถบางอย่างที่สามารถเอาความสามารถของคุณออกมาได้ โดยที่ไม่ทําร้ายคุณอย่างแน่นอน และผมก็ไม่ได้เป็นคนที่ใจดีขนาดนั้น เพราะถ้าเกิดว่าคุณไม่เห็นด้วย ผมก็แค่ใช้กําลังบังคับแย่งชิงมันมาก็แค่นั้นเอง!”

พ่อของจัสมินถึงกับตกใจเมื่อได้ยินคําพูดของซูเจิน ทันใดนั้นบรรยากาศรอบ ๆ ตัวของซูเจินก็ค่อย ๆ เย็นลงทําให้สนามหญ้าในตอนนี้เริ่มกลายเป็นน้ําแข็ง

“คุณเชื่อไหม

ถ้าเกิดว่าผมต้องการฆ่าคุณ คุณได้ตายไปตั้งนานแล้ว”

ซูเจินมองไปที่เขาพร้อมกับพูดขึ้นมาเบา ๆ

พ่อของจัสมินลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เขาจะยอมแพ้และพูดขึ้นมาว่า “คุณ คุณจะไม่ทําร้าย พวกเราจริง ๆ ใช้ไหม ?”

“เป้าหมายของผมก็คือความสามารถของคุณ อ้อ..นี่ก็ถือได้ว่าเป็นการช่วยชีวิตคนในครอบครัวของคุณไปในตัว และมันก็ไม่มีอะไรมากกว่านั้น เรียกได้ว่าทั้งคุณและผมเราก็วิน ๆ ทั้งสองฝ่าย ใช่ไหมล่ะ ?”

“แล้วทําไมฉันจะต้องเชื่อใจคุณด้วย ? “ พ่อของจัสมินถามขึ้นมา

“เพราะว่าคุณไม่มีทางเลือก!”

ภายในห้องบนชั้นสองของบ้านจัสมิน ซูเจินกําลังวางมือลงบนไหล่ของพ่อจัสมิน ซึ่งพ่อของจัสมินในตอนนี้ก็ดูเคร่งเครียดและระมัดระวังเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นไม่นานซูเจินก็ปล่อยมือของเขาออกทําให้พ่อของจัสมินรู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที เขาลองกําหมัดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว และเขาก็พบว่าความสามารถของเขาในตอนนี้มันได้หายไปแล้ว

และเมื่อเขาลองมองไปที่ซูเจินที่กําลังยืนยิ้มอยู่ ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่ามีชั้นน้ําแข็งปรากฏขึ้นมาบนร่างกายของซูเจิน แต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็ว

“พระเจ้า! คุณเอาความสามารถของฉันไปจริง ๆ ด้วย นี่มัน … น่าเหลือเชื่อมากจริง ๆ” เมื่อพ่อของจัสมินเห็นความสามารถของเขาไปอยู่ที่ซูเจิน เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเบา

” คุณควรที่จะขอบคุณผมนะ ถ้าเกิดว่าเซอร์ร่าปรากฏตัวขึ้นมาคุณก็คงไม่มีโอกาสที่จะได้ถอนใจด้วยซ้ํา” ซูเจินยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย

ซูเจินไม่ได้ตื่นเต้นมากนักหลังจากที่เขาได้รับความสามารถในการแช่แข็งมา ถึงแม้ว่าความสามารถนี้มันจะดูเท่และแข็งแกร่งมากในแวบแรก แต่มันก็ยังมีข้อเสียอยู่นั่นก็คือมันไม่สามารถ สร้างน้ําแข็งขึ้นมาจากชั้นบรรยากาศบาง ๆ ได้ ทําให้ความสามารถนี้มันยังไม่ค่อยจะสมบูรณ์สักเท่าไหร่ สําหรับซูเจินแล้วความสามารถนี้มันก็เป็นเพียงความสามารถที่ทําให้ภารกิจของระบบมันเสร็จก็เท่านั้น

อ้อ … และนี่ก็ยังเป็นอีกจุดหนึ่ง ที่ช่วยคลายความสงสัยของซูเจินได้ในเรื่องของการกลืนความสามารถภายในดันเจี้ยนแห่งนี้

มันไม่ใช่เพราะว่าความสามารถปกติทั่วไปในดันเจี้ยนแห่งนี้มันจะแข็งแกร่งมากและยากที่จะกลืนกิน แต่มันขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของความสามารถ เพราะตอนที่เขากลืนกินความสามารถของพ่อจัสมินมันก็ไม่ได้ยากลําบากมากนักเหมือนกับของแคลร์

” คุณพาลูกสาวของคุณมาหาผมที่นี่ได้เลย”

ซูเจินหันไปพูดกับพ่อของจัสมิน หลังจากนั้นพ่อของจัสมินก็รีบลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว และ ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็เดินขึ้นมาพร้อมกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่น่ารักเป็นอย่างมาก

เมื่อซู่เจินมองไปที่เธอ เขาก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยเกี่ยวกับชะตากรรมที่เด็กผู้หญิงตัวน้อย ๆ คนนี้จะต้องเจอ

เดิมที่ครอบครัวของพวกเขาก็ใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุข แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น บวก กับการที่เธอเห็นภาพพ่อแม่ของเธอถูกฆ่าตายอย่างอนาถต่อหน้าต่อตา ทําให้สภาพจิตใจของเธอต้ องตกลงสู่ความหวาดกลัว หลังจากนั้นเธอก็ถูกทําให้กลายเป็นเครื่องมือขององค์ลึกลับที่เบน เน็ตต์กําลังทํางานให้อยู่เพื่อใช้เธอในการตามหาคนที่มีความสามารถโดยเฉพาะ ทําให้เธอเกือบถูกฆ่าตายตั้งหลายครั้ง

บางครั้งโชคชะตาอาจจะมอบพลังอันแข็งแกร่งมาให้คุณ แต่พลังอันนั้นมันก็มักจะมาพร้อมกับหายนะ!

ซูเจินยิ้มให้กับจัสมินเล็กน้อยพร้อมกับค่อย ๆ เอามือลูบไปที่หัวของเธอ หลังจากนั้น เขาก็เริ่มใช้ความสามารถในการกลืนกินของเขาทันที

แน่นอนว่าการต่อต้านมันแข็งแกร่งกว่าพ่อของเธอมาก

แต่ถึงอย่างไรก็ตามมันก็อ่อนแอกว่าของแคลร์มาก ซึ่งมันก็อาจจะเป็นเพราะว่าอายุของเธอมันยังน้อยอยู่และความสามารถของเธอมันก็ยังไม่ได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์และได้รับการพัฒนาที่ถูกต้อง

หลังจากที่ซูเจินพยายามอยู่ประมาณสิบนาที เขาก็เริ่มรู้สึกว่ากําลังมีพลังหลั่งไหลเข้ามาภายในร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว

“เสร็จเรียบร้อย เก่งมากคนดี!” ซูเจินยิ้มขึ้นมาพร้อมกับลูบหัวของจัสมินเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็หันไปพยักหน้าให้กับพ่อของจัสมินและพูดว่า ” ผมจัดการทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว ดังนั้นผมจะไม่รบกวนเวลาอาหารเย็นของพวกคุณอีกต่อไป และผมก็หวังว่าค่ําคืนนี้จะเป็นค่ําคืนที่มีความสุขสําหรับพวกคุณ”

“คุณแน่ใจใช่ไหมว่ามันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ?” พ่อของจัสมินถามขึ้นมาด้วยความกังวล เล็กน้อย

“ไม่ต้องเป็นห่วง!”

ซ่เงินตบไปที่ไหล่ของพ่อจัสมินเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็เดินออกมาจากบ้านของจัสมินอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่เขากลืนกินความสามารถมาสามอันติดต่อกัน ทําให้ตอนนี้ภารกิจหลักของเขามันเสร็จเรียบร้อย ดังนั้นซูเจินในตอนนี้จึงมีความสุขเป็นอย่างมาก เขากลับไปพักผ่อนที่โรงแรมหนึ่งคืน เพื่อให้ร่างกายของเขามันปรับสภาพได้ และค่อยออกเดินทางไปนิวยอร์คในวันพรุ่งนี้

“ผมขอแผนที่แผ่นหนึ่ง…ขอบคุณ!”

ซ่เงินเดินไปที่แผงขายหนังสือพิมพ์และซื้อแผนที่มาหนึ่งแผ่น พร้อมกับมองไปด้านหลังของเขาด้วยสายตาจริงจัง ซึ่งไม่ไกลจากซูเจินมากนักกําลังมีชายคนหนึ่งที่สวมหมวกกําลังยืนซื้อฮอทด็อกอยู่

“ฉันเห็นนะว่าคุณกําลังแอบมองมาที่ฉันอยู่ ? มันคงไม่ง่ายนักหรอกที่คุณจะแย่งชิงความสามารถไปจากฉันได้!” ปากของซูเจินโค้งขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับค่อย ๆ ยิ้มออกมา

ตอนที่ 118 ฟังก์ชั่นสนามประลองอันแข็งแกร่ง

งั้นก็หมายความว่าสนามประลองอันนี้ไม่ใช่แค่ว่าสามารถเรียนรู้และเพิ่มประสบการณ์การต่อสู้จริงได้เท่านั้น แต่มันยังสามารถเพิ่มค่าความสัมพันธ์ได้อีกด้วย และ ยิ่งค่าเปอร์เซ็นของค่าความสัมพันธ์มันเพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่ เวลาที่เขาจะอยู่ในนี้ได้มันก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น พร้อมกับพื้นที่ที่ขนาดใหญ่ขึ้นด้วย!

“ระบบ ถ้าเกิดว่าฉันเข้าใจไม่ผิดก็คือฉันสามารถเอาผู้คนที่อยู่ในดันเจี้ยนออกไปสู่โลกมาเวลได้ใช่ไหม ?”

“ใช่!”

“กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ฉันสามารถนําผู้คนจากโลกมาเวล เข้าสู่ดันเจี้ยนได้เหมือนกันใช่ไหม? และถ้าเกิดว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ล่ะก็ฉันก็คงจะต้องขอถอนคําพูดกลับมา เพราะว่าสนามประลองอันนี้มันจะสุดยอดเกินไปแล้ว”

พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ นี่คือวิธีการพาคนเข้าสู่ดันเจี้ยนหรือพาออกมานอกดันเจี้ยนนั่นเองออกมา

หากคุณนําผู้คนจากดันเจี้ยนมายังโลกเวลา คุณก็จะสามารถมีผู้ช่วยที่แข็งให้กลับคุณได้อย่างมากมายกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ถ้าเกิดว่าคุณนําใครบางคนจากโลกมาเวลเข้าไปในดันเจี้ยน คุณก็จะมีตัวช่วยในการทําภารกิจของคุณได้ง่ายดายยิ่งขึ้น

“แล้วทําไมตอนนี้ฉันยังไม่สามารถมองเห็นค่าความสัมพันธ์ของคนในโลกมาเวลได้ ?”

ภายในดันเจี้ยนนั้นถ้าเกิดว่ามีค่าความสัมพันธ์เพิ่มขึ้น ระบบจะทําการแจ้งเตือนให้กับเขาทราบทันที แต่ในโลกของมาเวลนั้นมันไม่ได้เป็นแบบนี้ ยกตัวอย่างเช่น สกาย , บริ้งค์ , นาตาชา หรือว่าคนที่สนิทกับเขาค่าความสัมพันธ์ของพวกเขามันคงจะไม่ต่ําอย่างแน่นอนใช่ไหม ?

“ระดับของระบบต่ําเกินไป ทําให้ไม่สามารถแสดงค่าความสัมพันธ์ในโลกหลักได้”

ซูเจินถึงกับพูดไม่ออก “ดังนั้นนายก็เลยเตือนฉันบ่อย ๆ ว่าให้ฉันพยายามทํางานให้หนักขึ้นเพื่อที่จะได้มีพลังงานเพียงพอต่อการอัพเกรดได้เร็ว ๆ ใช่ไหม ?”

ระบบเงียบและไม่ได้ตอบคําถามของซูเจิน

“ระบบ เปิดสนามประลองให้หน่อย ฉันอยากดูว่ามันจะเป็นอย่างไร”

“เปิดสนามประลองเสร็จสิ้น เริ่มต้นการใช้งาน”

เมื่อเสียงการแจ้งเตือนของระบบจบลง ซูเจินก็พบว่าตัวของเขาในตอนนี้กําลังยืนอยู่บนเวทีที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ โดยที่บริเวณรอบข้างเต็มไปด้วยความมืดมิดจนมองไม่เห็นอะไรเลย ตรงข้ามกับเวทีที่สว่างมาก

“สนามประลองมันไม่เล็กเกินไปหน่อยงั้นหรอ ? นายสามารถขยายมันได้ไหม ?” ซูเจินถามขึ้นมา

“ยิ่งมีตัวละครอยู่ในสนามประลองมากเท่าไหร่ โฮสต์ก็จะสามารถขยายขนาดของสนามประลองได้มากขึ้นเท่านั้น”

“เอาล่ะ! ต้องอัพเกรดอย่างเดียวสินะ”

ซูเจินยิ้มขึ้นมาด้วยความเบื่อหน้าเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็มองไปยังจอภาพโฮโลแกรมที่อยู่เหนือหัวของเขา ซึ่งภายในจอภาพโฮโลแกรมอันนั้นมันมีคน ๆ หนึ่งปรากฏอยู่ นั่นก็คือ แคลร์ หรือ อันเดดเกิร์ล

“มีคนเดียวเองงั้นหรอ ? ไม่มีคนในโลกมาเวลที่มีค่าความสัมพันธ์ถึง 80% เลยอย่างงั้นหรอ ?” ซูเจินขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย เพราะว่าสกายก็น่าจะมีค่าสัมพันธ์ไม่น้อยกว่า 80% ไม่ใช่หรือไง

“โฮสต์โปรดสังเกตบนหน้าจอให้ละเอียด เพราะตัวละครที่แสดงอยู่คือตัวละครที่อยู่ภายในดันเจี้ยน ส่วนตัวละครที่มีลูกศรอยู่ข้าง ๆ นั่นก็คือตัวละครจากโลกมาเวล อย่างไรก็ตามตอนนี้ระดับของระบบมันต่ําเกินไป ดังนั้นโฮสต์จึงไม่สามารถเลือกตัวละครจากโลกมาเวลได้ในขณะนี้”

“โอเค!”

หลังจากฟังคําอธิบายของระบบ อารมณ์ของซูเจินก็ดีขึ้นมาเล็กน้อย

ดังนั้นซูเจินก็เลยลองกดเลือกไปที่แคลร์บนจอภาพโฮโลแกรมดู

หลังจากนั้นไม่นานก็ค่อย ๆ มีลําแสงปรากฏขึ้นมาตรงหน้าของซูเจินพร้อมกับร่างของแคลร์ที่ค่อย ๆ ปรากฏตัวออกมา

” ที่นี่มันคือที่ไหน ? ฉันไม่ได้อยู่ในรถของพ่ออย่างงั้นหรอ ? แล้วทําไมจู่ ๆ ฉันถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ ? ซูเจิน … คุณก็อยู่ที่นี่ด้วยงั้นหรอ ?” แคลร์มองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสนหลังจากที่เธอปรากฏตัวขึ้นมาที่ไหนก็ไม่รู้ และเมื่อเธอสังเกตเห็นซูเจิน เธอก็รีบเดินเข้ามาหาเขาและถามขึ้นมาด้วยความมึนงง

ซึ่งซูเจินก็ตกตะลึงกับปฏิกิริยาของแคลร์เช่นกัน เขาส่ายหัวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวพร้อมกับถามระบบขึ้นมาภายในจิตใจว่า ” ทําไมมันถึงได้เป็นแบบนี้ล่ะ ? เพราะดูยังไงเธอก็ … ดูเหมือนว่าจะมีตัวตนอยู่จริง ๆ นายส่งตัวของแคลร์มาที่นี่อย่างงั้นหรอ ? เธอไม่ใช่ตัวละครที่ถูกคัดลองข้อมูลมาจากต้นฉบับอย่างงั้นหรอ? “

“นี่คือตัวจริงของเธอ เพราะเมื่อค่าความสัมพันธ์ถึง 80% หรือมากกว่าวิญญาณของเธอก็จะถูกผูกมัดเข้ากับโฮสต์หรือระบบโดยอัตโนมัติ เมื่อโฮสต์กดเลือกเธอมาเธอก็จะมาปรากฏตัวที่นี่ แต่ โฮสต์ก็สามารถวางใจได้เพราะว่าเวลาในโลกภายนอกจะหยุดนิ่ง ดังนั้นโฮสต์จึงไม่จําเป็นที่จะต้องกังวลว่าเธอจะเกิดอันตรายอะไรเมื่อเธอออกไป และโฮสต์ก็ยังสามารถลบความทรงจําของเธอได้อีกด้วย เพื่อที่จะไม่ให้เธอจําได้ว่าเคยมาที่นี่!”

ดูเหมือนว่าครั้งนี้ระบบจะอธิบายให้กับเขาได้ชัดเจนมากเลยทีเดียว

หลังจากที่ซูเจินเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ตรงนี้คร่าว ๆ แล้ว เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันทีพร้อมกับยิ้มให้กับแคลร์และพูดว่า “ไม่ต้องกังวล ที่นี่ไม่มีอันตรายอะไรหรอก เพราะว่าที่นี่เป็นพื้นที่ในอีกมิติหนึ่งของผมเอง”

” แล้วคุณพาฉันมาที่นี่ได้อย่างไร ?” แคลร์ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

“มันเป็นหนึ่งในความสามารถของผมน่ะ เพราะว่าผมมีความสามารถพิเศษอยู่มากมาย”

“แล้วคุณพาฉันมาที่นี่ทําไม ?” แคลร์ถามขึ้นมา

“ทําอะไรอย่างงั้นหรอ ?”

ซ่เงินไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี เพราะเดิมที่ที่นี่มีไว้สําหรับการต่อสู้ แต่เห็นได้ชัดว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะต่อสู้กับแคลร์ ? หลังจากซูเจินลองคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูแล้ว เขาก็บังเอิญนึกหัวข้อหนึ่งขึ้นมาและพูดว่า “ไม่มีอะไรหรอก ผมก็แค่อยากจะถามคุณว่าเจ็บไหม ?

“อะไรนะ ?” แคลร์ที่กับชะงักไปชั่วครู่หนึ่ง พร้อมกับค่อย ๆ ก้มหน้าลงโดยไม่รู้ตัวและพูดว่า “ไม่…มันไม่เจ็บแล้ว”

“โอ้! ดีแล้วล่ะ ทําให้ผมในตอนนี้รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเยอะเลย เพราะผมกลัวว่าคุณจะยังเจ็บปวดอยู่ และผมก็หวังว่าคุณจะเข้าใจในเจตนาของผมจากเรื่องที่ผมได้ทําลงไป”

ซูเจินอธิบายขึ้นมาอย่างช้า ๆ ส่วนใบหน้าของแคลร์ในตอนนี้ก็เริ่มกลายเป็นสีแดงพร้อมกับพยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ และไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมา เพราะว่าตอนนี้เธอรู้สึกอายเป็นอย่างมาก

“คุณเงยหน้าขึ้นมาได้แล้ว ผมจะส่งตัวของคุณกลับไป”

ซูเจินส่ายหัวขึ้นมาเล็กน้อย พร้อมกับกดส่งตัวของแคลร์ออกไป แต่ในขณะที่เขากําลังจะส่งตัวของแคลร์ออกไปมันก็มีข้อความปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอโฮโลแกรมว่า

“คุณต้องการลบความทรงจํา ใช่/ไม่”

“ใช่!”

ซูเจินกดเลือกไปที่ใช้ในทันที และเขาก็สังเกตเห็นว่าร่างของแคลร์ก็ค่อย ๆ หายไปอย่างช้า ๆ และดูเหมือนว่ามันจะต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะเรียกเธอมาที่นี่ได้อีกครั้งหนึ่งซึ่งในตอนนี้ซูเจินก็ค่อนข้างที่จะคุ้นกับฟังก์ชั่นนี้ของระบบเรียบร้อยแล้ว

“เอาฉันออกไปจากที่นี่”

หลังจากที่เข้าใจเกี่ยวกับสนามประลองคร่าว ๆ แล้ว ซู่เจินก็ออกมาจากสนามประลองทันที

ซึ่งในแผนการแรกของเขาก็คือการไปที่ญี่ปุ่นเพื่อตามหา ฮิโรชิ นากามูระ และกลืนกินความสามารถของเขา แต่เมื่อเขาลองมาคิดดูอีกที่แล้ว บางทีเขาอาจจะไม่ต้องไปที่ญี่ปุ่นก็ได้ แต่เขาควรไปที่นิวยอร์คแทน เพราะว่าความสามารถของฮิโรชิ นากามูระ จะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นที่นิวยอร์ค อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะไปที่นิวยอร์คเขาจะต้องกลืนกินความสามารถของคนที่เก่ง ๆ ที่อยู่ที่นี่ก่อน เพราะถ้าเกิดว่าเขาสามารถกลืนกินความสามารถจนภารกิจสําเร็จได้มันก็จะดีมาก ดังนั้นเขาจึงจะได้มีเวลาเหลือในการตรวจสอบดูว่าความสามารถในดันเจี้ยนแห่งนี้มันแข็งแกร่งจริงหรือปล่าว ? หรือว่ามันจะเป็นเพราะความสามารถของอันเดดเกิร์ลอย่างเดียว ที่มันเกิดอาการต่อต้านอย่างรุน แรงแบบนั้น

“ดูเหมือนว่าฉันจะต้องรีบหน่อยแล้ว ไม่อย่างนั้นเซอร์ร่าจะชิงความได้เปรียบไปได้ง่าย ๆ”

ซูเจินบ่นพึมพําขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับรีบออกจากโรงแรมไปอย่างรวดเร็ว

ในโลกใบนี้มีความสามารถอยู่มากมาย ไม่ว่าจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ แต่ก็ยังมีสาวน้อยอยู่คนหนึ่งที่ชื่อว่า จัสมิน ที่มีความสามารถในการระบุตําแหน่งของใครก็ได้บนโลกใบนี้ ซึ่งมันก็ดูเหมือน กับว่าเธอเป็น GPS ในรูปแบบของมนุษย์ และถ้าเกิดว่าเขาสามารถเอาความสามารถของเธอมาได้การที่เขาจะตามหาคนที่มีความสามารถคนอื่น ๆ มันก็จะง่ายดายยิ่งขึ้น

ตอนที่ 117 สนามประลอง

” พ่อคะ … พ่อมาที่นี่ทําไม ?” แคลร์ถามขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว พร้อมกับมองไปที่ชายวัยกลางคนที่วิ่งเข้ามาด้วยความประหลาดใจ

เบนเน็ตต์ พ่อบุญธรรมของแคลร์

“ลูกรัก ลูก…ลูก… ไม่เป็นอะไรใช่ไหม ?” เบนเน็ตต์ ถามขึ้นมาด้วยความลังเล ในขณะที่เขากําลังมองสํารวจไปที่แคลร์ และพบว่าเสื้อผ้าของแคลร์ยังคงปกติดีอยู่

“หนูไม่เป็นอะไรค่ะพ่อ เขา… “แคลร์ส่ายหัวขึ้นมาเบา ๆ และกําลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เธอก็ได้ยินเบนเน็ตต์ พูดแทรกขึ้นมาก่อนว่า “ไม่เป็นอะไรลูกรัก ลูกไปรอพ่อข้างนอกแปปหนึ่งนะ…พ่อมีอะไรบางอย่างอยากคุยกับเขาสักหน่อย”

แคลร์รู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นเธอก็เห็นซูเจินกระพริบตาและยิ้มให้กับเธอพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า ”ได้สิ ผมก็อยากคุยกับพ่อของคุณเหมือนกัน”

“อืม!”

แคลร์พยักหน้าและค่อย ๆ หันหลังเดินออกจากห้องไป

เบนเน็ตต์ เดินไปปิดประตูอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นสีหน้าที่แสนใจดีของเขาก็หายไปในทันทีพร้อมกับคว้าจับไปที่เสื้อของซูเจินและตะโกนขึ้นมาด้วยความโกรธว่า “แกเป็นใคร…แล้วแกทําอะไรกับลูกสาวของฉัน!”

“แล้วคุณคิดว่าผมทําอะไรกับเธอล่ะ ? “

ความรู้สึกของซูเจินที่มีต่อเบนเน็ตต์ นั้นไม่เลวเลยทีเดียว เพราะว่าตัวของเขานั้นมีความเป็นพ่ออยู่เต็มเปี่ยม ถึงแม้ว่าชีวิตของเขาจะเต็มไปด้วยความหลอกลวงและการโกหก แต่ซูเจินก็ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าเบนเน็ตต์ คนนี้เป็นคนดีต่อแคลร์มากและเขาก็พยายามที่จะปกป้องแคลร์ออกมาจากใจจริง

ดังนั้นซูเจินก็เลยไม่ได้โกรธกับการกระทําของเบนเน็ตต์ เขาค่อย ๆ จับมือของเบนเน็ตต์ ออกมาจากเสื้อผ้าของเขา หลังจากนั้นเขาก็จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยและพูดขึ้นมาว่า “ถ้าคุณกลัวว่าผมจะหลอกลูกสาวคุณโดยใช้ความสัมพันธ์แบบเพื่อน … คุณสามารถวางใจได้เลย ถึงแม้ว่าคุณจะได้ยินเสียงร้องว่า เจ็บ! อย่าขยับ เดี๋ยวมันก็ออกมาแล้ว! ที่มันอาจจะทําให้คุณเข้าใจได้ ซึ่งตอนแรก ๆ ที่คุณได้ยินคุณอาจจะคิดไปแบบนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่แบบนั้นอย่างแน่นอน!”

“คุณเป็นใครกันแน่ ?”

แน่นอนว่าเบนเน็ตต์ เข้าใจผิดจริง ๆ นั่นแหละ มีใครบางที่ได้ยินเสียงร้องแบบนั้นและจะไม่เข้าใจผิด ซึ่งในตอนนั้นเขาก็กําลังยืนอยู่หน้าประตูห้องด้วย

“เจ็บ…เจ็บ…”

“อย่าขยับ เดี๋ยวอีกสักพักมันก็ออกมาแล้ว”

“อ๊าก…จะออกแล้ว”

ได้ยินเสียงร้องแบบนี้ประกอบกับเสียงตะโกนขึ้นมาเบา ๆ เหมือนกับว่ากําลังจะมีอะไรปลดปล่อยออกมา มันก็ไม่น่าแปลกใจหรอกที่เขาจะเข้าใจผิด

“ผมชื่อซ่เงิน…ผมดีใจนะที่ได้พบคุณ คุณเบนเน็ตต์ ” ซูเจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“คุณทําอะไรกับลูกสาวฉันกันแน่!”

เบนเน็ตต์ ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยหลังจากที่เขาตั้งสติได้ ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันจะไม่ใช่เรื่องแบบนั้น แต่มันก็ชัดเจนว่าชายแปลกหน้าคนนี้ที่ชื่อซู่เจินจะต้องทําอะไรบางอย่างกับแคตร์อย่างแน่นอน

“คุณไม่ต้องกังวล ที่จริงแล้ว…คุณก็มีจุดประสงค์เดียวกับผม ดังนั้นคุณควรที่จะขอบคุณผม ด้วยซ้ํา” ซูเจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับมองไปที่ท่าทางของเบนเน็ตต์ และพูดขึ้นมาต่อว่า “ผมรู้ว่าคุณกําลังทํางานอยู่ในโรงงานกระดาษ ซึ่งจริง ๆ แล้วคุณกําลังทํางานให้กับองค์กรหนึ่งอยู่โดยที่คุณมีหน้าที่ในการมองหาคนที่มีความสามารถพิเศษโดยเฉพาะ ในตอนแรกคุณคิดที่จะรับแคลร์เข้ามาในองค์กร แต่คุณก็ดันมีความรู้สึกดี ๆ กับเธอ ดังนั้นคุณก็เลยพยายามที่จะปกป้องเธอมาหลายปีแล้วเพื่อไม่ให้คนในองค์กรรู้ผมพูดถูกไหม ?”

“ฉันไม่รู้ว่าคุณกําลังพูดอะไรอยู่!”

เบนเน็ตต์ ส่ายหัวขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับหันหน้าไปข้างหลัง และค่อย ๆ หยิบปืนออกมาจากข้างในเสื้อของเขา และเขาก็หันกลับไปหาซ่เงินอย่างกะทันหันพร้อมกับชี้ปืนไปทางซูเจิน และเบน เน็ตต์ ก็ถามขึ้นมาด้วยความเย็นชาว่า “คุณรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ? หรือว่าคุณก็เป็นคนที่มีความสามารถพิเศษ ?”

เมื่องมองไปยังปากกระบอกปืนสีดําที่ชี้มา ซูเจินก็ส่ายหัวของเขาขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับกระดิกนิ้วของเขาเล็กน้อย ทันใดนั้นปืนของเบนเน็ตต์ ก็ลอยขึ้นมาและบินไปที่มือของซูเจินอย่างรวดเร็ว

เบนเน็ตต์ มองไปที่ซ่เงินด้วยความวิตกกังวลเล็กน้อย ในขณะเดียวกันซูเจินก็เหลือบมองไปที่ปืนเล็กน้อยพร้อมกับชี้ปืนไปที่แขนของเขา

“ปัง!”

เสียงปืนดังขึ้น พร้อมกับลูกกระสุนที่เจาะทะลุแขนของซูเงินไปอย่างรวดเร็ว

โชคดีที่เสียงของปืนกระบอกนี้มันเบามาก ทําให้คนอื่น ๆ ที่อยู่ภายในโรงแรมไม่ได้ยินมัน

” คุณ ” เบนเน็ตต์ ไม่เข้าใจว่าซูเจินกําลังทําอะไรอยู่ ทําไมเขาถึงได้ยิงตัวเอง ? แต่หลังจากนั้นไม่นาน เบนเน็ตต์ ก็เห็นว่าแผลบนแขนของซูเจินที่โดนปืนยิงมันเริ่มรักษาตัวเองอย่างรวดเร็ว และในชั่วพริบตามันก็หายเป็นปลิดทิ้ง ราวกับว่าซูเจินไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน

“ความสามารถนี้มันสุดยอดมาก” ซูเจินมองไปที่แขนของเขาเล็กน้อย เขาพบว่าภายในไม่กี่วินาทีบาดแผลของเขามันก็หายเป็นปกติแล้ว

ถึงแม้ว่าเขาจะมีความสามารถในการรักษาตัวเองของไวรัสเอ็กซ์ตรีมมิส แต่มันก็ไม่ได้ รวดเร็วขนาดนี้

และเขายังสัมผัสได้อีกว่าตอนนี้ความสามารถของแคลร์กําลังผสานเข้ากับความสามารถในการรักษาตัวเองของไวรัสเอ็กซ์ตรีมมิส แต่ถึงอย่างนั้นความเร็วของการผสานเข้าด้วยกันมันก็ไม่ได้เร็วมากนัก ดังนั้นเขาก็เลยยังไม่หมดสติไปในทันที

“คุณไม่ได้ถามผมหรอว่าผมทําอะไรกับแคลร์ ? นี่ไง!”

ซูเจินยกแขนของเขาขึ้นมาให้ดูพร้อมกับพูดกับเบนเน็ตต์

เบนเน็ตต์ ส่ายหัวและถามขึ้นมาด้วยความไม่อยากเชื่อว่า “คุณ … คุณหมายถึงอะไร ? คุณเอาความสามารถของแคลร์ไปอย่างงั้นหรอ ? คุณคือเซอร์ร่าใช้ไหม?”

เซอร์ร่า เป็นคนที่อันตรายเป็นอย่างมากในโลกของซูเปอร์ฮีโร่ ถ้าเกิดว่าเขาตัดหัวของคนที่มีความสามารถพิเศษ เขาก็จะสามารถมองเห็นวิธีการทํางานของความสามารถพิเศษได้พร้อมกับ ได้รับความสามารถพิเศษของอีกฝ่ายมา

ว่ากันว่าความสามารถนี้ของเขาสามารถมองเห็นความสามารถได้ทุกอย่างว่ามันทํางานอย่าง

ซึ่งซ่เงินก็ไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับความสามารถนี้เหมือนกัน ทําให้เขาสงสัยว่านี่คือความสามารถพิเศษหรือความสามารถตามปกติ ? เพราะถึงอย่างไงท้ายที่สุดแล้วการที่สามารถมองเห็นการทํางานของความสามารถพิเศษได้ทุกอย่างนั้น มันค่อนข้างจะเกินจริงมากเกินไป

เมื่อเห็นความกระวนกระวายใจของเบนเน็ตต์ ซูเจินก็ส่ายหัวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “ถ้าเกิดว่าผมเป็นเซอร์ร่าจริง ๆ แคลร์จะยังคงมีชีวิตอยู่ในตอนนี้อย่างงั้นหรอ ? ผมสามารถเอาพลังของเธอมาเป็นของผมได้โดยที่ไม่ต้องทําร้ายเธอ ดังนั้น คุณก็ไม่จําเป็นที่จะต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องของเธออีกต่อไปคุณสามารถพาเธอกลับไปได้แล้ว และไม่ต้องกังวลว่าเธอจะตกอยู่ในอันตราย!”

เบนเน็ตต์ ไม่ได้ตอบซูเจิน แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก

การกระทําของซูเจินในครั้งนี้ได้ช่วยแก้ปัญหาให้กับเขาจริง ๆ ถึงแม้ว่า … เขาจะรู้สึกขอบคุณซูเจิน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถปล่อยตัวของซูเจินไปได้ เพราะว่าซูเงินเป็นบุคคลที่มีความสามารถในการกลืนกินความสามารถของคนอื่นได้ และเขาก็ไม่ต้องการให้ฆาตกรแบบเซอร์ร่าเกิดขึ้นมาอีกคน บวกกับว่านี่เป็นการค้นพบที่สําคัญต่อองค์กรเป็นอย่างมาก!

เบนเน็ตต์ มองไปที่ซูเจินเล็กน้อย ก่อนที่จะเอื้อมมือไปหยิบปืนของเขากลับคืนมา หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หันหลังเดินออกจากห้องไปโดยไม่พูดสักคํา

ซูเจินเดินไปที่หน้าต่างพร้อมกับมองไปที่แคลร์ที่กําลังเดินตามเบนเน็ตต์ เข้าไปในรถ แต่ก่อนที่เธอจะขึ้นรถเธอก็หันไปมองทางซูเจินเล็กน้อย เมื่อซูเจินเห็นแบบนั้นเขาก็ยิ้มให้กับเธอและโบ กมือเล็กน้อย

“อันเดดเกิร์ล : แคลร์ เบนเน็ตต์ ค่าความสัมพันธ์เพิ่มขึ้น 30% ตอนนี้ค่าความสัมพันธ์เพิ่มขึ้นถึง 959% แล้วกําลังเปิดสนามประลองพร้อมกับป้อนข้อมูลของตัวละครลงในสนามประลอง

ทันใดนั้นเสียงการแจ้งเตือนของระบบก็ดังขึ้นมา ทําให้ซ่เงินเดินไปนั่งลงบนเตียงและพูดขึ้นมา ”เปิดขึ้นมาก็ไม่มีประโยชน์อะไร”

“โฮสต์สามารถอัพเดทสถานนะได้ตลอดเวลาหลังจากที่ตัวละครเข้าสู่สนามประลองเรียบร้อยแล้ว และถ้าเกิดว่าตัวละครนั้นเข้าสู่สนามประลองก่อนสูญเสียความสามารถไป โฮสต์ก็สามารถอัพเดทตัวละครของเขาลงในสนามประลองได้ นอกจากนี้สนามประลองยังสามารถเพิ่มค่าความ สัมพันธ์ได้อีกด้วย และเมื่อค่าความสัมพันธ์สูงขึ้น โฮสต์ก็จะสามารถใช้เวลาอยู่ในนี้ได้นานขึ้น บวกกับพื้นที่ที่ขนาดใหญ่ขึ้น!”

เมื่อได้ยินคําตอบของระบบ ซูเจินก็รู้สึกสนใจขึ้นมาในทันที

และหากมันเป็นแบบที่ระบบบอกจริง ๆ ละก็เขาก็อาจจะต้องลองคิดเกี่ยวกับสนามประลองนี่ไหมอีกครั้งหนึ่ง

ตอนที่ 116 ผมไม่ใช่พระเจ้า!

เมื่อได้ยินซูเจินพูดแบบนั้น แคลร์ก็จําขึ้นมาได้ในทันทีเลยว่าซูเจินก็มีความสามารถพิเศษเหมือนกับเธอ ซึ่งความสามารถของเขาก็คือ ไฟ ดังนั้นไฟก็ไม่น่าจะทําอะไรเขาได้ใช่ไหม?

“ระวังตัวด้วย”

ซูเจินก้มหัวของเขาลงมาเล็กน้อยพร้อมกับหัวเราะเบาๆ หลังจากนั้นเขาก็โบกมือซ้ายของเขาเบาๆ ไปทางจุดเกิดเหตุ โดยที่มีสายตาของแคลร์ที่มองไปที่ซูเจินด้วยความสงสัย ทันใดนั้น …. เธอก็เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ พร้อมกับดึงไปที่แขนของซูเจินด้วยความตื่นเต้น

ถ้าถามว่าเธอเห็นอะไรอย่างงั้นหรอ ?

เธอเห็นสิ่งที่มันไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เพราะอยู่ดีๆ เปลวเพลิงที่กําลังโหมกระหน่ําอยู่มันก็เกิด การเคลื่อนไหวเล็กน้อย ซึ่งในตอนแรกมันยังไม่เร็วมากนัก แต่หลังจากนั้นไม่นานเปลวเพลิงที่อยู่รอบๆ มันก็เริ่มเข้ามารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว

แน่นอนว่าสถานการณ์แปลกๆแบบนี้ถูกสังเกตเห็นจากคนที่อยู่บริเวณรอบๆอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นนักดับเพลิง หรือคนที่กําลังยืนมุงดูอยู่รอบๆ พวกเขาต่างอุทานขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ พร้อมกับค่อยๆหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเหตุการณ์ตรงหน้าเอาไว้

เห็นได้ชัดว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นมันกินพื้นที่ขนาดใหญ่มาก และมันก็มีเปลวเพลิงลุกโชนไปทั่วบริเวณโดยรอบ แต่ในตอนนี้เปลวเพลิงที่กําลังลุกโชนเหล่านั้นกําลังเข้ามารวมตัวกัน แกว่งไปแกว่งมาตามสายลมบริเวณตรงกลางของจุดเกิดเหตุ

“พระเจ้า มันเกิดบ้าอะไรขึ้น”

“เอ่อ …รีบอยู่ห่างๆมันเอาไว้ดีกว่า เพราะว่ามันค่อนข้างดูแปลกๆ”

“นี่คือพรของพระเจ้า

พระเจ้าช่วยชีวิตของพวกเราเอาไว้!”

นักดับเพลิงในตอนนี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความหวาดกลัว

ในขณะเดียวกันเปลวเพลิงมันก็เริ่มหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ ทําให้นักดับเพลิงที่อยู่บริเวณรอบๆต้องถอยหลังไปสองสามก้าวด้วยความตกใจ มันหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ เร็วขึ้นเรื่อ ๆ เหมือนกับพายุทอร์นาโดที่ผสมกับเปลวเพลิง และหลังจากนั้นไม่นานมันก็หายไป

หายไปจากชั้นอากาศอันเบาบาง!

หลังจากเวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง คนที่อยู่บริเวณรอบๆ ก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นราวกับว่าเหตุการณ์ตรงหน้าเป็นความฝัน พวกเขาอยู่ในอารมณ์ที่ซับซ้อนและไม่รู้ว่าจะอธิบายเกี่ยวกับเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไรดี แต่ถึงอย่างไรก็ตาม นี่มันเป็นเรื่องที่ดี!

“พระเจ้า! คุณจะสุดยอดเกินไปแล้ว!”

หลังจากที่แคลร์และซูเจินเดินออกมาจากจุดเกิดเหตุแล้วสักพักหนึ่ง แคลร์ก็พูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น “คุณคือฮีโร่! คุณได้ยินที่พวกเขาเรียกคุณไหม … คุณคือพระเจ้า”

“ผมไม่ใช่พระเจ้า!” ซูเจินยักไหล่พร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “อันเดดเกิร์ล : แคลร์ เบนเน็ตต์ ค่าความสัมพันธ์เพิ่มขึ้น 10%”

การแจ้งเตือนของระบบดังขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ซูเจินไม่ได้ประหลาดใจมากนัก

ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะมีค่าความสัมพันธ์อยู่ 60% . ไม่แน่ว่าแคลร์อาจจะเป็นตัวละครคนแรกที่สามารถเข้าสู่สนามประลองได้

หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาทั้งสองคนก็เดินทางมาถึงภายในเมือง ซึ่งแคลร์ก็พาซูเจินไปที่โรงแรมภายในเมืองทันที

“เดี๋ยวผมจะเข้าไปเปิดห้อง ส่วนคุณก็ไปรอผมที่หลังโรงแรม” ซูเจินหันไปพูดกับแคลร์

” ทําไม ?” แคลร์ถามขึ้นมาด้วยความมึนงง

ซูเจินยิ้มและพูดว่า “คุณโง่หรือแกล้งโง่ ? ทุกคนภายในเมืองนี้รู้จักคุณเป็นอย่างดี และถ้าเกิดว่าพวกเขาเห็นคุณเข้าไปในโรงแรมกับผม คุณไม่กลัวว่าพวกเขาจะเข้าใจผิดอย่างงั้นหรอ? ดังนั้นผมจะเข้าไปเปิดห้องให้เอง หลังจากนั้นคุณก็ค่อยๆแอบเข้ามาทางหน้าต่างอย่างเงียบๆ!”

แคลร์ยิ้มขึ้นมาพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ

“อันเดดเกิร์ล : แคลร์ เบนเน็ตต์ ค่าความสัมพันธ์เพิ่มขึ้น 5%”

หะ ? แค่ทําสิ่งนี้ก็เพิ่มค่าความสัมพันธ์ได้อย่างงั้นหรอ?

ซูเจินส่ายหัวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากนั้นเขาก็หันหลังกลับและเดินเข้าไปในโรงแรม

โรงแรมแห่งนี้มีเพียงแค่สามชั้นเท่านั้น ดังนั้นซูเจินจึงเลือกห้องบนชั้นสามอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เขาเข้ามาภายในห้องเรียบร้อยแล้ว เขาก็พบว่าที่นี่มันค่อนข้างจะดูดีมากเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าขนาดมันจะเล็กมากไปหน่อยก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นที่นี้ก็ค่อนข้างสะอาด หลังจากที่เขาดูห้องจนพอใจแล้ว เขาก็เดินไปที่หน้าต่างพร้อมกับมองลงไปด้านล่าง เขาก็เห็นว่าแคลร์กําลังยืนรอเขาอยู่

ซึ่งกําแพงตรงด้านหลังของโรงแรมมันก็โล่งมาก ทําให้เธอไม่สามารถปืนขึ้นมได้

ในขณะที่แคลร์กําลังกังวลอยู่ว่าเธอจะขึ้นไปอย่างไรดี ทันใดนั้นเธอก็เห็นว่าซูเจินกระโดดออกมาจากทางหน้าต่าง

ซูเจินโน้มตัวลงเล็กน้อยพร้อมกับโอบไปที่เอวของแคลร์ หลังจากนั้นเขาก็ออกแรงกระโดดเบาๆ ทําให้ตัวของเขาพุ่งขึ้นไปที่หน้าต่างห้องของเขาบนชั้นสามอย่างรวดเร็ว เขาส่งตัวของแคลร์เข้าไปด้านในก่อนที่เขาจะเดินตามเข้าไปอย่างใกล้ชิด

หลังจากเข้ามาภายในห้อง แคลร์ก็มองไปที่ซูเจินด้วยความประหม่า

ซึ่งเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทําไมมันถึงได้มีอาการแบบนี้เกิดขึ้นมาได้ เพราะว่าเมื่อก่อนเธอก็ไม่เคยเป็นเช่นนี้ ซึ่งมันก็อาจจะเป็นเพราะอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมบริเวณรอบๆ ก็ได้ที่ทําให้เธอประหม่าเล็กน้อยหลังจากที่เข้ามาภายในห้อง เพราะถึงยังไงนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เธอเข้ามาภายในโรงแรม และนี่ก็ยังเป็นครั้งแรกที่เธอได้อยู่กับผู้ชายสองต่อสองภายในห้องคนเดียว

และเธอก็ต้องขอยอมรับเลยว่าซูเจินเป็นคนที่มีเสน่ห์มาก ทําให้แคลร์อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวัล ถึงแม้ว่าเธอในตอนนี้จะยังเป็นเด็กอยู่ก็ตาม

“จะให้ผมเริ่มลองอีกครั้งเลยไหม? ” ซูเจินถามขึ้นมาเบาๆ

แคลร์พยักขึ้นมาเบาๆ และพูดว่า “อืม .. ฉันก็อยากกลับไปเป็นคนธรรมดาเร็วๆเหมือนกัน เพราะเวลาที่ฉันเจอกับพ่อแม่และน้องชาย ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันจะเผชิญหน้ากับพวกเขาอย่างไรดี และฉันก็กลัวว่าพวกเขาจะมองฉันว่าเป็นสัตว์ประหลาด หลังจากที่พวกเขารู้ความลับของฉัน!

“เชื่อผมสิ พวกเขาจะไม่คิดกับคุณอย่างงั้นอย่างแน่นอน

ซูเจินยิ้มขึ้นมาพร้อมกับพาแคลร์ไปนั่งลงบนเก้าอี้ หลังจากนั้นแคลร์ก็สูดหายใจเข้าไปลึกๆ และพยักหน้าให้กับซูเจินเพื่อเป็นสัญญาณว่าเธอพร้อมแล้ว

“อย่าเครียด.. ผ่อนคลายเข้าไว้”

ซูเจินเอามือไปวางไว้บนหัวของแคลร์พร้อมกับเริ่มใช้ความสามารถในการกลืนกินของเขาอีกครั้ง

แต่ถึงอย่างนั้นผลลัพธ์มันก็ยังคงเป็นเช่นเดิม หลังจากที่ซูเจินเริ่มใช้ความสามารถในการกลืนกินมันก็เกิดอาการต่อต้านอย่างรุนแรง และดูเหมือนว่ามันจะรุงแรงมากกว่าครั้งก่อนด้วย

“ติ๊ง!”

“ภารกิจรองได้ถูกปล่อยออกมาแล้ว!”

“ภารกิจรอง : ได้รับความสามารถของอันเดดเกิร์ล!”

ในขณะที่ซูเจินกําลังพยายามกลืนกินความสามารถของแคลร์ ระบบก็ปล่อยภารกิจรองออกมาในทันที ทําให้ซูเจินในตอนนี้รู้สึกมีความสุขมาก ซึ่งก็ดูเหมือนว่าภารกิจรองมันจะทับซ้อนกับภารกิจหลัก แต่มันก็ดีเหมือนกัน เพราะว่าตอนนี้ … มันเหมือนกับว่าเขากําลังยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

ซูเจนเลิกคิดฟุ้งซ่านและหันมาจดจ่อกับการกระตุ้นความสามารถในการกลืนกินของเขา

เขาเริ่มรู้สึกได้ว่าพลังงานทั้งสองอย่างมันกําลังต่อต้านกันอย่างรุนแรงดึงกันไปดึงกันมา ทําให้หน้าผากของซูเจินในตอนนี้มันเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็เริ่มชิงความได้เปรียบมาทีละนิด

“ยอมให้ฉันกลืนกินซะดีๆ!”

ซูเจินกัดฟันแน่นและตะโกนออกมาโดยไม่รู้ตัว

แคลร์ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย เพราะว่าแรงบีบของซูเจินมันเริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงแต่เจ็บปวดเท่านั้น แต่เธอยังรู้สึกแปลกๆอีกด้วย ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าเหมือนกําลังมีอะไรบางอย่างกําลังออกมาจากภายในร่างกายของเธอ ทําให้เธอค่อยๆหายใจอย่างช้าๆ เพื่อรวบรวมสติและพยายามที่จะไม่รบกวนสมาธิของซูเจิน

“มันจบแล้ว!”

เมื่อซูเจินรู้สึกได้ว่าความสามารถของแคลร์มันเริ่มอ่อนแอลง และกําลังจะโดนความสามารถของเขากลืนกิน ซูเจินก็รีบกระตุ้นความสามารถในการกลืนกินของเขาทันที

“เจ็บ เจ็บ อ้า!”

เมื่อซูเจินเพิ่มพลังเข้าไปอีก ทําให้แคลร์ที่ตอนแรกไม่ได้เจ็บปวดมากนัก ถึงกับร้องขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดทรมาณ

” อย่าขยับ คุณต้องอดทนอีกสักพัก มันใกล้จะสําเร็จแล้ว ” ซูเจินตะโกนขึ้นมา

“อ๊าก ……..”

ซูเจินคํารามขึ้นมาดังลั่น พร้อมกับความสามารถในการกลืนกินของเขาที่กลับเข้ามาสู่ร่างกาย ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกได้ว่าความสามารถของแคลร์มันตกเป็นของเขาเรียบร้อยแล้ว!

“ปัง!”

ในขณะที่ซูเจินกําลังจะผ่อนคลายลง ทันใดนั้นประตูก็ถูกกระแทกเปิดเข้ามาอย่างรุนแรง พร้อมกับมีชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่วิ่งเข้ามาด้วยความโกรธเกรี้ยว และเมื่อเขาเห็นฉากตรงหน้า จู่ๆเขาก็หยุดยืนอยู่กับที่

ตอนที่ 115 ความรู้สึกที่สัมผัสได้

“ฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณพูด ขอโทษด้วย … ฉันขอตัวกลับบ้านก่อน ลาก่อน!” คําพูดของซูเจินทําให้แคลร์ถึงกับตื่นตระหนกเมื่อเธอคิดว่าความสามารถของเธอถูกเขาค้นพบแล้ว ทําให้เธอรีบพูดตัดบทและเตรียมตัวที่จะจากไป

“คุณไม่เข้าใจจริงๆงั้นหรอ ? น่าเสียดายๆ ผมยังไม่ได้แสดงความสามารถพิเศษของผมให้กับคุณดูเลย!” ซูเจินแกล้งพูดขึ้นมาด้วยน้ําเสียงผิดหวังเล็กน้อย

แคลร์หยุดยิ่งไปครู่หนึ่งและถามขึ้นมาด้วยความลังเลว่า “คุณ คุณก็มีความสามารถพิเศษเหมือนกันอย่างงั้นหรอ? “

ซูเจินยกมือของเขาขึ้น ทันใดนั้นก็มีเปลวเพลิงปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือของเขาอย่างรวดเร็ว ทําให้ดวงตาของแคลร์ในตอนนี้เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า

ซูเจินดับไฟพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “นี่คือความสามารถของผม”

“มันสุดยอดมาก!” แคลร์พูดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “คุณสามารถปล่อยเปลวเพลิงออกมาได้ และมันก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ไม่เหมือนกับฉัน ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นสัตว์ประหลาด”

“บางทีผมอาจจะช่วยคุณได้!”

ซูเจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“คุณพูดจริงๆใช่ไหม?”

“ถ้าการความสามารถแบบนี้ และอยากเป็นคนธรรมดา ผมก็มีวิธีนํามันออกไปจากร่างกายของคุณได้”

สําหรับเด็กสาวที่สวยอย่างแคลร์แล้ว ซูเจินไม่ต้องการใช้ความรุนแรงกับเธอมากเกินไป อย่างไรก็ตามเธอก็ค่อนข้างที่จะเกรงกลัวความสามารถของตัวเธอเอง ดังนั้นเขาจึงสามารถใช้ส่วนนี้เป็นข้อได้เปรียบในการทําให้เธอมอบความสามารถนี้ให้กับเขาด้วยความเต็มใจ

“คุณสามารถเอาความสามารถนี้ออกไปได้ ?” แคลร์รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเธอ ได้ยินคําพูดของซูเจิน เพราะว่าค่อนข้างที่จะกังวลเกี่ยวกับความสามารถนี้ของเธอมาโดยตลอด เธอไม่สามารถตายได้ไม่ว่าจะบาดเจ็บแค่ไหนก็ตาม เธอก็สามารถรักษาตัวเองได้อย่างรวดเร็ว เธอกลัวตัวเอง กลัวว่าจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่ทําให้ทุกคนหวาดกลัว

“คุณอยากลองไหม ?”

ซูเจินยิ้มขึ้นมาพร้อมกับค่อย ๆ วางมือของเขาลงบนหัวของเธอ แคลร์ต้องการหลีกเลี่ยงโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อเธอเห็นการแสดงออกที่จริงจังของซูเจิน และเธอก็คิดว่าเขาเพียงต้องการจัดการกับความสามารถของเธอให้ ดังนั้นเธอจึงค่อยๆรวบรวมสติและไม่ได้หลีกเลี่ยงการสัมผัสของซูเจิน

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ซูเจินก็เปิดใช้ความสามารถในการกลืนกินของเขาทันที

“เกิดอะไรขึ้น?”

ทันทีที่ความสามารถในการกลืนกินของเขามันเริ่มทํางาน เขาก็อดไม่ได้ที่จะพึมพําขึ้นมาเบาๆด้วยความประหลาดใจ

ในอดีตเมื่อเขาจะกลืนกินความสามารถของคนอื่น ถ้าเกิดว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้แข็งแกร่งมากเกินไป เขาก็จะสามารถกลืนกินมันได้อย่างง่ายดาย และถ้าเกิดว่าฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งกว่า เขามันก็จะเกิดการต่อต้าน ทําให้เขาสามารถกลืนกินความสามารถได้ยากลําบากยิ่งขึ้น แต่ในช่วงนี้หลังจากที่เขาได้กลืนกินอนุภาคอีเทอร์ เขาก็พบว่าความสามารถในการกลืนกินของเขามันแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม และในตอนนี้ก็เห็นได้ชัดว่าแคลร์ไม่ได้มีอาการต่อต้านอะไรเขาเลยแม้แต่น้อย

ซึ่งมันตรงกันข้ามกับอาการต่อต้านอย่างรุนแรงที่เขากําลังเจอในตอนนี้ เพราะหลังจากที่เขาเปิดใช้ความสามารถในการกลืนกิน ฝ่ายตรงข้ามก็เริ่มมีอาการต่อต้านอย่างรุนแรง ถึงแม้ว่าเขาจะยืนกลืนกินความสามารถแบบนี้ไปทั้งวัน เขาก็ไม่สามารถกลืนกินมันได้อยู่ดี

“แปลกมาก ระดับความสามารถของโลกใบนี้มันสูงมากขนาดนั้นเลยอย่างงั้นหรอ ? หรือว่าอาการต่อต้านอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อกี้มันจะมาจากความสามารถพิเศษของเธอ?”

ซูเจื้นอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา

เมื่อแคลร์เห็นท่าทางของซูเจิน เธอก็เลยถามขึ้นมาด้วยความลังเลว่า “เกิดอะไรขึ้น มีอะไรบางอย่างผิดปกติอย่างงั้นหรอ ?”

“ดูเหมือนว่ามันจะมีปัญหาเล็กน้อย เพราะความสามารถของคุณมันค่อนข้างพิเศษ บวกกับการตระหนักรู้ในตนเองของคุณ มันจึงทําให้เกิดอาการต่อต้านอย่างรุนแรงเป็นพิเศษ ถ้าหากว่าคุณไม่รังเกียจ ผมคิดว่าเราควรที่จะหาที่ที่ไม่มีใครรบกวนจะดีกว่า แล้วค่อยลองอีกครั้งหนึ่ง” ซูเจินยิ้มขึ้นมาอย่างตลกขบขันพร้อมกับเอามือของเขาออกจากหัวของเธอ “เพราะถึงยังไงท้ายที่สุดแล้วถ้าเกิดว่ามีคนมาเห็นคุณและผมในสภาพนี้อาจจะทําให้เกิดความเข้าใจผิดได้”

ใบหน้าของแคลร์เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที สําหรับซูเจินแล้วเขาไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการเข้าใจผิด แต่นั่นก็ไม่ได้รวมถึงแคลร์ที่เป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิง

“งั้นเดี๋ยวคุณช่วยพาผมเข้าไปในเมืองก่อน หลังจากนั้นผมจะได้หาสถานที่ปักหลักแล้วลองมันดูอีกครั้ง”

“คุณเดินตามฉันมา”

แคลร์พยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับเดินนําทางซูเจินไป

ในขณะที่พวกเขากําลังเดินเข้าไปในตัวเมืองพวกเขาก็พูดกันข้ามเวลา ซึ่งส่วนใหญ่แล้วแคลร์จะเป็นคนพูด ส่วนซูเจินจะเป็นคนฟังและจะพูดเพียงแค่หนึ่งหรือสองประโยคเป็นครั้งคราวเท่านั้น และถ้าถามว่าทําไมแคลร์ถึงได้พูดกับซูเจินมากเป็นพิเศษ? เขาก็ต้องบอกเลยว่าเธอค่อนข้างที่จะมีความลับมากมายที่ไม่สามารถพูดกับคนอื่นได้ ทําให้เธอได้แต่เก็บมันไว้ในใจ ซึ่งหลังจากที่แคลร์เห็นว่าซูเจินมีความสามารถพิเศษเหมือนกับเธอ เธอก็เลยค่อยๆเปิดใจให้กับเขาอย่างช้าๆ

” อันเดดเกิร์ล : แคลร์ เบนเน็ตต์ ค่าความสัมพันธ์เพิ่มขึ้น 50 %

ซูเจินถึงกับตกตะลึงเมื่อเขาได้ยินเสียงการแจ้งเตือนจากระบบขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรอ” แคลร์ถามขึ้นมา

“ไม่มีอะไร” ซูเจินส่ายหัวขึ้นมาเบาๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ เพราะเขาก็ไม่คิดว่าเขาจะได้ค่าความสัมพันธ์เพิ่มขึ้นมา 50% ? มันเป็นเพราะว่าเธอเชื่อใจคนอื่นง่ายๆ หรือว่าเป็นเพราะ “เห็นว่าเขาเป็นคนใจดี”?

ถ้าเกิดว่าเขาพยายามมากขึ้นอีกหน่อยให้ค่าความสัมพันธ์มันถึง 80% เขาก็จะสามารถเปิดสนามประลองขึ้นมาได้ แต่ถ้าเกิดว่าเขากลืนกินความสามารถของเธอ เธอก็จะกลายเป็นคนธรรมดา และเธอก็จะขอบคุณเขา? ทําให้ค่าความสัมพันธ์อาจจะเพิ่มขึ้นถึง 80% แต่ถึงอย่างนั้น

“ระบบ ถ้าเกิดว่าฉันกลืนกินความสามารถของแคลร์ และค่าความสัมพันธ์มันถึง 80% และฉันก็เปิดสนามประลองขึ้นมา เธอจะยังมีความสามารถนี้อยู่ไหมในสนามประลอง?”

แน่นอนว่าคําถามที่เขาถามกับระบบมันสําคัญมาก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่สําหรับแคลร์

” หลังจากเข้าสู่สนามประลอง ความสามารถพิเศษของตัวละครจะอ้างอิงจากลักษณะจริงๆของคนๆนั้น!”

” พูดอีกอย่างก็คือ ถ้าเกิดว่าแคลร์ไม่มีความสามารถพิเศษอยู่แล้วเมื่อค่าความสัมพันธ์เพิ่มถึง 80% เธอก็จะไม่มีความสามารถพิเศษในสนามประลองด้วยใช่ไหม? และถ้าเกิดว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ แล้วสนามนี้จะมีไว้เพื่อ?”

ซูเจินรู้สึกหดหูเล็กน้อยถ้าเกิดว่าตัวละครที่ปรากฏตัวขึ้นในสนามประลองมันไม่มีความสามารถ แล้วสนามอันนี้จะมีไว้เพื่ออะไร? แต่ถ้ามันเป็นแค่กับแคลร์ก็ไม่เป็นอะไรหรอก เพราะถึงยังไงการต่อสู้กับเธอมันก็ไม่ได้ช่วยเพิ่มทักษะการต่อสู้อะไรให้กับเขาอยู่แล้ว แต่ถ้าเกิดว่าเป็นคนอื่นๆล่ะ ? ตัวอย่างเช่น เดอะแฟลช

เพราะว่าเขาต้องการความสามารถของเดอะแฟลชและประสบการณ์การใช้ความสามารถของเขา

ซึ่งทางเดียวที่เขาจะทําได้ในตอนนี้ก็คือรอจนกว่าค่าความสัมพันธ์มันจะเพิ่มขึ้นจนเพียงพอต่อการประเบิดสนามประลอง และหลังจากนั้นเขาก็ค่อยกลืนกินความสามารถในสนามประลอง มันเป็นไปได้หรือไม่?

ก่อนที่จะกลืนกินความสามารถได้ เขาจะต้องเพิ่มค่าความสัมพันธ์กับตัวละครพวกนี้ก่อน ? นี่มันอะไรกันเนี้ย ยุ่งยากเกินไปไหม

“ระบบ นายไม่คิดว่าฉากของสนามประลองมันจะดูจืดชืดไปหน่อยหรอ ?” ซูเจินถามขึ้นมาอย่างหดหู่

ระบบเงียบและไม่ตอบคําถามของซูเจิน

เมื่อเห็นว่าระบบไม่ตอบ ซูเจินก็ทําอะไรไม่ได้อีกต่อไป

“ดูเหมือนว่าจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นข้างหน้า ? พระเจ้า! ดูเหมือนว่าจะเป็นอุบัติเหตุทางรถยนต์!”

แคลร์ตะโกนขึ้นมาทันที ทําให้ซูเจินค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามอง และเขาก็พบว่าบริเวณโดยรอบมีรถดับเพลิงจอดอยู่สองสามคันกําลังล้อมรอบเป็นวงกลมอยู่ ซึ่งภายในวงกลมนั้นมีรถบรรทุกหลายคันชนกันอย่างรุนแรง จนเกิดเปลวเพลิงขนาดใหญ่ และก็ดูเหมือนว่าสถานการณ์ในตอนนี้จะเลวร้ายเป็นอย่างมาก

แคลร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหันไปพูดกับซูเจินเบาๆว่า “ฉันขอตัวไปดูพวกเขาหน่อย” “ให้ผมช่วยไหม ?” ซูเจินถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“ไม่เป็นไร เพราะถึงยังไงฉันก็ไม่ตาย” แคลร์พูดขึ้นมาเบาๆ

“แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทรมาณอยู่ดีใช่ไหม? ให้ผมจัดการเองดีกว่า!”

ตอนที่ 114 ดันเจี้ยนซูเปอร์ฮีโร่

เสียงของการหายใจอย่างรุนแรงและความสุขอันเปี่ยมล้น ค่อยๆเบาลงเรื่อยๆ หลังจากนั้นไม่นานมันก็สงบลง

นาตาชานอนพิงไปที่แผงอกของซูเจิน ถึงแม้ว่าตอนนี้ร่างกายของพวกเขาทั้งสองคนจะเต็มไปด้วยเหงื่อและความเหนื่อยหอบ แต่พวกเขาทั้งสองคนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มให้กัน

“ที่รัก … คุณพอใจแล้วหรือยัง ?”

นาตาชาถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่ซู่เจินกําลังก้มมองลงมาที่เธอ

“ถ้าผมบอกว่าไม่ล่ะ ?” ซูเจินถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

นาตาชาเหลือบมองไปที่ซูเจินเล็กน้อยและค่อย ๆ พูดขึ้นมาอย่างแผ่วเบาว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันก็คงจะต้องพยายามมากขึ้นกว่าเดิมสินะ” หลังจากพูดจบนาตาชาก็ค่อยๆควบคุมพลังจิตของเธอไปที่ผ้าห่มของซูเจิน

ซูเจินก้มลงไปมองเล็กน้อย และเขาก็เห็นว่าผ้าห่มของเขามันกําลังค่อยๆถูกดึงออกทีละเล็กน้อย และหลังจากนั้นไม่นานมันก็หล่นลงไปกองกับพื้น ทันใดนั้นซูเจินก็รู้สึกว่านาตาชากําลังเปลี่ยนเป้าหมายเป็นอย่างอื่น ทําให้ตัวของเขาสั่นขึ้นมาเล็กน้อย

“ไม่เอาน่า คุณไม่ควรเอาพลังจิตของคุณมาใช้ทําเรื่องแบบนี้นะ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าผมไม่ได้รู้สึกถึงมันเลย” ซูเจินบ่นขึ้นมากับนาตาชาอย่างหดหู ซึ่งเธอก็ไม่คิดว่ามันจะทําให้ซูเจินรู้สึกแย่ขนาดนั้น

นาตาชาหัวเราะขึ้นมาพร้อมกับเม้มริมฝีปากสีชมพูของเธอเบาๆ และพูดว่า ” แล้วคุณจะให้ฉันใช้อะไรล่ะ ?”

“คุณรู้อยู่แล้วไม่ใช่หรอ? “ ซูเจินจ้องไปที่ปากของนาตาชาและพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

นาตาชาไม่ได้ตอบอะไรออกมา แต่เธอกับค่อยๆโน้มตัวของเธอลงไปอย่างช้าๆ

ในตอนเย็นนาตาชาก็ได้กลับไปที่ฐานเพื่อฝึกฝนความสามารถใหม่ของเธอ เพราะว่าความสามารถนี้มันจะช่วยทําให้เธอสามารถต่อสู้ได้ง่ายดายยิ่งขึ้น ส่วนทางด้านของซูเจินในตอนนี้ก็กําลังพักอยู่ในโรงแรมเช่นเดิม โดยที่เขาได้แจ้งกับพนักงานเอาไว้แล้วว่าเขาจะพักอยู่ที่นี่เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์

เพราะว่าตอนนี้เขาพร้อมที่จะเปิดดันเจี้ยนแห่งใหม่แล้ว

แม้ว่าสกายจะต้องผิดหวังอย่างแน่นอนที่เขาไม่ได้อยู่กับเธอ ซึ่งเขาก็เคยบอกกับเธอไว้ว่าเขาจะอยู่กับเธอเป็นเวลาหนึ่งเดือน แต่ในความเป็นจริงแล้วดูเหมือนว่าเขาจะหายตัวไปบ่อยๆ อย่างไรก็ตามเขาก็ตั้งใจที่จะเข้าไปในดันเจี้ยนแห่งนี้จริงๆ เพราะว่าที่นั่นเต็มไปด้วยคนที่มีความสามารถพิเศษมากมาย ดังนั้นมันจึงสามารถสร้างประโยชน์ให้กับซูเจินได้อย่างมหาศาล ทําให้เขาสามารถทําอะไรหลังจากนี้ได้สะดวกยิ่งขึ้น

เช่น … ชุดเกราะเหล็ก , วัตถุดิบของยา GH325 ที่ทําให้โควสันฟื้นคืนชีพขึ้นมา!

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าวัตถุดิบของยา GH325 ที่สามารถทําให้คนตายสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ ซึ่งมันเหมาะกับสกายเป็นอย่างมาก เพราะว่าเผ่าพันธุ์อินฮิวแมนสามารถใช้ยาตัวนี้ได้โดยไม่มีผลข้างเคียง!

และถ้าเกิดนํามันมาเทียบกับน้ําพุคืนชีพของนินจามาสเตอร์ในแอร์โรว์ ก็จะพบว่าทั้งสองอันนี้มันมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน

“ระบบ ช่วยลบดันเจี้ยนกรีนแลนเทิร์นทิ้งและเปิดดันเจี้ยนแห่งใหม่ : ซูเปอร์ฮีโร่”

หลังจากซูเจินพูดจบ ระบบก็จัดการให้อย่างรวดเร็ว

ซึ่งซูเจินก็ไม่ได้รู้เกี่ยวกับดันเจี้ยนแห่งนี้มากนัก เขารู้อย่างเดียวว่าภายในดันเจี้ยนแห่งนี้มันมีคนที่มีความสามารถพิเศษอยู่มากมาย อธิเช่น ความสามารถในการรักษาตัวเองได้อย่างรวดเร็ว ความสามารถในการบิน , และมันยังไงมีความสามารถในการควบคุมเวลาและพื้นที่โดยรอบได้ , ความสามารถในการอ่านใจ เป็นต้น

สําหรับซูเจินแล้วดันเจี้ยนแห่งนี้คือสรวงสวรรค์ ซึ่งเป้าหมายของเขาก็คือ ฮิโรชิ นากามูระ ชายชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งที่สามารถควบคุมเวลาและพื้นที่โดยรอบได้

“วูบ!”

ทิวทัศน์เบื้องหน้าของซูเจินเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งซูเจินก็คุ้นเคยกับเหตุการณ์แบบนี้เป็นอย่างดี เขามองไปรอบๆเพื่อสังเกตว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงคนร้องอุทานดังขึ้นมา

เมื่อเขาหันไปมองทางต้นเสียง เขาก็พบว่าตอนนี้กําลังมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกําลังกระโดดลงมาจากโครงเหล็กที่ถูกทิ้งร้างเอาไว้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเจ้าโครงเหล็กอันนี้มันก็อยู่สูงจากตัวพื้นอย่างน้อยก็ 20 เมตร และถ้าเกิดว่าเธอตกลงมา เธอก็คงจะต้องตายอย่างแน่นอน! ทําให้คนดีแบบซูเจินจึงจําเป็นที่จะต้องรีบเข้าไปช่วยเหลือ แต่ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่าเด็กผู้หญิงที่กระโดดลงมา เธอกําลังสวมชุดของเชียร์ลีดเดอร์อยู่ บวกกับยังมีเด็กผู้ชายอยู่อีกคนหนึ่งที่กําลังถ่ายวิดีโออยู่บริเวณด้านล่างไม่ไกลจากตรงนั้นมากนัก

เมื่อซูเจินเห็นแบบนั้น ความคิดที่อยากจะช่วยผู้หญิงคนนั้นก็หายไปในทันที

พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่มีความสามารถในการรักษาตัวเองได้อย่างรวดเร็ว หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เธอสามารถเรียกได้ว่าเป็น “อมตะ” ซึ่งมันเป็นความสามารถที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าตัวของเธอจะถูกผ่าออกเป็นเสี่ยงๆ เธอก็สามารถกลับมาเป็นปกติได้โดยเวลาไม่นาน ซึ่งมันก็คล้ายๆกับความสามารถของวูล์ฟเวอรีน และแข็งแกร่งมากกว่าความสามารถในการรักษาตัวเองของไวรัสเอ็กซ์ตรีมมิสของเขา

“ระบบ … ไหนล่ะภารกิจ ?”

ในเมื่อตอนนี้เขาได้เข้ามาในดันเจี้ยนเรียบร้อยแล้ว บวกกับการที่เขาได้พบกันหนึ่ง ในตัวหลักของเรื่อง หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือเนื้อเรื่องมันได้เริ่มเดินแล้วนั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นภารกิจมันก็ยังไม่ปรากฏออกมา ทําให้ซูเจินรู้สึกมึนงงเล็กน้อยและรีบถามระบบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“ติ้ง!”

“เริ่มต้นทําภารกิจ”

“ภารกิจหลัก : กลืนกินความสามารถอย่างน้อยสามความสามารถขึ้นไป”

ระบบรับมอบหมายภารกิจให้กับซูเจินอย่างรวดเร็ว แต่หลังจากที่ซูเจินรอมาเนิ่นนาน เขาก็พบว่าระบบมันดันปล่อยภารกิจหลักออกมาแค่ภารกิจเดียวเท่านั้น

“ทําไมมันเป็นอย่างงี้ล่ะ ? ไม่มีภารกิจรองอย่างงั้นหรอ?”

“ภารกิจรองจะถูกปล่อยออกมาในภายหลัง โดยใช้การดําเนินเนื้อเรื่องเป็นตัวกําหนดของภารกิจ!”

“แบบนี้ก็ได้เหรอ?”

ซูเจินถึงกับพูดไม่ออก เขาพบว่าบางครั้งระบบมันก็เชื่อถือไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภารกิจที่ไม่รู้ว่ารางวัลของมันคืออะไร

“ดูเหมือนว่ายิ่งอัพเกรดนายมากเท่าไหร่ ความน่าเชื่อถือมันก็ยิ่งน้อยลงมากขึ้นเท่านั้น ลืมไปว่าฉันยังมีภารกิจหลักอยู่”

ซูเจินส่ายหัวของเขาขึ้นมาเบาๆ พร้อมกับวางแผนว่าจะทําอะไรต่อไปดี

ซึ่งในตอนนี้ซูเจินก็น่าจะอยู่ใกล้ๆ กับเมืองเล็กๆ ในโอดิสซีย์ รัฐเท็กซัส เพราะถึงยังไงแล้วเด็กผู้หญิงคนนี้ก็คือเชียร์ลีดเดอร์ของโรงเรียนมัธยมปลายที่อยู่ที่นี่

แน่นอนว่าเป้าหมายแรกของซูเจินก็ยังคงเป็น ฮิโรชิ นากามูระ ที่อยู่ที่ญี่ปุ่น แต่ในเมื่อตอนนี้เขาได้พบกับเด็กผู้หญิงที่มีความสามารถในการรักษาตัวเองแบบนี้ เขาก็คงจะไม่สามารถปล่อยปะละเลยความสามารถอันนี้ไปได้ง่ายๆ ไม่เพียงแต่เขาจะสามารถทําภารกิจได้สําเร็จเท่านั้น แต่มันยังเป็นประโยชน์กับตัวของเขาเองด้วย

ท้ายที่สุดแล้วความสามารถอันนี้มันก็สามารถเป็นตัวช่วยค้ําประกันชีวิตของเขาเอาไว้ได้

ซูเจินจ้องมองไปที่อันเดดเกิร์ลคนนั้น ที่กําลังเตรียมตัวจะเดินจากไปพร้อมกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่กําลังบันทึกวิดีโออยู่ หลังจากที่พวกเขาเดินออกไปแล้ว ซูเจินก็ค่อยๆเดินตามพวกเขาไปอย่างช้าๆ และในไม่ช้าอันเดดเกิร์ลคนนั้นก็เดินแยกออกไปกันคนละทางกับเด็กผู้ชาย ซึ่งเขาก็สังเกตเห็นว่าเด็กผู้ชายคนนั้นกําลังทําท่าทางผิดหวังขึ้นมาเล็กน้อย

แน่นอนว่าอันเดดเกิร์ลคนนั้นเป็นกัปตันของทีมเชียร์ลีดเดอร์ ทําให้ภาพลักษณ์ของเธอมันค่อนข้างมีเสน่ห์โดยธรรมชาติ ถึงแม้ว่าในตอนนี้เธอจะยังคงเรียนอยู่แค่มัธยม แต่เธอก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมากภายในโรงเรียน ส่วนเด็กผู้ชายคนนั้นเป็นคนที่อยู่ในประเภทที่ถูกละเลย และก่อนที่พวกเขาจะแยกจากกันซูเจินก็ได้ยินอันเดดเกิร์ลคนนั้นพูดขึ้นมาว่า “พรุ่งนี้ที่โรงเรียน ฉันมีเรื่องอะไรบางอย่างที่ต้องการคุยกับนาย” หลังจากพูดจบเธอก็เดินออกไปทันที ทําให้เด็กผู้ชายคนนั้นที่ได้ยินรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก ทําให้ซูเจินที่กําลังยืนดูอยู่ห่างๆ อดส่ายหัวขึ้นมาไม่ได้

หลังจากที่อันเดดเกิร์ลคนนั้นเดินไปไกลแล้ว ซูเจินก็รีบตามไปทันที

เมื่ออันเดดเกิร์ล หรือแคลร์ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินตามมา เธอก็นึกว่าเป็นเด็กผู้ชายคนนั้น ทําให้เธอหยุดเดินและหันหลังกลับมาพร้อมกับกําลังจะพูดอะไรบางอย่างขึ้นมา แต่ทันใดนั้นเธอก็พบว่าไม่ใช่เด็กผู้ชายคนนั้นที่เดินตามเธอมา แต่เขากับเป็นชายแปลกหน้าคนหนึ่ง เขาเป็นคนเอเชียมีผมสีดําและผิวสีเหลือง

ทําให้เธอในตอนนี้รู้สึกตกใจเป็นอย่างมากถึงกับพูดอะไรไม่ออก

เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับชาวต่างชาติ และเมื่อเธอเห็นว่าเขากําลังเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม แคลร์ก็พูดทักทายขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวว่า “สวัสดี!”

“สวัสดี” ซูเจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

เมื่อเห็นว่าเขาสามารถพูดภาษาอังกฤษ แคลร์ก็รู้สึกโล่งใจและพูดต่อว่า “คุณมาที่นี่เพื่อท่องเที่ยวอย่างงั้นหรอ? เพราะว่าที่นี่มันไม่ค่อยจะมีคนมาท่องเที่ยวสักเท่าไหร่”

“เธอไม่ต้องสนใจมันหรอก ผมชื่อซูเจิน แล้วคุณล่ะ ?”

“ฉันแคลร์ แคลร์ เบนเน็ตต์”

“แคลร์ ผมเห็นว่ามีเลือดติดอยู่บนเสื้อผ้าของคุณ … คุณต้องการความช่วยเหลือไหม ?” ซูเจินชี้ไปที่เสื้อผ้าของเธอ เพราะว่าตอนนั้นเธอได้รับบาดเจ็บจากการที่เธอกระโดดลงมาจากโครงเหล็ก ซึ่งอาการบาดเจ็บของเธอมันได้หายไปเรียบร้อยแล้ว แต่มันก็ยังมีลอยเลือดติดอยู่ดี

“ฉันไม่เป็นไร ขอบคุณ! และฉันก็ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลืออะไรหรอก” แคลร์พูดขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก

“คุณไม่ต้องการความช่วยเหลือจริงๆอย่างงั้นหรอ ? ผมคิดว่าคุณน่าจะมีความลับบางอย่างที่ไม่อยากบอกกับคนอื่นๆใช่ไหม ยกตัวอย่างเช่น ความสามารถพิเศษอะไรบางอย่าง? “ เมื่อเห็นท่าทางที่ตื่นตระหนกของแคลร์ ซูเจินก็ยิ้มขึ้นมาอย่างเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 113 ซูเปอร์แบล็ควิโดว์

แม้ว่าเจมมาจะบอกกับซู่เจินว่าเธอต้องการหาอะไรทําให้จิตใจของเธอในตอนนี้มันสงบลง ซึ่งมันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะวิจัยเกี่ยวกับตัวยาในตอนกลางคืนแบบนี้ แต่ถึงยังไงท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น เพราะถ้าเกิดว่าอารมณ์ของเธอและซู่เจินในตอนนี้ไม่สงบลง เธอเกรงว่ามันจะมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งซู่เจินก็เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เจมมายังไม่พร้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง … ห้องนอนของสกายก็อยู่ไม่ไกลจากห้องของเจมมามากนัก

ถึงแม้ว่าซู่เจินจะรู้สึกลังเลขึ้นมาเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ทําอะไรกับเธอ

ซ่เงินบอกราตรีสวัสดิ์กับเจมมาพร้อมกับหันหลังเดินกลับไปที่ห้องของเขาทันที ซึ่งเขาในตอนนี้ก็ยังรู้สึกได้ถึงรสชาติอันหอมหวานที่ติดอยู่ที่ปากของเขาได้อยู่เลย

และเนื่องจากในตอนนี้เจมมาได้รับความสามารถในการใช้พลังจิตไป ดังนั้นความปลอดภัยของเธอในตอนนี้ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างดี เพราะถึงอย่างไรก็ตามความสามารถในการใช้พลังจิตมันก็แข็งแกร่งมาก ซึ่งซูเจินก็รู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของมันเป็นอย่างดี นอกจากนี้แม้ว่าเจมมาจะเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษของ SHIELD แต่ถึงอย่างนั้นเวลาส่วนใหญ่เธอจะอยู่แต่ที่ฐาน ทําให้โดยพื้นฐานแล้วนักวิทยาศาสตร์จะไม่ค่อยได้พบกับอันตรายอะไรมากมายนัก

ส่วนทางด้านของสกาย ซู่เจินไม่ได้ให้ยาตัวนี้กับเธอ

ถึงแม้ว่าพลังของสกายในตอนนี้มันจะยังไม่ตื่นขึ้น แต่ความสามารถของเธอหลังจากที่พลังของเธอตื่นขึ้นมาแล้วนั้นมันแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ซึ่งก่อนที่พลังของเธอจะตื่นขึ้นมานั้น เธอจะไม่ได้รับอันตรายอะไรทั้งสิ้น ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าให้ยานี้ตัวกับเธอ เพราะเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะทําให้เกิดปฏิกิริยาอื่นๆแทรกซ้อนขึ้นมาหรือเปล่า ซึ่งตรงข้ามกับนาตาชาที่ยาตัวนี้สามารถสร้างประโยชน์ให้กับเธอได้อย่างมหาศาล

ตอนเช้าที่นิวยอร์คจะค่อนข้างคึกคักเป็นเป็นพิเศษ สามารถมองเห็นคนที่เดินถือแก้วกาแฟด้วยความเร่งรีบกันเต็มไปหมด ไม่เพียงแต่ต้องเผชิญกับการทํางานหนักหรือความยากลําบากของชีวิตเท่านั้น แต่พวกเขายังจะต้องเผชิญกับวิกฤตต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นมาเป็นช่วงๆ พูดได้เลยว่าที่นี่ถ้าใจไม่ถึงอยู่ไม่ได้อย่างแน่นอน!

ในร้านกาแฟที่เพิ่งเปิดใหญ่บริเวณริมถนน ซู่เจินกําลังนั่งอยู่ริมหน้าต่างพร้อมกับกาแฟ 2 ถ้วยบนโต๊ะ เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เขากําลังรอใครบางคนอยู่

“ดึงดอง”

เสียงกริ่งของประตูดังขึ้นมาพร้อมกับประตูที่ค่อยๆผลักเข้ามา ในขณะเดียวกันก็มีสาวสวยคนหนึ่งเดินเข้ามา ผู้หญิงคนนั้นมองไปรอบๆ ไม่นานหลังจากนั้นเธอก็สังเกตเห็นซู่เจิน ทําให้เธอรีบเดินไปหาเขาด้วยรอยยิ้ม

“คุณมารอนานแล้วหรือยัง? ” นาตาชานั่งลงพร้อมกับหันไปถามทางซ้ําเงิน

” ผมเพิ่งมาถึง” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

นาตาชาหยิบกาแฟขึ้นมาจิบแล้วพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “กาแฟมันเย็นขนาดนี้ คุณจะบอกว่าคุณเพิ่งมาถึงอย่างงั้นหรอ? “

“เย็น ? ไหนขอผมดูหน่อย” ซู่เจินแกล้งทําเป็นแปลกใจเล็กน้อย และค่อยๆหยิบถ้วยกาแฟของนาตาชาขึ้นมาดู พร้อมกับส่งคืนให้เธอ ” มันก็ยังร้อนอยู่ไม่ใช่หรอ ?”

“วิธีการของคุณมันโจ่งแจ้งเกินไปไหม? ฉันเห็นนะว่ามือของคุณมันแดงอย่างกับสีของหินหนืดเมื่อกี้นี้” นาตาชากลอกตาของเธอเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“มันก็ได้ผลดีไม่ใช่หรอ ?”

ซู่เจินถามขึ้นมาอย่างไม่พอใจเล็กน้อย

“อืม ฉันคิดว่าฉันน่าจะมีความสุขแบบนี้ทุกวัน ถ้าเกิดว่าฉันอยู่กับคุณ!” นาตาชาพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“แน่นอน!” ซู่เจินยิ้มและพูดต่อว่า” คุณอยากมีพลังเหนือธรรมชาติไหม? ตัวอย่างเช่น พลังจิต , คลื่นเสียง , การควบคุมจิตใจ , การทํานายอนาคต ฯลฯ”

“ทําไมจู่ๆคุณถึงถามขึ้นมาแบบนี้ล่ะ ?” นาตาชารู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่เธอก็ตอบซูเจนขึ้นมาว่า “แน่นอนสิ ฉันอยากมีพลังแบบนั้น เพราะอย่างน้อยมันก็ช่วยทําให้ฉันสามารถทําภารกิจต่างๆได้ง่ายขึ้นและปลอดภัยมากกว่า เดี๋ยวก่อน! อย่าบอกนะว่าคุณสามารถทําให้ฉันมีพลังเหนือธรรมชาติได้งั้นหรอ ?”

ซูเจินยิ้มขึ้นมาพร้อมกับพยักหน้าเบา ๆ

นาตาชารู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยและรีบพูดขึ้นมาว่า “คุณพูดจริงงั้นหรอ? เป็นเพราะความสามารถของคุณอย่างงั้นหรอ ? ไม่ใช่ว่าคุณเคยบอกกับฉันว่าคุณมีแค่ความสามารถในการกลืนกินและทําให้มันสามารถปรับเข้ากับร่างกายของคุณได้ ซึ่งมันก็ไม่สามารถคืนความสามารถที่คุณกลืนกินมาคืนให้กับเจ้าของเดิมได้ไม่ใช่หรอ? ”

“ผมไม่ได้บอกว่ามันเป็นความสามารถของผมสักหน่อย ?” ซู่เจินส่ายหัวขึ้นมาเบาๆ และค่อยๆ อธิบายขึ้นมาว่า “ผมมียาอยู่ตัวหนึ่งที่สามารถมอบพลังเหนือธรรมชาติให้กับคุณได้ ซึ่งหลังจากที่ผมลองทดสอบดูแล้ว ผมก็พบว่าอัตราความสําเร็จของมันมีสูงถึง 100% และไม่มีผลข้างเคียงใดๆทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างนั้นผมก็มียาตัวนี้อยู่ไม่มากนักและพลังหรือความสามารถมันก็แตกต่างกันออกไป ซึ่งในตอนนี้ผมมี ทํานายอนาคต , พลังจิต , การควบคุมจิตใจ , คลื่นเสียง ดังนั้นคุณสามารถเลือกหนึ่งในสี่อันนี้ได้เลย”

“ยา?”

นาตาชาพึมพําขึ้นมาเบาๆ และเริ่มพิจารณาเกี่ยวกับมันอย่างจริงจัง

“ฉันเอาความสามารถในการใช้พลังจิตเหมือนกับคุณ”

หลังจากนั้นไม่นานนาตาชาก็ตัดสินใจได้ ซึ่งเธอก็ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว

บวกกับก่อนหน้านี้ที่ซู่เจินเคยแสดงให้เธอเห็นถึงความสามารถของพลังจิตและการทํานายอนาคตมาก่อนแล้ว ทําให้เธอค่อนข้างที่จะรู้เกี่ยวกับความสามารถทั้งสองอันนี้เป็นอย่างดี แน่นอนว่าความสามารถทั้งสองอันนี้มันมีประโยชน์กับเธออย่างมหาศาล แต่ถ้าให้เธอเลือกระหว่างความสามารถทั้งสองอันนี้จริงๆ ก็ดูเหมือนว่าพลังจิตนั้นจะดีมากกว่า

ซู่เจินเอื้อมมือของเขาออกไปพร้อมกับวางขวดยาเอาไว้ในมือของเธอ ” คุณดื่มมันได้เลย”

“ตอนนี้เลย ?” นาตาชาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นเธอก็เปิดฝาขวดออกพร้อมกับดื่มมันเข้าไปทันที ซึ่งยาตัวนี้มันไม่มีกลิ่นหรือสีอะไรทั้งสิ้น ราวกับว่ามันเป็นเพียงแค่น้ําเปล่าธรรมดาๆ

“เสร็จแล้วงั้นหรอ ?”

หลังจากที่เธอดื่มจนหมดแล้ว นาตาชาก็หันไปถามกับซู่เจิน

“เอาล่ะ! เดี๋ยวผมจะพาคุณไปเปิดห้องก็แล้วกัน” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“เอ๊ะ??”

นาตาชาถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง ทําไมจู่ๆ คุณถึงได้พูดเรื่องเปิดห้องขึ้นมา ? นี่มันคือยาที่จะมอบพลังเหนือธรรมชาให้กับฉันไม่ใช่หรอ แต่นี่มันคืออะไร ? แน่นอนว่าหลังจากนั้นไม่นานความคิดนี้ก็ถูกทิ้งไปอย่างรวดเร็ว เพราะถึงอย่างไงท้ายที่สุดแล้ว ถ้าเกิดว่าซูเจินต้องการทําเรื่องนั้นขึ้นมาจริงๆ เขาก็แค่พูดออกมาก็ได้ไม่ใช่หรอ?

“คุณอาจจะต้องใช้เวลาประมาณ 3 – 4 ชั่วโมง และหลังจากที่คุณตื่นขึ้นมา คุณก็จะมีความสามารถพิเศษ” ซู่เจินอธิบายขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นเขาก็วางเงินเอาไว้พร้อมกับเดินออกไปนอกร้าน โดยที่มีนาตาชากําลังควงแขนของเขาอยู่

หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็เดินทางมาถึงโรงแรมที่อยู่บริเวณใกล้เคียง พร้อมกับเปิดห้องอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาการของนาตาชาในตอนนี้ก็เริ่มไม่ค่อยดีจากผลของตัวยา เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในห้องนาตาชาก็ผล็อยหลับไปทันที

ซู่เจินอุ้มนาตาชาไปวางไว้บนเตียง พร้อมกับนั่งลงข้างๆเธอ และค่อยๆดูดกลืนอนุภาคอีเทอร์ เพื่อเป็นการข้ามเวลารอนาตาชาตื่นขึ้นมา

หลังจากผ่านไปเกือบสามชั่วโมง ซู่เจินก็รู้สึกเหมือนว่าตอนนี้นาตาชากําลังจะตื่นขึ้นมาแล้ว ทําให้เขาเก็บอนุภาคอีเทอร์กลับไปพร้อมกับมองไปที่เธอ หลังจากนั้นไม่นานนาตาชาก็ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ และยิ้มให้กับซู่เจินเล็กน้อย

“ยินดีด้วยสําหรับการวิวัฒนาการของคุณ” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“วิวัฒนาการ?”

” ซุปเปอร์แบล็ค วิโดว์ ถือกําเนิดขึ้นมาแล้ว” ซู่เจินพูดติดตลกขึ้นมาเล็กน้อย คุณลองใช้ความสามารถของคุณดูสิ”

“อืม!”

นาตาชาพยักหน้าขึ้นมาเบาๆ หลังจากนั้นเธอก็จ้องเขม็งไปที่แก้วน้ําที่อยู่ข้างๆตัวของเธอ

ในตอนแรกแก้วน้ํามันยังไม่ขยับ แต่หลังจากนั้นไม่นานมันก็ค่อยๆแกว่งไปแกว่งมา และเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนมันบินมาอยู่ต่อหน้าของนาตาชา ทําให้เธอรีบเอามือคว้าจับไปที่มัน และพูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นว่า “ฉันทําได้!”

” ทําไมมันไม่ค่อยเหมือนกับสิ่งที่คิดเลย ?” ซู่เจินยักไหล่ขึ้นมาเล็กน้อยและอธิบายให้กับนาตาชาฟังว่า “คุณเพิ่งจะได้รับความสามารถพิเศษมา ดังนั้นคุณก็ควรปรับตัวให้ชินกับมันโดยเร็วที่สุด นอกเหนือจากการที่คุณสามารถควบคุมสิ่งต่างๆได้แล้ว คุณยังสามารถสร้างเกราะพลังจิตขึ้นมาป้องกันตัวของคุณเองได้ สําหรับรายละเอียดและความสามารถอื่นๆ คุณสามารถใช้สาวน้อยพลังล่องหน หรือซูซานสตอร์มในการเป็นแบบอย่างได้”

“อืม!”

นาตาชาเข้าใจเกี่ยวกับความสามารถนี้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าความสามารถนี้มันจะไม่ได้แข็งแกร่งหรืออ่อนแอ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมันจะขึ้นอยู่กับการประยุกต์ใช้ความสามารถของเธอว่าเธอจะพัฒนามันไปในทิศทางไหน เพราะถึงยังไงท้ายที่สุดแล้วตอนนี้เธอก็สามารถต่อสู้กับคนที่มีความสามารถพิเศษคนอื่นๆได้แล้ว และถึงแม้ว่าเธอจะไม่ชนะ แต่ก็เธอก็พอที่จะหาทางเอาตัวรอดได้!

” แต่ก่อนหน้านั้น ผมยังมีบางอย่างที่ต้องทําก่อน!” ซูเจินหันไปมองนาตาชาพร้อมกับมุมปากของเขาที่ยกขึ้นเล็กน้อย

แค่นาตาชามองดู เธอก็เข้าใจความหมายของซู่เจินได้ในทันที

“งั้นฉันก็ไม่ต้องจ่ายเงินสําหรับตัวยาที่คุณให้ฉันมาแล้วใช่ไหม?”

เมื่อนาตาชาพูดจบ เธอก็ยกเท้าทั้งสองข้างของเธอขึ้นมาและค่อยๆเอาไปพาดที่คอของซู่เจิน เอาไว้พร้อมกับค่อยๆดึงตัวของเขาเข้ามา เมื่อซู่เจินเห็นท่าทางที่ยั่วยวนของนาตาชา เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที พร้อมกับโน้มตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

ตอนที่ 112 “ถ้าเกิดว่าฉันต้องการล่ะ ?”

” แล้วถ้าเกิดว่าฉันต้องการล่ะ?”

ซู่เจินถึงกับตกตะลึงกับคําพูดของหลี่เสี่ยวลู่ พูดตามตรงเข้าไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะพูดขึ้นมาแบบนี้ เพราะถึงยังไงท้ายที่สุดแล้วหลี่เสี่ยวลู่กับเขาก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีมากอะไรขนาดนั้น และเขาก็เป็นคนที่ฆ่าพี่ชายของเธอและใช้กําลังบังคับเธอทําเรื่องมิดีมิร้าย

ดังนั้นซูเจินก็เลยไม่คิดว่าเธอจะถามขึ้นมาแบบนี้

“ทําไม?”ซู่เจินถามขึ้นมาด้วยความไม่เข้าใจ

“ทําไมฉันถึงยอมรับมันได้อย่างใจเย็นอย่างงั้นหรอ ? บางที อาจจะเป็นเพราะว่าคุณเป็นผู้ชายคนแรกของฉัน และอาจจะเป็นผู้ชายคนสุดท้ายของฉันด้วย” หลี่เสี่ยวลู่พูดขึ้นมา “นี่เธอคือผู้หญิงจริง ๆ ใช่ไหม ?”

“ผลลัพธ์ในครั้งนี้มันทําให้ผมรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย” ขู่เจินจะพูดอะไรขึ้นมาได้อีกละจริงไหม เพราะในเมื่อมันเป็นสิ่งที่หลี่เสี่ยวลู่ตัดสินใจมันด้วยตัวของเธอเอง และแน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่ดี

“เดี๋ยวผมจะบอกกับคีร่าให้ในภายหลัง เพื่อที่เธอจะได้มาจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้กับคุณ” ซู่เจินหยุดพูดไปครู่หนึ่งและพูดต่อว่า “ตอนนี้มันดึกมากแล้ว คุณควรพักผ่อนได้แล้ว ถ้าเกิดว่าคุณต้องการพูดอะไรกับผมก็เอาไว้พรุ่งนี้ตอนเช้าก็แล้วกัน”

หลี่เสี่ยวลู่พยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ หลังจากนั้นซูเจินก็หันหลังเดินออกจากห้องไป

หลังจากนั้นไม่นานซู่เจินก็เดินมาถึงห้องของเขา และค่อย ๆ นอนลงบนเตียง แต่ตอนนี้เขากับไม่ได้รู้สึกง่วงเลยสักนิด

เห็นได้ชัดว่าตอนนี้หลี่เสี่ยวลู่ไม่ได้รักตัวของเธอของเองเลย ราวกับว่าเธอไม่มีความรู้สึก ซึ่งเรื่องนี้มันก็เป็นเรื่องปกติ เพราะถึงยังไงท้ายที่สุดแล้วเวลาที่เขาได้พูดคุยกับเธอมันก็ช่างน้อยนิด ถ้าเกิดว่าไม่ใช่ว่าพวกเขาได้มีอะไรกันไปแล้ว เขาก็เกรงว่าหลี่เสี่ยวลู่จะไม่เลือกแบบนี้อย่างแน่นอน

แต่ถึงยังไงมันก็ไม่สําคัญ เพราะอย่างน้อย เธอก็สามารถยอมรับความจริงนี้ได้ และไม่ขัดขืนต่อความคิดของตัวเองใช่ไหม ?

ส่วนเรื่องที่เหลือก็ปล่อยให้กาลเวลามันเป็นเครื่องพิสูจน์ด้วยตัวของมันเอง

เมื่อซู่เจินตื่นขึ้นมาในเช้าวันถัดไป เขาก็เดินไปบอกกับคีร่าว่าให้ปล่อยหลี่เสี่ยวลู่ออกมาได้แล้ว หลังจากนั้นเขาก็สั่งให้เธอเอาสูตรยาตัวนี้ไปให้กับนักวิทยาศาสตร์ที่ฐานสําหรับการทําวิจัยและทดสอบผลของมัน

ซูเจนพาหลี่เสี่ยวลู่ไปเดินเล่นรอบ ๆ ฐาน และถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้พูดอะไรกันมากมาย แต่บรรยากาศรอบ ๆ ตัวของพวกเขามันก็ค่อนข้างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งซู่เจินไม่ต้องการทําให้เธออายและทําอะไรไม่ถูก ดังนั้นฟูเจินจึงพยายามที่จะถามเกี่ยวกับเรื่องในวัยเด็กของเธอและเรื่องที่มันน่าสนใจอะไรบางอย่าง ทําให้หลี่เสี่ยวลู่ค่อย ๆ เปิดใจของเธอออกมาอย่างช้า ๆ

“สําเร็จ … มันสําเร็จแล้ว!”

ทันใดนั้นคีร่าก็วิ่งมาทางซู่เจิมกับตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น

“สูตรนั้นมันสําเร็จอย่างงั้นหรอ?”

“ใช่! หลังจากที่ฉันได้ให้พวกนักวิทยาศาสตร์พวกนั้นลองทดสอบดูก็พบว่ามันมีความเป็นไปได้ที่จะสร้างยายน R ขึ้นมาโดยแยกประเภทของความสามารถ และมันยังมีอัตราความสําเร็จมากถึง 100% ซึ่งเมื่อกี้ฉันก็ได้ลองเลือกคนมา 10 เพื่อลองใช้ยาตัวนี้ ผลก็คือพวกเขาทั้งหมดประสบความสําเร็จ!”

“ดีมาก งั้นคุณช่วยบอกให้พวกเขาช่วยผลิตยาให้ผมห้าขวดในทันที หลังจากนั้นคุณก็เอามันมาให้กับผม” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น

ถึงแม้ว่าผลของยาตัวนี้มันจะไม่ได้ทรงพลังมากนัก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ประโยชน์มากเลยที่เดียว ซึ่งเขาจะต้องยกความดีความชอบนี้ให้กับเจมมาอย่างเหลี่ยงไม่ได้ เพราะว่าเธอเป็นคนที่สุดยอดมาก ถ้าเกิดว่าเขาเอายายืน R รุ่นที่พัฒนาแล้วให้กับเธอ เขาคิดว่าเธอจะต้องทํามันได้สําเร็จอย่างแน่นอน

และถ้าเกิดว่าเธอสามารถวิจัยเกี่ยวกับยายืน R รุ่นพัฒนาตัวนี้ได้สําเร็จ เขาก็จะสามารถสร้างกองกําลังที่แข็งแกร่งของเขาขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์

หลังจากผ่านไปไม่นานตัวยาที่ซู่เจินสั่งก็เสร็จเรียบร้อย ซึ่งซู่เจินก็ไม่ได้วางแผนที่จะอยู่ที่นี่นานนัก ในเมื่อเขาได้ตัวยามาแล้ว เขาก็เตรียมตัวที่จะจากไปทันที

แต่ในขณะที่เขากําลังจะจากไป เขาก็เดินไปอําลาคีร่าและหลี่เสี่ยวลู่ให้เรียบร้อยก่อน หลังจากนั้นซู่เจินก็ออกมาจากดันเจี้ยนอย่างรวดเร็ว

ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากอยู่ที่นี่ แต่เพราะว่าตอนนี้เขายังมีอย่างอื่นให้ทําอีกมากมาย ดังนั้นบางทีในอนาคตเขาอาจจะมีเวลาว่างมาสนุกกับการพักผ่อนของเขาอย่างช้า ๆ ที่นี่ก็ได้

เมื่อซู่เจินออกมาจากดันเจี้ยน ตอนนี้ด้านนอกมันก็เป็นเวลากลางคืนเรียบร้อยแล้ว

ซู่เจินเดินออกมาจากห้องและเดินไปที่ห้องของเจมมาทันที หลังจากนั้นไม่นานเขาก็มาถึงหน้าห้องของเธอพร้อมกับค่อย ๆ เคาะไปที่ประตูห้องของเธอเบา ๆ ไม่นานประตูก็เปิดออกพร้อมกับเจมมาที่ปรากฏตัวขึ้นมาต่อหน้าของซู่เจินในขณะที่เธอกําลังใส่ชุดนอนอยู่

“คุณ คุณกลับมาแล้วเหรอ ? คุณหายไปไหนมาตั้งสองสามวัน ? แล้วทําไมจู่ ๆ คุณถึงหายไปได้ล่ะ ?” เจมมาถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ

“มันไม่สําคัญหรอก!”

ซู่เจินพูดขึ้นมาพร้อมกับเดินเข้าไปในห้องของเจมมาและปิดประตูทันที และในขณะที่เจมมากําลังจะพูดอะไรขึ้นมาบางอย่าง ทันใดนั้นซู่เจินก็หันหลังกลับมาพร้อมกับกอดเธอเอาไว้

การกอดอย่างกะทันหันของซู่เจินทําให้เจมมารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

“คุณ…คุณเป็นอะไรหรือเปล่า ?” เจมมาถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

“ไม่มีอะไรหรอก … ผมก็แค่ตื่นเต้นนิดหน่อย เจมมาคุณเป็นคนที่เก่งมาก ๆ” หลังจากที่ซู่เจินปล่อยตัวของเจมมาแล้ว เขาก็ดึงเธอไปนั่งลงที่เตียงด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับโบกมือของเขาขึ้นมาเบา ๆ ทันใดนั้นก็มีขวดยาหลากหลายชนิดปรากฏขึ้นมาต่อหน้าของเธอ”

“นี่คือ ยาความสามารถพิเศษ ทําไมคุณถึงได้มีมันมากมายขนาดนี้” เมื่อเจมมาเห็นมันเธอก็จําได้ในทันที

“การวิจัยของคุณมันประสบความสําเร็จ ซึ่งผมก็ได้ลองทดสอบมันแล้ว ผลของมันก็คือมีอัตราความสําเร็จอยู่ที่ 100% และไม่มีผลข้างเคียงอะไรทั้งสิ้น เอาล่ะ! คุณเลือกมาได้เลยว่าคุณต้องการอันไหน!”

“ให้ฉันเลือก ?” เจมมายิ่งรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นไปอีก

“ใช่! เพราะว่าครั้งนี้คุณทําได้ดีมาก ดังนั้นมันก็สมควรแล้วที่คุณจะได้รับสิ่งตอบแทนสําหรับความพยายามของคุณ … คุณรู้เกี่ยวกับความสามารถพวกนี้เป็นอย่างดีแล้วใช่ไหม ? คุณเลือกมาได้เลยว่าต้องการอันไหน” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“ถ้าอย่างนั้น ฉันเลือกความสามารถพลังจิตจะดีกว่า” เจมมาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อย ๆ พูดขึ้นมา

ซูเจินพยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ หลังจากนั้นเขาก็ยื่นยาตัวนั้นให้กับเจมมา และค่อย ๆ เก็บยาที่เหลือกลับไป

” ทําไมคุณถึงเลือกความสามารถนี้ล่ะ ? ผมคิดว่าคุณจะเลือกความสามารถในการทํานายอนาคตซะอีก” ขู่เจินถามขึ้นมาอย่างสงสัย

“เพราะว่ามันสามารถอํานวยความสะดวกในการทดลองของฉันได้ ถึงแม้ว่าตอนนี้ฉันจะมีเครื่องมืออยู่มากมายแต่มันก็ไม่ค่อยสะดวกนัก ซึ่งถ้าเกิดว่าฉันได้ความสามารถนี้มาการทํางานของฉันก็คงง่ายขึ้นเยอะ ส่วนความสามารถในการทํานายอนาคตถึงแม้ว่ามันจะดี แต่มันก็ไม่เหมาะกับฉัน เพราะถึงยังไงฉันก็ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ภาคสนามอยู่แล้ว และมันก็ไม่ได้ช่วยอํานวยความสะดวกในการทํางานให้กับฉันเลยแม้แต่น้อย” เจมมาค่อย ๆ อธิบายขึ้นมาให้ซู่เจินฟัง

“ฉันขอใช้ยาตัวนี้ในภายหลังได้ไหม ? เพราะว่าตอนนี้ฉันยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย และฉันก็ไม่คิดว่ามันจะสําเร็จขึ้นมาจริง ๆ ” เจมมาหันไปถามกับซู่เจิน

“ได้สิ!” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นเขาก็พูดต่อว่า ” จริง ๆ แล้วผมก็ตื่นเต้นไม่แพ้คุณหรอก ดังนั้น … คุณอยากทําให้ความตื่นเต้นของคุณและผมมันหายไปไหม ? ”

“อะ จะทําให้มั่นใจเย็นลงได้ยังไง ?” เจมมาถามขึ้นมาด้วยความสงสัยเล็กน้อย

ซู่เจินไม่ได้ตอบเจมมา แต่เขากับค่อย ๆ เอามือข้างซ้ายโอบไปที่เอวของเจมมา หลังจากนั้นเขาก็เอามือข้างขวาไปพาดไว้ที่คอของเธอเบา ๆ และค่อย ๆ ดึงตัวของเธอเข้ามาจูบอย่างดูดดื่ม

“อืม~ ”

เจมมาพ่นลมหายใจออกมาตามสัญชาตญาณ ซึ่งเธอก็พยายามที่จะผลักตัวของซู่เจินออกไป แต่ในไม่ช้า …. การเคลื่อนไหวของเธอก็ค่อย ๆ อ่อนลงเรื่อย ๆ และในที่สุดแขนทั้งสองข้างของเธอก็ค่อย ๆ โอบไปที่คอของซู่เจินอย่างช้า ๆ พร้อมกับกอดเขาเอาไว้

หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาทั้งสองก็แยกออกจากกัน

เจมมามองไปที่ซู่เจินและพูดว่า “ดูเหมือนว่าตอนนี้อารมณ์ของฉันมันจะ … ตื่นเต้นมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“ผมก็เหมือนกัน!” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยแววตาอันร้อนแรง

เจมมาจ้องมองไปที่ดวงตาของซู่เจินอยู่สักพักหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ก้มหน้าลงและพูดว่า “ฉันคิดว่าฉันจะต้องทําอะไรสักอย่างเพื่อให้อารมณ์ของฉันมันสงบลง เอ่อ … ฉันจําได้ว่าคุณเคยบอกกับฉันว่ายังมียาอยู่อีกตัวหนึ่งไม่ใช่หรอ ? คุณเอามันมาให้กับฉันได้ไหม ? บางที … ฉันอาจจะหาวิธีทําให้ยาตัวนี้มันเสถียรมากขึ้นก็ได้”

“ถึงแม้ว่าคุณจะไม่พูดถึงมัน ผมก็จะหยิบมันมาให้คุณอยู่ดี!” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นเขาก็หยิบยายืน R รุ่นพัฒนาแล้วมาให้กับเจมมา “นี่เป็นขวดเดียวที่ผมมีอยู่ ดังนั้นผมจึงหวังว่าคุณจะไม่ทําให้ผมผิดหวัง”

“ฉันจะทําให้ดีที่สุด!” เจมมาพยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยความหนักแน่น

ตอนที่ 111 ทางเลือกของหลี่เสี่ยวลู่

หลังจากซู่เจินสั่งอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็นั่งรออย่างสบาย ๆ

ถึงแม้ว่าเมื่อกี้เขาเพิ่งจะต่อสู้กับคนพลังภูผาหิน เบน ซึ่งมันก็ไม่ได้ทําให้เขาเอาจริงเลยแม่แต่น้อย หรือจะเรียกได้ว่ามันยังไม่สามารถอุ่นเครื่องให้กับเขาได้เลยด้วยซ้ำ เพราะว่าความสามารถของเบนมันค่อนข้างที่จะเดาทางได้ง่ายมาก เขามีความสามารถในการป้องกันที่แข็งแกร่งบวกกับการโจมตีที่รุนแรง ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องง่ายในการจัดการกับคนที่มีความสามารถแบบนี้

เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรทํา ซู่เจินก็เริ่มคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย

ประการแรกเลยก็คือความแข็งแกร่งของเขา เพราะว่าในตอนนี้เขายังมีวิธีการต่อสู้ที่ค่อนข้างจะน้อยอยู่ บวกกับการที่เขายังไม่มีวิธีการโจมตีที่รุนแรงมากกว่านี้ ซึ่งอนก็ไม่ได้กังวลเกี่ยวอะไรกับมันมากนัก เพราะถึงยังไงท้ายที่สุดแล้วเขาก็สามารถเข้าไปในดันเจี้ยนเพื่อหาความสามารถพิเศษอย่างอื่นได้ในภายหลัง

ส่วนประการที่สองก็คือ กลุ่มพันธมิตรสงครามหรือ ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ตัวของเขา!

แม้ว่าการที่เอลเลียตแรนดอล์ฟจะถูกครอบงําโดยมีดคู่แห่งความกลัวในครั้งนั้นจะเป็นอุบัติเหตุ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยากมากที่จะรับประกันว่ามันจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาอีกในอนาคต ซึ่งพันธมิตรสงครามจะยังไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ไปอีกสักพักหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้รวมถึงสกายและนาตาชาที่จะต้องทําภารกิจอันตรายอะไรต่าง ๆ มากมาย ซึ่งความสามารถของพวกเธอในตอนนี้ก็ยังอ่อนอยู่มาก

ซึ่งในอนาคตสกายจะสามารถปลุกความสามารถของเผ่าพันธุ์อินฮิวแมนส์ขึ้นมาได้ หลังจากนั้นเธอก็จะกลายเป็นแม่สาวคลื่นไหวสะเทือน ที่สามารถเอาชนะแม็กนีโต้และฆ่าวูล์ฟเวอรีนได้ตามฉบับการ์ตูนคอมมิค แต่ในทางด้านของนาตาชานั้นเธอค่อนข้างที่จะอ่อนแอและไม่ได้มีความสามารถพิเศษแบบคนอื่นเขา!

“ฉันไม่รู้ว่าเจมมาจะสามารถสร้างยายน R ขึ้นมาได้เมื่อไหร่ เพราะเมื่อมันสําเร็จแล้วมันสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ตัวของเขาได้อย่างมหาศาล!” ซู่เจินพิมพ์ขึ้นมาเบา ๆ ในใจของเขา และเริ่มคิดถึงเรื่องของเฟลิเซ่ต่อ เพราะถึงยังไงเฟลิเซ่ก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาปกติทั่วไป ซึ่งในโลก DC ก็มีอันตรายอยู่มากมายเช่นกัน บวกกับการที่เขาไปปรากฏตัวที่นั่นมันจะต้องดึงดูดความสนใจจากคนอื่น ๆ มากมายอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงจําเป็นที่จะต้องหาอะไรบางอย่างเอาไว้ให้เธอเพื่อป้องกันตัวเอง

ชุดเกราะเหล็ก ?

ซูเจนนึกถึงเจ้าสิ่งนี้ขึ้นมาทันที

แน่นอนว่าทักษะการบินของเฟลิเซ่ก็ถือว่าค่อนข้างจะดีมาก ดังนั้นมันจึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมากนักกับชุดเกราะเหล็ก นอกจากนี้ชุดเกราะเหล็กมันยังสามารถช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับเธอได้อย่างมหาศาล อย่างน้อยก็จนเขาจะสามารถพัฒนาตัวยายืน R ให้แข็งแกร่งมากกว่านี้ ดังนั้นชุดเกราะเหล็กมันจึงเป็นตัวเลือกแรกที่ซู่เจินคิดว่าเหมาะสมที่สุด

ถึงแม้ว่าโทนี่จะป้องกันชุดเกราะเหล็กของเขาเอาไว้อย่างแน่หนา แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ยากเกินไปที่เขาจะเอามันมา

ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเขาสามารถศึกษาค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับมันด้วยตัวของเขาเองก็ได้

“อาหารของคุณเสร็จแล้ว”

ในขณะที่ซูเจินกําลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ทันใดนั้นพนักงานเสิร์ฟก็เดินเข้ามาขัดจังหวะความคิดของเขา และหลังจากที่ซู่เจินจ่ายเงินอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินถืออาหารออกจากร้านอาหารพร้อมกับเดินไปที่ตรอกที่ไม่มีคน และบินออกไปทันที หลังจากนั้นไม่นานซู่เจินก็บินมาถึงยานบิน ทําให้สกายและคนอื่น ๆ รู้สึกมีความสุขมากเมื่อพวกเขาเห็นว่าซูเจินเอาอาหารจีนกลับมา

ซู่เจินแวะไปถามถึงความคืบหน้าในการวิจัยยายืน R จากเจมมาเล็กน้อย ซึ่งผลที่ออกมามันก็ค่อนข้างดีเพราะว่าตอนนี้เจมมาสามารถคิดค้นสูตรผสมของตัวยาได้เรียบร้อยแล้ว และถึงแม้ว่ามันจะยังไม่ได้ทดสอบ แต่อย่างน้อยมันก็น่าจะ 70 % แล้วที่เธอมั่นใจว่าเวลาใช้ยาตัวนี้ไปมันจะได้รับความสามารถพิเศษอะไรบางอย่างอย่างแน่นอน! สิ่งนี้ทําให้ซู่เจินรู้สึกมีความสุขมากและเขาก็บอกกับเธอว่าถ้าเกิดว่าเธอทํามันสําเร็จแล้วให้เธอช่วยทําสําเนาเกี่ยวกับผลของการวิจัยและวิธีการทดลองให้กับเขาด้วย

ซึ่งการวิจัยตัวยาของเจมมานั้นเธอจะเน้นไปที่การแก้ไขความสามารถบางอย่าง ทําให้มันน่าจะไม่มีอันตรายอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นนี่จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดสําหรับการนํามาทดลอง

หลังจากที่ซู่เจินอยู่รับประทานอาหารเย็นกับสกายเสร็จเรียบร้อย เขาก็รอจนกว่าทุกคนจะกลับไปพักผ่อน หลังจากนั้นเขาก็กดเข้าสู่ดันเจี้ยนแห่งแรกทันที

ทิวทัศน์รอบ ๆ ตัวของซูเจินเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ปรากฏตัวขึ้นที่ห้องนอนของเขาในดันเจี้ยน

ซูเจินมองออกไปที่นอกหน้าต่างเล็กน้อย เขาก็พบว่าตอนนี้ท้องฟ้าด้านนอกมันเต็มไปด้วยดวงดาวบนท้องฟ้าที่แพร่งพราวระยิบระยับส่องประกายในยามค่ำคืน

เมื่อลองเช็คเวลาดูเขาก็พบว่าตอนนี้มันเป็นเวลาเที่ยงคืน

ซู่เจินเดินออกมาจากห้องเพื่อไปตามหาคีร่าทันที

เมื่อซู่เจินเดินมาถึงห้องของคีร่าเขาก็พบว่าตอนนี้ห้องของเธอมันไม่ได้ล็อคอยู่ ทําให้เขาค่อย ๆ เปิดประตูเข้าไปอย่างช้า ๆ

ถึงแม้ว่าการเคลื่อนไหวของซูเจินจะเบามาก แต่ถึงอย่านั้นคีร่าก็ยังไม่ได้นอนหลับสนิท ทําให้เมื่อเธอลืมตาตื่นขึ้นมาเธอก็พบว่าตอนนี้กําลังมีคนยืนอยู่ข้าง ๆ เธอ ซึ่งเธอก็จําซู่เจินได้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเธอก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและลุกขึ้นมานั่งด้วยความดีใจ

“มาสเตอร์คุณกลับมาแล้วงั้นหรอ ? ”

ซู่เจินพยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ และนั่งลงข้าง ๆ เธอพร้อมกับหยิบสูตรยาของเจมมาส่งให้กับเธอและพูดว่า “ดูนี่สิมันคือสูตรของยายน R ที่ผมได้ไปลองศึกษาค้นคว้ามา ตามสูตรอันนี้มันน่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายของวัตถุดิบในการผลิตตัวยาได้ อย่างไรก็ตามอัตราความสําเร็จของยาตัวนี้มันก็ยังไม่แน่นอน ดังนั้นเธอก็ควรนําไปให้นักวิจัยของเธอลองศึกษามันเพิ่มเติมดูก่อน และถ้า กิดว่ามันไม่ได้มีอันตรายอะไรมากมาย เธอก็หาคนมาทดลองยาตัวนี้ได้เลย และผมก็หวังว่าจะได้ยินข่าวดีในเร็ว ๆ นี้!”

“ค่ะ! เดี๋ยวฉันจะจัดการให้เร็วที่สุด” คีร่ารีบลุกขึ้นแล้วพูดขึ้นมาทันที

“ไม่ต้องรีบ พรุ่งนี้ตอนเช้าค่อยเริ่มก็ได้” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“ค่ะ!” คีร่าพยักหน้าขึ้นมาอย่างเชื่อฟัง หลังจากนั้นเธอก็รู้สึกลังเลขึ้นมาเล็กน้อยและพูดว่า “มาสเตอร์! ตอนนี้คนที่คุณตามหาพวกเขาได้หาตัวของเธอเจอเรียบร้อย แล้วตอนนี้เธอก็อยู่ภายในฐานแห่งนี้ คุณ … อยากเจอเธอไหม ? ”

หลี่เสี่ยวลู่ ?

ผู้หญิงที่ได้ครั้งแรกของเขาไป ซึ่งมันก็เป็นครั้งแรกที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เพราะว่าตอนนั้นเขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

ทําให้ซู่เจินรู้สึกผิดเล็กน้อยเกี่ยวกับเธอ และไม่ต้องพูดถึงว่าระหว่างเขาและเธอมันไม่ได้มีความรู้สึกที่พิเศษอะไรต่อกันเลย แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ได้มีความสัมพันธ์ในแบบนั้นกันไปแล้ว ซึ่งซู่เจินก็ไม่สามารถยอมรับได้เด็ดขาดถ้าเกิดว่าวันหนึ่งจะมีผู้ชายคนอื่นที่จะมาอยู่เคียงข้างเธอในอนาคต

” บอกผมมาหน่อยสิว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน เดี๋ยวผมจะเป็นคนที่ไปหาเธอเอง ส่วน ณก็นอนพักผ่อนต่อได้เลย”

คีร่ารีบอธิบายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หลังจากซู่เจินก็หันหลังเดินออกจากห้องไปทันที

สถานที่ที่หลี่เสี่ยวลู่อยู่ในตอนนี้ถือว่าค่อนข้างดี แม้ว่าเสรีภาพของเธอจะถูกจํากัด แต่ถึงอย่างนั้นภายในห้องของเธอมันก็มีทุกอย่างที่จําเป็นเตรียมไว้ให้กับเธอหมดแล้ว และเมื่อซู่เจินเปิดประตูเข้าไป เขาก็พบว่าตอนนี้หลีเสี่ยวลู่ยังไม่นอน เธอแต่งตัวเสร็จสรรพและกําลังนั่งรออยู่พร้อมกับขนมในมือของเธอ ราวกับว่าตอนนี้เธอกําลังรอใครบางคนอยู่

เมื่อเห็นว่าซู่เจินเดินเข้ามา เธอก็ไม่ได้แสดงท่าทางอะไรออกมา

“รู้ใช่ไหมว่าผมกําลังมา ?”

ซู่เจินถามขึ้นมาพร้อมกับสายตาของพวกเขาที่สบเข้าหากันหลังจากที่เขาพูดจบ

หลี่เสี่ยวลู่ไม่ได้ตอบ แต่เธอกับหยิบสมุดเล่มเล็กออกมากางให้ซูเจินดู ซึ่งภายในสมุดเล่มนั้นมันมีภาพอยู่ และภายในภาพมันก็คือภายในห้องนี้ที่มีเธอกําลังพูดคุยอยู่กับใครอยู่สักคนเพียงแต่ว่าคน ๆ นี้กับดําสนิท ราวกับว่าตัวของเขาเป็นผี ทําให้เธอไม่สามารถบอกได้ว่าเขาคนนี้เป็นใครกันแน่

“ฉันรู้แค่ว่าคืนนี้ฉันจะเจอใครสักคน ซึ่งฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใคร แต่ในกรณีนี้ ฉันก็คิดว่า แม้ว่าคุณจะไม่ได้ทํานายอนาคต คุณก็เดาได้ใช่ไหม ? ” หลี่เสี่ยวลู่พูดขึ้นมา

ซู่เจินยักไหล่ขึ้นมาเบา ๆ และพูดว่า “งั้นคุณก็น่าจะเดาจุดประสงค์ที่ผมตามหาคุณได้ใช่ไหม

“น่าจะ!” หลี่เสี่ยวลู่ยังไม่ยอมรับในทันที

“แล้วคําตอบของคุณล่ะ ?”

“ฉันยังมีทางเลือกอื่นอยู่อีกงั้นหรอ ? “ หลี่เสี่ยวลู่ถามกลับมาและพูดขึ้นมาอย่างขมขึ้นว่า “ตั้งแต่วินาทีนั้นที่คุณบังคับฉัน ฉันก็ไม่ทางเลือกอื่นอีกแล้ว”

“ไม่ใช่ว่าคุณไม่มีทางเลือก แต่คุณไม่ต้องการเลือกมันเอง!”

ซู่เจินส่ายหัวและพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “ในตอนนั้นที่ผมหมดสติไปแล้ว และคุณก็ตื่นขึ้นมาเร็วกว่าผม ซึ่งถ้าเกิดว่าคุณเกลียดผมมากจริง ๆ คุณก็สามารถฆ่า ผมในตอนนั้นเลยก็ได้แต่คุณก็ไม่ทําและเลือกที่จะหนีไปแทน อย่างไรก็ตามสิ่งที่คุณพูดขึ้นมาก่อนหน้านี้มันถูกต้องแล้ว เพราะว่าตอนนี้ คุณไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริง ๆ และไม่ว่าผมจะต้องใช้วิธีอะไรผมก็จะต้องเอาคุณมาเป็นผู้หญิงของผมให้ได้ และถ้าเกิดว่า … คุณไม่ต้องการให้ผมแตะต้องตัวคุณ ผมก็จะไม่ทํา!”

และถ้าเกิดว่าฉันต้องการล่ะ ? ”

หลี่เสี่ยวลู่เงียบไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับถามไปทางซู่เจิน

ตอนที่ 110 มนุษย์หินที่ถูกทารุณกรรม

แฟนแทสติกโฟว์เป็นซูเปอร์ฮีโร่กลุ่มแรกที่ประชาชนคนธรรมดาได้รู้จักถึงการมีอยู่ของพวกเขา หรือก็คือ … หลังจากที่พวกเขาได้รับความสามารถพิเศษมาพวกเขาก็ไม่เคยคิดที่จะปกปิดหรือซ่อนตัวตนของพวกเขาเอาไว้เลยแม้แต่น้อย และพวกเขาก็ถือว่าเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในตอนนี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่คนพลังไฟหรือจอห์นนี่ สตอร์มได้สูญเสียความสามารถของเขาไป ทําให้พวกเขาในตอนนี้ได้รับความสนใจจากพวกนักข่าวเป็นจํานวนมาก ซึ่งในช่วงนี้จอห์นนี่ก็ไม่ได้ออกไปไหนทั้งสิ้น เพราะถ้าเกิดว่าเขาคิดจะออกไปข้างนอกเขาก็จะถูกพวกนักข่าวเข้ามาลุมล้อมทันที บวกกับการที่วันนี้คนพลังกายสิทธิ์และสาวน้อยพลังล่อนหนไม่อยู่และจอห์นนี่เกิดอยากกินอาหารจีนขึ้นมา แต่เขาก็ไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ ทําให้จอห์นนี่จําเป็นที่จะต้องขอร้องกับคนพลังภูผาหินหรือเบน กริมม์ให้ออกมาซื้อให้กับเขา โดยที่เบนพยายามที่จะปกปิดตัวตนของเขาให้ได้มากที่สุดเพื่อที่จะได้ไม่เป็นจุดสนใจของคนอื่น ๆ

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มีความสามารถพิเศษที่ไม่ค่อยเหมือนกับคนอื่น ๆ สักเท่าไหร่ เพ ราะด้วยรูปร่างที่เป็นหินของเขาเกือบทั้งหมดทําให้ไม่ว่าเขาจะสวมหมวกหรือสวมเสื้อโค้ทมันก็ไม่ได้ช่วยทําให้คนอื่น ๆ จําเขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เพราะทันทีที่เขาเดินออกมามันก็มีผู้คนที่สามารถจดจําเขาได้อย่างรวดเร็วพร้อมกับรีบเดินเข้ามาทักทายทันที

ซึ่งในตอนแรกมันก็มีแค่ประชาชนคนธรรมดาที่เข้ามาขอถ่ายรูปกับเขาเท่านั้น แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ไม่รู้ว่าพวกนักข่าวพวกนี้มาจากไหนกันตั้งเยอะแยะเต็มไปหมดพร้อมกับล้อมรอบตัวของเขาเอาไว้อย่างรวดเร็ว บวกกับการที่มีไมโครโฟนที่กระแทกเข้ากับร่างของเขาอยู่ตลอดเวลา ทําให้เขาในตอนนี้รู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก ซึ่งเขาก็ไม่สามารถทําอะไรได้มากนัก และเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนเขาถึงจะหลุดออกไปจากคนพวกนี้ได้!

และในขณะที่เบนกําลังค่อย ๆ เดินไปเรื่อย ๆ พร้อมกับนักข่าวที่อยู่ล้อมรอบตัวเขา ทันใดนั้น เขาก็สังเกตไปเห็นใครคนหนึ่ง

คนที่เขาจําได้ไม่เคยลืม!

ซู่เจิน!

“เป็นเขานั่นเองที่กลืนกินความสามารถของจอห์นนี่ ทําให้จอห์นนี่ในตอนนี้อยู่ในสภาพที่แย่มาก”

“เป็นเขานั้นเองที่ทําร้ายซูซานและลักพาตัวของเธอไป”

“เป็นเขานั่นเองที่ทําให้ฉันถูกนักข่าวพวกนี้เข้ามารุมล้อม!”

ยิ่งเบนคิดถึงเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้นเท่าไหร่ ความโกรธของเขามันก็ยิ่งทวีคุณความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ทําให้เขารีบผลักไมโครโฟนที่อยู่ข้าง ๆ ตัวของเขาออกไปอย่างรุนแรงพร้อมกับพุ่งเข้าไปหาซ่เงินอย่างรวดเร็ว ซึ่งพวกนักข่าวทั้งหลายก็อดรู้สึกทั้งไม่ได้กับการกระทําของเบน แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเบนเลยแม้แต่น้อย แต่พวกเขากับรู้สึกตื่นเต้นเกี่ยวกับมันมากกว่า

คนพลังภูผาหินเกิดอาการคลั่งและพุ่งเข้าโจมตีใส่นักข่าว ?

นี่จะต้องเป็นข่าวที่ดังมากแน่ ๆ

แน่นอนว่านี่คือวิธีการทํางานของพวกนักข่าวพวกนี้

“ซู่เจิน… คุณหยุดอยู่กับที่เดี๋ยวนี้!”

เบนตะโกนไปทางซู่เจิน ทําให้ซู่เจินขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับหยุดเดินทันที

ในขณะเดียวกันพวกนักข่าวพวกนั้นก็มองไปทางเบนและซู่เจินด้วยความสนใจเล็กน้อย ซึ่งพวกเขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าคนที่เบนเข้าไปหาเรื่องเขาเป็นใครกันแน่ ?

พวกเขาทั้งหมดก็เริ่มคาดเดากันไปต่าง ๆ นา ๆ พร้อมกับเริ่มอัดวิดีโอเหตุการณ์ตรงหน้าเอาไว้อย่างรวดเร็ว เพราะนี่จะต้องเป็นเหตุการณ์ที่หาดูได้ยากอย่างแน่นอน!

ตูม!ตูม!ตูม!

การวิ่งของเบนทําให้พื้นที่บริเวณรอบ ๆ ถึงกับสั่นสะเทือนพร้อมกับตัวพื้นที่ทรุดตัวลงไปกลายเป็นรอยเท้าของเขา หลังจากนั้นไม่นานเบนก็มายืนอยู่ตรงหน้าของซู่เจินที่กําลังยืนยิ้มอย่างสบายใจด้วยความสงบ ซึ่งตรงกันข้ามกับเบนที่ตอนนี้กําลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

“มีปัญหาอะไรกับผมงั้นหรอ?” ซู่เจินถามขึ้นมาอย่างแผ่วเบา

เบนไม่คิดว่าซู่เจินจะถามเขาขึ้นมาว่ามีปัญหาอะไรงั้นหรอขึ้นมาเป็นประโยคแรก ? นี่คุณไม่รู้งั้นหรอว่าพวกเราเป็นศัตรูกัน ? ในขณะที่เบนกําลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ทันใดนั้นเขาก็ล้มเลิกความคิดของเขาทิ้งไปพร้อมกับกําหมัดของเขาขึ้นมาและต่อยไปที่ซู่เจินอย่างรวดเร็ว!

“เกิดอะไรขึ้น…..”

ผู้คนที่อยู่บริเวณรอบ ๆ กรีดร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ เพราะพวกเขาก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเบนจะโจมตีไปที่ซู่เจินอย่างกะทันหันแบบนั้น ซึ่งก็ดูเหมือนว่าซู่เจินจะเป็นเพียงแค่คนธรรมดา ทําให้พวกเขาในตอนนี้รู้สึกกังวลเป็นอย่างมากเรื่องความปลอดภัยของเขา

“แชะ ๆ”

ทันใดนั้นก็มีนักข่าวที่มากประสบการณ์รีบถ่ายภาพเหตุการณ์ตรงหน้าเอาไว้อย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทําให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจจริง ๆ ก็คือการที่ซู่เจินกระโดดถอยหลังออกมาเบา ๆ พร้อมกับหลบหลีกหมัดของเบนได้อย่างง่ายดาย ซึ่งในขณะเดียวกันซู่เจินก็ขมวดคิ้วขึ้นมาด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย

เมื่อเบนเห็นว่าซู่เจินสามารถหลบหมัดของเขาได้อย่างง่ายดาย มันก็ยิ่งทําให้เขารู้สึกโกรธมากยิ่งขึ้นไปอีก ทําให้เขารีบเหวี่ยงหวัดไปทางซู่เจินอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

แต่ทันใดนั้นหมัดของเบนก็ถูกมือของซู่เจินจับเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย พร้อมกับเหวี่ยงร่างของเบนออกไปอย่างรุนแรง

ร่างของมนุษย์หินขนาดใหญ่บินออกไปอย่างรวดเร็วโดยที่ร่างกายของเขาลอยอยู่เหนือพื้นประมาณหนึ่งเมตร

ในขณะเดียวกันร่างของซู่เจินก็หายไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ปรากฏตัวขึ้นเหนือร่างของเบนพร้อมกับยกเท้าขวาของเขาขึ้นมา และกระแทกไปที่ตัวของเบนอย่างรุนแรง!

“ตูม!”

ร่างของเบนถูกกระแทกลงกับพื้นอย่างรุนแรง ทําให้ถนนที่ทํามาจากปูนคอนกรีตในตอนนี้ถูกกระแทกจนกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ บวกกับแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงทําให้ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ รู้สึกสั่นสะท้าน ซึ่งเบนในตอนนี้ก็รู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายของเขาในตอนนี้กําลังจะขาดออกจากกันและเขาก็ไม่อยากเชื่อเลยว่าซู่เจินจะแข็งแกร่งมากขนาดนี้ เมื่อเขามองไปยังซู่เจินที่กําลังยืนมองมาที่เขาอยู่ด้านบน เขาก็พยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาด้วยความโกรธแค้น และในขณะที่เขากําลังจะลุกขึ้นยืนนั้น เขาก็สังเกตเห็นว่ามีค้อนขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาในมือของซู่เจิน

ซู่เจินยกมือของเขาขึ้นและเอาค้อนทุบลงไปที่เบนอย่างรุนแรง

เบนรีบเอามือมากันไว้ตรงหน้าของเขาอย่างรวดเร็ว

“ตุม!”

ค้อนกระแทกไปที่แขนของเบนอย่างรุนแรง ทําให้ร่างกายของเขาจมลงไปที่พื้นเล็กน้อย

“ตูม!” “ตูม!” “ตูม!” “ตูม!” “ตูม!” ….

ซู่เจินตีไปที่เบนราวกับว่าเขากําลังตีตัวตุ่น ซึ่งตอนนี้ค้อนกําลังโบกสะบัดขึ้นลงไปมาอย่างรวดเร็ว …

ในช่วงแรก ๆ เบนก็ยังพอที่จะต้านทานการโจมตีจากค้อนได้อยู่ แต่เมื่อเวลามันผ่านไปนานเข้า เขาก็เริ่มที่จะทนมันไม่ได้อีกต่อไป

หลังจากที่ซู่เจินทุบไปที่เบนได้เกือบ 20 ครั้งเขาก็หยุดลงพร้อมกับเหลือบมองไปที่เบนเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเก็บพลังงานจากค้อนกลับมาและเดินจากไปทันที

แสงของกลุ่มก้อนพลังงานสีเขียวเข้มพุ่งกลับเข้าไปในแหวนของซู่เจินอย่างรวดเร็ว ทําให้ร่างกายของซู่เจินเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย ซึ่งทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ก็มองไปที่ซู่เจินด้วยความตกใจและความไม่อยากจะเชื่อว่าซู่เจินจะสามารถจัดการกับคนพลังภูผาหินได้อย่างง่ายดาย … ซู่เจินส่ายหัวของเขาขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับเดินเข้าไปในฝูงชนและหายตัวไปอย่างรวดเร็ว

“มันเกิดอะไรขึ้น”

ทันใดนั้นก็มีคนตะโกนขึ้นมาอย่างตื่นเต้นว่า “พระเจ้า! ฉันรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร … เขาคือคนที่ฆ่าดร.อ๊อกโตปุส!”

“ไม่ใช่ว่าเขาก็เป็นซูเปอร์ฮีโร่เหมือนกันอย่างงั้นหรอ ? แล้วทําไมพวกเขาถึงได้ต่อสู้กันเอง ? ซึ่งก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีความแค้นกันมาก่อนหน้านี้”

“มนุษย์หินเป็นคนเริ่มก่อน”

“เห็นตอนที่เขาต่อสู้ไหม … เขาเท่มาก!”

คนที่อยู่บริเวณรอบ ๆ พูดคุยกันอย่างตื่นเต้นเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งพวกเขาก็ไม่ได้ลืมว่าตอนนี้เป็นกําลังถูกฝังอยู่ในหลุม เพราะหลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ค่อย ๆ ช่วยเบนออกมาจากหลุมด้วยความยากลําบาก!

เบนค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ พร้อมกับหันหัวไปมองรอบ ๆ ด้วยแววตาขอบคุณ ซึ่งอารมณ์ของเบนในตอนนี้ก็ดีขึ้นมามากแล้ว

ถึงแม้ว่าเขาจะเกลียดนักข่าวพวกนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็เกลียดคนที่ช่วยเขาเอาไว้ได้ไม่ลงหรอกจริงไหม ?

” คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม ? บาดเจ็บตรงไหนหรือปาว ? “

” ฉันไม่เป็นอะไรมากขอบคุณ!”

เบนค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอย่างยากลําบากเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไรร่างกายของเขาก็เป็นหิน ทําให้เขามีความสามารถในการต้านทานการโจมตีที่สูงมาก

“ในเมื่อคุณไม่ได้เป็นอะไรมาก ดังนั้นคุณช่วยบอกกับพวกเราหน่อยได้ไหมว่าทําไมคุณถึงได้พุ่งเข้าไปโจมตีชายคนนั้นอย่างกะทันหัน ? เขาเป็นใคร ? พวกคุณเคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนอย่างงั้นหรอ ?” นักข่าวรีบถามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

เฮ้อ!

เบนรู้สึกขึ้นมาได้ในทันทีเลยว่าเรื่องที่เขาคิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ มันเป็นเรื่องที่เขาคิดขึ้นมาเองทั้งสิ้น โดยที่มันเกิดขึ้นมาจากการที่เขาวิตกกังวลมากเกินไปว่าเขาจะตกเป็นข่าว

เบนส่ายหัวขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับหันหลังเดินจากไปทันที โดยที่เขาไม่ได้สนใจพวกนักข่าวเลยแม้แต่น้อย

ร้านอาหารจีน!

หลังจากที่ซู่เจินเดินเข้ามาภายในร้านเขาก็พบว่ากิจการของที่นี่ค่อนข้างที่จะดีมากเลย เขาเดินไปหาที่นั่งและรอจนกระทั่งพนักงานเสิร์ฟเดินมาถามซู่เจิน ซึ่งซู่เจินก็สั่งอาหารจีนที่มีชื่อเสียงของที่นี่ไปสองสามอย่างพร้อมกับบอกกับพนักงานเสิร์ฟว่าเขาจะเอากลับบ้านและก็ขอให้เขาทําอาหารจีนแบบต้นตํารับแท้ ๆ !

แต่ถึงอย่างไรท้ายที่สุดแล้วอาหารจีนก็ได้แพร่หลายไปในหลาย ๆ ประเทศทําให้พวกผู้ประกอบการจึงจําเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนรสชาติเล็กน้อยเพื่อให้เหมาะกับคนในท้องถิ่น ทําให้อาหารจีนมันไม่ค่อยจะมีรสชาติที่ใกล้เคียงกับรสชาติต้นตํารับสักเท่าไหร่

ตอนที่ 109 ช่างตีเหล็ก และ บลิซซาร์ด

“บอส! ไหนคุณบอกว่าจะอยู่ที่ SHIELD ไม่ใช่หรอ ? แล้วทําไมคุณถึงได้กลับมาที่นี่พร้อมกับชายคนนี้ล่ะ เขาเป็นใครงั้นหรอ ?” เมื่อเห็นว่าซู่เจินกลับมาพร้อมกับชายวัยกลางคนที่ไม่สวมเสื้อ บริ้งค์และคนอื่น ๆ ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

”เขาชื่อว่าเอลเลียตแรนดอล์ฟ เป็นช่างตีเหล็กของชาวแอสการ์ด ซึ่งถ้าเกิดว่าพวกคุณต้องการอาวุธอะไรพวกคุณก็สามารถไปขอความช่วยเหลือจากเขาได้ และนี่ก็คือชุดเครื่องแบบประจํากลุ่มของพวกเราที่ผมได้ทํามาให้กับพวกคุณ นอกจากนี้มันยังจะเป็นชุดเครื่องแบบที่แสดงถึงการมีอยู่ของพวกเรากลุ่ม “พันธมิตรสงคราม” อีกด้วย เอาล่ะ! เชิญพวกคุณเลือกชุดที่เหมาะสมกับขนาดร่างกายของพวกคุณได้เลย” ซู่เจินแนะนําตัวของเอลเลียตแรนดอล์ฟขึ้นมาคร่าว ๆ หลังจากนั้นเขาก็หยิบชุดที่ฟิทซ์ทําขึ้นมาให้กับพวกเขาดู

สิ่งนี้ดึงดูดความสนใจของทุกคนให้หันมามองทันที

“ผมจะไม่บอกรายละเอียดเกี่ยวกับฟังก์ชั่นของชุดพวกนี้ให้กับพวกคุณรู้ ดังนั้นพวก คุณก็ลองไปทดสอบกันดูเอาเองก็แล้วกัน เอ่อ … บริ้งค์พาผมไปหาดอนนี่หน่อย”

ในเมื่อเขากลับมาที่นี่แล้ว ดังนั้นเขาก็ควรที่จะจัดการกับปัญหาของดอนนี่ให้มันจบ ๆ ไป

บริ้งค์ส่งชุดเครื่องแบบให้กับแมโรและบอกให้เฉินห่าวหรานพาเอลเลียตแรนดอล์ฟไปเลือกที่พักและจัดหาเสื้อผ้าให้กับเขา หลังจากนั้นเธอก็พาซ่เงินไปหาดอนนี่

จะเห็นได้ชัดว่าบริ้งค์ในตอนนี้เริ่มที่จะเหมือนกับหัวหน้าของที่นี่มากขึ้นเรื่อย ๆ

ดอนนี่ในตอนนี้ได้ถูกจัดให้อยู่ในห้องพิเศษ ซึ่งเดิมที่ห้องนี้มันมีไว้สําหรับการใช้ขังศัตรู โดยที่ห้องนี้มันถูกสร้างขึ้นมาจากวัสดุพิเศษและมีสนามแม่เหล็กที่สามารถป้องกันการโจมตีจากความสามารถพิเศษได้ ทําให้คนที่ถูกขังอยู่ที่นี่จะไม่สามารถออกไปไหนได้

เมื่อซู่เจินเดินเข้าไปข้างในเขาก็เห็นว่าดอนนี่ในตอนนี้กําลังนั่งอย่างเบื่อหน่ายอยู่ข้าง ๆ กําแพง ซึ่งทางด้านของดอนนี่ที่ได้ยินเสียงของคนเดินเข้ามาเขาก็รีบเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว และเมื่อเขาเห็นว่าเป็นซูเจินเขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย

“คุณพาฉันมาที่นี่ทําไม …. แล้วเมื่อไหร่คุณถึงจะปล่อยฉันออกไป ? ”

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาพร้อมกับโบกมือเบา ๆ เพื่อให้ดอนนี่สงบสติลงและพูดขึ้นมาอย่างช้า ๆ ว่า ”ผมคิดว่าคุณน่าจะรู้อยู่แล้วว่าตอนนี้ร่างกายของคุณมันได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ซึ่งผมก็เล็งเห็นถึงความสามารถนี้ของคุณ ผมจึงสั่งให้บริ้งค์พาตัวของคุณมาที่นี่ และคุณก็มีอยู่สองทางเลือกในตอนนี้ ทางเลือกที่หนึ่ง : ติดตามผมและเข้าร่วมกับพันธมิตรสงครามเพื่อช่วยกันปกป้องโลกใบนี้ ทางเลือกที่สอง : ผมจะกลืนกินความสามารถพิเศษของคุณ ทําให้คุณกลายเป็นคนธรรมดา หลังจากนั้นผมก็จะส่งตัวของคุณให้กับ SHIELD เพื่อที่จะให้เขาจัดการกับคุณต่อไป เอาล่ะ! คุณเชิญเลือกมาได้เลยว่าคุณจะเอาทางเลือกแบบไหน ?”

” พันธมิตรสงคราม ? คุณไม่ได้เป็นคนของ SHIELD อย่างงั้นหรอ ? ” ดอนนี่ถามขึ้นมาด้วยความมึนงง

“แน่นอนว่าผมเป็นที่ปรึกษาของ SHIELD แต่ถึงอย่างนั้นผมก็มีหน้าที่ในการให้คําปรึกษาเท่านั้น ส่วนพันธมิตรสงครามก็คือองค์กรที่ผมสร้างขึ้นมา ซึ่งพวกคนที่คุณเห็นอยู่ที่นี่คือคนของผมทั้งหมด ” ซู่เจินพูดอธิบายขึ้นมาอย่างช้า ๆ

ในตอนนี้พรรคพวกของซู่เจินยังมีน้อยอยู่มาก บวกกับการที่ดอนนี่มีความสามารถที่ดี ทําให้ซู่เจินต้องการให้เขาเข้ามาอยู่กับพันธมิตรสงคราม แต่ถ้าเกิดว่าดอนนี้ไม่เห็นด้วย เขาก็แค่กลืนกินความสามารถพิเศษของเขาและส่งตัวของเขากลับไปที่ SHIELD

เพราะถึงยังไงเขาก็ไม่เสียแรงไปเปล่า ๆ อย่างแน่นอน

“ถ้าเกิดว่าฉันเข้าร่วมกับคุณ และต้องการออกจากพันธมิตรสงครามขึ้นมา….คุณจะไม่ฆ่าฉันใช่ไหม ? ” ดอนนี่ถามขึ้นมาด้วยความไม่แน่ใจ

“แน่นอนว่าคุณสามารถออกได้ และผมก็ขอสัญญาว่าผมจะไม่ฆ่าคุณอย่างแน่นอน!” ซู่ เจินยิ้มขึ้นมาและพูดขึ้นมาด้วยความมั่นใจต่อว่า “เพราะถึงอย่างไรผมก็เชื่อว่าคุณจะไม่ออกจากพันธมิตรสงครามอย่างแน่นนอน ถ้าเกิดว่าคุณเข้าใจเกี่ยวกับพวกเราและสถานการณ์บนโลกในตอนนี้”

“ถ้าอย่างนั้น ฉันตกลง!”

ดอนนี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งและในที่สุดเขาก็เลือกที่จะเข้าร่วมกับพันธมิตรสงคราม

เขาเป็นคนที่เลือกได้ฉลาด แต่ถึงอย่างนั้นซูเจินก็แค่บอกว่าเขาสามารถออกจากพันธมิตรสงครามได้และจะไม่ฆ่าเขา ซึ่งมันก็ไม่ได้รวมถึงเรื่องที่ว่าซู่เจินจะไม่กลืนกินความสามารถพิเศษของเขา หลังจากที่เขาตัดสินใจที่จะออกจากพันธมิตรสงคราม

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวคุณก็เดินออกไปพร้อมกับผมเลย ส่วนเรื่องชุดคุณก็เลือกมาสักตัวก็แล้วกัน เพราะถึงอย่างไรในอนาคตคุณก็จะถูกเรียกว่า “บลิซซาร์ด” ดังนั้นถ้าเกิดว่าคุณไม่ชอบแบบของชุดนี้ คุณก็สามารถเปลี่ยนมันได้ด้วยตัวของคุณเองเลย เพราะถึงยังไง มันก็ไม่น่าจะใช่เรื่องยากสําหรับคุณ” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

แน่นอนว่าซู่เจินยังไม่ได้กลับไปที่ SHIELD ในทันที ซึ่งในขณะที่คนอื่น ๆ กําลังเลือกชุดกันอยู่ เขาก็เดินไปหาเอลเลียตแรนดอล์ฟเพื่อสอบถามเกี่ยวกับมีดคู่แห่งความกลัวทั้งสองเล่มนี้

“มีดเล่มสีเงินมีไว้สําหรับการดูดกลืนความกลัว ส่วนมีดเล่มสีดํามีไว้สําหรับการปลดปล่อย ดังนั้นตราบใดที่ผมถือมีดทั้งสองเล่มเอาไว้ในมือมันก็จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับผมอย่างมหาศาล แล้วทําไมตอนที่ผมถือมีดเล่มสีดํามันถึงไม่ได้มีความรู้สึกที่พิเศษอะไรเกิดขึ้นมาเลยล่ะ ?” ซู่เจินถามขึ้นมา

เอลเลียตแรนดอล์ฟพยักหน้าและพูดขึ้นมาว่า “มันค่อนข้างมีความแตกต่างกันเล็กน้อยในขั้นตอนการทํา ซึ่งจริง ๆ แล้วฉันสามารถทําให้มันแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ได้ถ้าเกิดว่าคุณสามารถหาวัสดุที่เหมาะสมสําหรับการอัพเกรดมันมาได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เอฟเฟกต์อันนี้มันหายไป ดังนั้นถ้าเกิดว่าคุณไม่ได้เจอกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมากเกินไป เพียงแค่มีดเล่มสีดําเพียงเล่มเดียวก็น่าจะเพียงพอแล้วสําหรับการจัดการกับคู่ต่อสู้ของคุณ!”

“นั่นสินะ “ ซู่เจินขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย เพราะถึงยังไงเขาก็ถนัดในการใช้มีดคู่มากที่สุด บวกกับผลของมันที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเขาได้

“จริง ๆ แล้วตราบใดที่คุณควบคุมไม่ให้มันดูดกลืนความกลัว มันก็จะไม่ดูดกลืนความกลัว เพราะถึงยังไงผลกระทบของมีดคู่เล่มนั้นมันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับคุณอยู่แล้ว ทําให้คุณสามารถควบคุมมันได้! ซึ่งถ้าเกิดว่าลองเปลี่ยนมาเป็นฉันล่ะก็…ฉันจะไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างแน่นอน และฉันก็จะไม่มีวันแตะต้องเจ้ามีดคู่พวกนั้นอีกเด็ดขาด!”

“ดีแล้ว!”

ซู่เจินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เพราะถ้าเกิดว่าเขาจะต้องดูดกลืนพลังแห่งความกลัวทุกครั้งที่เขาจะใช้มีดคู่เล่มนี้ มันก็คงจะลําบากไม่น้อยเลยทีเดียว แถมมันยังส่งผลกระทบต่อผู้อื่นอีกด้วย ซึ่งถ้าเกิดว่าเขาสามารถควบคุมมันได้ดั่งใจแล้ว ปัญหาพวกนี้มันก็คงจะหมดไปอย่างแน่นอน

หลังจากที่ถามเรื่องเอฟเฟกต์ต่าง ๆ และวิธีการใช้งานมีดคู่แห่งความกลัวเรียบร้อยแล้ว มันก็ถึงเวลาที่ซ่เงินจะต้องจากไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่เขาจะจากไปเขาก็ได้แวะไปดูความคืบหน้าของฐานเขาก่อน ซึ่งก็ดูเหมือนว่ามันจะเป็นไปได้ด้วยดี เพราะว่าพวกเขาสามารถทํางานกันได้อย่างรวดเร็วมาก

หลังจากที่ซู่เจินบินออกมาจากเกาะ เขาก็ไม่ได้กลับไปหาสกายในทันที แต่เขาเลือกที่จะร่อนลงที่เมืองที่อยู่ติดกับชายฝั่งเพื่อซื้อของกินก่อนกลับไป

ถึงแม้ว่าอาหารบนยานบินมันจะมีรสชาติที่ดีมาก ๆ แต่ถึงอย่างนั้นซู่เจินก็ค่อนข้างที่จะเบื่อกับรสชาติแบบเดิม ๆ พวกนั้นแล้ว ซึ่งซู่เจินก็ไม่ได้กินอาหารจีนมานานมากแล้วเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงต้องการซื้ออาหารจีนกลับไปให้สกายและคนอื่น ๆ ลองกินดู เพราะถึงอย่างไรท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ยุ่งกันอยู่ตลอดเวลาทําให้พวกเขาไม่ค่อยจะมีเวลาออกมาข้างนอกสักเท่าไหร่

แต่ไม่ว่าซู่เจินจะเดินหาไปนานสักเท่าไหร่ เขาก็ไม่เจอร้านอาหารจีนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงนี้เลย ทําให้เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและเตรียมที่จะค้นหาในอินเตอร์เน็ต แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงโห่ร้องดังขึ้นมาจากบริเวณใกล้เคียง

ซึ่งเสียงที่เขาได้ยินมันก็คล้าย ๆ กับเสียงของพวกแฟนคลับที่กําลังเจอดารากําลังเดินอยู่บนท้องถนน

ซู่เจินเหลือมองไปตามทิศทางของเสียงที่เขาได้ยินโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเขาก็เห็นว่าตรงนั้นนั้นมีคนอยู่มากมาย และบางคนก็กําลังถ่ายรูปจากโทรศัพท์มือถือของพวกเขาอยู่ และถึงแม้ว่าตรงนั้นจะมีคนอยู่หลายคน แต่ซู่เจินก็สามารถแยกออกได้ในทันทีเลยว่าใครเป็นคนที่ทําให้เกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้นมา

คนพลังภูผาหิน หนึ่งในสมาชิกของแฟนแทสติกโฟร์!

ตอนที่ 108 ส่งบิลมาให้ผมในภายหลัง

“งั้นข้าขอตัวกลับไปที่แอสการ์ดก่อน เพราะถึงยังไงข้าก็ยังจะต้องไปรายงานเรื่องนี้ให้กับท่านพ่อของข้าอีก และถ้าเกิดว่าเจ้ามีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็มาหาข้าได้ที่แอสการ์ดในฐานะแขกของข้า แล้วก็….ซิฟคิดถึงเจ้ามากเธอมักจะถามเกี่ยวกับเจ้าอยู่บ่อย ๆ กับเฮมดอลล์ “ หลังจากธอร์พูดจบเขาก็เดินไปยังสถานที่โล่ง ๆ พร้อมกับตะโกนขึ้นไปบนท้องฟ้า หลังจากนั้นไม่นาน ….ก็มีลําแสงพุ่งลงมาที่ธอร์และพาตัวของเขาไปทันที

หลังจากที่ธอร์จากไปเอลเลียตแรนดอล์ฟก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที ทําให้เขารีบหันไปขอบคุณซู่เจินอย่างรวดเร็ว

“หึ่ง!”

มีเสียงของกลไกขนาดใหญ่ดังขึ้นมา ทําให้ซู่เจินเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองไปที่ ยานบรรทุกเครื่องบินของ SHIELD ที่กําลังบินมาจากระยะไกล หลังจากนั้นไม่นานมันก็มียานบินขนาดเล็กบินลงมาและจอดลงไม่ไกลจากพวกซู่เจินมากนัก

นิคฟิวรี่ค่อย ๆ เดินลงมาจากยานบินขนาดเล็กลํานั้นพร้อมกับมองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาจริง

“ใครก็ได้ช่วยบอกฉันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่!”

ซู่เจินยักไหล่ขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับยืนมองไปที่ท่าทางของนิคฟิวรี่ ซึ่งภารกิจในครั้งนี้เขาเป็นคนสั่งการด้วยตัวของเขาเอง แล้วเขาจะไม่รู้ได้ยังไงว่ามันเกิดอะไรขึ้น ?

“แล้วโทนี่หายไปไหน?”

แม้ว่าซู่เจินจะขี้เกรียจอธิบายให้กับนิคฟิวรี่ฟัง แต่สําหรับสตีฟโรเจอส์และคนอื่น ๆ แล้วพวกเขาไม่ค่อยถนัดกับการเผชิญกับนิคฟิวรี่สักเท่าไหร่ ทําให้พวกได้แต่อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้กับพวกเขาฟัง และหลังจากฟังเสร็จเรียบร้อยแล้ว นิคฟิวรี่ก็ถามขึ้นมาทันที

ในขณะเดียวกันทุกคนก็เพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตอนนี้ไอรอนแมนไม่ได้อยู่กับพวกเขาที่นี่ ? และเมื่อพวกเขาลองนึกดูก็พบว่าก่อนหน้านี้โทนี้ได้รับบาดเจ็บและหมดสติไป ก่อนที่ธอร์และเอลเลียต แรนดอล์ฟจะทําการต่อสู้กันอย่างรุนแรง ทําให้บริเวณรอบ ๆ ถึงกับพังพินาศย่อยยับ และในตอนนั้นซู่เจินก็ได้พาพวกเขาขึ้นไปบนตึกที่อยู่ห่างไกลออกไปโดยลืมโทนี่ไปซะสนิทราวกับว่า เขาไม่ได้สนใจโทนี่เลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเมื่ออาคารถล่มซู่เจินจึงทําได้แต่ช่วยเหลือพวกเขา และเลือกที่จะเมินเฉยโทนี่ไปเพราะว่าตอนนั้นมันกําลังเกิดการต่อสู้อย่างรุนแรง

” พระเจ้า!” สตีฟโรเจอร์สตะโกนขึ้นมา

“ไอ้บ้าเอ้ย เขายังไม่ตายใช่ไหมนั่น ?” ฮอว์กคอายก็ตะโกนขึ้นมาด้วยความตกใจเช่นกัน หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสองก็รีบวิ่งเข้าไปหาร่างของโทนี่ในซากปรักหักพังทันที

นาตาชามองไปที่ซูเงินด้วยความหมายอันลึกซึ้งพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “คุณจงใจทําใช่ไหม?”

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้สึกผิด ซึ่งนาตาชาก็เดาได้ในทันทีเลยว่ามันเป็นอย่างที่เธอคิดจริง ๆ หลังจากที่เธอได้เห็นรอยยิ้มของซู่เจิน “คนบ้าอะไรขี้เหนียวชะมัด”

ทันใดนั้นนาตาชาก็นึกถึงเปปเปอร์ขึ้นมาและโค้งริมฝีปากของเธอขึ้นมาอย่างลับ ๆ

นิคฟิวรี่เดินเข้าไปหาซูเงินและพูดว่า ” คุณสามารถมอบมีดทั้งสองอันนั้นให้กับฉันได้ไหม ? เพราะถึงยังไง …. การมีอยู่ของมันก็เป็นอันตรายมากเกินไป และถ้าเกิดว่าคุณถูกใครบางคนควบคุมขึ้นมา มันอาจจะทําให้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นมาก็ได้!”

“คุณยังไม่ตื่นนอนงั้นเหรอ?”

ซู่เจินมองไปที่นิคฟิวรี่และพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “แล้วคุณคิดว่ามันเป็นไปได้ไหมล่ะ ?”

“เอ่อ … ฉันรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ และฉันก็เชื่อว่าคุณจะใช้ประโยชน์จากมีดทั้งสองเล่มนี้ได้เป็นอย่างดี ดังนั้น … คุณช่วยมอบตัวของเขาให้กับฉันได้ไหม?” นิคฟิวรี่ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับมีดทั้งสองเล่มนั้นอยู่แล้วตั้งแต่แรก เพราะนี่ก็เป็นเพียงแค่เทคนิคในการเจรจากับเป้าหมายของเขานั้นก็คือเอลเลียตแรนดอล์ฟ

ซึ่งตอนแรกนิคฟิวรี่ก็ไม่ได้คาดหวังเช่นกันว่าจะมีชาวแอสการ์ดซ่อนตัวอยู่บนโลก แถมเขายังเป็นช่างตีเหล็กที่เก่งมาก ๆ อีกด้วย

ถึงแม้ว่านิคฟิวรี่จะไม่เคยเห็นพลังของไม้เท้าเบอร์เซิร์กเกอร์มาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ซึ้งถึงพลังของมีดคู่แห่งความกลัวเป็นอย่างดี ดังนั้นด้วยพรสวรรค์ของเอลเลียตแรนดอล์ฟที่สามารถสร้างอาวุธแบบนี้ขึ้นมาได้ แล้วเขาจะปล่อยตัวของชายคนนี้ไปได้อย่างไร ?

” ทําไม?” ซู่เจินถามขึ้นมาด้วยความสนใจ

นิคฟิวรี่รีบพูดขึ้นมาทันทีเลยว่า “เขาเป็นคนที่อันตรายเป็นอย่างมาก และเขาก็เพิ่งทําลาย เมืองแห่งนี้จนพังพินาศย่อยยับ ดังนั้นฉันจึงจําเป็นที่จะต้องพาเขากลับไปที่ SHIELD พร้อมกับเหตุผล ..”

“คุณไม่เข้าใจคําถามของผมอย่างงั้นหรอ ? เพราะที่ผมถามคุณมันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการที่คุณจะจับตัวของเขาเลยแม้แต่น้อย ซึ่งที่ผมอยากจะถามกับคุณจริง ๆ ก็คือทําไมคุณถึงคิดว่าผมจะปล่อยตัวของเขาให้กับคุณไป ? คุณไม่รู้หรอว่าขนาดธอร์ก็ยังไม่สามารถพาตัวของเขาไปได้ แล้วคุณคิดว่าตัวของคุณเอง … จะทําได้งั้นหรอ ? “ ที่ซู่เจินพูดขึ้นมาแบบนี้ไม่ใช่ว่าเขาต้องการยั่วยุ นิคฟิวรี่หรือคิดว่าตัวเองเก่งมากพอจนหยิ่งผยองได้ แต่มันเป็นเพราะว่าสิ่งที่เขาพูดขึ้นมามันเป็นความจริงทั้งหมด

” แต่ว่า ” นิคฟิวรี่ขมวดคิ้วขึ้นมาและเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาก็ถูกซู่เจินพูดขัดขึ้นมาก่อนว่า “คุณไม่ต้องกังวลเกี่ยวอะไรกับเขาทั้งสิ้น เพราะนอกจากการที่เขา จะยอมไปด้วยตัวของเขาเองแล้ว มันจะไม่มีใครที่สามารถพาตัวของเขาไปได้ ถ้าเกิดว่าผมยังอยู่ที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้นเหตุผลที่คุณต้องการพาตัวของเขาไปมันก็ไม่ใช่เหตุผลเดียวกับที่คุณพูดขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นเพราะว่าเขามีฝีมือเก่งมากใช่ไหมล่ะ ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ เพราะว่าตอนนี้ที่นี่มันพังพินาศย่อยยับขนาดนี้!”

นิคฟิวรีถึงกับพูดไม่ออก

“ซึ่งจริง ๆ แล้วหายนะที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มันก็มีสาเหตุมาจากคุณเช่นกัน ถ้าเกิดว่าคุณไม่ให้พวกเขาไปตามหาตัวของแอลเลียตแรนดอล์ฟอย่างกะทันหัน เขาก็คงไม่รีบหยิบมีดคู่แห่งความกลัวขึ้นมาด้วยความตกใจ และเขาก็จะไม่ถูกควบคุมโดยมีดคู่แห่งความกลัวอย่างแน่นอน แต่ถึงยังไงเมืองทั้งเมืองมันก็ถูกทําลายโดยมีดคู่แห่งความกลัวทั้งสองอันนี้อยู่ดี ดังนั้นคุณสามารถส่งใบเรียกเก็บเงินมาให้กับผมได้สําหรับการก่อสร้างเมืองนี้ขึ้นมาใหม่ … คุณค่อยส่งมาให้กับผมในภายหลังก็แล้วกัน”

ถึงแม้ว่าค่าใช้จ่ายในครั้งนี้มันจะมากมายมหาศาล และซู่เจินก็เลือกที่จะไม่จ่ายมันก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมากสําหรับมีดคู่แห่งความกลัวทั้งสองเล่มนี้ ดังนั้นเขาจึงมีความสุขถึงแม้ว่าเขาจะต้องจ่ายเงินออกไปจํานวนมากมายก็ตาม

“เยี่ยม! เราเจอเขาแล้ว … ซู่เจินมาช่วยพวกเราหน่อยเร็วเข้า!”

ทันใดนั้นสตีฟโรเจอส์ก็ตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น

ซู่เจินยังไม่ได้เดินไปหาพวกเขาในทันที แต่เขากับมองไปที่นิคฟิวรี่ที่กําลังทําอะไรไม่ถูก หลังจากนั้นไม่นานนิคฟิวรี่ก็ทําได้เพียงแต่พยักหน้าขึ้นมาและพูดว่า ” ฉันจะส่งใบเก็บเงินไปให้กัคุณในภายหลัง”

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยก่อนที่จะเดินจากไป

เอลเลียตแรนดอล์ฟรีบเดินตามซูเงินไปอย่างรวดเร็ว เพราะตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าไม่มีใครนอกจากซูเงินที่สามารถปกป้องความปลอดภัยของเขาได้อีกแล้ว

“อย่ามองมาที่ฉัน เพราะว่ามันไม่มีอะไรที่ฉันทําได้เลย แถมเขายังมีผู้หญิงอีกมากมาย ไม่ใช่มีแค่ฉันคนเดียวสักหน่อย!” เมื่อเห็นว่านิคฟิวรี่กําลังมองมาที่ตัวเอง นาตาชาก็หยักไหล่ขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับรอยยิ้มและรีบเดินตามซูเงินไปทันที

โชคดีที่โทนี่สวมชุดเกราะของไอรอนแมนเอาไว้ ทําให้เขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมาย หลังจากนั้นซู่เจินก็เอามีดเล่มสีเงินแตะไปที่ด้านหลังของโทนี่เบา ๆ เพื่อดูดกลืนพลังงานแห่งความกลัวที่อยู่ภายในร่างกายของโทนี่ และซู่เจินก็พูดขึ้นมาว่า “ในเมื่อเหตุการณ์ในครั้งนี้มันจบลงเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นมันก็ถึงเวลาที่ผมจะต้องจากไปแล้ว เอ่อ .. สตีฟคุณจําเรื่องที่ผมเคยบอกเอาไว้กับคุณคราวก่อนได้ไหม ? อย่าลืมมาหาผมล่ะ ถ้าเกิดว่าคุณต้องการความช่วยเหลือ!”

หลังจากที่ซู่เจินหันไปพูดกับสตีฟเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ควบคุมพลังงานให้ไปห่อหุ้มร่างกายของเอลเลียตแรนดอล์ฟเอาไว้ จากนั้นพวกเขาก็บินหายไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว

ส่วนเรื่องของผลกระทบทั้งหมดที่เกิดขึ้น SHIELD จะเป็นคนที่คอยจัดการเกี่ยวกับเรื่องนี้เอง

“คุณจะทําอะไรต่อหลังจากนี้?”

ซู่เจินบินไปบนท้องฟ้าอย่างช้า ๆ พร้อมกับถามเอลเลียตแรนดอล์ฟขึ้นมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

เอลเลียตแรนดอล์ฟเงียบไปครู่หนึ่งและพูดขึ้นมาว่า “ฉันขออยู่ติดตามคุณไปก่อนชั่วคราวได้ไหม ?”

“คุณแน่ใจงั้นหรอ ? การที่คุณจะติดตามผมมามันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีก็ได้ เพราะรอบ ๆ ตัวของผมในตอนนี้มันก็ไม่ค่อยจะสงบสุขสักเท่าไหร่ ยิ่งไปกว่านั้นคุณชอบใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตามสไตล์ของตัวคุณเองไม่ใช่หรอ ? และถ้าเกิดว่าคุณจะมาอยู่กับผมจริง ๆ ชีวิตในแบบที่คุณต้องการมันจะหายไปในทันที ดังนั้นคุณควรเลือกทางที่คุณจะมีความสุขจะดีกว่า” ซู่เจินพูดขึ้นมา

เอลเลียตแรนดอล์ฟยิ้มขึ้นมาอย่างไร้หนทางและพูดว่า “ถ้าเกิดว่าฉันตามคุณไปฉันก็อาจจะแค่บอกลาเกี่ยวกับชีวิตอันแสนสงบสุขของฉันทิ้งไป ซึ่งถ้าเกิดว่าฉันเลือกที่จะไม่ตามคุณไป ฉันกลัวว่าชีวิตของฉันมันจะอยู่ได้ไม่ค่อยนานนัก ดังนั้น … ฉันจึงเลือกที่จะติดตามคุณจะดีกว่า”

“เอาอย่างงั้นก็ได้ แต่คุณก็ไม่จําเป็นที่จะต้องอยู่กับผม เพราะว่าผมจะส่งคุณไปอยู่ที่นั่นเป็นการชั่วคราวก่อน และคุณก็มั่นใจได้เลยว่าจะไม่มีใครสามารถพาตัวของคุณไปได้ นอกจากจะได้รับอนุญาตจากผมซะก่อน!”

การที่เอลเลียตแรนดอล์ฟยอมมาอยู่กับซู่เจินด้วยความเต็มใจแบบนี้ แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ดีอย่างแน่นอน เพราะถึงยังไงเขาก็มีความสามารถในการตีเหล็กอยู่ในระดับที่สูงมาก เหมาะกับการสร้างอุปกรณ์ให้กับเขาในอนาคต แต่ถึงอย่างไรก็ตามซู่เจินก็ไม่ได้ต้องการให้เอลเลียตแรนดอล์ฟมาติดตามเขาอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเขาจึงจะพาเอลเลียตแรนดอล์ฟไปที่ยานบินของเขาก่อนเพื่อปักหลัก

ตอนที่ 107 กลับคืนสู่เจ้าของ

เมื่อซู่เจินได้ยินเสียงตะโกนและสีหน้าที่ตกตะลึงของธอร์ เขาก็หันไปยิ้มให้กับธอร์เล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็หันไปมองที่มีดเล่มสีเงิน

เขาก้มตัวลงไปพร้อมกับเหยียดมือของเขาออกมา

และค่อย ๆ หยิบมีดเล่มสีเงินออกมาจากมือของเอลเลียตแรนดอล์ฟได้อย่างง่ายดาย

มีดเล่มสีเงินอยู่ในมือซ้าย ส่วนมีดเล่มสีดําอยู่ในมือขวา

เมื่อซู่เจินถือมีดทั้งสองเล่มเอาไว้ในมือ ทันใดนั้นมันก็มีพลังงานบางอย่างกําลังพลุ่งพล่านและหลั่งไหลเข้ามาในร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันมันก็มีเสียงอะไรบางอย่างอยู่ในหัวของเขาอยู่ตลอดเวลาและกระตุ้นให้เขาทําลาย ทําลายทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า

“คุณโอเคไหม?”

ธอร์พยายามเดินเข้าไปหาซูเงินอย่างยากลําบาก และถามเขาขึ้นมาด้วยความไม่แน่ใจ

ซู่เจินไม่ได้สนใจธอร์เลยแม้แต่น้อย เขาก้มหน้าลงพร้อมกับแขนของเขาที่สั่นขึ้นมาเล็กน้อย ซึ่งมันก็ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง

“รีบหยุดเขาเร็วเข้า อย่าให้เขาได้ถือมีด!”

ในขณะเดียวกันฮอว์กอาย , สตีฟโรเจอส์ และนาตาชา ที่เดินเข้ามาเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าเข้าพอดี ทําให้สตีฟโรเจอส์รีบตะโกนไปทางธอร์อย่างรวดเร็ว

สตีฟโรเจอร์รู้ว่ามีดคู่ทั้งสองเล่มนี้มันมีเวทมนต์อะไรบางอย่างอยู่ภายใน ซึ่งสิ่งนี้มันก็คือสาเหตุที่ทําให้เอลเลียตแรนดอล์ฟถูกควบคุมและกลายเป็นสัตว์ประหลาด

เมื่อได้ยินคําพูดของสตีฟโรเจอร์ ธอร์ก็เรียกค้อนของเขากลับมาและปาไปทางซู่เจินทันที แต่ทันใดนั้นซู่เจินที่กําลังก้มหน้าอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน

มีดเล่มสีดําโบกสะบัดขึ้นมาเบา ๆ

ทันใดนั้นก็เกิดเสียงปะทะกันดังขึ้นอย่างรุนแรง

ทําให้ค้อนของธอร์ถูกมีดของซู่เจินกระแทกบินหายไปในตัวตึกอย่างรวดเร็ว ซึ่งเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันบินไปไกลแค่ไหน

หลังจากนั้นซู่เจินก็ค่อย ๆ เงยหน้าของเขาขึ้นมาอย่างช้า ๆ ด้วยแววตาอันเย็นชาพร้อมกับชุดอนุภาคอีเทอร์ที่ปรากฏขึ้นมาบนร่างกายของเขา

“สถานการณ์เริ่มไม่ดีแล้ว … ดูเหมือนว่าเขาจะถูกควบคุมอยู่ ฉันควรทําอย่างไรดี ? ขนาดตอนเอลเลียตแรนดอล์ฟถูกควบคุมฉันยังรับมือกับเขาแทบไม่ได้และเกือบถูกเขาฆ่าตาย และตอนนี้มันดันกลายเป็นซู่เจิน แล้วฉันจะไปสู้กับเขาได้อย่างไร ?” สตีฟโรเจอร์พูดขึ้นมาด้วยความสิ้นหวัง

แน่นอนว่าเขาคือกัปตันอเมริกา ที่ไม่ว่าจะเจอเหตุการณ์อะไรเขาจะไม่มีวันยอมแพ้เด็ดขาดด้วยจิตวิญญาณของชาวอเมริกัน แต่ตอนนี้เขาเริ่มสิ้นหวังขึ้นมาแล้วจริง ๆ

“ถ้าเกิดว่าคุณยังไม่สามารถเอาชนะเขาได้ พวกเราทุกคนก็คงจะต้องตายอยู่ที่นี่แล้วล่ะ! ฮอว์กอายพูดขึ้นมาอย่างจนปัญญา เพราะว่าตอนนี้เขาก็สิ้นหวังไปหมดแล้วเช่นกัน”

ลมหายใจแห่งความสิ้นหวังเริ่มแทรกซึมเข้าไปในจิตใจของพวกเขา

แต่ทันใดนั้นการแสดงออกที่เย็นชาของซูเงินก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขายิ้มขึ้นมาและพูดว่า “งั้นในตอนนี้ผมก็ขอบอกกับพวกคุณเอาไว้เลยว่าต่อให้เป็นเทวดาบนสวรรค์ก็ไม่สามารถช่วย พวกคุณได้อย่างแน่นอน”

เมื่อพวกเขาได้ยินคําพูดของซู่เจิน พวกเขาก็ถึงกับตกตะลึงขึ้นมาทันที

” คุณ … คุณปกติดีใช่ไหม?” สตีฟโรเจอส์ถามขึ้นมาด้วยความมึนงง

“มันยังไม่ชัดเจนอีกงั้นหรอ?” ซู่เจินยักไหล่ขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับควงมีดในมือของเขาเล่น “มีดคู่ทั้งสองเล่มนี้มันเป็นของผม ถ้าเกิดว่าผมใช้มันแล้วเกิดปัญหาขึ้นมาจริง ๆ ผมก็คงทําให้คนอื่นหัวเราะผมแย่เลย”

“พระเจ้า! คุณทําให้พวกเรากลัวแทบตาย!” ฮอว์กอายอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา

ทุกคนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก พร้อมกับบรรยากาศที่ค่อย ๆ ผ่อนคลายลง

“เจ้าบอกว่ามีดคู่ทั้งสองเล่มนี้มันเป็นของเจ้าอย่างงั้นหรอ ?” ธอร์ถามขึ้นมาอย่างสงสัย “แล้วทําไมข้าถึงรู้สึกได้ถึงเวทมนต์ของชาวแอสการ์ดที่อยู่ภายในมีดพวกนั้น ?”

“มีดพวกนี้ถูกดันแปลงมาจากไม้เท้าเบอร์เซิร์กเกอร์ ซึ่งผมก็ได้เอาสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ อะไรบางอย่างใส่เข้าไปภายในของตัวมีด ทําให้มีดพวกนี้มันแข็งแกร่งมาก! “ ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยความพึงพอใจ พร้อมกับมองไปที่เอลเลียตแรนดอล์ฟที่กําลังตื่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ “ฝีมือของคุณมันสุดยอดมาก … ผมพอใจมากกับมีดคู่แห่งความกลัวที่คุณสร้างขึ้นมา!”

เอลเลียตแรนดอล์ฟรีบกระโดดถอยห่างออกมาจากมีดคู่ทั้งสองเล่มด้วยไม่รู้ตัว เพราะว่าตอนนี้ภายในจิตใจของเขามันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวต่อมีดคู่ทั้งสองเล่มนี้ “พระเจ้า! อย่าให้ฉันเห็นมัน พวกมันน่ากลัวมาก”

เมื่อมองไปยังท่าทางที่หวาดกลัวของเอลเลียตแรนดอล์ฟ ซู่เจินก็รีบเก็บมีดกลับมาทันที และพูดขึ้นมาว่า “คุณรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?”

“มันรู้สึกแย่มาก ราวกับว่าร่างกายของฉันกําลังถูกให้เจาะเป็นรู” เอลเลียตแรนดอล์ฟส่ายหัวพร้อมกับพูดขึ้นมาเบา ๆ

“ซู่เจิน! เจ้าแน่ใจใช่ไหมว่าเจ้าปกติดี ?”

ธอร์ถามขึ้นมาด้วยควาเป็นห่วงเล็กน้อย

“แน่นอน!” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยความหนักแน่น

“เยี่ยม! ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าเจ้าจะเป็นคนที่วิเศษมากขนาดนี้ ขนาดอนุภาคอีเทอร์ก็ยังไม่สามารถทําอะไรกับเจ้าได้ และยังมีมีดคู่พวกนี้อีก แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็หวังว่าเจ้าจะไม่ใช้มีดพวกนี้บ่อยเกินไป เพราะว่ามีดคู่อันนี้มันน่ากลัวมาก” ธอร์พูดขึ้นมาเบา ๆ หลังจากนั้นเขาก็หันไปมองทางเอลเลียตแรนดอล์ฟและพูด “เจ้าจะต้องกลับไปที่แอสการ์ดกับข้า!”

“ไม่… ฉันไม่อยากกลับไปที่นั่น” เอลเลียตแรนดอล์ฟรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย เพราะเขาไม่คิดว่าคนพวกนี้จะหาตัวของเขาพบ หลังจากที่เขาได้ซ่อนตัวมาเป็นเวลานานมากแล้ว “ซู่เจิน! คุณเคยสัญญากับฉันเอาไว้ว่า ถ้าเกิดว่าฉันสร้างมีดทั้งสองเล่มนี้ให้กับคุณ … คุณจะปกป้องฉันจากคนที่ต้องการพาตัวของฉันไปไม่ใช่หรอ ? คุณคงจะไม่ผิดสัญญากับฉันใช่ไหม ?”

ธอร์ไม่คิดว่าระหว่างซูเงินและเอลเลียตแรนดอล์ฟจะมีข้อตกลงอะไรกันบางอย่าง ทําให้เขาหันไปมองที่ซู่เจินและพูดว่า “เขาเป็นคนของแอสการ์ด ดังนั้นตามกฏของแอสการ์ดแล้ว เขาจะต้องกลับไปที่แอสการ์ดเพื่อรับการลงโทษจากการที่เขาแอบหลบหนีมาที่นี่ บวกกับการที่เขาทําลายเมืองจนย่อยยับขนาดนี้”

เอลเลียตแรนดอล์ฟและธอร์จ้องมองไปที่ซู่เจิน ซึ่งซู่เจินก็ยืนคิดอยู่สักพักหนึ่งและค่อย ๆ ส่ายหัวออกมาพร้อมกับมองไปที่ธอร์และพูดว่า “ผมขอโทษ! ผมเกรงว่าผมจะปล่อยให้เขาไปกับคุณไม่ได้ เนื่องจาก … การที่เขาและผมได้สัญญากันเอาไว้ ซึ่งผมก็ไม่อยากผิดสัญญากับเขา”

” มันเป็นกฏของแอสการ์ด” ธอร์พูดขึ้นมามันก็ไม่ใช่

“แต่มันก็ไม่ใช่กฎของผมไม่ใช่หรอ ? และถ้าเกิดว่าคุณต้องการพาตัวของเขาไป ปัญหา!” ซู่เจินค่อย ๆ ยกมือของเขาขึ้นมาช้าๆ ทําให้ธอร์เริ่มตื่นตัวขึ้นมาทันที

“เจ้ากล้าลงมือจริง ๆ งั้นหรอ ? เพราะถึงยังไงเจ้ากับข้าก็เป็นเพื่อนกัน แถมเจ้ายังเป็นวีรบุรุษของชาวแอสการ์ดอีกด้วย!” ธอร์รู้สึกขนลุกขึ้นมาทันทีเมื่อเขาเห็นว่าซู่เจินยกมีดคู่ทั้งสองเล่มนั้นขึ้นมา เพราะตอนนี้ที่เขาสู้กับเอลเลียตแรนดอล์ฟมันก็ทําให้เขารู้สึกหวาดกลัวมากพอแล้ว

“เนื่องจากการที่คุณบอกว่าพวกเราเป็นเพื่อนกัน และผมก็เป็นวีรบุรุษของแอสการ์ด ดังนั้นผมก็หวังว่าคุณจะปล่อยให้เขาอยู่ที่นี่ต่อไปได้ เพราะถึงยังไงเขาก็เป็นคนที่ช่วยสร้างมีดคู่ทั้งสองเล่มนี้ขึ้นมาให้กับผม ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็แค่ชื่นชอบการใช้ชีวิตอยู่บนโลกก็แค่นั้น และเขาก็อยู่มานานมากแล้ว มันก็ไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้น บวกกับการที่เขาเป็นผู้มีพระคุณของชาวแอสการ์ด ถ้าเกิดว่าไม่มีเขาอยู่ที่นี่คุณก็คงจะไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้หรอกนะธอร์!”

“เอาล่ะ! เดี๋ยวข้าจะไปบอกกับท่านพ่อให้ตามความจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนั้น ข้าจะปล่อยให้เขาอยู่ที่นี่ต่อไปก็แล้วกัน” เมื่อธอร์เห็นท่าทางที่แน่วแน่ของซูเจิน เขาก็ทําได้เพียงแต่พยักหน้าเห็นด้วย

สิ่งที่สําคัญที่สุดในครั้งนี้ก็คือถ้าเกิดว่าซู่เจินไม่เห็นด้วย การเจรจามันจะจบลงทันที

เพราะว่าเขาไม่ต้องการมีปัญหากับซูเงิน

“ขอบคุณ!”

ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม และทันใดนั้นเขาก็เอามีดเล่มสีเงินแทงไปที่ธอร์ทันที

ธอร์ไม่ได้ตอบสนองอะไรออกมา เพราะเขาก็ไม่คิดว่าซู่เจินจะเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันแบบนี้ และในขณะที่เขากําลังจะตอบสนองเขาก็รู้สึกว่าพลังของความกลัวที่อยู่ภายในร่างกายของเขามันค่อย ๆ หายไป

“ขอบคุณ!” ธอร์หันไปพูดกับซูเงินทันที

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาพร้อมกับส่ายหัวเบา ๆ หลังจากนั้นเขาก็เดินไปดูดกลืนความกลัวที่อยู่ภายในร่างกายของ สตีฟโรเจอส์ ฮอว์กอาย และนาตาชาออกมา

“เยี่ยม! ตอนนี้ฉันไม่มีความรู้สึกกลัวแบบนั้นอีกแล้ว ตอนนี้ฉันรู้สึกผ่อนคลายมาก ๆ “ฮอว์กอายพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

นาตาชาก็ยิ้มให้กับซู่เจินเช่นกัน เพราะว่าตอนนี้ผลข้างเคียงและผลกระทบทั้งหมดจากพลังของความกลัวมันได้หายไปหมดแล้ว ทําให้ความรู้สึกผ่อนคลายภายในตัวของเธอตอนนี้ มันให้ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมมากจริง ๆ

ตอนที่ 106 ขนาดธอร์ก็ยังจัดการกับเขาไม่ได้

“แค่ก ๆ … มันเป็นไปได้ยังไง?”

ธอร์ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะไม่สามารถชนะหนึ่งในนักรบของเบอร์เซิร์กเกอร์ได้ ? แม้กระทั่ง … เมื่อมองไปยังบาดแผลบนร่างกายของเขา เขาก็เริ่มรู้สึกได้ถึงความกลัวที่อยู่ภายในจิตใจของเขา

มันเป็นไปได้ยังไง!

ข้าคือธอร์!

ธอร์รับไม่ได้กับการที่เขาจะมีความกลัวขึ้นมาในจิตใจ เพราะว่ามันคือความอัปยศอดสูสําหรับเขา! เขาพยายามลุกขึ้นอย่างยากลําบากพร้อมกับค่อย ๆ ยกมือของเขาขึ้น ทันใดนั้นค้อนก็บินกลับมาที่มือของเขาอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นธอร์ก็ชูค้อนของเขาขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที ทําให้สภาพอากาศบนท้องฟ้าเริ่มแปรปรวนพร้อมกับมีเสียงฟ้าร้องดังออกมาตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่าธอร์ในตอนนี้กําลังรวบรวมพลังของค้อนอยู่

“นี่เขาคิดจะใช้ท่านั้นอย่างงั้นหรอ ?”

การกระทําในครั้งนี้ของธอร์มันน่าจะไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ อย่างแน่นอน ซึ่งซู่เจินก็ไม่ได้กังวลเกี่ยวอะไรกับมันมากนัก แต่สิ่งที่เขากังวลจริง ๆ ก็คือนาตาชา ส่วนเอลเลียตแรนดอล์ฟขนาดค้อนของธอร์ก็ยังไม่สามารถทําอะไรกับเขาได้ ดังนั้น เขาก็น่าจะไม่เป็นอะไรมากนัก

ซู่เจินปรากฏตัวขึ้นมาด้านหลังของนาตาชาอย่างรวดเร็ว ซึ่งทางด้านของนาตาชาก็เริ่มรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่คุ้นเคยกําลังโอบกอดเธอเหมือนกับหมีโคอาล่าอยู่ด้านหลัง

หลังจากนั้นซู่เจินก็อุ้มนาตาชาบินขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับใช้พลังห่อหุ้มร่างกายของสตีฟโรเจอส์และฮอว์กอายให้บินตามมาอยู่ห่าง ๆ และค่อย ๆ วางพวกเขาลงบนชั้นดาดฟ้าของตึกสักแห่งหนึ่ง

บนท้องฟ้าในตอนนี้เต็มไปด้วยเมฆสีดําทมิฬ ที่มีเสียงฟ้าร้องดังออกมาอยู่ตลอดเวลา

ซู่เจินจับไปที่มือของนาตาชาเบา ๆ และพูดว่า “ที่รักคุณปล่อยผมก่อนได้ไหม ? ผมจะต้องลงไปด้านล่างเพื่อจัดการธุรอะไรบางอย่างให้เสร็จ”

“ไม่ … “ นาตาชาส่ายหัวปฏิเสธขึ้นมาทันควัน

ในขณะเดียวกันซู่เจินก็สังเกตเห็นว่าสตีฟโรเจอส์และฮอว์กอายที่ถูกห่อหุ้มด้วยพลังงานของเขาอยู่นั้นไม่ได้รับผลกระทบจากพลังงานของความกลัวที่แผ่กระจายอยู่รอบ ๆ ดูเหมือนว่าพลังงานของแหวนอีเทอร์มันจะสามารถป้องกันความกลัวและการดูดกลืนพลังงานความกลัวได้ใช่ไหม ? หลังจากนั้นซู่เจินก็เอาพลังงานห่อหุ้มร่างกายของนาตาชาเอาไว้ พร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “ที่รัก! ได้โปรดปล่อยผมเถอะ ผมไม่ได้ไปไหนสักหน่อย … ผมจะรีบกลับมาหาคุณทันทีที่ผมจัดการธุรของผมเสร็จแล้ว”

บางทีอาจจะเป็นเพราะพลังงานของซู่เจินที่ห่อหุ้มร่างกายของนาตาชาเอาไว้ ทําให้หลังจากนั้นไม่นานนาตาชาก็ค่อย ๆ ฟื้นคืนสติของเธอกลับคืนมา และปล่อยซู่เจินออกจากมือของเธอด้วยความรู้สึกไม่เต็มใจเล็กน้อย

ซู่เจินเดินไปที่ขอบของตึกและเตรียมที่จะกระโดดลงไป แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงสตีฟโรเจอส์พูดขึ้นมาว่า “คุณ … คุณจะต้องหยุดเขาให้ได้!”

“ไม่ต้องห่วง ผมจะไม่ให้เขาเอาของของผมไปอย่างแน่นอน ดังนั้น ผมจะเป็นคนหยุดเขาเอง!”

หลังจากพูดจบซู่เจินก็กระโดดลงไปด้านล่างทันที

ในขณะเดียวกันตอนนี้เอลเลียตแรนดอล์ฟก็ค่อยเอาของทั้งสองข้างประกบเข้าหากัน ทําให้มีดสีเงินและสีดํามันซ้อนทับเข้าหากัน ทันใดนั้นก็พลังอันแข็งแกร่งพุ่งพรวดขึ้นมาจากมือทั้งสองข้างของเอลเลียตแรนดอล์ฟอย่างรวดเร็ว ทําให้มีดสีดําเริ่มกลายเป็นสีดําทมิฬ ส่วนมีดสีเงินก็เริ่มกลายเป็นเหมือนกับเกล็ดหิมะ

“โฮก“

เอลเลียตแรนดอล์ฟส่งเสียงคํารามออกมาด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับร่างกายของเขาที่ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว และไม่นานมันก็ค่อย ๆ หยุดลงพร้อมกับร่างกายของเอลเลียตแรนดอล์ฟในตอนนี้ที่สูงประมาณ 5 – 6 เมตร ทําให้ตัวของเขาในตอนนี้สูงราวกับเนินเขาขนาดย่อม ๆ

ซึ่งตรงกันข้ามกับธอร์ที่ตอนนี้เขาตัวเล็กมากกว่าเอลเลียตแรนดอล์ฟตั้งไม่รู้กี่เท่า

และเมื่อธอร์เห็นว่าแอลเลียตแรนดอล์ฟกําลังทําอะไรบางอย่างอยู่ มันก็ทําให้ความกลัวของเขามันเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่าตอนนี้เขาคือมดตัวเล็ก ๆ ที่รอเวลาโดนบดขยี้ ทําให้ธอร์ในตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าเขาจะช้ามากไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

ธอร์ตะโกนขึ้นมาพร้อมกับเหวี่ยงค้อนไปทางเอลเลียตแรนดอล์ฟทันที ในขณะเดียวกันกระจกตามตัวอาคารที่อยู่รอบ ๆ ก็แตกกระจายออกเป็นเสียง ๆ จากเสียงของฟ้าร้องและสายฟ้าที่พุ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว

“โฮก!”

เอลเลียตแรนดอล์ฟคํารามออกมาราวกับว่าเขาในตอนนี้ได้เสียสติไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ใช้มีดทั้งสองอันในมือของเขาฟันไปด้านหน้าอย่างรุนแรง

“ตูม!”

อาวุธทั้งสองชิ้นเข้าปะทะกันอย่างรุนแรง ทําให้เกิดเสียงดังโครมครามดังขึ้นมา พร้อม กับตัวตึกที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ก็ค่อย ๆ พังทลายลงมา ในขณะเดียวกันทางด้านของซูเงินที่กําลังบินดูสถานการณ์อยู่ห่าง ๆ ก็โดนแรงอัดอากาศที่มาจากการปะทะกันระหว่างพวกเขาทั้งสองกระแทกเข้าที่ร่างกายของเขาเช่นกัน

“เอ่อ!”

ซู่เจินไม่คิดว่าพลังของพวกเขามันจะแข็งแกร่งมากขนาดนี้ บวกกับตัวตึกที่ค่อย ๆ พังทลายลงมา ทําให้เขารีบควบคุมพลังงานของเขาให้ไปห่อหุ้มร่างกายของนาตาชาและอีกสองคนเอาไว้ ก่อนที่ซู่เจินจะพาพวกเขาย้ายไปอีกตึกที่อยู่ห่าง ๆ จากระยะของการต่อสู้

ซู่เจินค่อย ๆ ชะโงกหน้าลงไปดูข้างล่าง

ที่ตอนนี้มันเต็มไปด้วยฝุ่นควันเต็มไปหมด

ไม่มีสิ่งอื่นใดให้มองเห็น นอกจากความพินาศย่อยยับ

ไม่รู้ใครจะชนะหรือแพ้

หลังจากที่ซู่เจินวางตัวของพวกนาตาชาลงเรียบร้อยแล้ว เขาก็บินไปยังใจกลางของสนามรบและค่อย ๆ ควบคุมแรงลมของพายุทอร์นาโดที่แขนของเขาเพื่อพัดฝุ่นควันพวกนี้ให้หายไป

หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เริ่มมองเห็นร่างของธอร์ที่อยู่ไม่ไกลจากเขามากนัก

ชุดเกราะของธอร์ในตอนนี้มีสภาพยับเยินเป็นอย่างมากพร้อมกับร่างของเขาที่นอนอยู่ บนพื้นด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ

ห่างไปไม่ไกลมากนักซู่เจินก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ที่ทําให้เขารู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก

สภาพของเอลเลียตแรนดอล์ฟในตอนนี้ดูยับเยินเล็กน้อยและมีบาดแผลตามร่างกายมากมาย แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็มีสภาพที่ดูดียิ่งกว่าธอร์มากนัก

“เขาสามารถเอาชนะธอร์ที่เอาจริงได้อย่างงั้นหรอ ? มันจะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”

พลังของมีดคู่มันไม่ได้แข็งแกร่งมากเกินไปใช่ไหม ? เอลเลียตแรนดอล์ฟมีพลังที่แข็งแกร่งมากกว่าธอร์เล็กน้อย ทําให้เขาสามารถชนะธอร์มาได้อย่างยากลําบาก แต่นี่มันก็เป็นในกรณีที่สมรรถภาพทางกายของเอลเลียตแรนดอล์ฟนั้นแย่ของกว่าของธอร์เล็กน้อย ซึ่งถ้าเกิดว่าเอลเลียตแรนดอล์ฟมีสมรรถภาพทางกายที่แข็งแกร่งจนสามารถทนพลังของธอร์ได้ เขาก็คงจะชนะธอร์ได้อย่างง่ายดายเลยใช่ไหม?

และถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของธอร์ในตอนนี้มันจะยังไม่ใช่จุดสูงสุดของเขาก็ตาม แต่แค่นี้ก็ถือว่าแข็งแกร่งมากแล้ว

“โฮก!”

ทันใดนั้นเอลเลียตแรนดอล์ฟก็สังเกตเห็นซูเงิน ทําให้เขาคํารามออกมาและพุ่งเข้าหาซู่เจินอย่างรวดเร็ว

“คุณอยากสู้กับผมงั้นหรอ ? ดูเหมือนว่าคุณจะบ้าไปแล้วจริง ๆ!”

ซู่เจินหัวเราะเยาะเย้ยออกมาพร้อมกับพลังงานของแหวนอีเทอร์ที่ค่อย ๆ ปลดปล่อยออกมาจนกลายเป็นเชือกขนาดใหญ่ หลังจากนั้นเชือกเส้นนั้นมันก็พุ่งเข้าไปพันขาทั้งสองข้างของเอลเลียตแรนดอล์ฟเอาไว้อย่างรวดเร็ว ทําให้ร่างกายของเขาล้มลงกระแทกกับพื้นทันที

เอลเลียตแรนดอล์ฟพยายามที่จะทําลายเชือกเส้นนั้นทิ้ง แต่มันก็ไม่สําเร็จ ทําให้เขาได้แต่คํารามออกมาด้วยความโกรธและเตรียมตัวจะเอามีดฟันไปที่เชือกเส้นนั้น แต่จู่ ๆ มือของเขาก็ถูกกุญแจมือที่ปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหันล็อคเข้าที่มือของเขาอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นกุญแจมือมันก็ถูกอะไรบางอย่างดึงดูดให้ไปยึดติดลงกับพื้นอย่างแน่นหนา

ซู่เจินกระโดดขึ้นไปบนร่างของเอลเลียตแรนดอล์ฟทันที

เมื่อมองไปยังเอลเลียตแรนดอล์ฟที่ไม่สามารถจดจําตัวตนของเขาได้เลยแม้แต่น้อย มันก็ทําให้ ซู่เจินพูดขึ้นมาอย่างเรียบเฉยว่า “ฝีมือของคุณดีมากจริง ๆ ผมพอใจมากกับมีดคู่ทั้งสองอันนี้ที่คุณสร้างขึ้นมา ดังนั้น … ตอนนี้มันควรที่จะกลับคืนสู่เจ้าของเดิมได้แล้ว!”

หลังจากซู่เจินพูดจบเขาก็เอามือคว้าไปหยิบมีดเล่มสีดําขึ้นมาทันที แต่ทันใดนั้นก็มีมือของเอลเลียตแรนดอล์ฟพุ่งขึ้นมาคว้าจับเอาไว้อย่างรวดเร็ว ทําให้ซู่เจินยกเท้าของเขาขึ้นมาพร้อมกับเตะไปที่ข้อมือของเอลเลียตแรนดอล์ฟอย่างรุนแรง ในขณะเดียวกันซูเงินก็เปิดใช้งานความสามารถของไวรัสเอ็กซ์ตรีมมิสขึ้นมาทันที ทําให้อุณหภูมิความร้อนสูงเริ่มกัดกร่อนข้อมือของแอลเลียตแรนดอล์ฟอย่างรวดเร็ว ทําให้เขากรีดร้องออกมาด้วยความทุกข์ทรมาณ และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ปล่อยมีดเล่นสีดําในมือของเขาทิ้งไป

ซู่เจินถือมีดเล่นสีดําเอาไว้ในมือของเขา ซึ่งความรู้สึกแรกที่ซูเงินสัมผัสได้ก็คือน้ําหนักที่พอดีของมัน มันให้ความรู้สึกที่สมบูรณ์แบบมาก ๆ หลังจากนั้นเขาก็มองไปที่แอลเลียตแรนดอล์ฟที่ดูเหม่อลอยเล็กน้อยหลังจากที่เขาสูญเสียมีดเล่มสีดําไป ไม่นานร่างกายของเขาก็ค่อย ๆ หดตัวกลับมาเป็นปกติและกลับคืนสู่สภาพเดิม!

“อย่าแตะต้องไปที่มีดเล่มนั้น มันอันตราย …”

ในขณะที่ธอร์กําลังพยายามที่จะลุกขึ้น เขาก็สังเกตเห็นว่าซู่เจินกําลังหยิบมีดเล่มสีดําอันนั้นขึ้นมา ทําให้เขารีบตะโกนไปทางซูเงินทันที แต่ก่อนที่เสียงพูดของเขาจะจบลง เขาก็พบว่าซู่เจินก็ดูเหมือนจะปกติดี!

ตอนที่ 105 ทั้งหมดนอนลงกับพื้น

” ปัญญาอ่อน!”

เมื่อเห็นว่าไอรอนแมนถูกโจมตีอย่างกะทันหัน ซู่เจินก็หัวเราะขึ้นมาด้วยความเยาะเย้ย

ทันใดนั้นเอลเลียตแรนดอล์ฟก็กระโดดลงมาอยู่ตรงหน้าของไอรอนแมนอย่างรวดเร็ว ซึ่งตอนแรกไอรอนแมนก็คิดว่าเขาจะสามารถชนะเอลเลียตแรนดอล์ฟได้อย่างง่ายดาย แต่ทันใดนั้นเขาก็ถูกเอลเลียตแรนดอล์ฟฟันเข้าที่ด้านหลังของเขาอย่างรุนแรง ทําให้ร่างกายของเขากระเด็นไปกระแทกกับตึกที่อยู่ข้าง ๆ และค่อย ๆ ทรุดตัวลงกับพื้นพร้อมกับมีรอยแตกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของชุดเกราะ

“โทนี่!”

เมื่อเห็นว่าไอรอนแมนกระเด็นออกไปอย่างรุนแรง สตีฟโรเจอส์ก็รีบวิ่งไปหาโทนี่ทันที

หลังจากที่สตีฟโรเจอส์วิ่งไปได้สองสามก้าว ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงแรงลมที่มาจากด้านข้างกระแทกเข้ากับโล่ของเขาอย่างรุนแรงโดยไม่ได้ตั้งตัว

“ตูม!”

ร่างของสตีฟโรเจอส์ไถลกระแทกกับพื้นเป็นเวลานานก่อนที่จะหยุดลง พร้อมกับแขนของเขาที่ชาไปหมด

“วิส!”

ฮอว์กอายรีบง้างคันธนูของเขาพร้อมกับกดเปิดฟังก์ชั่นของลูกธนู และยิงออกไปทางเอลเลียตแรนดอล์ฟอย่างรวดเร็ว และเมื่อเอลเลียตแรนดอล์ฟเห็นแบบนั้นเขาก็เอามีดฟันลงไปที่ลูกธนูดอกนั้นทันที ทําให้ลูกธนูเกิดระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง แต่มันก็ไม่ได้ทําให้เอลเลียตแรนดอล์ฟบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย

แข็งแกร่ง…แข็งแกร่งเกินไป!

ในขณะเดียวกันทางด้านของไอรอนแมนในตอนนี้ก็กําลังนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว

สตีฟโรเจอส์พยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืนขึ้นมาด้วยความยากลําบากพร้อมกับหยิบโล่ของเขาขึ้นมาถือไว้ในขณะเดียวกันเขาก็สังเกตเห็นว่าฮอว์กอายยิงธนูใส่เอลเลียตแรนดอล์ฟจนเกิดระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง แต่มันก็ไม่ได้ทําให้เอลเลียตแรนดอล์ฟบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ทันใดนั้นสตีฟโรเจอส์ก็ปาโล่ของเขาออกไปโจมตีแอลเลียตแรนดอล์ฟอย่างแม่นยํา ทําให้ร่างกายของเอลเลียตแรนดอล์ฟสั่นขึ้นมาเล็กน้อย และสตีฟโรเจอร์ก็จับไปที่โล่ที่กระเด็นกลับมาพร้อมกับวิ่งเข้าไปต่อสู้กับเอลเลียตแลนดอล์ฟอย่างรวดเร็ว

“ปัง!” “ปัก!”

เสียงของการปะทะกันดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

ในขณะเดียวกันนาตาชาก็รีบวิ่งไปดูอาการของโทนี่อย่างรวดเร็ว และเมื่อเธอลองตรวจสอบดู เธอก็พบว่าสถานการณ์ของโทนี่ก็ดูไม่ค่อยดีนัก เพราะว่าด้านหลังของชุดเกราะโทนี่มีรอยแตกขนาดใหญ่ของการโดนฟัน ซึ่งภายในร่างกายของเขาก็ไม่ได้มีบาดแผลอะไร แต่เขาก็แค่เป็นลมหมดสติไปก็แค่นั้น

“ฉันคิดว่าชุดเกราะตัวนี้น่าจะพังไปแล้วอย่างแน่นอน!” นาตาชาขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยและค่อย ๆ ถอดหน้ากากของโทนี่ออกมาพร้อมกับพยายามปลุกเขาให้ตื่น

“ตูม!”

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นพร้อมกับร่างของสตีฟโรเจอส์ที่กระเด็นไปกระแทกเข้ากับกําแพงที่อยู่ข้าง ๆ ของนาตาชาและร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเล็กน้อย และในขณะที่นาตาชากําลังจะพูดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นเธอก็สังเกตเห็นว่ากําลังมีใครบางคนกําลังกระเด็นผ่านหน้าของเธอไปอย่างรวดเร็ว

ฮอว์กอาย!

“ให้ตายสิ ทําไมผู้ชายคนนี้ถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้!” ฮอว์กอายพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มอันบิดเบี้ยว นอกจากนี้เวลาฉันเผชิญหน้ากับเขา ฉันจะมีความรู้สึกกลัวขึ้นมาลึก ๆ อยู่ในจิตใจ ทําให้มือของฉันมันสั่นไปหมด…”

“ซู่เจิน! คุณยังไม่ลงมืออีกงั้นหรอ?”

สถานการณ์ของสตีฟโรเจอส์ในตอนนี้ก็ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เพราะว่าพวกเขาทุกคนได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้เมื่อกี้นี้เป็นอย่างมาก ทําให้พวกเขาเริ่มไม่มีความหวังที่จะสามารถชนะศึกในครั้งนี้ได้เลย บวกกับการที่เขาเห็นว่าซู่เจินกําลังยืนยิ้มอยู่ด้วยท่าทางพึงพอใจ มันก็ทําให้สตีฟโรเจอส์ถึงกับทําอะไรไม่ถูก

เมื่อซู่เจินได้ยินเสียงตะโกน เขาก็รีบหันหน้าไปทางนั้นและพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องห่วง รอไปก่อน!”

“คุณจะต้องรออะไรอีก ? คุณไม่เห็นหรอว่าพวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลยแม้แต่น้อย” ฮอว์กอายตะโกนขึ้นมาอย่างหดหู่

“พวกคุณมันอ่อนแอกันเอง ดังนั้นพวกคุณก็เลยไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขายังไงล่ะ” แน่นอนว่าซู่เจินอยากพูดขึ้นมาแบบนี้ แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความคิดชั่ววูบของเขาเท่านั้น ไม่ต้องกังวลเดี๋ยวอีกไม่นานเขาก็มาถึงแล้ว ไม่สิ .. เขามาถึงแล้ว!”

เมื่อซู่เจินพูดจบ ทันใดนั้นก็มีเสาแสงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาพร้อมกับร่างของธอร์ที่ค่อย ๆ เดินออกมาจากเสาแสงอันนั้นด้วยผ้าคลุมสีแดงที่โบกสบัดไปมาพร้อมกับค้อนในมือของเขา

“ผู้ชายคนนี้…”

ทันใดนั้นเมื่อพวกเขาเห็นว่าธอร์ปรากฏตัวขึ้นมา สตีฟโรเจอส์และฮอว์กอายก็เข้าใจได้ในทันทีเลยว่าที่ซู่เจินบอกให้รอมันหมายถึงอะไร

ในเมื่อธอร์เป็นเจ้าชายของแอสการ์ด ดังนั้นเขาก็น่าจะแข็งแกร่งมากกว่าเอลเลียตแรนดอล์ฟใช่ไหม ? แล้วเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องภายในของแอสการ์ดใช่ไหม ? งั้นพวกเราก็พักได้แล้วสินะ เพราะถึงช่วยไปก็ทําอะไรไม่ได้อยู่ดี

เมื่อทุกคนเห็นว่าธอร์ปรากฏตัวขึ้น พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจและผ่อนคลายลงทันที

“ซู่เจินทําไมตอนที่เจ้าจากไปถึงไม่มาบอกลาข้าก่อนสักคํา!”

หลังจากที่ธอร์ปรากฏตัวขึ้นเขาก็ยังไม่ได้ลงมือทําอะไร แต่เขากับหันไปบ่นกับซูเงินแทน

ซู่เจินยักไหล่เล็กน้อยและพูดว่า “ผมฝากให้ซิฟไปบอกกับคุณแทนผมแล้วไม่ใช่หรอ?”

“แถมข้ายังจัดเตรียมงานเลี้ยงไว้ให้กับเจ้าอีกด้วย แต่ในเมื่องานมันไม่มีเจ้า งานเลี้ยงมันก็น่าเบื่อลงทันที” ธอร์บ่นขึ้นมาเบา ๆ

“จริงเหรอ ? แล้วงานเลี้ยงจัดกี่วันล่ะ ?” ซู่เจินถามขึ้นมาด้วยความสนใจเล็กน้อย

“เอ่อ … เจ็ดวัน!” ธอร์พูดขึ้นมา

“เจ็ดวัน! นี่คุณยังบอกว่ามันน่าเบื่ออยู่อีกงั้นหรอน” ซู่เจินกลอกตาไปที่ธอร์อย่างโกรธเคือง ส่วนธอร์ก็ยิ้มขึ้นมาอย่างเจ้าเล่ห์พร้อมกับหันไปมองที่เอลเลียตแรนดอล์ฟและพูดขึ้นมา “ข้าขอสั่งเจ้าในนามของเทพเจ้าสายฟ้าธอร์ ขอให้เจ้ารีบวางอาวุธลงและกลับไปที่แอสการ์ดกับข้าเดี๋ยวนี้!”

คุณมาที่นี่เพื่อพูดประโยคขึ้นมาสองสามประโยคอย่างงั้นหรอ ? ไอ้ตายเถอะ!

เอลเลียตแรนดอล์ฟคํารามขึ้นมาอย่างรุนแรง ทันใดนั้นเขาก็เอามีดเล่มสีดําโจมตีไปทางธอร์อย่างรวดเร็ว

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะต่อต้านข้าสินะ”

ธอร์พูดขึ้นมาพร้อมกับควงค้อนของเขาอย่างรวดเร็ว และโจมตีไปที่มีดสีดํานั่นทันที

ซู่เจินในตอนนี้รู้สึกประหม่าและตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

เพราะว่านี่จะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการที่เขาจะสามารถพิสูจน์ความสามารถของมีดคู่แห่งความกลัวทั้งสองเล่มนี้ได้เป็นอย่างดี

“ตูม!”

มีดและค้อนเข้าการปะทะกันอย่างรุนแรง ทําให้ธอร์และเอลเลียตแรนดอล์ฟถึงกับกระ เดินถอยไปข้างหลัง

“เยี่ยม! มันสามารถต้านทานการโจมตีจากค้อนของธอร์ได้โดยไม่เกิดความเสียหาย เล่มนี้มันสุดยอดจริง ๆ !” ซู่เจินพยักหน้าขึ้นมาด้วยความพึงพอใจ

หลังจากนั้นธอร์ก็พุ่งเข้าไปต่อสู้กับเอลเลียตแรนดอล์ฟอย่างรวดเร็ว

มีดคู่แห่งความกลัว และ ค้อนของธอร์

สายฟ้า และ ความกลัว

พวกเขาทั้งสองคนเข้าต่อสู้กันอย่างดุเดือด ทําให้บ้านเรือนหรือตึกที่อยู่รอบ ๆ ถึงกับพังพินาศย่อยยับ

“โฮก!”

ทันใดนั้นเอลเลียตแรนดอล์ฟก็ตะโกนขึ้นมาพร้อมกับมีดเล่มสีเงินที่ค่อย ๆ ดูดกลืนพลังงานความกลัวที่กระจัดกระจายอยู่รอบ ๆ ทั่วทุกสารทิศให้หลั่งไหลเข้ามาในตัวมีด ทันใดนั้นนั้นจากใบมีดสีเงินก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดําอย่างรวดเร็ว

ความกลัว!

นี่แหละคือพลังของความกลัว

และเมื่อซู่เจินหันหน้าไปมองทางด้านของนาตาชา เขาก็เห็นว่าสตีฟโรเจอส์ , ฮอว์กอาย , นาตาชา หรือแม้แต่โทนี่ กําลังมีพลังงานบางอย่างกําลังลอยออกมาจากตัวของพวกเขา ซึ่งการแสดงออกของพวกเขาในตอนนี้ก็ดูหวาดกลัวและตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก โดยที่นาตาชาในตอนนี้กําลังนั่งหดตัวเหมือนกับลูกบอลและตัวของเธอก็สั่นเล็กน้อยพร้อมกับพึมพําอะไรของเธอออกมาเบา

ส่วนทางด้านของสตีฟโรเจอส์ก็ดูเหมือนว่าจะดีขึ้นมาหน่อยที่เขายังมีสติหลงเหลืออยู่ แต่เขาก็ประคับประคองสติของเขาได้อย่างอยากลําบากมาก

นี่คือพลังของมีดคู่แห่งความกลัว ?

มันสามารถดูดกลืนความกลัวได้อย่างง่ายดายและส่งผลกระทบต่อจิตใจได้อย่างรุนแรงจริง ๆ แล้ว มันก็ค่อนข้างจะอันตรายมาก

“ตูม!”

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังเกิดขึ้นพร้อมกับร่างของธอร์ที่กระเด็นไปกระแทกเข้ากับพื้นอย่างรุนแรงด้วยความเจ็บปวด

ส่วนค้อนของธอร์ก็กระเด็นหลุดออกจากมือของธอร์ไปหล่นอยู่ข้าง ๆ

“เอาล่ะ! ขนาดค้อนของธอร์ที่แข็งแกร่งขนาดนั้นมันก็ยังไม่สามารถต้านทานพลังของมีดคู่แห่งความกลัวทั้งสองเล่มนั้นได้!” เมื่อเห็นท่าทางของธอร์ ซู่เจินก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก

ตอนที่ 104 มีดคู่แห่งความกลัว

ในขณะที่กัปตันอเมริกาและซ่เงินกําลังจะเดินขึ้นไปบนยานบิน แต่ทันใดนั้นซูเจินก็โบกมือของเขาขึ้นมาเบาๆทําให้มีกลุ่มก้อนพลังงานปรากฏขึ้นมาห่อหุ้มร่างกายของเขาและกัปตันอเมริกาเอาไว้ ซึ่งกัปตันอเมริกาก็รู้สึกว่าร่างกายของเขากําลังค่อย ๆ ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว

“คุณรู้งั้นหรอว่าเขาอยู่ที่ไหน ?” กัปตันอเมริการู้สึกว่าแม้ว่าซูเงินจะพาเขาบินไปด้วยค วามเร็วสูงแบบนี้แต่มันก็ไม่ได้ทําให้เขารู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย ทําให้เขาอดรู้ ศึกมหัศจรรย์ขึ้นมาไม่ได้จริง ๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าของเขา

“ใช่ผมรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน แต่ … เรื่องก่อนหน้านี้ผมก็ไม่รู้อะไรเลยเช่นกัน ดังนั้นคุณช่วยอธิบายสถานการณ์คร่าว ๆ ให้ผมฟังหน่อยได้ไหม! ”

กัปตันอเมริกาพยักหน้าเบา ๆ และค่อย ๆ อธิบายขึ้นมาว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง เรื่องนี้มันควรเริ่มตั้งแต่ตอนที่นาตาชาไปทําภารกิจตามหาไม้เท้าเบอร์เซิร์กเกอร์ ซึ่งภารกิจในครั้งนั้นก็ล้มเหลวและไม้เท้าอันนั้นก็ตกอยู่ในมือของซูเงิน และหลังจากที่นาตาชากลับไปที่ฐานเธอก็รายงานภารกิจไปตามเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ แม้ว่านิคฟิวรี่จะรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถแย่งมันคืนมาจากมือของซูเงินได้ง่าย ๆ แต่ในเมื่อมีไม้เท้าเบอร์เซิร์กเกอร์ของชาวแอสการ์ดอยู่บนโลก แน่นอนว่ามันจะต้องมีชาวแอสการ์ดอยู่บนโลกอย่างแน่นอน และไม่ว่าจะเป็นเหตุผลอะไร SHIELD จะต้องตามหาตัวของเขาให้เจออย่างแน่นอน

ซึ่งพวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเอลเลียต แรนดอล์ฟ เป็นใครและเขาอยู่ที่ไหน

ทําให้พวกเขาจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการตามหาเบาะแสของเอลเลียต แรนดอล์ฟซึ่งพวกเขาก็ล้มเหลวไปมากมายหลายครั้งเช่นกัน กว่าจะตามหาตัวของเขาเจอหลังจากนั้นนิคฟิวรี่ก็ส่งกัปตันอเมริกาฮอว์กอายและแบล็ควิโดว์ ไปตามหาตัวของเอลเลียตแรนดอล์ฟจนพบซึ่งในขณะที่พวกเขาสามารถหาตัวของแรนดอล์ฟจนพบแรนดอล์ฟก็เพิ่งสร้างมีดแห่งความกลัวขึ้นมาคู่หนึ่งบวกกับการปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของพวกเขาทําให้ แรนดอล์ฟถึงกับตื่นตระหนกและรีบหยิบมีดคู่ที่เพิ่งสร้างเสร็จขึ้นมาป้องกันตัวโดยไม่รู้ตัวแน่นอนว่า มีดคู่ทั้งสองเล่มมันคนละระดับกับไม้เท้าเบอร์เซิร์กเกอร์อย่างสิ้นเชิง ทําให้แรนดอล์ฟไม่สามารถควบคุมมันได้และโดนครอบงําด้วยพลังแห่งความกลัวทันที

ซึ่งผลที่ตามมาก็คือแบล็ควิโดว์จะต้องไปขอความช่วยเหลือจากอีกคนหนึ่ง ฮอว์กอายคอยอพยพผู้คนภายในเมือง ส่วนกัปตันอเมริกาก็เดินทางมาขอความช่วยเหลือจากซูเงิน

“ใครเป็นคนบอกให้คุณมาขอความช่วยเหลือจากผมงั้นหรอ ?” ขู่เจินพูดขึ้นมาอย่างสบาย ๆ

วามช่วยเหลือจากผม เพราะถึงยังไง.ผู้หญิงก็สามารถเข้าใจผู้ชายได้มากกว่าผู้ชายด้วยกันเองไม่ใช่รึไง ?”

“นาตาชาเป็นคนบอกให้ฉันมาขอความช่วยเหลือจากคุณ เพราะเธอบอกว่าถ้าคุณรู้ถึงสถานการณ์

“ต้องมาช่วยอย่างแน่นอน!” กัปตันอเม

บางทีที่นาตาชาไม่มาหาเขาด้วยตัวเองอาจจะเป็นเพราะว่าตอนนี้เขากําลังอยู่กับสกายเธอก็เลยส่งกัปตันอเมริกามาแทน

“กัปตันอเมริกา! แล้วคุณรู้ไหมว่านาตาชาไปขอความช่วยเหลือจากใคร ? “ ซูเงินหันไปถามกัปตันอเมริกา

ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอไปขอความช่วยเหลื

” ต่อไปนี้คุณเรียกฉันว่า สตีฟ จะดีกว่า ซึ่ง อจากใคร! ”

“โอเค”

หลังจากที่พวกเขาคุยกันได้ไม่นาน พวกเขาก็บินมาถึงเมือง เซบียา ที่เอลเลียต แรนดอล์ฟ อาศัยอยู่อย่างรวดเร็ว!

ซึ่งก่อนที่ซ่เงินจะบินเข้าไปในเมือง เขาก็สังเกตเห็นถึงความวุ่นวายที่อยู่ด้านล่าง และแม้กระทั่งกองทัพก็ยังถูกส่งเข้าไปในเมือง พร้อมกับคอยช่วยเหลือและอพยพประชาชนออกมาให้ได้ มากที่สุดในขณะเดียวกันซูเงินก็รู้สึกได้ถึงพลังแห่งความกลัวที่ลอยเคว้งคว้างอยู่ในชั้นบรรยากาศเต็มไปหมด…

เมืองทั้งเมืองในตอนนี้กําลังเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความกลัว!

“ไม่เลว” ซูเจนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

“ไม่เลว?”

สตีฟ โรเจอร์ จ้องมองไปที่ซูเงินด้วยความสับสน เขากําลังจะบอกว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันยังเลวร้ายไม่พอ?

ซูเงินส่ายหัวของเขาเบา ๆ โดยที่ไม่ได้อธิบายอะไรออกมา แน่นอนว่าซูเงินจะรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นกว่านี้ถ้าเกิดว่าแรนดอล์ฟสามารถแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ แบบนี้ เพราะถ้ายิ่งแรนดอล์ฟแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไหร่ พลังของมีดแห่งความกลัวมันก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมากเท่านั้นเพราะสุดท้ายแล้วมีดคู่แห่งความกลัวมันก็จะต้องเป็นของเขาอยู่ดี! แต่สําหรับตอนนี้มันอยู่ในมือของแรนดอล์ฟซึ่งก็ดูเหมือนว่ามันจะยากที่จะรับมือกับเขาเล็กน้อย ? แต่ถึงอย่างนั้นซูเงินก็ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย!

เพราะว่าความกลัวมันไม่มีผลกับเขา!

ซูเงินและสตีฟโรเจอร์ ค่อย ๆ ร่อนตัวลงกับพื้นอย่างช้า ๆ และทันทีที่พวกเขาลงถึงพื้นก็มีคนกระโดดลงมาตรงหน้าของพวกเขาทันที

ชุดออกรบสีดําประจําตัว ที่ด้านหลังของเขามีกระบอกลูกธนูสะพายอยู่ พร้อมกับในมือของเขาที่มีคันธนูและลูกธนูถืออยู่

ฮอว์กอาย!

“ในที่สุดพวกคุณก็มาถึง ตอนนี้ประชาชนภายในเมืองถูกอพยพออกไปเกือบหมดแล้ว ซึ่งผู้ชายคนนั้นก็เริ่มแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทําให้ฉันเริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย” ฮอว์กอายพูดขี้นมาเบา ๆ พร้อมกับพยักหน้าไปทางซูเงินเพื่อทักทาย

“คุณมองเห็นอนาคตไหม?”

สตีฟโรเจอร์หันไปถามกับซูเงิน

ซูเงินไม่ได้พูดตอบอะไรออกมา ทันใดนั้นเขาก็เห็นว่ามีเครื่องบินลําหนึ่งขับมาลงจอดจากพวกเขาไม่ไกลนัก พร้อมกับนาตาชาที่ค่อย ๆ เดินลงมาจากเครื่องบินอย่างช้า ๆ และหันไปยิ้มให้กับซูเงินเล็กน้อย หลังจากนั้นเธอก็พูดขึ้นมาว่า “ฉันโทรไปขอความช่วยเหลือจากโทนี่แล้วเขาน่าจะ มาถึงที่นี่ในเร็วๆนี้”

“คุณไปหาโทนี่มางั้นหรอ ?” ซูเงินถามขึ้นมาด้วยน้ําเสียงอันแผวเบา

นาตาชาส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ใช่! ฉันเพิ่งโทรหาเขาเมื่อกี้นี้เอง คุณรู้ไหม … เจ้าสิ่งนี้มันทําให้ฉันรู้สึกแย่มากฉันจะต้องอยู่ห่าง ๆ มันจะดีกว่า! “

ซูเจินพยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ เพราะว่าผลกระทบที่นาตาชาได้รับจากไม้เท้าเบอร์เซิร์กเกอร์ในครั้งนั้นมันยังไม่ได้หายไปโดยสมบูรณ์ บวกกับการที่มีดคู่แห่งความกลัวมันสามารถปลดปล่อยพลังของมันออกมาเพื่อดูดซับความกลัวที่อยู่ในชั้นบรรยากาศรอบ ๆ ได้โดยที่ไม่ต้องสัมผัส ดังนั้นมันจึงไม่แปลกเลยที่นาตาชาจะรู้สึกอึดอัด

“ซูเงินคุณมั่นใจใช่ไหมว่าจะจัดการกับเขาได้ ?” นาตาชาถามขึ้นมา

ซูเงินยิ้มและพูดขึ้นมาว่า “ตั้งแต่ที่พวกคุณเชิญผมมา ผมก็ต้องมั่นใจอยู่แล้วว่าจะจัดการกับเขาได้ ไม่งั้นผมก็คงรู้สึกอายแย่ แต่บางทีผมอาจจะไม่ต้องลงมือเองก็ได้ เพราะดูเหมือนว่า … จะมีใครบางคนที่มีความมั่นใจมากกว่าผมอีกใช่ไหม?”

“ใคร?”

”เขาไง!”

ซูเงินยกนิ้วของเขาชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า ทันใดนั้นมันก็มีอะไรบางอย่างกําลังบินมาทางพวกเขาอย่างรวดเร็ว

ไอรอนแมน , โทนี่ สตาร์ค!

เขาบินผ่านซูเงินและคนอื่น ๆ ไปอย่างรวดเร็ว เพื่อมุ่งหน้าไปหาเอลเลียต แรนดอล์ฟ ทันที

“ฉันขอล่วงหน้าไปดูก่อนว่าชายคนนี้จะมีความสามารถมากแค่ไหน”

“โทนี่คุณควรกลับมาหาพวกเราก่อน เพื่อที่จะได้เตรียมแผน … “ สตีฟโรเจอร์สรีบตะโกนขึ้นมาทันทีเมื่อเขาเห็นว่าโทนี่กําลังทําตามอําเภอใจ

ซึ่งก็น่าเสียดายที่โทนี่ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับมันเลยแม้แต่น้อย

“ไปกันเถอะ!”

ซูเงินโอบไปที่เอวของนาตาชา หลังจากนั้นเขาก็แบ่งกลุ่มก้อนพลังงานเป็นสองกลุ่มไปห่อหุ้มร่างกายของสตีฟโรเจอร์และฮอว์กอายเอาไว้ พร้อมกับบินขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

ที่วิลล่าของเอลเลียต แรนดอล์ฟ ในตอนนี้มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับตอนที่เจินมาในตอนแรก เพราะว่าวิลล่าสุดหรูในตอนนี้มันได้กลายเป็นซากปรักหักพัง โดยที่มีร่างของเอลเลียตแรนดอล์ฟกําลังยืนอยู่ตรงใจกลางของซากปรักหักพัง ซึ่งเสื้อผ้าของเขานั้นขาดกระจุยกระจายเป็นรูมากมายทําให้กล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งของเขาโผล่ทะลุออกมาจากเสื้อผ้าให้เห็นเล็กน้อย

โดยที่มือซ้ายของแรนดอล์ฟในตอนนี้กําลังมีดสีขาวเงินขึ้นบนฟ้า เพื่อดูดซับพลังแห่งความกลัวที่อยู่ในชั้นบรรยากาศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าจากใบมีดขาวเงินมันค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีดําทําให้มีดที่อยู่ในมือขวาของแรนดอล์ฟก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีดําด้วยเช่นกัน

เล่มหนึ่งดูดซับ เล่มหนึ่งปลดปล่อย!

“เฮ้! คุณรู้ไหมว่าตอนนี้คุณกําลังขัดขวางงานปาร์ตี้ของฉันอยู่ ดังนั้นฉันจึงจําเป็นที่จะต้องจัดการกับคุณให้เร็วที่สุด เพราะไม่อย่างนั้น … ฉันก็คงจะต้องผิดสัญญาที่ให้ไว้กับสาว ๆ อย่างแน่นอน!” ไอรอนแมนตะโกนไปทางเอลเลียต แรนดอล์ฟ พร้อมกับค่อย ๆ มีวัตถุที่คล้ายกับขีปนาวุธขนาดเล็กปรากฏขึ้นมาบนไหล่ของเขา และเขาก็โจมตีไปที่เอลเลียตแรนดอล์ฟทันที

ตูม!

เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นมาอย่างรุนแรง

ไอรอนแมนพูดติดตลกขึ้นมาเล็กน้อยว่า “นี่ มันจบแล้วงั้นหรอ ? ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้แข็งแกร่งมากมายอย่างที่ฉันคิด เอาล่ะ! ฉันจัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นฉันขอตัวกลับไปที่งานปาร์ตี้ก่อน … เอ่อ …” ในขณะที่โทนี่กําลังพูดอยู่ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้นมา!

ตอนที่ 103 กัปตันอเมริกา

“คุณรู้ใช่ไหมว่าตอนนี้สกายกําลังตามสืบเรื่องของพ่อแม่เธออยู่ ? ”

โคลสันถามซูเจนขึ้นมาทันทีหลังจากที่พวกเขาเดินเข้ามาในห้อง

ซู่เจินพยักหน้าและพูดว่า “สกายได้รับการเลี้ยงดูจากเพื่อนบ้านที่สนิทของพ่อเธอมาตั้งแต่เด็กทําให้ชีวิตในวัยเด็กของเธอมันไม่ค่อยมีความสุขสักเท่าไหร่ ดังนั้นเธอจึงพยายามที่จะสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับพ่อแม่ของเธอมาโดยตลอด และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทําให้เธอกลายเป็นแฮ็กเกอร์มาจนถึงทุกวันนี้และก็เป็นที่ปรึกษาของ SHIELD ด้วยเช่นกันไม่เช่นนั้น ”

“ไม่เช่นนั้นเธอและคุณก็คงจะไม่ได้กลายเป็นที่ปรึกษาของ SHIELD อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้!” โคลสันพูดขึ้นมา

ซูเงินพยักหน้าเบา ๆ

“วันนี้ฉันได้ไปทําภารกิจกับเมย์เพื่อตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งผลลัพธ์ของมันก็ .. ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยข้อมูลที่ฉันได้มามันน่าจะไม่เหมือนกับที่สกายสืบได้อย่างแน่นอน และถ้าเกิดว่าฉันบอกเรื่องนี้ให้กับเธอ ฉันก็กลัวว่าเธอจะรับมันไม่ได้ ดังนั้นฉันจึงอยากปรึกษากับคุณก่อนว่าจะเอาอย่างไรดี” โคลสันพูดขึ้นมา

แน่นอนว่าซูเงินรู้ว่าพ่อแม่ของสกายเป็นใคร ซึ่งสิ่งที่สกายสามารถรู้เกี่ยวกับพ่อแม่ของเธอได้นั้นมันจะมีเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ทั้งที่มันยังมีรายละเอียดอีกมากมายที่เธอยังไม่รู้ และถึงแม้ว่าซูเงินจะบอกกับสกาย สกายก็ยังไม่สามารถไปพบกับพ่อแม่ของเธอได้อยู่ดี เพราะว่าบางสิ่งบางอย่างมันอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่มันก็ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ควรเปลี่ยนแปลงมันอยู่ดี

“อย่าเพิ่งบอกเธอในตอนนี้” ซูเงินพูดขึ้นมาพร้อมกับส่ายหัวเบา ๆ

โคลสันพยักหน้าและพูดขึ้นมาว่า “ฉันเข้าใจแล้ว!”

“ตอนนี้ฐานของผมกําลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งมันจะต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 1 เดือนกว่าจะสร้างเสร็จ ดังนั้นในช่วงเวลา 1 เดือนนี้ผมจะอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราว” ขู่เจินพูดขึ้นมา

เพราะถึงอย่างไรท้ายที่สุดแล้ว ตําแหน่งที่ปรึกษาของ SHIELD ก็ไม่ค่อยจะมีเวลาว่างมากสักเท่าไหร่ .. และเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ซูเงินก็เป็นที่ปรึกษาของ SHIELD มานานมากแล้ว แต่เขาก็ไม่ค่อยได้อยู่ที่นี่มาเป็นเวลานานมากแล้วจริง ๆ …. หวังว่าในช่วงเวลา 1 เดือนที่เขาอยู่ที่นี่มันจะเป็นประสบการณ์ที่ดีสําหรับเขา

ในขณะที่ซู่เจินกําลังจะเดินออกจากห้องทํางานของโคลสัน ทันใดนั้นโทรศัพท์ของโคลสันก็ดังขึ้น ทําให้เขารีบกดรับสายพร้อมกับทําสีหน้าจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นานเขาก็วางสายและหันมาพูดกับซูเจนว่า “ฉันเพิ่งได้รับรายงานมาว่ารถที่คุมตัวของดอนนี่ถูกศาสตราจารย์ซาร์ดโจมตีและลักพาตัวของดอนนี่ไป”

“คุณต้องการให้ผมช่วยไหม ? ” ซูเงินถามขึ้นมา

โคลสันส่ายหัวและพูดว่า “ถ้าเกิดว่าคุณรู้ที่อยู่ของศาสตราจารย์ลิซาร์ด คุณก็ค่อยมาบอกฉันก็แล้วกัน …. หวังว่าตอนนี้ตอนนี้จะยังคงปลอดภัยดีอยู่ … “

“โอเค!” ซูเงินพยักหน้าเบา ๆ พร้อมกับหันหลังเดินออกจากห้องไป

เพราะถึงอย่างไรดอนนี่ก็ไม่ได้สําคัญอะไรขนาดนั้น ทําให้ SHIELD ไม่ค่อยที่จะสนใจเกี่ยวกับตัวของเขาสักเท่าไหร่ ดังนั้นศาสตราจารย์ลิซาร์ดจึงสามารถจัดการกับเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย

แล้วทําไมบริ้งค์ถึงไม่โทรมารายงานให้เขารู้ ?

หลังจากนั้นไม่นานเสียงโทรศัพท์ของซู่เจินก็ดังขึ้น

“เป็นไงบ้าง” ซูเงินรับโทรศัพท์

“บอส! ตอนนี้ภารกิจเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ผู้ชายคนนี้ … เกือบที่จะทําให้ศาสตราจารย์ซาร์ดต้องบาดเจ็บสาหัส ซึ่งตอนนี้พวกเราสามารถควบคุมเขาเอาไว้ได้แล้ว แต่ … ฉันคิดว่าเขาอาจจะอาละวาดขึ้นมาอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้!” บริ้งค์พูดขึ้นมาด้วยน้ําเสียงที่ดูตื่นเต้นเล็กน้อย

สําหรับแมโรและบริ้งค์ ศาสตราจารย์ลิซาร์ดก็คือคนที่พวกเธอเกลียดมากที่สุด ดังนั้นเมื่อพวกเธอเห็นว่าศาสตราจารย์ลิซาร์ดได้รับบาดเจ็บพวกเธอจึงมีความสุข

“คุณสามารถบอกกับเขาได้ว่าผมเป็นใคร และคุณก็บอกกับเขาด้วยว่าถ้าไม่อยากติดคุกตลอดชีวิตก็ให้เขาอยู่ที่นั่นเงียบ ๆ และรอจนกว่าผมจะกลับไป!”

“ค่ะ!”

ด้วยคําแนะนําของซู่เจิน มันจึงเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาในทันทีในการที่เธอจะจัดการกับดอนนี่

บลิซซาร์ด ดอนนี้ ในตอนนี้ยังมีความสามารถอยู่เพียงแค่เล็กน้อย แต่เขาก็ยังสามารถ ทําให้ศาสตราจารย์ลิซาร์ดบาดเจ็บได้ ถ้าเกิดว่าซูเงินฝึกฝนเขาให้ดี ไม่แน่ว่าในอนาคตเขาอาจจะเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก ๆ อย่างแน่นอน!

“โคลสันเรียกตัวของคุณไปคุยเรื่องอะไรงั้นหรอ?” สกายเดินมาหาซูเงินทันที หลังจากที่เธอเห็นว่าซูเงินกลับมาที่ห้องแล้ว

“ไม่มีอะไรหรอก ผมก็แค่กําลังมองหาใครสักคนที่จะช่วยผมสร้างฐานให้มันเสร็จเร็วขึ้นมากกว่านี้ ซึ่งตอนนี้มันก็น่าจะสร้างเสร็จภายในระยะเวลา 1 เดือน ดังนั้นในช่วงเวลา 1 เดือนนี้ผมจะอยู่กับคุณที่นี้” ซูเงินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“จริงเหรอ ? เยี่ยมไปเลย!” สกายพูดขึ้นมาอย่างมีความสุข

“แล้วคุณคิดถึงผมไหม ?” ซูเงินคว้าไปที่เอวของสกายและดึงตัวของเธอให้มานั่งบนตักของเขาพร้อมกับโอบกอดเธอเอาไว้และถามเธอขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

สกายพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “คิดถึงสิ”

“แล้ว … คืนนี้คุณจะมาที่ห้องของผมใช่ไหม ?” ซูเงินพูดกระซิบไปที่หูของสกายเบา ๆ … แน่นอนว่าสกายจะไม่เข้าใจความหมายที่ซู่เจินต้องการจะสื่อได้อย่างไร เธอพยักหน้าขึ้นมาเบาๆ ด้วยความเขินอายเล็กน้อย

และเวลาที่ผ่านมาถึงช่วงกลางคืนอย่างรวดเร็ว

แน่นอนว่าสกายไม่ได้มาที่ห้องของซูเงินในทันที แต่เธอรอจนกว่าคนอื่น ๆ จะหลับกันหมดแล้วและเธอก็ค่อย ๆ เดินมาที่ห้องของซูเงินอย่างเงียบ ๆ หลังจากนั้นไม่นานเสียงแห่งความสุ ขก็ดังออกมาจากห้องของซูเจินเบา ๆ

ถึงแม้ว่าห้องนอนของซูเงินจะสามารถเก็บเสียงได้เป็นอย่างดี แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่สามารถปิดกั้นเสียงแห่งความร้อนแรงและความรักที่ดังออกมาจากในห้องได้จนหมด

“คุณนอนกับผมอยู่ที่นี่ไม่ดีกว่าหรอ ? เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็รู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเราดีอยู่แล้ว” หลังจากศึกอันร้อนแรงจบลงระหว่างพวกเขาจบลง ซูเงินก็ถามสกายขึ้นมาเบา ๆ ในขณะที่สกายกับสวมใส่เสื้อผ้าของเธออย่างช้า ๆ

สกายส่ายหัวเบา ๆ และพูดขึ้นมาด้วยความเขินอายเล็กน้อยว่า “ฉันกลับไปนอนที่ห้องของ ฉันดีกว่า เพราะว่ามันค่อนข้างที่จะน่าอายเล็กน้อยถ้าเกิดว่าฉันนอนกับคุณ”

“โอเค”

ซูเงินพูดขึ้นมาด้วยความรู้สึกไม่เต็มใจเล็กน้อย

หลังจากที่สกายจากไป ซูเงินในตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยรู้สึกง่วงสักเท่าไหร่ ทําให้เขานั่งดูดกลืนอนุภาคอีเทอร์ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเขารู้สึกง่วง เขาจึงหยุดดูดกลืนและเข้านอนทันที

หลังจากตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น ซูเงินก็เดินไปกินข้าวที่ห้องอาหารพร้อมกับทุกคน หลังจากนั้นเขาก็เดินไปดูสกายและเมย์ที่กําลังฝึกทักษะการต่อสู้ระยะประชิดกันอยู่

ซึ่งทักษะการต่อสู้ระยะประชิดของสกายก็สามารถพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็วมาก ตอนแรกเธอมีแค่ทักษะในการแฮ็กเกอร์เท่านั้น แต่ตอนนี้เธอสามารถต่อสู้ระยะประชิดได้เรียบร้อยแล้ว

“คุณอยากลองต่อสู้กับฉันดูไหม ?”

เมย์ตะโกนไปทางซูเงิน

ซูเจินพยักหน้าเห็นด้วยทันที แต่ทันใดนั้นเขาก็มีความรู้สึกว่าโควสันกําลังจะมาที่นี่

“ฉันเกรงว่าคุณจะต้องหยุดเรื่องนี้เอาไว้ก่อน เพราะว่าตอนนี้กําลังมีใครบางคนกําลังมองหาตัวของคุณอยู่!” โคลสันพูดขึ้นมา

“ผมรู้สึกเหมือนว่าผมกําลังเป็นนักโทษอยู่เลยในตอนนี้” ซูเงินบ่นขึ้นมากับโคลสันเล็กน้อยจากนั้นเขาก็หันไปพูดกับเมย์ว่า “งั้นผมขอตัวไปดูก่อนว่าเขาเป็นใคร … ส่วนเรื่องการประลองของ เรา เอาไว้โอกาสหน้าก็แล้วกัน”

“กัปตันอเมริกา?”

หลังจากที่ซูเงินและโคลสันเดินออกมาได้ไม่นาน เขาก็เห็นว่าคนที่กําลังตามหาตัวของเขาอยู่คือกัปตันอเมริกา

สิ่งนี้ทําให้ซูเงินรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก

การที่กัปตันอเมริกามาหาเขาแบบนี้มันน่าจะมีเรื่องอะไรเกิดอย่างแน่นอนใช่ไหม ? แต่ตอนนี้มันก็ไม่น่าจะใช่ … เนื้อเรื่องในช่วงของ Captain America 2 ไม่ใช่หรอ ? แถมเขายังไม่ได้มากับคนของ SHIELD อีกด้วย

“ตอนนี้เรากําลังมีปัญหา ฉันเกรงว่า … จะต้องขอความช่วยเหลือจากคุณ”

“โอ้?”

เมื่อซู่เงินเห็นสีหน้าที่จริงจังของกัปตันอเมริกา เขาก็คิดว่านี้มันไม่น่าจะใช่เรื่องเล็ก ๆ อย่างแน่นอน แต่มันคือเรื่องอะไรถึงกับทําให้กัปตันอเมริกาเดินทางมาหาเขาด้วยตัวเอง ? หรือว่าเรื่องนี้มันจะเกี่ยวกับข้องกับเขาด้วยงั้นหรอ ?

“เดี๋ยวเราค่อยคุยกันระหว่างทาง”

“ไม่จําเป็น ตอนนี้ผมรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ไปกันเถอะ!”

ซูเงินใช้ความสามารถในการทํานายอนาคตของเขา และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น รวมถึงเหตุผลที่ว่าทําไมกัปตันอเมริกาถึงได้มาหาเขา

เพราะว่าตอนนี้กําลังมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับ เอลเลียต แรนดอล์ฟ!

ซึ่งภาพที่ซู่เจินมองเห็นก็คือแรนดอล์ฟกําลังถือมีดคู่อยู่ในมือของเขา ซึ่งมีดคู่อันนี้มันถูกสร้างขึ้นมาจากคริสตัลแห่งความกลัวทําให้พลังของมันแข็งแกร่งมากจนไม่มีใครสามารถหยุดยั้งมันได้

เห็นได้ชัดเลยว่าแรนดอล์ฟประสบความสําเร็จในการเปลี่ยนไม้เท้าเบอร์เซิร์กเกอร์ให้กลายเป็นมีดคู่ทั้งสองเล่มนี้ ซึ่งสิ่งที่ซ่เงินเป็นกังวลมากในตอนนี้ก็คือแรนดอล์ฟจะถูกพลังแห่งความกลัวครอบงําจิตใจของเขา!

ตอนที่ 102 บลิซซาร์ด ดอนนี่

ในขณะที่คนของ SHIELD กําลังมองหาไปบริเวณรอบ ๆ ของวิทยาลัยเอจิส ส่วนทางด้านของเซธและดอนนี่ในตอนนี้พวกเขากําลังซ่อนตัวอยู่ในรถกระบะทางตอนเหนือเหนือของวิทยาลัยเอจิส ซึ่งถือว่าเป็นเมืองกึ่งรกร้าง เพราะว่าที่นี่แทบจะไม่มีคนมาอาศัยอยู่

โดยที่ด้านหลังของรถกระบะมีเจ้าอุปกรณ์ตัวนั้นกําลังวางอยู่ และไม่ต้องพูดถึงเจ้าอุปกรณ์ขนาดใหญ่อันนี้ มันไม่ได้มีความสามารถแค่เปลี่ยนบริเวณรอบ ๆ เป็นน้ําแข็งได้เพียงเท่านั้น แต่มันยัง …. สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศได้อีกด้วย

ซึ่งตอนนี้ในตอนนี้กําลังนั่งอยู่ข้าง ๆ กับอุปกรณ์ตัวนั้นด้วยความประหม่าเล็กน้อย

ส่วนเซธก็กําลังติดต่อนักลงทุนของเขา ซึ่งนักลงทุนของเขาก็คือ เอียนควินน์ คนที่เคยจับตัวของดร.ฮอลล์มาเพื่อศึกษาเกี่ยวกับอนุภาคแรงโน้มถ่วง และเนื่องจากที่เหตุการณ์ต่าง ๆ ถูกเปิดเผยขึ้นมาแล้ว ทําให้เซธจึงรีบโทรหาเอียนควินน์เพื่อที่จะให้เขาส่งเฮลิคอบเตอร์มารับพวกเขาในขณะที่คนของ SHIELD ก็กําลังตามล่าตัวของพวกเขาอยู่ ซึ่งคําขอของเอียนควินน์มันก็ง่ายมากเพราะตราบใดที่อุปกรณ์ของดอนนี่และเซธสามารถพิสูจน์ได้แล้วว่ามันมีประโยชน์จริง ๆ เขาจะ ส่งคนมารับตัวของเซธและดอนนี่ทันที!

แน่นอนว่าเรื่องที่เขียนควินน์พูดขึ้นมาล้วนเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น เพราะว่าหลังจากที่เขาวางสายจากเซธเรียบร้อยแล้ว เขาก็สั่งให้กัปตันหันเครื่องบินกลับทันที

เซธรีบหันไปบอกกับดอนนี่ให้เปิดเครื่องของอุปกรณ์ตัวนั้น ซึ่งตอนนี้ก็รู้สึกลังเลเล็กน้อยเพราะว่าเขาก็ยังไม่เคยทดสอบเหมือนกันว่ามันจะเกิดอันตรายอะไรขึ้นบ้าง แต่ภายใต้การยุยงและข่มขูของเซธ ดอนนี้จึงทําได้เพียงตกลงทําตามและเปิดเครื่องขึ้นมาเท่านั้น

หลังจากนั้นไม่นานเครื่องมันก็เริ่มทํางานอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้นสภาพอากาศบริเวณรอบ ๆ ก็ถูกปกคลุมไปด้วยความอึมครึมพร้อมกับมีเมฆสีดําที่ค่อย ๆ ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า และอากาศรอบ ๆ ก็เริ่มเย็นลงพร้อมกับมีน้ําแข็งขนาดใหญ่ตกลงมากระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง

เซธและตอนนี้รีบเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในรถด้วยความหวาดกลัว ในขณะเดียวกันก็มีลูกเห็บขนาดใหญ่ตกลงมากระแทกเข้ากับกระจกหน้ารถอย่างรุนแรง ซึ่งสภาพของด้านนอกในตอนนี้ก็ดูเหมือนกับฉากในวันสิ้นโลกยังไงอย่างงั้น

“ไม่! เราจะต้องรีบปิดเครื่องมันเดี๋ยวนี้!” ดอนนี่พูดขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจัง

“เจ้าบ้า! นายอย่าลืมนะว่าเขียนควินน์บอกกับพวกเราไว้ว่ายังไง เขาจะไม่จ่ายเงินให้กับพวกเราจนกว่าเขาจะเห็นผลลัพธ์ของมัน และส่งคนมารับพวกเราไป!” เซธตะโกนขึ้นมาดังลั่น

“แล้วถ้าเกิดว่าพวกเราตายที่นี่ เงินมันจะไปมีประโยชน์อะไร” ดอนนี่พูดสวนขึ้นมาทันที

เซธนั่งอยู่เงียบ ๆ โดยที่ไม่ได้ตอบดอนนี่ออกมา พร้อมกับค่อย ๆ มองไปยังภาพที่แสนน่ากลัวที่อยู่ด้านนอก ไม่ว่าจะเป็นพายุเฮอริเคน ก้อนน้ําแข็งที่ตกลงมาอยู่ตลอดเวลา … ในที่สุดเขาก็พยักหน้าเห็นด้วย

ถึงแม้ว่าเงินจะสําคัญ แต่ชีวิตของพวกเขาก็สําคัญยิ่งกว่า เพราะถ้าเกิดว่าคุณมีเงินแล้วไม่สามารถใช้พวกมันได้ แล้วคุณจะมีมันไปทําไมจริงไหม ?

พวกเขาทั้งสองคนรีบวิ่งออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็วเพื่อปิดเครื่องเจ้าอุปกรณ์ตัวนั้น แต่ด้วยสภาพแวดล้อมแบบนี้ทําให้พวกเขาสามารถปิดเครื่องมันได้อย่างยากลําบาก และในขณะที่พวกเขาก็กําลังจะเปิดเครื่องกันสําเร็จ จู่ ๆ ก็มีฟ้าผ่าลงมาที่ตัวของอุปกรณ์อย่างรวดเร็ว

ตูม!

เซธถูกฟ้าผ่าอย่างรุนแรงทําให้ตัวของเขากระเด็นออกจากรถและตกลงสู่พื้นอย่างรวดเร็วส่วนทางด้านของดอนนี่ก็โดนฟ้าผ่าลงที่มือของเขาจนได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังโชคดีที่กระเด็นไปติดกับด้านข้างของตัวรถ

เมื่อมองไปยังอุปกรณ์ที่ถูกฟ้าผ่าจนพังย่อยยับ ดอนนี่ก็รีบกระโดดลงจากรถเพื่อไปดูอาการของเซธอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ว่าเขาจะตะโกนเรียกเซธมากเท่าไหร่ เซธก็ไม่ตอบสนองเลยแม้แต่น้อย

ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้น

ทําให้เขาหันไปมองโดยไม่รู้ตัว และเมื่อเขาเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามันก็ทําให้เขารู้สึกตกใจทันที

เพราะว่ามันกําลังมีคนที่ค่อย ๆ ลอยลงมาจากบนท้องฟ้า โดยที่แขนทั้งสองข้างของคน ๆ นั้นกําลังมีพายุทอร์นาโดขนาดเล็กกําลังหมุนอยู่รอบ ๆ แขนของเขาอย่างรวดเร็ว ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ทําร้ายร่างกายของเขาเลยแม้แต่น้อย

“เป็นคุณนั่นเอง!” ดอนนี่จําได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในตัวแทนของ SHIELD ที่เขาได้เจอก่อนหน้านี้ที่ห้องประชุมไม่ใช่หรอ ?

“ได้โปรดช่วยเขาด้วย! เขาได้รับบาดเจ็บ” ดอนนี่รีบตะโกนขึ้นมาด้วยความร้อนรน

คนที่ดอนนี่เห็นก็คือ ซูเงิน

และเมื่อซู่เจินเห็นฉากตรงหน้า บวกกับมือที่บาดเจ็บของดอนนี่ เขาก็ยิ้มขึ้นมาทันที

มันจบแล้ว!

ซูเงินโบกมือของเขาเบา ๆ ทันใดนั้นก็มีกลุ่มก้อนพลังงานสองกลุ่มค่อย ๆ ไปห่อหุ้มร่างกายของดอนนี่และเซธเอาไว้ พร้อมกับร่างกายของพวกเขาที่ค่อย ๆ ลอยขึ้น หลังจากนั้นขู่เจินก็พาพวกเขาบินกลับไปที่ยานบินของ SHIELD ทันที

ทันทีที่ซู่เจินเข้าไปด้านในของยานบินพร้อมกับเซธและดอนนี้ ทุกคนก็สังเกตเห็นว่าเซธได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงและนอนไม่ได้สติอยู่ ทําให้พวกเขารีบเข้าไปช่วยเพื่อที่จะยื้อชีวิตของเซธเอาไว้อย่างรวดเร็ว

แต่ก็น่าเสียดาย …

เพราะว่าตอนนี้เขาได้ตายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!

ดอนนี่ไม่คิดว่าเซรจะมาตายแบบนี้ ทําให้เขาในตอนนี้รู้สึกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก

เมื่อมองไปยังดอนนี่ที่ตอนนี้กําลังเสียใจ ซูเงินก็กําลังคิดหาวิธีที่จะจับตัวของเขาอยู่

ซึ่งหลังจากเหตุการณ์นี้จบลงวิทยาลัยเอจิสจะไม่ปล่อยให้เขาอยู่ในวิทยาลัยต่ออย่างแน่นอนและ SHIELD ก็จะไม่ปล่อยตัวของเขาไปด้วยเช่นกัน เพราะถึงอย่างไรแล้ว เขาก็เป็นคนที่ทําให้ฟิทซ์บาดเจ็บ บวกกับความอัจฉริยะของเขาที่สามารถสร้างอุปกรณ์แบบนี้ขึ้นมาได้ทําให้ตัว ของเขาค่อนข้างจะมีระดับความอันตรายค่อนข้างสูง ดังนั้นดอนนี่จึงจะต้องถูกดูแลอย่างใกล้ชิดโดย SHIELD อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตามความอันตรายของดอนนี่มันก็ไม่ได้มาจากการที่เขาสามารถสร้างอุปกรณ์แบ บนี้ขึ้นมาได้ แต่มันเป็นเพราะความสามารถพิเศษของเขา ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทําให้เจินจงใจ เก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับ

เพราะเนื่องจากที่ฟ้าผ่าลงมาที่ตัวอุปกรณ์ในขณะที่มือของดอนนี่กําลังจับอุปกรณ์ตัวนี้อยู่ทําให้โครงสร้างภายในร่างกายของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน และทําให้เขามีความสามารถในการเปลี่ยนสสารในอากาศให้กลายเป็นน้ําแข็งได้ ซึ่ง …. ความสามารถของเขามันก็ค่อนข้างที่จะคล้ายกับ ไอซ์แมน หนึ่งในสมาชิกของ เอ็กซ์ เมน และถึงแม้ว่าความสามารถของดอนนี้จะไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับไอซ์แมน เพราะว่าเขาไม่สามารถสร้างน้ําแข็งขึ้นมาจากชั้นบรรยากาศบาง ๆ ได้เหมือนกับไอซ์แมน

แต่ถึงอย่างนั้นความสามารถนี้ของดอนนี่ก็ทรงพลังเป็นอย่างมาก

เพราะท้ายที่สุดแล้วถ้าเกิดว่าไม่มีใครสามารถชี้ทางที่ถูกต้องให้กับเขาได้ เขาก็จะกลายเป็นวายร้ายที่มีชื่อเสียงดังกระฉ่อนไปทั่วในอนาคต นามว่า บลิซซาร์ด!

แม้ว่าบลิชชาร์ด หรือ ดอนนี่ จะถูกซ่เงินจับตัวเอาไว้ … ซึ่งฟิทช์และคนอื่น ๆ ก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าดอนนี่ถูกใครบางคนหลอกใช้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็จะต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ดี โดยที่จะไม่มีใครสามารถช่วยเหลือเขาได้

“ดูเหมือนว่าฉันจะสามารถจับตัวของเขามาได้เพียงแค่ครึ่งทางเท่านั้น! อย่างไรก็ตามตัวตนของฉันในตอนนี้ก็ไม่เหมาะที่จะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่ ดังนั้นศาสตราจารย์ลิซาร์ดก็น่าจะเหมาะสมกับงานนี้เป็นอย่างดี เอาล่ะ! ให้เขาจัดการเรื่องนี้ให้ก็แล้วกัน!”

เมื่อซูเงินคิดได้เช่นนั้น เขาก็รีบเดินกลับไปที่ห้องและหยิบโทรศัพท์ของเขาออกมาเพื่อโทรหาบริ้งค์ทันที

“บอส!”

“ตอนนี้ศาสตราจารย์ลิซาร์ดเป็นอย่างไรบ้าง ?”

“ตอนนี้ยังไม่มีอะไรผิดปกติ”

“ดี! ผมต้องการให้เขามาที่นี่และทํางานอะไรบางอย่างให้กับผม ..!” ซูเงินอธิบายแผนการของเขาขึ้นมาเบา ๆ

ซึ่งแผนการของซูเงินนั้นง่ายดายมาก ๆ โดยที่เขาจะให้บริ้งค์และศาสตราจารย์ลิซาร์ดทํางานร่วมกัน ซึ่งเขาจะให้ศาสตราจารย์ลิชาร์ดไปลักพาตัวของดอนนี่มา และหลังจากที่ศาสตราจารย์ซาร์ดสามารถลักพาตัวของดอนนี่มาได้สําเร็จแล้ว เขาก็จะให้บริ้งค์เปิดประตูพอร์ทัลเพื่อส่งตัวของดอนนี้ไปอยู่ที่ยานบินของเขาสักพักหนึ่ง และรอจนกว่าสํานักงานใหญ่ของ SHIELDจะล่มสลาย

เพราะถึงอย่างไรซูเงินที่ต้องการที่จะแย่งสมาชิกในทีมของโควสันมาทั้งหมดอยู่แล้ว

โคลสันติดต่อไปหาสมาชิกคนอื่น ๆ ภายใน SHIELD เพื่อพูดคุยถึงปัญหาต่าง ๆ และหลังจากที่ยานบินลงจอดตอนนี้ก็ถูกคนของหน่วย SHIELD พาตัวไปทันที ซึ่งสภาพจิตใจของตอนนี้ในตอนนี้กําลังย่ําแย่มากจากที่เขาสูญเสียเซธเพื่อนเพียงคนเดียวของเขาไป และเขาก็คือคนที่ทําให้เซธต้องตาย!

เมื่อเห็นว่ารถที่คุมตัวของดอนนี่จากไปไกลแล้ว โคสันและคนอื่น ๆ ก็หันหลังกลับเพื่อเตรียมตัวเดินกลับไปที่ยานบิน แต่ในขณะที่โควสันกําลังจะเดินผ่านตัวของซูเงิน เขาก็ทําท่าทางลังเลอยู่ครู่หนึ่งและพูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า “ฉันมีอะไรบางอย่างที่อยากจะพูดกับคุณเป็นการส่วนตัว!”

“ไปคุยกันที่ห้องทํางานของคุณ!” ซูเงินสังเกตเห็นว่าโควสันกําลังเหลือบมองไปที่สกายอย่างเงียบ ๆ มันก็ทําให้เขารู้ได้ทันทีเลยว่าเรื่องที่โควสันกําลังจะพูดกับเขาน่าจะเป็นเรื่องของสกายอย่างแน่นอน

ซึ่งมันก็น่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับพ่อแม่ของสกายอย่างแน่นอน!

ตอนที่ 101 ดอนนี่ จิลล์

การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของชายคนนั้นทําให้ทุกคนในห้องประชุมเริ่มตื่นตระหนกขึ้นมา ชายคนนั้นร้องไห้ไม่หยุดในขณะที่ร่างกายของเขาเริ่มกลายเป็นน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว และไม่นานร่างกายของเขาก็ถูกแช่แข็งจนกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง ทําให้นักเรียนที่อยู่รอบ ๆ ตัวของชายคนนั้นรีบพากันวิ่งหนีด้วยความตื่นตระหนก ในขณะเดียวกันฟิทซ์และเจมมาก็รีบวิ่งเข้าไปช่วยเหลือชายคนนั้นอย่างรวดเร็ว

“รีบหาช่องว่างภายในร่างกายของเขาที่ยังไม่ถูกแช่แข็ง เพราะเราจําเป็นที่จะต้องฉีดกลูโคสเพื่อเพิ่มจุดเยือกแข็งตามธรรมชาติภายในร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว” เจมมาพูดขึ้นพร้อมกับเปิดกล่องเครื่องมือ

“ฉันคิดว่าเราอาจจะต้องใช้เครื่องมือ!” ฟิทซ์พูดขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับมองไปที่ชายคนนั้น

ร่างกายของชายคนนั้นถูกแช่แข็งจนกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งทั้งหมด แล้วมันจะไปมีช่องว่างโผล่ออกมาได้อย่างไร

เจมมาหยิบสว่านออกมาและส่งมันให้กับฟิทซ์ แต่ทันใดนั้นพวกเขาก็พบว่าอุณหภูมิรอบ ๆ ตัวของพวกเขามันร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว ทําให้พวกเขารีบเงยหน้าขึ้นไปมองโดยไม่รู้ตัว และพวกเขาก็เห็นว่าซู่เจินกําลังเดินเข้ามาพร้อมกับเปลวเพลิงที่ปรากฏอยู่บนมือของเขา

ซึ่งตอนแรกเจมมาและฟิทซ์คิดว่าซู่เจินจะใช้เปลวเพลิงที่อยู่ในมือของเขาในการละลายน้ำแข็ง แต่ทันใดนั้นพวกเขาก็สังเกตเห็นว่ามีบอลเพลิงบินออกมาจากมือของซู่เจินอย่างรวดเร็ว และมุ่งหน้าไปยังรูปปั้นน้ำแข็งของชายคนนั้นพร้อมกับค่อย ๆ เกาะติดไปที่รูปปั้นน้ำแข็ง

ชี่ชี่ชี่…

เสียงการละลายของน้ำแข็งค่อย ๆ ดังขึ้น และไม่นานน้ำแข็งตรงที่โดนบอลเพลิงของซู่เจินก็ค่อย ๆ เริ่มละลายหายไป

” ขนาดใหญ่พอไหม?”

ซู่เจินหันไปถามกับเจมมา

เจมมาพยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับรีบหันไปฉีดกลูโคสให้กับชายคนนั้นอย่างรวดเร็ว

ในขณะเดียวกันบอลเพลิงของซู่เจินก็ค่อย ๆ บินหายไปใต้เก้าอี้ที่อยู่ข้าง ๆ พร้อมกับมีเสียงดังโครมครามดังขึ้นมา ราวกับว่ากําลังมีอะไรบางอย่างกําลังแตกออก

ทําให้สกายรีบเดินเข้าไปดูทันที และเธอก็พบว่าใต้เก้าอี้ตัวนั้นมันมีอุปกรณ์อะไรบางอย่างกําลังวางอยู่ ซึ่งมันก็น่าจะเป็นอุปกรณ์ที่ทําให้ชายคนนั้นถูกแช่แข็งอย่างแน่นอน

“ตูม!”

ในขณะที่อุปกรณ์ตัวนั้นมันพังลง น้ำแข็งบนร่างกายของชายคนนั้นก็ค่อย ๆ แตกออกและเริ่มละลายกลายเป็นน้ำอย่างรวดเร็ว

“แฮก ๆ …”

ทันทีที่ชายคนนั้นหลุดออกมาจากน้ำแข็ง ตัวของเขาก็ทรุดลงกับพื้นทันที พร้อมกับหายใจเข้าออกอย่างรุนแรง โดยที่ใบหน้าของเขายังถูกปกคลุมเต็มไปด้วยน้ำแข็งอยู่เล็กน้อย

” คุณไม่เป็นอะไรแล้ว ใจเย็น ๆ “ ฟิทซ์ค่อย ๆ พูดขึ้นมาอย่างช้า ๆ เพื่อปลอบประโลมเขา

ชายคนนั้นค่อย ๆ ตั้งสติพร้อมกับหายใจเข้าออกอย่างช้า ๆ

ทันใดนั้นก็มีเสียงปรบมือดังกึกก้องขึ้นมาจากนักเรียนที่อยู่รอบ ๆ เพราะเมื่อพวกเขาเห็นว่าซู่เจินและคนอื่น ๆ สามารถช่วยชีวิตของชายคนนั้นเอาไว้ได้ มันก็ทําให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้นมากจนบอกไม่ถูก ซึ่งพวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะแสดงออกมาอย่างไรดี ทําให้พวกเขาจึงทําได้เพียงแต่ปรบมือขึ้นมาเพื่อแสดงความขอบคุณที่ซู่เจินและคนอื่น ๆ ได้ช่วยเหลือชีวิตของผู้ชายคนนั้นเอาไว้

“คุณชื่ออะไร ?” ซู่เจินหันไปถามชายคนนั้น

” ดอ… ดอนนี่”

“คุณรู้ไหมว่าใครต้องการที่จะฆ่าคุณ ?”

“ไม่… ฉันไม่รู้”

ซู่เจินพยักหน้าขึ้นมาและไม่ได้ถามอะไรขึ้นมาอีก เพราะว่าตอนนี้มันยังมีคนอยู่รอบ ๆ เยอะเกินไป หลังจากนั้นซู่เจินก็ปล่อยตัวของดอนนี่กลับไปเพื่อให้เขาไปพักผ่อน ซึ่งในขณะที่ดอนนี่กําลังเดินจากไปขู่เจินก็จ้องมองไปที่ดอนนี่เล็กน้อยด้วยแววตาที่มีความหมายลึกซึ้ง

” คุณรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างไหม ? เอ่อ … ฉันหมายถึง … คุณมองเห็นอะไรบ้างไหม? “ เจมมาเดินเข้าไปถามกับซู่เจิน

ซู่เจินคิดอยู่สักพักหนึ่งและค่อย ๆ ส่ายหัวออกมาเบา ๆ

แน่นอนว่าเขาไม่สามารถมองเห็นอนาคตได้ เพราะว่าเขารู้อยู่แล้วว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ซึ่งหลักฐานก็คืออุปกรณ์ชิ้นนี้มันมีลักษณะเหมือนกับอุปกรณ์ชิ้นนั้นที่อยู่ในความทรงจําของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่อยากเข้าไปแทรกแซงเกี่ยวกับมันสักเท่าไหร่ในตอนนี้

เจมมารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะว่าความสามารถในการทํานายอนาคตของซู่เจินมันเคยช่วยทําให้ภารกิจในหลาย ๆ ครั้งของเธอมันสําเร็จไปด้วยดี และยิ่งไปกว่านั้นเหตุการณ์ในครั้งนี้มันยังเกิดขึ้นในวิทยาลัยเอจิส ซึ่งเป็นสถานที่ที่เธอเคยเรียนมาก่อน

” แล้วตอนนี้ฉันควรทําอย่างไรดี ?” เจมมาถามขึ้นมาด้วยความสับสน

“พวกเราลองไปถามนักเรียนคนอื่น ๆ และอาจารย์ที่อยู่รอบ ๆ ดูอีกครั้ง เพื่อว่ามันจะเจอเบาะแสอะไรบ้าง”

“ตอนนี้พวกเราทําได้เพียงแค่นี้สินะ!”

พวกเขาค่อย ๆ แยกย้ายกันไปสอบถามข้อมูลจากคนที่อยู่รอบ ๆ ทันที และไม่นานหลังจากนั้นซู่เจินและฟิทซ์ก็เดินทางมาถึงห้องนอนแห่งหนึ่ง ซึ่งตอนแรกฟิทซ์กะว่าจะมาที่นี่เพียงคนเดียวเพื่อสอบถามอะไรบางอย่าง แต่ซู่เจินก็จงใจแอบตามฟิทซ์มาเพื่อให้แน่ใจว่าแผนการจะดําเนินไปได้อย่างราบรื่น และเมื่อเขาเห็นว่าฟิทซ์เดินเข้าไปในห้องของดอนนี่เรียบร้อยแล้ว ซู่เจินก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

ดอนนี่ , ดอนนี่ จิลล์ อัจฉริยะที่มีไอคิวสูงถึงหนึ่งร้อยเก้าสิบภายในวัย 18 ปี และถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เก่งเท่ากับฟิทซ์และเจมมา แต่เขาก็ถือว่าเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นในวัยเพียงแค่นี้ เพราะว่าเขาสามารถเรียนจบได้อย่างรวดเร็ว และเข้าทํางานกับ “แซนด์บ็อกศ์”

และเนื่องจากการที่เขาเป็นอัจฉริยะที่มีไอคิวสูงมาก บวกกับการที่เขาเป็นคนที่ชอบอยู่คนเดียวมันตั้งแต่เด็ก ทําให้ตั้งแต่ที่เขามาอยู่ที่วิทยาลัยเอจิส เขายังไม่เคยมีเพื่อนเลยสักคน

และไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เซธได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ที่สระว่ายน้ำกลายเป็นน้ำแข็งหรือแม้กระทั่งตอนที่ดอนนี่ถูกแช่แข็งจนกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง แท้จริงแล้วมันเป็นส่วนหนึ่งในแผนการเท่านั้น เพราะว่าเจ้าอุปกรณ์ตัวนี้มันมีขนาดเล็กมาก และถ้าเกิดว่าเขาสามารถใช้มันได้ถูกจุดความเสี่ยงต่าง ๆ มันก็จะหายไป ซึ่งที่ดอนนี่เลือกลงมือทําเช่นนี้ก็เพราะว่าเซธมีนักลงทุนอยู่คนหนึ่งที่ต้องการสร้างอุปกรณ์ตัวนี้ที่มีขนาดใหญ่และมีประสิทธิภาพมากกว่าขึ้นมาเพื่อขายเอาเงิน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีปัญหาด้านแหล่งพลังงานอยู่ดี ทําให้เขานึกถึงฟิทซ์ที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในบรรดานักเรียนทั้งหมดของวิทยาลัยเอจิสแห่งนี้

และเนื่องจากที่อุปกรณ์ตัวนี้มันมีการออกแบบมาจากฟิทซ์ ทําให้ฟิทซ์จะต้องส่งเจ้าอุปกรณ์ตัวนี้ไปตรวจสอบอย่างแน่นอน เพราะว่าจริง ๆ แล้วฟิทซ์และดอนนี่เป็นคนที่ค่อนข้างที่จะคล้ายกันมาก เพราะว่าพวกเขาก็ถือว่าเป็นคนจําพวกที่มีไอคิวสูงหรือที่เรียกกันว่าอัจฉริยะ ทําให้พวกเขาไม่ค่อยจะมีเพื่อนเหมือนกับคนอื่น ๆ ทั่วไป ดังนั้นดอนนี่จึงสามารถใช้ทักษะทางด้านจิตวิทยาในการขอร้องให้ฟิทซ์ช่วยแก้ปัญหาในด้านของแหล่งพลังงานของเจ้าอุปกรณ์ตัวนี้ได้

บวกกับการที่เขาถูกแช่แข็งก่อนหน้านี้ มันก็ทําให้เขาสามารถคลายข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวเขาไปได้โดยปริยาย

หลังจากที่ฟิตซ์เดินเข้าไปด้านในห้องของดอนนี่เรียบร้อยแล้ว เขาก็ถามสถานการณ์คร่าว ๆ เกี่ยวกับตัวของดอนนี่ขึ้นมาทันที ซึ่งในขณะเดียวกันทางด้านของซู่เจินก็เดินไปถามนักเรียนอีกสองสามคน หลังจากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในห้องที่อยู่ข้าง ๆ ที่ไม่มีคนอยู่ พร้อมกับจับตาดูการเคลื่อนไหวจากห้องนอนของดอนนี่อย่างเงียบ ๆ

หลังจากนั้นไม่นานซู่เจินก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้นมา และเมื่อเขามองไปเขาก็พบว่าเป็นเซธที่กําลังเดินเข้ามาในห้องของดอนนี่ “เอ่อ… ปกติแล้วเซธจะมาหาดอนนี่หลังจากฟิทซ์กลับไปแล้วไม่ใช่หรอ ? หลังจากนั้นพวกเขาก็จะช่วยกันแก้ปัญหาด้านแหล่งพลังงาน เพื่อทําให้ฟิทซ์ตกตะลึงและเปิดเผยตัวตนของพวกเขาไม่ใช่หรอ ? ”

ซู่เจินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพราะว่ามันค่อนข้างจะแตกต่างกับสิ่งที่มันควรจะเป็น

หลังจากผ่านไปครึ่งวันซู่เจินก็เห็นว่าเซธและดอนนี้กําลังเดินออกไปด้านนอกพร้อมกับอุปกรณ์อะไรบางอย่าง ทําให้ซู่เจินรีบผลักประตูเข้าไปในห้องนอนของดอนนี่อย่างรวดเร็ว และเขาก็พบว่าฟิทซ์กําลังนอนหมดสติอยู่บนพื้น

ซู่เจินเหลือบมองไปที่ฟิทซ์ด้วยความโล่งอกเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็ช่วยเหลือฟิทซ์พร้อมกับรายงานให้กับคนอื่น ๆ ทราบ ซึ่งสําหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ซู่เจินอยากจะขอโทษกับฟิทซ์จริง ๆ เพราะถึงอย่างไรฟิทซ์ก็เคยช่วยเหลือเขาเอาไว้มากมาย แถมเขายังสร้างชุดประจําทีมของเขาให้อีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นซู่เจินก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก ไม่งั้นดอนนี่จะไม่กลายเป็นตัวตนที่เขาต้องการ

ในขณะเดียวกันเซธและดอนนี่ในตอนนี้ก็กําลังวิ่งหนีไปพร้อมกับอุปกรณ์ตัวนั้น เพื่อหลบหนีจากการที่ SHIELD กําลังตามล่าตัวของพวกเขาอยู่

ซู่เจิน และคนอื่น ๆ เดินทางกับไปที่ยานบินเพื่อไปสมทบกับโควสันและเมย์ที่เพิ่งกลับมาจากการทําภารกิจ ซึ่งตอนนี้พวกเขาก็รู้แล้วว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันเป็นอย่างไร

และหลังจากที่ฟิทซ์ตื่นขึ้นมาเขาก็ดูหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้โกรธดอนนี่อาจจะเป็นเพราะว่าดอนนี้เป็นคนที่คล้าย ๆ กับเขา ทําให้เขาสามารถเข้าใจความรู้สึกของดอนนี่ได้เป็นอย่างดี ซึ่งคนที่เขาโกรธจริง ๆ ก็คือเซธที่คอยชักจูงดอนนี่อยู่เบื้องหลัง!

“อุปกรณ์ชิ้นนี้มันอันตรายมาก เราจะต้องรีบหาตัวของเขาให้พบโดยเร็วที่สุด” โควสันพูดขึ้นมาด้วยความจริงจัง

ซู่เจินครุ่นคิดสักพักและพูดว่า ” ผมไปเอง”

“คุณรู้งั้นหรอว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน ?”

“ตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอก แต่ตอนนี้

ผมรู้แล้ว!” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

ตอนที่ 100 วิทยาลัยเอจิส

หลังจากที่ซู่เจินบินมาได้ไม่นาน เขาก็มาถึงยานบินของ SHIELD เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งซู่เจินก็ไม่จําเป็นที่จะต้องทักทายเมย์เหมือนครั้งที่แล้วอีกต่อไป เพราะทันทีที่ซู่เจินมาถึงประตูด้านหลังของยานก็เปิดออกทันที และเมื่อเขาเข้ามาด้านในเขาก็พบว่าตอนนี้คนอื่น ๆ กําลังยืนคุยอะไรบางอย่างกันอยู่

และเมื่อทุกคนเห็นว่าซู่เจินปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทันใดนั้นสกายก็รีบวิ่งไปกระโดดกอดซู่เจินอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่พวกเขากอดกันจนหายคิดถึงแล้ว สกายก็เดินไปควงแขนของซู่เจินเอาไว้ ซึ่งในใจของสกายนั้น ซู่เจินเป็นคนที่เธอให้ความสําคัญมากกว่าตัวของเธอเองซะอีก

” พวกคุณกําลังคุยอะไรกันอยู่นั้น ? หรือว่าจะมีภารกิจ ? ” ซู่เจินถามคนอื่น ๆ ขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“ใช่” ฟิทซ์พยักหน้าเล็กน้อยและพูดต่อว่า “มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นในสถาบันฝึกสอนของ SHIELD อยู่ดี ๆ น้ำในสระว่ายน้ำมันก็ดันกลายเป็นน้ำแข็ง และเมื่อพวกเราลองตรวจสอบดูก็พบว่ามีอุปกรณ์อะไรบางอยู่ในสระว่ายน้ำ ซึ่งเจ้าอุปกรณ์ตัวนี้มันก็เคยเป็นสิ่งที่ฉันเคยวิจัยมาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่ได้เป็นคนทําเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างแน่นอน และฉันก็ไม่เคยคิดด้วยว่าเจ้าสิ่งนี้มันจะเกิดขึ้นมาได้จริง ๆ ดังนั้นตอนนี้พวกเราจึงจะต้องตรวจสอบอย่างละเอียดอีกต่อไป!”

“ดังนั้น ”

ซู่เจินพยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ ซึ่งเขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนเหมือนกันว่ามันจะเป็นเรื่องที่บังเอิญขนาดนี้ เมื่อเขามาถึงมันก็มีเรื่องเกิดขึ้นทันที ? และดูเหมือนว่าเขาจะค่อนข้างคุ้นเคยกับเหตุการณ์แบบนี้เป็นอย่างดี ซึ่งสิ่งที่สําคัญที่สุดก็คือเขาสามารถเอาคืนใครบางคนพร้อมกับขยายอิทธิพลของเขาให้กว้างขวางมากขึ้น!

“แล้วชุดออกรบที่ผมบอกกับคุณเอาไว้ครั้งก่อนมันเป็นยังไงบ้างตอนนี้?”

”เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยที่ฉันอ้างอิงมันเป็นสไตล์เดียวกับของคุณ แต่ฉันไม่ได้ทําผ้าคลุมไหล่ให้ เพราะถึงยังไงคุณก็เป็นหัวหน้าของพวกเขา มันคงจะดีถ้าเกิดว่ามีความแตกต่างกันเล็กน้อย ซึ่งฉันก็ไม่ค่อยรู้ขนาดตัวของลูกน้องคุณสักเท่าไหร่ ทําให้ฉันลองสร้างขึ้นมาสองสามชุดโดยมีขนาดแตกต่างกันออกไป!”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ฟิทซ์ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที แน่นอนว่าซู่เจินก็เช่นเดียวกัน ทําให้เขารีบเดินตามฟิทซ์ไปที่ห้องทดลองอย่างรวดเร็ว และเมื่อเขามองไปที่ชุดที่ฟิทซ์หยิบออกมา มันก็ทําให้เขารู้สึกพอใจเป็นอย่างมากพร้อมกับตบไปที่ไหล่ของฟิทซ์เบา ๆ และพูดว่า “ขอบคุณ!”

“ฉันใช้แค่ความพยายามเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น” ฟิทซ์พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับก้มหัวลงเล็กน้อย

“งั้นผมเอาชุดพวกนี้ไปเลยนะ” เมื่อซู่เจินพูดจบ เขาก็เอาชุดพวกนี้เก็บเข้าไปในมิติเก็บของทันที

ฟิทซ์มองไปที่ซู่เจินด้วยความสงสัยว่าชุดพวกนั้นมันหายไปไหน ? ซู่เจินกระพริบตาเล็กน้อยด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นเขาก็หันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ได้อธิบายอะไรให้ฟิทซ์ฟังแม้แต่น้อย

วิทยาลัยเอจิส

เนื่องจากมีเหตุการณ์ที่สระว่ายน้ำกลายเป็นน้ำแข็งเกิดขึ้น ทําให้พวกนักเรียนในตอนนี้รู้สึกกังวลเป็นอย่างมากเรื่องความปลอดภัยของพวกเขา ซึ่งการที่มีอุปกรณ์อะไรบางอย่างถูกติดตั้งไว้ในสระว่ายน้ำแบบนั้น คนทําจะต้องมีเจตนาอะไรบางอย่างแอบแฝงอย่างแน่นอน ซึ่งตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่สามารถจับตัวคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุในครั้งนี้ได้

และเนื่องจากที่อุปกรณ์ตัวนี้มันเป็นการออกแบบของฟิทซ์และเจมมา ทําให้พวกเขาได้รับเชิญให้ไปกล่าวสุนทรพจน์ที่วิทยาลัยแห่งนี้ ซึ่งในอีกแง่มุมหนึ่งก็เพื่อทําให้นักเรียนของที่นี่รู้สึกสบายใจ และในทางกลับกันก็เป็นการตรวจสอบไปในตัวด้วยว่าใครที่เป็นคนลงมือก่อเหตุในครั้งนี้

ในตอนนี้ ซู่เจิน , สกาย, เจมมา และฟิทซ์ ได้เดินทางมาถึงที่วิทยาลัยเอจิสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ส่วนโคลสันและเมย์ กําลังติดภารกิจอย่างอื่นอยู่ ทําให้พวกเขาไม่สามารถมาที่นี่ได้

” ที่นี่คือวิทยาลัยเอจิสอย่างงั้นหรอ ? มันดูไม่ค่อยแตกต่างจากวิทยาลัยทั่วไปเลย” สกายมองไปรอบ ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพราะเธอสังเกตเห็นว่ากําลังมีนักเรียนเดินพูดคุยกันอย่างสนุกสนานผ่านหน้าของเธอไป หรือนั่งเล่นกันเป็นกลุ่มอยู่ตรงใต้ต้นไม้บ้าง ซึ่งมันไม่ค่อยแตกต่างจากวิทยาลัยทั่วไปเลยแม้แต่น้อย

“มันก็ไม่ค่อยแตกต่างกันจริง ๆ นั่นแหละ แต่การที่คุณจะเรียนจบปริญญาเอกจากที่นี่ได้นั้น คุณจะต้องมีไอคิวไม่ต่ำกว่าเลขสองหลัก!” ฟิทซ์พูดขึ้นมาเบา ”ซึ่งถ้าเกิดว่าคุณต้องการจะเรียนต่อผมก็คิดว่าคุณน่าจะเรียนที่นี่ได้อย่างไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน!”

แน่นอนว่าไอคิวของสกายไม่ได้ต่ำเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะทักษะการแฮ็กของเธอ ไม่งั้นเธอก็คงจะไม่ได้เป็นที่ปรึกษาของ SHIELD อย่างแน่นอน

ในขณะที่พวกเขากําลังยืนคุยกันอยู่ ทันใดนั้นก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเขาจากระยะไกล เป็นผู้หญิงผิวสีที่สวมใส่ชุดอย่างเป็นทางการ!

” พวกคุณมาแล้วงั้นหรอ ฉันดีใจที่ได้พบเจอพวกคุณ!” หญิงสาวคนนั้นเดินเข้ามาทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับจับมือของพวกเขาออกมาเขย่าทีละคน

เจมมาพูดขึ้นมาอย่างมีความสุขว่า ” คุณยังสวยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ”

“เธอคนนี้คือหัวหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ แอนน์ วีเวอร์”

เจมมาพูดอธิบายขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เห็นได้ชัดว่าสกายและซู่เจินรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว

“มีผู้ต้องสงสัยในเหตุการณ์ครั้งนี้บ้างหรือไม่ ?” สกายถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

แอนน์ วีเวอร์พยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ และพูดว่า “จากการทดสอบเรื่องสติปัญญาในการที่จะประดิษฐ์อุปกรณ์ชิ้นนี้ขึ้นมาได้นั้น มันจะต้องเป็นคนที่มีสติปัญญาหรือไอคิวที่สูงมากอย่างแน่นอน ดังนั้นมันจึงเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นหนึ่งในนักเรียนที่ดีที่สุดในโรงเรียนแห่งนี้!”

“พวกเราขอลองคุยกับคนที่ได้รับบาดเจ็บได้ไหม ? ”

“ไม่มีปัญหา แต่มันจะต้องเป็นเวลาหลังจากที่เซธเลิกเรียนแล้ว” แอนน์ วีเวอร์พูดตอบขึ้นมา “แต่ตอนนี้ฟิทซ์และเจมมา พวกเธอจะต้องไปที่ห้องประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมสําหรับการกล่าวสุนทรพจน์”

“ไม่คิดว่าพวกเราจะเป็นที่นิยมมากขนาดนี้ ? “

สกายและซู่เจินเดินตามหลังของฟิทซ์และเจมมาไปอย่างเงียบ ๆ ซึ่งในระหว่างทางที่พวกเขาเดินก็มีนักเรียนหลายคนที่ล้อมอยู่รอบ ๆ ตัวของพวกเขา เพื่อพูดคุยกับฟิทซ์และเจมมา

“อย่างไรก็ตามพวกเขาก็เคยเป็นนักเรียนชั้นนําของวิทยาลัยเอจิสมาก่อน ทําให้เวลาพวกเขาเดินผ่านพวกนักเรียน พวกเขาก็เปรียบเสมือนกับไอดอลของเด็กพวกนั้น ซึ่งนาน ๆ คนแบบพวกเขาจะปรากฏตัวสักครั้งหนึ่ง” ซู่เจินพูดขึ้นมากับสกายด้วยรอยยิ้ม

หลังจากที่พวกเขาเดินเข้าไปด้านในวิทยาลัยเอจิสได้ไม่นาน พวกเขาก็พบเข้ากับกําแพงที่เต็มไปด้วยรายชื่อมากมาย ซึ่งกําแพงอันนี้ก็คือรายชื่อของวีรบุรุษผู้กล้าหาญที่เสียชีวิตระหว่างการปฏิบัติภารกิจ ทําให้ซู่เจินและสกายยืนมองไปที่กําแพงอันนี้อยู่สักพักหนึ่ง ในขณะเดียวกัน สกายก็สังเกตเห็นว่าตอนนี้ซู่เจินกําลังจ้องมองไปที่รายชื่อหนึ่งอยู่ ทําให้เธออดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปที่รายชื่ออันนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“บัคกี้ บาร์นส์ ?”

“เขาคือเพื่อนสมัยเด็กของกัปตันอเมริกา ตอนที่กัปตันอเมริกายังไม่ได้เป็นกัปตันอเมริกา แต่เป็นสตีฟ โรเจอร์ ซึ่งตอนแรกเขาก็สมัครเข้าร่วมกับกองทัพ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้เข้าร่วมกับหน่วยคอมมานโดคําราม แต่หลังจากที่เขาได้ไปทําภารกิจกับกัปตันอเมริกาและได้เกิดอุบัติเหตุขึ้น ทําให้เขาตกลงไปที่หน้าผา และไม่มีที่รู้ชะตากรรมของบัคกี้ได้อย่างแน่ชัด” ซู่เจินพูดอธิบายขึ้น มาให้กับสกายฟังคร่าว ๆ ซึ่งเขาก็อยากรู้จริง ๆ เหมือนกันว่าถ้าเกิดกัปตันอเมริการู้ว่าบัคกี้ยังมีชีวิตอยู่ และปรากฏตัวขึ้นมาต่อหน้าของเขาในฐานะของวินเทอร์โซลเจอร์ มันจะเป็นอย่างไร ?

และเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาบัคกี้หรือวิทเทรย์โซลเจอร์ ก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายของซู่เจินเช่นกัน

เพราะว่าร่างกายของเขาได้รับการดัดแปลงจากไฮดร้า ซึ่งมีความสามารถคล้าย ๆ กับของกัปตันอเมริกา แถมเขายังมีแขนกลที่ช่วยยกศักยภาพทางร่างกายของเขาให้ใกล้เคียงกับความแข็งแกร่งของกัปตันอเมริกาได้อีกด้วย ซึ่งตอนนี้เขาก็น่าจะได้รับการดัดแปลงเป็นครั้งที่สองแล้ว … แน่นอนว่าตอนนี้เขายังถูกควบคุมโดยคนของไฮดร้าให้กลายเป็นเครื่องจักรสังหารอยู่

“เขามีอะไรบางอย่างที่พิเศษใช่ไหม ? คุณถึงได้สนใจในตัวของเขามากขนาดนี้ ? “ สกายถามขึ้นมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาพร้อมกับส่ายหัวเบา ๆ และพูดว่า ”อย่างน้อย

มันก็ยังไม่ใช่ตอนนี้!”

“ยังไม่ใช่ตอนนี้?”

สกายรู้สึกมึนงงเล็กน้อย แต่ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไรออกมา ซู่เจินก็ลากตัวของเธอออกไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็เดินทางมาถึงห้องประชุม

ตอนนี้ในห้องประชุมเต็มไปด้วยผู้คนกําลังนั่งอยู่เต็มไปหมด ในขณะเดียวกันแอนน์ วีเวอร์ก็เดินขึ้นมาบนเวทีเพื่อพูดเปิดงานพร้อมกับเชิญฟิทซ์และเจมมาขึ้นมากล่าวสุนทรพจน์ ซึ่งหลังจากที่ซู่เจินและสกายเดินเข้ามาด้านในเขาก็เห็นว่าผู้คนกําลังตบมือดังสนั่นเต็มไปหมด ทันใดนั้นซู่เจินก็ชําเลืองมองไปท่ามกลางผู้คนที่อยู่ในห้องประชุม

หลังจากนั้นไม่นานเขาก็จ้องไปที่คน ๆ หนึ่ง

เด็กหนุ่มผมสั้น

ดอนนี่ จิลล์ ดอนนี่

ทันใดนั้นมุมปากของซู่เจินก็ยกขึ้นเล็กน้อย

“แปะ ๆ”

หลังจากที่ฟิทซ์และเจมมากล่าวสุนทรพจน์จบ ทันใดนั้นก็มีเสียงปรบมือดังขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย

ซู่เจินหันไปมองหน้าของเจมมาและฟิทซ์บนเวทีด้วยรอยยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย เพราะดูเหมือนว่าเนื้อหาในการกล่าวสุนทรพจน์ของพวกเขามันจะต้องดีมาก ๆ อย่างแน่นอนแม้ว่า

ซู่เจินจะไม่ได้ฟังมันก็ตาม

” พระเจ้า! เกิดอะไรขึ้นกับฉัน ช่วยฉันด้วย!”

ทันใดนั้นก็มีคนลุกขึ้นยืนพร้อมกับตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก เพราะว่าตอนนี้ใต้เท้าของพวกเขากําลังมีน้ำแข็งค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมา ทําให้ขาของเขาถูกแช่แข็งอย่างรวดเร็วและหลังจากนั้นไม่นานมันก็เริ่มลามขึ้นมาบนร่างกายของพวกเขาอย่างรวดเร็ว!

ตอนที่ 99 ผลกระทบที่ตามมา

S.H.I.E.L.D. , นิค ฟิวรี่

เมื่อมองไปยังหมายเลขที่โทรเข้ามา ซู่เจินก็รู้สึกรําคาญขึ้นมาเล็กน้อย

เพราะไม่ว่าเขาจะทําอะไร SHIELD ก็จะรู้ข้อมูลของเขาได้อย่างรวดเร็ว … พวกเขาว่างมากงั้นหรอ ? ถึงได้มาจับตาดูเขาในทุก ๆ วัน ?

หลังจากนั้นไม่นานซู่เจินก็กดรับโทรศัพท์และพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงรําคาญเล็กน้อยว่า “คุณควรพูดเข้ามาเรื่องมาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นคุณก็วางสายไป!”

“ไม่ได้มีเรื่องอะไรหรอก … ฉันก็แค่อยากขอบคุณคุณที่ช่วยสไปเดอร์แมนเอาไว้…” นิคฟิวรี่ถึงกับชะงักเล็กน้อยเมื่อเขาได้ยินน้ำเสียงของซู่เจิน และค่อย ๆ พูดขึ้นมาอย่างช้า ๆ

“มันไม่ได้สําคัญอะไรมากมายนัก ไม่ว่าคุณจะขอบคุณผมด้วยวิธีไหนก็ตาม และ ใครบอกว่าผมอยากจะช่วยเขา ? มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเกิดว่าผมปล่อยเขาเอาไว้แบบนั้น” ซู่เจินพูดขึ้นมาอย่างโกรธ ๆ และพูดตัดบทต่อทันทีว่า ” คุณไม่มีเรื่องอะไรอีกแล้วใช่ไหม ? ผมจะได้วางสาย”

” บลา ๆ…”

นิคฟิวรี่รีบตะโกนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่น่าเสียดายที่สายมันตัดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ผู้ชายคนนี้!”

นิคฟิวรี่ตะโกนขึ้นมาด้วยความโกรธ เพราะว่าไม่เคยมีใครที่กล้าวางสายของเขาแบบนี้มาก่อน ซึ่งอันที่จริงแล้วเขาก็รู้สึกขอบคุณซู่เจินมากจริง ๆ ที่ได้ช่วยสไปเดอร์แมนเอาไว้ และในทางกลับกันเขาก็แค่อยากเตือนซู่เจินว่าอย่าได้ทําตัวหยิ่งผยองให้มากนัก เพราะว่าการที่ซู่เจินฆ่าดร.อ๊อกโตปุสกลางถนนแบบนั้นมันจะทําให้ประชาชนคนธรรมดารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาได้

ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากอเมริกาเป็นประเทศที่มีการใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ทําให้ผู้คนของที่นี่ค่อนข้างจะคุ้นชินกับการที่อาชญากรถูกจับกุมและนําไปคุมขัง ซึ่งมันก็จะมีอาชญากรเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่โดนประหาร โดยส่วนมากจะเป็นอาชญากรที่ก่อเหตุขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง!

และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถเกลี้ยกล่อมซู่เจินได้อีกต่อไป เพราะว่าซู่เจินไม่มีการไว้หน้าของเขาเลยแม้แต่น้อย!

คนงานเก่าที่อยู่บนเกาะถูกบริงค์ส่งตัวกลับไปที่เมืองอย่างรวดเร็ว และแน่นอนว่าซู่เจินก็จ่ายเงินให้กับคนงานพวกนี้ไปไม่ใช่น้อยเช่น แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่เขาได้รับมามันก็มากกว่าอยู่ดี ดังนั้นพวกคนงานทุกคนจึงรู้สึกขอบคุณซู่เจินเป็นอย่างมาก และหลังจากที่ส่งพวกเขาออกไปหมดแล้ว ซู่เจินก็เริ่มทําความสะอาดเกาะทันที

หลักจากที่ซู่เจินทําอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็เรียกทุกคนเข้ามาประชุมภายในยานบินทันที

บริ๊งค์ , แมโร , เฉินห่าวหราน , เปปเปอร์ และ ดาร์คเอลฟ์ ที่ดํารงตําแหน่งคนขับยานบิน

คนยังน้อยไปหน่อย!

ซู่เจินถอนหายใจออกมาอย่างลับ ๆ จากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาว่า “อีกไม่นานหลังจากนี้จะมีบริษัท Damage Control เข้ามารับช่วงต่อในการสร้างฐานของพวกเรา และมันก็น่าจะเสร็จภายในหนึ่งเดือน ดังนั้นในช่วงหนึ่งเดือนนี้ผมจะไปอยู่ที่ SHIELD ส่วนบริ้งค์และเปปเปอร์ ผมจะต้องขอรบกวนพวกคุณให้คอยช่วยดูแลความคืบหน้าของฐานให้ผมหน่อย และเฉินห่าวหรานกับแมโร พวกคุณขึ้นไปอยู่บนยานบินและพยายามเพิ่มความแข็งแกร่งของพวกคุณให้ได้มากที่สุด เพราะว่าอีกไม่นาน … มันจะมีเหตุการณ์ที่จะทําให้พวกคุณต้องต่อสู้”

“รับทราบ!”

ไม่มีใครพูดคัดค้านขึ้นมากับการตัดสินใจของซู่เจินเลยแม้แต่น้อย ซึ่งในขณะที่ซู่เจินกําลังพูดอยู่ เปปเปอร์ก็อ้าปากของเธอขึ้นมาเล็กน้อย ราวกับว่าเธอต้องการที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่ท้ายที่สุดแล้วเธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

แน่นอนว่าซู่เจินก็เห็นปฏิกิริยาของเปปเปอร์เช่นกัน แต่เขากับแกล้งทําเป็นมองไม่เห็นมันแทน

ซึ่งที่เปปเปอร์อยู่ที่นี่ก็เพราะว่าเธอต้องการที่จะตอบแทนบุญคุณของซู่เจิน และเห็นได้ชัดว่าถ้าฐานสร้างเสร็จเมื่อไหร่ เธอก็คงจะจากไปทันที ทําให้ซู่เจินได้แต่บอกใบ้ให้กับเธอว่ามันจะเป็นอย่างไรถ้าเกิดว่าเธอเริ่มคุ้นเคยกับการอยู่ที่นี่แล้ว แต่เปปเปอร์ก็ไม่ได้สังเกตุถึงมัน ทําให้ซู่เจินจึงทําได้เพียงแต่หางานให้เธออยู่ช่วยเขาบนเกาะเท่านั้น เพราะถึงยังไงเธอก็เป็นคนที่คอยติดต่อและจัดการเรื่องของบริษัท Damage Control ให้กับเขา!

และเมื่อฐานสร้างเสร็จแล้ว เขาก็จะต้องหาวิธีอื่นเพื่อรั้งเธอเอาไว้ให้ได้

“เจ้านาย! ฉันตรวจพบว่ากําลังมีใครบางคนกําลังมุ่งหน้ามาที่นี่!”

ดาร์คเอลฟ์พูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“โอ้ ? รู้ไหมว่าเขาเป็นใคร”

ซู่เจินรีบถามดาร์คเอลฟ์เอลฟ์ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และหลังจากนั้นไม่นานก็มีภาพปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ

เรือสปีดโบ๊ทลําหนึ่งกําลังแล่นเข้ามาที่นี่อย่างรวดเร็ว และเมื่อซู่เจินเห็นคนที่อยู่บนเรือ มันก็ทําให้เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

และไม่นานมุมปากของซู่เจินก็ค่อย ๆ ยกขึ้นเล็กน้อย เพราะว่าตอนนี้ซู่เจินรู้แล้วว่าทําไมเขาถึงได้มาที่นี่อย่างกะทันหัน

” ต่อไปนี้นายจะต้องเรียกผมว่า บอส เหมือนกับพวกเขา”

ซู่เจินหันไปพูดกับดาร์กเอลฟ์

ดาร์คเอลฟ์รู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันทีและรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ดาร์คเอลฟ์คนนี้ก็ค่อนข้างจะมีความความประพฤติที่ดีมาโดยตลอด เพราะว่าเขาไม่เคยมีความคิดที่จะทรยศต่อซู่เจินเลยแม้แต่น้อย ทําให้ซู่เจินอยากยกสถานนะของเขาขึ้นมาเล็กน้อย

“บริ๊งค์ คุณไปพาตัวของเขามาให้ผมหน่อย!”

” ค่ะบอส!”

บริ้งค์พูดตอบขึ้นมา ทันใดนั้นเธอก็เปิดประตูพอร์ทัลและหายตัวไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นานประตูพอร์ทัลก็เปิดขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับบริงค์ที่พาชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องประชุม!

ศาสตราจารย์ลิซาร์ด!

คนที่บริ้งค์พามาก็คือศาสตราจารย์ลิซาร์ด

เมื่อมองไปยังผู้คนที่อยู่ในห้องประชุม ศาสตราจารย์ลิซาร์ดก็รู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย โดยเฉพาะตอนที่เขาต้องเผชิญหน้ากับซู่เจิน มันทําให้เขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองซู่เจินเลยแม้แต่น้อย

“ไหนลองบอกเหตุผลมาซิว่าทําไมคุณถึงได้มาหาผมอย่างกะทันหันแบบนี้”

ซู่เจินเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมกับเอาเท้าทั้งสองข้างของเขาขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะอย่างลวก ๆ และเหลือบมองไปที่ศาสตราจารย์ลิซาร์ด ..

ศาสตราจารย์ลิซาร์ดลังเลอยู่ครู่หนึ่งและพูดขึ้นมาว่า “ฉัน ฉันเป็นลูกน้องของคุณไม่ใช่หรอ ? ตอนนั้นฉันยังมีธุรอะไรบางอย่างอยู่ ซึ่งหลังจากที่ฉันทําเสร็จแล้ว ฉันก็เลยรีบมาหาคุณนี่ไง ?

“โอ้! ผมจําได้ว่ามันผ่านมาสักพักแล้วใช่ไหม ? และถ้าเกิดว่าคุณมีความคิดเช่นนั้นจริง ๆ แล้ว ทําไมคุณถึงไม่มาที่นี่ให้เร็วกว่านี้ล่ะ ?” ซู่เจินถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

ศาสตราจารย์ลิซาร์ดถึงกับพูดไม่ออก

“หึ! มันจะเป็นอะไรไปได้อีกล่ะ นอกจากความกลัว” แมโรที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน

แน่นอนว่าเธอรู้สึกไม่ค่อยดีกับศาสตราจารย์ลิซาร์ดสักเท่าไหร่ เพราะถึงอย่างไร .. ศาสตราจารย์ลิซาร์ดก็เป็นคนที่ต้องการจับตัวของเธอไปทําการทดลองในตอนแรก

ซู่เจินไม่ได้พูดอะไรขึ้นมาแม้แต่น้อย เขาทําเพียงแต่จ้องมองไปที่ศาสตราจารย์ลิซาร์ดอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าศาสตราจารย์ลิซาร์ดจะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา แต่เขาก็รับรู้ได้ทันทีเลยว่าตอนนี้ซู่เจินกําลังจ้องมองมาที่เขาอยู่ตลอดเวลา ทําให้เขารู้สึกอึดอัดและเริ่มหายใจไม่ออก หลังจากที่ลังเลอยู่นานศาสตราจารย์ลิซาร์ดก็กัดฟันของเขาและพูดขึ้นมาว่า “ใช่ … ฉันกลัว! เพราะว่าหลังจากที่ฉันหนีรอดออกมาได้ในครั้งนั้น ฉันก็พยายามซ่อนตัวอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งฉันกลับมาที่นี่ … แม้ว่าฉันจะไม่ค่อยเต็มใจที่จะต้องกลายมาเป็นลูกน้องของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฉันรู้ว่า คุณไม่ได้มาตามหาฉันเลยแม้แต่น้อย มันก็ทําให้ฉันคิดว่าคุณแค่ต้องการขู่ให้ฉันกลัวก็แค่นั้น! จนกระทั่งฉันเห็นข่าว ข่าวที่คุณได้ฆ่าดร.อ๊อกโตปุสทิ้งกลางถนน ซึ่งก่อนหน้านี้ฉันก็เคยติดต่อกับดร.อ๊อกโตปุสอยู่สองสามครั้ง มันก็เลยทําให้ฉันกลัวว่าฉันจะกลายเป็นแบบเขา ฉันจึงตัดสินใจมาที่นี่!”

หลังจากที่ศาสตราจารย์ลิซาร์ดพูดจบ เขาก็หมดเรี่ยวแรงลงในทันที พร้อมกับรอคําตอบของซู่เจินอย่างประหม่า

หลังจากนั้นไม่นานซู่เจินก็ค่อย ๆ พูดขึ้นมาว่า ”ต่อไปนี้คุณจะต้องอาศัยอยู่ที่นี่ ซึ่งผมมียาอยู่ตัวหนึ่งที่ต้องการให้คุณลองทําการวิจัยเกี่ยวกับมันดู”

” เฮ้อ!” ศาสตราจารย์ลิซาร์ดถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกพร้อมกับพยักหน้าอย่างรวด

“ผมจะไม่พูดเตือนอะไรคุณ เพราะคุณก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่ามันจะเป็นยังไง” ซู่เจินลุกขึ้นปรบมือและพูดว่า “เอาล่ะ! ไปทํางานของตัวเองกันได้แล้ว และถ้าเกิดว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ให้บริ้งค์รีบติดต่อผมทันที”

ซู่เจินไม่กังวลว่าศาสตราจารย์ลิซาร์ดจะสร้างปัญหาอะไรขึ้นมาบนเกาะ และถ้าเกิดว่าเขาสร้างปัญหาจริง ๆ แค่แมโรและเฉินห่าวหรานก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะจัดการกับเขา เพราะในช่วงที่ผ่านมานี้พวกเขาทั้งสองคนสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งของพวกเขาไปได้อย่างรวดเร็ว จนตอนนี้พวกเขาสามารถจัดการกับศาสตราจารย์ลิซาร์ดได้เรียบร้อยแล้ว

ส่วนซู่เจินในตอนนี้ก็กําลังมุ่งหน้าไปหาสกายอย่างรวดเร็ว ซึ่งในระหว่างทางซู่เจินก็ถามขึ้นมากับฟิทซ์เล็กน้อยว่าตอนนี้ชุดของเขาเสร็จแล้วหรือยัง ?

หลังจากที่ฝุ่นควันหายไปก็ปรากฏเป็นร่างของซู่เจินที่กําลังสวมชุดออกรบที่สร้างขึ้นมาจากพลังงานของอนุภาคอีเทอร์อยู่ ซึ่งซู่เจินในตอนนี้กําลังมองไปที่ดร.อ๊อกโตปุสด้วยความเย็นชาพรอมกับบิดคอของเขาเล็กน้อย

“ถ้าเกิดว่าคุณยังมีชีวิตอยู่หลังจากนี้ คุณจะต้องรู้อย่างแน่นอนว่าผมเป็นใคร! “

เมื่อซู่เจินพูดจบเขาก็เคลื่อนตัวไปหาดร.อ๊อกโตปุสอย่างรวดเร็ว

ทําให้ดร.อ๊อกโตปุสจถึงกับตกใจเล็กน้อยและรีบตอบสนองอย่างรวดเร็ว โดยการเอาหนวดจักรกลสองอันฟาดไปที่ซู่เจินทันที ซึ่งเมื่อซู่เจินเห็นเช่นนั้นเขาก็ไม่ได้หลบหลีกอะไร แต่เขากับเอามือทั้งสองข้างของเขาจับไปที่หนวดจักรกลทั้งสองอันได้อย่างง่ายดาย!

“ไฟ!”

ซู่เจินพูดขึ้นเบา ๆ ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็ถูกปกคลุมเต็มไปด้วยเปลวเพลิงที่มีอุณหภูมิความร้อนสูงทันที ทําให้ดร.อ๊อกโตบุสที่เห็นเช่นนั้นพยายามที่จะดึงหนวดจักรกลของเขากลับมา แต่มันก็เปล่าประโยชน์ทําให้หนวดจักรกลของดร.อ๊อกโตปุสในตอนนี้เริ่มพังทลายลงอย่างช้า ๆ

เมื่อดร.อ๊อกโตปุสเห็นเช่นนั้นเขาก็รีบสละหนวดจักรกลทั้งสองอันนั้นทิ้งทันที พร้อมกับรีบควบคุมหนวดจักรกลที่เหลือพุ่งเข้าไปหาซู่เจินอย่างรวดเร็ว

มีหนวดจักรกลมากมายนี่แหละคือความได้เปรียบของฉัน!

“หึ!”

ซู่เจินหัวเราะเยาะเย้ยขึ้นมาอย่างดูถูก ทันใดนั้นซู่เจินก็ใช้หนวดจักรกลทั้งสองอันของดร.อ๊อกโตปุสที่ทิ้งเอาไว้ฟาดไปที่ตัวของดร.อ๊อกโตปุสอย่างรุนแรงทันที

“ตูม!”

การเข้าปะทะกันอย่างรุนแรงทําให้หนวดจักรกลของดร.อ๊อกโตปุสถึงกับกระเด็นกลับไปทันที พร้อมกับแรงกระแทกจํานวนมหาศาลที่ทําให้ดร.อ๊อกโตปุสถึงกับล้มลงกระแทกกับพื้น

“วิส!”

ถึงแม้ว่าดร.อ๊อกโตปุสจะล้มลงกับพื้น แต่ซู่เจินก็ยังไม่ได้หยุดแค่นั้น เขารีบควบคุมเปลวเพลิงของเขาให้ลามไปทั่วหนวดจักรกลอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นซู่เจินก็คํารามขึ้นมาอีกครั้ง ทําให้แขนของซูเงินค่อย ๆ สั่นอย่างรวดเร็วพร้อมกับกระแสลมที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นรอบ ๆ แขนของซู่เจิน ทําให้เปลวเพลิงมันเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นซู่เจินก็เอาหนวดจักรกลทั้งสองอันมากระแทกเข้าหากัน ทําให้หนวดจักรกลทั้งสองอันนั้นค่อย ๆ กลายเป็นผงขี้เถ้าอย่างช้า ๆ

“หนี … ฉันต้องหนี!”

ตอนนี้ดร.อ๊อกโตปุสไม่อยากรู้เกี่ยวกับตัวตนของซู่เจินอีกต่อไป เพราะว่าตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว ว่าทําไมเวนอมถึงได้หนีไป ? ถ้าเกิดว่าเขารู้ว่าซู่เจินแข็งแกร่งขนาดนี้ เขาก็คงหนีไปเช่นกัน!

หนวดจักรกลอีกสองอันที่เหลือของดร.อ๊อกโตปุส ปล่อยแสงลีเซอร์ไปทางซู่เจินอย่างรวดเร็ว ทําให้ซู่เจินโบกมือขึ้นมาเล็กน้อย ทันใดนั้นก็มีโล่พลังงานปรากฏขึ้นมาป้องกันแสงเลเซอร์ไว้ได้อย่างง่ายดาย และหลังจากที่แสงเลเซอร์หายไปซู่เจินก็สลายโล่พลังงานของเขาออกทันที และเขาก็พบว่าตอนนี้ดร.อ๊อกโตปุสได้หนีไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยหนวดจักรกลทั้งสองอันของเขา

ถึงแม้ว่าเขาจะเหลือหนวดจักรกลเพียงแค่สองอัน แต่ความเร็วมันก็ไม่ได้ช้าลงเลย!

“รีบตามไปเร็วเข้า อย่าให้ดร.อ๊อกโตปุสหนีไปได้”

” พี่ชายรีบไปจับตัวของเขาเร็วเข้า”

” พี่ชายคนนี้สุดยอดมาก! เขาชื่ออะไร ? ความสามารถของคุณสุดยอดมาก!”

ทันใดนั้นก็มีเสียงปรบมือดังขึ้นมาด้านข้างหูของเขา ทําให้มุมปากของซู่เจินยกขึ้นมาเล็กน้อย “หนี ? เขาวิ่งได้งั้นหรอ ?”

เมื่อซู่เจินพูดจบ ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องของดร.อ๊อกโตปุสที่กําลังวิ่งหนีดังขึ้นมา และเมื่อคนที่อยู่รอบ ๆ หันไปมองพวกเขาก็พบกับกรงขังสีเขียวเข้มที่ขังร่างของดร.อ๊อกโตปุสเอาไว้ข้างใน ไม่สิ มันไม่ใช่กรงแต่มันน่าจะเป็นห้องขังขนาดใหญ่ซะมากกว่า

” กลับมานี่!”

ซู่เจินโบกมือของเขาเล็กน้อย ทันใดนั้นห้องขังขนาดใหญ่ก็ลอยกลับมาหาซู่เจินอย่างรวดเร็ว และหลังจากที่มันมาถึงด้านหน้าของซูเงินมันก็ร่วงลงกับพื้นทันที ทําให้บริเวณรอบ ๆ เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นมาเล็กน้อย

หลังจากนั้นซู่เจินก็ยกมือของเขาขึ้นอย่างช้า ๆ ทันใดนั้นก็มีดาบสองเล่มที่ดูคล้าย ๆ กับดาบของราชวงค์ถังปรากฏขึ้นมาบนมือของซู่เจิน

อึก! ตึง!

ประตูห้องขังค่อย ๆ เปิดออกอย่างช้า ๆ พร้อมกับมีหนวดจักรกลพุ่งเข้ามาโจมตีซู่เจินอย่างรวดเร็ว

“ระวัง…”

เมื่อคนที่อยู่รอบ ๆ เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาก็ร้องอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจทันที

ซู่เจินหัวเราะเยาะเย้ยขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับเหวี่ยงดาบทั้งสองเล่มเข้าไปปะทะกับหนวดจักรกลอย่างรวดเร็ว

แคร่ก!

หนวดจักรกลทั้งสองอันถูกดาบของซู่เจินตัดขาดออกจากกันได้อย่างง่ายดาย หลังจากนั้นซู่เจินก็ชูดาบของเขาขึ้นอีกครั้ง ราวกับว่าเขากําลังจะตัดหนวดจักรกลพวกนี้ให้กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่ในขณะนั้นดร.อ๊อกโตปุสก็ยิงแสงเลเซอร์ออกมาอีกครั้ง ทําให้ซู่เจินรีบเปลี่ยนห้องขัง ให้กลายเป็นโล่พลังงานและถือเอาไว้ในมือซ้ายของเขาอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นซู่เจินก็ก้าวขึ้นไป ข้างหน้าเพื่อต่อสู้กับแสงเลเซอร์ทันที

“ตายไปซะ”

ดร.อ๊อกโตปุสที่ตอนนี้กําลังเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก เขาพยายามที่จะเพิ่มพลังงานของแสงเลเซอร์ให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่มันก็ไม่สามารถทําอะไรซู่เจินได้เลยแม้แต่น้อย!

ซู่เจินเหวี่ยงดาบที่มือขวาของเขาโจมตีไปที่หนวดจักรกลที่กําลังยิงแสงเลเซอร์อยู่อย่างรวดเร็ว ทําให้หนวดจักรกลอันนั้นขาดออกจากกันอย่างง่ายดาย แต่ถึงอย่างนั้นพลังงานของแสงเลเซอร์มันก็ยังไม่ได้หมดลงไปในทันที ทําให้หลังจากที่หนวดจักรกลถูกตัดขาด แสงเลเซอร์ก็เปลี่ยนทิศทางการโจมตีไปที่พื้นทันที ทําให้เกิดรูขนาดใหญ่ขึ้นมา และหลังจากนั้นไม่นานมันก็ค่อย ๆ ดับไป

“จําไว้ถ้าเกิดว่าชาติหน้ามีจริง อย่าได้คิดมาต่อสู้กันตรงหน้าของผมอีกเป็นครั้งที่สอง!”

หลังจากที่ซู่เจินเปลี่ยนโล่พลังงานให้กลายเป็นดาบเหมือนเดิมเรียบร้อยแล้ว เขาก็พูดขึ้นมาอย่างเย็นชาพร้อมกับเหวี่ยงดาบทั้งสองเล่มของเขา

ทําให้ดาบทั้งสองเล่มพุ่งเข้าหากันอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้นหัวของดร.อ๊อกโตปุสก็กระเด็นออกไปพร้อมกับร่างของเขาที่ค่อย ๆ ตกลงมากระแทกกับพื้น

บริเวณรอบ ๆ ตกลงสู่ความเงียบสงบ …

ราวกับว่าโลกใบนี้ถูกแช่แข็ง พร้อมกับเสียงตะโกนโห่ร่องที่ค่อย ๆ เงียบหายไป

ดาบทั้งสองเล่มของซู่เจินค่อย ๆ ระเหยหายไปในอากาศ หลังจากนั้นซู่เจินก็ก้มลงไปมองที่เสื้อผ้าของเขาเล็กน้อย และพบว่าเสื้อผ้าของเขามันไม่มีเลือดสักหยด ทําให้เขาพยักหน้าขึ้นมาด้วยความพึงพอใจเล็กน้อย

” คุณดื่มเสร็จแล้วหรอ ? พวกเราไปกันเถอะ! ”

เมื่อซู่เจินเดินกลับเข้าไปในร้านกาแฟ เขาก็ถามเปปเปอร์ขึ้นมาทันที

แน่นอนว่าเปปเปอร์ยังไม่ได้ดื่มกาแฟเลยแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็พยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ โดยไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินคําพูดของซู่เจิน ทําให้ซู่เจินเอามือของเขาไปจับตัวของเปปเปอร์ และพาเธอบินออกไปทันที

ในขณะเดียวกันด้านนอกตอนนี้ก็มีร่างของดร.อ๊อกโตปุสที่หัวและร่างกายของเขากําลังแยกจากกันอยู่ พร้อมกับหนวดจักรกลที่กระจัดกระจายอยู่รอบ ๆ และแน่นอนว่า ยังมีสไปเดอร์แมนอีกคนหนึ่งที่กําลังนอนไม่ได้สติอยู่ไม่ไกล

เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ ๆ ก่อนที่จะมีใครบางคนพูดขึ้นมาเบา ๆ

“เอ่อ … ฉันรู้สึกหวาดกลัวมากในตอนนี้! เขาฟาดดาบทั้งสองเล่มตัดหัวของดร.อ๊อกโตปุสและก็หินหายไป”

“คุณจะกลัวอะไร ? นั่นมันคือกังฟูของจีน มันดูเจ๋งจะตาย!”

“ใช่ ๆ เขาสามารถฆ่าดร.อ๊อกโตปุสที่เป็นถึงอาชญากรตัวฉกาจลงได้ แถมเขายังได้ช่วยชีวิตของสไปเดอร์แมนเอาไว้อีก ฉันบอกได้เลยว่าเขาคือซูเปอร์ฮีโร่ตัวจริง เพราะถึงยังไงดร.อ๊อกโตปุสก็สมควรตายอยู่แล้ว!”

หลังจากนั้นไม่นาน ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ก็เริ่มพูดคุยกันเจี้ยวจ้าวเต็มหมด จนทําให้ความกลัวและความตกใจของพวกเขาค่อย ๆ จางหายไป

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าซู่เจินเป็นใคร แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็สามารถจดจํารูปร่างหน้าตาของซู่เจินได้อย่างแม่นยํา

“คุณกลัวงั้นหรอ?”

ระหว่างทางที่พวกเขากําลังบินกลับไปที่ฐาน ซู่เจินสังเกตเห็นว่าเปปเปอร์เงียบไปผิดปกติ ทําให้เขาจึงถามเธอขึ้นมาเบา ๆ

เปปเปอร์พยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ และพูดว่า “ก็ … นิดหน่อย”

” ทําไม ? คุณก็รู้ว่าเขาเป็นคนเลว และถ้าเกิดว่าไม่มีผมอยู่ในวันนี้คุณก็คงจะโดนเขาทําร้ายอย่างแน่นอน! “ ซู่เจินพูดขึ้นมาเบา ๆ

เปปเปอร์ส่ายหัวและพูดว่า “ฉันไม่รู้! มันอาจจะเป็นเพราะว่า ฉันแค่ตื่นตกใจนิดหน่อ ยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าฉันไม่เคยเห็นคนตาย แต่วิธีการของคุณมันค่อนข้างจะรุนแรงสักเล็กน้อย ทําให้ฉันรู้สึกกลัวเล็กน้อยในตอนแรก แต่ตอนนี้ฉันดีขึ้นมากแล้วล่ะ! ”

“ดีแล้ว! เพราะว่าผมไม่อยากให้เหตุการณ์ในครั้งนี้มันมีกระทบต่อความประทับใจของคุณที่มีต่อคุณ!” ซู่เจินพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ

แน่นอนว่าการฆ่าดร.อ๊อกโตปุสไม่ใช่หน้าที่ของซู่เจินเลยแม้แต่น้อย เพราะถึงอย่างไรดร.อ๊อกโตปุสก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่ไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไร แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นอาชญากรและเขาก็ได้ตายไปแล้ว ดังนั้นไม่เพียงแต่มันจะช่วยทําให้ผู้คนรู้จักเขามากขึ้น แต่มันยังช่วยทําให้พวกเขาได้รู้ด้วยว่าเขาไม่ใช่คนที่จะมายั่วยุได้ง่าย ๆ

แต่เมื่อพูดถึงเรื่องนี้การตายของดร.อ๊อกโตปุสก็ไม่ค่อยยุติธรรมสักเท่าไหร่ เพราะถ้าเกิดว่า ดร.อ๊อกโตปุสไม่มารบกวนเวลาของเขาและเปปเปอร์ เขาก็คงจะไม่ตายแบบนี้ … หลังจากที่ซู่เจิน และเปปเปอร์กลับมาถึงที่ฐาน เปปเปอร์ก็กลับมาเป็นปกติเรียบร้อยแล้ว ทําให้เธอรีบเดินไปหาบริ้งค์ทันทีเพื่อจัดการเรื่องคนงานของของบริษัท Damage Control

ทันใดนั้นโทรศัพท์ของซู่เจินก็ดังขึ้น …

ซู่เจินไม่คิดมาก่อนเลยว่าเขาจะต้องมาเจอกับสถานการณ์อะไรแบบนี้ หลังจากที่เขาออกมาช้อบปิ้งและดื่มกาแฟกับเปปเปอร์ก็แค่นั้น ซึ่งในขณะเดียวกันทางด้านของสไปเดอร์แมนในตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าเขาจะถูกหนวดจักรกลของดร.อ๊อกโตปุสจับตัวเอาไว้ และหลังจากนั้นไม่นานดร.อ๊อกโตปุสก็เอาร่างของเขากระแทกเข้ากับกําแพงอย่างรุนแรง ทําให้ซู่เจินที่มองอยู่ห่าง ๆ ถึงกับยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

มันน่าจะเจ็บมาก!

“คุณมีฝีมือแค่นี้เองงั้นหรอ ? ฉันก็คิดว่าคุณจะมีลูกเล่นอะไรใหม่ ๆ มากกว่านี้ซะอีก!” สไปเดอร์แมนตะโกนบอกกับดร.อ๊อกโตปุสพร้อมกับยิงใยแมงมุมออกไปอย่างรวดเร็ว

“วิส!” ใยแมงมุมพุ่งเข้าใส่หน้าของดร.อ๊อกโตปุสอย่างแม่นยํา ทําให้ดร.อ๊อกโตปุสต้องยื่นมือของเขาออกมาเพื่อดึงใยแมงมุมออกจากหน้าของเขา และในจังหวะนั้นสไปเดอร์แมนก็รีบยิงใยแมงมุมไปที่กําแพงด้านหลังของดร.อ๊อกโตปุสอย่างรวดเร็วพร้อมกับยกเท้าของเขาขึ้นมาถีบไปที่ ดร.อ๊อกโตปุสอย่างรุนแรง

“อ๊าก …”

“วิส!” ทันใดนั้นข้อเท้าของสไปเดอร์แมนก็ถูกอะไรบางอย่างพันเข้าด้วยกันพร้อมกับมีแรงจํานวนมหาศาลที่ดึงร่างของเขาเหวี่ยงไปกระแทกเข้ากับกําแพงอย่างรวดเร็ว

ทําให้เกิดรูขนาดใหญ่ขึ้นบนกําแพงทันที และเมื่อสไปเดอร์แมนมองไปที่ใบหน้าอันแสนหน้ากลัวของเวนอม เขาก็ถึงกับตกตะลึง ทําให้เวนอมที่เห็นแบบนั้นถึงกับแสดงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา พร้อมกับยกแขนที่กํายําของมันจับไปที่ตัวของสไปเดอร์แมนขึ้นมา และโยนออกไปอย่างรุนแรง

ซึ่งทิศทางที่เวนอมโยนมา….มันดันเป็นทิศทางของร้านกาแฟที่พวกเขาอยู่

” อ้า … หนีเร็ว!”

เมื่อเห็นว่าร่างของสไปเดอร์แมนกําลังพุ่งมาทางร้านที่พวกเขาอยู่ เปปเปอร์ก็รีบร้องตะโกนขึ้นมาทันที

“ไม่ต้องห่วงมีผมอยู่ทั้งคน”

ซู่เจินยิ้มให้กับเปปเปอร์เล็กน้อยพร้อมกับหยิบกาแฟขึ้นมาจิบเบา ๆ

เพล้ง!

หน้าต่างกระจกของร้านกาแฟถูกร่างของสไปเดอร์แมนพุ่งชนเข้าอย่างรุนแรง พร้อมกับร่างของสไปเดอร์แมนที่กําลังกระเด็นเข้าไปข้างในร้านอย่างรวดเร็ว แต่ทันใดนั้นก็มีหนวดจักรกลพุ่งเข้ามาดึงร่างของสไปเดอร์กลับไป

ในขณะเดียวกันทางด้านของดร.อ๊อกโตปุสที่แกะใยแมงมุมออกจากหน้าของเขาเรียบร้อยแล้ว เขาก็หันไปมองรอบ ๆ เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และทันใดนั้นเขาก็มองเห็นร่างของสไปเดอร์แมนที่บินผ่านเขาไป ทําให้เขารีบใช้หนวดจักรกลของเขาพุ่งไปจับตัวของสไปเดอร์แมนกลับมาอย่างรวดเร็ว และทุบลงไปที่สไปเดอร์แมนอย่างรุนแรง

เขาทุบไปที่ใบหน้าของสไปเดอร์แมนอย่างแม่นยํา

ร่างของสไปเดอร์แมนที่น่าสงสารถูกทุบจมลงหายไปกับพื้นถนนอย่างรวดเร็ว

” เกิดอะไรขึ้น”

กระบวนการทั้งหมดมันเกิดขึ้นเร็วมาก มากจนเปปเปอร์ตอบสนองไม่ทัน เพราะเมื่อเปปเปอร์ได้สติเธอก็เห็นว่าสไปเดอร์แมนถูกดร.อ๊อกโตปุสจัดการไปเรียบร้อยแล้ว

” พระเจ้าช่วย! คุณรีบไปช่วยเขาเร็วเข้า!”

เปปเปอร์รีบตะโกนไปทางซูเงินอย่างรวดเร็ว

ซู่เจินค่อย ๆ วางแก้วกาแฟของเขาลงช้า ๆ และมองไปที่สไปเดอร์แมนเล็กน้อย และในขณะที่ซู่เจินกําลังพูดขึ้นมา ทันใดนั้นก็มีหนวดจักรกลมาอยู่ตรงหน้าของเขา

“จะช่วยเขา ? เพียงเพราะผู้หญิงขอร้อง ? ” หนวดจักรกลอีกอันหนึ่งของดร.อ๊อกโตปุสค่อย ๆ ยกร่างของสไปเดอร์แมนขึ้นมา ซึ่งร่างของสไปเดอร์แมนในตอนนี้ก็มีสภาพยับเยินเป็นอย่างมาก แขนทั้งสองข้างของเขาห้อยลงมา พร้อมกับแววตาที่ดูเหม่อลอยอย่างเห็นได้ชัด

“ว่า! แย่จัง”

ซู่เจินเม้มริมฝีปากของเขาขึ้นเล็กน้อย ซึ่งซู่เจินในตอนนี้ไม่ได้มองไปที่ดร.อ๊อกโตปุสเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าตอนนี้เขากําลังมองไปที่เวนอมที่กําลังนอนอยู่บนกําแพงด้วยความสนใจเล็กน้อย… เขาสามารถกลืนกินเวนอมเข้าไปได้ไหม ?

“คุณควรนั่งดูอยู่ที่นี่เงียบ ๆ แล้วก็… รสชาติกาแฟของที่นี่อร่อยมาก ดังนั้นคุณควรดื่มมันเยอะ ๆ ส่วนเรื่องของทางนี้ … “ ซู่เจินหันไปพูดกับเปปเปอร์ด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นเขาก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนและเดินออกไปด้านนอกร้าน

“ฮ่า ๆ แกมาทําอะไรที่นี่ ? อยากช่วยสไปเดอร์แมนงั้นหรอ ? เพียงเพราะผู้หญิงขอร้อง ? แกรู้ไหมว่าแค่หนวดจักรกลของฉันเส้นเดียวก็สามารถจัดการกับแกได้แล้ว!” หนวดจักรกลค่อย ๆ ลอยเข้าไปอยู่ตรงหน้าของซู่เจินอย่างช้า ๆ

ซู่เจินขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นมาอย่างแผ่วเบาว่า “อันที่จริงผมก็ไม่ค่อยอยากยุ่งเกี่ยวเรื่องของคุณและสไปเดอร์แมนสักเท่าไหร่ เพราะนี่จะถือได้ว่าเป็นบทเรียนครั้งสําคัญให้กับเขา แต่ใครบอกให้คุณเลือกสถานที่ผิดล่ะ ? คุณรู้ไหมว่ามันรบกวนเวลาการดื่มกาแฟของผม บวกกับการที่สาวสวยคนนั้นขอร้องผมมาอีก ผมก็เลยจะต้องสั่งสอนพวกคุณสักเล็กน้อย แล้วพวกคุณคนไหนที่จะเข้ามาเป็นคนแรก ? คนที่กําลังนอนอยู่บนกําแพงดีไหม ? ”

ซู่เจินพูดขึ้นมาพร้อมกับหันไปมองทางเวนอม

“ฮ่าฮ่าฮ่า … ฉันไม่รู้ว่าแกมันบ้าหรือโง่กันแน่ที่อยากให้เจ้านั่นสู้กับแกเป็นคนแรก! แกรู้ไหมว่าเจ้านั่นมันเป็นตัวอะไร ? มันคือเวนอม สัตว์ประหลาดจากต่างดาวที่มีความแข็งแกร่งมากกว่า สไปเดอร์แมน!” เมื่อดร.อ๊อกโตปุสเห็นว่าซู่เจินประเมินความสามารถของเขาเอาไว้สูงมาก และหันไปพูดยั่วยุกับเวนอมแทน มันก็ทําให้เขาถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความเยาะเย้ยทันที

“เขาสามารถฆ่าแกได้ด้วยนิ้วเดียว!”

“จริงเหรอ? ” ซู่เจินหันไปมองรอบ ๆ ด้วยดวงตาที่ลุกโชนเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของการต่อสู้ ในขณะเดียวกันทางด้านเวนอมก็มีความรู้สึกเหมือนกับว่าตัวของมันกําลังจมลงไปใต้น้ำแข็ง อันตราย ผู้ชายคนนี้อันตรายมาก!

เวนอมคลานขึ้นไปบนกําแพงเล็กน้อยและมันก็หยุดนิ่งราวกับว่ามันไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ทําให้ ดร.อ๊อกโตปุสถึงกับมึนงงเล็กน้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้จักตัวตนของเวนอมเป็นอย่างดี เพราะว่ามันไม่ใช่คนที่จะกลับกลอกคําพูดของตัวเองอย่างแน่นอน

หลักจากนั้นไม่นานเวนอมก็เริ่มกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง

“ใช่! นายควรไปต่อสู้กับเขา เพราะมันอาจจะทําให้เขาสามารถมีชีวิตได้นานขึ้นอีกสักเล็กน้อย ” ดร.อ๊อกโตปุสถึงกับหยุดพูดอย่างกะทันหันราวกับว่ากําลังมีคนบีบคอของเขาอยู่ เขาค่อย ๆ มองไปที่เวนอมที่วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วด้วยความไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเองเวนอมนี่นะวิ่งหนี ?

แทนที่มันจะสั่งสอนให้ชายคนนี้ได้รู้ซึ้งถึงความแตกต่างระหว่างสวรรค์กับโลก แต่มันดันเลือกวิ่งหนี!

“ทําไม …. ทําไมมันถึงได้วิ่งหนี” ดร.อ๊อกโตปุสพึมพําขึ้นมาเบา ๆ

“บางที่อาจจะเป็นเพราะว่าผมน่ากลัวเกินไป ? ”

ซู่เจินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นว่าเวนอมวิ่งหนีไปแบบนั้น ซึ่งสาเหตุของมันก็น่าจะมาจากจิตวิญญาณการต่อสู้ของเขาที่มันรุนแรงมากเกินไป จนทําให้เวนอมรู้สึกได้ถึงภัยคุกคามและเลือกที่จะหนีไปโดยไม่ต่อสู้

“กลัว ? จะบอกว่ามันกลัวแกว่างั้น ? อย่ามาทําตลกให้มาก แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงได้กล้าพูดแบบนี้ออกมา! เอ่อ … ฉันลืมไปว่าแกเป็นคนที่สติไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เพราะว่าอยู่ดี ๆ แกก็ส่งตัวเองมาให้ฉันฆ่าถึงที่! “

ดร.อ๊อกโตปุสไม่เชื่อว่าเวนอมจะหนีไปเพราะว่ามันกลัวผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าของเขา เพราะดูยังไงผู้ชายคนนี้ก็ดูเหมือนกับผู้ป่วยทางจิต อย่างไรก็ตามตอนนี้สไปเดอร์แมนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอีกต่อไป แล้วทําไมเขาถึงไม่รีบจัดการผู้ชายคนนี้ให้จบ ๆ ไป ? และเมื่อดร.อ๊อกโตปุสนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เขาก็รีบควบคุมหนวดจักรกลของเขาโจมตีไปที่ซู่เจินอย่างรวดเร็ว

“ปัง!” หนวดจักรกลขนาดใหญ่กระแทกลงไปที่พื้นอย่างรุนแรง ทําให้พื้นที่บริเวณรอบ ๆ ถึงกับแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พร้อมกับฝุ่นควันที่ปกคลุมรอบ ๆ เต็มไปหมด

“ฮ่า ๆ แกมันก็เป็นแค่อาหารเรียกน้ําย่อยของฉันก่อนที่ฉันจะฆ่าสไปเดอร์แมนก็เท่านั้น ไม่ต้องห่วงฉันจะส่งสไปเดอร์แมนตามแกไปอย่างแน่นอน!” หนวดจักรกลสามารถยกน้ําหนักได้มากถึงแปดตัน และถ้าเกิดว่าเอาหนวดจักรกลไปทําการต่อสู้มันจะสามารถเพิ่มความรุนแรงได้มากถึงสิบต้น ดังนั้นดร.อ๊อกโตปุสจึงคิดว่าซู่เจินในตอนนี้ได้ละเอียดเป็นเนื้อบดแล้วอย่างแน่นอน!

ดร.อ๊อกโตปุสค่อย ๆ ยกร่างของสไปเดอร์แมนมาไว้ข้างหน้าของเขา พร้อมกับใช้หนวดจักรกลจับไปที่แขนและขาทั้งสองข้างของสไปเดอร์แมนเอาไว้ เพื่อเตรียมพร้อมสําหรับการฉีกร่างของสไปเดอร์แมนให้ออกมาเป็นชิ้น ๆ

หนวดจักรกลค่อย ๆ ดึงแขนและขาของสไปเดอร์แมนออกจากกันอย่างช้า ๆ ทําให้สไปเดอร์แมนในตอนนี้ถึงกับร้องครวญครางออกมาด้วยความเจ็บปวด

” ผมบอกยังว่า … ให้คุณสามารถฆ่าเขาได้ ? คุณอยากตายใช่ไหม ? ”

ในขณะที่ดร.อ๊อกโตปุสกําลังจะฉีกร่างของสไปเดอร์แมน ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงพูดขึ้นมาจากทางด้านหลังเขา ทําให้เขารีบหันไปมองทันที และเขาก็พบเข้ากับซู่เจินที่ปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับฝุ่นควันที่ค่อย ๆ ปลิวหายไป ทําให้เขาถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจและรีบโยนสไปเดอร์แมนทิ้งไปที่พื้นบริเวณด้านข้างทันที

“นี่เป็นไปได้อย่างไร ? ทําไมแกถึงยังมีชีวิตอยู่ เป็นเป็นไม่ได้ แก แกเป็นใครกันแน่?”

ทันใดนั้นเปปเปอร์ก็มาหาซ่เงินพร้อมกับพูดทักทายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเธอก็สรุปสถานการณ์คราว ๆ เกี่ยวกับบริษัทแห่งนี้ให้ซู่เจินฟัง โดยที่เธอยังบอกอีกว่าบริษัทแห่งนี้เป็นคนที่ซ่อมตึกสตาร์คทาวเวอร์ให้กับโทนี่หลังจากจบสงครามใจกลางนิวยอร์ก ดังนั้นเมื่อพูดถึงความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพการทํางานของบริษัทแห่งนี้แล้ว เธอจึงเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้กับบริ้งค์ฟัง แล้วให้บริ้งค์ไปบอกกับซู่เจินต่ออีกที่หนึ่ง

เมื่อมองไปยังรูปลักษณ์ที่พิถีพิถันของเปปเปอร์ ซู่เจินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดขึ้นมาว่า “คุณรู้ไหมว่ารูปลักษณ์ของคุณในตอนนี้มันทําให้ผมรู้สึกไม่คุ้นเคยเล็กน้อย และผมก็ขอพูดตามตรงเลยนะว่าผมเริ่มกังวลขึ้นมานิดหน่อยแล้วว่าถ้าเกิดคุณไม่อยู่ที่นี่หลังจากสร้างฐานเสร็จแล้ว ผมจะเป็นอย่างไรหลังจากที่ผมเคยชินกับรูปลักษณ์ของคุณในรูปแบบนี้ไปแล้ว!”

เปปเปอร์ยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

“เดี๋ยวคุณช่วยติดต่อบริษัทนี้ให้ผมหน่อย ผมอยากลองคุยกับพวกเขาดูก่อน!”

“ฉันรู้ว่าบริษัทของพวกเขาอยู่ที่ไหน ดังนั้นคุณสามารถไปหาพวกเขาได้ในตอนนี้เลย เพราะ ถ้าเกิดว่าให้พวกเขามาที่นี่มันอาจจะไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไหร่ แถมถ้าคุณไปที่นั่นคุณก็สามารถทําความเข้าใจเกี่ยวกับบริษัทของพวกเขาได้ง่ายขึ้นด้วย!”

“เอาล่ะ! งั้นผมขอรบกวนคุณให้ไปเป็นเพื่อนผมหน่อยได้ไหม?” ซู่เจินถามขึ้นมาด้วยความเกรงใจเล็กน้อย

“ให้ฉันไปเรียกบริ้งค์มาให้ไหม?” ในช่วงเวลาที่เปปเปอร์อยู่ที่นี่ เธอได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างมากมาย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเกิดว่าเธออยากออกไปนอกเกาะ เธอก็แค่เดินไปหาบริ้งค์ เพราะถึงยังไงที่นี่มันก็ค่อนข้างอยู่ห่างไกลจากชายฝั่งมาก

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมพาคุณไปที่นั่นเอง แล้วคุณอยากไปแบบไหนล่ะ บิน หรือว่า เรือ ? ”

ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม และหลังจากนั้นไม่นานเปปเปอร์ก็ตัดสินใจเลือกที่จะบินไป เพราะว่า … มันค่อนข้างจะสะดวกในการเดินทาง แถมเธอก็ยังเคยลองบินด้วยชุดเกราะไอรอนแมนมาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งมันให้ความรู้สึกที่ดีมาก ๆ

“คุณรู้สึกอย่างไรบ้างตอนนี้?”

เมื่อพวกเขาทั้งสองคนเดินมาถึงท้ายเกาะ ซู่เจินก็เปลี่ยนพลังงานของอนุภาคอีเทอร์ให้กลายเป็นชุดเกราะเหล็กคล้าย ๆ กับไอรอนแมนขึ้นมาครอบคลุมร่างกายของเปปเปอร์เอาไว้ ซึ่งชุดเกราะอันนี้มันเป็นสีเขียวเข้ม

เปปเปอร์รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากเมื่อเธอเห็นว่าจู่ ๆ ก็มีชุดเกราะปรากฏขึ้นมาบนร่างกายของเธอ ทําให้เธอลองควบคุมมันเล็กน้อย และหลังจากนั้นไม่นานไอพ่นที่อยู่ใต้เท้าของเธอมันก็ค่อย ๆ เริ่มทํางานและส่งตัวของเธอบินขึ้นไปด้านบนทันที

“โอ้พระเจ้า! มันสุดยอดมาก แถมมันยังให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าฉันกําลังบินอยู่จริง ๆ ด้วย” เปปเปอร์พูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับตัวของเขาที่ค่อย ๆ ลอยขึ้นและบินตามเปปเปอร์ไปอย่างรวดเร็ว

นิวยอร์ก เมืองแมนแฮตตัน , สี่แยกถนนบรอดเวย์ มีตัวตึกที่มีรูปร่างทันสมัยตั้งอยู่ตรงใจกลางของสี่ยก

ตึกแฟลตไอรอน

หรือก็คือสํานักงานของใหญ่ของบริษัท Damage Control

หลังจากที่ซู่เจินและเปปเปอร์เดินทางมาถึง พวกเขาก็ค่อย ๆ ร่อนลงกับพื้นอย่างช้า ๆ และเดินเข้าไปด้านในด้วยกันทันที ภายใต้สายตาที่จ้องมองมาที่พวกเขาทั้งสองคนด้วยความประหลาดใจ

เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปถึงด้านใน เปปเปอร์ก็เดินเข้าไปพูดคุยกับพนักงานตอบรับอย่างรวดเร็ว ทําให้ซู่เจินได้แต่ยืนรอและมองไปรอบ ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น และหลักจากนั้นไม่นานเปปเปอร์ก็พาซ่เงินเดินไปที่ลิฟต์และขึ้นไปชั้นบนสุด เพื่อพบกับผู้อํานวยการฝ่ายปฏิบัติการของบริษัทแห่งนี้ ซึ่งเธอมีชื่อว่า แอนน์ แมรี่ หญิงสาววัยกลางคนที่มีน่าตาสละสลวย และความสามารถมากมาย

ในระหว่างที่ซู่เจินอยู่ในลิฟต์เขาก็อธิบายให้กับเปปเปอร์ฟังคราว ๆ ว่าเขาต้องการอะไรประมาณไหน เพราะถึงยังไงเปปเปอร์ก็เป็นนักธรุกิจดังนั้นเขาจึงฝากให้เธอเป็นคนจัดการจะดีกว่า ส่วนเหตุผลที่เขามาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อมาดูว่าบริษัทแห่งนี้มันน่าเชื่อถือจริง ๆ หรือเปล่า!

ในขณะที่เปปเปอร์กําลังนั่งพูดคุยเรื่องธุรกิจกันอยู่ ซู่เจินก็จ้องมองไปที่ แอนน์ แมรี่ เล็กน้อย และเขาก็เห็นว่าผู้หญิงคนนี้เป็นผู้หญิงที่ฉลาดและเก่งมาก ๆ เพราะถ้าเธอไม่เก่งจริง ๆ เธอก็คงไม่สามารถดูแลบริษัททั้งหมดได้แบบนี้อย่างแน่นอน

“คุณแอนน์” ในขณะที่พวกเธอกําลังนั่งพูดคุยกับอยู่ จู่ ๆ ซู่เจินก็พูดแทรกขึ้นมาอย่า งกะทันหัน

แอนน์ แมรี่ หันหน้าไปมองทางซู่เจินเล็กน้อย ทันใดนั้นซู่เจินก็ใช้พลังจิตของเขาควบคุมแอนน์ แมรี่ อย่างรวดเร็ว พร้อมกับถามคําถามขึ้นมาสองสามข้อ ซึ่งมันก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย เพราะซู่เจินก็แค่อยากรู้ว่าแบบแปลนฐานและวงจรอื่น ๆ ภายในฐานพวกเขาจะถูกนําออกไปขายให้กับคนอื่นได้หรือไม่ ? แล้วแบบแปลนฐานของเขาจะถูกเก็บเอาไว้ในบริษัทของเธอใช่ไหม ? และจะทําอย่างไรถ้าเกิดว่ามันรั่วไหลออกไป ?

ซึ่งซู่เจินก็รู้สึกพอใจมากสําหรับคําตอบที่เธอพูดออกมา และเห็นได้ชัดว่าทําไมบริษัทแห่งนี้มันถึงได้อยู่รอดมาจนถึงปัจจุบัน เพราะว่าพวกเขาจะทําลายแบบแปลนทั้งหมดทิ้งทันทีที่พวกเขาทํางานเสร็จ พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบคนงานทุกคนอย่างละเอียด เพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหว และความปลอดภัยของลูกค้า

แม้ว่าซู่เจินจะไม่สามารถจับผิดพวกเขาได้ แต่มันก็ไม่มีหนทางอื่นแล้วที่เขาจะทําให้ฐานของเขามันสร้างในเร็วกว่านี้ เว้นแต่ว่าเขาจะสามารถกลืนกินอนุภาคอีเทอร์ได้จนหมดและใช้พลังของอนุภาคอีเทอร์สร้างฐานของเขาขึ้นมาด้วยตัวเอง

หลังจากที่ซู่เจินเก็บพลังจิตของเขากลับมา เขาก็ปรับเปลี่ยนความทรงจําของเธอเล็กน้อย เพื่อไม่ให้เธอรู้ว่าเมื่อกี้เขาควบคุมจิตใจของเธออยู่ ซึ่งหลังจากที่พวกเขาตกลงอะไรกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซู่เจินก็เซ็นลงนามในสัญญาเพื่อให้แน่ใจว่าฐานของเขาจะเสร็จภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนพร้อมกับส่งคนไปเริ่มงานทันที

หลังจากนั้นซู่เจินและเปปเปอร์ก็พากันเดินออกมาจากตึกแฟลตไอรอน

เอ่อ …. ชื่อตึกของบริษัทนี้มันแปลกจริง ๆ

ซู่เจินบ่นพึมพําขึ้นมาเล็กน้อย และค่อย ๆ หันไปมองที่เปปเปอร์และพูดขึ้นมาว่า ”คุณมีอะไรที่อยากได้ไหม?”

เปปเปอร์ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยและพูดว่า “ฉันอยากได้เสื้อผ้าใหม่สักสองสามชุด เพราะว่าเมื่อกี้ตอนที่ฉันออกมาฉันรีบเกินไปจนลืมหยิบเสื้อผ้ามาเปลี่ยน

“โอเค!”

ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม และพาเปปเปอร์ไปเดินซื้อของด้วยกันทันที

อย่ามองว่าที่เปปเปอร์ชอบแต่งตัวอย่างเป็นทางการบ่อย ๆ เพราะเธอชอบมัน แต่มันเป็นเพราะเธอจะต้องออกไปทําการเจรจาธุรกิจอยู่บ่อย ๆ ทําให้เธอมักจะแต่งตัวแบบนี้เสมอ ส่วนเวลาตามปกติเธอก็จะแต่งตัวเหมือนผู้หญิงธรรมดาทั่วไป ทําให้ในมือของซูเงินในตอนนี้มันเต็มไปด้วยถุงเสื้อผ้ามากมาย

เพราะเวลาที่ผู้ชายไปซื้อของกับผู้หญิงจะปล่อยให้ผู้หญิงถือของด้วยตัวเองได้ยังไงจริงไหม ? แถมข้าวของที่ซื้อมาทั้งหมดซู่เจินก็เป็นคนจ่ายเองทั้งหมด เพื่อเป็นสิ่งตอบแทนให้กับเปปเปอร์ที่ช่วยเขาทํางานมากมายในช่วงที่ผ่านมานี้

แม้ว่าซู่เจินจะไม่ได้ร่ํารวยเท่ากับโทนี่สตาร์ค แต่มันก็แค่ในตอนนี้เท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นถ้าเกิดว่าเขาต้องการเงินจริง ๆ เขาก็สามารถหามาได้อย่างง่ายดาย เพราะว่ามันยัง… มีดันเจี้ยนอีกมากมายที่รอให้เขาเข้าไปสํารวจ

“มีร้านกาแฟอยู่ตรงนั้น พวกเราไปนั่งพักกันหน่อยไหม? ” ซู่เจินชี้ไปที่ร้านกาแฟที่อยู่ข้าง ๆ พร้อมกับหันไปพูดกับเปปเปอร์

เมื่อเปปเปอร์ได้ยินเช่นนั้นเธอก็รีบหันไปขอโทษกับซู่เจินอย่างรวดเร็วว่า “ฉันไม่ได้ออกมาเดินซื้อของแบบนี้นานมากแล้ว จนทําให้ฉันลืมตัวไปเลย มันคงทําให้คุณรู้สึกเบื่อมากใช่ไหม?”

“ไม่ ๆ ผมก็แค่กังวลว่าคุณจะเหนื่อย เพราะว่าตอนนี้คุณก็กําลังใส่รองเท้าส้นสูงอยู่แถมขาของคุณก็เล็กมาก” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็พากันเดินไปที่ร้านกาแฟ

หลังจากที่พนังงานเสิร์ฟเอากาแฟมาเสิรฟ์ให้กับซู่เจินและเปปเปอร์เรียบร้อยแล้ว ทันใดนั้นก็มีเสียงวุ่นวายดังขึ้นมาจากด้านนอก ทําให้เปปเปอร์ถึงกับผงะเล็กน้อย ส่วนซู่เจินก็เหลือบมองไปที่ฝูงชนที่แตกตื่นอยู่ด้านนอกเล็กน้อย ในขณะเดียวกันก็มีชายคนหนึ่งที่กําลังใช้อุ้งเท้าเหล็ก ยึดตัวเข้ากับกําแพงส่วนตัวของเขาลอยอยู่กลางอากาศ ซึ่งอุ้งเท้าเหล็กอันนั้นมันก็ดูเหมือนกับหนวดปลาหมึกเล็กน้อย หลังจากนั้นชายคนนั้นก็ย่อตัวลงเล็กน้อยพร้อมกับดีดตัวออกจากกําแพงอย่างรวดเร็ว

“ดร.อ๊อกโตปุส!” ซู่เจินอดไม่ได้ที่จะพึมพําขึ้นมาเบา ๆ ในขณะที่เขามองไปที่ชายคนนั้น เพราะว่าชายคนนั้นคือคู่ปรับตัวฉกาจของสไปเดอร์แมน

ซึ่งซู่เจินก็ไม่คาดคิดเหมือนกันว่าพวกเขาจะมาต่อสู้กันตรงนี้และซู่เจินก็ยังสังเกตเห็นอีกว่า นอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีชายผิวสีอีกคนหนึ่งที่กําลังนอนเหยียดแขนขาอยู่บนกําแพงเหนือหัวของสไปเดอร์แมนขึ้นไป

“นั่นมันไม่ใช่ “เวนอม” งั้นหรอ?”

ซู่เจินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมาอย่างมีชีวิตชีวา

หลังจากที่ซู่เจินออกมาจากร้านอาหารมุมปากของเขาก็ยกขึ้นเล็กน้อย

เนื่องจากตอนแรกซู่เจินคิดว่าไทม์ไลน์ของโลกใบนี้มันจะเหมือนกับสิ่งที่เขาเคยรู้มา ทําให้เขาไม่ค่อยสนใจในตัวของลอเรลมากนักในตอนแรก แต่ตอนนี้ … เขาก็ต้องขอยอมรับเลยว่าเขาเริ่มเปลี่ยนใจแล้ว เพราะว่าลอเรลก็เป็นคน ๆ หนึ่งที่มีรูปร่างและหน้าตาที่ดูดีมาก แถมเธอยังบริสุทธ์อยู่อีกด้วย

ดังนั้นเขาจึงบอกกันว่าความคิดก็เปรียบเสมือนกับการแก้แค้น

เพราะถึงยังไงท้ายที่สุดแล้วลอเรลก็รักซาร่าพี่สาวของเธอเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอเห็นว่าโอลิเวอร์ควีนสามารถรอดชีวิตกลับมาได้อย่างปาฏิหาริย์ ทําให้เธอยังคงมีความหวังอยู่เล็กน้อยว่าพี่ของเธอน่าจะยังคงมีชีวิตอยู่ บวกกับการที่ซู่เจินพูดเรื่องของซาร่าขึ้นมา มันจะต้องทําให้เธออยากรู้มาก ๆ อย่างแน่นอน ดังนั้นนี่จึงถือได้ว่าเป็นการทรมานรูปแบบหนึ่ง!

“ติ๊ง!”

“แบล็ค คานารี่ : ลอเรล แลนซ์ ค่าความสัมพันธ์เพิ่มขึ้น 50%”

หลังจากผ่านไปได้ไม่นาน ซู่เจินก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากระบบดังขึ้น ทําให้เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

เพราะเขาไม่คิดว่ามันจะได้มากถึง 50%?

ดูเหมือนว่าตําแหน่งของเขาในหัวใจของเธอมันจะค่อนข้างสําคัญมาก เพราะถึงยังไงเขาก็เคยช่วยชีวิตของเธอเอาไว้ และเขายังเอาหลักฐานมัดตัวซอมเมอร์มาให้กับเธออีก และยังไม่หมดแค่นั้นเขายังบอกข่าวเกี่ยวกับพี่สาวของเธอให้อีกด้วย ?

แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะถึงอย่างไรมันก็เป็นเรื่องบังเอิญ

ซึ่งเป้าหมายหลักของเขาในตอนนี้จริง ๆ ก็คือการเพิ่มค่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับโอลิเวอร์ควีนอีก 5% ส่วนวิธีการเขาก็ได้คิดเอาไว้แล้วเช่นกัน

ตอนนี้เขายังเหลือเวลาอีกสามวัน ซึ่งภายในสามวันนี้ถ้าเกิดว่าเขาอยู่กับโอลิเวอร์ควีนและพูดคุยสารทุกข์สุกดิบมันก็น่าจะเพียงที่จะเพิ่มค่าความสัมพันธ์อีก 5% ใช่ไหม ? เพราะถึงอย่างไรเขาก็ต้องการพัฒนาทักษะการต่อระยะประชิดของเขาด้วยเช่นกัน

ใช้แผนการมันก็ไม่ได้รวดเร็วเท่ากับการลงมือทําทันที่จริง ๆ เพราะว่าหลังจากที่ซู่เจินมาถึงฐานลับของโอลิเวอร์ควีน เขาก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากระบบดังขึ้นว่าค่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและโอลิเวอร์ควีนเพิ่มขึ้นมาอีก 5% ซึ่งมันก็น่าจะเป็นเพราะหลักฐานที่เขาให้กับลอเรลไป ทําให้ลอเรลสามารถเอาตัวของซอมเมอร์เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้

ดังนั้นในตอนนี้ภารกิจหลักและภารกิจรองของเขาก็เสร็จหมดเรียบร้อยแล้ว

ทําให้ซู่เจินเริ่มผ่อนคลายลงในทันที และเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งในช่วงสามวันที่ผ่านมานี้ตอนเช้าซู่เจินจะหาเวลาว่างไปนั่งพูดคุยเล่นกับโอลิเวอร์ควีน และพอตกกลางคืนเขาก็จะกลับมานั่งดูดกลืนอนุภาคอีเทอร์อยู่ที่ห้อง ทําให้ช่วงเวลาสามวันที่ผ่านมานี้เป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลายมาก ๆ สําหรับซู่เจิน

และก็ต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่าความแข็งแกร่งของซู่เจินในตอนนี้มันก้าวหน้าอย่างรวดเร็วมาก

ทําให้สมรรถภาพร่างกายของซู่เจินในตอนนี้แข็งแกร่งมากกว่าของโอลิเวอร์ควีนในทุก ๆ ด้าน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่เขายังขาดอยู่นั่นก็คือ ประสบการณ์และเทคนิคการต่อสู้ ทําให้ในช่วงสามวันที่ผ่านมานี้ซู่เจินได้พยายามฝึกฝนอย่างหนัก และมันก็ดีขึ้นในทุก ๆ วัน ซึ่งในวันแรกซู่เจินได้ลองสู้กับโอลิเวอร์ควีนโดยใช้แค่ทักษะเท่านั้น ผลก็คือโอลิเวอร์สามารถไล่ต้อนเขาได้จนมุม ส่วนวันที่สองพวกเขาก็เสมอกัน และในวันที่สามซู่เจินก็สามารถชนะได้เป็นครั้ง

และโอลิเวอร์ควีนยังบอกกับเขาอีกว่า เขาเปรียบเสมือนกับฟองน้ำที่สามารถดูดซับน้ำได้อย่างรวดเร็ว เพราะไม่ว่าเขาจะเรียนรู้อะไรเขาก็สามารถทําความเข้าใจเกี่ยวกับมันได้ในทันที ทําให้สิ่งเดียวที่ซู่เจินยังขาดอยู่ในตอนนี้ก็คือ ประสบการณ์

ซึ่งซู่เจินก็เห็นด้วยกับข้อนี้

เพราะว่าการที่เราจะสามารถใช้ความสามารถได้อย่างเต็มประสิทธิภาพนั้น ประสบการณ์เป็นสิ่งที่จําเป็นมาก ๆ!

“คุณจะไปแล้วงั้นหรอ?”

ซู่เจินได้บอกกับโอลิเวอร์ควีนไว้ก่อนแล้วว่าเขากําลังจะต้องออกไปจัดการธุรบางอย่างซึ่งมันก็ทําให้โอลิเวอร์ควีนรู้สึกไม่เต็มใจเล็กน้อย เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อนตอนที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน มันก็ทําให้โอลิเวอร์ควีนรู้สึกเหมือนว่าซู่เจินเป็นเพื่อนของเขาที่รู้จักกันมานานหลายปี

“ผมยังมีเรื่องอื่นที่ต้องจัดการอยู่ ดังนั้นผมขอฝากเมืองสตาร์ซิตี้ไว้กับคุณด้วยก็แล้วกัน” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“ได้! ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ”

“วิส!”

หลังจากที่ซู่เจินบินออกมาได้ไม่นาน เขาก็พบเข้ากับสถานที่ที่ไม่มีคนอยู่บริเวณข้าง ๆ ทําให้เขารีบมุ่งหน้าไปที่นั่นและกดออกจากดันเจี้ยนทันที ซึ่งหลังจากที่ซู่เจินออกมาจากดันเจี้ยนเขาก็ไม่ได้รีบเข้าไปในดันเจี้ยนแห่งแรกต่อในทันที เพราะว่าเขาจะทําการลบดันเจี้ยนของกรีนแลนเทิร์นทิ้งซะก่อน เพื่อที่เขาจะได้เปิดดันเจี้ยนแห่งใหม่ขึ้นมาได้

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ได้เลือกดันเจี้ยนแห่งใหม่ในทันที เพราะว่าตอนนี้เขายังไม่ได้ขาดเหลืออะไร และมันจะดีกว่าถ้าเกิดว่าเขาเก็บมันเอาไว้ใช้ยามที่จําเป็นจริง ๆ และยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้แม็กนีโต้และราชินีสีขาวก็กําลังจับตามองมาที่เขาอยู่ห่าง ๆ เช่นกัน

“ระบบ! คราวนี้รางวัลของภารกิจเป็นยังไงบ้าง?”

ซู่เจินพูดถามระบบขึ้นมาทันที หลังจากที่เขาออกมาจากดันเจี้ยนเรียบร้อยแล้ว

“มากมายมหาศาล!” เสียงของระบบที่ดังขึ้นมาดูสั่น ๆ เล็กน้อย ทําให้ซู่เจินคิดว่ารางวัลของภารกิจในครั้งนี้มันจะต้องดีมากอย่างแน่นอน

” จะเป็นอะไรไหมถ้าเกิดว่าฉันยังไม่เข้าไปในดันเจี้ยนที่เหลือในตอนนี้ ? แล้วเวลารีเฟรชของดันเจี้ยนมันแยกกันหรือว่ารวมกันทั้งหมด ? ” ซู่เจินถามขึ้นมากับระบบ

“โฮสต์สามารถเข้าไปในดันเจี้ยนที่โฮสต์ต้องการได้ตลอดเวลา ส่วนเวลารีเฟรชของดันเจี้ยน มันจะแตกต่างกันออกไปแล้วแต่ดันเจี้ยน ซึ่งมันจะเริ่มนับตั้งแต่ที่คุณออกมาจากดันเจี้ยน …”

“เยี่ยม!” มันคงจะดีไม่น้อยถ้าเกิดว่ามันไม่มีเวลาสําหรับการรีเฟรชดันเจี้ยน

หลังจากนั้นซู่เจินก็เดินออกมาด้านนอกเพื่อสอบถามเกี่ยวกับความคืบหน้าของฐานว่าเป็นอย่างไรบ้าง

และเมื่อบริ้งค์เห็นว่าซู่เจินกลับมาแล้ว เธอก็รีบเดินเข้าไปหาซู่เจินอย่างรวดเร็วพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “บอส! ฉันมีอะไรบางอย่างที่อยากจะถามคุณ!”

” ว่าไง?”

“เปปเปอร์บอกว่าเธอรู้จักใครบางคนที่สามารถสร้างฐานให้กับพวกเราได้ ถึงแม้ว่ามันจะมีราคาที่ค่อนข้างแพง แต่มันก็สามารถสร้างเสร็จได้เร็วกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้อย่างแน่นอน!”

“เอาสิ” ซู่เจินพูดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“แล้วเปปเปอร์ก็ยังบอกอีกว่าบริษัทแห่งนี้มีชื่อว่า “Damage Control” พวกเขามีหน้าที่ในการทําลายอาคาร ฟื้นฟูหรือสร้างขึ้นมาใหม่โดยใช้เวลาอันสั้น โดยการใช้เทคโนโลยีทางด้านวิศวกรรมขั้นสูงซึ่งเป็นความลับทางการค้าของพวกเขา แถมพวกเขายังได้ร่วมมือกับ SHIEDL หรือแม้กระทั่ง Stark Industries ในการใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยนํามาซ่อมแซมตัวอาคารที่ถูกฮีโร่หรือเหล่าวายร้ายที่ทําการต่อสู้กันแล้วเกิดความเสียหาย ซึ่งประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือของบริษัทนี้มันก็ดีมาก ๆ ดังนั้นเปปเปอร์จึงบอกว่าถ้าเกิดว่าบอสให้บริษัทแห่งนี้เป็นคนจัดการเรื่องฐาน มันจะสามารถลดระยะเวลาในการก่อสร้างไปได้อย่างมหาศาลเลยละ!”

“เร็วแค่ไหน?”

” หนึ่งเดือน! เป็นเพราะเวลามันเร็วมาก ดังนั้นบอสจะต้องเอาใจใส่เกี่ยวกับฐานของบอสให้มาก ๆ ไม่งั้นถ้าเกิดว่ามันไม่ถูกใจบอสขึ้นมา พวกเราจะได้แก้ไขกันได้ทันเวลา!”

หนึ่งเดือน? นี่มันเร็วมากจริง ๆ

ในความเป็นจริงซู่เจินก็สงสัยเกี่ยวกับบริษัทแห่งนี้มานานมากแล้ว เพราะไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่มนุษย์ต่างดาวบุกโลก ฮีโร่ปราบเหล่าร้าย หรือแม้กระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างที่มันสามารถสร้างความเสียหายให้กับบริเวณรอบ ๆ ได้ มันจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่และกลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็วโดยบริษัทแห่งนี้ ซึ่งไม่มีบริษัทก่อสร้างแห่งไหนที่สามารถทําแบบนี้ได้อย่างแน่นอน!

มันเป็นไปไม่ได้ที่รัฐบาลจะระดมทีมวิศวกรจํานวนมาก เพื่อมารับผิดชอบเกี่ยวกับการก่อสร้างใช่ไหม ?

“เปปเปอร์สามารถติดต่อกับผู้รับผิดชอบของบริษัทแห่งนี้ได้ใช่ไหม ? งั้นผมฝากบอกเขาหน่อยว่า ผมอยากคุยเรื่องธุรกิจกับเขา! ”

เดิมที่ซู่เจินก็หวังว่าเขาจะสามารถสร้างฐานให้เสร็จได้โดยเร็วที่สุด ซึ่งถ้าเกิดว่าบริษัทแห่งนี้มันเป็นบริษัทที่น่าเชื่อถือก็คงจะดี ดังนั้นซู่เจินจึงอยากลองพูดคุยกับผู้รับผิดชอบของบริษัทเป็นการส่วนตัวซะก่อน และค่อยตัดสินใจดูอีกที่หนึ่งว่าบริษัทแห่งนี้มันจะดูน่าเชื่อถือจริง ๆ ใช่หรือไม่

“ฉันจะไปบอกกับเปปเปอร์ให้” บริ้งค์พยักหน้าเบา ๆ และหันหลังเดินจากไปทันที

ซู่เจินและเฟลิเซ่ค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ พร้อมกับแสงแดดยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาผ่านทางหน้าต่าง หลังจากนั้นซู่เจินก็หันไปมองที่เฟลิเซ่และหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับพูดว่า “ผมบอกแล้วถ้าเกิดว่าเราทํากันจริง ๆ คุณจะไม่ได้กลับไปที่บริษัทอย่างแน่นอน”

“คุณมันคนนิสัยไม่ดี! ขนาดฉันบอกให้คุณพอ แต่คุณก็ยังไม่ยอมหยุด!” เฟลิเซ่พูดขึ้นมาเบา ๆ

ซู่เจินยิ้มและหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ “ไม่มีทาง! เพราะใครทําให้คุณเป็นผู้หญิงที่สุดยอดขนาดนี้ล่ะ! เอาล่ะ …. เด็กดีรีบลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว ผมจะได้พาคุณไปส่ง”

“ฉันไม่มีแรงเลย คุณช่วยพยุงฉันหน่อยได้ไหม” เฟลิเซ่พูดขึ้นมาอย่างยั่วยวนพร้อมกับยื่นมือของเธอออกมา

“ได้สิ”

ซู่เจินหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ และค่อย ๆ อุ้มตัวของเฟลิเซ่ขึ้นมา ..

และเวลาก็ผ่านไปประมาณช่วง 8 โมงเช้า ซู่เจินก็พาเฟลิเซไปส่งที่เมืองวอเตอร์ฟรอนท์อย่างรวดเร็ว โดยที่พวกเขายังไม่ได้ทานอาหารเช้ากันเลยด้วยซ้ำ และหลังจากที่ซู่เจินส่งเฟลิเซ่เสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็บินกลับมาที่เมืองสตาร์ซิตี้อย่างไม่เต็มใจเล็กน้อย

เพราะว่าเขายังมีสิ่งที่ต้องทําอยู่

ซึ่งในตอนนี้เขายังต้องการค่าความสัมพันธ์อีก 5% เพื่อที่จะทําให้ภารกิจของเขามันสําเร็จ ส่วนเรื่องของซอมเมอร์เขาก็ยังจัดการได้ไม่เรียบร้อยเช่นกัน

หลังจากที่ซู่เจินเดินทางมาถึงเมืองสตาร์ซิตี้ เขาก็มุ่งหน้าไปที่สํานักงานกฎหมายของลอเรลอย่างรวดเร็ว

และทันทีที่ซู่เจินเดินเข้าไปด้านใน เขาก็พบกับบรรยากาศที่วุ่นวายเต็มไปหมด เพราะว่าตอนนี้ทุกคนกําลังยุ่งกับงานของตัวเองกันอยู่ ซึ่งหลังจากที่ซู่เจินเดินเข้าไปได้ไม่นานเขาก็พบกับลอเรลที่กําลังนั่งทําหน้าเคร่งเครียดอยู่บนโต๊ะทํางานของเธอ

ทันใดนั้นลอเรลก็เงยหน้าขึ้นมาและพบกับซู่เจินที่กําลังยืนยิ้มให้กับเธออยู่ ทําให้เธอตกใจเล็กน้อยและเริ่มจําซู่เจินได้อย่างรวดเร็ว

“เป็นคุณนี่เอง!”

ลอเรลรีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วและพูดขึ้นมาด้วยความดีใจ แล้วคุณมาทําอะไรที่นี่ ?”

“ผมต้องการคุยธุรอะไรบางอย่างกับคุณ ดังนั้น คุณพอจะมีเวลาไปข้างนอกกับผมสักแปปหนึ่งไหม ? ”

“โอเค!”

ลอเรลหันมาหยิบกระเป๋าของเธอและเดินออกไปพร้อมกับซู่เจินทันที

ณ ร้านอาหาร

เมื่อพวกเขาเดินไปนั่งที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว ลอเรลก็พูดขอบคุณซู่เจินขึ้นมาทันที

“ฉันไม่รู้ว่าจะพูดขอบคุณคุณอย่างไรดี เพราะไม่เพียงแต่คุณช่วยชีวิตของฉันและโอลิเวอร์ควีนเอาไว้เท่านั้น แต่คุณยังช่วยจับตัวของซอมเมอร์มาให้อีก แต่มันก็ … “ ลอเรลพูดขึ้นมาด้วยความรู้สึกหดหู่เล็กน้อย

เจ้าหน้าที่ตํารวจมีหลักฐานไม่เพียงพอ!

” อันที่จริงผมก็รู้อะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับคุณและโอลิเวอร์ควีนมาเล็กน้อย ซึ่งถ้าเกิดว่าผมจําไม่ผิดคุณและโอลิเวอร์ควีนเคยเป็นแฟนเก่ากันมาก่อน และโอลิเวอร์ควีนก็คือคนที่ฆ่าพี่สาวของคุณใช่ไหม ? แล้วทําไมผมถึงรู้สึกว่าคุณดูเหมือนจะไม่ค่อยเกลียดเขาสักเท่าไหร่ ?” ซู่เจินถามขึ้นมาอย่างไม่เป็นทางการ

ลอเรลเงียบไปครู่หนึ่งและพูดขึ้นมาว่า “ทําไมฉันจะไม่เกลียดเขาล่ะ ? ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นแฟนเก่าของฉัน แต่ .. พวกเราก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันมานานมากแล้ว แถมพวกเราก็ยังไม่…ไม่ได้มีอะไรแบบนั้นเกิดขึ้น ซึ่งจุดประสงค์ที่แท้จริงของโอลิเวอร์ควีนก็น่าจะเป็นเพราะเพื่อเข้าใกล้พี่สาวของฉันอย่างแน่นอน และถ้าเกิดว่าฉันรู้ว่ามันจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ฉันก็คงไม่ตอบตกลงกับเขาในตอนนั้นอย่างแน่นอน!”

“หะ?”

นี่มันเป็นเรื่องที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย

และถ้าลองฟังจากน้ำเสียงของเธอดูแล้ว ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับโอลิเวอร์ควีนจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ?

“ฉันจะไม่ให้อภัยเขาอย่างแน่นอน ไม่มีวัน! แต่เมื่อฉันเห็นใบหน้าของเขาขึ้นมาเมื่อไหร่ มันก็ทําให้ฉันคิดถึงพี่สาวของฉันขึ้นมาทุกที “ ลอเรลมองไปที่ซู่เจินและพูดขึ้นมา

ซู่เจินพยักหน้าและถามขึ้นมาเบา ๆ ว่า “แล้ว…ทอมมี่ล่ะ?”

“เกี่ยวอะไรกับทอมมี่ ?” ลอเรลมองไปที่ซู่เจินและถามขึ้นมาอย่างมึนงง

“ไม่… ไม่มีอะไร” ซู่เจินรู้สึกสับสนเล็กน้อยกับปฏิกิริยาที่ลอเรลแสดงออกมา หรือว่าเขาจําเนื้อเรื่องผิด ? ไม่สิหรือว่า โลกนี้มันแตกต่างจากในหนัง ? “คุณ … คุณไม่ได้คบหากับทอมมี่อยู่งั้นหรอ?”

“มันจะเป็นไปได้ยังไง!” ลอเรลพูดขึ้นมาอย่างมึนงง “ฉันจะไปคบหากับทอมมี่ได้ยังไง เพราะในเมื่อฉันเพิ่งรู้จักกับทอมมี่ตอนที่ฉันเพิ่งเริ่มคบกับโอลิเวอร์ควีนใหม่ ๆ และหลังจากนั้นเราก็ช่วยดูแลกันและกันหลังจากที่ฉันสูญเสียพี่สาวไป ส่วนเขาก็สูญเสียเพื่อนรักของเขาไป”

” ผมอาจจะคิดผิด!”

เมื่อเห็นสายตาที่จริงจังของลอเรล ซู่เจินก็มั่นใจได้อย่าง 100% เลยว่าบางสิ่งบางอย่างที่เขารู้มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับโลกใบนี้ มันคืออะไร ? ผีเสื้อขยับปีกงั้นหรอ ?

แต่ถ้าลองคิดดูดี ๆ แล้วหลายสิ่งหลายอย่างที่โลกมาเวล ก็ไม่ค่อยเหมือนกับสิ่งที่เขารู้มาเหมือนกัน!

“เอ่อ … ผมมีของอะไรบางอย่างที่จะให้คุณ และผมก็คิดว่าคุณจะต้องการมันอย่างแน่นอน”

ซู่เจินหยิบโทรศัพท์ของเขาขึ้นมาและกดเปิดเสียงที่เขาได้บันทึกเอาไว้ทันที

เมื่อลอเรลฟังจนจบ เธอก็รีบพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้นกับซู่เจินว่า “เยี่ยม! ถ้าเกิดว่าฉันมีหลักฐานอันนี้ล่ะก็ … ซอมเมอร์จะต้องใช้ชีวิตที่เหลือของเขาอยู่แต่ในคุกอย่างแน่นอน”

“คุณต้องการมันไหม ?” ซู่เจินถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“แน่นอน! แล้วคุณจะให้มันกับฉันใช่ไหม ? เพราะถึงยังไงคุณก็เป็นฮีโร่ที่คอยจัดการกับความชั่วร้ายไม่ใช่หรอ ?”

“คุณเหมาะกับการเป็นทนายความมาก!” ซู่เจินยิ้มและพูดต่อว่า “ตราบใดที่คุณตอบคําถามของผมสักสองสามข้อ เพื่อตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของผมสักเล็กน้อย ผมจะให้ไฟล์เสียงอันนี้กับคุณเป็นการตอบแทน! ”

“คุณลองพูดมาสิ!”

“คุณ ยังบริสุทธิ์อยู่ใช่ไหม?” ซู่เจินพูดถามขึ้นมาตรง ๆ ทันที

ลอเรลถึงกับตกตะลึง “คุณถามสิ่งนี้ขึ้นมาเพื่ออะไร?”

“คุณก็แค่ตอบว่า ใช่ หรือ ไม่ใช่!”

ลอเรลมองไปที่ซู่เจิน และพยักหน้าขึ้นมาเล็กน้อย

” นั่นสินะ! เดี๋ยวคุณเอาโทรศัพท์ของคุณมา ผมจะได้ส่งไฟล์ไปให้!”

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาด้วยความพึงพอใจ

ลอเรลรีบหยิบโทรศัพท์ของเธอขึ้นมาและส่งให้กับซู่เจินทันที และหลังจากที่ซู่เจินส่งไฟล์อะไรให้เรียบร้อยแล้ว เขาก็แอบบันทึกเบอร์ของลอเรลเอาไว้ในเครื่องของเขาอย่างรวดเร็ว

ซึ่งลอเรลก็เห็นเช่นกัน แต่เธอก็ไม่ห้ามเขาหรือปฏิเสธอะไร

“เอาล่ะ! ตอนนี้เรื่องของซอมเมอร์ผมก็ขอฝากให้คุณจัดการให้เรียบร้อยก็แล้วกัน และผมก็จะอยู่ที่นี่อีกสักสองสามวันก่อนที่ผมจะจากไป”

“กลับไปที่เมืองวอเตอร์ฟรอนท์งั้นหรอ ?” ลอเรลถามขึ้นมา

ซู่เจินยิ้มและพูดว่า “ดูเหมือนว่าคุณจะรู้จักผมเป็นอย่างดีเลยสินะ”

“กรีนแลนเทิร์น ตอนนี้ข่าวของคุณแพร่กระจายไปอย่างกว้างขวางมาก มันไม่แปลกเลยที่ฉันจะรู้ข้อมูลเกี่ยวกับคุณนิดหน่อย และนอกจากนี้ยังมีแอร์โรว์ที่ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนที่มาจากเมืองสตาร์ซิตี้ คุณรู้ไหมว่าเขาเป็นใคร?”

“ผมรู้ แต่ผมบอกคุณไม่ได้!”

“งั้น … ช่วยบอกชื่อของคุณหน่อยได้ไหม ?” ลอเรลรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับแอร์โรว์มากนัก

“ซู่เจิน!”

“ฉันจะจําเอาไว้”

ลอเรลพึมพําขึ้นมาเบา ๆ

“เอาล่ะ! ตอนนี้เวลาของผมใกล้จะหมดลงแล้ว ดังนั้นผมจะไม่รบกวนคุณอีกต่อไป เพราะว่ายังมีคนอีกมากมายที่ต้องการความช่วยเหลือจากคุณอยู่” ซู่เจินยืนขึ้นพร้อมกับมองไปที่ลอเรลด้วยรอยยิ้มและพูดต่อว่า ” เมื่อวานนี้พ่อของคุณยิงปืนใส่ผมสองนัด ดังนั้นผมจะใช้คุณเพื่อเป็นสะพานในการแก้แค้นกับเขา!”

“หะ?”

ลอเรลตะโกนขึ้นมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ เพราะเธอก็ไม่คิดว่าพ่อของเธอจะกล้ายิงซู่เจินจริง ๆ แล้วนับประสาอะไรกับการแก้แค้นที่เขาพูดถึง ? เพราะดูยังไงมันก็ไม่เหมือนกับการแก้แค้นเลยซักกะนิด

“ถ้าคุณสามารถรับประกันได้ว่าคุณจะอยู่เป็นโสดแบบนี้ไปตลอด และอยู่ห่าง ๆ จากโอลิเวอร์ควีน และทอมมี่ …. ผมจะบอกความลับเกี่ยวกับพี่สาวของคุณให้”

“คุณรู้อะไรเกี่ยวกับพี่สาวฉัน ?” ลอเรลถามขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

“คุณอยากรู้งั้นหรอ ? ผมจะต้องดูก่อนว่าคุณมีพฤติกรรมเป็นอย่างไร ผมจึงจะได้พิจารณาได้ถูกว่าจะบอกคุณดีหรือไม่” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับวางเงินไว้บนโต๊ะและเตรียมตัวที่จะหันหลังเดินจากไป

” ทําไม? “ ลอเรลถามขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ

“เพราะเธอคือคนที่ผมจะเอาไว้ใช้สําหรับการแก้แค้น!” ซู่เจินหัวเราะออกมาพร้อมกับหันหลังเดินจากไปทันที

ในตอนนี้โอลิเวอร์ควีนได้เตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเขาในตอนนี้กําลังใส่ชุดเครื่องแบบสีเขียวที่มีสู้ดคลุมหัว พร้อมกับคันธนูและลูกธนูที่สะพายอยู่ด้านหลังของเขา และยังไม่หมดแค่นั้นที่ดวงตาของเขายังมีหน้ากากสีเขียวที่แนบชิดเข้าไปกับใบหน้าของเขาอีกด้วย ทําให้โอลิเวอร์ควีนในตอนนี้ดูเท่มาก และหลังจากที่ซู่เจินเห็นเช่นนั้นเขาก็ลองเสกคันธนูและลูกธนูออกมาทําท่าทางเรียนแบบโอลิเวอร์ควีนดูซึ่งมันก็ให้ความรู้ดีแบบแปลก ๆ!

“ถ้าเกิดว่าคุณว่างช่วยสอนวิธีการยิงธนูให้ผมหน่อยได้ไหม?” ซู่เจินหันหน้าไปหาโอลิเวอร์ควีนและพูดขึ้นมา

เมื่อโอลิเวอร์ควีนได้ยินเช่นนั้นก็ถามขึ้นมาอย่างสงสัยว่า “คุณมีความสามารถที่แข็งแกร่งขนาดนั้น … แล้วคุณจะฝึกยิงธนูไปทําไมอีก ?”

“เอ่อ … มันรู้สึกเท่ดี!”

เมื่อโอลิเวอร์ควีนได้ยินคําตอบของซู่เจิน มันก็ทําให้เขาถึงกับหมดคําจะพูดทันที ซึ่งเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าซู่เจินกําลังคิดอะไรอยู่กันแน่ เท่ ? รู้สึกดี ? มันช่างเป็นเหตุผลที่ทําให้เขาอยากจะเอาลูกธนูปักไปที่หัวของเขาจริง ๆ ถ้าเกิดว่า …. เขาทําได้น่ะนะ!

“ไปกันเถอะ!”

แน่นอนว่าซู่เจินแค่ล้อเล่นเท่านั้น หลังจากนั้นซู่เจินก็ใช้พลังห่อหุ้มร่างกายของโอลิเวอร์ควีนเอาไว้ และพวกเขาทั้งสองก็บินออกไปอย่างรวดเร็ว

ณ ท่าเรือ

ในตอนนี้ซอมเมอร์กําลังยัดข้าวของลงกระเป๋าของเขาอย่างรวดเร็วเพื่อเตรียมตัวหนี ซึ่งหลังจากที่เขาจัดเตรียมของอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็หันไปถามกับคนข้าง ๆ ว่า “เรือพร้อมแล้วหรือยัง ? ”

ลูกน้องของเขาหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาและติดต่อหาใครบางคนทันที “วอลเลซเรือพร้อมแล้วหรือยัง?”

มีเสียงซ่าดึงขึ้นมาจากวิทยุสื่อสารปลายสาย แต่ก็ไม่มีคนพูดออกมา

และเมื่อเขาเริ่มรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ เขาจึงลองเรียกวอเลซอีกสองสามครั้ง แต่มันก็ยังไม่มีใครตอบกลับมาเช่นเดิม ทําให้ซอมเมอร์เริ่มมีปฏิกิริยาทันที

“วอลเลซไม่อยู่แล้ว มีแต่ฉัน!”

ทันใดนั้นก็มีเสียงของชายแปลกหน้าดังขึ้นมาจากวิทยุสื่อสาร

เมื่อซอมเมอร์ได้ยินเช่นนั้น เขาก็รู้ได้ในทันทีเลยว่าเจ้าของเสียงนั้นคือแอร์โรว์อย่างแน่นอน

“เราต้องไปเดี๋ยวนี้ เร็ว!”

หลังจากพูดจบซอมเมอร์ก็เดินถือเป๋าจากไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นท่าทางที่ลุกลี้ลุกลนของซอมเมอร์ ลูกน้องคนนั้นก็รีบเดินตามไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า ” ข้างนอกมีคนเฝ้าหกคนนะ”

“ยังไม่พอ … เร็วเข้า!” ซอมเมอร์พูดขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจัง

“ฉึก!”

ลูกธนูบินออกไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับร่างคน ๆ หนึ่งที่ล้มลงกับพื้น

โอลิเวอร์ควีนรีบหยิบลูกธนูออกมาและนําไปวางบนคันธนู พร้อมกับง้างมันสุดแรงและปล่อยมันออกไปทันที ทันใดนั้นก็มีคนล้มลงไปกับพื้นอีกคนหนึ่ง

“ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!”

ทันใดนั้นก็มีเสียงปืนก็ดังขึ้น ทําให้โอลิเวอร์ควีนรีบหันไปมองทันที และเขาก็พบว่ามีโล่ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมากันลูกกระสุนเอาไว้ให้กับเขา ซึ่งคนที่ถือปืนก็มองไปที่โล่ขนาดใหญ่อันนั้นด้วยความตกตะลึงเช่นกัน

“ขอบคุณ!”

โอลิเวอร์ควีนหันไปมองที่ซู่เจินและตะโกนขึ้นมาทันที เมื่อซู่เจินได้ยินแบบนั้นเขาก็ยิ้มขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับกระแทกโล่เข้าใส่ชายคนนั้น ทําให้เขากระเด็นไปกระแทกกับพื้นและหมดสติไปทันที

ในขณะเดียวกันบริเวณรอบ ๆ ของพวกเขาในตอนนี้ก็มีลูกน้องของซอมเมอร์อยู่มากมาย และมันก็ค่อนข้างจะดูวุ่นวายเล็กน้อย ซึ่งซู่เจินก็ขี้เกรียจเกินไปที่จะจัดการกับคนพวกนี้ ดังนั้นเขาจึงคอยช่วยสนับสนุนโอลิเวอร์ควีนอยู่ห่าง ๆ และหลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็สามารถจัดการคนพวกนี้ได้ทั้งหมด

และเมื่อโอลิเวอร์ควีนเห็นว่าซอมเมอร์ได้หลบหนีไปตอนที่เขากําลังสู้อยู่ ทําให้เขารีบวิ่งตามซอมเมอร์ไปอย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างนั้นซอมเมอร์ก็วิ่งเร็วมาก เพราะว่าเขาค่อนข้างจะคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดี ทําให้เขาสามารถหลบหนีโอลิเวอร์ควีนมาได้อย่างหวุดหวิว!

“ไอ้เวรเอ้ย!”

ทําให้อลิเวอร์ควีนในตอนนี้รู้สึกโกรธตัวเองเป็นอย่างมาก และไม่ได้วิ่งไล่ตามซอมเมอร์อีกต่อไป

ทันใดนั้นซู่เจินก็บินเข้าไปหาโอลิเวอร์ควีนและพูดว่า “ปล่อยเรื่องของเขาให้ผมเป็นคนจัดการเอง ส่วนคุณก็รีบออกไปจากที่นี่ก่อนที่ตํารวจจะมาถึง”

โอลิเวอร์ควีนรู้สึกไม่ค่อยเต็มใจเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงไซเรนของรถตํารวจดังขึ้นมาจากระยะไกล ทําให้เขาหันไปพูดกับซู่เจินว่า “อย่าปล่อยให้มันรอดไปได้!”

หลังจากนั้นโอลิเวอร์ควีนก็รีบหนีออกมาด้วยความผิดหวังเล็กน้อย เพราะเขาเชื่อว่าซู่เจินจะไม่ทําพลาดอย่างแน่นอน!

ในขณะเดียวกันทางด้านของซอมเมอร์ในตอนนี้เขาก็กําลังวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว โดยที่เขาพยายามหันหน้าไปมองด้านหลังเป็นระยะ ๆ ด้วยความกังวล เพราะถ้าเกิดว่าเขาสามารถไปถึงที่เรือได้เขาก็จะปลอดภัยอย่างแน่นอน! และเมื่อเขานึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก พร้อมกับหันหน้ากลับมาและวิ่งต่อไป ถึงแม้ว่ามันจะเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นว่ามีคนกําลังยืนรอเขาอยู่ตรงหน้า ทําให้เขาถึงกับตกใจและรีบวิ่งหนีไปทางอื่นทันที แต่ทันใดนั้นก็มีเชือกสีเขียวเข้มมาพันร่างกายของเขาเอาไว้ พร้อมกับแขวนเขาเอาไว้กับแท่นเหล็กด้านบนทันที

“คุณ … “ ซอมเมอร์กําลังจะพูดอะไรบางอย่างขึ้นมา

ซู่เจินค่อย ๆ ลอยขึ้นไปอยู่ตรงหน้าของซอมเมอร์อย่างช้า ๆ พร้อมกับยกมือของเขาขึ้นมา

“ผัวะ!” ”ผัวะ!” ”ผัวะ!”

ซู่เจินตบไปที่หน้าของซอมเมอร์จํานวนหลายครั้งติดต่อกัน ทําให้ใบหน้าของซอมเมอร์ในตอนนี้บวมเหมือนกับหัวหมู

“เงยหน้าขึ้นมาซะ!”

ซู่เจินหยิบโทรศัพท์ของเขาออกมา พร้อมกับตั้งค่าให้มันบันทึกเสียงเอาไว้ และเขาก็หันไปพูดกับซอมเมอร์อย่างเย็นชา ทันใดนั้นซอมเมอร์ที่ยังคงมึนหัวอยู่ก็รีบเงยหน้าขึ้นมาทันทีโดยไม่รู้

หลังจากที่ซอมเมอร์จ้องมองไปที่ดวงตาสีดําสนิทของซู่เจิน มันก็ค่อย ๆ ทําให้เขาเริ่มสูญเสียจิตวิญญาณของเขาไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นไม่นานซู่เจินก็วางโทรศัพท์ของเขาลงด้วยความพึงพอใจ พร้อมกับเก็บพลังจิตของเขากลับคืนมา

ทันใดนั้นร่างของซอมเมอร์ก็ตกลงมากระแทกกับพื้นและหมดสติไป

” หยุดอย่าขยับ!”

ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของซู่เจิน ทําให้เขาค่อย ๆ หันไปมองอย่างช้า ๆ และเมื่อเขาหันมาจนสุดเขาก็พบเข้ากับเจ้าหน้าที่ตํารวจคนหนึ่งที่กําลังยืนชี้ปืนมาทางเขาอยู่นั่นก็คือ เจ้าหน้าที่แลนซ์พ่อของลอเรล

“คุณคือกรีนแลนเทิร์นงั้นหรอ ? ฉันรู้สึกขอบคุณคุณมากที่ได้ช่วยชีวิตลูกสาวของฉันเอาไว้ แต่ตอนนี้ … คุณควรไปที่สถานีตํารวจกับฉันจะดีกว่า” เจ้าหน้าที่แลนซ์พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ่มต่ำ

ซู่เจินยักไหล่เบา ๆ และพูดว่า “ผมกลัวว่าจะทําแบบที่คุณต้องการให้ไม่ได้ เพราะถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ปิดบังตัวตนของตัวเอง แต่ผมก็ไม่อยากเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์อยู่ดี ดังนั้นผมขอตัวก่อน!”

หลังจากพูดจบซู่เจินก็ค่อย ๆ บินขึ้นไปบนฟ้าและเตรียมที่จะจากไป

เจ้าหน้าที่แลนซ์ถึงกับสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเขาเห็นว่าซู่เจินกําลังบินอยู่ ในขณะเดียวกันเขาก็เริ่มกระวนกระวายกลัวว่าซู่เจินจะหนีไปได้ ทําให้เขายิงปืนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

“ปัง! ปัง!”

กระสุนทั้งสองนัดตรงไปที่หน้าของซู่เจินอย่างแม่นยํา แต่มันก็ถูกขัดขวางเอาไว้ด้วยโล่พลังของแหวนกรีนแลนเทิร์นอย่างรวดเร็ว

ซู่เจินไม่คิดว่าเจ้าหน้าที่แลนซ์จะกล้ายิงเขาจริง ๆ เพราะถึงยังไงเขาก็คือคนที่ช่วยชีวิตลูกสาวของเขาเอาไว้ไม่ใช่หรอ ? แถมเขายังช่วยจับตัวของมาร์ติน ซอมเมอร์มาให้อีก ?

ซู่เจินจ้องมองไปที่เจ้าหน้าที่แลนซ์พร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างเย็นชา หลังจากนั้นเขาก็บินหายไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว

ในขณะเดียวกันทางด้านของเจ้าหน้าที่แลนซ์ก็รู้สึกว่าหลังของเขาในตอนนี้มันเต็มไปด้วยเหงื่อที่เปียกโชกเต็มไปหมด

“เป็นไงบ้าง?”

หลังจากที่ซู่เจินบินออกมาจากท่าเรือ เขาก็รีบไปหาโอลิเวอร์ควีนทันที และเมื่อโอลิเวอร์ควีนเห็นซู่เจินเขาก็รีบถามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“จับตัวส่งให้กับตํารวจไปแล้ว!”

“ดีแล้ว!”

โอลิเวอร์ควีนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และพูดขึ้นมาด้วยความกังวลว่า “จับเขาไปก็เท่านั้น เพราะว่าเราไม่มีหลักฐานที่จะสามารถมัดตัวของเขาได้เ”

“งั้นผมขอตัวก่อน เพราะว่าผมยังมีธุรอย่างอื่นที่ต้องไปทํา ส่วนเรื่องของซอมเมอร์คุณไม่ต้องเป็นห่วง ดังนั้นตอนนี้คุณควรกลับไปพักผ่อนและรอฟังข่าวดีอยู่ที่บ้าน” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

โอลิเวอร์ควีนรู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคําพูดของซู่เจิน ทันใดนั้นซู่เจินก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากระบบดังขึ้นมาว่า ค่าความสัมพันธ์เพิ่มขึ้น 5%

ทําให้ซู่เจินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยซู่เจิน

ดังนั้นเวลาที่เหลือเขาจะต้องพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะทําให้ภารกิจสําเร็จให้ได้

หลังจากซู่เจินแยกตัวออกมาจากโอลิเวอร์ควีน เขาก็มุ่งหน้ากลับไปหาเฟลิเซ่ที่โรงแรมทันทีพร้อมกับเล่าเหตุการณ์คราว ๆ ให้เธอฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ซึ่งเฟลิเซ่ก็นั่งฟังด้วยความจริงจัง

เห็นได้ชัดว่าเธอชอบการกระทําที่กล้าหาญของแฟนเธอมาก!

” ที่รักเฉันมีเรื่องอะไรบางอย่างที่อยากจะบอกคุณ แต่คุณจะต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่โกรธฉัน หลังจากที่ฉันได้พูดไปแล้ว!” เฟลิเซ่ทําสายตาอ้อนวอนเล็กน้อย และค่อย ๆ จับไปที่แขนของซู่เจิน

“ผมสัญญา! ไหนคุณลองพูดมาสิ”

“ฉัน ฉันจะต้องรีบกลับไปที่บริษัทเพราะว่ามันดันมีเรื่องด่วนขึ้นมากะทันหัน ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถอยู่กับคุณที่นี่ได้” เฟลิเซ่พูดขึ้นมาอย่างขอโทษ

ซู่เจินตกตะลึงเล็กน้อย ”ผมก็คิดว่าเรื่องอะไร ถ้าเกิดว่ามันเร่งด่วนจริง ๆ คุณก็กลับไปก่อนเลยก็ได้ เพราะถึงยังไงอีกสองสามวันผมจะต้องออกไปทําธุรข้างนอกอยู่ดีและจะกลับมาอีกทีก็ครึ่งเดือนให้หลัง ดังนั้นเดี๋ยวผมจะไปส่งคุณเอง มันจะได้ประหยัดเวลา!”

“ที่จริง เรามาทําอะไรบางอย่างก่อนที่จะจากกันดีไหม ?” เฟลิเซ่พูดขึ้นมาเบา ๆ

ซู่เจินหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ และพูดว่า “คุณแน่ใจงั้นหรอ ? ไม่แน่คืนนี้คุณอาจจะไม่ได้กลับไปที่บริษัทนะ!”

เฉียนนาเหว่ยมองไปที่ซ่เงินด้วยใบหน้าซีดเซียวและพยายามพูดขึ้นมาด้วยความยากลําบากว่า ”คุณ … คุณทําอะไรกับฉัน?”

“ผมยังไม่ได้ทําอะไรคุณเลย และผมก็แค่อยากจะบอกให้คุณรู้ว่าช่องว่างระหว่างคุณกับผมมันยิ่งใหญ่ขนาดไหน เพื่อที่คุณจะได้ยอมแพ้และล้มเลิกความคิดที่จะต่อสู้ไปซะไม่งั้นคุณอาจจะตายได้นะ!” ซูเงินยิ้มขึ้นมาอย่างอ่อนโยนพร้อมกับยกมือของเขาขึ้นช้า ๆ และเอานิ้วของเขาแตะไปที่มีดสั้นของเฉียนนาเหว่ยอย่างรวดเร็ว

ทําให้นิ้วของซูเงินในตอนนี้มีบาดแผลจากการโดนมีดบาดปรากฏขึ้นมา

“โอ้! มันคมมากแต่ มันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี!”

ซูเจินยิ้มขึ้นมาและค่อย ๆ ยกนิ้วที่โดนมีดบาดให้กับเฉียนนาเหว่ยดู ซึ่งเฉียนนาเหว่ยก็มองไปที่นิ้วของซูเงินด้วยความตกตะลึง เพราะว่าบาดแผลบนนิ้วของซูเงินในตอนนี้มันค่อย ๆ รักษาตัวเองอย่างรวดเร็ว และภายในเวลาไม่ถึง 3 วินาทีบาดแผลทั้งหมดมันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย!

นี่

นี่เขายังเป็นมนุษย์อยู่ใช่ไหม?

ในตอนนี้เฉียนนาเหว่ยรู้สึกสิ้นหวังเป็นอย่างมาก เพราะแค่เขามีความสามารถใน การสร้างวัตถุอะไรขึ้นมาก็ได้มันก็แย่แล้ว และเขาก็ยังมีความสามารถที่ทําให้เธอไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อีก และนี่อะไรอีก ? ร่างกายที่สามารถฟื้นตัวได้ด้วยความเร็วสูงแบบนั้นแล้วแบบนี้เธอจะไปชนะเขาได้อย่างไร ?

” คุณต้องการทําอะไรกับฉันล่ะ ? ฆ่า ? งั้นก็ขอให้วันนี้มันเป็นวันที่ดีสําหรับคุณ!” เฉียนนาเหว่ยพูดขึ้นมาด้วยน้ําเสียงทุ้มต่ํา

ซูเจินยิ้มและส่ายหัวเบา ๆ พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “คุณไม่ต้องกังวล เพราะว่าค่ําคืนนี้มันยังอีกยาวไกล และพวกเราก็ยังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกนานเลยล่ะ ? ซึ่งอันที่จริงแล้ว …. ผมก็ไม่มีความจําเป็นที่จะต้องฆ่าคุณเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าคุณได้ช่วยผมเอาไว้ และถ้าเกิดว่าผมไม่ได้คุณในตอนนั้นช่วยเอาไว้ ไม่แน่ว่าภารกิจของผมอาจจะไม่เสร็จสมบูรณ์แบบนี้ก็ได้ดังนั้น…”

“คุณจะปล่อยฉันไปงั้นหรอ ?” ทันใดนั้นเฉียนนาเหว่ยก็เริ่มรู้สึกมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง

“ใช่ . แต่มันก็แค่ครั้งนี้เท่านั้น และถ้าเกิดว่ายังมีครั้งหน้าอีกล่ะก็ มันจะไม่ใช่แบบนี้อย่างแน่นอน!” ซูเงินเงียบไปครู่หนึ่งและพูดต่อว่า “แต่ผมจะยังไม่ปล่อยคุณไปในตอนนี้ ถึงแม้ว่า … ผมจะสามารถจับตัวของคุณกลับมาได้อย่างง่ายดายก็ตาม ซึ่งคุณก็น่าจะไม่มีธุรอะไรต่อจากนี้ใช่ ไหม?”

“คุณต้องการอะไร?”

เฉียนนาเหว่ยรู้สึกได้ว่าซูเงินจะไม่ฆ่าเธออย่างแน่นอนในตอนนี้ ซึ่งเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาต้องอะไร ? แล้วเธอจะต้องทําอย่างไรเขาถึงจะยอมปล่อยตัวของเธอไป ?

“ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น ก็แค่…ค่ําคืนนี้มันยังอีกยาวไกล และผมก็ค่อนข้างชอบหุ่นของคุณมากดังนั้นทําไมเราไม่ลองมาหาอะไรสนุก ๆ ทํากัน ยกตัวอย่างเช่น เต้น?” ซูเงินพูดขึ้น มาอย่างช้า ๆ พร้อมกับเดินไปที่ตู้ไวน์ที่อยู่ด้านข้าง และค่อย ๆ หยิบไวน์ออกมารินใส่แก้วและ เดินไปนั่งบนโซฟาพร้อมกับไขว่ห้างเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็เอาพลังจิตของเขาที่ควบคุมเฉียน นาเหว่ยอยู่กลับมา

ทันใดนั้นเฉียนนาเหว่ยก็รู้สึกว่าร่างกายของเธอกลับมาขยับได้อีกครั้งแล้ว ทําให้เธอรี บหันกลับมามองที่ซ่เงินทันที

“เต้น ?”

เธอมองไปที่ซูเงินด้วยความสงสัย เพราะว่าคําขอของเขามันค่อนข้างแปลกประหลาดเกินไป

“ใช่แล้ว เต้น! แต่การเต้นที่ผมพูดถึงมันจะต้องเร้าใจขึ้นเรื่อย ๆ!” ซูเงินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

เฉียนนาเหว่ยเริ่มมีปฏิกิริยาขึ้นมาทันที หรือว่าเขาจะให้ฉัน …. เต้นเปลื้องผ้า?

“คุณ … อย่าให้มันมากเกินไป ถ้าเกิดว่าฉันแข็งแกร่งมากกว่านี้ล่ะ … ฉันจะฆ่าคุณให้ตายซะ!” เฉียนนาเหว่ยพูดขึ้นมาด้วยความโกรธ

ซูเงินส่ายหัวเบา ๆ และพูดว่า “ผมแค่บอกว่าจะไม่ฆ่าคุณ แต่ … มันก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่สามารถจัดการกับคุณได้ เพราะว่าผมมีหลายวิธีมากที่จะทําให้คุณยอมจํานนซึ่งคุณก็คงไม่อ ยากรู้อย่างแน่นอนว่ามันจะเป็นอย่างไร เพราะว่ามันจะยิ่งกว่าการที่ผมให้คุณเต้นอีก …”

“คุณ … คุณเป็นฮีโร่จริง ๆ ใช่ไหม!” เฉียนนาเหว่ยพูดขึ้นมา

ซูเงินยกมือขึ้นอย่างช้า ๆ “ฮีโร่ก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ดังนั้นพวกเขาก็เปรียบเสมือนคนธรรม ดาที่มีความชอบหรืองานอดิเรกเหมือนคนทั่วไปไม่ใช่หรือไง ? ยิ่งไปกว่านั้นผมก็ไม่ได้ฆ่าคุณหรือ ทําร้ายร่างกายของคุณแม้แต่น้อย แถมเมื่อกี้คุณก็เกือบที่จะทําร้ายเพื่อนของผมดังนั้นคุณจะต้อ งชดใช้ค่าเสียหายมาไม่ใช่หรอ ?”

เฉียนนาเหว่ยไม่รู้ว่าซูเจินจะใช้วิธีอะไรในการจัดการกับเธอเพื่อให้เธอยอมจํานน แต่ถึงอย่างนั้น .. เธอก็ไม่อยากตาย!

หลังจากลังเลอยู่นานเฉินนาเหว่ยก็ตัดสินใจได้ เธอกัดฟันพร้อมกับโยกตัวของเธอไปมาอย่างแข็งกระด้าง

ซูเงินยิ้มขึ้นมาเบา ๆ และมองไปที่เธอด้วยท่าทางสนุกสนาน

หลังจากนั้นไม่นานเฉียนนาเหว่ยก็ค่อย ๆ เร่งจังหวะการเต้นของเธอให้เร็วขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับเสื้อผ้าบนร่างกายของเธอที่ค่อย ๆ น้อยชิ้นลงไปเรื่อย ๆ

ซูเจินมองไปที่เธอด้วยสายตาจริงจัง ซึ่งมันไม่ได้มีสายตาลามกเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเขากําลังชื่นชมการเต้นของเธอจริง ๆ และเมื่อเฉียนนาเหว่ยเห็นสายตาของซูเงินจ้องมาที่เธอ มันก็ทําให้เธอรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย แม้กระทั่ง … เธอก็เริ่มรู้สึกพอใจในตัวของเธอเองเช่นกัน ซึ่งความพอ ใจนี้ก็มาจากการที่เธอซาบซึ่งที่ซูเจินมองมาที่เธอด้วยสายตาจริงจัง ไม่ใช่สายตาลามก ….

เฉียนนาเหว่ยเริ่มรู้สึกเหมือนว่าเธอกําลังจะเป็นบ้า เพราะว่าเธอดันมีความรู้สึกพอใจขึ้นมากับการที่เธอกําลังทําเรื่องน่าอายแบบนี้อยู่ และทันใดนั้นจู่ ๆ เธอก็เริ่มเร่งจังหวะเร็วขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้สีหน้าที่เย็นชาของเธอเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าของผู้หญิงมากขึ้น

ซึ่งเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าในตอนนี้เธอเต้นแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว เพราะว่าตอนนี้เธอกําลังเต้นโดยหันหลังให้กับซูเงินอยู่ แต่ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกได้ถึงลมที่พัดมาโดนที่หลังเธอทําให้เธอ ตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับค่อย ๆ หันไปมองรอบ ๆ โดยไม่รู้ตัว และเธอก็พบว่าตอนนี้ซูเงินได้ หายไปแล้ว

เฉียนนาเหว่ยจ้องมองไปที่ที่ซูเจินเคยนั่งอยู่อย่างว่างเปล่าเป็นเวลานาน และดูเหมือนว่าเธอจะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรเลย ..

คุณจะปล่อยฉันไปแบบนี้จริง ๆ งั้นหรอ ? หลังจากที่คุณดูฉันเต้นแค่แปปเดียวเนี้ยนะ ?

เฉียนนาเหว่ยถึงกับไม่อยากจะเชื่อ

เธอไม่รู้เลยว่า …. เขากําลังคิดอะไรอยู่กันแน่

มันเป็นไปได้ไหมว่าร่างกายของฉันมันไม่มีเสน่ห์น่าดึงดูด ? เขาถึงได้จากไปทันทีหลังจากดูฉันเต้นจนพอใจแล้ว ? โดยไม่คิดจะทําอะไรกับฉันเลย ?

ในเมื่อเขาจากไปแล้ว ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี

เฉียนนาเหว่ยถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และเตรียมตัวหนีออกจากเมืองสตาร์ซิตี้อย่างรวดเร็ว

เฉียนนาเหว่ยไม่มีเสน่ห์งั้นหรอ ?

ไม่ใช่อย่างแน่นอน!

ซูเงินไม่คิดจะทําอะไรกับเธอเลยงั้นหรอ ?

คิดสิ!

เพราะแค่เขาสามารถกําราบนักฆ่าหญิงที่เย็นชาแบบเธอได้ ก็ถือได้ว่าเป็นความสําเร็จที่ดีมาก แล้วสําหรับซูเงินหรือผู้ชายทุกคนบนโลกใบนี้

แต่ที่เขาไม่ได้ทําอะไรกับเธอในตอนนั้นก็เพราะว่า … เขายังมีบางสิ่งบางอย่างที่จะต้องทําอย่างเร่งด่วน!

แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวของเฉียนนาเหว่ยในครั้งนี้มันไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ อย่างแน่นอน และ ซอมเมอร์ก็น่าจะรู้แล้วว่าเธอทํางานพลาดจ แถมซ่เงินยังรู้เพิ่มเติมอีกว่าแอร์โรว์จะไปหาซอมเมอร์อย่างแน่นอน ส่วนซอมเมอร์ก็คงจะคิดหนีเช่นกัน

และนี่ก็คือโอกาสของเขา

โอกาสที่จะเขาจะยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว

ประการแรก ภารกิจหลักของเขาก็คือช่วยแอร์โรว์ปกป้องเมืองสตาร์ซิตี้ ดังนั้นถ้า เกิดว่าเขาช่วยแอร์โรว์แก้แค้นซอมเมอร์มันก็น่าจะรวมถึงการที่เขาช่วยแอร์โรว์ปกป้องเมืองไปในตัวด้วย ประการที่สอง ภารกิจรอง1 ของเขามันคือการร่วมมือกับแอร์โรว์ในการทําภารกิจร่วมกันซึ่งเขาก็สามารถใช้เหตุการณ์นี้ในการทําภารกิจให้สําเร็จได้เช่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้นผู้ชายคนนี้ยังมีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่มาก

ถืออาวุธไปด้วยกัน ปืนผ่านหน้าต่างไปพร้อมกัน และก็

จัดการกับเขาพร้อมกัน

นี่เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการที่ซูเงินจะสามารถเพิ่มค่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับโอลิเวอร์ควีนแต่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะได้สักเท่าไหร่!

แถมตอนนี้เขาก็เหลือเวลาอีกแค่สามวันเท่านั้น

และถ้าเกิดว่าเขาสามารถทํามันได้สําเร็จ ช่วงเวลาที่เหลืออีกสามวันนี้เขาจะได้ใช้มันพักผ่อนให้เต็มที่

ซูเงินมุ่งหน้าไปที่ฐานลับของโอลิเวอร์ควีนทันที และไม่นานโอลิเวอร์ควีนก็เดินทางมาถึง

เมื่อโอลิเวอร์ควีนเห็นซูเจินเขาก็พูดขึ้นมาทันทีเลยว่า ” ขอบคุณมากพี่ชาย!”

ซูเงินส่ายหัวเบา ๆ และพูดว่า “มันเป็นเรื่องยากแค่ยกมือเท่านั้น เพราะถึงยังไงผมก็ไม่ปล่อยให้ไวท์พอร์ชเลนหนีไปได้อย่างแน่นอน แถม … ผมยังทําให้เธอชดใช้เรื่องที่เธอกล้ามาหาเรื่องคุณด้วย”

” ชดใช้อะไร?” โอลิเวอร์ควีนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

“ก็… มันไม่สําคัญหรอก เพราะถึงยังไงเธอก็หายไปตลอดกาลอย่างแน่นอน แถมเธอก็เป็นเพียงแค่นักฆ่าเท่านั้น ไม่ได้เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง ถ้าคุณอยากแก้ปัญหาจริง ๆ คุณก็ต้องจัดการกับซอมเมอร์ยังไงละ ? ไปจัดการเขาด้วยกันไหม ? ” ซูเงินพูดขึ้นมาอย่างเขินอายเล็กน้อยใครจะกล้าไปบอกว่าเขาให้เธอเต้นให้ดูแล้วปล่อยเธอไป ?

ซึ่งโอลิเวอร์ควีนก็หันกลับมาสนใจเรื่องของซอมเมอร์ทันที

ใช่เขาจะต้องจัดการกับซอมเมอร์

” ตกลง!”

ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าแค่เขาเพียงคนเดียวก็น่าจะจัดการกับซอมเมอร์ได้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเลือกที่จะตอบตกลงคําเชิญของซูเงิน!

ลอเรลและโอลิเวอร์ควีนในตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขากําลังนั่งคุยกันอย่างมีความสุข ซึ่งซูเจินก็คิดว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ … ลอเรลคือแฟนเก่าของโอลิเวอร์ควีนใช่ไหม ? แล้วโอลิเวอร์ควีนก็คือคนที่ล่อพี่สาวของคุณและทําให้เธอตายใช่ไหม ? แล้วทําไมคุณถึงได้ให้อภัยกับโอลิเวอร์ควีนได้ง่ายขนาดนั้น ?

อย่างไรก็ตามซูเงินก็ไม่อยากยุ่งเรื่องของคนอื่นมากนัก ทําให้เขาได้แต่มองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับใช้พลังงานอีเทอร์สร้างชุดออกรบขึ้นมาเพื่อเตรียมพอสําหรับการต่อสู้

“เมื่อได้ยินเสียงไหม?”

ในขณะที่โอลิเวอร์ควีนกําลังพูดคุยกับลอเรลอยู่ ทันใดนั้นโอลิเวอร์ควีนก็พูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน

ลอเรลส่ายหัวขึ้นมาอย่างสงสัย

โอลิเวอร์ควีนค่อย ๆ ยืนขึ้นอย่างช้า ๆ พร้อมกับหยิบมีดปอกผลไม้ที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาและค่อย ๆ เดินไปที่หน้าประตูโดยมีลอเรลที่กําลังเดินตามเขามาโดยไม่รู้ตัว หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงโครมครามดังขึ้นมา

พร้อมกับมีร่างของชายคนหนึ่งที่พุ่งทะลุประตูเข้ามาอย่างรุนแรง ทําให้โอลิเวอร์ควีนรีบดึงตัวของลอเรลให้วิ่งตามเขาไปทันที แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้นมาจากด้านหลัง ทําให้พวกเขารีบก้มตัวแล้ววิ่งเข้าไปในห้องนอนอย่างรวดเร็ว แต่ทางด้านของห้องนอนก็มีคนฟังหน้าต่างเข้ามาเหมือนกัน ทําให้โอลิเวอร์ควีนและลอเรลต้องหันกลับเพื่อไปหาที่ซ่อนที่อื่น

แต่หลังจากที่พวกเขาหันหลังกลับและวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว ทันใดนั้นก็มีผู้หญิงผมสีขาวสวมใส่ชุดแจ็คเก็ตหนังสีดํารัดรูปพร้อมกับมีดในมือของเธอทั้งสองเล่มกําลังยืนขวางทางพวกเขาอยู่

ทําให้โอลิเวอร์ควีนในตอนนี้ถึงกับขมวดคิ้วขึ้นมาและเริ่มกังวลเล็กน้อย ในขณะเดียวกันชายที่พังประตูเข้ามาก็ค่อย ๆ ยกปืนชี้มาทางโอลิเวอร์ควีนเช่นกัน

ตอนนี้พวกเขาไม่มีที่ซ่อนแล้ว!

โอลิเวอร์ควีนค่อย ๆ เอาตัวของลอเรลมาไว้ข้างหลังของเขาโดยไม่รู้ตัว และเริ่มที่จะทําอะไร

ไม่ถูก

“ปัง! ปัง! ”

ทันใดนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้น

ไม่ใช่โอลิเวอร์ควีนที่ล้มลง แต่เป็นชายที่ถือปืนที่ล้มลง!

เมื่อเห็นร่างของชายคนนั้นค่อย ๆ ล้มลงไปที่พื้น โอลิเวอร์ควีนก็ยังไม่ตอบสนองแม้แต่น้อยหลังจากนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้นอีก และก็ค่อย ๆ เงียบไปในเวลาไม่นาน

“ดูเหมือนว่าผมจะมาช่วยได้ทันเวลาพอดี!”

มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับร่างของคน ๆ หนึ่งที่ค่อย ๆ ปรากฏตัวขึ้นมา

“เป็นคุณนั้นเอง!”

เมื่อโอลิเวอร์ควีนเห็นว่าเป็นซูเงินที่ปรากฏตัวขึ้นมา มันก็ทําให้เขาในตอนนี้รู้สึกโล่งใจอย่างบ อกไม่ถูก

“แอร์โรว์ : โอลิเวอร์ ควีน ค่าความสัมพันธ์เพิ่มขึ้น 30%”

ทันใดนั้นก็มีเสียงแจ้งเตือนของระบบดังขึ้นมาทันที

ซึ่งซูเงินก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย เพราะถ้าเกิดว่าเขามาช่วยขนาดนี้แล้วยังไม่ได้ค่าความสัมพันธ์ล่ะก็ … เขาก็หมดคําจะพูดกับโอลิเวอร์ควีนอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะเพิ่มขึ้นมากถึง 30% ซึ่งเขาจะต้องใช้ทั้งหมด 50% เพื่อที่จะทําให้ภารกิจสําเร็จ และถ้าเกิดว่าเขาเอาค่าความสัมพันธ์อันนี้รวมกันครั้งก่อนหน้านี้ เขาก็จะมีค่าความสัมพันธ์ทั้งหม ดอยู่ 40% และอีกเพียงนิดเดียวเขาก็จะสามารถทําภารกิจได้สําเร็จอย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้เขาได้แค่ 5% และเหตุการณ์ต่อมาก็ 5% แล้วทําไมคราวนี้เขาถึงได้มากถึง 30%

เป็นเพราะลอเรลงั้นหรอ?

ถ้าแค่ช่วยโอลิเวอร์ควินน์ก็คงไม่มากนับประสาอะไรกับลอเรลเขาอาจไม่จําเป็นต้องช่วยตัวเอง

“เขาคือกรีนแลนเทิร์น ? ” ลอเรลมองไปที่ซ่เงินด้วยความประหลาดใจ

โอลิเวอร์ควีนพยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ และเตรียมตัวที่จะพูดขึ้น

แต่ทันใดนั้นซูเจินก็พูดตัดหน้าขึ้นมาก่อนว่า “เอาไว้ค่อยคุยกันวันหลัง เพราะว่าตอนนี้ผมจะต้องไปจับตัวของไวท์พอร์ชเลนก่อน!”

หลังจากที่โอลิเวอร์ควีนได้ยินคําพูดของซูเงิน เขาก็หันไปมองรอบ ๆ ทันที และเขาก็ พบว่าไวท์พอร์ชเลนในตอนนี้ได้หนีไปเรียบร้อยแล้ว

ซูเงินรีบไล่ตามไวท์พอร์ชเลนไปอย่างรวดเร็ว ส่วนโอลิเวอร์ควีนก็นั่งปลอบใจลอเรลอยู่ในห้องทันใดนั้นโอลิเวอร์ควีนก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาอีกครั้ง ทําให้โอลิเวอร์ควีนรีบหันไปมอง ด้วยความหวาดระแวงทันที และเมื่อเสียงฝีเท้าหยุดลงเขาก็พบว่าเป็นผู้คุ้มกันของเขาที่วิ่งเข้ามาในห้อง!

หลังจากนั้นพวกเขาก็โทรไปแจ้งตํารวจทันที และไม่นานหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่แลนซ์พ่อของลอเรลก็นําตํารวจกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาภายในห้องอย่างรวดเร็ว พร้อมกับตรวจสอบร่างกายของลอเรลว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า และเมื่อเขายืนยันเสร็จแล้วว่าเธอปลอดภัยดีเขาก็ถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและได้รู้ว่ากรีนแลนเทิร์นเป็นคนช่วยชีวิตของพวกเขาเอาไว้ทําให้เจ้าหน้าที่แลนซ์เริ่มอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นมาเล็กน้อย

เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่โอลิเวอร์ควีนถูกลักพาไปเขาก็ได้กรีนแลนเทิร์นคนนี้ช่วยชีวิตเอาไว้และเขาว่ากันว่ากรีนแลนเทิร์นปรากฏตัวครั้งแรกขึ้นที่เมืองวอเตอร์ฟรอนท์ นอกจากนั้นก็ไม่มีข่า วของเขาอีกเลย จนกระทั่งเขามาปรากฏตัวขึ้นที่เมืองสตาร์ซิตี้และได้ช่วยชีวิตของโอลิเวอร์ควีนเอาไว้สองครั้ง …. แล้วเขาจะทําไปเพื่ออะไร?

เจ้าหน้าที่แลนซ์ถามกับโอลิเวอร์ควีนขึ้นมาด้วยน้ําเสียงไม่ค่อยพอใจ ซึ่งโอลิเวอร์ควีนก็บอกไปตามตรงว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน ซึ่งท้ายที่สุดแล้วเจ้าหน้าที่แลนซ์ก็ไม่สามารถทําอะไรได้อีกต่อ เขาทําได้แค่เพียงเตือนให้โอลิเวอร์ควีนอยู่ให้ห่างจากลูกสาวของเขาเอาไว้

ในขณะนี้อย่าได้พูดถึงเรื่องเล็กน้อยที่โอลิเวอร์ควีนกําลังเจอเลย พวกเรามาพูดถึงเรื่องที่ซูเจินกําลังไล่ตามไวท์พอร์ชเลนอยู่กันดีกว่า

ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองของไวท์พอร์ชเลนนั้นรวดเร็วมาก สมกับที่เธอเป็นหนึ่งในนักฆ่าขององค์กรไทรแอดเพราะเมื่อเธอเห็นว่าสถานการณ์มันดูไม่ค่อยดีเธอก็รีบหนีไปทันที ในทางกลับกันในขณะที่เธอกําลังหลบหนีเธอก็พยายามลบร่องลอยของเธอทิ้ง เพื่อที่จะไม่ให้ใครสามารถตามเธอ มาได้

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงไวท์พอร์ชเลนก็เดินทางมาถึงท่าเรือที่เธอได้เตรียมเรือเอาไว้สําหรับการหลบหนีเรียบร้อยแล้ว

เธอรีบกระโดดขึ้นไปบนเรือและรีบเดินไปที่ห้องของคนขับทันที หลังจากนั้นเธอก็ขับเรือออกไปจากท่าเรืออย่างรวดเร็ว

หลังจากที่เฉียนนาเหว่ยหรือไวท์พอร์ชเลนเข้ามาอยู่ในห้องของคนขับแล้ว เธอก็ถอนหายใจออกมาได้ความโล่งอก

บางที่โอลิเวอร์ควีนและลอเรลอาจจะไม่ได้สังเกตว่าซูเงินทําแบบนั้นได้อย่างไร แต่มันไม่ใช่กับ เฉียนนาเหว่ยเพราะว่าเธอสามารถเห็นมันได้อย่างชัดเจนว่าซูเงินได้ใช้พลังงานบางอย่างที่ ลึกลับและดูพิเศษมาก ซึ่งหลังจากที่เธอได้เป็นนักฆ่ามาหลายปีเธอก็ได้รู้ว่าบนโลกใบนี้ยังมีคนที่ แปลกประหลาด และมีความสามารถพิเศษอยู่มากมาย แต่เธอก็ไม่เคยเห็นว่าจะมีใครที่เหมือ นกับเขาคนนี้

ดังนั้นสิ่งแรกที่เธอควรจะทําเลยก็คือ หนี!

และดูเหมือนว่าเธอจะคิดถูก

เพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่สามารถไล่

ทันใดนั้นเฉียนนาเหว่ยก็สังเกตเห็นใครบางคนที่อยู่ตรงมุมหางตาของเธอ ทําให้เธอรีบหันไปมองทันทีและมันก็ทําให้เธอถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ

ชายคนหนึ่งที่สวมชุดสีเขียวเข้มพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปากของเขา

เฉียนนาเหว่ยรีบลุกขึ้นยืนทันทีพร้อมกับกํามีดสั้นในมือของเธอให้แน่น และมองไปที่ซูเงินด้วยสายตาจริง

เขาตามฉันมาตั้งแต่เมื่อ ? ไม่ใช่ว่าฉันสลัดเขาหลุดไปแล้วไม่ใช่หรอ!

“คุณเป็นใคร! ถ้าเกิดว่าคุณกล้าทําร้ายฉันที่เป็นคนขององค์กรไทรแอด คุณก็น่าจะรู้ถึงผลที่ตามมาว่ามันจะเป็นอย่างไร ดังนั้นฉันขอแนะนําว่าให้คุณรีบออกไปจากที่นี่ก่อนที่คุณจะมีปัญหากับองค์กรไทรแอดของฉันจะดีกว่า!” เฉินนาเหว่ยมองไปที่ซูเงินพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยเสียงทุ่มต่ํา ด้วยความระมัดระวัง

“คุณกลัวไหม?”

ซูเงินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “โดยปกติแล้วถ้าคุณจะใช้คําขู่ คุณจะต้องใช้กับคนที่กลัวคุณเท่านั้นและถ้าเกิดว่าเขาไม่ได้กลัวคุณ คุณก็ไม่ควรที่จะใช้มัน!”

“กลัว ? ฮ่ม! ฉันไม่เคยกลัวอะไรทั้งนั้น!” เฉียนนาเหว่ยพูดขึ้นมาอย่างเย็นชา

“จริงเหรอ ? มันเยี่ยมเลย” ซูเจินยิ้มออกมาทันที

ถึงแม้ว่าเฉินนาเหว่ยจะพูดขึ้นมาแบบนั้น แต่หัวใจของเธอมันก็ไม่ได้เป็นไปตามที่เธอ พูดเลยแม้แต่น้อยเพราะว่าตอนนี้มันกําลังเต้นอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เธอได้ยินเหมือนกับว่าเสียงของภายนอกเรือมันค่อย ๆ เงียบลง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าในตอนนี้เรือกําลังถูกควบ คุมโดยผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าของเธอ

ทําให้เธอมีแค่สองทางเลือกเท่านั้น ต่อสู้หรือกระโดดลงทะเลไ

และดูเหมือนว่ามันจะไม่มีหนทางอื่นนอกจากนี้แล้วจริง ๆ

อย่างไรก็ตามอัตราความสําเร็จของทั้งสองตัวเลือกมันก็ต่ํามากอยู่ดี ทําให้เฉียนนาเหว่ยถึงกับ เงียบไปครู่หนึ่ง และหลังจากนั้นไม่นานเธอก็กัดฟันและตัดสินใจที่จะต่อสู้กับเขา

“เฮ้อ!”

เฉียนนาเหว่ยถอนหายใจออกมาเบา ๆ พร้อมกับจับมีดสั้นของเธอขึ้นมาและพุ่งเข้าไปหาซูเจินอย่างรวดเร็ว

ในพริบตาเฉียนนาเหว่ยก็มาอยู่ตรงหน้าของซูเงินอย่างรวดเร็ว และเธอก็พบว่าตอนนี้

ซูเงินยังไม่ตอบสนอง

ทําให้เฉียนนาเหว่ยถึงกับยิ้มขึ้นมาอย่างมีความสุขทันที และเธอก็ใช้มีดสั้นของเธอแทงไปที่จุดสําคัญบนร่างกายของซูเงินอย่างรวดเร็ว

หัวใจ!

ทันใดนั้นมีดสั้นของเธอก็หยุดอย่างกะทันหัน ห่างจากหัวใจของซูเงินเพียงแค่หนึ่งนิ้วเท่านั้นและไม่ว่าเธอจะพยายามออกแรงมากเท่าไหร่ เธอก็ไม่สามารถขยับมีดสั้นของเธอได้เลยแม้แต่น้อย

โอลิเวอร์ควีนไม่ค่อยคุ้นเคยกับการที่เขาถูกซูเงินและเฟลิเซ่จ้องมาเล็กน้อย เพราะปก ติแล้วลูกธนูของเขาจะมีไว้เพื่อการฆ่าคนเท่านั้นแล้วทําไมตอนนี้มันถึงได้ดูเหมือนกับการแสดงกายกรรม! ทําให้โอลิเวอร์ควีนรู้สึกหดหูขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็ค่อย ๆ หยิบคันธนูและลูกธนูอออกมา

ทันใดนั้นอารมณ์ของโอลิเวอร์ควีนก็เปลี่ยนกลายเป็นคนเยือกเย็นพร้อมกับดวงตาที่ แหลมคมทันที

เมื่อซู่เจินเห็นแบบนั้นเขาก็เสกลูกเทนนิสขึ้นมาและปาออกไปทางโอลิเวอร์ควีนอย่างรวดเร็วซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองของโอลิเวอร์ควีนก็รวดเร็วมากเช่นกัน เขารีบดึงคันธนูขึ้นและยิงลูกธนูออกไปทันทีทําให้ลูกธนูแทงทะลุลูกเทนนิสไปติดกับกําแพงด้านหลังอย่างรวดเร็ว

ซูเงินไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เขากับเสกลูกเทนนิสเพิ่มขึ้นมาสามลูกและปาออกไปพร้อมกันโดยที่มีทิศทางและความเร็วที่แตกต่างกัน

ฟุบ! ฟุบ! ฟุบ!

ลูกเทนนิสทั้งสามลูกถูกลูกธนูเจาะทะลุเข้าไปติดกับกําแพงอีกครั้งหนึ่ง

“มันสุดยอดมาก … “ เฟลิเซ่พูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจพร้อมกับปรบมือขึ้นมาเบา ๆ

ซูเจินดึงพลังของเขากลับมาและปรบมือขึ้นมาเช่นกัน หลังจากนั้นเขาก็พูดว่า “คุณยิงธนูเก่งมากจริง ๆ … จะว่าไปแล้วผมก็รู้จักคนยิงธนูเก่งแบบคุณอยู่คนหนึ่ง แต่ผมก็ไม่รู้นะว่าระหว่างคุณกับเขาใครจะเก่งกว่ากัน?”

” เขาชื่ออะไร” โอลิเวอร์ควีนนั้นมั่นใจในฝีมือการยิงธนูของเขามาก ดังนั้นเขาจึงถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

“เขาชื่อ ฮอว์กอาย ถ้าเกิดว่าในอนาคตคุณมีโอกาสคุณอาจจะได้ประลองฝีมือกับเขาก็ได้” แน่นอนว่าซูเงินยังไม่เคยเจอฮอว์กอายเลยสักครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นคนที่ยิงธนูเก่งที่สุดในโลกมาเวล ดังนั้นพวกเขาน่าจะมีความสามารถพอ ๆ กัน ทําให้ซูเงินอยากรู้ว่าระหว่างฮอว์กอาย และ แอร์โรว์ ใครจะเก่งกว่ากัน

” ฮอว์กอาย ? ฉันไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ถ้าเกิดว่ามีโอกาสจริง ๆ พวกเราคงได้ประลองฝีมกัน!” โอลิเวอร์ควีนพูดขึ้นมา

” แล้วตอนนี้คุณจะเชื่อผมได้หรือยัง … ว่าสิ่งที่ผมพูดมันเป็นความจริง” ขู่เจินยิ้มขึ้นมาพร้อมกับหันหน้าไปถามเฟลิเซ่

เฟลิเซ่พยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ เพราะในตอนแรกเธอคิดว่าคนที่จะเป็นฮีโร่ได้นั้นจะต้องเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษแบบซ่เงิน ซึ่งโอลิเวอร์ควีนก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาเท่านั้นแล้วเขาจะไปเอาพลังที่แข็งแกร่งแบบนั้นมาจากที่ไหน ? แต่เมื่อเธอได้เห็นทักษะการยิงธนูของโอลิเวอร์ควีน มันก็ทําให้เธอถึงกับตกตะลึงและประหลาดใจ เพราะว่ามันรวดเร็วและแม่นยํามากเกินไป!

“เอาล่ะ! ตอนนี้ภารกิจของผมจบลงแล้ว และผมก็เชื่อว่าคุณยังมีเรื่องอีกมากมายที่ยังต้องจัด การ ดังนั้นผมจะไม่อยู่รบกวนเวลาคุณอีกต่อไป และนี่ก็คือเบอร์โทรศัพท์ของผมซึ่งผมจะอยู่ใน เมืองสตาร์ซิตี้แค่หนึ่งอาทิตย์เท่านั้น ถ้าเกิดว่าคุณต้องการความช่วยเหลือจากผม คุณสามารถโทรหาผมได้ตลอดเวลา!” ซูเงินเปลี่ยนพลังของเขาให้กลายเป็นตัวเลขบนอากาศและเขาก็รอจนกระทั่งโอลิเวอร์ควีนจํามันได้หมดแล้ว หลังจากนั้นเขาก็บินออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับเฟลิเซ่ในอ้อมแขนของเขา!

หลังจากที่ซ่เงินบินออกมาได้ไม่นาน เขาก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากระบบดังขึ้นมาอีกครั้ง

ค่าความสัมพันธ์เพิ่มขึ้นมาอีก 59% … ดูเหมือนว่าการที่เขาช่วยโอลิเวอร์ควีนทําความสะอาดมันจะไม่ได้ไร้ประโยชน์สักทีเดียว!

และซูเจินก็รู้ดีว่าโอลิเวอร์ควีนจะไม่มาขอความช่วยเหลือจากเขาในเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอนเพราะว่าศัตรูของโอลิเวอร์ควีนในตอนนี้ก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากนัก แต่ถึงอย่างนั้นซูเจินก็พร้อมที่จะทําทุกวิถีทางเพื่อให้ค่าความสัมพันธ์ของพวกเขามันเพิ่มขึ้น และสามารถทําภารกิจของระบบได้สําเร็จ!

ในขณะนี้โอลิเวอร์ควีนกําลังเดินออกมาจากศาล หลังจากที่เขาได้ไปเรียกคืนสภาพของเขากลับคืนมาหลังจากที่เขาสามารถ “รอดชีวิต” กลับมาได้อย่างปาฏิหาริย์ แต่ทันใดนั้นเขาก็บังเอิญเจอกับลอเรลที่กําลังจะเตรียมตัวขึ้นไปที่ศาลเพื่อเตรียมฟ้องร้องกับมาร์ตินซอมเมอร์และดูเหมือนว่าผู้ชายคนนี้จะอยู่ในรายชื่อของเขาด้วย ทําให้โอลิเวอร์ควีนรีบเดินทางกลับไปที่ฐานของเขาเพื่อตรวจสอบข้อมูลของชายคนนี้ทันที และเขาก็พบว่ามาร์ตินซอมเมอร์คนนี้มีเบื้องหลังที่ใหญ่โตมากไม่ว่าจะเป็นตํารวจหรือกฎหมายก็ไม่สามารถหยุดเขาได้หรือไม่ยอมทําซึ่งลอเรลก็คิดว่ามีเธอเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถลากเขาออกมารับโทษแต่เธอคิดผิด!

โอลิเวอร์ ควีน

หรือแอร์โรว์ในตอนนี้กําลังที่จะ … เริ่มลงมือแล้ว!

ในโกดังเก็บของแห่งหนึ่งที่ตอนนี้มีมาร์ติน ซอมเมอร์และลูกน้องของเขากับยืนพูดคุยกันอยู่โดยไม่รู้ตัวว่าตอนนี้แอร์โรว์ได้มาพวกเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และไม่นานแอร์โรว์ก็สามารถจัดการกับลูกน้องของซอมเมอร์ได้จนหมดอย่างรวดเร็ว และข่มขู่ให้ซอมเมอร์ขึ้นไปให้การกับศาลว่าเขาเป็นคนฆ่าวิกเตอร์โดเซ็นติด้วยตัวเอง

ซึ่งโอลิเวอร์ควีนก็คิดว่าแค่นี้มันก็น่าจะเพียงพอแล้วสําหรับการที่จะให้ซอมเมอร์ยอมจํานน และยอมรับความผิดของของเขาทั้งหมดหลังจากที่เขาเกือบที่จะถูกฆ่าตาย

เพราะว่ามีคนมากมายในโลกใบนี้ที่ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ําตา

หลังจากที่ซอมเมอร์ให้ปากคํากับตํารวจเรียบร้อยแล้ว เขาก็เชิญใครบางคนเข้า

นักฆ่าสาวคนหนึ่ง

ซึ่งในตอนที่โอลิเวอร์ควีนลงมือซูเจินก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยเช่นกัน และเขาก็รอจนกระทั่งซอมเมอร์ให้ปากคํากับตํารวจเสร็จเรียบร้อยและเชิญนักฆ่าสาวคนนี้เข้ามา เพราะว่าซูเงินอยากรู้ข้อมูลเกี่ยวกับนักฆ่าสาวคนนี้มากเฉียนนาเหว่ย

นักฆ่าขององค์กร ไทรแอด

ซึ่งเธอในตอนนี้กําลังสวมใส่ชุดเดรสสีแดงที่มาพร้อมกับผมสีขาวที่เรียวงามของเธอ ซึ่งซูเจินก็รู้ด้วยว่าเธอมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งที่ถูกเรียกว่า ไวท์พอร์ชเลน

ซอมเมอร์และคนของแก๊งไทรแอดนั้นเป็นหุ้นส่วนกัน เพราะว่าซอมเมอร์เป็นคนคอยจัดการหาท่าเรือให้กับแก๊งไทรแอดเพื่อขนส่งยาเสพติด ดังนั้นพวกเขาก็ถือได้ว่าเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันดังนั้นเธอจึงได้มาที่นี่เพื่อช่วยจัดการกับแอร์โรว์ให้ แต่ทันใดนั้นเธอก็มีความคิดอะไรบ้างอย่างขึ้นมาว่าถ้าเกิดว่าเธอฆ่าลอเรล แลนซ์ไปเรื่องทุกอย่างมันก็จะจบลงไปเองตามธรรมชาติและหลังจากที่เธอกับซอมเมอร์ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว เธอก็เดินจากไปทันที ซึ่งซูเงินก็ยังไม่ได้ลงมือทําอะไรในตอนนี้เพราะว่าเขาจะไม่พลาดค่าความสัมพันธ์จากเรื่องนี้ไปอย่างแน่นอน! ดังนั้นเขาจึงแอบตามไวท์พอร์ชเลนไปอย่างเงียบ ๆ เพื่อที่จะทําให้แน่ใจว่ามันจะไม่มีข้อผิดพลาดอะไรเกิดขึ้นมา!

แน่นอนว่าฐานที่มั่นของไวท์พอร์ชเลนจะต้องเป็นสถานที่ที่ลับมาก ๆ อย่างแน่นอน เพราะว่ามันเป็นถึงฐานที่ตั้งขององค์กรไทแอด

หลังจากซู่เจินมองไปรอบ ๆ เขาก็พบเข้ากับสถานที่ลับที่อยู่ชั้นบนตรงข้ามกับห้องของเธอ ทํา ให้เขารีบลอยขึ้นไปนั่งลงบนนั้นและเฝ้าสังเกตการเธออย่างเงียบ ๆ

ในขณะเดียวกันไวท์พอร์ชเลนที่กําลังยืนอยู่ตรงขอบของหน้าต่าง ก็ค่อย ๆ ถอดเสื้อผ้าของเธอออกอย่างช้า ๆ ทําให้ดวงตาของซูเงินถึงกับเบิกกว้างขึ้นมาทันทีพร้อมกับมองไปที่รูปร่างอันสมบูรณ์แบบของเธออย่างใจจดใจจ่อ ซึ่งรูปร่างของเธอมันก็ค่อนข้างแตกต่างจากรูปร่างของสาวตะวันตกโดยกําเนิดแบบเฟลิเซ่เล็กน้อย เพราะว่าไวท์พอร์ชเลนเป็นลูกครึ่งที่มีเชื้อสายจีนและเชื้อสายของคนตะวันออกอย่างละครึ่ง ซึ่งซูเจินก็รู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ดูคล้าย ๆ กับสกายอยู่เล็กน้อยในเรื่องของรูปร่างและหน้าตาแต่ถึงอย่างนั้นนิสัยใจคอของเธอและสกายมันก็แตก ต่างกันราวฟ้ากับเหวโดยเฉพาะผู้หญิงผมขาวมันจะให้เสน่ห์ที่แตกต่างกันออกไป!

ซึ่งโดยปกติของผู้ชายส่วนมากแล้วพวกเขาจะชื่นชอบความสวยงามและความตื่นเต้น ซึ่งซูเจินก็ไม่มีข้อยกเว้น

หลังจากที่ไวท์พอร์ชเลนถอดชุดของเธอออกเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็เดินหายไปจากสายตาของซูเงินสักพักหนึ่ง และไม่นานหลังจากนั้นเธอก็กลับมาพร้อมกับแจ็คเก็ตหนังรัดรูปสีดํา

“แม้ว่าชุดนี้จะให้ความรู้สึกคนละแบบกับชุดตัวเมื่อกี้ แต่ถึงอย่างนั้นขาของเธอก็ดูดีมาก … น่าจะมากกว่าของเฟลิเซ่ด้วยซ้ํา! “

เมื่อซู่เจินมองไปยังเสื้อผ้าที่ไวท์พอร์ชเลนใส่อยู่ เขาก็คิดว่าตอนนี้เธอน่าจะเตรียมพร้อมสําหรับการลงมือเรียบร้อยแล้ว ?

แน่นอนว่าหลังจากที่เธอใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เธอก็เดินออกจากห้องไป และไปขึ้นรถตู้ที่จอดอยู่ข้างล่างพร้อมกับคนอีกสองคน!

“จะเริ่มแล้วหรอ ? .. “

ซูเจินหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับลอยขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ําคืนและบินตามเธอไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นไม่นานรถก็หยุดลง และค่อย ๆ มีคนสามคนเดินลงมาจากรถพร้อมกับอาวุธในมือและเดินเข้าไปฝนตัวอาคารทันที

ซึ่งซ่เงินในตอนนี้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าลอเรลและโอลิเวอร์คลีนในตอนนี้กําลังนั่งคุยกันอยู่ตรงโซฟาใกล้เคียงกับหน้าต่างของห้องที่พวกเขาอยู่

โอลิเวอร์ควีนในตอนนี้ยังคงรู้สึกสับสนอยู่เล็กน้อย เพราะเขาไม่เข้าใจว่าทําไมซูเจินถึงได้พู ดขึ้นมาแบบนี้กับเขาและทําไมซ่เงินถึงได้เลือกเขา ? แน่นอนว่าเขามีความสามารถบางอย่างที่แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาหรือคนอื่น ๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังเป็นคนธรรมดาอยู่ดี ไม่ได้มีพลังพิเศษเหมือนกับฮีโร่คนอื่น ๆ แล้วนับประสาอะไรกับการที่จะให้เขาปกป้องโลกทั้งใบ หรือแม้กระทั่งจักรวาล

เมื่อมองไปยังโอลิเวอร์ควีนที่ยังคงมีท่าทางมันงงอยู่เล็กน้อย ซูเจินก็พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “อันที่จริงแล้วผมยังรู้เกี่ยวกับตัวตนของคุณอีกนิดหน่อย ซึ่งดูเหมือนว่าคุณจะไม่ได้อยู่ ในกรอบของมาตรฐานฮีโร่โดยทั่วไป เพราะว่าคนส่วนใหญ่จะคิดว่าฮีโร่คือคนที่คอยจัดการกับ เหล่าวายร้ายและจับเขาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยที่จะไม่ฆ่าพวกเขา ซึ่งผลที่ตามมาก็คือเมื่อคนพวกนี้พ้นโทษพวกเขาก็จะออกมาทําแบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดังนั้นผมจึงต้องการคุณ … ฮีโร่แห่งความมืด ? แน่นอนว่าวิธีการมันไม่สําคัญ เพราะสิ่งที่สําคัญจริง ๆ ก็คือ คุณมีจิตใจที่ชอบธรรม!

” ฉันรู้สึกขอบคุณมากสําหรับความคิดและความเข้าใจเกี่ยวกับตัวตนของฉันเป็นอย่างดี แต่ ฉันก็ไม่ใช่ฮีโร่อยู่ดี เพราะฉันก็แค่อยากทําให้เมืองนี้มันน่าอยู่ขึ้นก็เท่านั้น” โอลิเวอร์ควีนส่ายหัวเบา ๆ และพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำต่อว่า “ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าทําไมคุณถึงได้มาตรวจสอบฉัน แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่ใช่คนที่คุณต้องการอย่างแน่นอน!”

ซูเจินไม่ได้สนใจเรื่องที่โอลิเวอร์ควีนปฏิเสธเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าตอนนี้เขายังไม่มีความคิดที่จะก่อตั้ง จัสติซ ลีก ขึ้นมาในตอนนี้ แต่แค่นี้มันก็เพียงพอแล้วสําหรับการที่จะทําให้โอลิเวอร์ครีนรู้ว่าเขามีจุดประสงค์และความคิดเป็นเช่นไร ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขาก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากระบบดังขึ้นมา

“แอร์โรว์ โอลิเวอร์ ควีน ค่าความสัมพันธ์เพิ่มขึ้น 5 961”

ค่าความสัมพันธ์ที่เพิ่มขึ้น 5% อันนี้น่าจะเป็นเพราะว่าโอลิเวอร์ควีนขึ้นขมเขาใช่ไหม ? ถึงแม้ว่ามันจะน้อย แต่มันก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี!

ซูเจินยิ้มและพูดขึ้นมากับโอลิเวอร์ควีนว่า “ผมคิดอยู่แล้วว่าคุณจะต้องปฏิเสธมันอย่างแน่ นอน ดังนั้นผมจึงคิดว่าคุณน่าจะไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือของผมใช่ไหม ? ยกตัวอย่างเช่น ช่วยคุณหาฐานลับเพื่อที่คุณจะได้ทําสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย เพราะถึงยังไงความสามารถของคนเรามันก็มีอย่างจํากัดใช่ไหม ?

โอลิเวอร์ควีนรู้สึกกระอักกระอวนใจเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไรท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่สามารถ เปิดเผยตัวตนและขอความช่วยเหลือจากคนอื่นได้ ดังนั้นมันจึงเป็นการดีที่สุดถ้าเกิดว่าเขาให้เงินช่วย แม้ว่ามันจะดูน่าอายเล็กน้อยที่จะต้องให้ขู่เงินช่วยโดยไม่มีอะไรตอบแทนเขา

ทําให้เขาในตอนนี้เริ่มเอนเอียงไปตามสิ่งที่เป็นพูดขึ้นมาเล็กน้อย แต่ถึงอย่างงั้นมันก็ไม่ใช่เรื่ องง่ายเลยที่เขาจะเชื่อใจคนอื่นได้ง่าย ๆ

เพราะเขาเปลี่ยนไปมากในห้าปีที่ผ่านมานี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการขาดความไว้เนื้อเชื่อใจ!

“เอาล่ะ! ตอนนี้ผมเจอสถานที่ที่หนึ่งเหมาะสมกับคุณมาก ดังนั้นพวกเราควรที่จะรีบไปที่นั่นกันดีกว่าก่อนที่มันจะหมดเวลา!” เมื่อเห็นว่าโอลิเวอร์ควีนยังคงลังเลอยู่ ซูเจินก็เลยพูดตัด บทขึ้นมาทันที

เพื่อค่าความสัมพันธ์และทําภารกิจให้เสร็จ!

ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าโอลิเวอร์ควีนจะไม่มีเขา โอลิเวอร์ควีนก็ยังคงต้องหาฐานลับอยู่ดี แล้วทําไม เขาจะต้องปล่อยให้ค่าความสัมพันธ์อันนี้ต้องเสียเปล่าไปฟรี ๆ ?

ซูเจินไม่ได้ปล่อยโอกาสให้โอลิเวอร์ควีนได้พูดปฏิเสธ ทันใดนั้นก็มีโล่พลังงานสีเขียวเข้มป รากฏขึ้นมาห่อหุ้มร่างของโอลิเวอร์ควีนเอาไว้และหลังจากนั้นก็ไปห่อหุ้มร่างของเฟลิเซ่ต่อตามลําดับ จากนั้นซูเจินก็บินออกไปทางหน้าต่างของโรงแรมทันที ทําให้โอลิเวอร์ควีนในตอนนี้ตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้สูญเสียความเยือกเย็นของเขาไปและกําลังมองไปที่โล่พลังงานสีเขียวเข้มอันนี้ด้วยความอยากรู้อย่างเห็นว่ามันคืออะไร

หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาทั้งสามคนก็ค่อย ๆ ร่อนลงกับพื้นอย่างช้า ๆ

“นี่มัน โรงงานเก่าของพ่อฉันไม่ใช่หรอ?” หลังจากที่พวกเขาลงถึงพื้นเรียบร้อย โอลิเวอร์ควีนก็มองไปรอบ ๆ และพูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ

ซูเจินพยักหน้าเบา ๆ พร้อมกับเดินเข้าไปด้านในและพูดขึ้นมาว่า “ใช่! ที่นี่คือโรงงานที่ถูกที่ งร้างเอาไว้ และมันก็ไม่น่าจะมีใครเข้ามาที่นี้อย่างแน่นอน”

หลังจากที่ซ่เงินเดินเข้ามาด้านในเรียบร้อยแล้ว เขาก็กระแทกเท้าไปที่พื้นและพูดขึ้นมาว่า “มันน่าจะมีห้องใต้ดินอยู่ที่นี่ด้วยใช่ไหม ? ตราบใดที่คุณใช้ห้องใต้ดินด้านล่างนี้เป็นฐานลับของคุณ ส่วนด้านบนก็ตกแต่งให้เป็นไนต์คลับตัวยชื่อของโอลิเวอร์ควีน ผมเชื่อว่ามันจะต้องเป็นธุรกิจที่ดีมากอย่างแน่นอน เพราะว่ามันจะไม่มีใครคิดว่าที่นี้คือฐานลับของ แอร์โรว์ อย่างแน่นอน แถมมันยังเป็นสถานที่ที่ดีในการที่จะให้คุณมาหลบเมื่ออาการหลอนทางจิตของคุณมันกําเริบ!”

โอลิเวอร์ควีนอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเห็นด้วยขึ้นลงซ้ำ ๆ ไปมา “มันสมบูรณ์แบบมากจริง ๆ !”

“ในเมื่อเรื่องของไนต์คลับคุณสามารถจัดการมันได้ในภายหลัง ดังนั้นในตอนนี้เราควรที่จะสนใจเรื่องฐานลับของคุณก่อนเป็นอันดับแรก”

“ ตกลง! งั้นฉันขอตัวไปเตรียมของก่อน!” โอลิเวอร์ควีนพูดขึ้นมา “

ท้ายที่สุดแล้วถ้าเกิดว่าเขาต้องการที่จะทุบพื้นที่ตรงนี้ทิ้งไป เขาก็ต้องใช้ค้อนอยู่ดี

“ไม่จําเป็น!”

ซูเจินพูดหยุดโอลิเวอร์ควีนขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม ทันใดนั้นก็มีค้อนขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาเหนือ หัวของพวกเขาทันที

“ตู้ม!”

ค้อนขนาดใหญ่อันนั้นทุบลงไปที่พื้นอย่างรุนแรง ทําให้พื้นที่โดยรอบถึงกับสั่นสะเทือนพร้อม กับมีรอยแตกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา

ซูเจินขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยราวกับว่าเขาไม่ค่อยพอใจเล็กน้อยกับผลลัพธ์ที่ค้อนอันนี้ทําได้ ทําให้เขาเปลี่ยนค้อนอันนี้ให้กลายเป็นเครื่องตอกเสาเข็มทันที หลังจากนั้นไม่นานมันก็เริ่มทุบอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาไม่ถึงห้านาที่พื้นที่ตรงนั้นก็พังทลายลงจนหมด

ซูเจินเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ และพยักหน้าขึ้นมาด้วยความพึงพอใจ

เพราะว่าตอนนี้มันได้กลายเป็นโพรงขนาดใหญ่เรียบร้อยแล้ว ทําให้โอลิเวอร์ควีนรีบกระ โดดน้ำลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว และหลังจากนั้นไม่นานซูเจินก็อุ้มเฟลิเซ่ขึ้นมาและกระ โดดตามลงไปทันที

ด้านล่างมีแต่ความมืดมิดและฝุ่นจํานวนมากมาย

“ ดูเหมือนว่ามันจะต้องทําความสะอาดครั้งใหญ่”

ซูเจินโบกมือขึ้นมาเบา ๆ ทันใดนั้นก็มีโล่พลังงานปรากฏขึ้นมาห่อหุ้มร่างกายของเฟลิเซ่เอาไว้ ตามมาด้วยเครื่องดูดฝุ่นขนาดใหญ่ที่ปรากฏขึ้นมาเหนือหัวของพวกเขา และมันก็เริ่มทํางานอย่างรวดเร็ว

“ความสามารถของคุณ

มันช่างพิเศษจริงๆ!”

โอลิเวอร์ควีนมองไปที่ซูเจินด้วยความตกตะลึงพร้อมกับบ่นพึมพําขึ้นมาเบา ๆ

“โชคดีที่แม้ว่าฉันจะเปลี่ยนแปลงรูปร่างของสิ่งพวกนี้ไป แต่มันก็ยังคงมีประสิทธิภาพเท่าเดิม แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังต้องใช้พลังงานอยู่ดี ถ้าเกิดว่าฉันถึงพลังงานกลับไปเมื่อไหร่ มันก็จะหายไปทันที และ ถ้าเกิดว่าฉันพยายามอย่างหนักบางทีในอนาคตฉันอาจจะทําให้มันเกิดขึ้นมามีอยู่จริง ๆ ก็ได้!” เพราะถ้าเกิดว่าซูเจินสามารถกลืนกินอนุภาคอเทอร์ได้จนหมดจริง ๆ เขาก็จะมีพลังที่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงได้ทุกสิ่งทุกอย่าง

เช่นเดียวกับเทพพระเจ้าหม่าเหลียง ที่วาดอะไรขึ้นมามันก็จะกลายเป็นจริงทั้งหมด

“คุณช่วยเปลี่ยนพลังงานของคุณให้กลายเป็นหน้ากากป้องกันให้ผมหน่อยไม่ได้หรอ?” โอลิ เวอร์ควีนปิดจมูกของเขาและบ่นขึ้นมากับซูเจิน เพราะตอนนี้เขารู้แล้วว่าทําไมซูเจินถึงได้ใช้โล่พลังงานห่อหุ้มร่างกายของเฟลิเซ่เอาไว้

นี่มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด!

” ที่จริงแล้วคุณไม่จําเป็นที่จะต้องอยู่ที่นี่เลย เพราะถ้าเกิดว่าคุณยังอยู่ที่นี่มันจะเป็นการเสียเวลาไปเปล่า ๆ ดังนั้นทําไมคุณถึงไม่กลับไปเอาอุปกรณ์หรือสิ่งที่จําเป็นมาไว้ที่นี่ล่ะ ? พูดตามตรง ผมอยากเห็นทักษะการยิงธนูของคุณ!”

“เสียเวลาไปเปล่า ๆ ? แต่นี้มันคือฐานของฉัน!”

โอลิเวอร์ควีนพูดขึ้นมาอย่างหดหู แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็หันหลังเดินจากไปตามคําพูดของซูเจิน

หลังจากผ่านสองชั่วโมง ในตอนนี้โอลิเวอร์ควีนนก็ได้กลับมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แต่เมื่อเขากลับมาถึงเขาก็พบว่าสถานที่รอบ ๆ ได้ถูกปรับปรุงใหม่ทั้งหมด จากที่ที่เคยมีฝุ่น มากมายในตอนแรก ตอนนี้มันได้ถูกทําความสะอาดจนหมดจด ทําให้เขาในตอนแรกจํามัน ไม่ได้ด้วยซ้ำ

“ในที่สุดคุณก็กลับมาได้สักที ไหนคุณลองแสดงทักษะการยิงธนูให้ผมดูหน่อย เพราะว่า เมื่อกี้เฟลิเซ่ได้ถามกับผมว่าคุณมีความสามารถอะไร ผมก็เลยบอกไปว่าคุณยิงธนูเก่งมาก ดังนั้น คุณอย่าได้ทําให้ผมต้องอับอายต่อหน้าแฟนของผมเด็ดขาด!” ซูเจินรีบเดินเข้าไปคุยกับโอลิเวอร์ควีนอย่างรวดเร็ว พร้อมกับมองไปที่เฟลิเซ่ที่กําลังยืนอยู่ข้าง ๆ เขาด้วยความอายเล็กน้อย เพราะว่าตอนนี้ดวงตาของเธอมันเต็มไปด้วยความคาดหวัง

ในขณะเดียวกันตอนนี้โอลิเวอร์ควีนก็ได้ใช้ชื่อของกรีนแลนเทิร์นในการเป็นเกราะกําบังให้กับเขาเรียบร้อยแล้ว โดยหลังจากที่เขาโทรแจ้งตํารวจเขาก็บอกกับพวกตํารวจไปว่ากรีนแลนเทิร์น ได้ช่วยชีวิตของพวกเขาเอาไว้ ซึ่งทางด้านของซูเจินในตอนนี้เขาก็เพิ่งกลับมาถึงโรงแรม โดยที่ในห้องในตอนนี้กําลังมีเฟลิเซ่ที่เพิ่งอาบน้ําเสร็จและกําลังนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวกําลังนั่งดูข่าวอยู่ เพราะว่าหลังจากที่เธอรู้ว่าแฟนของเธอคือ กรีนแลนเทิร์น มันก็ทําให้เธอมีความสนใจเกี่ยวกับพวกฮีโร่บางคนเป็นพิเศษ เพราะว่าเธอกําลังเอาคนพวกนั้นมาเปรียบเทียบกับซูเจินอยู่ ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้ว จะไม่มีใครสู้แฟนของเธอได้ก็ตาม!

แม้ว่ามันอาจจะดูน่าเบื่อเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเฟลิเซ่ก็ชอบมันอยู่ดี

” คุณจะรีบกลับมาเร็ว ๆ นี้จริง ๆ ใช่ไหม?” ทันใดนั้นจู่ ๆ ซูเจินก็เดินเข้ามา ทําให้เฟลิเซ่รู้สึกตกใจเล็กน้อย

ซูเจินพยักหน้าเบา ๆ พร้อมกับมองไปที่เฟลิเซ่ตัวยสายตาร้อนแรง เพราะว่าเฟลิเซ่ที่กําลังนั่ง ผ้าขนหนูอยู่เพียงแค่ผืนเดียวในตอนนี้มันดูยั่วยวนสําหรับเขามากๆ “ใช่สิ! เพระว่าผมแค่ไปทักทายเขาเฉย ๆ และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเขาน่าจะมาหาผมในภายหลัง!”

“เขามีความสามารถพิเศษอะไรงั้นหรอ?” เฟลิเซ่ถามขึ้นมาพร้อมกับที่เธอพยายามใช้ท่าทางยั่วยวนเงินและค่อย ๆ เดินเข้าไปหาเขาอย่างช้า ๆ

แต่ก่อนที่เธอจะได้เข้าใกล้ตัวเขา ซูเจินก็รีบพุ่งเข้าไปกอดเธอเอาไว้อย่างรวดเร็วพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “ผมจะบอกเรื่องนี้กับคุณในภายหลัง เพราะว่าตอนนี้ พวกเรามีเรื่องที่สําคัญมากกว่านั้นที่ต้องทํากันไม่ใช่หรอ?”

“ฉันจะฟังคุณ!” เฟลิเซ่พูดขึ้นมาพร้อมกับเงยหน้าขึ้น

“จริงหรอ ? มันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดี 5 ซูเจินยิ้มขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับค่อย ๆ กดไหล่ของเฟลิเซ่ให้ต่ำลง ทําให้ใบหน้าของเฟลิเซ่ในตอนนี้เต็มไปด้วยความแดงระเรื่อเต็มไปหมด และเธอในตอนนี้ก็เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ซูเจินพูดมันหมายถึงอะไร แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้ปฏิเสธมัน เธอค่อย ๆ เอามือของเธอปลดกระดุมกางเกงของซูเจินออกอย่างช้า ๆ หลังจากนั้น

เมื่อตกกลางคืนพวกเขาทั้งสองคนก็นอนกอดกันอยู่บนเตียงและพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องความรักของพวกเขา ซึ่งในตอนนี้โอเวอร์ควีนก็ยังไม่ได้มาหาเขา แต่มันก็ไม่เป็นไรเพราะว่าตอนนี้ ซูเจินก็ไม่ได้รีบร้อนมากนัก เพราะเขาเชื่อว่าโอลิเวอร์ควีนจะต้องมาหาเขาอย่างแน่นอนเมื่อเขาจัดการธุรอะไรของเขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นในเมื่อเขาไม่มาคืนนี้ เขาก็น่าจะมาวันพรุ่งนี้อย่างแน่นอน! ทําให้ซูเจินในตอนนี้กําลังใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับเฟลิเซ่สองต่อสอง

ในขณะเดียวกันทางด้านของโอลิเวอร์ควีนที่กําลังจะเตรียมตัวมาหาซูเจินในเช้าวันรุ่งขึ้น แต่มันก็ดันมีเหตุการณ์ที่เขาถูกลักพาตัวขึ้นทําให้แม่ของเขาเป็นกังวลมากจึงต้องจ้าง จอห์น ดิกเกิ้ล บอดี้การ์ดผิวดํามาเป็นคนรักษาความปลอดภัยให้เขา แน่นอนว่าโอลิเวอร์ควีนไม่ต้องการให้ใครมาปกป้องเขา แต่ไม่ว่าเขาจะพูดอธิบายให้กับแม่ของเขาฟังมากเท่าไหร่เธอก็ไม่ยอมเห็นด้วยอยู่ดี ทําให้เขาได้แต่ทําตามที่แม่ของเขาบอกเพื่อที่จะทําให้แม่ของเขานั้นรู้สึกสบายใจ

เพราะว่าสําหรับเขาแล้วการจัดการกับบอดี้การ์ดเพียงคนเดียวมันไม่ใช่เรื่องยากเลย

หลังจากขึ้นรถเรียบร้อยแล้วโอลิเวอร์ควีนก็ชวนจอห์น ดิกเกิ้ล พูดคุยและถามเกี่ยวกับสถานภาพความเป็นอยู่ของเขาในปัจจุบันว่าเขาเป็นใครมาจากไหน ซึ่งจอห์น ดิกเกิ้ล ก็เล่าขึ้นมาว่า เขาเคยเป็นทหารมาก่อน และหลังจากที่เขาลาออกมาจากการเป็นทหาร เขาก็มาทํางานเป็นผู้คุ้มกันได้ประมาณ 4 ปี แล้วโดยที่เขาบอกว่าเขาสามารถรับรองความปลอดภัยของโอลิเวอร์ควีนได้อย่างแน่นอน แต่ทันใดนั้นหลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็พบว่าในตอนนี้โอลิเวอร์ควีนได้หายตัวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!

หลังจากที่โอลิเวอร์ควีน จัดการจอห์น ดิกเกิ้ลเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบมุ่งหน้าตรงไปที่โรงแรมที่ซูเจินอยู่ทันที

ไม่นานเขาก็มาถึงโรงแรมที่ซูเจินกําลังพักอยู่ ซึ่งเขาในตอนนี้กําลังยืนคิดอยู่ว่าทําไมซูเจินถึงต้องการให้เขาไปหา ? ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่าเงินจะรู้ความลับของเขาเป็นอย่างดีด้วยมันเป็นไปได้อย่างไร ?

“ก็อก ๆ !”

โอลิเวอร์ควีนเดินมาถึงหน้าประตูห้องของซูเจินพร้อมกับเคาะประตูขึ้นมาเบา ๆ

ซักพักประตูก็ค่อย ๆ เปิดออกอย่างช้า ๆ

ทําให้โอลิเวอร์ควีนในตอนนี้ถึงกับตะลึงเมื่อเห็นว่าคนที่ออกมาเปิดประตูไม่ใช่ซูเจิน แต่ เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่สวยมาก ทําให้เขาในตอนนี้รู้สึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อยว่าเขาจะมาผิดห้องหรือปล่าว ? แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินผู้หญิงคนนั้นพูดขึ้นมาว่า “คุณคือโอลิเวอร์ควีน มหาเศรษฐีที่เสียชีวิตไปเมื่อ 5 ปีก่อนและรอดชีวิตกลับมาได้อย่างปาฏิหาริย์คนนั้นใช่ไหม ? โอ้พระเจ้า! ฉันไม่คิดว่าคนที่เขาพูดถึงจะเป็นคุณ!”

“เขา?”

” คุณไม่ได้มาหาซูเจินงั้นหรอ?”

“ใช่! ฉันมาหาเขา!”

“งั้นก็เข้ามาก่อนสิ!” เฟลิเซ่เชิญโอลิเวอร์ควีนเข้ามาในห้องก่อนและพูดขึ้นมาต่อว่า “ตอนนี้ เขาเพิ่งตื่นนอนและกําลังอาบน้ําอยู่ ดังนั้นคุณไปนั่งรอเขาตรงนั้นก่อนก็ได้”

“ขอบคุณ แล้วคุณเป็นใครงั้นหรอ?” โอลิเวอร์ควีนพยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับเดินไปนั่งลงที่บนโซฟาและถามเธอขึ้นมา

” ฉันชื่อเฟลิเซ่ เป็นแฟนของเขา” เฟลิเซ่ลืมไปเลยว่าเธอลืมแนะนําตัวกับเขา

“โอลิเวอร์ ควีน” ถึงว่าเธอจะรู้จักเขาอยู่แล้ว แต่โอลิเวอร์ควีนก็ยังเลือกแนะนําตัวเองอีกครั้งอยู่ที่

โอลิเวอร์ควีน สังเกตเห็นว่าเฟลิเซ่ก็เป็นเพียงแค่ธรรมดาคนหนึ่งและดูเหมือนว่าเธอจะรู้จักตัวตนของซูเจินเป็นอย่างดี และเธอก็ไม่ได้พยายามปิดบังมันเลยแม้แต่น้อย ทําให้เขาสามารถพิสูจน์ได้ว่าซูเจินไม่ได้มีเจตนาร้ายกับเขาอย่างแน่นอน เพราะก่อนที่เขาจะมาที่นี้เขาได้ตรวจสอบข้อมูลของกรีนแลนเทิร์นมาก่อนแล้ว แต่น่าเสียดายที่มันมีข้อมูลน้อยมาก

“มาแล้วงั้นหรอ?”

หลังจากนั้นไม่นานซูเจินก็เดินออกมาจากห้องน้ําและเห็นว่าโอลิเวอร์ควีนได้มาหาเขาแล้ว ทําให้ซูเจินยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับเดินไปนั่งลงฝั่งตรงข้ามของโอลิเวอร์ควีนทันที

“ฉันอยากรู้ว่าคุณต้องการที่จะทําอะไรกันแน่ คุณถึงได้มาตามหาฉัน” โอลิเวอร์ควีนถามขึ้นมาตรง ๆ ทันที

ซูเจินยิ้มขึ้นมาพร้อมกับส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ต้องกังวล โอลิเวอร์ควีนตอนนั้นคุณติดอยู่ในเรือที่อับปางเมื่อ 5 ปีก่อน ทําให้ทุกคนในตอนนั้นคิดว่าคุณได้ตายไปแล้ว แต่คุณกลับรอดชีวิตออกมาได้อย่างปาฏิหาริย์จากเกาะเหลียนหยู แถมคุณยังมีทักษะมากมายและหนึ่งในทักษะที่เก่งที่สุดก็คือ การยิงธนู ซึ่งคุณก็พยายามที่จะฝึกฝนมันอย่างต่อเนื่อง และที่คุณกลับมาที่นี่ในครั้งนี้ก็เพื่อต้องการที่จะช่วยเหลือเมืองนี้ให้มันน่าอยู่ยิ่งขึ้น และชดใช้ความผิดบาปที่พ่อของคุณได้ทําเอาไว้ ผมพูดถูกไหม?”

โอลิเวอร์ควีนพยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ เพราะดูเหมือนว่าซูเจินจะรู้ความลับของเขาจริง ๆ

“ในเมื่อผมพูดถึงเรื่องของคุณเสร็จแล้ว งั้นเรามาพูดถึงเรื่องของผมกันมั่งดีกว่า … ผมมีตัวตน อีกตัวคนหนึ่งที่ถูกเรียกว่า กรีนแลนเทิร์น แต่มันก็เป็นเพียงแค่ตัวคนเดียวเท่านั้น เพราะว่าผมยังมีความสามารถอย่างอื่นอีกมากมาย นอกจากนี้กรีนแลนเทิร์นก็ไม่ได้มีอยู่เพียงแค่คนเดียว เพราะว่ายังมีกลุ่มกรีนแลนเทิร์นคอร์ปส ที่ทําหน้าที่คอยรักษาความสงบสุขในจักรวาลอยู่ โดยจะแบ่งหน้าที่รับผิดชอบแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นดาวโลกแห่งนี้ หรือดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ซึ่งดาวเคราะห์ที่อยู่ในเซ็กเตอร์ 2814 เป็นเขตอํานาจของผมทั้งหมด ดังนั้นมันจึงมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมต้องทํา ทําให้ผมค่อนข้างที่จะยุ่งอยู่ตลอดเวลาและไม่สามารถดูแลความสงบสุขของโลกได้อย่างทั่วถึง ดังนั้นถ้าเกิดว่ามีฮีโร่ที่คอยปกป้องเมืองของตัวเองอยู่มันจะช่วยแบ่งเบาภาระให้ผมได้มากมายเลยล่ะ”

“เพราะว่าคุณคือ แอร์โรว์ ผู้พิทักษ์ของเมืองสตาร์ซิตี้ และที่ผมเรียกคุณมาในวันนี้ก็เพื่อทําความรู้จักกับคุณ ในทางกลับกันผมก็อยากจะดูว่ามันยังมีอะไรที่จะต้องให้ผมช่วยเหลือคุณอีกหรือปล่าว และมันก็เป็นการตรวจสอบไปในตัวด้วย!”

แม้ว่าซูเจินจะยังไม่เคยไปที่สํานักงานใหญ่ของกรีนแลนเทิร์นคอร์ปสเลยสักครั้งหรือแม้กระทั่งคนของกรีนแลนเทิร์นคอร์ปสก็ยังไม่รู้จักตัวตนของเขาเลยด้วยซ้ำ แต่มันก็ไม่สําคัญเพราะว่ามันจะไม่มีใครรู้เรื่องนี้อยู่ดี

“ ตรวจสอบอะไร?”

สําหรับโอลิเวอร์ควีนแล้วตอนนี้เขามีข้อมูลอยู่มากมาย และกําลังพยายามหาทางช่วยเหลือเมืองสตาร์ซิตี้อยู่ แต่เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่เงินพูดมันก็ทําให้เขาขยายขอบเขตการรับรู้ของเขาไปทั้งหมดทันที จากโลกสู่ระดับจักรวาล

“ผมก็บอกแล้วว่าเมืองอื่น ๆ ก็มีฮีโร่ของพวกเขาคอยปกป้องอยู่เช่นกัน แต่ จักรวาลนี้ ชั่งกว้างใหญ่นัก ดังนั้นเราไม่ควรที่จะกําจัดกรอบของตัวเองอยู่แค่ภายในเมืองเท่านั้น แม้ว่าจะมีศัตรูแข็งแกร่งอยู่มากมาย ซึ่งคุณคนเดียวไม่สามารถรับมือกับพวกมันได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเราจะต้องรวบรวมคนและเอาชนะศัตรูของพวกเราได้ และนี่ก็คือรายชื่อของ “ทุกคน” ที่ผมได้เล็ง เอาไว้เพื่อที่จะไปทําการตรวจสอบพวกเขาด้วยตัวของผมเอง!”

เมื่อชายที่สวมหน้ากากรูปหัวกะโหลกสีแดงเห็นแววตาที่ดุดันของโอลิเวอร์ ควีนที่กําลังจ้องมาที่เขา มันก็ทําให้เขาถึงกับหัวเราะเยาะเย้ยออกมาในการประเมินความสามารถของตัวเองสูง ไปของโอลิเวอร์ควีน “แกเมาหรือยังไง แกถูกมัดไว้กับเก้าอี้แท้ ๆ นะเว้ย …”

“ใช่หรอ ?” โอลิเวอร์ ควิน ค่อย ๆ ผายมือของเขาออกอย่างช้า ๆ “ตอนนี้มันไม่อีกแล้ว!”

“เป็นไปได้ยังไง?”

ชายที่สวมหน้ากากรูปหัวกะโหลกสีแดงมองไปที่มือของโอลิเวอร์ควิน ด้วยความไม่อยากจะเชื่อและเตรียมที่จะจับตัวของโอลิเวอร์ขึ้นเอาไว้ แต่ทันใดนั้นโอลิเวอร์ก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขาหยิบเก้าอี้ขึ้นมาแล้วกระแทกไปที่ชายที่อยู่ตรงหน้าของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็ไปแย่งเครื่องช็อตไฟฟ้าจากอีกคนหนึ่งมา และเครื่องช็อตไฟฟ้าไปที่ชายคนนั้นทันที

ทันใดนั้นชายที่ถือปืนอยู่ก็ยิงไปที่โอลิเวอร์ควีนอย่างรวดเร็ว ทําให้เขาต้องจับชายคนที่ถูกเขาใช้เครื่องช็อตไฟฟ้ามาบังตัวของเขาเอาไว้ ทําให้กระสุนพุ่งเข้าร่างของชายคนนั้นอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเขาก็ปล่อยชายคนนั้นทิ้งไปพร้อมกับวิ่งไล่ตามชายคนที่ถือปืนไปทันที

“เขาสามารถจัดการคนพวกนั้นได้อย่างง่ายดาย และแน่นอนว่ามันแข็งแกร่งมากสําหรับคนธรรมดาทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะการยิงธนูของเขา!” เงินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ถึงแม้ว่าการเคลื่อนไหวของโอลิเวอร์ควีนจะรวดเร็วและเฉียบคม แต่ถึงอย่างงั้นมันก็ยังไม่ถึงเป้าหมายที่ซู่เจินต้องการอยู่ดี

บางที่อาจจะเป็นเพราะว่าคู่ต่อสู้ของเขาอ่อนแอเกินไป จึงทําให้เขาไม่สามารถแสดงฝีมือทั้งหมดออกมาได้ใช่ไหม ?

เมื่อเห็นว่าโอลิเวอร์ควีนไล่ตามชายคนที่ถือปืนออกไปแล้ว ซู่เจินที่ยืนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นขุดพลังงานอนุภาคอีเทอร์ที่ปรากฏขึ้นมาครอบคลุมร่างกายของเขาเอาไว้ และรีบเดินตามออกไปอย่างรวดเร็ว

ในขณะเดียวกันด้านนอกในตอนนี้กําลังมีเสียงปืนดังขึ้นอย่างสนั่นหวั่นไหว

ด้วยความที่โอลิเวอร์ควีนมีสมรรถภาพทางร่างกายที่แข็งแกร่งมาก มันจึงทําให้เขาสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว และไม่นานเขาก็ไล่ตามชายคนที่ถือปืนได้ทัน ซึ่งเขาในตอนนี้กําลังวิ่งไล่ตามชายคนที่ถือปืนเข้าไปโรงงานที่อยู่ข้างเคียงอย่างรวดเร็ว แต่ทันใดนั้นก็มีห่ากระสุนสาดเข้ามา ทําให้โอลิเวอร์ควีนต้องรีบกระโดดขึ้นไปจับที่เช็อกเหล็กที่ห้อยอยู่ข้าง ๆ พร้อมกับโหนเชือกเหล็กอันนั้นเข้าไปหาชายคนที่ถือปืนและล็อคคอของเขาเอาไว้

“อย่า … อย่าทําแบบนี้เลย” ชายคนที่ถือปืนตะโกนร้องขอความเมตตาออกมาอย่างไม่เต็มใจ

โอลิเวอร์ควีนส่ายหัวพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยท่าทางหนักแน่นว่า “ฉันต้องทํา .. จะให้ใครรู้ความลับฉันไม่ได้”

” แคร๊ก”

โอลิเวอร์ควีนค่อย ๆ ย่อตัวลงพร้อมกับบิดคอของชายคนนั้นอย่างรุนแรง

หลังจากนั้นโอลิเวอร์ควีนก็เตรียมตัวที่จะกลับไปดูอาการของทอมมี่เพื่อนรักของเขา แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นชายคนหนึ่งที่กําลังยืนอยู่ข้างหลังของเขาในชุดเครื่องแบบสีดํา โดยที่หน้าตาของชายคนนี้ดูเด็กมากและชายคนนี้ก็ไม่ได้สวมหน้ากากอะไรทั้งสิ้น เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้ชายที่มีหน้าตาหล่อเหลาแบบคนเอเชีย ซึ่งในตอนนี้ชายคนนี้กําลังยืนยิ้มมองมาที่เขาพร้อมกับดื่มกาแฟในมือของเขาเบา ๆ ซึ่งมันดูแปลก!

“ดูเหมือนว่าผมจะรู้ความลับของคุณเข้าโดยบังเอิญ แล้วคุณจะฆ่าผมด้วยไหม?”

เมื่อซูเจินเห็นแววตาที่ประหลาดใจของโอลิเวอร์ควีน เขาก็เลยถามขึ้นมาด้วยความสนใจเล็กน้อย

“คุณเป็นใคร?”

โอลิเวอร์ควีน มองมาที่ซูเจินด้วยความระหวาดระแวง เพราะว่าอยู่ดี ๆ ชายคนนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันโดยที่เขาไม่รู้สึกตัวเลยว่าเขามาอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ และดูเหมือนว่า เขาจะไม่ได้เป็นพวกเดียวกันกับพวกคนที่สวมหน้ากาก

“อยากรู้งั้นหรอว่าผมเป็นใคร? ผมจะบอกคุณให้ถ้าเกิดว่าคุณสามารถเอาชนะผมได้!” ซูเจินยิ้มออกมาพร้อมกับกระติกนิ้วเรียกให้โอลิเวอร์ควีนเข้ามา

โอลิเวอร์ควีนรู้แล้วว่าคน ๆ นี้เป็นใคร แต่ในเมื่อเขาอยากสู้ งั้นพวกเราก็มาสู้กัน! โอลิเวอร์ควีนวิ่งเข้าไปหาซูเจินอย่างรวดเร็ว ซึ่งการเคลื่อนไหวของเขาในตอนนี้มันเฉียบคมมาก

ซูเจินถือกาแฟของเขาเอาไว้ในมือข้างซ้าย ส่วนมือข้างขวาก็พยายามปัดป้องการโจมตีของอีกฝ่ายที่โจมตีมาที่เขาอย่างรวดเร็ว

แน่นอนว่าซูเจินไม่ได้ใช้ความสามารถพิเศษของเขา เพราะท้ายที่สุดแล้วแม้ว่าโอลิเวอร์ควีนจะแข็งแกร่งมาก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเป็นเพียงแค่คนธรรมดาอยู่ดี ถ้าเกิดว่าเขาใช้ความสามารถของเขามันก็เหมือนกับการกลั่นแกล้งดี ๆ นี่เอง ยิ่งไปกว่านั้นจุดประสงค์หลักของ เขาก็คือการพัฒนาทักษะการต่อสู้ระยะประชิดของเขา!

ความแข็งแกร่งและความเร็วของโอลิเวอร์ควีนนั้นแข็งแกร่งมาก บวกกับเทคนิคการต่อสู้ของเขาที่ผสมผสานกับการใช้เล่ห์เหลี่ยมมันก็ยิ่งทําให้เขาสามารถไล่ต้อนซูเจินได้ ถึงแม้ว่าสมรรถภาพทางร่างกายของซูเจินจะแข็งแกร่งมากกว่าของโอลิเวอร์ควีน และสามารถตอบสนองได้รวดเร็วยิ่งกว่า แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกว่ามันยากมากที่จะตอบโต้กับไป ราวกับว่าเขากําลังพ่ายแพ้ให้กับการใช้กลอุบายเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น

สิ่งนี้ทําให้เป็นรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก

นี่แหละคือทักษะการต่อสู้ระยะประชิดที่เขาต้องการ

“ตู้ม!”

ซูเจินต่อยไปที่โอลิเวอร์ควีนอย่างรุนแรง จนทําให้ร่างกายของของโอลิเวอร์ควีนกระเด็นถอยหลังไปพร้อมกับอาการปวดที่มือของเขา ทําให้เขาต้องนวดมันเบา ๆ เพื่อบรรเทาความเจ็บปวด หลังจากนั้นเขาก็มองไปที่ซูเจินด้วยความตกใจปนความประหลาดใจเล็กน้อยในความแข็งแกร่งของซูเจินในขณะเดียวกันขู่เงินก็ค่อย ๆ วางกาแฟของเขาเอาไว้ข้าง ๆ พร้อมกับพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้นว่า “มาต่อกันเถอะ!”

ปัก! ปุก! ปัง!

พวกเขาทั้งสองคนพุ่งเข้ามาต่อสู้กันอย่างรวดเร็ว โดยที่เงินพยายามที่จะใช้หมัดของเขาโจมตีไปที่โอลิเวอร์ควีน แต่โอลิเวอร์ควีนก็สามารถหลบได้อย่างง่ายดาย เพราะว่าประสบการณ์การต่อสู้ของโอลิเวอร์ควีนนั้นมีมากกว่าซูเจิน ทําให้เขาสามารถแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าของเขาได้อย่างรวดเร็ว

ซึ่งซูเจินในตอนนี้กําลังรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะว่ายิ่งเขาต่อสู้มากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น โดยที่เขาพยายามเปลี่ยนรูปแบบการโจมตีของเขาอยู่ตลอดเวลา และไม่นานใบหน้าของโอลิเวอร์ควีนก็โดนหมัดของซูเจินชกติดต่อกันไปสามครั้ง ทําให้สีหน้าของโอลิเวอร์ควีนขึ้นในตอนนี้แสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมาเล็กน้อย

“เอาล่ะ! หยุดต่อสู้กันได้แล้ว!”

จู่ ๆ ซูเจินก็ตะโกนขึ้นมาเพื่อให้โอลิเวอร์ควีนหยุดการต่อสู้ในครั้งซะ แต่โอลิเวอร์ควีนในตอนนี้กําลังเต็มไปด้วยความโกรธทําให้เขารีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและเตรียมตัวที่จะเข้ามาโจมตีซูเจินอีกครั้ง โดยที่ไม่ได้ฟังคําพูดของซูเจินเลยแม้แต่น้อย ทําให้ซูเจินส่ายหัวขึ้นมาเบา ๆ ทันใดนั้นก็มีห้องขังสีเขียวเข้มปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหันพร้อมกับขังร่างของโอลิเวอร์ควีนเอาไว้ด้านใน ทําให้โอลิเวอร์ควีนในตอนนี้กําลังเด้งไปเด้งมาอยู่ในห้องขังจากการที่เขาพยายามกระแทกกับห้องขังอย่างรุนแรงเพื่อทําลายมันออกไป

แต่ไม่ว่าโอลิเวอร์ควีนจะกระแทกมันรุนแรงสักเท่าไหร่ มันก็ไม่ยอมฟังสักที ทําให้เขาในตอนนี้ ได้แต่มองไปที่มันตัวยความประหลาดใจ

ซูเจินค่อย ๆ เดินกลับมาเอากาแฟของเขาอย่างช้า ๆ พร้อมกับนั่งลงบนโซฟาที่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหัน โดยที่เขากําลังนั่งไขว้ห้างพร้อมกับดื่มกาแฟเบา ๆ และมองไปที่โอลิเวอร์ควีนด้วยความสงบ

หลังจากนั้นไม่นานโอลิเวอร์ควีนก็ค่อย ๆ สงบสติอารมณ์ลง และมองไปที่ซูเจินด้วยสายตาจริงจัง

“ทําจิตใจให้สงบ แล้วฟังผมให้ดี ๆ ผมชื่อว่าซูเจินมาจากเมืองปืนไร่ และถ้าเกิดว่าคุณเคยอ่านข่าวก็น่าจะเคยได้ยินชื่อ ” ซูเจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“กรีนแลนเทิร์น?”

โอลิเวอร์ควีนกล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“ดูเหมือนว่าคุณจะเคยได้ยินชื่อเสียงของผมมาบ้างแล้ว ดังนั้นผมจะอธิบายให้คุณเข้าใจง่าย ๆ เลยก็แล้วกัน ที่ผมมาที่นี่ในวันก็เพราะว่าผมอยากทําความรู้จักกับคุณนิดหน่อย และดูเหมือนว่าวันนี้ผมจะมาไม่เสียเที่ยวเปล่า ๆ แถมผมก็รู้ตัวยว่าคุณยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องจัดการอยู่ ดังนั้น ถ้าเกิดว่าคุณทําอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้วคุณสามารถมาหาผมได้ถ้าเกิดว่าคุณสนใจ และผมก็คิดว่า.. คุณน่าจะรู้วิธีติดต่อหาผมอยู่แล้ว”

ซูเจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับห้องขังที่ยังโอลิเวอร์คขึ้นอยู่ก็ค่อยหายไป ทันใดนั้น ซูเจินที่หายตัวไปทันทีเช่นกัน ทําให้โอลิเวอร์ควีนในตอนนี้เต็มไปด้วยความประหลาดใจมากมาย

” กรีนแลนเทิร์นซูเจิน!”

โอลิเวอร์ควีนบ่นพึมพําขึ้นมาเบา ๆ กับตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็รีบกลับไปหาทอมมี่เพื่อนรักของเขาทันที เพราะว่าตอนนี้มันมีเรื่องให้เขาต้องจัดการมากมายจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการลักพาตัวหรือคนที่เขาได้ฆ่าตายไป ดังนั้นเรื่องพวกนี้มันจะต้องทําให้ตํารวจมาหาเขาถึงหน้าประตูบ้านอย่างแน่นอน แล้วจะให้เขาอธิบายว่าเขาเป็นคนฆ่าพวกนี้เองอย่างนี้หรอ ? เพราะท้ายที่สุดแล้วเขาและทอมมี่ก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดา ส่วนอีกฝ่ายมีคนมากมายพร้อมกับอาวุธปืน

ซึ่งในตอนแรกเขาวางแผนไว้ว่าจะบอกกับตํารวจว่ามีคนใส่สู้ดสีเขียวมาช่วยพวกเขาเอาไว้ แต่ตอนนี้เขากับมีความคิดที่ดีกว่านั้นนั่นก็คือ กรีนแลนเทิร์น คนที่จะมาเป็นโล่ป้องกันความผิดของเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ตอนที่ 86 โอลิเวอร์ ควีน

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซูเจินเคยอุ้มเฟลิเซ่เอาไว้ในอ้อมแขนของเขาในขณะที่เขากําลังบินอยู่ ซึ่งเฟลิเซ่ในตอนนี้กําลังตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะว่าความรู้สึกในตอนนี้มันเหมือนกับว่าเธอกําลังนั่งอยู่บนเครื่องบินอย่างไงอย่างงั้น ” พวกเรากําลังไปที่ไหนกันงั้นหรอ ?” เฟลิเซ่ถามขึ้นมาอย่างอยากรู้อยากเห็น

” เมืองสตาร์ซิตี้!”

ซูเงินพูดออกมาพร้อมกับปล่อยพลังงานของแหวนอีเทอร์ออกมารอบ ๆ ตัวของพวกเขา และกลายเป็นเครื่องบินทันที โดยที่ซูเงินนั่งอยู่ด้านหน้าและเฟลิเซ่นั่งอยู่บนตักของเขา ซึ่งเฟลิเซในตอน นี้ก็ค่อนข้างประหลาดใจเล็กน้อยว่าทําไมแหวนวงนี้มันถึงสามารถสร้างอะไรขึ้นมาได้หลายอย่างมาก

“แล้วคุณจะไปที่เมืองสตาร์ซิตี้ทําไม ? ” เฟลิเซ่ถามต่อขึ้นมาทันที

” ผมได้รับภารกิจมาว่าให้ไปตามหาซูเปอร์ฮีโร่คนหนึ่งที่อยู่ใน เมืองสตาร์ซิตี้ ดังนั้นผมจึงอยู่กับคุณได้เพียงแค่ 1 อาทิตย์เท่านั้น เพราะว่าหลังจากนั้นผมมีเรื่องอะไรบางอย่างที่ต้องทํา และจะกลับ มาอีกทีก็หนึ่งอาทิตย์ให้หลัง” ซูเงินอธิบายขึ้นมาอย่างคร่าว ๆ

เมื่อเฟลิเซได้ยินที่ซ่เงินพูดมันก็ทําให้เธอรู้สึกผิดหวังขึ้นมาเล็กน้อย แต่เมื่อเธอได้ยินว่าเขาจะกลับมาอีกหนึ่งอาทิตย์ให้หลัง เธอก็กลับมามีความสุขอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เพราะถึงอย่างไงซูเจินก็มีงานของเขาที่จะต้องทํา แถมเขายังต้องแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่ไว้บนบ่าของเขาอีก แค่นี้มันยังไม่เพียงที่จะพิสูจน์ว่าเขายังมีเธออยู่ในหัวใจของเขามากแค่ไหนอีกงั้นหรอ ?

ยิ่งไปกว่านั้นจะมีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ไม่ชื่นชอบซูเปอร์ฮีโร่ ? ดังนั้นในเมื่อแฟนของเธอเป็นซูเปอร์ฮีโร่ แล้วเธอจะไม่พอใจอะไรอีก ?

ในระหว่างทางเฟลิเซ่ก็นั่งคุยกับซูเงินอย่างสนุกสนาน และหลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็มาถึงเหนือน่านฟ้าของเมืองสตาร์ซิตี้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับที่ซ่เงินค่อย ๆ บังคับเครื่องบินลงจอดในพื้นที่โล่ง ๆ และไม่นานเครื่องบินก็หยุดลง

ซูเงินกอดเฟลิเซ่เอาไว้และพูดขึ้นมาว่า “ไปหาโรงแรมกันเถอะ”

“อืม!”เฟลิเซ่หยักหน้าเบา ๆ

หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็มุ่งหน้าไปยังโรงแรมที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองสตาร์ซิตี้และเช็คอินเปิดห้องพร้อมกับสั่งอาหารจากทางโรงแรมมากินด้วยกันทันที

หลังจากที่พวกเขาทั้งสองคนทานอาหารอะไรกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตอนนี้มันก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงพอดี ทําให้ซูเงินในตอนนี้กําลังนั่งอย่างขี้เกรียจอยู่บนโซฟา พร้อมกับเฟลิเซ่ที่กําลังนอนอาบแดดอย่างมีความสุข และทันใดนั้นจู่ ๆ เฟลิเซ่ก็พูดถามขึ้นมาว่า

” ที่รัก! ไหนคุณบอกว่าจะไปหาซูเปอร์ฮีโร่ในเมืองสตาร์ซิตี้ไม่ใช่หรอ ? แล้วคุณจะไปเมื่อไหร่ ? ” เฟลิเซ่ถามขึ้นมาพร้อมกับเงยหน้าขึ้น

ซูเงินยิ้มและจูบไปที่เธอเบา ๆ และพูดว่า “ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวพรุ่งนี้เขาก็มาถึงแล้ว”

”เป็นเพราะฉันงั้นหรอ ? คนไม่จําเป็นที่จะต้องทําแบบนี้ เพราะตราบใดที่คุณยังอยู่กับฉัน แค่นี้ฉันก็พอใจมากแล้ว ถึงแม้ว่าฉันจะคิดถึงคุณมากและอยากอยู่กับคุณตลอดเวลา แต่ .. เวลาของพวกเราที่ได้อยู่ร่วมกันมันก็ไม่ได้มีมากขนาดนั้น ดังนั้นฉัน จึงเต็มใจที่จะเป็นช้างเท้าหลังให้กับคุณ! “ เฟลิเซ่พูดขึ้นมาเบา ๆ

แน่นอนว่านิสัยของเฟลิเซ่เป็นแบบนี้มาโดยตลอด เพราะเธอรู้ว่าอะไรที่ควรทําและไม่ควรทําและอะไรคือสิ่งที่สําคัญที่สุด

ในความเป็นจริงแล้วซ้ําเงินวางแผนไว้ว่าเขาจะไปเที่ยวกับเฟลิเซ่สักหนึ่งวัน หลังจากนั้นเขาก็จะไปหาโอลิเวอร์ ควีน เพราะว่าระยะเวลาเพียงแค่ 6 วันก็น่าจะเพียงพอแล้วสําหรับการที่เขาจะทําภารกิจหลักและภารกิจรองทั้งหมดให้เสร็จ แต่เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่เฟลิเซ่พูดขึ้นมาแบบนั้น แล้วเขาจะกล้าพูดอะไรขึ้นมาได้อีก ?

ซูเจินจูบไปที่เธออย่างดูดดื่มและพูดว่า “งั้นคุณผู้หญิงช้างเท้าหลัง! หลังจากที่ผมเจอซูเปอร์ฮีโร่คนนี้แล้ว ผมจะรีบกลับมาหาคุณโดยเร็วที่สุด …”

“ไปดีมาดีนะคะที่รัก!”

เฟลิเซ่พยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ หลังจากนั้นซูเจินก็ลุกขึ้นและออกจากโรงแรมไปอย่างรวดเร็ว

ในขณะเดียวกันทางด้านของโอลิเวอร์ ควินที่ตอนนี้เพิ่งจะกลับมาจากการติดเกาะ สิ่งแรกที่เขาทําก็คือการไปหาลอเรลอดีตแฟนสาวของเขา และเมื่อพูดถึงเรื่องนี้โอลิเวอร์ ควีนก็เหมาะสมกับฉายาของพ่อหนุ่มเพลบอยที่ได้รับมาจากเพื่อนของเขาจริง ๆ เพราะว่าเมื่อ 5 ปีก่อนที่เขาได้ไปล่องทะเล โอลิเวอร์ คลีนได้พาพี่สาวของลอ เรลไปล่องทะเลด้วยกัน และจนกระทั่งเกิดเหตุเรือล่มทําให้ทุกคน

ภายในเรือตายกันหมด ดังนั้นโอลิเวอร์ ควีนจึงต้องการที่จะมาขอ โทษลอเรลด้วยตัวของเขาเอง แต่เขาก็ต้องพบกับความล้มเหลม และไม่นานหลังจากนั้นเขากับทอมมี่ก็ถูกโจมตี และนี่ก็จึงเป็นสาเห ตุที่ทําให้เขาต้องมุ่งสู่เส้นทางของ แอร์โรว์อีกครั้ง

และแน่นอนว่าลอเรลก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่สวยมาก สวยพอ ๆ กับซาราห์พี่สาวของเธอ

ซึ่งในความเป็นจริงแล้วซูเงินก็ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับลอเรลมากสัก เท่าไหร่ เพราะว่าความรู้สึกของเธอมันซับซ้อนเกินไป ในตอนแรก เธอเป็นแฟนสาวของโอลิเวอร์ และหลังจากที่โอลิเวอร์ ตายจากไป 5 ปี เธอก็หันไปคบหากับทอมมีเพื่อนรักของโอลิเวอร์แทน ซี งมันเป็นเรื่องที่วุ่นวายและซับซ้อนซ่อนเงื่อนมาก และซูเงินก็ไม่อ ยากไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องตรงนี้สักเท่าไหร่ เพราะสุดท้ายแล้วเธอก็ ไม่ได้อยู่ร่วมกันกับโอลิเวอร์อยู่ดี

ในขณะเดียวกันตอนนี้ซูเงินก็กําลังยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของถนน พร้อมกับถ้วยกาแฟในมือของเขา และกําลังมองไปที่ชายหญิง คู่หนึ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของถนนอย่างสบาย ๆ

ชายหญิงคู่นี้ก็คือโอลิเวอร์ ควินน์และลอเรล แลนซ์

ซึ่งในตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีสถานการณ์ไม่ค่อยดีสัก เท่าไหร่ เพราะหลังจากที่ลอเรลพูดอะไรบางอย่างขึ้นมา เธอก็หัน หลังเดินกลับไปที่สํานักงานกฎหมายของเธอทันที และไม่นานห ลังจากนั้นก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาพูดคุยกับโอลิเวอร์ด้วยความ ไม่พอใจเล็กน้อย ชายคนนี้ก็คือทอมมี่

เพื่อนรักของโอลิเวอร์ ควีน ซึ่งเป็นทายาทรุ่นที่สองที่ร่ํารวย

ทอมมี่ยักไหล่ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ พร้อมกับพาโอลิเวอร์เดินไปที่ซอยบริเวณใกล้เคียงที่เขาจอดรถเอาไว้

ซึ่งซูเงินก็ไม่ได้ตามดูพวกเขาอีกต่อไป เพราะว่าตอนนี้เขากําลังรออยู่ … รอจนกระทั่งมีเสีย งปืนดังขึ้นพร้อมกับรถตู้ที่ขับออกไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นว่ารถตู้ขับออกไปแล้ว ซูเงินก็รีบตามไปทันที

ซึ่งในตอนแรกความเร็วของเงินนั้นช้ามากเพราะว่าตอนนั้นยังมีคนอยู่รอบ ๆ จํานวนมากทําให้เขาไม่สามารถใช้ความเร็วของเขา ได้อย่างเต็มที่ และหลังจากที่เขาวิ่งมาสักพักเขาก็พบว่าตอนนี้ไม่ มีใครอยู่รอบ ๆ แล้วทําให้ซูเจินรีบบินตามรถตู้คันนั้นไปอย่างรวดเร็ว และไม่นานรถตู้คันนั้นก็ขับเข้าไปในโรงงานร้างและหยุดลงพร้อมกับกลุ่มคนสวมหน้ากากที่ถือปืนเอาไว้ในมือของพวกเขาค่อย ๆ พาโอลิเวอร์ ควีนและทอมมี่เดินเข้าไปด้านในของโรงงานร้าง

ส่วนทางด้านของซูเงินในตอนนี้กําลังมองขึ้นไปที่หน้าต่างด้า นบนโรงงานร้างที่แตกอยู่ และไม่นานร่างของเขาก็ค่อย ๆ ลอยขึ้น อย่างช้า ๆ พร้อมกับเข้าไปด้านในทันที และเขาก็มองไปที่โอลิเวอร์ ควีนที่ถูกมัดติดอยู่กับเก้าอี้ และทอมมีที่นอนอยู่บนพื้นข้าง ๆ ของ โอลิเวอร์ ควีน

” แค่ก ๆ วิธีการพวกนี้มันไม่เก่าเกินไปหน่อยงั้นหรอ ?”

ซูเงินส่ายหัวขึ้นมาอย่างลับๆ เพราะใครกันล่ะที่ทําให้โอลิเวอร์ ควีนต้องกลายมาเป็นพระเอกของเรื่องนี้ ? แล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงเกี่ย วกับกลุ่มคนพวกนี้ที่มาหาโอลิเวอร์ ควีน ก็เพราะว่าพวกเขาอยากรู้ ว่าพ่อของโอลิเวอร์ ควีน นั้นได้ตายไปแล้วหรือยัง ?

“โอลิเวอร์ ควิน”

ชายที่สวมหน้ากากคล้ายกับหัวกะโหลกสีแดงต่อยไปที่หน้า ของโอลิเวอร์ ควันอย่างรุนแรง เพื่อปลุกให้เขาตื่นขึ้นมา จากนั้น ชายคนนั้นก็หยิบเครื่องช็อตไฟฟ้ามาถือไว้ในมือของเขาพร้อมกับ ถามขึ้นมาด้วยน้ําเสียงทุ่มต่ําว่า “โอลิเวอร์ ควีน ไหนแกลองบอก มาสิว่าพ่อของแกรอดไหม?”

โอลิเวอร์ ควีนค่อย ๆ ตื่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ ด้วยความมึนงงพ ร้อมกับมองไปรอบ ๆ ด้วยความสงบ โดยที่เขาพยายามสังเกตุ คนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่ข้างหลังของชายที่สวมหน้ากาหัวกะโหลกสีแดง และอาวุธที่อยู่ในมือของพวกเขา ทําให้ชายที่สวมหน้ากากหัวกะ โหลกสีแดงถามขึ้นมาด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยว่า “ฉันถาม แกว่ายังไง แกก็ต้องตอบมาสิ!”

เมื่อเห็นว่าโอลิเวอร์ ควีนไม่ยอมตอบออกมา ชายที่สวมหน้ากาก หัวกะโหลกสีแดงก็เอาเครื่องช็อตไฟฟ้าจี้ไปที่ตัวของโอลิเวอร์ ควีนทันที ทําให้โอลิเวอร์ ควีน ที่กําลังถูกมัดติดอยู่กับเก้าอี้กรีดร้อง ออกมาด้วยความทรมาณ

ชายที่สวมหน้ากากหัวกะโหลกสีแดงค่อย ๆ ก้มตัวของเขาลงพ ร้อมกับมองไปที่โอลิเวอร์ ควีน ” พ่อของแกรอดมาจากเกาะนั่นไหม ? เขาได้บอกอะไรกับแกบ้าง” ชายที่สวมหน้ากากหัวกะโหลกสีแดง ถามขึ้นมาพร้อมกับเอาเครื่องช็อตไฟฟ้าจี้ไปที่ตัวของโอลิเวอร์ ควีนอีกครั้งหนึ่ง

ด้วยความเจ็บปวดอย่างมหาศาลจากเครื่องช็อตไฟฟ้า ก็ทําให้โอ ลิเวอร์ ควีนในตอนนี้มีสภาพที่ดูเหมือนว่าเขากําลังที่จะยอมจํานน ต่อกลุ่มคนตรงหน้าของเขา

“ใช่เขาบอก เขาบอกมาฉันจะฆ่าแกยังไงเล่า!”

โอลิเวอร์ ควีน เหลือบมองไปที่ทอมมี่เล็กน้อยเพื่อยืนยันว่าตอน นี้ทอมมี่กําลังหมดสติอยู่จริง ๆ หลังจากนั้นเขาก็เงยหน้า ขึ้นไปมองไปชายที่สวมหน้ากากหัวกะโหลกสีแดงพร้อมกับพูดขี้ นมาด้วยน้ําเสียงทุ่มต่ํา

” เมื่อไหร่จะเริ่ม?”

ซูเจนอดไม่ได้ที่จะพึมพําขึ้นมาเบา ๆ เพราะว่าตอนนี้เขาอยาก เห็นจะแย่อยู่แล้วว่าทักษะการต่อสู้ของโอลิเวอร์ ควีน นั้นมันจะเก่ง ได้สักแค่ไหนกันเชียว!

“เริ่มต้นภารกิจ”

“ภารกิจหลัก: ช่วยแอร์โรว์ปกป้องเมืองสตาร์ซิตี้“

“ภารกิจรอง1: ร่วมมือกับแอร์โรว์ในการทำภารกิจมากกว่าหนึ่งครั้ง“

“ภารกิจรอง2: มีค่าความสัมพันธ์กับแอร์โรว์อย่างน้อย 50 %!”

“ภารกิจเนื้อเรื่อง: เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งของ จัสติช ลีก“

“กำลังเปิดระบบ ค่าความสัมพันธ์ … “

การแจ้งเตือนของระบบในครั้งนี้ทำให้ซู่เจินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องปกติที่ระบบจะให้ภารกิจกับเขามา แต่ครั้งนี้มันดูเหมือนว่าจะแตกต่างจากครั้งก่อนเล็กน้อย “ระบบ! ค่าความสัมพันธ์มันคืออะไร ?”

“ระดับค่าความสัมพันธ์ มันก็เป็นไปตามชื่อของมันนั่นก็คือ ระดับความสัมพันธ์ฉันท์มิตรระหว่างโฮสต์กับฝ่ายตรงข้าม ยิ่งโฮสต์มีค่าความสัมพันธ์มากเท่าไหร่ โฮสต์ก็จะยิ่งมีความน่าไว้วางใจมากขึ้นเท่านั้น ในขณะเดียวกันถ้าเกิดว่าค่าความสัมพันธ์ของโฮสต์สูงถึง 80% โฮสต์จะสามารถเปิดระบบสนามประลองขึ้นมาได้“

“แล้วสนามประลองมันคืออะไร ? ดูเหมือนว่ายิ่งฉันอัพเกรดระบบมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งมีฟังก์ชั่นเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เท่านั้น“ ซู่เจินถอนหายใจออกมาเบา ๆ

“ระบบสนามประลอง ก็คือสถานที่ที่มีไว้ให้กับโฮสต์และเพื่อนของโฮสต์ที่มีค่าความสัมพันธ์มากกว่า 80% มาต่อสู้กัน โดยที่โฮสต์สามารถเรียนรู้เทคนิคการต่อสู้ของเขาได้อย่างรวดเร็วจากสนามประลองแห่งนี้“

“เป็นคำอธิบายที่เข้าใจง่ายดีจริง ๆ ดูเหมือนว่าระบบค่าความสัมพันธ์อันนี้มันจะมีประโยชน์สำหรับฉันมากเลยที่เดียว เพราะว่ามันสามารถเรียนรู้และพัฒนาเทคนิคการต่อสู้ต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว … แล้วระบบค่าความสัมพันธ์อันนี้สามารถใช้ในโลกมาเวลได้ด้วยใช่ไหม ? หรือว่าใช้ได้แค่ในดันเจี้ยนอย่างเดียว?”

“ได้ทั้งสองอย่าง!”

“นั่นสินะดูเหมือนว่าระบบค่าความสัมพันธ์อันนี้มันจะถูกเปิดใช้งานขึ้นเพราะว่าฉันเปิดดันเจี้ยนแห่งที่สามขึ้นมา อย่างไรก็ตามภารกิจพวกนี้มันไม่สมเหตุสมผลไปหน่อยเหรอ ภารกิจหลักและภารกิจรองไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่อะไรคือภารกิจเนื้อเรื่อง ? เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งของจัสติช ลีก ? ไม่ใช่ว่าตอนนี้มันไม่มีกรีนแลนเทิร์นอยู่ในจักรวาล DC แห่งนี้เแล้วไม่ใช่เหรอ ? นอกจากนี้ฉันยังมีเวลาอยู่ในนี้ได้เพียงแค่ 7 วันเท่านั้น จะเอาเวลาไหนไปทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ!” ซู่เจินบ่นขึ้นมาอย่างหดหู่

“ภารกิจเนื้อเรื่อง หมายถึงภารกิจที่สามารถทำร่วมกันกับดันเจี้ยนแห่งอื่นได้ โดยที่ดันเจี้ยนแห่งนั้นจะต้องอยู่ในโลกเดียวกันเท่านั้น และมันจะไม่มีการจำกัดระยะเวลาในการทำภารกิจอีกด้วย!”ระบบอธิบายขึ้นมา

“ไม่จำกัดระยะเวลา ? แบบนี้ค่อยดีขึ้นหน่อย!” ซู่เจินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ถึงแม้ว่าภารกิจมันจะไม่มีบทลงโทษหลังจากที่เขาทำภารกิจล้มเหลว แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้รวมถึงภารกิจหลักและภารกิจรองที่ยังคงมีการจำกัดเวลาอยู่เหมือนเดิม

ดังนั้นตอนนี้เขาจะต้องรีบทำภารกิจหลักและภารกิจรองให้เสร็จโดยเร็วที่สุด แต่ก่อนหน้านั้นเขาจะต้องไปหาเฟลิเซ่ที่เมืองวอเตอร์ฟรอนท์ก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าเธอยังอยู่ที่นั่นและไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น หลังจากนั้นเขาจะได้ลบดันเจี้ยนของกรีนแลนเทิร์นทิ้งได้อย่างสบายใจและเปิดดันเจี้ยนแห่งใหม่ได้ในที่สุด

เพราะว่าตราบใดที่มันยังมีการเชื่อมโยงอยู่ในไทม์ไลน์เดียวกัน มันก็เพียงพอแล้วสำหรับการที่ซู่เจินจะมีดันเจี้ยนของโลก DC เอาไว้เพียงแค่แห่งเดียวเท่านั้น

ซู่เจินเดินไปซื้อแผนที่ของเมืองวอเตอร์ฟรอนท์มาจากร้านแผงลอยข้างถนนอย่างรวดเร็ว และหลังจากที่เขารู้ที่ตั้งและทิศทางของเมืองเรียบร้อยแล้ว เขาก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้าและมุ่งหน้าไปที่เมืองวอเตอร์ฟรอนท์ทันที

หลังจากนั้นไม่นานซู่เจินก็บินมาถึงเมืองวอเตอร์ฟรอนท์อย่างรวดเร็ว และอีกสักพักหนึ่งเขาก็เจอเข้ากับบ้านของเฟลิเซ่ที่อยู่ท่ามกลางตึกสูงมากมาย

ซู่เจินค่อย ๆ ลอยตัวไปที่ระเบียงพร้อมกับเปิดหน้าต่างออกและเข้าไปด้านในทันที และเมื่อเขาเข้าไปถึงด้านในของตัวบ้าน เขาก็พบว่าตอนนี้ไม่มีใครอยู่บ้านเลยสักคน

‘เฟลิเซ่ทำงานอยู่ที่บริษัทงั้นเหรอ ?’ ซู่เจินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเฟลิเซ่ทันที

“สวัสดีค่ะ ฉันเฟลิเซ่กำลังพูดสายกับคุณอยู่ค่ะ” ทันทีที่ซู่เจินโทรติด เขาก็ได้ยินเสียงของเฟลิเซ่ดังขึ้นมาจากโทรศัพท์ทันที

เห็นได้ชัดเลยว่าเธอน่าจะกดรับโทรศัพท์โดยที่ไม่ได้ดูชื่อของคนที่โทรมาหาเธอเลยแม้แต่น้อย ?

“สวัสดีครับ ผมชื่อซู่เจิน“ ซู่เจินจงใจแกล้งพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเดียวกันกับเธอ

“อ๊า … “ จู่ ๆ เฟลิเซ่ก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความตกใจพร้อมกับหายใจเข้าออกอย่างรุนแรง “ในที่สุดคุณก็โทรมาหาฉันได้สักที! เพราะว่าฉันพยายามโทรหาคุณหลายครั้งมากแต่มันก็ไม่ติดเลยสักครั้ง … คุณรู้ไหมว่ามันทำให้ฉันเป็นห่วงคุณมากไหน“

“อาจจะเป็นเพราะว่าสถานที่ที่ผมอยู่มันไม่ค่อยมีสัญญาณ … แล้วตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนงั้นเหรอ ?”

“ฉันอยู่ที่บริษัท! แล้วคุณล่ะจะกลับมาเมื่อไหร่ ?”

“ก็คงอีกสักพักหนึ่ง แล้วก็ … ผมได้ส่งของบางอย่างไปให้คุณที่บ้านด้วย“

“คุณส่งอะไรมาที่บ้านของฉันงั้นเหรอ ?”

“เดี๋ยวคุณก็เห็นมันเองแหละ … งั้นตอนนี้ผมขอวางสายก่อนนะ เพราะว่าผมมีธุรอะไรบางอย่างต้องไปทำ!”

หลังจากซู่เจินพูดจบเขาก็วางสายทันที

ในขณะเดียวกันทางด้านของเฟลิเซ่ที่วางสายโทรศัพท์เรียบร้อย เธอกำลังนั่งคิดอย่างสงสัยว่าซู่เจินส่งของอะไรมาให้เธอกันแน่ “ไม่! ฉันจะต้องกลับไปดูมันเดี๋ยวนี้!” ความอยากรู้อยากเห็นของเธอมันทำให้เธอไม่สามารถทำงานได้อย่างมีความสุข เธอจึงลางานก่อนครึ่งวันและรีบกลับไปดูของที่ซู่เจินส่งมาให้ทันที

หลังจากที่เธอออกมาบริษัท เธอก็รีบขับรถมุ่งหน้าไปที่บ้านอย่างรวดเร็ว

และเมื่อเฟลิเซ่มาถึงบ้าน เธอก็พบว่าไม่มีของอะไรวางอยู่ที่หน้าประตูบ้านของเธอเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ทำให้เธอในตอนนี้รู้สึกมึนงงเล็กน้อย

คุณบอกว่าส่งของมาให้ฉันไม่ใช่เหรอ ? แล้วทำไมฉันถึงไม่เห็นมัน … หรือว่าเขาจะส่งของไปผิดบ้าน ? แถมบ้านหลังนี้เธอก็อยู่ตัวคนเดียว ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่จะมีคนเข้าไปในบ้านของเธอได้ โดยไม่ผ่านทางประตู?

และอื่น ๆ อีกมากมาย ……

ทันใดนั้นเฟลิเซ่ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอรีบหยิบกุญแจบ้านของเธอออกมาเพื่อไขเปิดประตู และเดินเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว

“ซู่เจินนั่นคุณใช่ไหม? … คุณกลับมาแล้วงั้นเหรอ! “

ทันทีที่เฟลิเซ่เดินเข้าไปในบ้านเธอก็ตะโกนขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

ในขณะที่ซู่เจินกำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงของเฟลิเซ่ตะโกนขึ้นมา ทำให้เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อยและพูดขึ้นมาว่า “คุณรู้ได้ไงว่าผมกลับมาแล้ว ?”

“คุณกลับมาแล้วจริง ๆ ด้วย!“

เมื่อเห็นว่าซู่เจินกำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น เฟลิเซ่ก็รีบพุ่งเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับจับร่างของซู่เจินเหวี่ยงไปที่บนโซฟาทันที

“ผมชอบการต้อนรับของคุณแบบนี้จริง ๆ!“ ซู่เจินจูบเธอเบา ๆ และพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “ตอนแรกผมอยากทำให้คุณรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ผมก็ไม่คิดว่าคุณจะฉลาดขนาดนี้ ถึงกับเดาได้ว่าผมกลับมาแล้ว“

“จริง ๆ ฉันก็ไม่รู้เหรอกว่าคุณกลับมาแล้ว!” เฟลิเซ่พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มและถามต่อว่า “แล้วคุณเข้ามาในบ้านได้ยังไง ?”

“คุณลืมไปแล้วเหรอว่าผมบินได้“

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาพร้อมกับชี้ไปที่ระเบียง ทำให้เฟลิเซ่ที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับเคาะไปที่หัวของเธอเบา ๆ อย่างน่ารักและพูดขึ้นมาว่า “ฉันนี่มันโง่จริง ๆ แล้ว … กลับมาคราวนี้คุณจะต้องออกไปทำธุรอีกไหม ?”

“จริง ๆ แล้วผมก็ไม่อยากไปนะ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ต้องไปอยู่ดี เพราะคุณก็รู้ว่าผมมีความสามารถพิเศษและถือได้ว่าเป็นซูเปอร์ฮีโร่คนหนึ่ง ดังนั้น … “

“ฉันเข้าใจ ๆ!“ เฟลิเซ่พยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ

เพราะเธอรู้ว่าไม่มีใครที่ว่างได้ตลอดเวลาอย่างแน่นอน ซึ่งแต่ละคนก็มีธุรหรือสิ่งที่ต้องทำแตกต่างกันไป ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่จะต้องแยกจากกันเป็นครั้งคราว

“คุณจำได้ไหมว่าคุณเคยขอให้ฉันช่วยหาบ้านให้ ? ซึ่งตอนนี้ฉันเจอบ้านหลังหนึ่งที่ดูดีมาก ดังนั้นเดี๋ยวฉันจะพาคุณไปดูก็แล้วกันว่าถูกใจคุณไหม“ ทันใดนั้นเฟลิเซ่ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้และรีบถามซู่เจินขึ้นมาทันที

ซู่เจินส่ายหัวขอโทษและพูดว่า “เอาไว้ตอนหลังก็แล้วกัน เพราะว่าตอนนี้ผมมีธุรอะไรบางอย่างที่ต้องจัดการให้เรียบร้อยซะก่อน แล้ว … สัปดาห์นี้คุณว่างไหม ? ผมจะได้พาคุณไปกับผมด้วย!”

“งั้นฉันขอเวลาสักพักหนึ่งในการจัดการอะไรให้เรียบร้อยซะก่อน“ เฟลิเซ่พูดขึ้นมาทันที

“โอเค! ถ้าเกิดว่าคุณจัดการอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้วพวกเราจะได้รีบออกเดินทางกันทันที!”

แน่นอนว่าซู่เจินกำลังจะพาเธอไปที่เมืองสตาร์ซิตี้ เพื่อไปเที่ยวในวันหยุดพักผ่อนพร้อมกับทำภารกิจไปด้วย อย่างไรก็ตามเฟลิเซ่ก็มีหน้าที่การงานของเธออยู่ ทำให้ซู่เจินไม่สามารถพาเธอไปได้จนกว่าเธอจะเคลียอะไรให้เสร็จเรียบร้อยซะก่อน

“อืม!” เฟลิเซ่พยักหน้าเบา ๆ และรีบลุกขึ้นจากตัวของซู่เจิน เพื่อไปจัดการอะไรของเธอให้เรียบร้อย

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง เธอก็จัดการอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำให้ซู่เจินพาเธอไปที่ระเบียงทันที พร้อมกับกอดเธอเอาไว้และค่อย ๆ ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าและบินตรงไปที่เมืองสตาร์ซิตี้อย่างรวดเร็ว

“ฉันไม่คิดว่าเขาจะมีความสามารถในการควบคุมจิตใจเหมือนกับฉัน ดังนั้นครั้งนี้ถือว่าเป็นความประมาทของฉันเองที่ไม่ตรวจสอบดูให้ดีซะก่อน … แถมเขาก็แค่อยากจะเอาคืนที่ฉันไปควบคุมจิตใจของบริ๊งค์ก็แค่นั้น และมันก็เป็นคำเตือนไปในตัวด้วย“ น้ำเสียงที่พูดออกมาของราชินีสีขาวมันดูหม่นหมองเล็กน้อย ทำให้ปีศาจแดงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถึงกับมึนงง ไม่ใช่ว่าเธอควรจะโกรธเขาไม่ใช่หรอที่เขาทำให้เธออับอายขายขี้หน้าขนาดนั้น ? แม้ว่าซู่เจินจะแข็งแกร่ง แต่มันก็ไม่น่าจะทำให้ราชินีสีขาวถึงกับต้องหวาดระแวงหรอกจริงไหม ?

และสิ่งที่ทำให้ปีศาจแดงยิ่งสับสนมากขึ้นไปอีกก็คือ ตอนนี้ราชินีสีขาวกำลังยิ้มอยู่ราวกับว่าเธอพอใจในผลลัพธ์นี้มาก?

“ตอนนี้พวกเราจะต้องเพ่งความสนใจไปที่แม็กนีโต้ให้มากที่สุด และถ้าเกิดว่าเขามาสร้างปัญหาให้กับซู่เจิน ให้รีบแจ้งให้ฉันทราบทันที!” ราชินีสีขาวไม่ได้สนใจท่าทางที่ปีศาจแดงแสดงออกมาอีกต่อไป และเธอก็ค่อย ๆ พูดขึ้นมาเบา ๆ

“รับทราบ“

ปีศาจแดงตอบรับขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับพาเจอร์นี่ออกไปทันที

ราชินีสีขาวเดินกลับไปที่โซฟาและนั่งลงพร้อมกับยกเลิกความสามารถร่างกายเพชรของเธอ และค่อย ๆ เอื้อมมือไปแตะที่ริมฝีปากของเธอเบา ๆ

“ซู่เจิน! ยิ่งฉันรู้จักคุณมากเท่าไหร่ฉันก็ยิ่งสนใจคุณมากขึ้นเรื่อย ๆ เท่านั้น … ฉันอยากรู้จริง ๆ ว่าคุณจะเติบโตไปได้ไกลแค่ไหน ดังนั้นก่อนที่จะถึงตอนนนั้นฉันจะช่วยคุณแก้ปัญหาบางอย่างให้ก่อนแล้วกัน หวังว่า … คุณจะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง!“ ราชินีสีขาวบ่นพึมพำกับตัวเองขึ้นมาเบา ๆ ในขณะเดียวกันตอนนี้ซู่เจินและบริ๊งค์ก็ปรากฏตัวขึ้นมาในสถานที่ที่ค่อนข้างห่างไกลที่ไหนสักแห่งหนึ่ง

“บอส! มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? แล้วพวกเขาเป็นใคร ?” บริ๊งค์อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาอย่างสงสัย

“คุณเคยได้ยินเรื่องของเฮลไฟร์คลับมาบ้างไหม? “ ซู่เจินไม่ได้ตอบแต่ถามขึ้นมาแทน

บริ๊งค์พยักหน้าเบา ๆ และพูดว่า “นิดหน่อย ดูเหมือนว่าจะเป็นสถานที่ที่รวบรวมมนุษย์กลายพันธ์เอาไว้มากมาย หรือว่าเมื่อกี้คือเฮลไฟร์คลับงั้นหรอ ? แล้วทำไมพวกเราถึงไปอยู่ที่นั่นได้ล่ะ ? “

“ผู้หญิงผมบลอนด์คนนั้นถูกเรียกว่าราชินีสีขาวเธอมีความสามารถในการใช้พลังจิตและควบคุมจิตใจ และหลังจากที่เธอเกิดการกลายพันธ์ครั้งที่สองเธอก็มีความสามารถในการทำให้ร่างกายของเธอกลายเป็นเพชรได้ นอกจากนี้ยังมีผู้หญิงผิวสีแดงอีกคนหนึ่งเธอถูกเรียกว่าปีศาจแดง ซึ่งมีความสามารถคล้าย ๆ กับของคุณ และผู้ชายที่คุณเคยส่งเขาไปที่อื่นนั้นมีชื่อว่าเจอร์นี่! และคุณก็อย่าคิดว่าเขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่ไม่มีความสามารถพิเศษล่ะ เพราะถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีความสามารถพิเศษ แต่เขาก็เป็นถึงปรมาจารย์ด้านการต่อสู้และกลยุทธ์!“ ซู่เจินค่อย ๆ อธิบายขึ้นมาอย่างช้า ๆ และพูดต่อว่า “สำหรับเรื่องที่ว่าพวกเราไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร ก็เพราะว่าคุณถูกราชินีสีขาวควบคุมจิตใจเอาไว้! ไหนคุณลองคิดดูสิว่าก่อนที่คุณจะถูกควบคุมคุณกำลังทำอะไรอยู่“

บริ๊งค์ส่ายหัวเบา ๆ และพูดว่า “ฉันจำได้ว่าฉันออกมาซื้อของ แล้วหลังจากนั้น … ฉันก็ไม่รู้อะไรอีกเลย นอกจากเหตุการณ์เมื่อกี้นี้!”

“ดูเหมือนว่าราชินีสีขาวจะให้ความสนใจเกี่ยวกับผมมานานมากแล้ว เพราะว่าเธอสามารถรู้ความเคลื่อนไหวของผมได้อย่างแม่นยำ รู้แม้กระทั่งเวลาที่ผมออกมาจาก SHIELD และเธอก็รู้เวลาที่คุณจะออกไปซื้อของ พร้อมกับใช้โอกาสนั้นในการควบคุมจิตใจของคุณ และเธอก็ใช้คุณเป็นตัวล่อให้ผมต้องไปที่เฮลไฟร์คลับ “ ซึ่งซู่เจินก็รู้แล้วว่าบริ๊งค์ถูกควบคุมอยู่ตั้งแต่ตอนที่เธอเปิดประตูพอร์ทัลขึ้นมาอย่างกระทันหัน

และซู่เจินก็คิดว่าเธอคงจะคาดเดาได้อย่างแน่นอนว่าเขาจะบินผ่านไปทางไหน ทำให้เธอเลือกที่จะควบคุมบริ๊งค์ไปที่นั่นเพื่อที่จะให้ซู่เจินสามารถสังเกตุเห็นบริ๊งค์ได้อย่างชัดเจน

ซึ่งมันอยู่ในการคำนวนทั้งหมดของเธอ!

แม้ว่าราชินีสีขาวจะทำแบบนี้ก็เพื่อให้เขาร่วมมือกับเธอและเข้าร่วมกับเฮลไฟร์คลับ แต่ถึงอย่างงั้นซู่เจินก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี อาจจะเป็นเพราะว่าความแข็งแกร่งของราชินีสีขาวในตอนนี้มันมีมากเกิดว่าที่ซู่เจินจะกำราบเธอได้อย่างสมบูรณ์

มันคงจะดีกว่าที่เขาจะไม่ยั่วโมโหผู้หญิงที่มีความสามารถในการคาดเดาเก่งขนาดนี้ แม้ว่า … รสชาติของไวน์ในตอนนั้นมันจะดีมากก็ตาม!

“คุณยังไม่ได้ซื้อของใช่ไหม ? งั้นเดี๋ยวพวกเราไปซื้อของแล้วกลับไปที่ฐานกันเถอะ“ ซู่เจินพูดขึ้นมา พร้อมกับมองไปที่บริ๊งค์ที่กำลังมีท่าทางเย็นชาเล็กน้อยในตอนนี้

“อืม“ บริ๊งค์พยักหน้าเบา ๆ

หลังจากที่พวกเขาซื้อของด้วยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็กลับไปที่ฐานและเริ่มทำงานกันทันที

หลายวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ซู่เจินไม่ได้ออกไปไหนเลยแม้แต่น้อย เขาอยู่แต่ที่ฐานเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคนงานก่อสร้างอยู่ตลอดเวลา พร้อมกับดูดกลืนอนุภาคอีเทอร์ในช่วงเวลาก่อนนอนทุกวัน ๆ

แถมในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้แม็กนีโต้ก็ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอะไรเป็นพิเศษหรือส่งคนมาจัดการกับเขา ส่วนทางด้านของเฮลไฟร์คลับก็ไม่มีการเคลื่อนไหวเช่นกัน ราวกับว่าเรื่องที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน

แม้แต่ S.H.I.E.L.D. ก็ยังไม่มีภารกิจอะไรเข้ามาในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าโลกในตอนนี้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างขึ้นมาอย่างกะทันหัน

ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าโลกแห่งนี้มันจะไม่มีวันสงบสุขอย่างแน่นนอน แต่อย่างน้อยขอแค่มันสงบสุขสักสองสามวันแค่นี้มันก็เยี่ยมมากแล้ว ขอแค่ให้เขาสามารถทำงานได้อย่างราบรื่น เพราะว่าในช่วงที่ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแบบนี้มันทำให้การก่อสร้างฐานของเขาคืบหน้าไปเร็วมาก

อย่างไรก็ตามชีวิตที่แสนสงบสุขของซู่เจินก็จะสิ้นสุดลงในเร็ว ๆ นี้ เพราะว่าตอนนี้ดันเจี้ยนได้ถูกรีเฟชรเสร็จเรียบร้อยแล้ว แถมหลังจากที่เขาอัพเกรดระบบมันก็ทำให้การรีเฟรชของดันเจี้ยนมันสั้นลงเหลือเพียงแค่ 15 วันเท่านั้น และระยะเวลาที่เขาจะอยู่ในดันเจี้ยนได้ก็เพิ่มขึ้นเป็น 7 วัน พร้อมกับดันเจี้ยนแห่งที่สาม ซึ่งซู่เจินก็ได้คิดพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่าดันเจี้ยนแห่งที่สามของเขาจะเอาเป็นอะไรดี!

ในโลกของ DC นั้นเขาค่อนข้างคุ้นเคยกับดันเจี้ยนของแอร์โรว์และเดอะแฟลชมาก และเนื่องจากที่ดันเจี้ยนทั้งสองแห่งนี้มันอยู่ในโลกของ DC เหมือนกัน มันก็เลยทำให้เนื้อเรื่องมันสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้

เมื่อลองสังเกตจากไทม์ไลน์และการวิเคราะห์ของเขาแล้ว สิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดกับดันเจี้ยนของกรีนแลนเทิร์นก็น่าจะเป็นแอร์โรว์เพราะว่าหลังจากที่เดอะแฟลชถือกำเนิดขึ้นมาแอร์โรว์ก็น่าจะประจำการอยู่ในเมืองสตาร์ซิตี้มาสักพักหนึ่งแล้ว บวกกับข้อมูลที่เขาหาได้จากดันเจี้ยนกรีนแลนเทิร์นแล้ว ในตอนนี้ โอลิเวอร์ ควีน น่าจะยังมีสถานะ ‘ตาย’ อยู่หรือก็คือเขาในตอนนี้ยังไม่ได้กลับมาจากการติดเกาะนรกนั่นอยู่

ดังนั้นดันเจี้ยนแห่งที่สามของเขาจึงเป็นแอร์โรว์ไปโดยปริยาย

แล้วถ้าถามว่าทำไมเขาถึงได้เลือกดันเจี้ยนแห่งนี้ ? ข้อหนึ่งเพราะว่าเฟลิเซ่ ข้อสองเพราะว่าเควสที่มีให้ทำหลังจากการเปิดดันเจี้ยนแห่งใหม่มันให้พลังงานที่ใช้สำหรับการอัพเกรดระบบได้ อย่างไรก็ตามความสามารถในการต่อสู้ของแอร์โรว์นั้นค่อนข้างแข็งแกร่งมาก และเขาก็ค่อนข้างจะมีจุดอ่อนในด้านนี้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงอยากใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาความสามารถของเขาเพื่อลบจุดอ่อนนี้ทิ้งไป!

“ดันเจี้ยน : Arrow”

“คุณต้องการเข้าสู่ดันเจี้ยนตอนนี้เลยใช่หรือไม่? “

ทันทีที่ซู่เจินตั้งค่าดันเจี้ยนแห่งที่สามเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ได้ยินเสียงระบบดังขึ้นมาทันที

“ใช่!“

หลังจากซู่เจินพูดจบฉากตรงหน้าของของก็เปลี่ยนไปทันที

เมืองสตาร์ซิตี้!

ซู่เจินในตอนนี้กำลังเดินอยู่บนฟุตบาทอย่างช้า ๆ

ซูเปอร์ฮีโร่ทุกคนจะมีอาณาเขตเป็นของตัวเองในการทำหน้าที่ปกป้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ เช่น เมืองสตาร์ซิตี้เป็นของ แอร์โรว์ , เมืองเซ็นทรัลซิตี้เป็นของ เดอะแฟลช , เมืองวอเตอร์ฟรอนท์เป็นของ กรีนแลนเทิร์น หรือเมืองเมโทรโพลิสของ ซูเปอร์แมน และแน่นอนว่ายังมีอีกคนหนึ่งที่คาดไปไม่ได้นั่นก็คือ แบทแมนผู้ร่ำรวยและหล่อเหลาจากเมืองก็อตแธม!

โดยที่เมืองสตาร์ซิตี้ก็ไม่ได้เจริญรุ่งเรืองมากสักเท่าไหร่ เพราะว่ามันยังมีความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนกับคนรวยอยู่ ซึ่งคนที่รวยอยู่แล้วก็จะยิ่งรวยขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนคนที่ยากจนอยู่แล้วก็จะยิ่งยากจนมากขึ้นเรื่อย ๆ มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะนึกถึงสภาพความเป็นอยู่ของคนในเมืองนี้ได้เป็นอย่างดี

“โอลิเวอร์ ควินน์ ยังมีชีวิตอยู่ … “

“มหาเศรษฐีที่หายตัวไป ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งแล้วบนโลก“

ในขณะที่ซู่เจินกำลังเดิน ๆ อยู่ เขาก็ได้ยินเสียงทีวีดังออกมาจากร้านค้าบริเวณใกล้เคียง ทำให้เขารีบหันไปไปมองทันที และเขาก็พบว่าในตอนนี้กำลังมีข่าวเกี่ยวกับ โอลิเวอร์ ควินน์ เศรษฐีที่หายตัวไปเมื่อ 5 ปีก่อนกำลังฉายอยู่บนหน้าจอทีวี … ดูเหมือนว่าแอร์โรว์จะเพิ่งกลับมาถึงเมืองสตาร์ซิตี้เมื่อเร็ว ๆ นี้

“ฉันไม่คิดเลยว่าคนพรรณนี้จะมีชีวิตรอดกลับมาจริง ๆ ช่างเป็นคนที่โชคดีอะไรแบบนี้!” คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ซู่เจินบ่นพึมพำขึ้นมาและหันหลังเดินจากไปด้วยความโกรธ

ซู่เจินยักไหล่เล็กน้อย ดูเหมือนว่าโอลิเวอร์ ควินน์ คนนี้จะไม่ค่อยเป็นที่น่าพอใจสักเท่าไหร่สำหรับคนอื่น ๆ… ใช่! พวกคุณคิดถูกแล้วเพราะว่าก่อนที่โอลิเวอร์ ควีนน์จะติดเกาะเขาเคยเป็นเจ้าหนุ่มเพลย์บอยเจ้าสำราญ แต่หลังจากที่เขาติดเกาะเขาก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จนกลายเป็น แอร์โรว์ในที่สุด!

“เฮลไฟร์คลับยังต้องการความช่วยเหลือและคนคอยปกป้องอยู่อีกงั้นหรอ ?”

ซู่เจินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เพราะว่าเงื่อนไขที่ราชินีสีขาวยื่นให้กับเขานั้นมันดูดีมาก แม้กระทั่งความเห็นแก่ตัวของเธอก็ยังไม่มีแม้แต่น้อย และด้วยทรัพยากรของเฮลไฟร์คลับเธอสามารถหาความสามารถอะไรก็ได้ตามที่เขาต้องการมาได้อย่างง่ายดาย โดยที่เขาไม่ต้องออกไปหาด้วยตัวเอง ซึ่งตรงนี้มันสามารถช่วยลดปัญหาให้กับเขาได้อย่างมหาศาล แถมสิ่งที่เขาจะต้องทำเป็นการแลกเปลี่ยนก็คือเมื่อเฮลไฟร์คลับตกอยู่ในอันตรายเขาก็แค่ออกมาช่วยพวกเขาก็แค่นั้น

ซึ่งหลังจากที่เขาลองเปรียบเทียบผลประโยชน์ดูแล้ว เขาก็พบว่าเขาค่อนข้างที่จะได้ผลประโยชน์มากกว่า

แต่มันจะเป็นอย่างงั้นจริง ๆ งั้นหรอ?

แน่นอนว่าราชินีสีขาวไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา ๆ ทั่วไป เพราะถ้าหากว่าไม่มีราชาสีดำ เธอจะเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถจัดการทุกอย่างภายในเฮลไฟร์คลับได้ทั้งหมด และแทนที่เธอจะไม่ต้องสนใจเกี่ยวกับเฮลไฟร์คลับก็ได้ แต่เธอก็เลือกที่จะพัฒนามัน และมันก็ประสบความสำเร็จไปด้วยดี ดังนั้นด้วยสิ่งนี้จึงแสดงให้เห็นว่าเธอมีความสามารถมากแค่ไหน!

“มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับผู้หญิงที่จะค่อยซัพพอร์ตสโมสรที่ใหญ่ขนาดนี้ เพราะว่ามันทำให้ฉันเหนื่อยมาก ดังนั้น … ฉันจึงหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากคุณ“ ราชินีสีขาวถอนหายใจออกมาเบา ๆ และพูดต่อว่า “และถ้าเกิดว่าฉันมีคุณมันจะแตกต่างออกไปทันที แม้ว่าตอนแรกมันอาจจะมีปัญหาบ้างเล็กน้อย แต่ตราบใดที่ความแข็งแกร่งของคุณมันเพิ่มมากขึ้นก็จะไม่มีใครกล้ามายั่วยุคุณอีก และในฐานะที่สโมสรให้ความช่วยเหลือคุณ ฉันคิดว่า … คุณไม่ควรถูกปฏิบัติอย่างเลวร้ายถูกไหม? “

“มันเป็นการตัดสินใจที่เสี่ยงมาก!“

ซู่เจินรู้สึกชื่นชมเธอขึ้นมาเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเธอพูดเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก แต่เธอก็ต้องแบกรับความกดดันจากคนอื่นทุก ๆ ด้านอยู่ดี ไม่ต้องพูดถึงเรื่องของแม็กนีโต้เพราะว่าเขาน่าจะทนไม่ได้อย่างแน่นอน ใช่ไหม ?

“แล้วคุณตกลงที่จะเข้าร่วมกับพวกเราไหม ?”

ราชินีสีขาวถามขึ้นมาอย่างมีความสุข

ซู่เจินยิ้มและส่ายหัวเบา ๆ “ไม่! ผมไม่ต้องการเข้าร่วมกับพวกคุณ“

“เพราะอะไร?” ราชินีสีขาวถามขึ้นมาด้วยความมึนงงเล็กน้อย เพราะว่าเงื่อนไขที่เธอยื่นให้กับเขามันก็ดีมากแล้วไม่ใช่หรอ ? แล้วทำไมเขาถึงไม่เห็นด้วยกับการที่เธอจะช่วยเขาแก้ปัญหาและเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเขา ?

“เพราะว่าเงื่อนไขหรือผลประโยชน์ที่คุณบอกผมมา มันไม่น่าดึงดูดสำหรับผมเลยแม้แต่น้อย และ … ผมก็ไม่ต้องการความคุ้มครองจากผู้หญิง ดังนั้นถ้าเกิดว่ามีใครกล้ามาสร้างปัญหาให้กับผมละก็ ผมจะบอกให้พวกเขารู้เองว่าผลที่ตามมามันคืออะไร! ส่วนเรื่องของความสามารถผมก็มีช่องทางของผมอยู่แล้ว เพราะงั้นผมจึงไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคุณ!”

ซู่เจินลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ พร้อมกับเหลือบมองไปที่บริ๊งค์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ และถามกับราชินีสีขาวขึ้นมาว่า “คุณปล่อยเธอออกจากการควบคุมของคุณได้ไหม ?”

ราชินีสีขาวยักไหล่ของเธอเบา ๆ ทันใดนั้นบริ๊งค์ก็กลับมาเป็นปกติในทันทีและมองไปรอบ ๆ อย่างหวาดระแวง “บอสทำไมคุณถึงอยู่ที่นี่ ? แล้วที่นี่มันคือที่ไหน ?”

“เดี๋ยวผมจะเล่าให้คุณฟังในภายหลัง“ ซู่เจินส่ายหัวและค่อย ๆ พูดขึ้นมาว่า “มันเคยมีคำพูดโบราณ ๆ อยู่อันหนึ่งในประเทศจีนของผม กล่าวว่า ‘การซื้อและการขายจะต้องไม่มีความเมตตากรุณาต่อผู้อื่นเด็ดขาด’ ดังนั้นแม้ว่าพวกเราในตอนนี้จะไม่ได้ร่วมมือกัน แต่ผมก็คิดว่า … คุณควรที่จะดื่มเคารพให้ผมสักแก้วหน่อยไหม ? “

ในขณะที่ราชินีสีขาวกำลังจะพูดตอบซู่เจิน ทันใดนั้นเธอก็สังเกตเห็นว่าดวงตาของซู่เจินเปลี่ยนเป็นสีดำ ทำให้เธอเริ่มมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีปรากฏขึ้นมาในจิตใจอย่างเงียบ ๆ และเตรียมตัวที่จะเปลี่ยนเนื้อเยื่อชีวภาพของเธอให้กลายเป็นเพชร แต่ถึงอย่างงั้นเธอก็ช้าไปอยู่ดี เพราะว่าตอนนี้เธอได้ถูกซู่เจินควบคุมความคิดของเธอเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เธอลุกขึ้นยืนพร้อมกับรินไวน์ใส่แก้วให้กับซู่เจินและค่อย ๆ เดินเข้าไปหาเขาอย่างช้า ๆ

“แบบนั้นแหละ ? ดูเหมือนว่าคุณจะไม่ค่อยมีความจริงใจเลยนะ งั้นเอาแบบนี้ … พอดีว่าผมเพิ่งจะไปเจอวิธีการดื่มที่น่าสนใจมา คุณเอาไวน์เข้าไปในปากของคุณแล้วป้อมมันให้กับผม” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“แกอยากตายงั้นเหรอ? “

เมื่อปีศาจแดงได้ยินคำพูดของซู่เจิน เขาก็โกรธขึ้นมาทันที

เขากล้าขอให้ราชินีสีขาวป้อนไวน์ด้วยปากให้กับเขาได้อย่างไร ? คุณกำลังดูถูกราชินีสีขาวของพวกเราอยู่งั้นหรอ! ปีศาจแดงคำรามขึ้นมาดังลั่นพร้อมกับร่างกายของเขาที่หายไปทันที และจากนั้นไม่นานเขาก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของซู่เจินอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันเจอร์นี่ที่ยืนอยู่ตรงประตูก็เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน

ในขณะที่ปีศาจแดงกำลังจะจับตัวของซู่เจิน แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นว่าซู่เจินโบกมือไปด้านหลังเบา ๆ ทันใดนั้นก็มีแรงลมระเบิดออกมาอย่างรุนแรงพัดตัวของปีศาจแดงกระเด็นออกไป แต่ปีศาจแดงก็ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว เขาเริ่มใช้พลังเทเลพอร์ตของเขาอีกครั้งหนึ่ง และไม่นานเขาก็ปรากฏตัวขึ้นมาจากด้านข้างของซู่เจินทันที

“นอนลงไปที่พื้นซะ!”

ทันทีที่ปีศาจแดงปรากฏตัวขึ้น ก็มีค้อนสีเขียวขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาเหนือหัวของเขาพร้อมกับทุบลงมาอย่างรุนแรง

“ปัง!“ เกิดเสียงกระแทกดังขึ้นอย่างรุนแรง พร้อมกับร่างของปีศาจแดงที่ถูกทุบลงกับพื้นจนเกิดรูขนาดใหญ่ หลังจากนั้นค้อนสีเขียวอันนั้นก็กลายเป็นกรงขังปีศาจแดงเอาไว้ข้างในอย่างรวดเร็ว โดยที่ปีศาจแดงพยายามที่จะใช้ความสามารถของเขาในการเทเลพอร์ตออกไปแต่มันก็ล้มเหลว ราวกับว่ากรงอันนี้มันสามารถเดาทิศทางที่เขาจะเทเลพอร์ตไปได้อย่างไงอย่างงั้น

แน่นอนว่าการเทเลพอร์ตของปีศาจแดงนั้นแตกต่างจากของคนอื่น ๆ เพราะว่ามันคล้าย ๆ กับความสามารถในการเปิดประตูพอร์ทัลของบริ๊งค์ ซึ่งความแตกต่างของพวกเขาก็คือบริ๊งค์สามารถเปิดประตูพอร์ทัลเป็นช่องว่างของเวลาได้โดยตรง ในขณะที่ของปีศาจแดงนั้นจะถูกส่งไปยังพื้นที่พิเศษก่อนในตอนแรก และค่อยเทเลพอร์ตไปที่อื่น ๆ ที่ต้องการต่อในภายหลัง

และเมื่อปีศาจแดงลองใช้ความสามารถของเขา เพื่อส่งไปยังพื้นที่พิเศษก่อนในตอนแรก และเตรียมที่จะเทเลพอร์ตไปที่ต่อไปแต่เขาก็พบว่าเขาไม่สามารถเทเลพอร์ตไปที่อื่น ๆ ได้ราวกับว่ามันถูกปิดกั้นอยู่ …

ซู่เจินหันกลับไปมองที่เจอร์นี่เล็กน้อยและกำลังจะทำอะไรบางอย่าง แต่บริ๊งค์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาก็ไม่ใช่คนที่กินมังสวิรัติสักหน่อย แม้ว่าเธอในตอนนี้จะไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าสักเท่าไหร่ แต่เธอก็เห็นได้ชัดว่าเธอจะต้องทำอะไรบางอย่างกับสถานการณ์ตรงหน้าของเธอโดยเร็วที่สุด

เมื่อคริสตัลถูกโยนออกไป ทันใดนั้นบริ๊งค์ก็ปรากฏตัวขึ้นมาข้างหน้าของเจอร์นี่อย่างรวดเร็ว พร้อมกับจับตัวของเจอร์นี่ย้ายไปที่อื่นทันที … ถ้าพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ เจอร์นี่คนนี้ไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไรเลย ซึ่งมันคล้าย ๆ กับกัปตันอเมริกาที่เป็นตัวละครที่ถนัดการต่อสู้ระยะประชิด และดูเหมือนว่าเขาจะมีความแข็งแกร่งอยู่นิดหน่อย แต่ถึงอย่างงั้นมันก็ยังไม่มีผลกับบริ๊งค์อยู่ดี

เพราะว่าบริ๊งค์นั้นเร็วเกินไป

นอกจากนี้ยังต้องขอบคุณการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอของบริ๊งค์ในช่วงนี้ด้วย เพราะว่าถ้าหากเธอไม่ได้เจอกับซู่เจินในตอนนั้นความสามารถของเธอมันคงจะไม่แข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้อย่างแน่นอน

“แล้วคุณคิดยังไงเกี่ยวกับข้อเสนอของผม“

ซู่เจินหันไปมองราชินีสีขาว

“มันเยี่ยมมาก!“

ราชินีสีขาวพูดตอบซู่เจินขึ้นมาพร้อมกับจิบไวน์เก็บไว้ในปากของเธอ หลังจากนั้นเธอก็เดินเข้าไปหาซู่เจินและจูบเขาทันที เมื่อรู้สึกได้ถึงไวน์ที่ไหลเข้ามาในปากของเขา ซู่เจินก็ยื่นมือออกมาและบีบไปที่เอวของเธอเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หัวเราะขึ้นมาอย่างมีชัย

“คุณ … คุณสามารถควบคุมจิตใจได้งั้นหรอ ?”

การแสดงออกของราชินีสีขาวเปลี่ยนไปเล็กน้อย ซึ่งดูเหมือนว่าตอนนี้เธอจะได้สติจากการควบคุมจิตใจของเขาเรียบร้อยแล้ว ทำให้เธอก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวพร้อมกับร่างกายของเธอที่กลายเป็นเพชรส่องประกายทันที

“ขอบคุณสำหรับการต้อนรับของคุณ … ไวน์อร่อยมากเลยล่ะ!”

ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับเดินเข้าไปหาบริ๊งค์เล็กน้อย ทันใดนั้นก็มีประตูพอร์ทัลปรากฏขึ้นมาด้านหลังของซู่เจินอย่างรวดเร็ว และก่อนที่เขาจะจากไปเขาก็เหลือบมองไปที่ราชินีสีขาวที่กำลังโกรธอยู่เล็กน้อยและพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ ว่า “นี่จะถือว่าเป็นการเตือนครั้งแรกสำหรับคุณ และถ้าเกิดว่าครั้งหน้าคุณยังกล้าที่จะควบคุมคนของผมอีกละก็ มันจะไม่จบง่าย ๆ อย่างนี้แน่นอน ดังนั้น … อย่าทำให้ผมต้องมากลืนกินความสามารถของคุณและคนของคุณเลย!”

หลังจากพูดจบซู่เจินและบริ๊งค์ก็เดินเข้าไปในพอร์ทัลและหายตัวไปทันที

เจอร์นี่ลุกขึ้นมาจากพื้นด้วยความอับอายเล็กน้อย และไม่นานกรงขังของปีศาจแดงก็ค่อย ๆ หายไป ทั้งสองคนรีบเดินเข้ามาหาราชินีสีขาวและพูดขึ้นมาอย่างโกรธแค้นว่า “ต้องการให้ฉันไปจับตัวเขากลับมาไหม ? “

“คุณสู้เขาไหวงั้นหรอ?” ราชินีสีขาวถามขึ้นมาอย่างแผ่วเบา ทำให้ปีศาจแดงถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

“เธอหายไปไหนแล้ว?”

หลังจากซู่เจินลงถึงพื้น เขาก็พบว่าบริ๊งค์ได้หายตัวไปแล้ว

เมื่อซู่เจินมองไปรอบ ๆ เขาก็พบว่าที่นี่คือลานจอดรถที่ถูกทิ้งร้างเอาไว้ ซึ่งมันเต็มไปด้วยเศษซากรถจำนวนมากมายหลายคัน ทำให้ซู่เจินรู้สึกสงสัยเล็กน้อยว่าบริ๊งค์จะมาที่นี่ทำไม ? เพราะโดยปกติแล้วเวลานี้บริ๊งค์น่าจะอยู่ที่ฐานไม่ใช่หรอ ?

และถ้าหากว่าเธอไม่ต้องการให้ใครรู้จริง ๆ ทำไมเธอถึงไม่เปิดประตูพอร์ทัลมาที่นี่เลยล่ะ ?

ซู่เจินที่กำลังมึนงงอยู่ในตอนนี้ และกำลังจะโทรไปหาบริ๊งค์เพื่อถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวอะไรบางอย่างอยู่ข้างหลังเขา และเมื่อเขาหันไปมองเขาก็พบเข้ากับบริ๊งค์ที่กำลังเดินเข้ามาหาเขาอย่างช้าๆ

“เธอมาทำอะไรที่นี่ ? มาซื้อของงั้นหรอ ?” เนื่องจากความสามารถของบริ๊งค์นั้นมันสามารถนำมาใช้ในการส่งของได้ ทำให้เธอมีหน้าที่ในการซื้อของต่าง ๆ ไปโดยปริยาย ดังนั้นซู่เจินจึงเลือกถามคำถามนี้ขึ้นมา

“ใช่” บริ๊งค์พยักหน้าเบา ๆ และเดินเข้ามาใกล้ซู่เจินเรื่อย ๆ

ซู่เจินขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย เพราะเขารู้สึกได้ว่ามันมีอะไรบางอย่างผิดปกติ

ซึ่งโดยปกติแล้วเวลาบริ๊งค์เจอเขาเธอจะเรียกเขาว่าบอสทันทีที่เธอเห็นเขา แต่ตอนนี้การตอบสนองของเธอมันกับนิ่งเฉยเกินไป ทำให้เขาคิดว่ามันไม่น่าจะใช่เธออย่างแน่นอน ยกเว้นว่า …

ซู่เจินขมวดคิ้วและตะโกนขึ้นมาว่า “เธอไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม ?”

“ฉัน ? แน่นอนว่าฉันสบายดี ?” บริ๊งค์พูดขึ้นมาด้วยความมึนงงเล็กน้อย

“ไม่! เธอมีอะไรบางอย่างแปลกไป!“

ปฏิกิริยาของเธอเมื่อกี้ทำให้ซู่เจินเริ่มมั่นใจในการคาดเดาของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ และเขาก็ค่อย ๆ จ้องมองไปที่เธอด้วยความระมัดระวังและพูดขึ้นมาด้วยความเยาะเย้ยว่า “ถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้ว่ามันคือภาพลวงตาหรือการควบคุมจิตใจ แต่ผมก็มั่นใจได้ว่าเธอไม่ใช่บริ๊งค์อย่างแน่นอน และไม่ว่าเธอจะเป็นใคร ผมขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าให้รีบออกมาซะ! ไม่งั้นผมจะเป็นคนไปหาคุณด้วยเองและบอกให้คุณรู้ว่าผลของการที่คุณกล้ามายั่วยุผมมันเป็นยังไง!“

“ฉันอยากรู้ว่าคุณรู้มันได้ยังไง?”

ทันใดนั้นการแสดงออกของบริ๊งค์ก็เปลี่ยนไปอย่างกระทันหันกลายเป็นคนขี้เล่นทันทีพร้อมกับน้ำเสียงของเธอที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย

“การควบคุมจิตใจ?”

นี่มันไม่ใช่ภาพลวงตาอย่างแน่นอน แต่เป็นบริ๊งค์ที่ถูกควบคุมอยู่แทน

ซึ่งมันก็มีหลายคนมากที่มีความสามารถในการควบคุมจิตใจแบบนี้ และซู่เจินก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครกันแน่ที่ควบคุมบริ๊งค์อยู่ในตอนนี้

“มันง่ายมากแม้ว่าคุณจะควบคุมบริ๊งค์อยู่ แต่คุณก็ไม่ใช่เธออย่างแน่นอน เพราะว่าผมค่อนข้างจะรู้ลักษณะนิสัยของเธอดี“ ซู่เจินมองไปเธออย่างเย็นชาและพูดขึ้นมาช้า ๆ

“ดูเหมือนว่าพวกคุณจะสนิทกันมากเลยนะ ไม่งั้นคุณคงไม่รู้ได้เร็วแบบนี้หลังจากที่ฉันพูดไปไม่กี่คำ“ บริ๊งค์ยิ้มขึ้นมาเบา ๆ และพูดว่า “คุณอยากรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร ? แน่จริงก็ตามมาสิ!“

เมื่อบริ๊งค์พูดจบเธอก็เปิดประตูพอร์ทัลทันที พร้อมกับเหลือบมองไปที่ซู่เจินด้วยสายตายั่วยวนเล็กน้อย

“คิดว่าผมไม่กล้างั้นหรอ?”

ซู่เจินหัวเราะเยาะเย้ยเธอขึ้นมาเบา ๆ และกระโดดเข้าไปในประตูพอร์ทัลทันที ถึงแม้ว่ามันอาจจะมีกับดักอยู่ก็ตาม

หลังจากที่เขากระโดดเข้าไปในพอร์ทัล ทันใดนั้นฉากเบื้องหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที

เขาปรากฏตัวขึ้นมาในห้องที่มีการจัดวางกันอย่างสวยงาม โดยที่บนโซฟามีผู้หญิงผมบลอนด์คนหนึ่งกำลังนั่งถือแก้วไวน์และสิ่งยิ้มให้กับซู่เจินเบา ๆ ส่วนด้านหลังของเธอก็มีผู้ชายผิวสีแดงอีกคนหนึ่งยืนอยู่

และยังไม่หมดแค่นี้เพราะว่ายังมีอีกคนหนึ่งที่กำลังยืนพิงประตูอยู่ด้านหลังของซู่เจิน

ผมที่ยาวเรียวสลวยพร้อมกับดวงตาสีดำทมิฬ และมีดสั้นทั้งสองเล่มที่อยู่ในมือของเขาที่มาพร้อมกับหน้าตาค่อนข้างเย็นชา!

“ยินดีต้อนรับสู่ เฮลไฟร์“

หญิงสาวผมบลอนด์พูดขึ้นมาอย่างช้า ๆ พร้อมกับยกแก้วขึ้นชูให้ซู่เจินเล็กน้อย

เฮลไฟร์คลับ?

ซู่เจินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเพราะว่าเฮลไฟร์คลับเป็นองค์กรที่มีชื่อเสียงและทรงพลังมากในหมู่มนุษย์กลายพันธุ์ โดยที่ X-Men นั้นพยายามที่จะหาวิธีอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับมนุษย์ และบราเธอร์ฮูดออฟมิวแทนต์นั้นพยายามที่จะยึดครองโลก เพื่อให้โลกรู้ว่ามนุษย์กลายพันธ์นั้นแข็งแกร่งมากแค่ไหน ส่วนเฮลไฟร์คลับนั้นถือได้ว่าเป็นสถานที่ที่รวบรวมยอดฝีมือของมนุษย์กลายพันธ์ไว้มากมาย

เมื่อมองไปยังผู้หญิงผมบลอนด์ที่สวมใส่ชุดสีขาวที่อยู่ตรงหน้าของเขา ซู่เจินก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเธอเป็นใคร

ซู่เจินกวาดสายตาไปรอบ ๆ และพูดว่า “ราชินีสีขาว , ปีศาจแดง , และนั่นก็คือ … เจอร์นี่?”

“ดูเหมือนว่าคุณจะรู้จัก เฮลไฟร์คลับ ของพวกเราเป็นอย่างดี ดังนั้นฉันขอเขาเรื่องเลยก็แล้วกัน … จุดประสงค์ที่พวกเราเชิญคุณมาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อเชิญคุณให้เข้าร่วมกับเฮลไฟร์คลับของพวกเรา!” ราชินีสีขาวพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยและพูดว่า “คุณควบคุมลูกน้องของผมเพื่อมาเชิญผม ? มันช่างเป็นคำเชิญที่จริงใจจริง ๆ!“

“แน่นอนว่าไม่มีใครที่ไม่รู้จักคุณ ดังนั้นคุณซู่เจิน … คุณก็ต้องเข้าใจฉันด้วยว่าฉันไม่อยากส่งคนของฉันไปตายเหมือนกับคนของแม็กนีโต้ ” ราชินีสีขาวสะบัดผมของเธออย่างเกียจคร้านพร้อมกับชี้ไปที่โซฟาฝั่งตรงข้ามกับเธอแล้วพูดว่า “คุณนั่งก่อนสิ ฉันไม่ทำอะไรกับคุณหรอก!“

“จริงเหรอ ? ไม่ใช่ว่าคุณกำลังคิดที่จะใช้พลังจิตของคุณควบคุมผมอยู่งั้นหรอ ? ” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยและค่อย ๆ เดินไปนั่งลงบนโซฟาอย่างช้า ๆ

ทันใดนั้นซู่เจินก็รู้สึกว่ามีพลังจิตพุ่งเข้ามาในสมองของเขาอย่างรวดเร็ว แต่มันก็ถูกป้องกันเอาไว้ด้วยพลังของแหวนอีเทอร์อย่างง่ายดาย เห็นได้ชัดว่าราชินีสีขาวกำลังพยายามควบคุมเขาอยู่!

“ฉันลองแล้ว แต่มันก็ไม่ได้ผล!“ ราชินีสีขาวพูดยอมรับขึ้นมาตรง ๆ ด้วยความสงบ ราวกับว่ามันเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กๆ น้อย ๆเท่านั้น!

“เอาล่ะ! ไหนคุณลองบอกจุดประสงค์ของคุณมาหน่อยสิว่าทำไมคุณถึงอยากเชิญผมมาที่นี่มากขนาดนี้!”

“เพื่อเชิญคุณเข้าร่วมกับเฮลไฟร์คลับ!”

“เพราะ ? ไม่ใช่ว่าพวกคุณจะรับแต่พวกมนุษย์กลายพันธ์ไม่ใช่หรอ ? แล้วทำไมคุณถึงได้มาเชิญผม และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ … ทำไมผมจะต้องเข้าร่วมกับพวกคุณ“ ซู่เจินพูดขึ้นมาเบา ๆ

“จริง ๆ แล้วฉันเริ่มให้ความสำคัญกับคุณตั้งแต่ที่คุณกลืนกินความสามารถของ ‘ปีศาจเพลิงจอห์นนี่’ เข้าไป ซึ่งในตอนแรกฉันก็คิดว่าคุณเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ แต่หลังจากที่คุณได้กลืนกินความสามารถของ ‘คนพลังไฟ’ หนึ่งในแฟนแทสติกโฟร์เข้าไป ฉันก็รู้ได้ทันทีเลยว่าคุณไม่ใช่มนุษย์กลายพันธ์อย่างแน่นอน และความสามารถของคุณก็แข็งแกร่งและน่ากลัวมาก น่ากลัวจนทุกคนอยากจะฆ่าคุณทิ้งให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันความปลอดภัยของพวกเขา ซึ่งในอีกแง่หนึ่งคุณก็เป็นคนที่มั่นคงมาก เพราะว่าความแข็งแกร่งของคุณส่วนหนึ่งนั้นมันมาจากการฝึกฝนของคุณ และเมื่อไหร่ที่คนอื่น ๆ รู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งของคุณพวกเขาจะกำจัดคุณทิ้งอย่างแน่นอน เช่น … แม็กนีโต้!”

คำพูดของราชินีสีขาวทำให้ริมฝีปากของซู่เจินโค้งขึ้นเล็กน้อย แน่นอนว่าเขารู้เรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะว่าคนที่มีความสามารถในการกลืนกินความสามารถของคนอื่นได้นั้น ย่อมเป็นที่หวาดกลัวสำหรับทุกคนอยู่แล้ว ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นพวกเขาอาจจะตอบตกลงกับราชินีสีขาวทันทีเลยก็ได้ แต่มันไม่ใช่กับซู่เจิน เพราะว่าเขาไม่ได้กังวลเลยแม้แต่น้อย

“แล้วไงล่ะ ? ด้วยความแข็งแกร่งของผมในตอนนี้ มันก็ไม่ง่ายอยู่แล้วที่จะจัดการผมได้!“ ซู่เจินพูดขึ้นมาเบา ๆ

“ฉันรู้! และฉันก็เชื่อว่าคุณจะแข็งแกร่งขึ้นมากกว่านี้อย่างแน่นอน เพราะเหตุนี้ฉันจึงอยากชวนคุณให้เข้าร่วมกับเฮลไฟร์คลับ! แถมฉันยังสามารถช่วยคุณลดปัญหาต่าง ๆ ที่ตามมาและช่วยหาในสิ่งที่คุณต้องการได้“ ราชินีสีขาวพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง “ฉันสามารถช่วยคุณค้นหาคนที่มีความสามารถที่คุณต้องการได้ ขอแค่คุณบอกมาว่าคุณต้องการความสามารถแบบไหน … ฉันจะทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้นมาในเวลาอันสั้น!”

“มันก็ฟังดูดีนะ แต่บนโลกนี้มันไม่มีอะไรที่ได้มาฟรี ๆ อย่างแน่นอน ดังนั้นคุณบอกผมมาดีกว่าว่า … ผมจะต้องจ่ายอะไรบ้างถ้าเกิดว่าผมให้คุณช่วย?” ซู่เจินถามขึ้นมาเบา ๆ

ราชินีสีขาวส่ายหัวเบา ๆ และพูดว่า “ไม่! คุณไม่จำเป็นที่จะต้องจ่ายอะไรเลย เพราะตราบใดที่คุณสามารถรับประกันความปลอดภัยและการพัฒนาของเฮลไฟร์คลับได้หลังจากที่คุณแข็งแกร่งขึ้นแล้ว แค่นี้มันก็เพียงพอแล้วล่ะ … สำหรับคุณเรื่องแค่นี้มันเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยไม่ใช่หรอ ? “

สภาพแวดล้อมโดยรอบเต็มไปด้วยความหรูหราและโรแมนติก

ซู่เจินนั่งลงพร้อมกับสกาย โดยที่พวกเขานั่งตรงข้ามกัน ซู่เจินมองไปที่สกายด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นไม่นานไฟในห้องอาหารก็ค่อย ๆ หรี่ลงอย่างช้า ๆ พร้อมกับแสงเทียนบนโต๊ะที่ค่อย ๆ ส่องสว่างขึ้นมา ทำให้สกายตื่นเต้นเล็กน้อย โดยที่ปากของเธอยิ้มออกมาไม่หยุด มันเต็มไปด้วยความสุขและความหอมหวาน ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะมีสุขมากขนาดนี้

ในขณะเดียวกันก็มีเสียงไวโอลินอันไพเราะดังขึ้นมาเบา ๆ ชวนให้พวกเขาเคลิบเคลิ้มไปกับมัน

ดินเนอร์ใต้แสงเทียนสุดโรแมนติกพร้อมกับเสียงไวโอลินอันไพเราะ!

ชายและหญิงที่รักกัน!

การดินเนอร์ใต้แสงเทียนของพวกเขาในครั้งนี้เรียกได้ว่าค่อนข้างที่จะสมบูรณ์แบบ ในบางครั้งพวกเขาก็นั่งจ้องตากันด้วยความรักอันเปี่ยมล้น มันชั่งเป็นความสุขที่หาที่ไหนไม่ได้จริง ๆ และเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แปปเดียวก็ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว

“ที่รักคุณมีความสุขไหม!“

ซู่เจินเดินโอบเอวของสกายเดินออกมาจากร้านอย่าง ๆ ช้า พร้อมกับถามสกายที่กำลังพิงตัวของเขาอยู่เหมือนกับหมีโคอาล่าขึ้นมาเบา ๆ

สกายพยักหน้าอย่างรุนแรง เพราะว่าเธอไม่สามารถคิดได้ว่ามันจะมีอะไรที่ทำให้เธอพอใจได้มากกว่านี้อีกแล้ว และความทรงจำของเธอในวันนี้ … เธอจะไม่มีวันลืมมันอย่างแน่นอน .. ไปชั่วชีวิต!

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปสถานที่ต่อไปกันเถอะ“ ซู่เจินยิ้มขึ้นมาพร้อมกับกระชับเอวของเธอให้แน่นขึ้นเล็กน้อย

“อืม“ ใบหน้าอันแสนงดงามของสกายแดงขึ้นมาเล็กน้อยและตอบซู่เจินขึ้นมาอย่างเชื่อฟัง

แน่นอนว่าบริเวณใกล้เคียงกับร้านอาหารที่พวกเขาได้ไปนั่งกินเมื่อกี้ มันมีโรงแรมสุดหรูอยู่ ทำให้พวกเขาทั้งสองคนเดินเข้าไปในโรงแรมอย่างรวดเร็ว และซู่เจินก็เดินไปเปิดห้องกับพนักงานและพาสกายเดินไปที่ลิฟต์ และทันทีที่ประตูลิฟต์ปิดลงพวกเขาทั้งสองคนก็จูบกันอย่างดูดดื่ม ราวกับว่ามีเหล็กติดตัวของพวกเขาอยู่

“ติ๊ง!“

ประตูลิฟต์เปิดออกอย่างช้า ๆ แต่อารมณ์ของพวกเขาในตอนนี้ได้ถูกจุดขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว ทำให้ซู่เจินอุ้มสกายขึ้นมาในขณะที่พวกเขากำลังจูบกันอยู่ และรีบเดินไปที่ห้องของเขาพร้อมกับเปิดประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว

ปัง!

เท้าของซู่เจินค่อย ๆ เกี่ยวไปที่ประตูและปิดมันอย่างรุนแรง

ผ้าคลุมไหล่ของสกายถูกโยนทิ้งเอาไว้ข้าง ๆ อย่างรวดเร็ว เพราะว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ใกล้กันราวกับว่าพวกเขาไม่ต้องการแยกออกจากกันเลยแม้แต่น้อย และพวกเขาก็ค่อย ๆ ถอดเสื้อผ้าออกที่ละชิ้นอย่างช้า ๆ และสกายก็เอนตัวลงนอนบนเตียงพร้อมกับมองไปที่ซู่เจินด้วยสายตาหวานเยิ้ม

เมื่อซู่เจินมองไปที่สกายก็ทำให้เขาพบเข้ากับผิวสีขาวอมชมพูอันงดงามและแววตาอันหวานเยิ้ม ทำให้ซู่เจินค่อย ๆ มองต่ำลงไปเรื่อย ๆ ราวกับว่าราชากำลังตรวจสอบอาณาเขตของตัวเองอย่างไงอย่างงั้น เขามองไปที่ร่างกายของเธออย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้พลาดจุดไหนไปแม้แต่นิดเดียว ทำให้สกายในตอนนี้เต็มไปด้วยความเขินอายจากการจ้องมองของซู่เจินที่มองมาที่เธออยู่ตลอดเวลา หลังจากนั้นเธอก็ค่อย ๆ หลับตาลงอย่างประหม่าเล็กน้อย

ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกได้ถึงมือขนาดใหญ่ที่อบอุ่นและร้อนแรงวางอยู่บนใบหน้าของเธอเบา ๆ และเมื่อเธอได้ยินซู่เจินตะโกนเรียกชื่อของเธอขึ้นมา สกายก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว และเธอก็รู้สึกว่ามันกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ….

ความสุขมันคืออะไร?

สำหรับสกายแล้วการที่เธอได้อยู่กับผู้ชายที่เธอรัก นั่นแหละคือความสุขของเธอ บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเธอขาดความอบอุ่นจากครอบครัวในตอนเด็ก ทำให้เธอในตอนนี้คิดว่าความสุขแค่นี้มันก็เพียงพอสำหรับเธอแล้ว

แม้ว่า … ฉันจะไม่รู้ว่าพ่อแม่ของฉันเป็นใคร แม้ว่า … ฉันจะไม่รู้ว่าครอบครัวมันมีความสุขอย่างไร?

แต่ฉันก็มีเขา ซู่เจิน … เขาคือบ้านของฉัน!

สกายนอนหลับด้วยใบหน้าอันไร้เดียงสา พร้อมกับกรนขึ้นมาเบา ๆ …

โดยที่มือของเธอนั้นโอบคอของซู่เจินเอาไว้ไม่ยอมปล่อย แม้ว่าเธอจะหลับไปแล้วก็ตาม เพราะเธอกลัวว่าซู่เจินจะหายไปเมื่อเธอตื่นขึ้นมา

ภายในห้องไม่มีแสงไฟสักดวงที่เปิดอยู่ ทำให้มันค่อนข้างมืดสลัวเล็กน้อย ในขณะเดียวกันซู่เจินก็มองไปที่สกายที่กำลังยิ้มออกมาในยามที่เธอหลับด้วยรอยยิ้ม

ยามเช้า

สกายค่อย ๆ ยื่นมือของเธอควานหาไปรอบ ๆ และไม่นานเธอก็พบเข้ากับความว่างเปล่า ทำให้เธอที่สะลึมสะลืออยู่ในตอนแรกตกใจตื่นขึ้นมาทันที เพราะว่าเมื่อเธอลืมตาตื่นขึ้นมาซู่เจินก็ไม่อยู่แล้วทำให้เธอในตอนนี้รู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก และในขณะที่เธอกำลังจะโกนเรียกชื่อของซู่เจิน จู่ ๆ เธอก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับร่างของซู่เจินที่เดินเข้ามาอย่างช้า ๆ พร้อมกับสิ่งของต่าง ๆ มากมายในมือของเขา

“คุณหายไปไหนมา“

สกายลุกขึ้นแล้วกระโดดเหวี่ยงตัวเข้าไปในอ้อมแขนของซู่เจินอย่างรวดเร็ว

ซู่เจินยิ้มและพูดขึ้นว่า “ผมไปซื้ออาหารเช้ามา“

“ฉันคิดว่า … ฉันคิดว่า … “ สกายบ่นพึมพำขึ้นมาเบา ๆ

“คุณคิดว่าผมหายไปสินะ … ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้อยู่กับคุณตลอดเวลา แต่ผมก็ไม่มีวันทิ้งคุณไปในเวลาอย่างนี้แน่นอน“ ซู่เจินไม่คิดว่าสกายจะยึดติดกับตัวเขามากขนาดนี้ ดูเหมือนว่าเด็กผู้หญิงกับผู้หญิงจริง ๆ มันช่างแตกต่างกันมากซะเหลือ และหลังจากการเปลี่ยนแปลงของสกายในตอนนี้ มันอาจจะทำให้การพึ่งพาตัวเองของเธอเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า!

“อืม ๆ“ สกายพยักหน้ารั่ว ๆ เมื่อได้ยินคำพูดของซู่เจิน

“คุณจะนอนต่อไหม ? ถ้าไม่เราจะได้ทานอาหารเช้ากัน!”

“อืม“ สกายตอบขึ้นมาอย่างมีความสุข ซึ่งสภาพของเธอในตอนนี้ก็คือ ล่อนจ้อน และเธอก็ไม่คิดที่จะใส่มันด้วย เธอเดินไปนั่งที่โต๊ะและกินอาหารเช้ากับซู่เจินอย่างมีความสุข แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่อาหารเช้าธรรมดา แต่สำหรับสกายแล้วแค่นี้มันก็ทำให้เธอมีความสุขมากแล้ว

“วันนี้คุณมีแผนที่จะทำอะไรต่องั้นหรอ กลับไปที่ SHIELD หรือว่าคุณจะไปกลับผม ? ” ซู่เจินถามขึ้นมา

สกายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจว่า “แน่นอนว่าฉันอยากไปกับคุณ แต่ … ตอนนี้ฉันพบเบาะแสอะไรบางอย่าง ทำให้ฉันอยากกลับไปตรวจสอบมันให้เร็วที่สุด และหลังจากนั้นฉันก็จะได้อยู่กับคุณตลอดไป!”

“งั้นเดี๋ยวอีกสักผมจะพาคุณไปส่งที่ยานก็แล้วกัน“

“อืม!“

หลังจากที่ทานอาหารเช้าและพักผ่อนกันเต็มที่แล้ว พวกเขาก็แต่งตัวและเดินออกจากโรงแรมทันที

ย้อนกลับไปที่ยานบินของ SHIELD ตอนนี้ทุกคนสังเกตเห็นว่าสกายในตอนนี้ดูแตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย ราวกับว่าเธอมีเสน่ห์บางอย่างที่ไม่เหมือนใครปรากฏขึ้นมา … และเมื่อพวกเขาคิดถึงตอนที่ซู่เจินพาสกายออกไปข้างนอกในคืนนั้น พวกเขาก็เข้าใจในทันทีเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น

โคลสันแกล้งพูดติดตลกขึ้นมาเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องที่ซู่เจินบอกว่าเขาได้รับบาจเจ็บ แต่เขากับพาสกายออกไปทำเรื่องโรแมนติกกันสองคนด้านนอก ทำอย่างนี้มันไม่เกินไปหน่อยงั้นหรอ ?

แต่ซู่เจินกับพูดขึ้นมาว่า “คุณอิจฉาผมงั้นหรอ ? ทำไมคุณไม่ลองไปหาแฟนสาวสักคนดูล่ะ ไม่แน่มันอาจจะช่วยให้จิตใจอันบอบช้ำของคุณมันดีขึ้นก็ได้!”

“ถ้าวันนี้ไม่มีภารกิจอะไร คุณควรที่จะหยุดพักผ่อนให้เพียงพอซะก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวร่างกายของคุณจะแย่เอา และเดี๋ยวผมจะกลับไปที่ฐานแล้วถ้าเกิดว่าคุณคิดถึงผมก็โทรมาหาผมได้ตลอดเวลา!“ ซู่เจินจูบไปที่แก้มของสกายเบา ๆ และในขณะที่เขากำลังจะจากไป เขาก็สังเกตเห็นเจมมาขึ้นมาโดยบังเอิญ แถมเธอกำลังทำสีหน้าแปลก ๆ ออกมา ราวกับว่าเธอกำลังอิจฉา ? หรือว่า … หึง ?

ซู่เจินยิ้มให้กับเธอเบา ๆ ทำให้เจมมารีบเปลี่ยนสีหน้าของเธอโดยทันทีและยิ้มให้กับเขาเช่นกัน

“คุณสวยขึ้นมาก!“

หลังจากซู่เจินจากไป เจมมาก็เดินมาหาสกายและอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา

สกายยิ้มและพูดขึ้นมาว่า “ชุดนี้สวยงั้นหรอ ?”

“ไม่! มันไม่เกี่ยวกับเสื้อผ้าเลยสักนิด แต่มันเป็นเพราะจิตใจของคุณในตอนนี้ได้กลายเป็นผู้หญิงเต็มตัวแล้วมากกว่า … “ เจมมาหยุดคิดสักพักหนึ่งและพูดต่อว่า “ตอนนี้คุณดูเหมือนกับอัญมณีที่ส่องแสงแวววาวระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้า“

สกายยิ้มหวานขึ้นมาทันที เพราะเธอก็รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเธอเช่นกัน

“นี่คือช่องว่างความแตกต่างระหว่างเด็กผู้หญิงกับผู้หญิง ซู่เจิน … เมื่อไหร่คุณจะทำให้ฉันกลายเป็นผู้หญิงเต็มตัวสักที!” จู่ ๆ เจมมาก็นึกถึงฉากของตัวเองและซู่เจินขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เธอนึกถึงตอนที่เขานอนบนตักของเธอ …

“ฮัดชิ่ว!”

ในขณะที่ซู่เจินกำลังบินอยู่จู่ ๆ เขาก็จามขึ้นมาซะอย่างงั้น “แปลก ? เราเพิ่งแยกจากสกายเมื่อกี้นี้เอง ไม่คิดเลยว่าเธอจะคิดถึงฉันมากขนาดนี้“

ซู่เจินส่ายหัวเบา ๆ พร้อมกับเร่งความเร็วขึ้น แต่ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นแสงบางอย่างที่ดูคุ้นเคยที่ด้านล่างของเขา ซึ่งเป็นบริ๊งค์ที่เปิดประตูพอร์ทัลและเดินออกมาอย่างช้า ๆ

“เธอมาที่นี่ทำไม?”

ซู่เจินรู้สึกสงสัยเล็กน้อย เขาเปลี่ยนทิศทางและบินตามไปทันที

แม้ว่าซู่เจินจะสัญญากับพวกเขาว่าจะพาโควสันกลับมาอย่างแน่นอน แต่พวกเขาก็ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้

ถึงแม้สภาพของโควสันจะดูไม่ค่อยดีนัก แต่มันก็มีเพียงแค่บาดแผลภายนอกเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งตรงกันข้ามกับอาการทางจิตใจของโควสันที่มันรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม แต่ถึงอย่างไรโควสันก็กลับมาได้อย่างปลอดภัย แค่นี้ก็ทำให้ทุกคนรู้สึกโล่งใจแล้ว

และโควสันก็ยังรู้อีกว่าไมเคิลยังไม่ตาย ทำให้เขาพยายามที่จะสืบหาข้อมูลของไมเคิลอยู่ตลอดเวลา แต่ก็น่าเสียดายที่มัน … ไม่มีเบาะแสอะไรเลย

“คุณจะกลับไปที่ฐานแล้วงั้นหรอ?”

สกายเดินมาหาซู่เจินและถามขึ้นมาเบา ๆ

ซู่เจินพยักหน้าเบา ๆ และพูดว่า “ถ้าหากว่าไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นที่นี่ ผมก็จะกลับไปที่ฐานและสร้างมันให้เสร็จเร็วที่สุด แต่ก่อนที่ผมจะกลับไปผมยังมีธุรบางอย่างที่ต้องทำก่อน!”

“อะไรงั้นหรอ“ สกายถามขึ้นมาอย่างอยากรู้อยากเห็น

“ทานอาหารเย็นกับหญิงสาวคนหนึ่ง เพราะว่าผมเพิ่งเจอร้านอาหารร้านหนึ่งที่อร่อยมาก แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหญิงสาวคนนั้นจะยอมไปทานดินเนอร์ใต้แสงเทียนกับผมไหม? “ ซู่เจินมองไปที่สกายและพูดขึ้นมาด้วยยิ้ม

สกายยิ้มขึ้นมาอย่างมีความสุขและพูดว่า “ฉันคิดว่าเธอเต็มใจอย่างแน่นอนที่จะไปกับคุณ และถ้าเกิดว่า … คุณมีอย่างอื่นให้เธอหลังจากดินเนอร์ใต้เสียงเทียนแล้วละก็ … เธออาจจะไปกับคุณเดี๋ยวนี้เลยก็ได้!“

“คุณกำลังบอกใบ้ผมงั้นหรอ“ ซู่เจินเดินเข้าไปโอบเอวของสกายและถามขึ้นมาเบา

สกายส่ายหัวเบา ๆ พร้อมกับเอาแขนของเธอคล้องไปที่คอของซู่เจินและพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “ที่รักนี่ไม่ใช่คำใบ้หรอกนะ แต่เป็นความต้องการที่ชัดเจนต่างหาก!”

“ดูเหมือนว่าถ้าไม่มีกิจกรรมอื่น ๆ หลังจากดินเนอร์ใต้แสงเทียนแล้ว ฉันก็คงไม่คิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาหรอก“ เขาไม่รู้ว่าสกายพูดเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม แต่ตอนนี้เขาเริ่มมีความต้องการขึ้นมาแล้วจริง ๆ

ลองคิดดูสิว่าสกายนั้นได้ชื่อว่าเป็นแฟนของเขา และสกายก็เป็นคนที่อยู่ด้วยกันกับเขามานานที่สุดและเธอก็เป็นคนที่เขารักมากที่สุด ด้วยเหตุนี้นี่เองที่ทำให้เขาพยายามที่จะควบคุมตัวเองและไม่ต้องการให้ครั้งแรกของเธอต้องเป็นค่ำคืนที่ไม่น่าจดจำ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า … เรื่องบางเรื่องก็ควรที่จะพูดมันออกมาตรง ๆ!

ดั่งคำพูดที่ว่า …

ถ้าคุณต้องการให้ดอกไม้หุบ คุณก็ต้องหุบมันด้วยตัวของคุณเอง!

“ทำไมคุณถึงพาฉันมาที่นี่ล่ะ? ไม่ใช่ว่าเราจะไปที่ร้านอาหารกันงั้นหรอ ?”

ซู่เจินพาสกายออกมาจากยานบินทันที และนี่ก็เป็นครั้งแรกของเธอที่ได้ออกมาเดินเล่นบนท้องถนนแบบนี้ ซึ่งมันไม่ได้รวมกับการที่เธอจะต้องออกมาทำภารกิจข้างนอก เพราะว่าหลังจากที่เธอได้เป็นที่ปรึกษาของ SHIELD เธอก็ไม่ค่อยมีเวลาสักเท่าไหร่ในการที่จะออกมาเดินเล่นแบบนี้

ในตอนที่สกายอยู่ที่ SHIELD เธอก็ไม่ค่อยมีเวลาสักเท่าไหร่ในการสืบข่าวเกี่ยวกับพ่อแม่ของเธอ เพราะว่าส่วนใหญ่เธอจะทำแต่ภารกิจร่วมกับพวกโควสัน

“แน่นอนว่าที่นี่ไม่ใช่ร้านอาหาร … คุณก็เห็นอยู่ว่าป้ายมันเขียนว่า “ร้านเสื้อผ้า” แล้วมันจะกลายเป็นร้านอาหารไปได้ยัง!” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

สกายถามขึ้นมาอย่างมึนงง “ฉันรู้ว่าที่นี่คือร้านเสื้อผ้า แต่ฉันไม่รู้ว่าคุณจะพาฉันมาที่นี่เพื่ออะไร?”

“ผมก็ต้องพาคุณมาเสื้อผ้าอยู่แล้วสิ แม้ว่าปกติคุณจะแต่งตัวสวยอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เรากำลังจะไปเดทและดินเนอร์ใต้เสียงเทียน ดังนั้นเราควรที่จะแต่งตัวให้มันสวยกว่านี้ไม่ใช่หรือไง และไม่ต้องพูดถึง … กิจกรรมหลังอาหารเย็นของเราอีก มันน่าจะคึกคักดีนะว่าไหม … “ ซู่เจินพูดอธิบายขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

สกายเข้าใจสิ่งที่ซู่เจินกำลังจะสื่อทันทีและเธอก็พูดขัดจังหวะเขาขึ้นมาว่า “พวกเรารีบไปเลือกชุดกันเถอะ เพื่อให้ค่ำคืนนี้ของฉันและคุณกลายเป็นค่ำคืนอันแสนวิเศษและน่าจดจำไปชั่วชีวิต“

เมื่อมองไปที่สกายที่มีความกังวลเล็กน้อย ซู่เจินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา พร้อมกับสกายที่ดึงแขนของซู่เจินเข้าไปในร้านอย่างรวดเร็ว

ในร้านเสื้อผ้าแห่งนี้มีชุดเดรสระดับไฮเอนด์ให้เลือกสรรมากมาย และพนักงานของที่นี่ก็บริการดีมาก แม้ว่าซู่เจินและสกายจะใส่ชุดธรรมดาเดินเข้ามาในร้าน แต่พวกเขาก็แนะนำเสื้อผ้าให้กับพวกเขาอย่างมืออาชีพ โดยไม่มีสายตาดูถูกเลยแม้แต่น้อย

“คุณคิดว่าฉันใส่ชุดนี้แล้วดูเป็นยังไงบ้าง?” สกายในชุดราตรีสีแดงถามซู่เจินขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

ซู่เจินคิดอยู่สักพักหนึ่งแล้วพูดว่า “ไม่เลวเลย … ตอนนี้คุณสวยมากเลยล่ะ แต่ผมคิดว่าสีแดงมันไม่ค่อยเหมาะกับนิสัยของคุณสักเท่าไหร่ ทำไมคุณไม่ลองใส่สีดำหรือสีม่วงล่ะ มันน่าจะเข้ากับคุณได้มากกว่านี้“

“อืม“ สกายพยักด้วยความพึงใจให้กับซู่เจินเบา ๆ แน่นอนว่าเธอพอใจกับคำพูดของซู่เจินมาก

แน่นอนว่าซู่เจินไม่ได้พูดแต่งเรื่องขึ้นมา แต่เป็นเพราะเขาเข้าใจในตัวของเธอจริง ๆ

“แล้วชุดนี้ล่ะ?” ซู่เจินหยิบชุดราตรีรัดรูปสีดำให้กับสกาย และในทันทีที่สกายเห็นชุดเธอก็รู้สึกชอบมันทันที “ฉันจะไปลองใส่มันดู“

เมื่อเห็นว่าสกายชอบมัน ซู่เจินก็ตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้เห็นความงามของเธอหลังจากที่เธอได้สวมใส่ชุดตัวนั้นอย่างใจจดใจจ่อ

สกายเดินเข้าไปในห้องลองเสื้ออย่างรวดเร็ว ส่วนซู่เจินก็นั่งรออยู่ข้างนอกอย่าเงียบ ๆ เกือบห้านาที ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงเรียกของสกายดังขึ้นมา

“ที่รักคุณ … คุณเข้ามาช่วยฉันหน่อยได้ไหม”

“ด้วยความยินดี!”

ซู่เจินตอบขึ้นมาด้วยรอยยิ้มและเดินเข้าไปในห้องลองเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว

พื้นที่ด้านในไม่ค่อยกว้างมากนัก และตอนนี้สกายก็กำลังยืนหันหลังให้กับเขาอยู่ เผยให้เห็นแผ่นหลังที่ขาวราวกับหิมะของเธอและซิบที่ยังไม่ได้รูดขึ้น

“เดี๋ยวผมช่วยคุณเอง!” ซู่เจินเดินเข้าไปไกล้ ๆ กับสกายและช่วยเธอดึงซิปที่อยู่ด้านหลังของเธอขึ้นอย่างช้า ๆ และในขณะที่เขากำลังดึงอยู่จู่ ๆ เขาก็รู้สึกได้ถึงการสูดดมจากสกายอย่างชัดเจน “คุณเป็นอะไรใหม ? หรือว่าเสื้อผ้ามันคับไป? “

“ไม่ … ไม่เป็นไร“

สกายส่ายหัวเบา ๆ และหันไปมองรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว ทำให้ซู่เจินรู้ได้ทันทีเลยว่าทำไมเธอถึงสูดดมเขาเมื่อกี้

แม้ว่าชุดนี้มันจะเป็นชุดรัดรูปก็จริง แต่มันก็ไม่ได้รัดแน่นขนาดนั้น และถึงแม้ว่ามันจะเป็นอย่างงั้นแต่ส่วนบนของเธอมันก็รัดแน่นซะจนเด่นชัดเลยทีเดียว

“คุณหัวเราะอะไร“ เมื่อสกายเห็นว่าซู่เจินกำลังมองมาที่เธอและหัวเราะเบา ๆ เธอก็ถามเขาขึ้นมาด้วยความโกรธปนความเขินอายเล็กน้อย

“ไม่มีอะไรหรอก ผมก็แค่ขำที่แฟนของผมหุ่นดีขนาดนี้ แต่คนออกแบบชุดกับออกแบบมารัดรูปซะขนาดนี้ สงสัยว่าเขาคงไม่มีใครที่หุ่นดีแบบแฟนผมมาลองใส่ชุดของเขาอย่างแน่นอน ไม่งั้นขนาดของชุดมันคงจะพอดีมากกว่านี้ เอาล่ะ! ถ้าคุณใส่แล้วรู้สึกออึดอัด คุณก็ไปเปลี่ยนเถอะ“

“ฉันไม่อึดอัดหรอกนะ แถมชุดนี้มันก็สวยดีด้วย คุณไม่ชอบมันงั้นหรอ?”

“ชอบสิ!“

“งั้นฉันเอาชุดนี้!”

“อืม! และถ้าผมจำไม่ผิดมันมีผ้าคลุมไหล่อยู่ผืนหนึ่งที่เข้ากับชุดนี้มาก“ ชุดนี้มันสวยจริง ๆ นั่นแหละ โดยเฉพาะเมื่อสวมมันบนร่างกายของสกาย มันยิ่งทำให้เธอเต็มไปด้วยเสน่ห์หน้าค้นหา แต่เธอจะมีเสน่ห์มากกว่านี้ถ้าเกิดว่าเธอใส่ผ้าหลุมไหล่เข้าไปอีกอย่างหนึ่ง

แน่นอนว่าซู่เจินต้องการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับพวกเธอ เพราะว่านี่จะเป็นช่วงเวลาที่พวกเธอมีความสุขมากที่สุดในชีวิต

หลังจากที่พวกเขาเดินออกมาจากห้องลองเสื้อผ้า ซู่เจินก็ซื้อชุดและผ้าคลุมไหล่ผืนนั้นมาใส่ให้สกายอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่พวกเขาซื้ออะไรเสร็จแล้ว พวกเขาก็ไปที่ร้านอาหารกันทันที

ในตอนนี้สกายแตกต่างไปจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง เพราะว่าตอนนี้เธอดูเหมือนกับองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ เธอค่อย ๆ ควงแขนของซู่เจินขึ้นมาด้วยท่าทางมีความสุข และไร้เดียงสา ซึ่งซู่เจินก็ชอบท่าไร้เดียงสาของเธอเป็นอย่างมาก

“ทำไมที่นี่ถึงไม่มีคนเลยล่ะ? “

เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงร้านอาหาร สกายก็พบว่าภายในร้านอาหารตอนนี้ไม่มีแขกคนอื่น ๆ เลยแม้แต่น้อย และเมื่อเธอมองไปที่ซู่เจิน เธอก็พบเข้ากับรอยยิ้มแห่งชัยชนะปรากฏขึ้นบนหน้าของซู่เจินทันที

“อย่าบอกนะว่าคุณจองร้านอาหารแห่งนี้ไว้ทั้งหมดแล้ว?”

“ใช่! เพราะว่าผู้หญิงทุกคนย่อมมีจินตนาการคล้าย ๆ กัน ดังนั้นในฐานะที่ผมเป็นแฟนของคุณ ผมก็มีหน้าที่ที่จะทำให้วันนี้ของคุณเป็นวันที่สมบูรณ์แบบที่สุด!”

“คุณบอกว่าพวกเขาปลอดภัยดี ? แสดงว่าไมเคิลก็ปลอดภัยด้วยใช่ไหม ? “ จู่สกาย ๆ ก็ถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน หลังจากได้ยินสิ่งที่ซู่เจินพูดขึ้นมาก่อนหน้านี้

ซู่เจินพยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ แล้วพูดว่า “อย่างน้อยตอนนี้เขายังไม่ตาย แต่ … ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นโชคดีหรือโชคร้ายของเขากันแน่“

“ยังไม่ตายงั้นหรอ ? ดีแล้วล่ะ เพราะตอนแรกมีคนไปจับตัวลูกชายของไมเคิลมาข่มขู่ให้ไมเคิลมอบตัวโควสันให้กับพวกเขา ซึ่งตอนแรกพวกเราก็วางแผนกันเอาไว้แล้ว แต่พวกเขากลับเล่นเล่ห์เหลี่ยมกับพวกเรา โดยการแอบวางระเบิดเวลาเอาไว้ ทำให้ในขณะที่พวกเรากำลังหนี ไมเคิลก็ถูกแรงระเบิดอัดเข้าอย่างรุนแรง จนทำให้พวกเราคิดว่าเขานั้นตายไปแล้ว …” สกายพูดขึ้นมาเบา ๆ

“เขาถูกระเบิดจนกลายเป็นเถ้าถ่านเลยงั้นเหรอ?” ซู่เจินถามขึ้นมาหลังจากที่สกายพูดจบ และเขาก็พูดต่อว่า “แน่นอนว่าถ้าเป็นคนธรรมดามันก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ไมเคิลไม่ใช่คนธรรมดาเพราะว่าเขามีไวรัสตะขาบอยู่ภายในร่างกายของเขา แม้ว่าไวรัสตัวนี้มันจะไม่ได้ดีเท่ากับไวรัสเอ็กซ์ตรีมมิส แต่มันก็ยังมีความสามารถในการฟื้นตัวสูงมาก ดังนั้นเขาจึงไม่ตายอย่างแน่นอน“

“อืม! แล้วตอนนี้คุณรู้ไหมว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน? พวกเราจะได้ไปช่วยเหลือพวกเขาออกมา“ สกายถามขึ้นมาทันที พร้อมกับคนอื่น ๆ ที่มองไปที่ซู่เจินด้วยความประหม่าเล็กน้อย

ซู่เจินลังเลอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ผมรู้ว่าตอนนี้โควสันอยู่ที่ไหน ดังนั้นเรื่องของโควสันเดี๋ยวผมจะเป็นคนจัดการเอง ส่วนเรื่องของไมเคิลผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาอยู่ที่ไหน แต่ผมรับประกันได้ว่าเขาจะไม่ตายอย่างแน่นอน และเขาจะกลับมาในอนาคต แต่มันก็อาจจะ … เปลี่ยนแปลงไปบ้าง เพราะถึงยังไงเขาก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงชะตากรรมของเขาได้ อย่างน้อย … มันก็ดีกว่าการที่เขาจะต้องตาย“

ถ้าหากว่าไม่มีอุบัติจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ไม่แน่ว่าไมเคิลอาจจะกลายเป็นคนพิการไปแล้วก็ได้ ? ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นไปแล้ว เราก็แค่ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติของมันก็แค่นั้น

“เชื่อใจผมได้เลย ผมจะพาโควสันกับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน“ ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจัง

คำพูดของซู่เจินทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่รู้สึกโล่งใจและเชื่อใจเขาโดยไม่มีเหตุผล ไม่ว่าซู่เจินจะพูดอะไรออกมาในตอนนี้ พวกเขาก็พร้อมที่จะทำตามที่สั่งทันที

เมื่อซู่เจินเห็นว่าอารมณ์ของพวกเขาในตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว ซู่เจินก็บินออกไปจากยานเพื่อไปช่วยเหลือโควสันทันที

แน่นอนว่าโควสันนั้นแตกต่างกับไมเคิล เพราะว่าอีกฝ่ายต้องการจับตัวของโควสันไปก็เพื่อรีดเอาข้อมูลวิธีการฟื้นคืนชีพของเขา ดังนั้นโควสันในตอนนี้น่าจะถูกทรมาณอยู่อย่างแน่นอน ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ซู่เจินห่วงที่สุดนั่นก็คือสภาพจิตใจของเขา ยิ่งไปกว่านั้นซู่เจินก็อยากรู้เช่นกันว่าโควสันฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อย่างไร!

เมืองร้าง

เมืองนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1940 เพื่อใช้เป็นสถานที่ทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ แต่หลังจากโครงการนี้จบลงเมืองแห่งนี้ก็ถูกทิ้งรกร้างเอาไว้ ทำให้ภายในเมืองไม่มีต้นหญ้าสักต้น มันแห้งแล้งราวกับทะเลทราย เหมือนกับว่าโลกได้ลืมไปแล้วว่ามันเคยมีสถานที่แบบนี้อยู่มาก่อน

ซึ่งโควสันก็ถูกขังอยู่ที่เมืองแห่งนี้!

ในขณะเดียวกันตอนนี้โควสันกำลังถูกทรมาณโดยเอดิสัน โดยที่เอดิสันพยายามที่จะทำลายจิตใจของโควสันให้แตกสลาย แต่โควสันก็ไม่ได้สะทกสะทานเลยแม้แต่น้อยพร้อมกับหัวเราขึ้นมาเบา ๆ เพราะว่าการทรมาณแค่นี้มันไม่สามารถทำให้อะไรเขาได้ จนกระทั่งมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา ซึ่งมันเป็นคนที่โควสันคาดไม่ถึงมาก่อน

ลีน่า!

ในขณะเดียวกันเอดิสันก็เดินไปรับโทรศัพท์จากการ์เร็ตต์ ทันใดนั้นจู่ ๆ เอดิสันก็ล้มลงกับพื้นพร้อมกับลมหายใจที่หายไป

เขาโดนวางยาพิษ!

เพราะว่าการ์เร็ตต์ต้องการให้ลีน่าเข้ามาทำหน้าที่แทนเอดิสัน ในการรีดข้อมูลจากโควสันเกี่ยวกับข้อมูลการฟื้นคืนชีพของเขา ทำให้เขาจะต้องฆ่าเอดิสันทิ้งเพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหลออกไป

แน่นอนว่าลีน่าเป็นผู้หญิงที่ฉลาดและมีเสน่ห์มาก เธอเรียนรู้วิธีการพูดและการใช้ช่องว่างภายในจิตใจของผู้คนในการทำให้เธอบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ

เธอค่อย ๆ เทน้ำใส่แก้วแล้วยกไปให้โควสัน พร้อมกับนั่งลงคุยกับเขาเหมือนคุยกับเพื่อนตามปกติ

แน่นอนว่าจิตใจของโควสันในตอนแรกนั้นมันมั่นคงมาก แต่เมื่อเจอกับเสน่ห์ของลีน่าก็ทำให้เขาค่อย ๆ เปลี่ยนความคิด เพราะเขาน่าจะตายไปแล้ว แล้วทำไมเขาถึงยังมีชีวิตอยู่กับความทรงจำที่สวยงามเหล่านี้ โควสันเริ่มหวั่นไหวเล็กน้อย ทำให้เขาเริ่มคิดตามเกี่ยวกับสิ่งที่ลีน่าได้พูดขึ้นมา … เขาตายไปแล้วจริง ๆ ใช่ไหม ? แล้วทำไมเขาถึงได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ?

ภายใต้เสน่ห์ของลีนาในที่สุดโคลสันก็ตัดสินใจเดินลงไปนอนที่เครื่องกระตุ้นความทรงจำ!

ทันใดนั้นความทรงจำของโควสันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป เกาะ ? ….. มันค่อย ๆ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งความทรงจำในห้องผ่าตัดก็ปรากฏขึ้นมา โควสันเห็นว่าหัวกะโหลกของเขาถูกผ่าเปิดออกมา และเห็นว่าภายในหัวของเขานั้นมีเครื่องจักรอะไรบางอย่างกำลังทำงานอย่างรวดเร็ว เพื่อกระตุ้นประสาทสมองของเขาให้ตื่นตัวตลอดเวลา ซึ่งมันเจ็บปวดมาก เจ็บจนเขาไม่สามารถทนได้ ทำให้เขาต้องตะโกนขอร้องให้อีกฝ่ายฆ่าเขาทิ้งซะ ดีกว่าต้องมาทนทรมาณแบบนี้

ซึ่งลีน่าก็ยืนมองโคลสันอยู่ข้าง ๆ เตียง พร้อมกับฟังเสียงร้องตะโกนอันแสนเจ็บปวดของโควสันที่ตะโกนออกมาตลอดเวลาด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นเธอก็พึมพำขึ้นมาเบา ๆ …. และเริ่มบันทึกข้อมูลที่เธอต้องการทันที

ทันใดนั้นลีน่าก็รู้สึกว่าหัวใจของเธอมันสั่นราวกับว่ากำลังมีอันตรายอะไรบางอย่างคืบคานเข้ามา

ซึ่งความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้เธอค่อนข้างที่จะเชื่อในสัญชาตญาณของเธอ เธอหันหน้าไปมองที่โควสันเล็กน้อยและหันหลังเดินออกจากห้องทันที

ในขณะที่ลีน่ากำลังเดินออกจากห้อง จู่ ๆ ลีน่าก็หยุดเดินโดยไม่รู้ตัว ….

เธอเห็นคนคนหนึ่งที่เธอไม่อยากจะเจอที่สุดในชีวิต และเธอก็กลัวที่จะเจอเขาด้วย

“พวกเราเจอกันอีกแล้วนะ แม่สาวดอกไม้แสนสวย“ ซู่เจินมองไปที่ลีน่าด้วยรอยยิ้ม ส่วนลีน่าก็ยิ้มออกมาเช่นกัน แต่เป็นรอยยิ้มที่ดูน่าเกลียดสุด ๆ

“ดูเหมือนว่าคุณจะยังไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของการ์เร็ตต์ ดังนั้นผมจะพูดกับคุณเหมือนครั้งที่แล้ว … ผมจะให้เวลาคุณหนีและให้โอกาสคุณในการพูดสิ่งที่ต้องการออกมา” ซู่เจินกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“ทำไม … ทำไม? “ ลีน่าถามขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก

“ทำไมผมถึงได้ปล่อยคุณไปงั้นหรอ ? แม้ว่าผิวของคุณจะดูคล้ำไปหน่อย แต่ถึงอย่างงั้นคุณก็มีเสน่ห์ในแบบฉบับของตัวเอง ทำให้ผมเกิดสนใจในตัวของคุณขึ้นมาเล็กน้อย ? ” ซู่เจินมองไปที่ลีน่าด้วยสายตาจริงจัง แม้ว่าลีน่าจะมีผิวสีดำ แต่มันก็ไม่ได้ดำสนิทออกประมาณคล้ำ ๆ ด้วยซ้ำ และเธอก็ไม่ได้สวยมากนักในตอนแรกที่เขาเจอ แต่นิสัยใจคอของเธอนั้นมีเสน่ห์ที่แตกต่างออกไปหลังจากที่ซู่เจินได้ลองสัมผัสมาเป็นเวลานาน

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ซู่เจินรู้อยู่แล้วว่าแท้ที่จริงแล้วเธอไม่ใช่คนเลวอย่างแน่นอน เพราะว่าในโลกนี้ความแตกต่างระหว่างความดีและความเลวนั้นมันไม่ค่อยชัดเจนสักเท่าไหร่ แต่มันขึ้นอยู่กับเจตนาและความชอบธรรมที่ซ่อนอยู่ภายในตัวของพวกเขา

หญิงสาวที่มีความสามารถและมีเสน่ห์ ถือว่าเป็นผู้หญิงที่ดี

และสิ่งที่สำคัญรองลงมาก็คือ เธอนั้นไม่ได้มีภัยคุกคามกับเขาหรือคนรอบข้างเลยแม้แต่น้อย และถ้าถามว่าทำไมเขาถึงปล่อยเธอไปงั้นหรอ ?

แม้ว่าเธอจะเป็นเพียงแค่คนธรรมดา แต่จริง ๆ แล้วเธอยังมีอีกตัวตนหนึ่งที่ซ่อนอยู่

ลีน่าเดินออกจากห้องไปได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเธอก็ไม่คิดว่าซู่เจินจะปล่อยเธอไปง่าย ๆ แบบนี้เช่นกัน แต่อย่างน้อยเธอก็ยังมีชีวิตอยู่ นั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี หลังจากที่ลีน่าจากไป ซู่เจินก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปในบ้านแล้วพบกับโควสันที่กำลังนอนอยู่บนเครื่องกระตุ้นความทรงจำด้วยความเจ็บปวด

“โอเค ๆ“

ซู่เจินค่อย ๆ เอาตัวของโควสันออกมาจากเครื่องกระตุ้นความทรงจำ และวางลงบนเตียงอย่างช้า ๆ หลังจากนั้นไม่นานโควสันก็ค่อย ๆ สงบลงพร้อมกับลืมตามองไปที่ซู่เจินอย่างช้า ๆ

“มีอะไร? คุณไม่ต้องไปสนใจความทรงจำพวกนั้นให้มากนัก เพราะว่ามันไม่ค่อยสำคัญสักเท่าไหร่ และผมก็รู้นะว่ามันยากที่จะยอมรับความทรงจำพวกนั้นในทันที“ ซู่เจินถอนหายใจออกมาเบา ๆ

โคลสันส่ายหัวอย่างอ่อนแรง แต่แววตาของเขานั้นกับเต็มไปด้วยความแน่วแน่ “อย่างน้อย … ฉันก็รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น!“

ซู่เจินส่ายหัวเบา ๆ หลังจากนั้นเขาก็พยุงร่างของโควสันเดินออกมาจากห้องอย่างช้า ๆ และเมื่อพวกเขาออกมาเรียบร้อยแล้ว ซู่เจินก็ใช้พลังงานจากแหวนมาห่อหุ้มร่างกายของโควสันเอาไว้ จากนั้นเขาก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว …

กล่องสินค้าบุบเข้าไปด้านใน โดยมีร่างของนักรบตะขาบที่นอนกองอยู่บนพื้น โดยที่ไม่สามารถขยับไปไหนได้ แม้ว่าสมรรถภาพทางร่างกายของนักรบตะขาบจะแข็งแกร่งมาก แต่เมื่อเขาถูกพลังของแหวนอีเทอร์โจมตีเข้าอย่างรุนแรง ก็ทำให้เขาบาจเจ็บอย่างรุนแรงจนร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาไม่สามารถทนมันได้!

เมื่อนักรบตะขาบเห็นว่าซู่เจินกำลังเดินเข้ามาหาเขาอย่างช้า ๆ เขาก็พยายามที่จะพยุงร่างกายของเขาลุกขึ้น แต่มันก็ล้มเหลว ทันใดนั้นร่างกายของเขาจู่ ๆ ก็ลุกขึ้นยืนขึ้นมาเอง ไม่สิ! เขาลอยขึ้นต่างหาก

ซู่เจินค่อย ๆ ยื่นมือของเขาออกมาและกดมันลงไปบนร่างกายของนักรบตะขาบอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นการแสดงออกของนักรบตะขาบก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นความเจ็บปวด และความหวาดกลัวในทันที

ส่วนเมย์ก็มองไปที่ซู่เจินด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ซู่เจินกำลังกลืนกินความสามารถของนักรบตะขาบ!

ตึง!

หลังจากนั้นไม่นานร่างของนักรบตะขาบก็ล้มลงกับพื้น

เมย์รีบเดินเข้าไปหานักรบตะขาบอย่างรวดเร็วเพื่อรีดไถข้อมูล แต่ก่อนที่เธอจะได้ถามอะไร จู่ ๆ นักรบตะขาบก็ตาเหลือกขึ้นพร้อมกับมีเลือดพุ่งออกมาจากทวารทั้งหก และตายลงทันที

“อย่าไปเสียแรงกับเขาให้เสียเวลาเลย พวกเรารีบไปสนับสนุนโควสันและไมเคิลกันดีกว่า“

มันเป็นอย่างที่ซู่เจินคิดเอาไว้จริง ๆ ด้วยว่าภายในร่างกายของนักรบตะขาบนั้นมีอุปกรณ์บางอย่างถูกติดตั้งอยู่ภายในดวงตาของพวกเขา ซึ่งเจ้าอุปกรณ์ตัวนี้มันสามารถมองเห็นผ่านดวงตาของเหล่านักรบตะขาบได้จากระยะไกล และมันยังสั่งการให้ฆ่านักรบตะขาบจะระยะไกลได้อีกด้วยเพื่อป้องกันข้อมูลของพวกเขารั่วไหล!

เมื่อซู่เจินและเมย์เดินมาถึงที่ที่โควสันและไมเคิลอยู่ พวกเขาก็เห็นว่าโควสันในตอนนี้กำลังอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยดีนัก และดูเหมือนว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง ซึ่งตอนนี้เขากำลังนอนตัวพิงอยู่ข้าง ๆ กล่องสินค้า ส่วนไมเคิลในตอนนี้ก็กำลังต่อสู้อยู่กับนักรบตะขาบทั้งสองคน ซึ่งสถานการณ์ก็เริ่มไม่ค่อยดีแล้วเช่นกัน

“คุณช่วยไปตรวจดูอาการของโควสันหน่อยว่าเป็นอะไรมากไหม!”

ซู่เจินหันไปพูดกับเมย์ หลังจากนั้นเขาก็โบกมือของเขา ทันใดนั้นก็มีเชือกสองเส้นปรากฏขึ้นมาพร้อมกับพุ่งเข้าไปรัดตัวของนักรบตะขาบทั้งสองคำนั้นเอาไว้ แล้วค่อย ๆ ทำให้พวกเขาลอยขึ้นอย่างช้า ๆ

เมื่อซู่เจินมองไปยังสภาพที่น่าสมเพชของไมเคิล เขาก็พยักหน้าให้เบา ๆ หลังจากนั้นเขาก็ควบคุมให้นักรบตะขาบทั้งสองคนที่ลอยอยู่พุ่งเข้าชนกันเองในอากาศอย่างรุนแรง

ครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง ….

หลังจากที่พุ่งชนกันอยู่หลายครั้งติดต่อกัน ไม่นานนักรบตะขาบทั้งสองคนก็หมดสติไป

เมื่อซู่เจินเห็นว่านักรบตะขาบทั้งสองคนหมดสติไปเรียบร้อยแล้ว เขาก็ค่อย ๆ ลากตัวของนักรบตะขาบทั้งสองคนมาไว้ข้างหน้าของเขาอย่างช้า ๆ

ซู่เจินเอามือของเขาวางไปที่ตัวของนักรบตะขาบทั้งสองคน และเริ่มกลืนกินความสามารถของพวกเขาทันที

ความสามารถของนักรบตะขาบทั้งสองคนถูกซู่เจินกลืนกินหายไปอย่างรวดเร็ว … ซึ่งหลังจากที่ซู่เจินได้กลืนกินไวรัสตะขาบมาสามครั้งติดต่อกันก็ทำให้เขาเริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย

“คุณโอเคไหม?”

โคลสันและคนอื่น ๆ รีบเดินเข้ามาหาซู่เจินและถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง

ซู่เจินส่ายหัวเบา “ไม่เป็นอะไรมาก แต่ผมคงต้องหยุดพักไปสักพักหนึ่ง“

“ถ้าอย่างนั้นคุณกลับไปพักผ่อนเถอะ … เดี๋ยวพวกเราจะอยู่ที่นี่เพื่อหาข้อมูลต่อเอง ไม่แน่ว่าเราอาจจะพบเบาะแสอะไรเพิ่มเติมก็ได้“

โคลสันหันไปพูดกับซู่เจินเบา ๆ หลังจากนั้นเขาก็พาเมย์และไมเคิลเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

ซู่เจินเดินไปที่กล่องสินค้าที่อยู่ข้าง ๆ และนั่งลงพร้อมกับมองไปที่ร่างของนักรบตะขาบทั้งสองคนที่ตายไปแล้ว

“ระบบ! ดูเหมือนว่าร่างกายของฉันมันจะมีอะไรบางอย่างผิดปกติ เพราะปกติแล้วเวลาฉันกลืนกืนความสามารถเข้าไปสามอย่างมันก็ไม่เห็นมันจะมีมีปฏิกิริยารุนแรงแบบนี้ แล้วทำไมตอนนี้ฉันถึงรู้สึกอึดอัดมาก“ ซู่เจินถามระบบขึ้นมาพร้อมกับขมวดคิ้ว

แถมเขายังรู้สึกอีกว่าร่างกายของเขาในตอนนี้มันรู้สึกวูบ ๆ เหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างกำลังชอนไชอยู่ในร่างกายของเขา ทำให้เขารู้สึกขยะแขยงและอึดอัดมาก!

“เดิมที่แล้วไวรัสตะขาบมีพื้นฐานมาจากไวรัสเอ็กซ์ตรีมมิสอีกทีหนึ่ง ทำให้มันมีส่วนผสมบางอย่างที่ต่อต้านกับไวรัสเอ็กซ์ตรีมมิส ซึ่งเจ้าส่วนผสมตัวนี้มันก็ทำให้กระบวนการหลอมรวมภายในร่างกายของโฮสต์ทำงานได้ผิดปกติ และอาการที่โฮสต์เป็นอยู่นี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการที่ว่าโฮสต์จะกลืนกินความสามารถไปมากเท่าไหร่ แต่มันมาจากต้นกำเนิดของไวรัสเอ็กซ์ตรีมมิส และไวรัสตะขาบที่มีส่วนผสมที่แตกต่างกัน! แต่โฮสต์ก็ไม่ต้องเป็นกังวลไป เพราะว่าอีกไม่นานร่างกายของโฮสต์ก็จะปรับสภาพและหลอมรวมไวรัสทั้งสองเข้าด้วยกันโดยอัตโนมัติ“

เมื่อได้ยินคำตอบจากระบบ ซู่เจินก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

ซู่เจินคิดไม่ถึงว่าไวรัสตะขาบจะสามารถหลอมรวมเข้ากับไวรัสเอ็กซ์ตรีมมิสได้เช่นนี้ ถึงแม้ว่ามันจะมีปัญหาเล็กน้อยตอนหลอมรวม แต่ถ้าเกิดว่ามันหลอมรวมสำเร็จขึ้นมาละก็ …. พลังของมันจะไม่แข็งแกร่งขึ้นอย่างมหาศาลเลยงั้นหรอ ?

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ซู่เจินก็เริ่มรู้สึกว่าหัวของเขาหนักขึ้นเล็กน้อย และตาของเขาก็เริ่มที่จะหลับลง ทำให้เขาต้องกระเสือกกระสนลุกขึ้นมาและเดินออกไปจากโรงงานอย่างรวดเร็ว เพราะว่าตอนนี้โควสันก็ไม่น่าจะมีอันตรายอะไรมากนัก แถมที่นี่ก็หมดประโยชน์กับซู่เจินแล้วเช่นกัน

และถ้าเกิดว่าซู่เจินเป็นลมหมดสติอยู่ที่นี่ มันคงจะน่าอายมากอย่างแน่นอน

หลังจากที่ซู่เจินเดินออกมาจากโรงงาน สภาพของเขาก็ค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่าลมเย็น ๆ ที่พัดอยู่ด้านนอก

แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความง่วงที่มาจากการหลอมรวมไวรัสของเขาหายไปเลยแม้แต่น้อย

“ผมมีสิ่งที่ต้องทำด่วนมาก … ดังนั้นผมขอตัวก่อน“

ซู่เจินพูดอะไรบางอย่างขึ้นมากับวิทยุสื่อสาร หลังจากนั้นเขาก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว โดยที่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขากำลังบินไปที่ไหน ก่อนที่เขาจะเจอเข้ากับโรงแรมที่อยู่บริใกล้เคียง เขาร่อนลงอย่างรวดเร็วและเดินไปเข้าไปในโรงแรมทันที

หลังจากที่ซู่เจินเปิดห้องเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินไปที่ห้องแล้วนอนลงบนเตียงทันที จากนั้นเขาก็ … หมดสติไปอย่างรวดเร็ว

ซู่เจินรู้สึกเหมือนว่าเขาในตอนนี้กำลังอยู่ในห้วงแห่งความฝัน ในขณะที่ร่างกายของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง และเขาก็เริ่มรู้สึกถึงพลังอันแข็งแกร่งที่อยู่ภายในร่างกายของเขา! ซึ่งซู่เจินก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเวลามันผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว … เขาค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ

ในขณะที่ข้างนอกนั้นเป็นเวลาตอนกลางคืนเรียบร้อยแล้ว

ทำให้ห้องนอนของซู่เจินนั้นมืดลงเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและเดินไปเปิดไฟพร้อมกับมองไปที่โทรศัพท์ของเขา ซึ่งเขาก็เห็นว่าตอนนี้มันเป็นเวลาสามทุ่ม นั่นก็หมายความว่าเขานอนหมดสติไปประมาณหกถึงเจ็ดชั่วโมงเลยที่เดียว แถมเขายังรู้สึกได้อีกว่าร่างกายของเขาในตอนนี้มันแข็งแกร่งขึ้นอย่างมหาศาล และเมื่อเขาลองใช้พลังของเขาออกมา มันก็ทำให้ภายในห้องเต็มไปด้วยคลื่นความร้อนทันที!

เมื่อซู่เจินมองไปที่ตู้ไม้ที่วางอยู่ข้างเตียง เขาก็พบเข้ากับรอยเผาไหม้จากคลื่นความร้อนได้อย่างชัดเจน

“ดูเหมือนว่าพลังมันจะแข็งแกร่งขึ้นประมาณสองถึงสามเท่า!”

ซู่เจินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นเขาก็ตรวจเช็คบันทึกการโทรของเขาทันที

มีสายของสกาย และโควสันติดต่อมาหลายสายมาก

ทำให้ซู่เจินคิดได้ทันทีเลยว่าพวกเขาน่าจะมีปัญหาอย่างแน่นอน

“คุณอยู่ที่ไหน?”

ซู่เจินรีบโทรไปหาสกายอย่างรวดเร็ว ซึ่งเสียงของสกายที่ตอบกลับซู่เจินมานั้นค่อนข้างกังวลเล็กน้อย

“คุณอยู่ที่ไหน ? ตอนนี้เราเจอปัญหาแล้ว!”

“โอเค! เดี๋ยวผมจะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้เลย“

เมื่อซู่เจินได้ยินน้ำเสียงของสกายเขาก็รู้ได้ทันทีเลยว่าสถานการณ์ตอนนี้มันรุนแรงมากแค่ไหน เขารีบเปิดหน้าต่างของโรงแรมและบินออกไปทันที

เมื่อซู่เจินกลับมาถึงยานบิน เขาก็เห็นว่าเมย์ , สกาย , เจมมา และซิทซ์ กำลังมีสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดเล็กน้อย

“ซู่เจิน! ตอนนี้โควสันถูกพวกนักรบตะขาบจับตัวไป ส่วนไมเคิลก็อาจจะ … ตายไปแล้ว“ เมื่อสกายเห็นว่าซู่เจินเดินทางมาถึงแล้วเธอก็พูดขึ้นมาเบา ๆ

“มันเกิดขึ้นแล้ว … “

ซู่เจินถอนหายใจออกมาเบา ๆ ภายในจิตใจของเขา และไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป

เพราะซู่เจินรู้อยู่แล้วว่าโควสันถูกจับตัวไปไว้ที่ไหน และเขาก็รู้ด้วยว่าทำไมโควสันถึง ‘ฟื้นคืนชีพ’ ขึ้นมาได้หลังจากที่ถูกโลกิฆ่าตายที่นิวยอร์ก ส่วนไมเคิลแน่นอนว่าเขายังไม่ตาย แต่จะถูกดัดแปลงให้กลายเป็นนักรบแห่งความตายโดยองค์กรนักรบตะขาบและแม้ว่าเหตุการณ์มันจะผิดแปลกไปจากที่ซู่เจินรู้มาบ้างเล็กน้อย แต่สุดท้ายมันก็ลงเอยเช่นเดิมอยู่ดี

“ไม่ต้องกังวล ตอนนี้พวกเขายังปลอดภัยดี!” ซู่เจินพูดขึ้นมา

“คุณพูดจริงใช่ไหม ?” สกายถามขึ้นมาทันที

ซู่เจินพยักหน้าเบา ๆ พร้อมกับชี้ไปที่หัวของเขาและพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “แน่นอน! เพราะว่าผมสามารถมองเห็นมันได้ชัดเจนเลยล่ะ!”

เมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งที่ซู่เจินพูด พวกเขาก็นึกขึ้นมาได้ทันทีเลยว่าซู่เจินมีความสามารถในการทำนายอนาคตอยู่ … ทำให้พวกเขาทุกคนในตอนนี้รู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูกและค่อย ๆ ผ่อนคลายความตึงเครียดลง

โคลสันอธิบายภารกิจให้กับซู่เจินฟังอย่างละเอียดว่า พวกเขาจะต้องบุกเข้าไปในคุกของรัฐบาลกลาง เพื่อช่วยเหลืออดีตนายพล เอดิสัน โบ ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการวางกลยุทธ์ และนักรบตะขาบทั้งสามคนออกมาให้ได้ภายในเวลาสองหน้าที

ทำให้ซู่เจินในตอนนี้เกิดความสนใจขึ้นมาเล็กน้อยเกี่ยวกับฐานของนักรบตะขาบที่พวกเขากำลังจะเข้าไป ถึงแม้ว่ามันจะถูกทำลายไปแล้วก็ตาม แต่มันก็ไม่ค่อยจำเป็นสักเท่าไหร่ในตอนนี้ เพราะว่าพวกเขาพบวิธีอื่นที่จะทำให้ไวรัสตะขาบเสถียรได้แล้ว!

“คุณสามารถมองหาเขาได้ไหมว่าอยู่ที่ไหน ?”

หลังจากโคลสันพูดจบ เขาก็หันไปถามกับซู่เจินอย่างกระทันหัน

โควสันยืนรอคอยอย่างใจจดใจจ่อโดยหวังว่าความสามารถในการทำนายอนาคตของซู่เจินจะสามารถหาเบาะแสเกี่ยวกับตัวของพวกเขาได้

“แคลิฟอร์เนีย , ออกแลนด์!”

ซู่เจินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวขึ้นมา

โคลสันรู้สึกดีใจมากและรีบถามต่อว่า “แล้วเขาอยู่ตรงไหนของออกแลนด์ ? “

“น่าจะเป็นโรงงานร้างที่ไหนสักแห่งหนึ่ง … นอกเหนือจากนี้ผมไม่รู้แล้ว“

“มันเพียงพอแล้ว!”

แม้ว่าโคลสันจะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เขาก็ได้ล็อกตำแหน่งคราว ๆ ตามที่ซู่เจินบอกเอาไว้แล้ว ซึ่งมันก็ดีกว่าการที่เขาจะต้องมาเริ่มสืบหาตั้งแต่ 0 เป็นไหน ๆ ไม่งั้นเขาคงไม่รู้ว่ามันจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะหาข้อมูลแบบที่ซู่เจินบอกมาได้!

พวกเขาลุกขึ้นแล้วออกไปทำหน้าที่ของตัวเองกันทันที โดยที่ไม่ต้องรอให้โควสันสั่ง ซึ่งพวกเขาก็เริ่มหาจากสถานที่เฉพาะที่ซู่เจินได้เอาไว้ก่อนเป็นอันดับแรก

“คุณ … คุณรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?”

ดูเหมือนว่าไมเคิลจะปรับตัวเข้ากับเหตุการณ์ตรงหน้าของเขาได้ไม่ทัน ซึ่งในขณะที่คนอื่นกำลังยุ่งกันอยู่ ไมเคิลก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปยืนอยู่ข้าง ๆ ซู่เจินอย่างรวดเร็ว

“มันก็แค่การทำนายอนาคต … เชื่อถือไม่ค่อยได้!!” ซู่เจินพูดขึ้นมาเบา ๆ

“แล้วความสามารถนี้ของคุณมันเกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ หรือว่าเป็น … เหมือนฉัน?” ไมเคิลถามขึ้นมาอย่างสงสัย

“เดี๋ยวคุณไปถามกับพวกเขาในภายหลัง เพราะว่าพวกเขาจะเป็นคนบอกคุณเอง!”

ซู่เจินไม่ได้พูดอธิบายอะไรออกมา เขามองไปที่ไมเคิลแล้วถามว่า “คุณอยากเป็นฮีโร่มาโดยตลอดเลยใช่ไหม ? “

“ใช่! เพราะว่าตอนที่ฉันได้ความสามารถนี้มา ฉันก็หวังว่าจะเป็นฮีโร่ที่ค่อยช่วยเหลือคนอื่น ๆ แถมลูกชายของฉันก็ยังชื่นชอบซูเปอร์ฮีโร่ด้วยดังนั้นฉันจึงอยากเป็นฮีโร่!” ไมเคิลพูดขึ้นมาด้วยความสุขเมื่อเขาพูดถึงเกี่ยวกับลูกชายของเขา

“แล้วถ้าผมบอกว่าการเป็นฮีโร่นั้นจะทำให้คุณต้องเสียเงินจำนวนมหาศาลและคุณยังจะต้องสูญเสียสิ่งอื่น ๆ นอกจากเงินอีกด้วย เช่น … แขนขาของคุณ ? ” ซู่เจินถามขึ้นมาเบา ๆ

ไมเคิลขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย ราวกับว่าเขากำลังคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ซู่เจินพูดอยู่ หลังจากนั้นเขาก็ส่ายหัวเบา ๆ และพูดว่า “ฉันไม่รู้“

ซู่เจินยักไหล่เบา ๆ และไม่ได้ถามอะไรต่อ

“เจอแล้ว!“

ทันใดนั้นสกายก็ตะโกนพร้อมกับภาพที่ปรากฏขึ้นบนจอโฮโลแกรม ซึ่งมันก็คือภาพโรงงานร้าง

“หลังจากตรวจสอบบริเวณรอบ ๆ แล้ว ฉันมั่นใจว่าเขาน่าจะอยู่ที่นี่!“

“เอาล่ะ! ไปเตรียมตัวกันให้พร้อม!”

“ไมเคิล ผมทำชุดออกรบมาให้กับคุณ และหวังว่า …. คุณจะชอบมัน!” ฟิทซ์หันไปพูดกับไมเคิล

ไมเคิลพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น โดยที่มีซู่เจินกำลังยืนมองอยู่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น

เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงห้องทดลอง ฟิทซ์ก็หยิบชุดออกรบสีดำออกมา

ไมเคิลรับชุดนั้นมาจากฟิทซ์ด้วยความตื่นเต้น

สำหรับฮีโร่แล้วชุดของพวกเขาก็เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ที่แสดงถึงตัวตนของพวกเขาได้เป็นอย่างดี ซึ่งไมเคิลที่ใฝ่ฝันอยากเป็นฮีโร่มาโดยตลอด ในตอนนี้เขาก็ทำมันได้สำเร็จแล้ว หลังจากที่เขาเปลี่ยนชุดอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินออกมาแสดงตัวให้ทุกคนเห็นทันที

“คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง?” ฟิทซ์ถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“รู้สึกดีมาก! แถมมันยังให้ความรู้สึกที่สบายใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อฉันสวมใส่มันอยู่“

“ชุดนี้ของคุณสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย และมันยังสามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต ระดับน้ำตาลในเลือด และสภาพร่างกายของคุณได้อย่างแม่นยำ และสิ่งสุดท้ายที่ขาดไปไม่ได้นั่นก็คือระบบป้องกันการโจมตีจากกระสุนปืนที่ทันสมัยที่สุดในตอนนี้ “ ฟิทซ์อธิบายขึ้นมาอย่างช้า ๆ

“ขอบคุณ!“

ไมเคิลพูดขอบคุณขึ้นมาด้วยความจริงใจ

“คุณคิดว่าไง ? ต้องการชุดออกรบไหม ? “ ฟิทซ์หันหน้าไปถามกับซู่เจิน

ซู่เจินไม่ได้ตอบออกมา ทันใดนั้นก็มีชุดปรากฏขึ้นมาบนร่างกายของซู่เจินอย่างรวดเร็ว

“เอ่อ … ถือซะว่าเมื่อกี้ผมไม่ได้พูดก็แล้วกัน“

เมื่อไมเคิลเห็นเสื้อผ้าของซู่เจิน แล้วลองมองไปที่เสื้อผ้าของเขา เขาก็เลือกที่จะหุบปากอย่างชาญฉลาดทันที

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องของฟังชั่นว่าของใครดีกว่า เพราะว่ามันสามารถดูออกตั้งแต่รูปร่างของชุดแล้ว

โดยชุดของไมเคิลนั้นดูเหมือนชุดของพวกศาลเตี้ยเกรดสาม ในขณะที่ชุดของซู่เจินนั้น … ดูเหมือนชุดของซูเปอร์ฮีโร่ระดับคอสมิค ซึ่งมันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง!

“อย่างไรก็ตามการทำงานของชุดนี้มันก็ดีมาก ดังนั้นคุณช่วยสร้างชุดแบบนี้ให้ผมสักสองสามชุดได้ไหม ? แต่ว่าขอให้มันมีรูปร่างคล้าย ๆ กับชุดของผมนะ!” ซู่เจินถามขึ้นมา

“ไม่มีปัญหา!” ฟิตซ์ตอบตกลงด้วยความยินดี!

“แน่นอนว่าพวกเราเคยทำลายโรงงานของพวกเขามาก่อน แต่พวกเขาก็สร้างขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว ดังนั้นคราวนี้พวกเราจะต้องหาข้อมูลที่มีประโยชน์มากที่สุด ดังนั้นเราจะต้องแอบเข้าไปอย่างเงียบ ๆ เมย์ , ซู่เจิน พวกคุณไปเข้าจากทางทิศตะวันตก ส่วนฉันและไมเคิลจะไปเข้าทางท่าเรือ ” โควสันพูดอธิบายแผนการอย่างคราว ๆ ให้กับพวกเขาฟัง โดยมีไมเคิลที่ยืนถือคอมพิวเตอร์ที่ฉายแผนผังของโรงงานแห่งนี้อยู่ข้าง ๆ

หลังจากที่จดจำสถานที่ได้แล้ว พวกเขาก็เริ่มลงมือกันทันที

ซู่เจินและเมย์เดินเข้าไปในโรงงานทางประตูทิศตะวันตก เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปด้านในพวกเขาก็พบกับกล่องสินค้ามากมาย แต่ภายในกล่องสินค้านั้นเต็มไปด้วยความว่างเปล่า … หลังจากที่ซู่เจินตรวจเช็ครอบ ๆ เสร็จแล้วเขาก็หันไปพูดกับเมย์ว่า “ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาสายเกินไป“

ในขณะเดียวกันทางด้านของโควสันและไมเคิลในตอนนี้กำลังเผชิญหน้ากับนักรบตะขาบอยู่ และไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มต่อสู้กันทันที

“ไปกันเถอะ!“

ซู่เจินตะโกนบอกกับเมย์และรีบไปสนับสนุนโควสันอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่พวกเขาเดินไปได้เพียงแค่สองก้าว ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นพร้อมกับประตูของห้องเก็บสินค้าที่ถูกเปิดออกอย่างรุนแรง และค่อย ๆ มีนักรบตะขาบเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ

“เอาล่ะ เรามา…“ ซู่เจินยักไหล่เบา ๆ และกำลังที่จะลงมือ

ทันใดนั้นเมย์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาก็พุ่งเข้าไปโจมตีนักรบตะขาบคนนั้นทันที ซึ่งเขาต้องบอกก่อนเลยว่าทักษะการต่อสู้ระยะประชิดของเมย์นั้นแข็งแกร่งมาก เธอสมควรถูกเรียกได้ว่าเป็น เครื่องจักรสังหาร! อย่างไรก็ตามแม้ว่าการโจมตีของเมย์จะเฉียบคม แต่มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะจัดการกับนักรบตะขาบได้ แม้ว่าเธอจะลงมืออย่างสุดแรงมันก็ไม่ได้ทำให้นักรบตะขาบขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย

สิ่งนี้ทำให้เมย์ถึงกับตกตะลึงและคาดไม่ถึง ในขณะเดียวกันนักรบตะขาบก็คว้าไปที่แขนของเมย์อย่างรวดเร็วพร้อมกับต่อยไปที่เธออย่างรุนแรง เมย์พยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลัง แต่มันก็ไม่ได้ผลทำให้เธอหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว!

ตูม!

ตึง!

จู่ ๆ ก็มีเสียงกระแทกเข้ากับกล่องสินค้าดังขึ้นอย่างรุนแรง

เมย์ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ ทำให้เธอพบเข้ากับกำปั้นสีเขียวขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่ตรงหน้าของเธอ ทำให้เธอรีบหันหน้าไปมองที่ซู่เจินอย่างรวดเร็ว

“ขอบคุณ!” เมย์พูดขึ้นมาเบา ๆ

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาพร้อมกับส่ายหัวเบา ๆ และค่อย ๆ เดินเข้าไปหานักรบตะขาบอย่างช้า ๆ

“ดูเหมือนว่าครั้งนี้อุณหภูมิมันน่าจะสูงกว่าครั้งที่แล้ว! “

ซู่เจินรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิที่แขนของเขา และเห็นได้ชัดว่าไม่เพียงแต่อุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่มันยังทำให้อุณหภูมิมันสูงขึ้นไปถึงระดับซูเปอร์โนวาเกือบจะทันทีที่เขารวบรวมพลังทั้งสองเข้าด้วยกัน แถมอุณหภูมิมันยังสูงกว่าตอนที่เขาจัดการกับมาเลคิธในครั้งนั้นอีกด้วย

ความสามารถของลมนี่มันดีจริง ๆ

ซู่เจินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ หลังจากนั้นเขาก็มองสำรวจไปรอบ ๆ

ท้องฟ้าในตอนนี้ถูกย้อมไปด้วยความมืดมิดและหมู่ดาวจำนวนมาก ส่วนเมืองที่อยู่ด้านล่างก็เต็มไปด้วยคนที่กำลังเดินพลุกพล่านเต็มไปหมด และดูเหมือนว่าเวิร์ลวินด์จะมาที่นี่ด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นในตอนนี้เขาควรที่จะรีบหนีไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ก่อนที่แม็กนีโตจะรู้ตัวว่าเวิร์ลวินด์ในตอนนี้ได้ตายไปแล้ว

วิส!

เกิดเสียงการแตกออกของอากาศอย่างรุนแรงดังขึ้นมา พร้อมกับร่างของซู่เจินที่หายไปกับท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างรวดเร็ว

ซู่เจินบินกลับไปที่ฐานของเขาที่เกาะชายฝั่งตะวันตกทันที เมื่อเขามาถึงเขาก็เข้าไปที่ยานบินและเดินไปที่ห้องของเขาอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่ซู่เจินอาบน้ำอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็นอนลงบนเตียงและเริ่มดูดกลืนอนุภาคอีเทอร์ต่อทันที ซึ่งในตอนนี้มันได้กลายเป็นกิจวัตรประจำวันของซู่เจินไปเรียบร้อยแล้ว

ร่างกายของซู่เจินสามารถกลืนพลังงานอะไรก็ได้โดยไม่มีผลข้างเคียง ยกตัวอย่างเช่น ร่างกายของเขาเป็นถังน้ำ และพลังงานก็คือน้ำ ซึ่งถ้าหากในถังมีน้ำมากเกินไปมันก็จะเกิดการล้นออกมา ทำให้ไม่ว่าเขาจะใส่น้ำไปมากเท่าไหร่มันก็ล้นออกมาอยู่ดี ดังนั้น … การกลืนกินอนุภาคอีเทอร์มันก็คล้าย ๆ กัน

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ซู่เจินได้กลืนกินอนุภาคอีเทอร์มาอย่างต่อเนื่อง มันก็ทำให้ถังน้ำของเขาในตอนนี้มันขยายใหญ่ขึ้น และเขาก็เชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไปถังน้ำใบนี้ของเขาจะต้องใหญ่ขึ้นจนสามารถกลืนกินพลังงานของอนุภาคอีเทอร์ได้จนหมดอย่างแน่นอน!

ดังนั้นการที่ซู่เจินกำลังดูดกลืนอนุภาคอีเทอร์อยู่ในตอนนี้สามารถพูดได้ว่า ไม่เพียงแต่เขาจะได้พลังงานของมันเท่านั้น แต่เขายังสามารถขยายถังน้ำของเขาให้ใหญ่ขึ้นอีกด้วย!

สองชั่วโมงต่อมาซู่เจินก็รู้สึกอิ่มตัวจากการดูดกลืนพลังของอนุภาคอีเทอร์ ทำให้เขาหยุดดูดกลืนและนอนพักผ่อนทันที

ค่ำคืนผ่านมาอย่างเงียบ ๆ

ซู่เจินค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ พร้อมกับมองไปที่ใบหน้าอันงดงามและส่วนเว้าโค้งที่สมบูรณ์แบบที่กำลังยืนทักทายเขาอยู่ มันทำให้ซู่เจินรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที!

ซึ่งโดยปกติของผู้ชายแล้วยามเช้าจะเป็นช่วงที่บ้องข้าวหลามมันจะแข็งแรงเป็นพิเศษ และยิ่งมาเห็นภาพแบบนี้อีกมันยิ่งทำให้บ้องข้าวหลามมันแข็งแรงยิ่งกว่าเดิม

บริ๊งค์หันไปมองที่ซู่เจินด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย ทันใดนั้นหางตาของเธอก็สังเกตไปเห็นบ้องข้าวหลามที่นู่นออกมาจากผ้าห่มของซู่เจิน ทำให้ใบหน้าของบริ๊งค์แดงขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับมุมปากที่ยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“คุณคิดว่าฉันมองไม่เห็นมันงั้นหรอ!” บริ๊งค์พูดขึ้นมาในใจอย่างเงียบ ๆ หลังจากนั้นเธอก็พูดขึ้นมากับซู่เจินด้วยรอยยิ้มว่า “บอส! ตื่นได้แล้ว …. อาหารเช้าพร้อมแล้ว“

“วันนี้ฉันรู้สึกมีความสุขมากจริง ๆ แค่ฉันตื่นนอนมาตอนเช้าก็มีคนนำอาหารที่อร่อยขนาดนี้มาให้ แถมคนที่เอามาให้ยังเป็นสาวงามอีก!” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิ

บริ๊งค์หัวเราะขึ้นมาเล็กน้อยและพูดว่า “บอส ในจำนวนผู้หญิงของคุณทั้งหมด ความสวยของฉันไม่สามารถสู้พวกเธอได้หรอกนะ!“

“ใครให้เธอพูดแบบนั้น! เธอก็รู้ว่าผมเป็นคนจีน แม้ว่าคนตะวันตกจะดูดีและน่าดึงดูด แต่คนตะวันออกก็มีความงามที่แตกต่างกันออกไป และผมก็ค่อนข้างคุ้นเคยกับคนที่เป็นชาวตะวันออกแบบขึ้นมากว่า เพราะว่าผมเห็นมันมาตั้งแต่เด็ก ๆ ล่ะนะ!” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

บริ๊งค์ยิ้มขึ้นมาและพูดว่า “งั้นฉันขอตัวไปทำงานก่อน“

“เอาล่ะ! เดี๋ยวอีกสักพักผมจะตามไป“

หลังจากที่บริ๊งค์เดินออกไปแล้ว ซู่เจินก็ไปอาบน้ำแต่งตัวและกินอาหารให้เรียบร้อย และเดินตามบริ๊งค์ไปทันที

เปปเปอร์ในตอนนี้กำลังสวมหมวกนิรภัยพร้อมกับดูแลงานภายในเขตก่อสร้างอย่างขยันขันแข็ง และดูเหมือนว่าเธอจะทำได้ดีเลยทีเดียว ซู่เจินเดินเข้าไปทักทายเธอสักสองสามคำโดยบอกกับเธอว่า ให้เธอทำตัวชินกับที่นี่ให้เร็ว ๆ และมาเข้าร่วมทีมของเขา …

หลังจากที่ช่วงเช้าอันแสนวุ่นวายผ่านไป ในตอนนี้ซู่เจินกำลังนั่งพักผ่อนอยู่ จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

เมื่อเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นสกายที่โทรมา ทำให้ซู่เจินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

“ที่รักคุณคิดถึงผมไหม ?”

หลังจากกดรับโทรศัพท์ ซู่เจินก็ถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้มทันที

“แน่นอนสิ! แล้วตอนนี้คุณกลับมาฉันได้ไหม? “ สกายพูดขึ้นมา

“ตอนนี้ ? ถ้าเกิดว่าคุณไม่รีบ คุณช่วยรอผมหน่อยได้ไหม เพราะว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ฐานและกำลังช่วยงานอยู่ ซึ่งผมก็เลิกงานประมาณช่วงมืด ๆ ดังนั้นผมจะรีบกลับไปหาคุณโดยเร็วที่สุด แล้วเราจะออกไปหาอะไรกินด้วยกัน ได้ไหม? ” ซู่เจินพูดขึ้นมาเบา ๆ

“ฉันกลัวว่ามันจะไม่ได้น่ะสิ เพราะว่าตอนนี้ฉันกำลังมีภารกิจที่ค่อนข้างจะยุ่งยาก ดังนั้นโควสันก็เลยบอกให้ฉันโทรมาขอความช่วยเหลือจากคุณ! “ สกายอธิบายขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“มีภารกิจงั้นหรอ ? ผมก็คิดว่าคุณจะคิดถึงผมจริง ๆ ซะอีก“ ซู่เจินแกล้งทำเป็นโกรธและพูดออกมาด้วยความไม่พอใจ

เมื่อสกายได้ยินซู่เจินพูดเช่นนั้น เธอก็รีบอธิบายให้ซู่เจินฟังทันที “แน่นอนว่าฉันก็คิดถึงคุณมากเช่นกัน และฉันก็รู้ด้วยว่าตอนนี้คุณกำลังยุ่งอยู่ ดังนั้นฉันจึงไม่อยากรบกวนคุณ!”

“ผมแค่แกล้งคุณเล่นเฉย ๆ เอาล่ะ! เดี๋ยวผมจะไปหาคุณเดี๋ยวนี้เลย!”

ซู่เจินกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม … หลังจากที่เขาวางสายจากสกายแล้ว เขาก็เดินไปหาบริ๊งค์แล้วบอกกับเธอว่าเขากำลังจะออกไปทำธุร หลังจากนั้นเขาก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว

โดยที่มีสายตาของคนงานที่อยู่รอบ ๆ มองไปที่ซู่เจินราวกับว่าเขาเป็นมนุษย์ต่างดาว

เมื่อซู่เจินบินมาถึงยานบินของ SHIELD เขาก็เจอกับสกายที่กำลังยืนรอเขาอยู่ เขาค่อย ๆ ร่อนตัวลงพื้นอย่างช้า ๆ และหลังจากที่ขาของเขาแตะพื้นซู่เจินก็ยื่นมือออกไปหาสกายอย่างรวดเร็ว ซึ่งเมื่อสกายเห็นเช่นนั้นเธอก็กระโดดเข้าสู่อ้อมแขนของซู่เจินอย่างรวดเร็ว หลังจากที่พวกเขายืนจูบกันอย่างดูดดื่มจนหายคิดถึงแล้ว พวกเขาก็พากันเดินไปที่ห้องประชุมทันที

ซึ่งในห้องประชุมในตอนนี้ได้มี โคลสัน , เมย์ , เจมมา , ฟิทซ์ ที่กำลังนั่งรออยู่ภายในห้องประชุม ซึ่งนอกจากพวกเขาทั้ง 4 คนแล้วยังมีอีกคนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่นั่นก็คือ

ไมเคิล!

เขาเป็นคนที่โดนฉีดไวรัสตะขาบเข้าสู่ร่างกายและได้ซู่เจินช่วยเอาไว้ก่อนที่ร่างกายของเขาจะระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ แถมตอนนั้นก็ยังเป็นตอนที่สกายเพิ่งเข้าร่วมกับ SHIELD ใหม่ ๆ ซึ่งมันก็เป็นภารกิจแรกที่ทำให้เธอเกือบที่จะได้รับบาจเจ็บอย่างรุนแรง ทำให้ซู่เจินในตอนนั้นต้องจัดการกับชายคนนี้แล้วส่งตัวให้กับ SHIELD และหลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้สนเรื่องที่เกี่ยวกับชายคนนี้อีกเลย

ซึ่งไมเคิลคนนี้ในอนาคตเขาจะกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว จนคนเรียกเขาว่า …

เดทล็อค!

แน่นอนว่าตอนนี้เขายังไม่ได้เป็นเดทล็อค แต่เป็นเพียงแค่ซูเปอร์ทหารมือใหม่ที่สามารถรักษาเสถียรภาพของไวรัสตะขาบได้ และมีเป้าหมายมุ่งเป้าไปที่กัปตันอเมริกา

“คุณจำผมได้ไหม?”

ซู่เจินพยักหน้าให้กับคนอื่นเบา ๆ แล้วหันไปถามกับไมเคิลด้วยรอยยิ้ม

ไมเคิลก็ยิ้มขึ้นมาเช่นกันพร้อมกับพยักหน้าให้ซู่เจินและพูดว่า “แน่นอนสิ! ถ้าเกิดว่าตอนนั้นฉันไม่ได้คุณช่วยชีวิตเอาไว้ ป่านนี้ฉันคงตายไปแล้ว … และนอกจากนี้ฉันยังอยากขอโทษคุณด้วย เรื่องที่ฉันไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ในตอนนั้นแล้วเกือบทำให้สกายได้รับบาดเจ็บ!”

“ไม่ต้องขอโทษผมหรอก .. คุณควรที่จะดีใจด้วยซ้ำที่ผมสามารถช่วยชีวิตคุณไว้ได้ทัน“ ซู่เจินกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

ถ้าเกิดว่าไมเคิลในตอนนั้นได้เผลอทำร้ายสกายขึ้นมาล่ะก็ เขาก็คงฆ่าไมเคิลทิ้งอย่างไม่ลังเลแน่นอน แม้ว่าในอนาคตเขาจะกลายเป็นเดทล็อคก็ตาม!

“เอาล่ะ! ฉันขอบอกไว้ตรงนี้ก่อนเลยว่าภารกิจในครั้งนี้มันค่อนข้างยุ่งยากและไม่ง่ายเหมือนครั้งก่อน ๆ อย่างแน่นอน!“ โคลสันปรบมือขึ้นมาเบา ๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนที่อยู่ภายในห้องประชุม และเขาก็ค่อย ๆ เริ่มอธิบายเกี่ยวกับภารกิจในครั้งนี้ทันที

ซึ่งก่อนที่ซู่เจินจะมาถึงที่นี่ คนอื่น ๆ ก็ได้ทราบคร่าว ๆ แล้วว่าเป้าหมายของภารกิจในครั้งนี้คืออะไร แล้วทำไมถึงต้องเรียกตัวของไมเคิลมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมภารกิจด้วย และแน่นอนว่าในตอนนี้มีเพียงแค่ซู่เจินเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับภารกิจในครั้งนี้เท่าไหร่ …. และนี่ก็คือสิ่งที่โควสันและคนอื่น ๆ กำลังคิดอยู่ในหัวของพวกเขา

โดยความเป็นจริงแล้วแม้ว่าซู่เจินจะไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับภารกิจในครั้งนี้ แต่ถึงอย่างงั้นเขาก็รู้เรื่องต่าง ๆ มากกว่าโควสันและคนอื่น ๆ อยู่ดี

••••••••••••••••••••••••
*** ขอแก้ชื่อจาก เหมย > เมย์ นะครับ ***

เวิร์ลวินด์ถูกโจมตีเข้าที่หัวอย่างรุนแรง ทำให้เขาเป็นลมหมดสติไปทันที พร้อมกับพายุทอร์นาโดขนาดเล็กที่ค่อย ๆ หายไป กับร่างของเขาที่กำลังร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า

ทันใดนั้นก็มีเชือกสีเขียวเข้มมาพันรอบ ๆ ตัวของเวิร์ลวินด์เอาไว้ และดึงตัวของเขาไปทันที

แรงรัดและแรงกระชากของเชือกค่อย ๆ ทำให้เวิร์ลวินด์ได้สติขี้นมา ทันใดนั้นร่างกายของเวิร์ลวินด์ก็กลายเป็นพายุทอร์นาโดขนาดเล็กอีกครั้งหนึ่ง และพยายามที่จะสะบัดเชือกที่รัดตัวของเขาอยู่ให้หลุด แต่อย่างไรก็ตามเชือกเส้นนี้ก็ถูกสร้างขึ้นมาจากพลังงานของแหวนอีเทอร์ มันจะถูกทำลายได้อย่างง่าย ๆ ได้ยังไงจริงไหม ?

ในขณะเดียวกันร่างกายของเวิร์ลวินด์ก็เริ่มเข้าใกล้ตัวของซู่เจินอย่างรวดเร็ว

ซึ่งเวิร์ลวินด์สังเกตเห็นว่ามือของซู่เจินในตอนนี้กำลังลุกโชนเต็มไปด้วยเปลวเพลิงอันร้อนแรง ที่กำลังขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ

“ไม่ … ฟังฉันก่อน … “ เวิร์ลวินด์ตะโกนขึ้นมาเพื่อขอความเมตตาจากซู่เจิน

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาอย่างเย็นชา และต่อยไปที่เวิร์ลวินด์ทันที

ตูม!

หมัดเพลิงของซู่เจินกระแทกเข้ากับใบหน้าของเวิร์ลวินด์อย่างรุนแรง ทำให้ใบหน้าของเขาบุบเข้าไปพร้อมกับหมัดซู่เจิน และร่างกายของเวิร์ลวินด์ก็กระเด็นออกไปอย่างรวดเร็ว

ทำให้เลือดของเวิร์ลวินด์สาดกระเด็นกลายเป็นสายรุ้งสีแดงในอากาศอย่างสวยงาม

ซู่เจินใช้มือซ้ายของเขาควบคุมเชือกเพื่อดึงร่างกายของเวิร์ลวินด์ให้กลับมาพร้อมกับชกไปที่ใบหน้าของเขาอย่างต่อเนื่องซ้ำไปซ้ำมา

ตูม!

ตูม!

ตูม!

ทำให้เวิร์ลวินด์ในตอนนี้มีสภาพที่อนาถและน่าสงสารเป็นอย่างมาก แม้ว่าเขาจะพยายามดิ้นรนขัดขืนอย่างสุดกำลัง แต่เมื่อเขาถูกซู่เจินต่อยไปสองสามครั้งเขาก็หมดเรี่ยวแรงทันที

เมื่อซู่เจินเห็นว่าเวิร์ลวินด์หมดเรี่ยวแรงที่จะตอบโต้แล้ว เขาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเชือกให้กลายเป็นฝ่ามือขนาดใหญ่จับไปที่ตัวของเวิร์ลวินด์และดึงตัวของเวิร์ลวินด์มาวางไว้ตรงหน้าของเขา

เมื่อซู่เจินเห็นเวิร์ลวินด์ที่มีสภาพอนาถและใกล้ตาย เขาก็พูดขึ้นมาอย่างช้า ๆ ว่า “คุณต้องการพูดอะไรใหม ? เพราะว่าตอนนี้ผมอนุญาตให้คุณพูดได้แล้ว!”

“จะให้มาพูดตอนนี้เพื่อ!“ เวิร์ลวินด์อดไม่ได้ที่จะคำรามขึ้นมาอย่างโกรธแค้นภายในใจของเขาอย่างเงียบ ๆ

“ในเมื่อให้พูดแล้วไม่ยอมพูด งั้นก็ตายไปซะ! “ ซู่เจินยกยิ้มที่มุมปากเขา และค่อย ๆ รวบรวมอนุภาคอีเทอร์ให้กลายเป็นหัวหอกอันแหลมคมสีดำที่ค่อย ๆ ยืดออกไปที่หัวของเวิร์ลวินด์อย่างรวดเร็ว

“เดี๋ยวก่อน! … ฉันมีอะไรจะบอกคุณ“

เวิร์ลวินด์รีบตะโกนขึ้นมาด้วยความตกใจ

“แม็กนีโตเป็นคนส่งฉันมา!“

หัวหอกสีดำหยุดอยู่ตรงที่หน้าผากของเวิร์ลวินด์ทันที ซึ่งมันห่างจากหน้าผากของเวิร์ลวินด์เพียงแค่มิลเดียวเท่านั้น และเขายังรู้สึกอีกว่าถ้าเกิดว่าเขาขยับตัวหรือตุกติกอะไรเล็กน้อย เจ้าหัวหอกสีดำอันนี้มันจะพุ่งทะลุหัวของเขาอย่างรวดเร็วแน่นอน

เวิร์ลวินด์กลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัวและพูดขึ้นมาอีกครั้งว่า “แม็กนีโตส่งฉันมาจัดการคุณ“

“แม็กนีโต?” ซู่เจินพึมพำขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับแววตาของเขาที่ค่อย ๆ มืดลงในทันที ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของซู่เจินก็ทำให้เวิร์ลวินด์รู้สึกประหลาดใจและสับสนเล็กน้อย

“คุณเป็นคนของบราเธอร์ฮูดออฟมิวแทนต์งั้นหรอ ? แม็กนีโตถึงได้ส่งคุณมาจัดการกับผม ? “

“ใช่! ฉันเพิ่งเข้าร่วมกับบราเธอร์ฮูดออฟมิวแทนต์ได้ไม่นาน และแม็กนีโตก็ได้บอกกับฉันว่าคุณได้ฆ่าปีศาจเพลิงจอห์นไป ทำให้เขาส่งฉันมาเพื่อจัดการคุณ โดยมีรางวัลก็คือฉันจะได้เป็นสมาชิกหลักของบราเธอร์ฮูดออฟมิวแทนต์อย่างเต็มตัว และถ้าเกิดว่าฉันทำภารกิจนี้ล้มเหลว ฉันจะต้องตายอย่างแน่นอน ดังนั้นแม็กนีโตจึงได้ฝากข้อความเอาไว้ให้คุณว่า ‘ฉันอยากพูดคุณกับคุณเป็นการส่วนตัว’! “ เวิร์ลวินด์พูดขึ้นมาเบา ๆ

“เขาช่างเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์จริง ๆ!“

เวิร์ลวินด์คนนี้ช่างเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองมากจริง ๆ ทำให้เขาเข้ามาจัดการซู่เจินโดยไม่วางแผนอะไรเลย ซึ่งวิธีดังกล่าวมันเป็นวิธีที่โง่เง่ามาก!

และแน่นอนว่าถ้าหากเวิร์ลวินด์ทำภารกิจนี้สำเสร็จ แม็กนีโตก็จะสามารถล้างแค้นให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาได้ แต่ไม่เพียงแค่เขาจะได้ความภักดีเท่านั้น เขายังมีชื่อเสียงที่ดีขึ้นจากผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาด้วย และถ้าเกิดว่าภารกิจนี้ไม่สำเร็จเขาคงจะโกรธซู่เจินมากอย่างแน่นอน

เวิร์ลวินด์ไม่รู้งั้นหรอว่าเขามีความสามารถในการกลืนกิน หรือว่าแม็กนีโตไม่บอก ? แต่ถึงยังไงเขาก็ไม่ปล่อยให้เวิร์ลวินด์รอดไปง่าย ๆ อย่างแน่นอน เพราะว่าเวิร์ลวินด์ในตอนนี้ก็เปรียบเหมือนอาหารที่กำลังจะถูกเขากลืนกินอย่างช้า ๆ

แต่ว่าจอห์นตายแล้วงั้นหรอ ?

ตอนนั้นจอห์นถูกเขากลืนกินความสามารถไปพร้อมกับร่างกายที่บาจเจ็บ แต่ถึงอย่างงั้นเขาก็ไม่ได้ฆ่าเพราะว่าสกายได้ขอเอาไว้ หรือว่าเขาจะฆ่าตัวตาย ? ไม่ก็บางที …. ซึ่งซู่เจินก็คิดว่ามันมีความเป็นไปได้เหมือนกัน

แน่นอนว่าแม็กนีโตไม่ใช่คนใจดีอย่างที่ใคร ๆ คิดอย่างแน่นอน เขาเป็นคนที่โหดร้ายและโหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างงั้นเขาก็มีหลักการเป็นของตัวเองนั่นก็คือ มีประโยชน์ กับ ไม่มีประโยชน์

เนื่องจากในตอนนั้นจอห์นได้สูญเสียความสามารถของเขาไป ทำให้แม็กนีโตเลิกสนใจในตัวของจอห์นทันที

และถ้าเกิดว่าแม็กนีโตฆ่าจอห์นแล้วโยนความผิดมาให้กับซู่เจิน แม็กนีโตก็จะสามารถใช้เหตุผลอันนี้มาสร้างปัญหาอันใหญ่หลวงให้กับเขาได้

ยิ่งซู่เจินคิดเกี่ยวกับเรื่องมากเท่าไหร่ เขาก็คิดว่ามันมีความเป็นไปได้ค่อนข้างมาก

ซู่เจินเหล่ตาของเขาเล็กน้อย พร้อมกับใช้ความสามารถในการทำนายอนาคตของเขาเพื่อดูเหตุการณ์ล่วงหน้า แต่น่าเสียดายที่ …

“เกิดอะไรขึ้น ? คุณ … คุณกำลังทำอะไรกับฉัน“ จู่ ๆ เวิร์ลวินด์ก็ตะโกนขึ้นมาอย่างตื่นตะหนกด้วยความตกใจ

“แน่นอนว่าพลังของมนุษย์กลายพันธุ์ย่อมแข็งแกร่งมากกว่าพลังที่มาจากตัวยา … และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เธอตื่นขึ้นมา“ ซู่เจินคิดเงียบ ๆ คนเดียวภายในจิตใจ หลังจากนั้นเขาก็หันไปมองที่เวิร์ลวินด์แล้วพูดว่า “ขอบคุณ!“

“ขอบคุณ ? คุณ … คุณจะบอกขอบคุณฉันเพื่อ?” เวิร์ลวินด์รู้สึกมึนงงเล็กน้อยว่าซู่เจินจะขอบคุณเขาทำไม “ทำไม ? เพราะอะไรคุณถึงพูดขอบคุณฉัน“

“เพราะว่าความสามารถของคุณมันสามารถทำให้ความสามารถของผมแข็งแกร่งขึ้นได้ ซึ่งผมก็ไม่คาดคิดมาก่อนเช่นกันว่าคุณจะเอาความสามารถนี้มายื่นให้กับผมด้วยตัวของคุณเอง และตอนนี้ผมจะเอาความสามารถของคุณมา ดังนั้นคนตายคงจะไม่ต้องใช้ความสามารถนี้หรอกมั้ง ? “

ซู่เจินยกยิ้มขึ้นพร้อมกับยื่นมือออกไปทางเวิร์ลวินด์ทันที

“คุณกำลังพูดถึงอะไรกันแน่ ? แล้วทำไมฉันถึงจะต้อง ไม่ … อย่า …. “ เวิร์ลวินด์ตะโกนขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว แต่ถึงอย่างงั้นซู่เจินก็ไม่ได้หยุดมือของเขาเลยแม้แต่น้อย เขาค่อย ๆ วางมือลงบนร่างกายของเวิร์ลวินด์อย่างช้า ๆ และเริ่มกลืนกินความสามารถของเขาทันที

ซึ่งเวิร์ลวินด์ก็พยายามดิ้นรนขัดขืนอย่างสุดกำลัง และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ค่อย ๆ สงบลง

ทันใดนั้นพลังงานของแหวนอีเทอร์ก็ค่อย ๆ หายไป พร้อมกับร่างของเวิร์ลวินด์ที่ตกลงมาทันที

ซู่เจินโบกมือของเขาเบา ๆ ทันใดนั้นก็มีเปลวเพลิงปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เปลวเพลิงปรากฏขึ้นมาแล้ว ก็มีเสียงดังโครมครามของเปลวเพลิงที่กระทบเข้ากับพายุทอร์นาโดอย่างรุนแรงดังขึ้นมา และค่อย ๆ ระเบิดกลายเป็นดอกไม้ไฟเต็มไปทั่วท้องฟ้า และหลังจากนั้นไม่นานเปลวเพลิงและพายุทอร์นาโดก็ค่อย ๆ หายไป … โดยไม่มีร่องรอยหลงเหลือไว้เลยแม้แต่น้อย

“นี่คือความสามารถของลมงั้นหรอ ? ฉันในตอนนี้สามารถควบคุมลมและสร้างลมขึ้นมาได้แล้ว! … มันช่างเป็นความสามารถที่ดีจริง ๆ และถ้าเกิดว่าฉันเอาความสามารถลมอันนี้รวมเข้ากับความสามารถของเปลวเพลิงล่ะก็ มันจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างมหาศาลอย่างแน่นอน!”

ซู่เจินไม่ได้สนใจเวิร์ลวินด์ที่นอนอยู่บนพื้นเลยแม้น้อย เขาในตอนนี้กำลังลองใช้ความสามารถในการสร้างลมของเขาอย่างเงียบ ๆ ด้วยตัวคนเดียว

เยี่ยมมาก!

ความสามารถนี้มันดีกว่าที่เขาคาดหวังเอาไว้มาก

ซู่เจินไม่รู้ว่าเวิร์ลวินด์คิดได้ยังไงถึงได้ใช้ความสามารถของเขาในการสร้างพายุทอร์นาโดไว้ที่ร่างกายส่วนล่างของเขาเพื่อให้เขาบินได้ แม้ว่าเอฟเฟคมันจะดี แต่รูปร่างของมันก็ทุเรศมากเกินไป!

ซู่เจินพยายามเขย่าแขนของเขาเล็กน้อยและไม่นานมันก็เกิดลมขึ้นรอบ ๆ แขนของเขาและรวมตัวกันกลายเป็นพายุทอร์นาโดขนาดเล็ก จากนั้นร่างกายของซู่เจินก็ค่อย ๆ กลายเป็นเปลวเพลิง และหลอมรวมเข้ากับพายุทอร์นาโดขนาดเล็กทันที ทำให้อุณหภูมิเปลวเพลิงของซู่เจินในตอนนี้สูงขึ้นอย่างรวดเร็วในชั่วอึดใจเดียว และไม่นานอุณหภูมิของเปลวเพลิงก็มาถึงระดับของ ซูเปอร์โนวาเรียบร้อยแล้ว!

“ใช่! เมื่อคุณดูดซับความกลัวหนึ่งครั้งและปลดปล่อยมันออกมาหนึ่งครั้ง ไม่เพียงแค่เวทมนต์ทั้งสองมันจะเสริมสร้างซึ่งกันและกัน แต่มันยังจะเพิ่มพลังให้กับคุณอย่างทวีคูณอีกด้วย!” แรนดอล์ฟกล่าวขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

ในฐานะที่เขาเป็นช่างตีเหล็ก แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยชอบอาชีพนี้ของเขาสักเท่าไหร่ แต่เขาก็ยังรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ได้สร้างอาวุธเช่นนี้ขึ้นมา!

“คุณแน่ใจแค่ไหน?”

“อย่างน้อยก็ 70% แน่นอน! “ แรนดอล์ฟพูดขึ้นมาอย่างมั่นใจ

“โอเค! งั้นผมจะทิ้งของเหล่านี้เอาไว้ที่คุณ แล้วมันจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน ? “

“นี่ … มันยากที่จะบอกเล็กน้อย เพราะว่าฉันจะต้องเตรียมตัวก่อนนี่“

แรนดอล์ฟไม่ค่อยแน่ใจในเรื่องนี้มากนัก เพราะว่าเขาก็ไม่ได้เป็นช่างตีเหล็กมานานหลายปีแล้ว!

“งั้นผมจะมาที่นี่อีกทีก็ต่อเมื่อคุณติดต่อมาว่ามันสร้างเสร็จแล้วก็แล้วกัน … แล้วผมจะรู้ได้ยังไงว่าคุณจะไม่ฉวยโอกาสนี้เอาของพวกนี้หนีไป?” ซู่เจินถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม.

แรนดอล์ฟพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มอันบิดเบี้ยว่วา “แม้ว่าฉันจะอยากหนี แต่มันก็หนีไปไหนไม่พ้นอยู่ดี!“

“นั่นเป็นเรื่องที่ยากมากเลยล่ะ!“

ซู่เจินตบไหล่แรนดอล์ฟเบา ๆ และพูดว่า “ผมรู้ว่าคุณไม่ต้องการกลับไปที่แอสการ์ด เพราะว่าคุณชื่นชอบวิถีชีวิตบนโลกเป็นอย่างมาก และตราบใดที่คุณช่วยผมสร้างมีดทั้งสองเล่มขึ้นมาได้ ผมขอรับประกันเลยว่าไม่ว่าจะเป็นแอสการ์ด หรือว่าใครก็ตามก็ไม่สามารถที่จะพาคุณไปไหนได้ ถ้าเกิดว่ายังไม่ได้รับอนุญาตจากผม!”

“ขอบคุณ!“

แน่นอนว่าแรนดอล์ฟเชื่อมั่นในคำพูดของซู่เจินเป็นอย่างมาก เพราะว่าเขาสามารถฆ่ามาเลคิธที่เป็นราชาของเผ่าดาร์กเอลฟ์ได้ หรือแม้กระทั่งอนุภาคอีเทอร์ก็ยังถูกผู้ชายคนนี้ควบคุมเอาไว้ ซึ่งมันก็เป็นระยะเวลาหลายปีแล้วที่เขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและมีความสุข แต่เขาก็มักจะมีความกังวลอยู่ภายในจิตใจอย่างมากมาย และในตอนนี้ … เขาก็สามารถปล่อยวางมันได้สักที

ดังนั้นแทนที่เขาจะตำหนิซู่เจินที่จู่ ๆ ก็มาหาเขาอย่างกระทันหันและให้เขาสร้างอาวุธให้ เขาควรจะขอบคุณซู่เจินซะมากกว่า

หลังจากที่ซู่เจินให้เบอร์ติดต่อไว้กับแรนดอล์ฟเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ออกจากบ้านไปทันที

เขาเชื่อว่าแรนดอล์ฟจะสร้างอาวุธให้กับเขาโดยเร็วที่สุดอย่างแน่นอน

เล่มหนึ่งดูดซับ เล่มหนึ่งปลดปล่อย

ซู่เจินจะตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อเลยล่ะว่า มีดคู่เล่มนี้มันจะแข็งแกร่งแค่ไหนหลังจากที่สร้างเสร็จแล้ว

ในตอนแรกซู่เจินวางแผนไว้ว่าเขาจะดูดซับคริสตัลแห่งความกลัวอันนี้ แต่ในเมื่อมันสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่านั้น มันก็ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะถึงยังไงพลังแห่งความกลัวมันก็อยู่ภายใต้การควบคุมและการใช้งานของเขาอยู่ดี!

การออกมาดื่มในครั้งนี้ เขาได้รับผลประโยชน์มากมายมหาศาลจริง ๆ

ไม่เพียงเขาได้นาตาชาเท่านั้น เขายังได้อาวุธวิเศษอีกด้วย ทำให้เขาในตอนนี้กำลังอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก!

เขาค่อย ๆ บินขึ้นไปบนท้องฟ้า และเพลิดเพลินไปกับความงามของท้องฟ้ายามค่ำคืน ในขณะเดียวกันเขาก็คิดไปด้วยว่าจะทำอะไรต่อไปในอนาคต

ซึ่งเขาก็ไม่ได้คิดอะไรให้มันมากมายนัก เพราะว่าสิ่งที่เขาจะต้องทำในตอนนี้ก็คือสร้างชื่อเสียงและขยายอิทธิพลของเขาให้ได้มากที่สุด และมันก็มีอีกอย่างหนึ่งที่เขาจะต้องรีบคิดเกี่ยวกับมันอย่างรอบคอบ!

นั่นก็คือการคำนวณความสามารถของเขาในตอนนี้

ไวรัสเอ็กซ์ตรีมมิส , ความสามารถในการควบคุมเปลวเพลิง , ความสามารถในการสร้างเปลวเพลิง , การทำนายอนาคต , การติดตาม , พลังจิต , การควบคุมจิตใจ และ คลื่นเสียง เรียกได้ว่าเขามีความสามารถมากมายจริง ๆ

แต่นี่มันก็แค่ความสามารถที่อยู่ภายในร่างกายของเขา และภายนอกล่ะ?

อนุภาคอีเทอร์

แหวนกรีนแลนเทิร์น

หีบแห่งความหนาวเหน็บ [ กล่องน้ำแข็งของยักษ์น้ำแข็ง ]

นอกจากนี้ก็ยังมีอนุภาคแรงโน้มถ่วงอีกอันหนึ่ง

ไม่ว่าจะเป็นความสามารถภายในร่างกายของเขาหรือสิ่งของที่อยู่ภายนอก พวกมันก็ล้วนแข็งแกร่งมาก

อย่างไรก็ตามนี่มันก็แค่เพียงผิวเผินเท่านั้น

เพราะว่าเขายังมีความสามารถอีกหลายอย่างที่มันค่อนข้างจะจืดชืด และไม่ค่อยมีประโยชน์มากนัก ซึ่งโดยปกติแล้วเขาจะใช้ความสามารถเปลวเพลิงและพลังจิตเป็นการโจมตีซะส่วนใหญ่ ส่วนอุปกรณ์ภายนอกที่เขาสามารถใช้ได้ในตอนนี้ก็มีเพียงแค่อนุภาคอีเทอร์และแหวนของกรีนแลนเทิร์น ที่หลอมรวมกันจนเป็น แหวนอีเทอร์

ส่วนกล่องน้ำแข็งเขายังไม่สามารถใช้มันได้ในตอนนี้ อย่างน้อยก็จนกว่าเขาจะออกจากโลกมาเวล มิฉะนั้นโอดินจะรู้อย่างแน่นอนว่าเขาเป็นคนเอามันไป ซึ่งในตอนนี้เขายังไม่อยากเป็นศัตรูกับโอดินและแอสการ์ดสักเท่าไหร่

และอย่างสุดท้ายนั่นก็คืออนุภาคแรงโน้มถ่วง ที่ยังคงไม่มีการตอบสนองเช่นเดิม และไม่มีอะไรพิเศษไปมากกว่านั้น มันก็แค่รอให้เขากลืนกินและกลายเป็นความสามารถอีกหนึ่งอย่างของเขา

ส่วนมืดคู่มันก็น่าจะแข็งแกร่งเช่นกัน แต่ในตอนนี้มันยังไม่เริ่มสร้างเลยด้วยซ้ำ!

ถ้าพูดกันตามความจริงแล้วประสิทธิการต่อสู้ของซู่เจินก็ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แถมเขายังมีทักษะการต่อสู้เพียงอย่างเดียวเท่าทัน

ซึ่งโดยปกติแล้วถ้าเขาเจอกับคนที่อ่อนแอกว่า เขาก็สามารถแก้ปัญหาด้วยความสามารถแค่นี้ได้ แต่ถ้าเกิดว่าเขาเจอกับคนที่แข็งแกร่งกว่าเขาละก็ เขาคงจะทุกข์ทรมาณมากอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างงั้นความสามารถของเขาก็ยังสามารถพัฒนาต่อไปได้เรื่อย ๆ อยู่ดี

แถมตอนนี้เขายังมีดันเจี้ยนอีกหนึ่งแห่งที่ยังไม่ได้เลือก และเขาก็สามารถลบดันเจี้ยนแห่งเก่าทิ้งเพื่อเปิดแห่งใหม่ได้อีก ซึ่งเขาต้องการเลือกโลกในจักรวาล DC ที่มีไทมไลน์และพื้นที่ที่ใกล้เคียงกัน

เขาควรใช้ดันเจี้ยนทั้งสองแห่งนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด!

ในขณะที่ซู่เจินกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับการดันเจี้ยนอยู่ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่วิ่งเข้ามาหาเขาจากระยะไกล และเมื่อเขาหันไปมองเขาก็รู้สึกได้ถึงกระแสลมอันรุนแรงที่กำลังวิ่งเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาล้มลงกับพื้นทันที

“มีคนลอบทำร้ายฉัน!”

ซู่เจินถูกโจมตีเข้าที่ร่างกายของเขาอย่างรุนแรง แต่เขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร เพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็มีการป้องกันจากโล่พลังงานของแหวนกรีนแลนเทิร์นที่ห่อหุ้มร่างกายของเขาอยู่ตลอดเวลา และเมื่อเขาลุกขึ้นได้แล้ว เขาก็บินตามคนที่โจมตีเขาไปอย่างรวดเร็ว

พายุทอร์นาโด!

หรือว่าเขาคือ เวิร์ลวินด์ ?

ซู่เจินมองไปที่พายุทอร์นาโดที่กำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วข้างหน้าของเขา และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็รู้สึกโล่งอก เพราะว่าเขาเห็นคนที่อยู่ข้างในพายุทอร์นาโดอย่างชัดเจน ครึ่งบนเป็นร่างกายกาย ครึ่งล่างเป็นพายุทอร์นาโดขนาดเล็ก ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่า …. พายุทอร์นาโดขนาดเล็กอันนี้เป็นความสามารถพิเศษของเขาอย่างแน่นอน!

“ดูเหมือนว่ามันจะน่าสนใจขึ้นมาเล็กน้อยแล้วสิ!”

จู่ ๆ ซู่เจินก็นึกถึงคน ๆ หนึ่งขึ้นมา เขาเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ที่สามารถสร้างและควบคุมพายุทอร์นาโดได้ และเขาก็เป็นตัวร้ายที่คอยจัดการกับสไปเดอร์แมนและแอนท์แมน … แถมเขายังเก่งในเรื่องการใช้เล่ห์เหลี่ยมอีกด้วย!

แล้วผู้ชายคนนี้หาเขาเจอได้อย่างไร?

ไม่ใช่ว่าเขาเดินทางด้วยตัวคนเดียวงั้นหรอ ? แล้วผู้ชายคนนี้จะมาโจมตีเขาโดยไม่มีเหตุผลทำไม ?

แต่มันก็ไม่สำคัญ เพราะเนื่องจากที่เขากล้าโจมตีซู่เจินโดยตรงแบบนี้ เขาก็น่าจะรู้ถึงผลที่จะตามมา … แต่มันก็ยังไม่สายเกินไปที่จะถามเหตุผลจากเขาก่อน!

ในขณะเดียวกันซู่เจินในตอนนี้กำลังอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก จู่ ๆ เขาก็ถูกโจมตีโดยไม่มีเหตุผล และดูเหมือนว่าเขาจะต้องไปถามเหตุผลจากคนที่โจมตีเขาอย่างช้า ๆ!

“ตูม!“ เสียงแตกของพื้นดังขึ้นมาอย่างรุนแรงพร้อมกับร่างของซู่เจินที่พุ่งเข้าไปด้านหน้าของเวิร์ลวินด์อย่างรวดเร็ว หลังจากที่เขามาถึงด้านหน้าของเวิร์ลวินด์เรียบร้อยแล้ว ซู่เจินก็โบกมือของเขาเบา ๆ ทันใดนั้นก็มีฝ่ามือขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาจากอากาศและคว้าไปทางเวิร์ลวินด์ทันที

ในขณะที่เวิร์ลวินด์กำลังควบคุมพายุทอร์นาโดอยู่ จู่ ๆ เขาก็เห็นว่ามีฝ่ามือขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาอย่างกระทันหันและกำลังคว้าจับมาที่เขา เขาก็เร่งความเร็วและรีบหนีไปทันที

และหลังจากที่เขาหลบหนีออกมาได้แล้ว จู่ ๆ ก็มีบอลเพลิงหลายอันปรากฏขึ้นมาตรงหน้าของเขาอีกครั้งหนึ่ง เขาพยายามเร่งแรงลมเพื่อดับไฟ แต่แทนที่มันจะดับมันก็รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

เขาถึงกับผงะไปครู่หนึ่ง และค่อย ๆ ตั้งสติขึ้นมา ในเมื่อลมของเขาไม่สามารถดับเปลวเพลิงพวกนี้ เขาก็ใช้ความสามารถของเขาเป่าบอลเพลิงพวกนี้ออกไปทันที และในขณะที่เขากำลังจะเคลื่อนตัวหนี ทันใดนั้นก็มีกำปั้นขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าของเขาอย่างรวดเร็ว

“อะไร……“

เกิดเสียงร้องดังขึ้นมาจากในพายุทอร์นาโดอย่างเจ็บปวด พร้อมกับร่างของเวิร์ลวินด์ที่กระเด็นออกไป!

“จะไปไหนกลับมานี่!”

ซู่เจินหัวเราะเยาะด้วยความสะใจ จากนั้นเขาก็เปลี่ยนจากกำปั้นขนาดใหญ่อันนั้นให้กลายเป็นเชือกและยืดออกไปไล่จับเวิร์ลวินด์ทันที

“มันคืออะไร?”

แรนดอล์ฟมองไปที่ซู่เจินด้วยความสงสัย ราวกับว่าเขาไม่เคยรู้จักสิ่งที่ซู่เจินกำลังถืออยู่เลยแม้แต่น้อย

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาเบา ๆ และพูดว่า “ศาสตราจารย์แรนดอล์ฟ ตั้งแต่ที่ผมมาที่นี่และเอาไม้เท้าอันนี้ให้คุณดู คุณก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าผมนั้นรู้ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่แล้ว ผมถึงได้มาหาคุณยังไงล่ะ!”

ศาสตราจารย์แรนดอล์ฟทำท่างลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และถามขึ้นมาพร้อมกับขมวดคิ้วว่า “คุณเป็นใครกันแน่“

“ผมชื่อซู่เจิน และผมก็คิดว่า … พวกเราจะคุยกันก่อนได้ไหม? “

“อืม!”

แรนดอล์ฟตอบขึ้นมาอย่างเฉยเมย เพราะว่าความประหลาดใจและความสงสัยของเขาในตอนนี้ได้หายไปหมดแล้ว หลังจากนั้นเขาก็หันหลังกลับแล้วเดินเข้าไปในห้อง และไม่นานก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากภายในห้อง ซึ่งท่าทางของเธอที่แสดงออกมาในตอนนี้มันเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เธอเหลือบมองไปที่ซู่เจินเล็กน้อย และค่อย ๆ เดินออกจากวิลล่าไป

“ผมขอโทษที่มาขัดจังหวะความสุขของคุณ!“ หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นเดินจากไป ซู่เจินก็หยักไหล่เบา ๆ พร้อมกับพูดขอโทษแรนดอล์ฟออกมา

แรนดอล์ฟจ้องมองไปที่ซู่เจินด้วยความประหลาดใจและถามว่า “คุณ … ไม่ได้รับผลกระทบจากมันงั้นเหรอ?”

แรนดอล์ฟสังเกตเห็นว่าซู่เจินถือไม้เท้าเบอร์เซิร์กเกอร์ได้โดยไม่โดนผลกระทบของมัน ซึ่งโดยปกติแล้วไม่มีใครสามารถทนมันได้ ไม่เว้นแม้แต่ชาวแอสการ์ดก็ตาม ทำให้เขาเริ่มอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับตัวของซู่เจินขึ้นมาเล็กน้อย

“ถ้าเกิดว่าผมไม่สามารถควบคุมมันได้ … ผมคงไม่มาหาคุณหรอก“ ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

แรนดอล์ฟพยักหน้าเบา ๆ และถามว่า “คุณรู้ใช่ไหมว่าฉันเป็นใคร ? แล้วคุณรู้มาจากที่ไหน ?”

“ผมเคยไปที่แอสการ์ดอยู่ครั้งหนึ่ง ซึ่งในตอนนั้นผมก็ได้จัดการกับเหล่าดาร์กเอลฟ์ไปจำนวนมากมาย และคุณก็น่าจะรู้ดีว่ายานบินของดาร์กเอลฟ์มันเป็นของผมอยู่ในตอนนี้!” ซู่เจินพูดขึ้นมาเบา ๆ

ดวงตาของแรนดอล์ฟเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจและความไม่อยากจะเชื่อ “มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าพวกดาร์กเอลฟ์เป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งมาก แถมพวกดาร์กเอลฟ์ก็ชอบอยู่แบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ เว้นแต่ว่าพวกดาร์กเอลฟ์ทั้งหมดจะตายในสนามรบ มิฉะนั้น … คุณก็ไม่สามารถเอายานบินของพวกดาร์กเอลฟ์มาได้อย่างแน่นอน! “

“คุณยังพูดไม่หมด เพราะว่าตอนนี้มาเลคิธได้ถูกผมฆ่าไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้ตอนนี้เหลือดาร์กเอลฟ์เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ซึ่งเขาก็เป็นหนึ่งในลูกน้องของผมอยู่ในตอนนี้!“

“ฉันจะต้องใจเย็น ๆ !“

แรนดอล์ฟเดินไปที่ตู้ไวน์และหยิบไวน์ออกมาพร้อมกับค่อย ๆ รินไวน์ลงในแก้ว เขายื่นให้กับซู่เจินแก้วหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็ดื่มมันอย่างช้า ๆ และพูดขึ้นมาว่า “ดูเหมือนว่าข้อมูลที่ฉันรู้มันจะล้าหลังเกินไปแล้วสินะ …. คุณเป็นตัวอะไรกันแน่ ? เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่มนุษย์โลกธรรมดา ๆ จะสามารถชนะดาร์กเอลฟ์ได้“

“สำหรับผมไม่มีคำว่าเป็นไม่ได้!”

ซู่เจินหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ และค่อย ๆ ควบคุมพลังงานของอนุภาคอีเทอร์ให้มาลอยอยู่ข้าง ๆ ตัวเขา หลังจากนั้นเขาก็รวบรวมอนุภาคอีเทอร์ให้กลายเป็นชุดออกรบและสวมใส่มันเข้ากับร่างกายอย่างรวดเร็ว ภายใต้สายตาอันประหลาดใจของแรนดอล์ฟ

“นี่มันอนุภาคอีเทอร์!“

เมื่อแรนดอล์ฟเห็นอนุภาคอีเทอร์ที่ซู่เจินปล่อยออกมา เขาก็เชื่อในทันทีเลยว่าซู่เจินเป็นคนจัดการกับดาร์กเอลฟ์อย่างแน่นอน

“ในเมื่อคุณมีอนุภาคอีเทอร์อยู่แล้ว ไม้เท้าเบอร์เซิร์กเกอร์ก็ไม่น่าจะมีประโยชน์สำหรับคุณไม่ใช่หรอ ? ทำไมคุณถึงยังมาหาฉันอีกล่ะ เพื่ออะไร? ” แรนดอล์ฟถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

“ถ้าผมจำไม่ผิดคุณน่าจะเคยเป็นช่างตีเหล็กมาก่อน ดังนั้นผมจึงอยากให้คุณช่วยเปลี่ยนไม้เท้าเบอร์เซิร์กเกอร์อันนี้ให้กลายเป็นมีดคู่ให้ผมหน่อย!“ เมื่อซู่เจินพูดจบ เขาก็ใช้พลังของอนุภาคอีเทอร์สร้างลักษณะมีดคร่าว ๆ ให้กับแลนดอล์ฟดู

แรนดอล์ฟถึงกับประหลาดใจว่าซู่เจินรู้จักตัวตนของเขาได้อย่างไร แถมยังรู้อีกว่าเขาเป็นช่างตีเหล็ก เพราะว่าเมื่อก่อนเขาอยู่แบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ มาโดยตลอด แม้แต่แอสการ์ดก็ยังไม่รู้ถึงการมีอยู่ของเขา และคิดว่าเขานั้นได้ตายไปแล้ว

“ถ้าเกิดว่าคุณช่วยผม ผมจะช่วยคุณซ่อนตัวและเก็บความลับเอาไว้ให้ และคุณรู้ไหมว่าผมค่อนข้างจะสนิทกับคนที่แอสการ์ดมากดังนั้น …. “ ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

เห็นได้ชัดว่ารอยยิ้มของซู่เจินในตอนนี้มันก็คือการข่มขู่อ้อม ๆ ต่อแรนดอล์ฟดี ๆ นี่เอง

“ฉันก็อยากช่วยคุณนะ แต่มันทำไม่ได้!“ แรนดอล์ฟพูดขึ้นมาพร้อมกับถอนหายใจเบา ๆ “เพราะว่ามันมีวัตถุดิบไม่เพียงพอ ซึ่งโดยปกติแล้วถ้าเกิดว่าคุณต้องการมีดเพียงแค่เล่มเดียวแน่นอนว่าฉันทำได้ แต่ถ้าเป็นสองเล่มล่ะก็ฉันไม่สามารถทำได้อย่างแน่นอนเพราะว่ามันมีวัตถุดิบไม่เพียงพอ!”

“แค่นี้มันยังไม่พออีกงั้นหรอ?”

ซู่เจินขมวดคิ้วเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากมิติเก็บของ

“แล้วถ้าใช้นี่ล่ะมันพอไหม?”

แรนดอล์ฟมองไปที่ของที่ซู่เจินหยิบออกมา “นี่มันชุดเกราะของแอสการ์ด คุณไปเอามันมาจากที่ไหน?”

“ผมบอกแล้วว่าผมสนิทกับคนที่แอสการ์ดมาก!” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มและถามต่อว่า “สามารถใช้ชุดเกราะอันนี้เป็นวัตถุดิบได้ไหม?”

“ถ้าเกิดว่าอาวุธและชุดเกราะของแอสการ์ดมันเป็นวัสดุที่คล้าย ๆ กันฉันก็สามารถสร้างมีดทั้งสองเล่มขึ้นมาได้ แต่มันอาจจะทำให้เวทมนต์ภายในตัวของไม้เท้ามันเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง!“ แรนดอล์ฟพูดขึ้นมาพร้อมกับขมวดคิ้ว

“มันมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างงั้นหรอ?“

สิ่งที่ซู่เจินต้องการจริง ๆ ก็คือความสามารถในการเพิ่มความโกรธและความแข็งแกร่ง ซึ่งถ้าหากว่าผลกระทบเหล่านี้หายไปหลังจากที่เขาเปลี่ยนรูปร่างมัน มันจะดีกว่าไหมถ้าเกิดว่าเขาเปลี่ยนมันให้กลายเป็นมีดคู่ด้วยพลังของอนุภาคอีเทอร์?

“ถ้าคุณเปลี่ยนมันเป็นมีดคู่ เวทมนตร์ภายในมันจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ทำให้ความแข็งแกร่งของมันถูกลดลงตามธรรมชาติ อันที่จริงหลักของเวทมนต์อันนี้มันง่ายมากนั่นก็คือทำให้ผู้คนหวาดกลัวและสร้างความโกรธ เว้นแต่ว่า … คุณจะหาสิ่งที่คล้าย ๆ กันมาแทนที่ มิฉะนั้นเอฟเฟคของมันคงไม่เท่าเดิมอย่างแน่นอน!” แรนดอล์ฟอธิบายอย่างช้า ๆ

“ความกลัว ความโกรธ … “

ซู่เจินเดินไปนั่งที่โซฟาพร้อมกับวางไม้เท้าเบอร์เซิร์กเกอร์เอาไว้ข้าง ๆ หลังจากนั้นเขาก็ดื่มไวน์อย่างช้า ๆ และก้มหน้าใช้ความคิดอย่างเงียบ ๆ

แรนดอล์ฟไม่ได้พูดแทรกหรือรบกวนอะไรซู่เจิน

“ที่จริงแล้วผมมีสิ่งหนึ่งที่คล้าย ๆ กับสิ่งที่คุณต้องการอยู่ แต่เจ้าสิ่งนี้มันอันตรายเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นชาวแอสการ์ดมันก็ยังอันตรายอยู่ดี” ซู่เจินดื่มไวน์และพูดขึ้นมาอย่างช้า ๆ “มันก็คือคริสตัลที่สามารถดูดกลืนความกลัวจากผู้อื่นได้ และถ้าหากว่ามีใครไปแตะต้องมัน มันจะทำให้คน ๆ นั้นติดเชื้อทันที และคุณก็จะกลายเป็นอัครสาวกแห่งความกลัว“

“มันคืออะไร … เอาออกมาให้ฉันดูหน่อย!“

แรนดอล์ฟถามขึ้นมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพราะว่าเขาไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนในชีวิต แถมเขายังเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยกลัวเชื้ออะไรนั่นแม้แต่น้อย!

เพราะถึงยังไงเขาก็มาจากแอสการ์ด!

ซู่เจินหยิบคริสตัลแห่งความกลัวออกมาจากมิติเก็บ ซึ่งมันมีลักษณ์เป็นคริสตัลสีส้มเม็ดเล็ก ๆ

และไม่ได้ดูมีอะไรพิเศษมากนัก

แต่แรนดอล์ฟกลับขมวดคิ้วขึ้นมาและพูดอย่างระมัดระวังว่า “มันแปลกมาก … ฉันรู้สึกได้ถึงพลังที่อยู่ข้างในคริสตัลอันนี้ มันทำให้ฉันรู้สึกกลัวจนตัวสั่น ฉันมันใจได้เลยว่าคริสตัลอันนี้มันสามารถฆ่าฉันได้อย่างแน่นอน! มันเป็นสิ่งที่ดีจริง ๆ ! ฉันคิดอะไรออกแล้วล่ะ!”

แรนดอล์ฟในตอนนี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขาพูดต่อว่า “คุณต้องการมีดสองเล่มจริง ๆ ใช่ไหม ? เพราะว่าฉันสามารถหลอมรวมคริสตัลอันนี้สร้างเป็นมีดหนึ่งอันที่สามารถดูดซับความกลัวได้ ส่วนอีกอันหนึ่งฉันจะทำให้มันสามารถนำความกลัวที่คุณดูดซับมาเปลี่ยนเป็นความแข็งแกร่งและความโกรธให้กับคุณ! “

“เล่มหนึ่งดูดซับ ส่วนอีกเล่มหนึ่งปลดปล่อย นี่มัน …. ค่อนข้างจะน่าสนใจมากเลยที่เดียว!” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“ผมคิดว่านิคฟิวรี่คงจะเสียใจมากอย่างแน่นอน ถ้าเกิดรู้ว่าผมเป็นคนทำภารกิจนี้สำเร็จ“

เมื่อได้ยินซู่เจินพูดแบบนั้น นาตาชาก็เข้าใจได้ทันทีเลยว่าไม้เท้าเบอร์เซิร์กเกอร์อันนั้นเธอไม่สามารถเอามันมาได้แล้วอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นสมาชิก SHIELD และ Avengers ก็ตาม! ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อไม้เท้าอันนั้นมันอยู่ในมือของซู่เจิน การที่เธอจะแย่งมันมาจากเขามันคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน และในขณะเดียวกันเธอก็อยากรู้ว่าเขาเอาไม้เท้าอันนั้นเก็บไว้ที่ไหนกันแน่ ?

เธอจำได้ว่าเมื่อคืนซู่เจินไม่ได้ออกไปไหนนอกจากอยู่ในห้อง แล้วทำไมเธอถึงหาไม้เท้าอันนั้นไม่เจอ!

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาและพูดว่า “ถ้าเกิดว่าเขาต้องการจะพูดอะไรกับผม ก็ให้เขามาหาผมด้วยตัวของเขาเองก็แล้วกัน! ส่วนตอนนี้คุณควรพักผ่อนได้แล้ว“

“โอเค ๆ !” แน่นอนว่าร่างกายของนาตาชาไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนัก มันก็แค่มีความรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยหลังจากผ่านศึกสงครามอันหนักหน่วงเมื่อคืน แต่ถึงอย่างไรก็ตามเธอก็ชอบความห่วงใยของซู่เจินที่มีต่อเธอในตอนนี้มาก

เมื่อซู่เจินเห็นว่านาตาชาเชื่อฟังสิ่งที่เขาพูด เขาก็ยิ้มขึ้นมาอย่างสบายใจ

“คุณบอกว่าไม้เท้าอันนี้มันเป็นเพียงแค่ส่วนเดียวฉันพูดถูกไหม ? ถ้าอย่างงั้นแล้วส่วนที่เหลือมันอยู่ที่ไหนล่ะ ? แล้วก็ … คุณไม่ได้รับผลกระทบจากมันจริง ๆ ใช่ไหม ?” นาตาชาพิงตัวของเธอไปที่หน้าอกของซู่เจินเบา ๆ และร่างของเธอก็ค่อย ๆ สั่นขึ้นด้วยความกลัวเล็กน้อย ทำให้เธอเริ่มรู้สึกอึดอัด

เมื่อเห็นว่าจู่ ๆ อารมณ์ของนาตาชาเปลี่ยนไป ซู่เจินก็ตบไปที่ไหล่ของเธอเบา ๆ และพูดว่า “ไม้เท้าอันนี้มันแบ่งเป็นสามส่วน ซึ่งผมก็รู้แล้วว่าอีกสองส่วนมันอยู่ที่ไหน แต่ผมจะรอให้อาการของคุณดีขึ้นก่อนผมถึงจะไปตามหาส่วนที่เหลือของมัน! ส่วนเรื่องของผลกระทบเมื่อผมถือไม้เท้าอันนี้ มันก็แค่ทำให้อารมณ์ของผมรุนแรงขึ้นเล็กน้อย ซึ่งมันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนัก!”

“ดีแล้ว……“

นาตาชาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เพราะเธอรู้ดีกว่าผลกระทบของไม้เท้าอันนี้มันรุนแรงและเจ็บปวดมากแค่ไหน ทำให้เธอไม่อยากให้ซู่เจินกลายเป็นแบบเธออย่างแน่นอน!

พวกเขาทั้งสองคนพักกันอยู่ในห้องจนถึงช่วงบ่าย และเมื่อเห็นว่าร่างกายของนาตาชาดีขึ้นแล้ว พวกเขาก็เช็คอินออกจากโรงแรมทันที และในขณะที่พวกเขากำลังเดินออกจากโรงแรม เขาก็เห็นสายตาแปลก ๆ ของเจ้าของโรงแรมที่มองมายังทางพวกเขา ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาคงจะรับรู้และได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอย่างแน่นอน

หลังจากที่พวกเขาเดินออกจากโรงแรม พวกเขาก็ออกไปหาอะไรกินด้วยกันทันที

“คุณจะกลับไปที่ SHIELD หรืออยู่กับผมก่อน“

หลังจากที่รับประทานอาหารอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซู่เจินก็หันไปถามกับนาตาชา

“คุณจะไปหาชิ้นส่วนของไม้เท้าที่เหลืองั้น?”

“ใช่! เพราะว่าผมไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้มันเกิดขึ้นกับคนอื่นอีก“

“แล้วหลังจากนั้นคุณจะทำอะไรต่อ ? “ นาตาชาถามขึ้นมาอีกครั้ง

ซู่เจินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “หลักจากนั้นผมจะไปที่ฐานเพื่อช่วยงาน เพราะว่าผมต้องการให้ฐานมันสร้างเสร็จให้เร็วที่สุด“

“งั้นฉันจะกลับไปที่ SHIELD”

“โอเค! งั้นช่วงนี้คุณอย่าเพิ่งทำงานหนักล่ะ พักผ่อนให้เยอะ ๆ! “

หลังจากที่พวกเขาจูบลากันเรียบร้อยแล้ว ซู่เจินก็ออกเดินทางเพื่อหาชิ้นส่วนของไม้เท้าต่อทันที แน่นอนว่ามันอาจจะยากสำหรับคนอื่นในการตามหาชิ้นส่วนที่เหลือเพราะว่ามันถูกเก็บซ่อนเอาไว้บนโลกเป็นเวลานานมาก แต่สำหรับซู่เจินแล้วมันง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วยเข้าปาก เพราะเขารู้ว่ามันถูกเก็บซ่อนเอาไว้ที่ไหน

แม้ว่าสถานที่ที่เก็บซ่อนชิ้นส่วนทั้งสองอันมันจะอยู่ค่อนข้างไกลเล็กน้อย แต่สำหรับซู่เจินที่สามารถบินได้แล้วมันค่อนข้างเร็วที่เดียว เพราะว่าเขาใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวันเขาก็เจอชิ้นส่วนที่เหลืออีกสองอันเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นเขาก็หยิบชิ้นส่วนทั้งสามอันออกมาและวางมันลงกับพื้น หลังจากนั้นชิ้นส่วนไม้เท้าทั้งสามอันมันก็เชื่อมต่อกันด้วยแรงดึงดูดและรวมเข้ากันโดยอัตโนมัติ!

รูปร่างของไม้เท้าอันนี้มันดูคล้าย ๆ กับคทาของโลกิ แต่มันค่อนข้างจะดูเรียบง่ายและไม่อลังการเหมือนกับคทาของโลกิมากนัก

ซู่เจินค่อย ๆ ถือไม้เท้าเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้างของเขา ทันใดนั้นความโกรธก็ประทุขึ้นมาพร้อมกับความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้น ทำให้อารมณ์ของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยความพลุ่งพล่าน อยากที่จะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า … ในขณะเดียวกันซู่เจินก็ค่อย ๆ ควบคุมอารมณ์ของเขาและโบกมือเบา ๆ

“ดูเหมือนว่ามันจะไม่ค่อยราบรื่นสักเท่าไหร่ … “

ซู่เจินขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะว่าไม้เท้าอันนี้มันเป็นอาวุธที่ค่อนข้างยาวทำให้เขาไม่ค่อยคุ้นชินกับมัน แต่ในทางกลับกันถ้ามันถูกแยกออกเป็นสองส่วน เขาสามารถใช้มันได้อย่างสบาย ๆ … หลังจากนั้นเขาก็เอาไม้เท้าเก็บไว้ในมิติเก็บของ และเขาก็กำมือของเขาให้แน่น ไม่นานมันก็มีมีดคู่สีดำสองเล่มปรากฏขึ้นมาในมือของเขา

เขาลองแกว่งไปแกว่งมาและออกกระบวนท่าเล็กน้อย …

หลังจากที่ลองอะไรเรียบร้อยแล้วซู่เจินก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เพราะว่ามีดคู่มันสามารถใช้งานได้ง่ายกว่าไม้เท้าเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตามมีดคู่เล่มนี้ก็ถูกสร้างขึ้นจากพลังงานของอนุภาคอีเทอร์และแหวนกรีนแลนเทิร์น แม้ว่ามันจะแข็งแกร่งมาก แต่มันก็ไม่ได้เพิ่มพลังให้กับเขาเหมือนกับไม้เท้าเบอร์เซิร์กเกอร์ และเมื่อเขาลองพิจารณาถึงพลังที่เพิ่มขึ้นจากการใช้ไม้เท้าแล้วมันคงจะหน้าเสียดายเกินไปที่เขาจะไม่ใช้มัน

“ดูเหมือนว่าฉันจะต้องตามหาเขาให้เจอ!“

ซู่เจินบ่นพึมพำขึ้นมาเบา ๆ ตอนแรกเขาไม่ได้วางแผนเอาไว้ว่าเขาจะไปหาเจ้าของไม้เท้าเบอร์เซิร์กเกอร์อันนี้ที่ซ่อนตัวอยู่บนโลก!

แถมเขาคนนี้ก็ไม่ใช่แค่เป็นชาวแอสการ์ดและเจ้าของไม้เท้าเบอร์เซิร์กเกอร์เท่านั้น เขายังเป็นช่างตีเหล็กอีกด้วย

ช่างตีเหล็กแห่งแอสการ์ด!

ส่วนจุดประสงค์ของซู่เจินในการตามหาเขาคนนี้ก็คือ เขาต้องการให้เปลี่ยนไม้เท้าอันนี้ให้กลายเป็นมืดคู่ที่ยังคงเอฟเฟคในการเพิ่มพลังเอาไว้ ซึ่งถ้าซู่เจินจำไม่ผิดเขาน่าจะเป็นศาสตราจารย์อยู่ในมหาวิทยาลัยสักแห่งหนึ่งในเซวิญ่า!

ชาวแอสการ์ดที่ชอบวิถีชีวิตอันสงบสุขบนดาวโลก!

เมื่อซู่เจินเดินทางมาถึงเซวิญ่ามันก็มืดเรียบร้อยแล้ว ทำให้บริเวณโดยรอบมันค่อนข้างจะเงียบสงบ

และเขาก็เพิ่งรู้มาว่าชาวแอสการ์ดคนนี้มีชื่อว่าเอลเลียต แรนดอล์ฟ มีอาชีพเป็นศาสตราจารย์ที่สอนเกี่ยวกับตำนานเทพเจ้านอร์อยู่ในมหาวิทยาลัยสักแห่งหนึ่ง ซึ่งในตอนนี้มันก็เป็นเวลาในตอนกลางคืนทำให้เขาไม่สามารถอาศัยอยู่ในมหาวิทยาลัยได้อย่างแน่นอน!

และมันก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่ซู่เจินจะหาที่อยู่ของเขา

ซู่เจินโทรหาไปสกายอย่างรวดเร็ว และบอกข้อมูลคร่าว ๆ เกี่ยวกับ เอลเลียต แรนดอล์ฟให้กับเธอฟัง และไม่นานสกายก็พบที่อยู่ของเขาอย่างรวดเร็ว

แถมซู่เจินก็ยังได้รู้ข้อมูลอีกอย่างด้วยว่า เอลเลียต แรนดอล์ฟ คนนี้เป็นคนที่รวยมาก

เพราะถึงอย่างไรท้ายทีสุดแล้วเขาก็อาศัยอยู่บนโลกนี้มานานหลายปี และถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ขี้เกรียจเล็กน้อย แต่เขาก็ยังรู้ว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ชีวิตของตัวเองมีความสุข

ณ วิลล่าสุดหรู

ภายในห้องนอนสุดหรูในวิลล่า กำลังมีเสียงของผู้หญิงร้องขึ้นมาอย่างมีความสุข ทำให้ซู่เจินที่ยืนอยู่หน้าประตูรู้สึกหดหู่จริง ๆ

“แน่นอนว่าฉันก็รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไงให้มีความสุขกับชีวิต!”

ซู่เจินส่ายหัวและเคาะประตูเบา ๆ

จู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้พวกเขาทั้งสองคนที่อยู่ภายในห้องตกใจเล็กน้อย

ผู้หญิงคนนั้นหยุดทันทีและหันไปถามกับชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างค่อนข้างอ้วนอย่างสงสัยว่า “มีคนอื่นอยู่ในบ้านของคุณด้วยงั้นหรอ?”

เอลเลียต แรนดอล์ฟส่ายหัวเบา ๆ และพูดว่า “บางที … อาจจะเป็นแขก งั้นผมขอตัวออกไปดูก่อนนะ! “

หลังจากพูดจบแรนดอล์ฟก็สวมใส่เสื้อผ้าและเปิดประตูออกมาอย่างระมัดระวัง

“คุณเป็นใคร?”

เมื่อมองไปยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนของเขา แรนดอล์ฟก็ถามขึ้นมาพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย “ถ้าจำไม่ผิดที่นี่คือบ้านของฉัน และ … ฉันก็ไม่เคยเชิญคุณมาที่นี่ ?”

“ที่นี่เป็นบ้านของคุณจริง ๆ นั่นแหละ และมันก็อยู่บนดาวโลกด้วย ดังนั้น … คุณที่เป็นคนจากนอกโลกคงจะไม่ได้รับเชิญให้มาอยู่บนดาวโลกเหมือนกันใช่ไหม ? ” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม ทำให้การแสดงออกของแรนดอล์ฟเปลี่ยนไปทันทีพร้อมกับตัวของเขาที่สั่นขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็ส่ายหัวเบา ๆ และพูดว่า “ฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดอะไรอยู่ ดังนั้นในตอนนี้ได้โปรดออกไปจากบ้านของฉันซะ มิฉะนั้นฉันจะโทรแจ้งตำรวจ“

“คุณแน่ใจงั้นเหรอ … ที่จะโทรแจ้งตำรวจ“

ซู่เจินหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ ทันใดนั้นก็มีไม้เท้าเบอร์เซิร์กเกอร์ปรากฏขึ้นมาบนมือของเขา!

อารมณ์ของนาตาชาในตอนนี้เริ่มที่จะควบคุมไม่อยู่ ซึ่งซู่เจินก็ไม่ได้ด้อยไปกว่านาตาชาเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าไม้เท้าเบอร์เซิร์กเกอร์อันนี้จะไม่ได้กระตุ้นให้เกิดความกลัวภายในจิตใจของเขา แต่อารมณ์ความบ้าคลั่งมันก็ไม่ได้หายไปอย่างสมบูรณ์ เพระว่ามันถูกควบคุมเอาไว้ภายในจิตใจ และเมื่อเขาได้กลิ่นเลือดจาง ๆ จากอากาศมันก็ทำให้ความบ้าคลั่งนั้นค่อย ๆ เกิดขึ้นมาอีกครั้งภายในจิตใจของเขา

ไม่นานความบ้าคลั่งก็เริ่มครอบเงาซู่เจินอย่างรวดเร็ว!

เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน … เสื้อผ้าค่อย ๆ ถูกถอดออกทีละชิ้นอย่างช้า ๆ …

ซู่เจินในตอนนี้ไม่ได้สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมอะไรทั้งนั้น และเขาก็ต้องขอยอมรับเลยว่าซู่นาตาชาเป็นคนที่เร่าร้อนเป็นอย่างมาก ….

“อ๊า … “

เสียงร้องของเจ็บปวดดังขึ้นมาพร้อมกับความสุขที่มากล้น …. ท้ายที่สุดแล้วมันก็ …. จบลง!

ซู่เจินไม่รู้ว่าเวลามันผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ? เพราะว่าในตอนนั้นเวลามันไม่ได้มีความหมายสำหรับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย และหลังจากที่พวกเขาผ่านศึกสงครามอันหนักหน่วง พวกเขาทั้งสองคนก็กอดกันและผล็อยหลับไป ….

เช้าวันรุ่งขึ้นซู่เจินค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ พร้อมกับแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาผ่านทางหน้าต่าง และผ้าม่านที่ปริ้วไหวไปมาตามสายลม ในขณะเดียวกันซู่เจินก็ค่อย ๆ ปรับสายตาของเขาให้เข้ากับแสง

มันขาวและนุ่มมาก

ซู่เจินหันหน้าไปมองที่นาตาชาที่กำลังหลับอยู่

ทันใดนั้นความทรงจำเมื่อคืนก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาในหัวของซู่เจินอย่างช้า ๆ และเมื่อเขามองไปยังนาตาชาที่กำลังหลับอยู่ กับตัวตนอันแสนบ้าคลั่งของเธอเมื่อคืนนี้

มันชั่งเป็นความรู้สึกที่น่ากลัวจริง ๆ!

โดยที่เขาก็ไม่รู้ว่าเมื่อคืนนี้เธอเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนตั้งมากมายขนาดนั้น จนเขาเกือบที่จะควบคุมเธอเอาไว้ไม่อยู่!

และเมื่อซู่เจินมองไปยังคราบเลือดที่ยังคงหลงเหลืออยู่ที่มุมปากของนาตาชา เขาก็ส่ายหัวเบา ๆ และเตรียมที่จะลุกขึ้น แต่ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นคราบเลือดสีแดงที่ติดอยู่บนผ้าปูที่นอน …

ซู่เจินถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ

“นี่มัน ?” ซู่เจินพึมพำขึ้นมาเบา ๆ เขาไม่คิดว่าเมื่อคืนนี้ที่นาตาชาเร่าร้อนซะขนาดนั้น จะยังคงมีร่างกายที่บริสุทธิ์อยู่ ?

นี่ถือว่าเป็นกำไรครั้งยิ่งใหญ่ของเขาใช่ไหม?

เมื่อซู่เจินนึกถึงเหตุการณ์อันบ้าคลั่งเมื่อคืน และมองไปยังใบหน้าที่กำลังหลับด้วยความสุขของเธอในตอนนี้ นอกจากคำว่ากำไรจำนวนมหาศาลแล้วเขาจะพูดอะไรได้อีก

ตอนนี้เธอคือแม่มายดำ ? หรือ แบล็ควิโดว์ ?

ซูเจินส่ายหัวเบา ๆ และค่อย ๆ เอามือของนาตาชาออกจากตัวของเขาอย่างช้า ๆ จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและเดินไปที่ห้องน้ำอย่างแผ่วเบา

เมื่อซู่เจินอาบน้ำแต่งตัวอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว นาตาชาก็ตื่นขึ้นมาพอดี เธอเอียงศรีษะเล็กน้อยและมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับว่าเธอกำลังรับแสงแดดอันอบอุ่นจากอากาศยามเช้า

“คุณตื่นแล้วงั้นหรอ … คุณจะกินอะไรไหมหรือว่าจะนอนต่อ ?“

ซู่เจินเดินเข้ามาถามเธออย่างแผ่วเบา

“ไม้เท้าอันนั้นอยู่ที่ไหนงั้นหรอ ?”

นาตาชาหันไปถามซู่เจินอย่างรวดเร็ว

ซู่เจินรู้สึกใบ้กินทันที “คุณถามถึงไม้เท้าเป็นประโยคแรกหลังจากที่คุณตื่นเนี้ยนะ ? “

“หรือว่าคุณจะให้ฉันถามอย่างอื่น ? ฉันควรถามคุณว่าเมื่อคืนนี้รู้สึกยังไงงั้นหรอ ? ฉันขอยอมรับกลับคุณตรง ๆ เลยว่าเหตุการณ์เมื่อคืนนี้มันค่อนข้างซับซ้อนกับฉันมาก ทำให้ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี แต่อย่างน้อย … ฉันก็มั่นใจว่าฉันจะไม่ลืมเหตุการณ์เมื่อคืนนี้อย่างแน่นอน“ นาตาชากล่าวขึ้นมาอย่างช้า ๆ

แม้ว่าเมื่อคืนเธอจะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ แต่ถึงอย่างงั้นเธอก็ยังสามารถจดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้อยู่ดี

สำหรับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนี้นาตาชาไม่ได้โกรธซู่เจินเลยแม้แต่น้อย บางทีอาจจะเป็นตั้งแต่ที่เธอได้พบกับซู่เจินครั้งแรกเธอก็มีลางสังหรณ์แบบนี้เกิดขึ้นแล้ว ?

“ผมก็เหมือนกัน!“

ซู่เจินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจเมื่อเขาได้ยินสิ่งที่นาตาชาพูด แม้ว่าในตอนแรกเขาจะรู้สึกหดหู่เล็กน้อย .. ใครใช้ให้เธอตื่นขึ้นมาแล้วถามเกี่ยวกับภารกิจของเธอทันทีละ ?

เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นเพียงแค่มือใหม่ แต่เสแสร้งทำเป็นว่ามีประสบการณ์และไม่ไยดีเกี่ยวกับเขา

และด้วยสิ่งนี้มันก็ทำให้ซู่เจินค่อนข้างที่จะไม่พอใจเกี่ยวกับมัน

“ตอนนี้คุณอย่าเพิ่งไปกังวลเกี่ยวกับมัน … ดังนั้นสิ่งที่คุณจะต้องทำในตอนนี้ก็คือการพักผ่อน ไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือจิตใจ … เอาล่ะนอนลงได้แล้ว!” ซู่เจินเดินเข้ามาหานาตาชาและพูดขึ้นมาเบา ๆ

นาตาชาลังเลเล็กน้อยเพราะว่าสิ่งนั้นมันคือภารกิจของเธอ อย่างไรก็ตามเมื่อเธอเห็นแววตาและการแสดงออกที่ห่วงใยของซู่เจิน เธอก็เริ่มรู้สึกถูกมันดึงดูดเล็กน้อยและค่อย ๆ พยักหน้าเห็นด้วยเบา ๆ

“คุณคิดอะไรอยู่งั้นหรอ?”

เมื่อเห็นว่าจู่ ๆ นาตาชาก็สงบลงอย่างกะทันหัน ซู่เจินก็เลยถามขึ้นมาอย่างสงสัย

นาตาชาส่ายหัวของเธอเล็กน้อยและพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่มีอะไรหรอก แค่จู่ ๆ ฉันก็รู้สึกว่าการมีคนมาคอยห่วงใยฉันแบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกดีแบบนี้นี่เอง!”

“เดี๋ยวคุณก็ชินมันไปเอง เพราะว่าผมจะอยู่เคียงข้างคุณไปตลอดชีวิต“ ซู่เจินพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ

“ไม่คิดเลยว่าสิ่งที่ฉันได้พูดเอาไว้กับคุณเมื่อคืนมันจะเป็นความจริง แถมมันยังเป็นค่ำคืนที่น่าจดจำมากจริง ๆ อย่างที่ฉันได้พูดเอาไว้ด้วย ราวกับว่าฉันมีความสามารถในการทำนายอนาคตอะไรอย่างงั้นแหละ“ นาตาชาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เมื่อเธอนึกถึงคำพูดเยาะเย้ยของซู่เจินเมื่อวานนี้

ซู่เจินก็ยิ้มเช่นกัน

เสียงหัวเราะดังขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ แต่ถึงอย่างงั้นมันก็เต็มไปด้วยความไพเราะ

“แล้วสกายล่ะ“

นาตาชาเอียงหัวของเธอเล็กน้อยและถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน พร้อมกับมองไปที่ซู่เจินด้วยความสนใจ

“คุณคิดว่าไงล่ะ?”

ซู่เจินไม่ได้ตอบแต่กลับถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม โดยที่เขาไม่ได้แสดงท่าทางกังวลอะไรออกมา

“คุณเป็นผู้ชายที่นิสัยไม่ดีเลยจริง ๆ!”

นาตาชาส่ายหัวและเม้มริมฝีปากของเธอเล็กน้อย

“แน่นอนว่าสกายเป็นแฟนของผมและผมก็รักเธอมาก แต่ผมก็รักคุณเหมือนกัน และถ้าหากว่าคุณต้องการให้ผมเลือกระหว่างคนใดคนหนึ่งผมขอบอกตรงนี้เลยนะว่าผมทำไม่ได้ ดังนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือคุณก็เป็นแฟนของผมอีกคนหนึ่ง ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วผู้ชายที่มีผู้หญิงมากกว่าหนึ่งคน พวกเขาจะเป็นคนที่ร่ำรวยและมีอำนาจมากมายผมพูดถูกไหม ? และตราบใดที่ความรู้สึกที่คุณมีต่อผมมันคือเรื่องจริง คุณก็ไม่จำเป็นที่จะต้องสนอะไรทั้งนั้น“ ซู่เจินยิ้มและพูดต่อว่า “แน่นอนว่าคุณสามารถปฏิเสธผมได้ เพราะถึงยังไงผมก็เป็นคนจีน และคนจีนก็ยังมีประเพณีบางอย่างที่พิเศษอยู่ ดังนั้นไม่ว่าคุณจะตอบผมยังไง ผมก็จะเอาคุณมาเป็นผู้หญิงของผมอยู่ดี!”

“ประเพณีอะไร ?”

“ในประเทศจีนสมัยโบราณ คนที่เป็นจักรพรรดิหรือราชาสามารถมีภรรยาได้ 3 คน และนางสนมอีก 4 คน และเหล่าฮาเร็มของเขาอีกมายมาย … นี่แหละประเพณีของประเทศจีน!“ ซู่เจินพูดขึ้นมาอย่างเคร่งขรึม

แน่นอนว่านาตาชาก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน และเธอก็ไม่คิดด้วยว่าซู่เจินจะเอาสิ่งนี้มาอ้างเป็นเหตุผลของเขา

จักรพรรดิ? ราชา?

มันคือเป้าหมายที่คุณเล็งไว้ตั้งแต่แรกใช่ไหม?

แต่ทันใดนั้นนาตาชาก็ถามขึ้นมาอย่างสงสัยว่า “ถ้าเกิดว่าฉันมีผู้ชายคนอื่นล่ะ?”

“ผมจะฆ่ามันทุกคนที่เข้าใกล้คุณ!“ ซู่เจินพูดขึ้นมาอย่างเรียบเฉย แต่สำหรับนาตาชาแล้วเธอคิดว่าซู่เจินไม่ได้พูดล้อเล่นอย่างแน่นอน

“เอาล่ะ! คุณชนะ”

นาตาชายักไหล่เบา ๆ “ฉันไม่ได้คิดที่จะมีผู้ชายคนอื่นอยู่แล้ว มีแค่คุณคนเดียวก็พอ! อย่างไรก็ตามสภาพร่างกายของฉันในตอนนี้มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น ดังนั้นคุณควรที่จะบอกฉันได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น?”

“มันคือไม้เท้าเบอร์เซิร์กเกอร์ เป็นอาวุธที่ถูกสร้างขึ้นที่แอสการ์ด มันมีความสามารถในการทำให้ผู้ถือครองแข็งแกร่งขึ้นได้ แต่จะต้องแลกมากับความบ้าคลั่งที่ไม่สามารถควบคุมได้เช่นกัน และชิ้นที่เราเจอมันก็เป็นเพียงแค่หนึ่งในสามส่วนของมันเท่านั้น และผมจะหาส่วนที่เหลือของมันให้เจอให้ได้!”

“แล้วตอนนี้มันอยู่ที่คุณงั้นหรอ?” นาตาชาถามขึ้น

ซู่เจินยิ้ม “ใช่! และดูเหมือนว่า… มันจะมีผมเพียงแค่คนเดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบจากมัน! “

ซู่เจินมองไปที่ไม้เท้าที่อยู่บนพื้น ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม้เท้าอันนี้มันเป็นเพียงแค่ส่วนเดียวเท่านั้นจากทั้งหมด แต่แค่มีมันเพียงแค่ส่วนเดียวก็ดีมากแล้ว เพราะว่ามันถูกสร้างขึ้นจากวัสดุที่พิเศษมาก ๆ และเมื่อดูจากรูปร่างแล้วมันน่าจะเป็นส่วนล่างสุดของไม้เท้า!

แน่นอนว่านาตาชาไม่รู้ว่าสิ่งนี้มันคือไร แต่ซู่เจินรู้!

เจ้าสิ่งนี้มันก็คือไม้เท้าเบอร์เซิร์กเกอร์ของชาวแอสการ์ด เมื่อใดก็ตามที่มีคนถือมันมันจะทำให้คน ๆ นั้นกลายเป็นเบอร์เซิร์กเกอร์พร้อมกับความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นเท่ากับนักรบธรรมดาสิบคนร่วมกัน แน่นอนว่านักรบที่พูดถึงก็คือ … ชาวแอสการ์ด!

โดยธรรมชาติแล้วไม้เท้าเบอร์เซิร์กเกอร์อันนี้ไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับค้อนของธอร์ได้ แต่ถึงยังไงมันก็เป็นอาวุธของชาวแอสการ์ด และแน่นอนว่าอาวุธของชาวแอสการ์ดจะต้องทรงพลังมากกว่าอาวุธของโลกอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันมีเวทมนต์แห่งความมืด ที่ทำให้คนที่ใช้มันถูกครอบงำด้วยความโกรธอย่างรุนแรง และฝังลึกความกลัวเข้าไปในจิตใจของผู้ถือครองอย่างช้า ๆ แม้แต่ชาวแอสการ์ดก็ไม่สามารถควบคุมไม้เท้าอันนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ไม่งั้นมันคงไม่ถูกแยกเป็นส่วน ๆ และนำไปเก็บซ่อนเอาไว้

ซู่เจินจ้องมองไปที่ฝ่ามือของเขาเล็กน้อย … เขาอยากจะลองดู!

ซู่เจินค่อย ๆ ก้มตัวลงและยื่นมืออกไปอย่างช้า ๆ หลังจากนั้นเขาก็สูดลมหายใจเข้าไปให้เต็มปอดและเอามือคว้าไปจับที่ไม้เท้าทันที

ทันใดนั้นก็มีพลังงานบางอย่างหลั่งไหลเข้ามาในร่างกายของซู่เจินอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเริ่มครอบงำจิตใจของเขาด้วยความโกรธและความบ้าคลั่งทันที ราวกับว่ามันต้องการให้เขาทำลายทุกสิ่งที่อย่างที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งซู่เจินก็รู้แล้วว่ามันคือเวทมนต์ที่มาจากไว้เท้าอันนี้ ทำให้เขาค่อย ๆ ยับยั้งความบ้าคลั่งที่อยู่ภายในจิตใจของเขาอย่างช้า ๆ หลังจากนั้นไม่นานมันก็ค่อย ๆ สงบลง

พลัง!

พลังอันแข็งแกร่ง

ซู่เจินรู้สึกได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งที่กำลังแล่นอยู่ภายในร่างกายของเขา อย่างน้อยในตอนนี้เขาก็แข็งแกร่งกว่าเดิมประมาณสองหรือสามเท่าได้ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้รู้สึกถึงความกลัวเลยสักนิด และมันก็ไม่ได้มีอาการผิดปกติอะไรเพิ่มเติมนอกจากความโกรธและความบ้าคลั่ง

“ร่างกายของฉันสามารถต้านทานพลังวิเศษได้งั้นหรอ ? หรือว่าเป็นเพราะกำแพงพลังจิตของแหวนกรีนแลนเทิร์นที่ป้องกันการโจมตีจากไม้เท้า?”

ซู่เจินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับมันมากนัก เพราะไม่ว่ามันจะเป็นด้วยเหตุผลอะไรมันก็ได้ผลดีทั้งคู่!

โดยที่เขาสามารถเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเขาได้โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงหรือผลกระทบอะไรทั้งสิ้น

แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่ดี!

ซู่เจินเก็บไว้เท้าเอาไว้ในมิติเก็บของ หลังจากนั้นเขาก็หันไปมองที่นาตาชา

แน่นอนว่านาตาชาในตอนนี้กำลังนอนไม่ได้สติอยู่บนพื้น ซู่เจินเดินไปอุ้มเธอขึ้นมาและวางเธอลงบนเตียงเบา ๆ และจู่ ๆ เธอก็แสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา … ซึ่งซู่เจินก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอกำลังเห็นอะไรอยู่ในฝันของเธอ!

มันน่าจะเป็นความทรงจำที่เลวร้ายในอดีตใช่มั้ย?

ซึ่งมันน่าจะเป็นความทรงจำที่เกี่ยวกับ ‘สถาบันห้องแดง’ ที่เป็นอดีตของนาตาชาที่เธอจะไม่มีวันลืมมันไปชั่วชีวิต โดยตอนที่เธออยู่ที่นั่นเธอได้รับการฝึกฝนที่โหดร้ายต่าง ๆ นา จนทำให้เธอกลายเป็นแม่ม่ายดำ! และความทรงจำแบบนี้มันก็จะตามหลอกหลอนเธอไปเรื่อย ๆ จนกว่าเธอจะเอาชนะความกลัวในจิตใจของเธอได้

“ผู้หญิงคนนี้กล้าหาญมากจริง ๆ !“

ซู่เจินอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเบา ๆ เมื่อมองไปยังนาตาชาที่ดูเหมือนจะเป็นคนเข้มแข็งมาก ๆ ในตอนแรก แต่ตอนนี้เธอกลับดูทุกข์ทรมาณและน่าสมเพช

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

จู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมกับเจ้าของโรงแรมค่อย ๆ พลักประตูเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“คุณไม่ต้องกังวล พวกเราจะพักที่นี่กันชั่วคราว และผมขอรับรองว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แล้วก็ … นี่เงินของคุณ!” แน่อนว่าการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงภายในห้องตอนนั้น มันจะต้องทำให้คนอื่นเกิดความสงสัยอย่างแน่นอน และการที่เจ้าของโรงแรมมาที่นี่ด้วยตัวเองก็เพื่อเช็คว่าสถานการณ์ภายในห้องยังคงปกติดีอยู่ไหม

ก่อนที่เจ้าของโรงแรมจะได้พูดอะไร จู่ ๆ ซู่เจินก็พูดขึ้นมาอย่างกระทันด้วยน้ำเสียงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ หลังจากนั้นเขาก็โยนเงินก้อนหนึ่งให้กับเจ้าของโรงแรม

ซึ่งเจ้าของโรงแรมก็คุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี เขาหยิบเงินและหันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับปิดประตูให้โดยไม่ได้พูดสักคำ เมื่อซู่เจินเห็นว่าประตูถูกปิดเรียบร้อยแล้วและกำลังจะหันหน้าไปมองที่นาตาชา ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามือของเขาถูกจับอยู่

“คุณตื่นแล้วงั้นหรอ ?” เมื่อซู่เจินหันหน้าไปทางนาตาชา นาตาชาก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ “เป็นยังไงบ้าง คุณบาดเจ็บตรงไหนไหม? “

นาตาชาส่ายหัวเบา ๆ และไม่ได้พูดตอบออกมา เพราะว่าตอนนี้ภายในดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เธอค่อย ๆ มองไปที่ซู่เจินอย่างช้า ๆ “ไม่ต้องกังวล ตอนนี้คุณยังได้รับผลกระทบจากไม้เท้าอยู่ ไม่นานเดี๋ยวมันก็จะค่อย ๆ หายไปเอง คุณอย่าไปพยายามคิดเกี่ยวกับเรื่องในอดีตของคุณ เพราะว่าตอนนี้มันได้ผ่านไปแล้ว คุณจะต้องคิดเกี่ยวกับอนาคตเอาไว้ให้มาก ๆ ดังนั้นในตอนนี้ไม่ต้องกลัวแล้วนะ! เดี๋ยวผมจะไปเอาน้ำมาให้คุณดื่มเพื่อสงบสติอารมณ์ก่อน!” เมื่อซู่เจินพูดจบเขาก็ลุกขึ้นทันที แต่ทันใดนั้นจู่ ๆ นาตาชาก็กระชากแขนของเขาของอย่างรุนแรง ทำให้ซู่เจินที่ไม่ได้ทันตั้งตัวเสียหลักล้มลงทับร่างของนาตาชาทันที

“จุ๊บ!“

ซู่เจินพยายามที่จะลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่นาตาชาก็กระชากแขนของซู่เจินอย่างรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ร่างของซู่เจินล้มลงไปทันทีพร้อมกับปากของเขาและนาตาชาที่ประกบติดกัน

หลังจากนั้นไม่นานก็ค่อย ๆ มีกลิ่นเลือดกระจายออกมา

ซู่เจินรู้สึกเจ็บที่มุมปากของเขาเล็กน้อย และเมื่อเขามองไปยังมุมปากของนาตาชา เขาก็เห็นว่าปากของเธอก็แตกเช่นกัน

“คุณปล่อยผมก่อนได้ไหม ผมไม่หนีคุณไปไหนแล้ว!” เมื่อเห็นว่านาตาชาดึงตัวของเขาเข้าไปหาเธอก็เพราะความกลัว ซู่เจินก็พูดขึ้นมาเบา ๆ และเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการลุกขึ้น

แต่นาตาชากับส่ายหัวเบา ๆ แทนที่เธอจะปล่อยซู่เจินในตอนแรก ตอนนี้เธอกับดึงตัวของซู่เจินมากอดเอาไว้ให้แน่นยิ่งขึ้น หลังจากนั้นเธอก็เอาแขนไปโอบรอบคอของซู่เจินเอาไว้ และเธอก็จูบลงไปที่ปากของซู่เจินอย่างดูดดื่ม จนทำให้เลือดจากปากที่แตกของพวกเขาทั้งสองคนปนกันไปปนกันมาอยู่ภายในปากของพวกเขา ซึ่งซู่เจินก็ไม่กล้าใช้แรงของเขามากนัก เพราะกลัวว่าเขาจะไปทำร้ายนาตาชาเอาได้ ในขณะเดียวกันนาตาชาก็เริ่มบ้าคลั่งขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งมันน่าจะเป็นเพราะเลือดที่อยู่ในปากของเธออย่างแน่นอนที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้เธอบ้าคลั่งขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้เธอในตอนนี้เอาพลังมาจากไหนก็ไม่รู้ตั้งมากมาย จนทำให้ซู่เจินเริ่มทนไม่ไหวอีกต่อไป

แค่จูบก็มีเลือดออกแล้ว มันไม่เกินไปหน่อยงั้นหรอ!!

“พวกเขาออกไปแล้ว”

ในขณะที่ซู่เจินกำลังนั่งดื่มอยู่ จู่ ๆ นาตาชาก็พูดขึ้นมาอย่างกระทันหัน หลังจากนั้นไม่นานเป้าหมายทั้งสามคนก็ลุกขึ้นพร้อมกับหยิบกระเป๋าขึ้นมาและเดินออกจากร้านไป

“ไปกันเถอะ!”

เมื่อซู่เจินพูดจบเขากับนาตาชาก็ลุกขึ้นทันที และเมื่อลุกขึ้นยืนเรียบร้อยแล้วนาตาชาก็เดินมาควงแขนของซู่เจินเอาไว้อย่างรวดเร็ว

ซู่เจินรู้สึกได้ถึงความนุ่มนิ่มที่แขนของเขา พร้อมกับกลิ่นน้ำหอมที่โชยมาตามสายลม!

แถมอันที่ชนแขนของเขาอยู่มันยังยืดหยุ่นดีซะด้วย

ซู่เจินรู้ดีว่านาตาชาไม่ได้มีเจตตาที่จะทำแบบนี้ แต่มันก็ … ใครใช้ให้เธอมีหน้าอกใหญ่และอวบแบบนี้ล่ะ

“อย่าคิดลึก!”

นาตาชาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ราวกับว่าเธอรู้ว่าซู่เจินกำลังคิดอะไรอยู่ หลังจากนั้นนาตาชาก็ดึงตัวของซู่เจินออกมาจากบาร์ทันที

ด้านนอกของบาร์ชายสองคนและหญิงอีกหนึ่งคนเดินไปขึ้นรถที่จอดอยู่บริเวณใกล้เคียง และขับออกไปอย่างรวดเร็ว

“คุณมีรถใช่ไหม” ซู่เจินถามขึ้นมาเบา ๆ

“ไม่! แล้วคุณล่ะ?” นาตาชาส่ายหัวเบา ๆ และถามขึ้นมาอย่างไม่จริงจัง เพราะว่าเธอเห็นอยู่แล้วว่าซู่เจินไม่ได้ขับรถมา

เมื่อเห็นว่าเป้าหมายของพวกเขาขับรถออกไปไกลแล้ว

ซู่เจินก็พานาตาชาเดินไปยังตรอกที่อยู่ไม่ห่างไกลจากตรงที่เขาอยู่มากนัก แม้ว่านาตาชาอยากจะถามซู่เจินว่าเขากำลังทำอะไร แต่เธอก็ไม่ได้พูดออกมา เพราะเธอคิดว่าซู่เจินจะต้องมีแผนอะไรสักอย่างอย่างแน่นอน

“กอดผมเอาไว้!”

เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาถึงด้านในตรอก ซู่เจินก็หันไปพูดกับนาตาชาเบา ๆ

นาตาชาเดินเข้าไปกอดเอวของซู่เจินพร้อมกับเอนตัวไปพิงที่หน้าอกของซู่เจินเอาไว้

“แล้วไงต่อ ?” นาตาชาถามขึ้นมา

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาแล้วพูดว่า “แล้วไงต่องั้นหรอ ? ผมก็จะพาคุณบินไปน่ะสิ!”

เมื่อซู่เจินพูดจบก็มีพลังงานคล้าย ๆ กับเมฆหมอกมาห่อหุ้มร่างกายของเขาและนาตาชาเอาไว้ โดยที่นาตาชามองไปที่พวกมันด้วยความอยากรู้อยากเห็น และในขณะเดียวกันร่างของพวกเขาก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าและบินตามรถคันนั้นไปอย่างรวดเร็ว

“นี่ … มันคืออะไร?”

นาตาชาพบว่าร่างกายของเธอไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นแรงลมหรือแรงต้านอากาศ ซึ่งถ้าหากว่าเธอไม่ได้เห็นทิวทัศน์ด้านล่างที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เธอคงคิดว่าเธอกำลังเดินอยู่อย่างแน่นอน!

“ความสามารถนี้ของคุณมันคืออะไร ? เพราะว่าพลังที่ห่อหุ้มฉันอยู่มันให้ความรู้สึกที่พิเศษมาก!” นาตาชาเริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย มันเป็นไปได้ไหมว่าซู่เจินจะกลืนกินความสามารถพิเศษอย่างอื่นเข้าไป ? และช่วงนี้เธอก็ไม่ค่อยได้ยินข่าวของซู่เจินสักเท่าไหร่ ยกเว้นเรื่องที่เขา ….เอายานบินของมนุษย์ต่างดาวมายังโลก ?

“มันคือพลังของกรีนแลนเทิร์น” ซู่เจินเขย่าแหวนที่อยู่บนนิ้วของเขาให้กับนาตาชาดู “แหวนวงนี้สามารถสร้างอะไรขึ้นมาก็ได้จากจิตนาการ ยิ่งจินตนาการมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมากเท่านั้น!”

“แหวนกรีนแลนเทิร์นอันนี้คุณได้มันมาจากนอกโลกใช่ไหม?”

“ใช่!”

ซู่เจินพยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ และมองไปที่รถที่กำลังขับเข้าไปจอดในโรงแรมเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง หลังจากที่พวกเขาจอดรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เดินเข้าไปในโรงแรมทันที

ซู่เจินค่อย ๆ ร่อนตัวลงกับพื้นอย่างช้า ๆ พร้อมกับมองไปที่โรมแรมแห่งนั้นและหันไปพูดกับนาตาชาว่า “แล้วคุณจะเอายังไงต่อ ? เข้าไปเลยหรือจะวางแผนกันก่อน ? “

“เข้าไปกันเลยสิ!”

ตอนแรกนาตาชาคิดว่าจะต้องวางแผนอะไรให้เรียบร้อยซะก่อน แต่ในเมื่อมีซู่เจินมาด้วยทำให้เธอมีความมั่นใจมากขึ้น ดังนั้นจึงไม่ต้องคิดแผนอะไรให้มากความ

พวกเขาทั้งสองคนค่อย ๆ เดินเข้าไปในโรงแรมอย่างช้า ๆ โดยที่นาตาชาควงแขนของซู่เจินเอาไว้ ไม่นานพวกเขาก็พบห้องที่เป้าหมายของพวกเขาเข้าไปพักอย่างรวดเร็ว

ซึ่งตอนนี้พวกเขาก็ได้มายืนอยู่หน้าห้องของเป้าหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จู่ ๆ ซู่เจินก็กระซิบขึ้นมาข้างหูของนาตาชาว่า “พวกเขาใจกล้ากันมากเลยที่เดียว คนสามคนนอนอยู่ห้องเดียวกัน พวกเขาจะเล่น 3P กันงั้นหรอ?”

นาตาชามองไปที่ซู่เจินและพูดขึ้นมาเบา ๆ “ฉันไม่คิดเลยว่าคุณจะเป็นคนที่น่าสมเพชแบบนี้“

“มันเป็นเรื่องปกติของผู้ชาย ? และมันก็ดีกว่าการเสแสร้งนิจริงไหม?” ซู่เจินพูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจ

นาตาชาไม่ได้ตอบและเคาะประตูห้องทันที

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

เสียงเคาะประตูดังขึ้นและไม่นานก็มีเสียงของผู้ชายตะโกนดังขึ้นมาจากในห้อง “ใคร!”

นาตาชาไม่ตอบและยังคงเคาะประตูต่อไป

เสียงฝีเท้าค่อย ๆ ดังขึ้นมาพร้อมกับประตูที่เปิดออก

มีชายคนหนึ่งเดินมาเปิดประตู และมองไปที่ซู่เจินกับนาตาชาพร้อมกับถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อยว่า “พวกคุณเป็นใคร?”

นาตาชายิ้มออกมาอย่างอ่อนหวานพร้อมกับจับไปที่แขนของชายคนและดึงตัวของเขาเข้ามาพร้อมกับเข่าลอยเข้าที่หน้าอกของชายคนนั้นทันที ชายคนนั้นล้มลงกับพื้นและแสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมา ส่วนซู่เจินที่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้าก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ แค่เขามองดูก็รู้แล้วว่าเข่าลอยเมื่อกี้มันเจ็บมากแค่ไหน ถือซะว่าคนพวกนี้โชคร้ายละกันที่มาเจอกับเธอ!

เมื่อคนที่อยู่ในห้องอีกสองคนเห็นว่านาตาชาและซู่เจินเดินเข้ามา พวกเขาก็มีปฏิกิริยาทันที ชายอีกคนรีบวิ่งไปหยิบไม้เท้าออกมาจากกระเป๋าเดินทางอย่างรวดเร็ว และในขณะที่เขาถือไม้เท้าอยู่อารมณ์ของเขาก็เปลี่ยนไปทันที

ความโกรธแค้น!

เขาคำรามออกมาและพุ่งเข้าไปโจมตีนาตาชาอย่างรวดเร็ว

นาตาชาก้มตัวลงกับพื้นและเอามือข้างซ้ายแตะพื้นเอาไว้ พร้อมกับเอาขาซ้ายเตะไปที่ข้อมือของชายคนนั้นอย่างรุนแรง ทำให้เขาร้องออกมาอย่างเจ็บปวดและไม้เท้าตกลงกับพื้นทันที นาตาชารีบใช้มือข้างขวาของเธอหยิบไม้เท้าอันนั้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว!

“เวรเอ้ย..!”

ซู่เจินอดไม่ได้ที่จะสบถขึ้นมาเบา ๆ เขาไม่คิดว่านาตาชาจะลงมือได้รวดเร็วแบบนี้ แถมใครจะไปคิดว่าผู้ชายคนนั้นจะอ่อนแอแบบนี้ เขาเพิ่งจะถือไม้เท้าได้แปปเดียวก็ถูกนาตาชาแย่งไปซะแล้ว!

เมื่อนาตาชาถือไม้เท้าเอาไว้ในมือ เธอก็คำรามขึ้นมาพร้อมกับดวงตาที่แดงปลั่ง และเริ่มอาละวาดทันที

เธอหวดไม้เท้าไปที่ไหล่ของชายคนนั้น หลังจากนั้นเธอก็หวดไปที่คางอีกทีพร้อมกับเตะไปที่ตัวของชายคนนั้นให้ลอยขึ้น และเอาเท้าถีบเข้าไปที่หน้าท้องของชายคนนั้นอย่างรุนแรง

อุก! ตู้ม!!

ชายคนนั้นถูกถีบกระเด็นไปกระแทกกับกระแพงอย่างรุนแรง ทำให้กำแพงภายในห้องสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่ง และร่างของเขาก็ค่อย ๆ หล่นลงมากองอยู่กับพื้นอย่างช้า ๆ

เมื่อนาตาชาจัดการผู้ชายคนนั้นเรียบร้อยแล้ว เธอก็หันไปมองผู้หญิงอีกคนที่อยู่ในห้องทันที

ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนว่าจะตกใจกับเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้ามาก เมื่อเธอเห็นว่านาตาชากำลังวิ่งเข้ามาหาเธอ เธอก็รีบวิ่งหนีทันที ในขณะที่นาตาชาจะจับตัวของเธอได้นั้น จู่ ๆ ร่างกายของเธอก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้!

“รีบพาเขาออกไปจากที่นี่เร็วเข้า!”

ซู่เจินรีบตะโกนบอกกับผู้หญิงคนนั้นทันที ทำให้เธอรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากที่เธอตั้งสติได้แล้วเธอก็รีบไปอุ้มชายคนนั้นเอาไว้และรีบหนีไปอย่างรวดเร็ว ส่วนอีกคนที่อยู่ตรงหน้าประตูห้องแม้ว่าเธอจะอยากช่วยเขา แต่เธอก็ไม่ได้มีร่างกายที่แข็งแรงมากมายอะไรขนาดนั้น

เมื่อซู่เจินเห็นเช่นนั้น เขาก็ใช้พลังจิตของเขาโยนอีกคนที่อยู่ตรงหน้าประตูออกไปทันที

“ปัง!“

และซู่เจินก็ใช้พลังจิตของเขาปิดประตูพร้อมกับมองไปที่นาตาชาที่กำลังพยายามดิ้นรนอย่างรุนแรง

“ปล่อย … ปล่อยฉัน … ” นาตาชาตะโกนขึ้นมาพร้อมกับกัดฟันของเธออย่างรุนแรง

“คุณถูกควบคุมด้วยความโกรธอยู่ ผมจะปล่อยคุณไปได้ยังไง!”

ซู่เจินพูดขึ้นมาพร้อมกับถอนหายใจเบา ๆ

เขารับรู้ถึงพลังของไม้เท้าอันนี้ดี และแน่นอนว่ามันจะต้องมีผลข้างเคียงอย่างแน่นอน!

“ฉันบอกว่า … ให้ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!”

นาตาชาตะโกนขึ้นมารุนแรง โดยที่ไม่ฟังคำพูดของซู่เจินเลยแม้แต่น้อย ทำให้พลังจิตของซู่เจินรู้สึกสั่นคลอนเล็กน้อย และในจังหวะนั้นนาตาชาก็หวดไม้เท้าไปที่ซู่เจินอย่างรวดเร็ว

ซู่เจินไม่ได้ขยับตัวอะไร แต่ทันใดนั้นก็มีกลุ่มก้อนพลังงานปรากฏขึ้นมาต่อหน้าของซู่เจินเพื่อขัดขวางไม้เท้าอันนั้นเอาไว้ พร้อมกับที่ซู่เจินยื่นมือของเขาออกไปจับที่แขนของนาตาชาและบีบอย่างรุนแรง “อ๊า!“ นาตาชาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด และปล่อยไม้เท้าอันนั้นออกจากมือของเธอทันที

กูรูลู ๆ

ไม้เท้าตกลงไปกระแทกกับพื้นและกลิ้งไปอยู่ข้าง ๆ ตัวของนาตาชาที่เป็นลมหมดสติไปเรียบร้อยแล้ว

เวลาช่วงค่ำคืนผ่านไปอย่างช้า ๆ

บนเกาะเต็มไปด้วยความเงียบสงบ มีลมเย็น ๆ พัดจากทะเลเข้าสู่ชายฝั่งอยู่ตลอดเวลา

ซู่เจินรู้สึกว่าเขาไม่ค่อยสบายเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะสามารถดูดกลืนอนุภาคอีเทอร์ได้อย่างไม่จำกัด แต่มันก็ใช้เวลามากเกินไปและทำให้ร่างกายของเขาต้องรับภาระหนัก เช่นเดียวกับความสามารถในการกลืนกินของเขา หากเขากลืนกินมากเกินไปมันจะทำให้เขาสูญเสียการควบคุมของตัวเองไปได้โดยง่าย

เมื่อเขาดูดกลืนพลังงานของอนุภาคอีเทอร์เข้าสู่ร่างกาย ร่างกายมันจะทำการปรับเปลี่ยนให้อย่างอัตโนมัติเพื่อจัดการกับผลข้างเคียงและผลกระทบทั้งหมดที่เกิดจากพลังงานที่ได้ดูดกลืนเข้ามา โดยที่ความเร็วของการดูดกลืนนั้นมันจะเท่า ๆ กันทุกครั้ง หากว่าเขาดูดกลืนโดยไม่มีสมดุลของความเร็วที่เท่ากัน ร่างกายของเขาก็จะเสียสมดุลและมีปัญหาตามมาในภายหลังอย่างแน่นอน

ตอนนี้ซู่เจินรู้สึกได้ว่าเหมือนจะมีอะไรบางอย่างอยู่ภายในร่างกายของเขา ทำให้ร่างกายของเขาเริ่มเสียการควบคุม

ซู่เจินลุกขึ้นและเดินออกมาจากยานบินทันที

ซู่เจินเดินเล่นไปทั่วเกาะเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศพร้อมกับรับลมทะเลเย็น ๆ ที่พัดไปพัดมาอยู่ตลอดเวลา

นี่เป็นครั้งแรกที่ซู่เจินได้ชื่นชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเกาะแห่งนี้ มันช่างสวยงามแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับตอนกลางวัน และจู่ ๆ ซู่เจินก็อยากดื่มเครื่องดื่มขึ้นมา ทำให้ร่างกายของเขาค่อย ๆ ลอยขึ้นและหายไปจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว … มีแสงสว่างวาบไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืน และไม่นานซู่เจินก็ปรากฏตัวขึ้นในตัวเมืองที่มีคนพลุกพล่าน!

สถานบันเทิงยามค่ำคืนล้วนถูกรายล้อมไปด้วยแสงไฟและเสียงดนตรีพร้อมกับคนเดินขวักไขว้ไปมามากมาย และนี่มันก็แค่ … เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น

ซู่เจินกำลังเดินไปตามท้องถนนเพื่อหาบาร์นั่งดื่ม ในระหว่างทางเขาก็เห็นผู้หญิงหลายคนที่แต่งหน้าค่อนข้างจัดเต็มบวกกับการแต่งตัวที่เผยสัดส่วนร่างกายของพวกเธออย่างชัดเจน บางครั้งพวกเธอก็เดินไปหาคนที่เดินผ่านไปผ่านมา เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเธอกำลังทำงานอยู่ แต่มันเป็นงานที่ค่อนข้างจะพิเศษสักเล็กน้อย

และเมื่อซู่เจินเดินผ่านพวกเธอก็มีผู้หญิงสองคนเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับพยายามชวนเขาคุย แต่ซู่เจินก็ไม่ได้สนใจพวกเธอเลยสักนิด และไม่นานซู่เจินก็เจอเข้ากับบาร์ที่อยู่ใกล้ ๆ ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีทำเลค่อนข้างดี และเมื่อเขาเดินเข้าไปด้านในก็พบเข้ากับแสงไฟที่ดูสลัวเล็กน้อย และภายในก็มีคนไม่ค่อยมากทำให้มันค่อนข้างเงียบสงบเหมาะแก่การดื่มเป็นอย่างมาก ในขณะที่ซู่เจินกำลังมองไปรอบ ๆ เพื่อหาที่นั่ง ทันใดนั้นเขาก็สังเกตุเห็นคนที่เขารู้จักคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่มุมขอบหน้าต่างของร้าน!

“ผมไม่คิดเลยว่าจะเจอคุณที่นี่?” ซู่เจินนั่งลงและพูดขึ้นมาอย่างสบาย ๆ “คุณรู้ไหมว่าผมคิดอะไรอยู่เมื่อเห็นคุณ?”

“บางที… คืนนี้น่าจะเป็นคืนที่น่าจดจำใช่ไหม?” นาตาชาพูดขึ้นมาเชิงล้อเล่น

ใช่! คนรู้จักของเขาก็คือ นาตาชา

เธอสวมกางเกงหนังสีดำบวกกับเสื้อยืดสีดำและสวมแจ็คเก็ตหนังสีดำทับด้านนอกอีกชั้นหนึ่ง ทำให้เธอดูคูลและมีเสน่ห์ในขณะเดียวกัน

ซู่เจินส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ใช่หรอก และผมก็ไม่คิดว่า SHIELD จะมีเครือข่ายข้อมูลที่แข็งแกร่งมากขนาดนี้ ผมแค่ต้องการมานั่งดื่มเงียบ ๆ คนเดียว แต่คุณกลับมานั่งรอผมก่อนซะแล้ว!”

“คุณคิดว่าฉันมาที่นี่เพื่อรอคุณงั้นหรอ ?” นาตาชาเลิกคิ้วและส่ายหัวเบา ๆ “ถ้าคุณคิดอย่างงั้นจริง ๆ ละก็ … คุณเดาผิดแล้วล่ะ ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อรอคุณ!”

“โอ้?”

ซู่เจินเปิดขวดไวน์แล้วยื่นให้กับนาตาชาพร้อมกับถามขึ้นมาว่า “ไหงเป็นงั้น ? อย่าบอกนะว่าคุณแค่มาดื่มเฉย ๆ ? “

หลังจากพูดจบซู่เจินก็ชนขวดกับนาตาชาแล้วจิบเบา ๆ

“แล้วคุณล่ะ?” นาตาชาไม่ตอบ แต่ถามขึ้นมาแทน

“ผม ? ผมก็แค่มาดื่ม“ ซู่เจินพูดขึ้นมาอย่างลวก ๆ

“คุณเห็นคนที่นั่งอยู่ทางโต๊ะด้านซ้ายนั่นไหม ? ลองมองไปที่กระเป๋าบนเก้าอี้ของเขาดูสิ“ นาตาชากระซิบขึ้นมาอย่างกะทันหัน

ซู่เจินหันไปมองทางด้านซ้ายทันทีโดยไม่มีการระมัดระวังตัวเลยแม้แต่น้อย เขาเห็นว่ามีหนุ่มสาวสามคนกำลังนั่งดื่มกันอยู่ เป็นชาย 2 คนและหญิงอีก 1 คน โดยที่มีกระเป๋าเดินทางวางอยู่บนเก้าอี้พร้อมกับมีวัตถุคล้ายกับแท่งอะไรบางอย่างโผล่ออกมาจากช่องว่างของซิป และเมื่อดูจากขนาดของมันแล้วมันน่าจะยาวเกินไปจนไม่สามารถใส่กับกระเป๋าเดินทางได้จนหมด

“ดูเหมือนว่าคุณจะไม่ได้มาที่นี่เพื่อดื่มอย่างเดียวสินะ“ ซู่เจินหันหน้าไปมองทางนาตาชา “ผมจะรอจนกว่าคุณจะทำภารกิจเสร็จ ? หรือว่า … ผมจะเปลี่ยนร้านดี ?”

นาตาชามองไปที่ซู่เจินด้วยความโกรธและพูดว่า “ขนาดฉันอยู่ที่นี่คุณยังกล้าที่จะไปอีกงั้นหรอ ? คุณรู้ไหมว่าสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าใบนั้นมันคืออะไร ? มันคือไม้เท้าที่มีความสามารถพิเศษบางอย่าง และในตัวของไม้เท้าอันนั้นมันยังมีรังสีความโกรธแค้นอย่างรุนแรงฝังลึกอยู่ภายใน แถมแก๊งของคนพวกนี้ก็ได้ฆ่าคนบริสุทธิ์ไปมากมาย ดังนั้นหน้าที่ของฉันในตอนนี้ก็คือเอาไม้เท้านั่นมาและหาว่ามันถูกสร้างขึ้นมาจากที่ไหน“

“มันไม่น่าจะยากเกินความสามารถของคุณนิจริงไหม ?” ซู่เจินพูดขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจ

“ถ้าได้ความช่วยเหลือจากคุณ ฉันจะมั่นใจมากกว่านี้ ? และคุณก็อย่าลืมนะว่าคุณก็เป็นที่ปรึกษาของ SHIELD แม้ว่ามันจะไม่ค่อยมีความสำคัญในเชิงปฏิบัติก็ตาม แต่คุณทนได้หรอกับสิ่งที่พวกมันได้ทำกับคนบริสุทธิ์?” นาตาชาขมวดคิ้วและถามขึ้นมา

“ถ้าไม่มีสิ่งตอบแทนผมไม่ทำหรอกนะ!” ซู่เจินส่ายหัวเบา ๆ “และผมก็มาที่นี่เพื่อดื่มเท่านั้น

“คุณช่วยฉันหน่อยนะ! ถ้าเกิดว่าทำภารกิจเสร็จแล้ว ฉันจะพาคุณไปหาที่เงียบ ๆ เครื่องดื่มดี ๆ ดื่มกันเป็นไง? “นาตาชามองไปที่ซู่เจินด้วยสายตาอ้อนวอนและถามขึ้นมา

แม้ว่าซู่เจินจะรู้ว่านาตาชาไม่ต้องการความช่วยเหลือของเขาเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อเธออยู่ตรงหน้าของเขาเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธเธอได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเกิดว่ามันจะไม่จบกันแค่การดื่มล่ะ ? ทำให้เขาอดคิดเกี่ยวกับมันไม่ได้จริง ๆ

“คุณจะทำอะไรต่อไปล่ะ?”

ซู่เจินถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

นาตาชายิ้มหวานขึ้นมาทันทีและพูดว่า “คุณตกลงแล้วงั้นหรอ ? เยี่ยม! … ที่นี่ไม่เหมาะกับการลงมือ เราจะต้องรอจนกว่าพวกเขาจะออกไปและหาสถานที่ที่เหมาะสมในการลงมือ โดยที่มีเป้าหมายหลักก็คือ ไม้เท้า!”

“โอเค!”

ซู่เจินตอบขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน จากนั้นเขาก็นั่งจิบไวน์อย่างสบาย ๆ

แม้ว่าซู่เจินจะเห็นมันเพียงแค่เล็กน้อย แต่เขาก็จำมันได้ทันทีเลยว่าไม้เท้าอันนี้มันคืออะไร ตอนแรกเขาคิดว่าคนพวกนี้จะเจอกับโควสันเป็นอันดับแรก แต่ที่ไหนได้นาตาชากับมาสนใจคนพวกนี้ก่อนโควสันซะงั้น

และมันก็ดันเป็นเรื่องบังเอิญอีกทั้งที่เขากะว่าจะออกมาดื่มแบบชิว ๆ แต่ไหงดันมาเจอเรื่องแบบนี้ซะได้ ราวกับว่ามันถูกลิขิตมาให้เป็นของเขาอย่างไงอย่างงั้น!

ส่วนการช่วยเหลือนาตาชา มันก็แค่การช่วยเหลือตามหน้าที่เท่านั้น

และถ้ามีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นต่อหน้าของซู่เจิน โดยที่ไม่มีนาตาชาหรือ SHIELD เข้ามาเกี่ยวข้อง เขาก็จะเอาไม้เท้าอันนี้มาเป็นของเขาอยู่ดี และในวันนี้ก็จะไม่มีใครได้ไม้เท้าอันนี้ไปอย่างแน่นอน … ไม่ว่าจะเป็น นาตาชา หรือ SHIELD ก็ตาม

“ฐานของคุณเป็นยังไงบ้าง?”

นาตาชาถามขึ้นมาพร้อมกับดื่มเบา ๆ

“มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แถมตอนนี้ผมก็กำลังหาตัวช่วยเพิ่มเติม เพื่อร่นระยะเวลาการก่อสร้างให้มันน้อยลงอยู่“

“ถ้าคุณบอกกับ นิค ฟิวรี่ เขาจะช่วยเหลือคุณอย่างแน่นอน!”

“ปัญหาก็คือ ผมจะไม่มีความสุขหน่ะสิ!” ให้นิค ฟิวรี่ช่วย? ลืมมันไปเถอะ! ถ้าเกิดว่าแขนขาของเขายังอยู่ครบ เขาจะไม่ยอมไปขอความช่วยเหลือจาก นิค ฟิวรี่ อย่างง่ายดายแน่นอน!

“บอส! ดาร์กเอลฟ์บอกว่าเทคโนโลยีบนยานบินของเรานั้นล้ำหน้ากว่าเทคโนโลยีบนดาวโลกอย่างน้อย 100 ปี ดังนั้นเราจึงไม่ต้องกังวลว่าเทคโนโลยีของเราจะถูกขโมยไป เว้นแต่ว่ายานบินของเราจะถูกผ่าเป็นสองซีก!” บริ๊งค์เดินออกมาจากประตูพอร์ทัลและหันไปกระซิบกับซู่เจิน

ซู่เจินพยักหน้าเบา ๆ เพราะว่าตอนนี้เขาได้ให้เปปเปอร์ไปหาโทนี่เพื่อขอความช่วยเหลือเรียบร้อยแล้ว และถ้าเกิดว่าโทนี่ยอมส่งไอรอนแมนมาช่วยเหลือเขาจริง ๆ การก่อสร้างมันจะเสร็จได้เร็วยิ่งขึ้น แต่เขาก็คิดว่าโทนี่คงไม่ยอมช่วยเขาแบบฟรี ๆ โดยไม่มีเงื่อนไขอย่างแน่นอน

และเนื่องจากที่ดาร์กเอลฟ์บอกว่าเทคโนโลยีของยานบินมันไม่สามารถขโมยไปได้ ทำให้เขาสามารถใช้เงื่อนไขนี้ในการต่อรองกับโทนี่ได้ แต่ตอนนี้เขาควรรอข่าวของเปปเปอร์ก่อนละนะ!

ซู่เจินหันหลังกลับและเดินไปช่วยงานทันที

เขาสร้างรถขุดขึ้นมาและควบคุมมันด้วยพลังจิต ในขณะเดียวกันเขาก็ใช้พลังจิตของเขาช่วยขนย้ายสิ่งของต่าง ๆ ไปด้วย และเขาก็ยังใช้พลังของแหวนสร้างเครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคนงาน และด้วยความช่วยเหลือของซู่เจินในตอนนี้ ทำให้การก่อสร้างคืบหน้าไปอย่างรวดเร็ว

ซู่เจินทำงานตลอดทั้งวันโดยไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้ได้ถึงเวลาเลิกงานเรียบร้อยแล้ว

เนื่องจากมันเป็นงานที่จะต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน ทำให้คนงานเหล่านี้ไม่สามารถขึ้นไปอาศัยอยู่บนยานบินได้ พวกเขาจึงต้องสร้างที่พักกันเองบนเกาะแห่งนี้ โดยที่ซู่เจินจะมีอาหารและเครื่องดื่มให้พวกเขาเลือกกันได้ตามใจชอบ เพราะว่าการที่พวกเขาเหล่านี้กล้ามาทำงานกับคนอย่างพวกเขา …. มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย!

ไม่ว่าจะเป็น ยานบินของมนุษย์ต่างดาว มนุษย์ต่างดาว มนุษย์กลายพันธุ์ และผู้มีพลังพิเศษ

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนธรรมดาไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย และชื่อเสียงของซู่เจินก็ไม่ได้โด่งดังเหมือนกับชื่อของ ไอรอนแมนหรือกัปตันอเมริกาเลยแม้แต่น้อย

ดังนั้นเพื่อให้พวกเขาสามารถทำงานกันได้อย่างสบายใจ บริ๊งค์จึงได้จัดเตรียมอะไรหลาย ๆ อย่างเอาไว้มากมาย

ในตอนนี้ซู่เจินยังไม่มีแผนที่จะออกไปไหน เขาก็เลยกลับไปที่ห้องของเขาบนยานเพื่อพักผ่อนทันที และจู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับบริ๊งค์ที่เดินถือของกินเข้ามามากมาย

“อาหารจีน ? คุณซื้อมาให้ผมงั้นหรอ?”

ซู่เจินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แม้ว่าบนเกาะจะมีอาหารที่ถูกจัดเตรียมไว้มากมาย แต่มันก็ไม่มีอาหารจีนอย่างแน่อน

บริ๊งค์พยักหน้าและพูดว่า “ใช่! ฉันไม่รู้ว่าบอสชอบกินอะไร ฉันก็เลยไปหาซื้ออาหารจีนมาให้“

“ขอบคุณนะ!” ซู่เจินรับมันมาด้วยรอยยิ้มและเปิดกินทันที

“งั้นฉันขอตัวก่อน“ บริ๊งค์พูดขึ้นมาพร้อมกับหันหลังเดินจากไปทันที ทั้งทีซู่เจินอยากจะชวนเธอมากินด้วยกันสักหน่อย

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ซู่เจินก็สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า บริ๊งค์นั้นเป็นคนที่ทุ่มเทให้กับงานมาก และแน่นอนว่าการที่เขามีลูกน้องที่ขยันขันแข็งแบบนี้มันเป็นเรื่องที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบหน้าของเธอ ยิ่งเขามองมันมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังมองหน้าของฟ่านปิงปิงอยู่ และในบางครั้งใบหน้าของบริ๊งค์ก็ทำให้ฮอร์โมนของเขารู้สึกพลุ่งพล่าน

กล่าวได้ว่าอาหารจีนนั้นมีอยู่ทั่วโลก และมันก็ค่อนข้างจะเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก แต่เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนรสชาติให้เหมาะกับคนในท้องถิ่น ทำให้รสชาติมันไม่ค่อยเข้มข้นมากนัก ดังนั้นซู่เจินจึงกินมันแค่ให้รู้สึกอิ่มท้องและหลังจากนั้นเขาก็นั่งดูดกลืนอนุภาคอีเทอร์ต่อทันที

ถ้าหากว่าเขาสามารถดูดกลืนอนุภาคอีเทอร์ได้อย่างสมบูรณ์ การสร้างฐานมันจะกลายเป็นเรื่องง่ายดายทันที เพราะว่าอัญมณีแห่งความจริงนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้เป็นจริงได้ ตราบใดที่เขามีพลังแข็งแกร่งเพียงพอ

และถึงยังไงในตอนนี้เขาก็ยังไม่สามารถใช้มันได้อยู่ดี!

ในขณะที่ซู่เจินกำลังดูดกลืนอนุภาคอีเทอร์อยู่ เขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับบริ๊งค์ที่เดินเข้ามา

“บอส!“

บริ๊งค์พูดขึ้นมาพร้อมกับเขยิบไปด้านข้างของซู่เจิน เพื่อให้คนด้านหลังของเธอได้เดินขึ้นมาอยู่ข้างหน้า

เปปเปอร์ ?

“ดูเหมือนว่ามันจะไม่สำเร็จสินะ? “

เมื่อซู่เจินเห็นใบหน้าของเปปเปอร์ ที่แสดงท่าทางขอโทษและโกรธออกมา เขาก็เดาได้ทันทีเลยว่าการขอความช่วยเหลือจากโทนี่มันน่าจะไม่สำเร็จอย่างแน่นอน

บริ๊งค์หันหน้าไปมองเปปเปอร์เล็กน้อย ส่วนเปปเปอร์ก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาหาซู่เจินพร้อมกับกล่าวขอโทษว่า “ขอโทษนะ ตอนแรกฉันคิดว่าโทนี่จะเห็นด้วย และฉันก็คาดไม่ถึงด้วยว่าโทนี่จะเป็นคนขี้เหนียวขนาดนี้ แถมฉันก็เพิ่งจะทะเลาะกับเขามาเมื่อกี้นี้เอง เขาเอาแต่ใส่อารมณ์กับฉัน … ฉันเป็นผู้ช่วยของเขานะไม่ใช่แม่สักหน่อย!”

นิสัยแบบนี้ของโทนี่มันใช้ไม่ได้จริง ๆ

“มันไม่สำคัญหรอก เพราะว่าผมเคยพูดไปแล้วว่าคุณไม่จำเป็นที่จะต้องขอบคุณอะไรผมเป็นพิเศษ!” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม เพื่อไม่ให้เธอรู้สึกกังวล

เปปเปอร์ส่ายหัวเบา ๆ และพูดว่า “ตอนนี้ฉันได้ลาออกจากงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และ … ฉันก็หวังว่าคุณจะให้ฉันอยู่ที่นี่เพื่อช่วยงานคุณ“

“เอ๋?

ดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งสองคนจะทะเลาะกันหนักมาก ทำให้เปปเปอร์เกิดลาออกขึ้นมาจริง ๆ

เมื่อพูดถึงความสามารถทางด้านธุรกิจของเปปเปอร์ แน่นอนว่ามันจะต้องสุดยอดอย่างแน่นอน เพราะโดยปกติแล้วโทนี่ไม่ค่อยจะสนใจเกี่ยวกับบริษัทสักเท่าไหร่ ทำให้บริษัททั้งหมดถูกบริหารโดยเปปเปอร์เพียงคนเดียว และในตอนนี้เธอกำลังขอมาทำงานกับเขาด้วยตัวของเธอเองอีก แล้วเขาจะต้องมีเหตุผลอะไรที่จะปฎิเสธเธอล่ะจริงไหม ?

“มันจะดีมากถ้าเกิดว่าคุณมาอยู่ที่นี่จริง ๆ แม้ว่าผมจะไม่มีบริษัท แต่คุณก็เห็นแล้วว่าฐานของผมกำลังพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นผมจึงต้องการคนที่มีความสามารถหลาย ๆ ด้านมาช่วยกันบริหารจัดการมัน และผมก็หวังว่าคุณจะเป็นหนึ่งในนั้นนะ!” ซู่เจินพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“เอ่อ … ฉันขอคิดดูก่อน …และก่อนที่จะสร้างฐานเสร็จฉันจะอยู่ที่นี่เพื่อช่วยคุณก่อนเป็นเวลาชั่วคราว!” เปปเปอร์พูดขึ้นมาด้วยความลังเลเล็กน้อย

“ไม่มีปัญหา! งั้นเดี๋ยวผมจะพาคุณไปเลือกห้องพัก และถ้าเกิดว่าคุณต้องการอะไรคุณก็ไปบอกกับบริ๊งค์ก็แล้วกัน “ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้สัญญาว่าจะอยู่ที่นี่ แต่เขาก็เชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไป เธอจะไม่เต็มใจจากที่นี่ไปอย่างแน่นอน

หลังจากนั้นไม่นานซู่เจินก็พาเธอเดินออกไปจากห้อง เพื่อไปเลือกห้องพักพร้อมกับจัดเตรียมห้องให้กับเธอ …

หลังจากที่ซู่เจินออกมาจากยานบิน เขาก็บินไปที่เกาะแถวชายฝั่งตะวันตกด้วยความเร็วเสียงทันที และไม่นานเขาก็บินมาถึง โดยที่เขายังไม่ได้เข้าไปภายในเกาะ เขาลอยตัวอยู่กลางอากาศพร้อมกับมองไปที่คนงานที่กำลังทำการก่อสร้างกันอย่างขยันขันแข็ง มันชั่งเป็นภาพที่ดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมากและเขาก็เห็นว่าบริ๊งค์กำลังเปิดประตูพอร์ทัลเพื่ออำนวยความสะดวกในด้านการขนส่งอุปกรณ์ก่อสร้างต่าง ๆ

ซู่เจินค่อย ๆ ร่อนลงพื้นอย่างช้า ๆ

“บอส คุณกลับมาแล้วงั้นหรอ“

บริ๊งค์พูดทักทายขึ้นมาทันที เมื่อเห็นซู่เจินที่กำลังร่อนลงมา

เมื่อซู่เจินเห็นเม็ดเหงื่อที่หน้าผากของบริ๊งค์ เขาก็พูดขึ้นมาด้วยความเป็นห่วงว่า “อย่าทำงานหนักเกินไป หาเวลาไปพักผ่อนบ้าง!”

“เรื่องเล็กน้อย … ไม่มีปัญหาอะไรหรอก!” บริ๊งค์พูดขึ้นมาพร้อมกับเช็คเหงื่อที่หน้าผากของเธอ

“แล้วตอนนี้ความคืบหน้าเป็นยังไงบ้าง ?” ซู่เจินรู้ดีว่านิสัยของบริ๊งค์ตามปกติแล้วเธอเป็นคนดื้อรั้น แต่ตอนนี้เธอมีพฤติกรรมที่แปลกออกไป เธอนิ่งและเงียบผิดปกติ แต่ซู่เจินก็ไม่ได้ซักไซ้ถามอะไรเธอให้มากความ และเปลี่ยนไปถามเรื่องความคืบหน้าแทน

ตามความคิดของซู่เจินเขาไม่ต้องการสร้างฐานทัพของเขาไว้เพียงแค่บนพื้นดินเท่านั้น เขาต้องการสร้างฐานทัพของเขาเอาไว้ใต้ดินด้วย! ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นในตอนนี้ก็คือวิศวกรและคนงานจำนวนมาก

“ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด น่าจะเสร็จภายในครึ่งปี!” บริ๊งค์คิดอยู่สักพักหนึ่งและตอบซู่เจิน

ครึ่งปี? ดูเหมือนว่ามันจะช้าไปหน่อย

แต่ถึงยังไงพวกเขาก็มีกันแค่สามคนบวกกับคนงานที่อยู่ที่นี่ทั้งหมด ทำให้การก่อสร้างไม่สามารถเร่งเวลาไปได้มากกว่าอีกนี้แล้ว … ดูเหมือนว่าฉันจะต้องอยู่ช่วย….

“บอส! ดูเหมือนว่าจะมีแขกมาหาพวกเรา“

ในขณะที่ซู่เจินกำลังยืนคิดอยู่ บริ๊งค์ก็พูดแทรกขึ้นมาอย่างกระทันหัน

ซู่เจินเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า แล้วมองไปที่แสงที่กำลังส่องแสงแวววับมาแต่ไกล

“ไอรอนแมนงั้นหรอ ? เขามาทำอะไรที่นี่!” ซู่เจินขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย

หรือว่าผู้ชายคนนี้ยังต้องการศึกษายานบินของดาร์กเอลฟ์อยู่อีก ?

“เธอไปบอกดาร์กเอลฟ์ให้เปิดระบบป้องกันของยานบินให้เรียบร้อย เพราะว่าเราไม่รู้ว่าเขาจะมาดีหรือมาร้าย” ซู่เจินหันไปกระซิบกับบริ๊งค์ บริ๊งค์พยักหน้าเบา ๆ และเปิดประตูพอร์ทัลไปหาดาร์กเอลฟ์ทันที

ในขณะเดียวกันตอนนี้ไอรอนแมนได้มาอยู่เหนือหัวของซู่เจินเรียบร้อยแล้ว และกำลังค่อย ๆ ร่อนลงอย่างช้า ๆ

แต่เมื่อดูจากท่าทางที่โคลงเคลงขณะร่อนลงแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยชำนาญสักเท่าไหร่ ?

“ทำไมคุณถึงมาที่นี่! อย่าบอกนะว่าคุณมาที่นี่ก็เพื่อยานบินของดาร์กเอลฟ์ ? และถ้ามันเป็นอย่างงั้นจริง ๆ ผมจะสอนให้คุณรู้เองว่าการวิ่งหนีที่ถูกต้องมันเป็นยังไง!” ซู่เจินโค้งริมฝีปากของเขาขึ้น ในขณะที่จ้องมองไปยังไอรอนแมนที่กำลังร่อนลงพื้นอย่างช้า ๆ

หมวกของชุดเกราะไอรอนแมนค่อย ๆ เปิดออกอย่างช้า ๆ และคนที่อยู่ด้านในไม่ใช่โทนี่ แต่เป็นเปปเปอร์

เมื่อซู่เจินเห็นว่าเธอกำลังเดินออกมาจากชุดเกราะไอรอนแมนอย่างยากลำบาก ก็ทำให้เขารู้สึกมึนงงทันที

นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น?

“ขอโทษ! ผมคิดว่าเป็นโทนี่“ ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ

เปปเปอร์ยิ้มออกมาพร้อมกับโบกมือเบา ๆ ให้กับซู่เจิน “ไม่เป็นไร ๆ “

“คุณมาที่นี่เพื่อมาหาผมงั้นหรอ?” ซู่เจินถามขึ้นมาทันที

เปปเปอร์พยักหน้าและพูดว่า “ใช่ ฉันมาที่นี่ก็เพื่อพบคุณโดยเฉพาะ และฉันก็รู้ด้วยว่าโทนี่กำลังสนใจเกี่ยวกับยานบินของคุณอยู่ แต่ที่ฉันมาที่นี่ในวันนี้มันเป็นความต้องการส่วนตัวของฉันเอง ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่เกี่ยวกับโทนี่“

“ความต้องการส่วนตัว ? แล้วที่ … คุณมาหาผมแบบนี้คุณไม่กลัวว่าโทนี่จะหึงงั้นหรอ?” ซู่เจินยิ้มขึ้นมาพร้อมกับพูดติดตลกเล็กน้อย เขาก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมเปปเปอร์ถึงได้มาหาเขา และมันยังเป็นความต้องการส่วนตัวอีกด้วย ?

เปปเปอร์พูดขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจังว่า “คุณซู่เจิน ฉันคิดว่าคุณกำลังเข้าใจผิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับโทนี่ ฉันเป็นเพียงแค่ผู้ช่วยของเขาเท่านั้น ไม่ใช่แฟนของเขา! “

“เอ่อ … ไม่ใช่งั้นหรอ“ ซู่เจินรู้สึกประหลาดมากใจจริงๆ เมื่อมองจากสิ่งที่โทนี่ได้ทำให้กับเปปเปอร์มากมายซะขนาดนั้น เขาก็คิดว่าพวกเขาเป็นคู่สามีภรรยากันซะอีก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่อย่างที่เขาคิด “ขอโทษนะ คุณ … ยังไม่เคยทำเรื่องอย่างว่ากันเลยงั้นหรอ? “

“จะเป็นอย่างงั้นไปได้ยังไง ฉันเป็นแค่ผู้ช่วยของเขาไม่ใช่แฟน!” เปปเปอร์พูดขึ้นมาอย่างจริงจัง “แน่นอนว่าฉันรู้จักกับเขามาหลายปีแล้ว ดังนั้นสามารถนับได้ว่าเขาเป็นเพื่อนของฉัน แม้ว่าฉันจะเป็นผู้ช่วยของเขาก็ตาม และมันก็ไม่เคยเกินเลยไปมากกว่านั้น และเมื่อเร็ว ๆ นี้ฉันกำลังหาผู้ช่วยคนใหม่ให้กับเขาอยู่ แต่มันก็ยังไม่เจอคนที่เหมาะสม และที่ฉันมาที่นี่ก็เพื่อขอบคุณคุณ!”

“ขอบคุณผม ? เรื่องไวรัสเอ็กซ์ตรีมมิสงั้นหรอ ? “

“ใช่!”

“ไม่จำเป็น เพราะผมเคยพูดไปแล้วว่าผมต้องการไวรัสเอ็กซ์ตรีมมิสจากคุณในตอน!” ซู่เจินไม่คิดว่าเธอจะยังจำมันได้อยู่ แถมเธอยังมาขอบคุณเขาด้วยตัวของเธอเองอีกด้วย

“แต่สำหรับฉันคุณคือผู้มีพระคุณที่ได้ช่วยชีวิตของฉันเอาไว้ ดังนั้นฉันจึงมาที่นี่ก็เพื่อขอบคุณคุณ“ เปปเปอร์ก็ยังคงยืนยันคำเดิม เธอลังเลไปครู่หนึ่งและพูดต่อว่า “แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะตอบแทนคุณยังไงดี“

“เอ่อ … ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน … ตอบแทนด้วยร่างกายของคุณล่ะเป็นยังไง ? “ ซู่เจินพูดขึ้นมาแบบติดตลกเล็กน้อย

เปปเปอร์ถึงกับตัวแข็งค้างไปชั่วขณะ เธอไม่คิดว่าซู่เจินจะพูดขึ้นมาแบบนี้

เมื่อซู่เจินเห็นท่าทางของเปปเปอร์ เขาก็รีบพูดขึ้นมาทันทีว่า “แน่นอนว่าผมแค่ล้อเล่น อันที่จริงถ้าคุณอยากจะขอบคุณผมจริง ๆ ละก็ ผมมีเรื่องอยากให้คุณช่วยนิดหน่อย“

“คุณลองพูดมาสิ!”

“ชุดเกราะเหล็กของโทนี่น่าจะมีอยู่อีกจำนวนมาก และมันสามารถควบคุมจากระยะไกลได้ … คุณลองมองไปรอบ ๆ สิ ตอนนี้ผมกำลังสร้างฐานขึ้นมาและต้องการทำให้มันเสร็จเร็วยิ่งขึ้น แต่ติดปัญหาตรงที่ผมมีคนไม่เพียงพอ ดังนั้น … “

“ฉันจะคุยกับเขาให้!”

เปปเปอร์ตอบขึ้นมาทันที

“ขอบคุณมาก! และถ้าเกิดว่าโทนี่ปฏิเสธผมจะได้ลองหาวิธีอื่นดู“

“เดี๋ยวฉันจะส่งข่าวมาให้คุณ!”

หลังจากเปปเปอร์พูดจบเธอก็เดินไปสวมชุดไอรอนแมนและบินจากไปอย่างรวดเร็ว

ซู่เจินปล่อยโล่พลังงานมาครอบคลุมร่างกายของเขาเอาไว้อย่างเงียบ ๆ และรอจนกว่าควันจะสลายหายไปจนหมด และพึมพำขึ้นมาเบา ๆ ว่า“ไม่ว่าจะเป็นรถหรือชุดเกราะไอรอนแมน ถ้าเกิดว่าผู้หญิงเป็นคนขับหรือบังคับมัน มันจะออกมาแย่มาก …. “

ในเวลากลางคืน ในขณะที่คนอื่น ๆ กำลังนอนพักผ่อนกันอยู่

ไฟในห้องทดลองกับยังคงเปิดสว่างอยู่ โดยมีเจมมาที่สวมเสื้อคลุมสีขาวและแว่นตา กำลังศึกษาเกี่ยวกับการปรุงยายีน R รุ่นแรกอยู่ ในฐานะนักชีววิทยาแม้ว่าเธอจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในด้านของพันธุศาสตร์และไม่ค่อยมีความมั่นใจว่าเธอจะทำมันขึ้นมาได้สำเร็จ แต่เธอก็อยากรู้ว่ายาตัวนี้จะสามารถทำให้คนธรรมดากลายเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษได้อย่างไร ทำให้เธอในตอนนี้ใช้สมาธิทั้งหมดของเธอจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นมา โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าซู่เจินได้เดินเข้ามาในห้องทดลองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ซึ่งซู่เจินก็ไม่ได้รบกวนอะไรเธอ เขายืนอยู่นิ่ง ๆ และเฝ้ามองเธออยู่ห่าง ๆ เจมมานั้นมีรูปร่างที่ดูดีและใบหน้าที่งดงาม บางทีอาจจะเป็นเพราะนิสัยส่วนตัวของเธอหรือความเป็นมืออาชีพในการทำงาน ทำให้เธอไม่ค่อยจะแต่งตัวมากนัก และในขณะนั้นซู่เจินก็สังเกตุเห็นขาของเธอโผล่ออกมาจากเสื้อคลุมของเธอ ซึ่งขาของเธอมันขาวมาก ทำให้มุมปากของซู่เจินยกขึ้นเล็กน้อย เขายังจำได้อยู่เลยว่าเขาเคยบอกกับเจมมาว่าขาของเธอมันสวยมาก ทำไมเธอถึงไม่ลองเปลี่ยนมาใส่ขาสั้นหรือไม่ก็กระโปรงให้มากขึ้นล่ะ มันจะทำให้เธอดูดีกว่านี้ และเธอก็เปลี่ยนมันจริง ๆ ….. ดูเหมือนว่าเธอจะมีเจตนาแอบแฝงอะไรบางอย่าง เพราะตอนที่เธอออกไปทำภารกิจเธอยังสวมกางเกงขาสั้นเดนิมอยู่เลย!

“อ๊า … ” เมื่อเจมมาเงยหน้าขึ้นมา เธอก็เห็นซู่เจินที่ยืนอยู่ข้างหน้าของเธอ ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจและตกใจเป็นอย่างมาก “คุณมาทำอะไรที่นี่ ?”

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาพร้อมกับเดินเข้าไปหาเธอและพูดว่า “ตอนแรกผมเอาของขวัญมาให้คน ๆ หนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะลืมจ่ายของตอบแทนให้กับผม ผมก็เลยมาที่นี่เพื่อทวงค่าตอบแทนของผม!”

เจมมาเริ่มรู้สึกว่าหน้าของเธอแดงขึ้นเล็กน้อยและพูดว่า “ถ้าฉันศึกษายาตัวนี้จนสำเร็จและผลิตมันได้ มันไม่ใช่ของขวัญที่ดีที่สุดงั้นหรอ ?”

“มันก็ใช่ … แต่ใครจะไปรู้ว่ามันจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน มันจะดีมากถ้า … คุณจ่ายดอกเบี้ยให้กับผมก่อน ดังนั้น… ในตอนนี้คุณควรถอดเสื้อคลุมของคุณออกก่อน เพราะผมรู้นะว่าคุณใส่กางเกงขาสั้นมาเพื่อผมใช่ไหม ? มันคงจะน่าเสียดายแย่ถ้าขาของคุณจะต้องถูกซ่อนเอาไว้ใต้เสื้อคลุมตัวนั้น น่าเสียดาย ๆ !” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

เจมมาไม่คิดว่าซู่เจินจะรู้ว่าเธอในตอนนี้กำลังสวมกางเกงขาสั้นอยู่ ทำให้เธอรู้สึกลังเลว่าจะถอดเสื้อคลุมออกดีไหม ?

สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจถอดเสื้อคลุมออก ทำให้เห็นเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ขาสั้นที่เธอกำลังใส่อยู่

ข้อดีของคนขายาวก็คือ เขาสามารถเห็นขาอ่อนของเธอได้อย่างหมดจดเมื่อเธอใส่กางเกงขาสั้นเช่นนี้ มันชั่งขาวราวกับไข่มุก

“งดงาม!”

ซู่เจินจ้องมองไปที่ขาของเจมมาด้วยความจริงจัง ทำให้เจมมารู้สึกเกร็งเล็กน้อย

“คุณเคยได้ยินคำว่า ‘ปีแห่งการเล่นขา’ ไหม ?” ซู่เจินถามเจมมาขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

เจมมาส่ายหัวเบา ๆ และถามขึ้นมาอย่างสงสัยว่า “ไม่นะ ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย มันคืออะไรงั้นหรอ?”

ซู่เจินชี้ไปที่ขาของเธอและพูดว่า “มันหมายความว่า แค่ขาพวกนี้เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วสำหรับการที่ผมจะเล่นกับมันเป็นเวลาหนึ่งปีได้โดยไม่เบื่อ มันอาจจะฟังดูไม่ค่อยมีรสนิยมสักเท่าไหร่ แต่มันก็ไม่ได้มีความหมายในทางเสื่อมเสียอย่างแน่นอน ผมแค่อยากจะบอกคุณว่า ขาของคุณมันสวยมากจริง ๆ !”

“จริงเหรองั้นหรอ?” เจมมาก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี เพราะว่าเธอไม่เคยได้ยินใครยกย่องขาของเธอเช่นเดียวกับซู่เจินมาก่อน

“จริงสิ ขาของคุณน่ะสวยมาก ๆ เลยนะ และมันยังสามารถทำให้คนอื่นรู้สึกพึงพอใจได้อีกด้วย … ผมหวังว่าผมจะมีโอกาสได้ดูมันไปตลอดชีวิต!” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม และเขาก็พูดต่อว่า “ถ้าเกิดว่า SHIELD ถูกทำลายลง คุณจะมาเข้าร่วมทีมของผมไหม ? ตอนนี้ผมมีห้องทดลองอยู่ห้องหนึ่ง ซึ่งมันยังไม่มีคนที่น่าเชื่อถือมาคอยดูแลให้ ถ้าเกิดว่าคุณตกลงห้องทดลองอันนั้นมันน่าจะเหมาะกับคุณมากเลยล่ะ!”

“ชิลด์จะถูกทำลายได้อย่างไร!” เจมมาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยเช่นกัน

“ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นได้ ยังไงก็ถามถ้าเกิดว่า SHIELD ถูกทำลายลงจริง คุณก็แค่มาอยู่กับผมก็แค่นั้น“ ซู่เจินมองไปที่เจมมาด้วยสายตาอย่างจริงจัง

เจมมารู้สึกตะลึงและพยักหน้าเบา ๆ “ถ้าวันนั้นมันมาถึง … ฉันจะไปอยู่กับคุณ“

“คุณสัญญากับผมแล้วนะ“

ซู่เจินยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจและกล่าวว่า “แต่มันยังไม่เกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้หรอก ดังนั้นในตอนนี้คุณควรที่จะไปพักผ่อนได้แล้ว ส่วนเรื่องของยาความสามารถพิเศษคุณไม่จำเป็นที่จะต้องรีบร้อนเกี่ยวกับมันมากนัก“

“ฉันขออยู่ตรงนี้อีกสักพักหนึ่ง“

“ราตรีสวัสดิ์?”

ซู่เจินเดินเข้าไปหาเจมมาและจูบไปที่แก้มของเธอเบา ๆ เมื่อเขาเห็นว่าเธอไม่ได้มีท่าทางขัดขืน

“ฝันดี!” เจมมาพูดขึ้นมาพร้อมกับหน้าแดง

หลังจากที่ซู่เจินเดินออกมาจากห้องทดลอง เขาก็กลับไปที่ห้องเพื่อพักผ่อนทันที

สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในช่วงสามวันที่ผ่านมานี้ไม่ได้มีภารกิจใหม่อะไรเข้ามา ทำให้ซู่เจินสามารถใช้เวลาอยู่กับสกายและเจมมาได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกับเจมมา และเขาก็ไม่ได้ดูดกลืนอนุภาคอีเทอร์หรือคริสตัลแห่งความกลัวแม้แต่น้อย

เขาต้องบอกเลยว่าเจมมานั้นเป็นคนที่เก่งมาก ๆ เธอทั้งสวยทั้งหุ่นดี และมีบุคลิกที่น่ารัก และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเธอมีความเป็นมืออาชีพสูงมาก เธอสามารถแยกแยะได้ว่าเวลานี้จะต้องทำอะไรก่อนหลังอย่างเป็นระบบ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ซู่เจินคอยติดตามเธออยู่บ่อย ๆ

และในช่วงสามวันที่ผ่านมานี้เจมมายังสามารถเข้าใจเกี่ยวกับตัวยายีน R รุ่นแรกได้เบื้องต้นแล้ว แต่เนื่องจากยาตัวนี้มันให้ความสามารถพิเศษแบบสุ่ม ทำให้เธอจะต้องลองศึกษาและค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อหาวิธีทำให้เธอสามารถเลือกความสามารถพิเศษได้ตามที่เธอต้องการ

แม้ว่าในตอนนี้เธอจะยังไม่มีเบาะแสอะไรเกี่ยวกับมัน แต่มันก็เพียงพอแล้วสำหรับการพิสูจน์ว่าเธอนั้นมีความสามารถจริง ๆ

หลังจากอยู่อย่างสงบสุขเป็นเวลาสามวัน ซู่เจินก็เตรียมตัวที่จะไปกำลังจะเดินทางไปที่เกาะเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของฐานว่าเป็นยังไง ถึงแม้ว่าเขาจะฝากให้บริ๊งค์เป็นคนจัดการ แต่การที่มันเป็นฐานและเกาะของเขา การที่เขาจะไม่ไปดูมันหน่อย มันคงจะดูไม่ค่อยดีนักในฐานะหัวหน้า

หลังจากอยู่อย่างสงบสุขเป็นเวลาสามวัน ตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่ซู่เจินจะต้องเดินทางไปตรวจสอบความเรียบร้อยของฐานว่าคืบหน้าไปแค่ไหนแล้ว

“คุณจะไปแล้วงั้นหรอ?”

ในขณะที่ซู่เจินกำลังจะจากไป จู่ ๆ โควสันก็ถามขึ้นมาอย่างกระทันหัน โดยที่ซู่เจินไม่รู้ตัวเลยว่าเขาโผล่มาจากที่ไหน

ซู่เจินรู้สึกใบ้กินเล็กน้อยและหันไปถามโควสันว่า “คุณแอบติดตามผมอยู่ตลอดเวลาเลยงั้นหรอ ?”

“ใช่!” โคลสันพยักหน้าเบา ๆ พร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันกลัวว่าคุณจะแอบหนีไปโดยไม่บอก …. และคุณก็สัญญาไว้ว่าจะพาฉันไปดูยานบินของคุณไม่ใช่หรอ ?”

“ตอนนี้ผมยังไม่มีเวลา เพราะว่าเดี๋ยวผมจะต้องไปทำธุรต่อ ถ้าเกิดว่าผมว่างเมื่อไหร่ผมจะมาเชิญคุณไปที่นั่นด้วยตัวผมเองเป็นยังไง ?” ซู่เจินพูดขึ้นมา

โควัสนยักไหล่เบา ๆ และพูดว่า “เอาล่ะ! ไว้ครั้งหน้าเราค่อยคุยกัน“

“โอเค! … ถ้าเกิดว่าคุณมีเรื่องอะไรสามารถติดต่อผมได้ตลอดเวลา“

หลังจากที่ซู่เจินเดินทางมาถึง เขาก็พบว่าทุกคนภายในยานได้มารวมตัวกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนแรกเขาอยากจะถามว่าภารกิจในครั้งนี้มันคืออะไร แต่เขาก็คิดว่ามันไม่ค่อยจำเป็นสักเท่าไหร่ และหลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็เดินออกจากยานบินและเดินไปขึ้นรถออฟโรดเพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางทันที

เมื่อเดินทางมาถึง ซู่เจินก็รู้ได้ทันทีเลยว่าภารกิจในครั้งนี้มันคืออะไรกันแน่!

ซึ่งบริเวณโดยรอบมีเต็นท์กางอยู่สองอัน อยู่ใกล้ ๆ กับรถจี๊ปสีแดง พร้อมกับมีกองไฟและอุปกรณ์ตั้งแคมป์บางส่วนที่อยู่ตรงใจกลางของแคมป์ และในขณะที่พวกเขากำลังเดินสำรวจอยู่ก็มีคนมารายงานสถานการณ์คร่าว ๆ ให้กับพวกเขาฟังว่า มีคนกลุ่มหนึ่งมาตั้งแคมป์กันที่นี่ และในขณะนั้นมีชายที่ชื่อว่าอดัม ครอส ได้ยินเสียงแปลก ๆ ดังขึ้นบริเวณรอบ ๆ ทำให้เขาลองเดินไปสำรวจดู ผลก็คือ ….. เขาเสียชีวิต!

มีรอยไหม้อย่างชัดเจนบริเวณต้นไม้โดยรอบ และเมื่อพวกเขาเดินเข้ามาได้ไม่นานพวกเขาก็เจอเข้ากับศพ!

ศพที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ!

เมื่อเห็นศพนี้ทุกคนก็ตกอยู่ในความตกตะลึงทันที เพราะว่าสถานการณ์ตรงหน้ามันแปลกเกินไป

หลังจากตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เจมมาก็เดินเข้าไปตรวจร่างกายของศพที่ลอยอยู่ทันที

“บลา ๆ ……!”

ทันใดนั้นซู่เจินก็เดินเข้าไปคว้าแขนของเจมมาเอาไว้ ทำให้เจมมาผงะเล็กน้อยและถามขึ้นมาด้วยความมึนงงว่า “มีอะไรงั้นหรอ?”

“ผมกำลังช่วยคุณอยู่!”ซู่เจินพูดขึ้นมาอย่างแผ่วเบา

หลังจากนั้นเขาก็หันไปมองคนอื่น ๆ และพูดว่า “เจ้าสิ่งนี้มีไวรัสอยู่ ใครก็ตามที่สัมผัสมันอาจจะติดเชื้อได้ ดังนั้นก่อนที่จะตรวจสอบจะต้องใส่ชุดป้องกันให้เรียบร้อยซะก่อน!”

หลังจากที่ซู่เจินพูดจบ เขาก็ใช้พลังจิตของเขาห่อหุ้มศพเอาไว้ และค่อย ๆ วางมันลงกับพื้น

“ผมจะเอามันไปไว้ในห้องทดลองบนยานบินก่อน!”

ด้วยเหตุนี้ทำให้ซู่เจินจะต้องรับหน้าที่ในการจัดการกับศพอันนี้แทนเจมมา และไม่นานเขาก็หันหลังเดินจากไปทันที

“ดูเหมือนว่าเขาจะรู้อะไรบางอย่าง!”

โคลสันพูดขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับสั่งให้คนอื่น ๆ ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุต่อไป

เมื่อซู่เจินกลับไปถึงที่ยาน เขาก็เอาศพนี้ไปวางไว้ที่ห้องทดลองอย่างรวดเร็ว โดยที่เขายังไม่ได้หยุดใช้พลังจิตของเขาห่อหุ้มศพเอาไว้

“ถ้าฉันจำไม่ผิดเขาน่าจะโดนไวรัสจากหมวกของ ชิทอรี่ มนุษย์ต่างดาวที่ยกกองทัพมาบุกโลกที่ใจกลางนิวยอร์ก แถมไวรัสตัวนี้สามารถนำมันมาทำเป็นยาแก้พิษได้อีกด้วย“ ซู่เจินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และหลังจากที่เขาคิดได้แล้วเขาก็ถามระบบขึ้นมาว่า “หมวกกันน็อคอันนี้มีประโยชน์ไหม?”

“ไม่!”

ระบบให้คำตอบอย่างตรงไปตรงมา

ซู่เจินหน้ามุ่ยทันที เขาคิดไว้แล้วว่ามันน่าจะไม่มีประโยชน์อะไร ทำให้เขาเลิกสนใจมันอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นไม่นานโคลสันและคนอื่น ๆ ก็กลับมาที่ยาน และถามคำถามกับซู่เจิน ซึ่งซู่เจินก็ตอบคำถามกับพวกเขาไปตามตรงว่า “คน ๆ นี้ติดเชื้อไวรัสของมนุษย์ต่างดาว โดยที่หมวกอันนี้น่าจะเป็นของมนุษย์ต่างดาวชาว ชิทอรี่ และเจ้าหมวกแบบนี้น่าจะมีมากกว่าหนึ่งอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นไวรัสในหมวกอันนี้สามารถนำไปทำเป็นยาแก้พิษได้ ดังนั้นเรื่องนี้ผมจะฝากให้พวกคุณจัดการกันเองก็แล้วกัน“

“แล้วคุณล่ะ?”

“ผม ? ผมมีบางอย่างที่จะต้องทำ ….. แต่อยู่ภายในยานนี่แหละ!”

ในเมื่อหมวกอันนี้มันไม่มีประโยชน์สำหรับเขา เขาจะอยู่ไปให้เสียเวลาไปทำไมจริงไหม ? ดังนั้นสิ่งที่ซู่เจินจะต้องทำให้เร็วที่สุดในตอนนี้ก็คือการดูดกลืนอนุภาคอีเทอร์หรือคริสตัลแห่งความกลังให้เร็วที่สุด

เมื่อได้ยินสิ่งที่ซู่เจินพูด โควสันก็ไม่สามารถบังคับอะไรซู่เจินได้อีกต่อไป แค่ซู่เจินยอมบอกข้อมูลพวกนี้ให้กับเขามันก็ช่วยได้มากแล้ว

ซู่เจินหันหลังเดินจากไปเพื่อกลับไปที่ห้องของเขา หลังจากนั้นเขาก็นั่งดูดกลืนอนุภาคอีเทอร์ต่อทันที

ในขณะที่ซู่เจินดูดกลืนอนุภาคอีเทอร์อยู่ ทางด้านของโควสันและคนอื่น ๆ ก็พบข้อมูลของ อดัม ครอส อย่างรวดเร็วจากข้อมูลที่ซู่เจินได้ให้มา และหลังจากนั้นไม่นานเจมมาและฟิทซ์ก็กำลังเอาไวรัสภายในหมวกอันนั้นมาทำเป็นยาแก้พิษอย่างรวดรวด ซึ่งในตอนแรกมันไม่ค่อยราบรื่นสักเท่าไหร่ แต่หลังจากที่ค่อย ๆ ลองปรับเปลี่ยนและทดลองไปเรื่อย ๆ ในที่สุดพวกเขาก็สามารถทำยาแก้พิษได้สำเร็จ!

หลังจากที่พวกเขาทำภารกิจเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ส่งหมวกกันน็อคใบนั้นเอาไปเก็บรักษาความปลอดภัยเอาไว้ ทำให้ทุกคนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและอดทึ่งไม่ได้กลับความสามารถในการทำนายอนาคตของซู่เจิน

ถ้าเกิดว่าซู่เจินไม่รู้ว่าภายในหมวกอันนั้นมันมีไวรัสอยู่ ? บางทีเจมมาอาจจะติดเชื้อและตายลงในที่สุด

ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้เกิดขึ้นจริง ๆ แต่ความรู้สึกขอบคุณของเจมมาที่มีต่อซู่เจินมันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

“การอัพเกรดระบบเสร็จสมบูรณ์!“

ในขณะที่ซู่เจินกำลังดูดกลืนอนุภาคอีเทอร์อยู่ เขาก็ได้ยินเสียงของระบบดังขึ้น

“ในเมื่ออัพเกรดเสร็จแล้ว ….. มันมีอะไรเปลี่ยนไปบ้างไหม ?” ซู่เจินรีบถามขึ้นมาทันที

“ระยะเวลาในการอยู่ในดันเจี้ยนเพิ่มขึ้นเป็น 7 วัน และเวลารีเซ็ตของดันเจี้ยนลดลงเหลือ 15 วัน พร้อมกับเปิดดันเจี้ยนแห่งที่สาม“

เมื่อได้ฟังคำตอบของระบบซู่เจินก็อดไม่ได้ที่จะกำปั้นของเขาอย่างรุนแรงด้วยความตื่นเต้น

“ฉันไม่คิดว่าการอัพเกรดในครั้งนี้มันจะสุดยอดแบบนี้ เปลี่ยนจากอยู่ในดันเจี้ยนได้ 3 วัน เป็น 7 วัน และเวลารีเซ็ตก็ยังลดลงเหลือเพียงครึ่งเดียว ดังนั้นในตอนนี้ฉันจะสามารถเข้าดันเจี้ยนได้ทุก ๆ 15 วัน ซึ่งมันยอดเยี่ยมมาก อย่างไรก็ตามสิ่งที่ดีที่สุดก็คือดันเจี้ยนแห่งที่สาม!” ยิ่งซู่เจินคิดเกี่ยวกับมันมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากเท่านั้น หวังว่าเขาจะมีเวลาในการเปิดดันเจี้ยนแห่งที่สามได้ในเร็ว ๆ นี้

แต่การที่เขาจะเปิดดันเจี้ยนแห่งที่สาม เขาจะต้องคิดเกี่ยวกับมันอย่างรอบคอบเช่นกัน

“มีความสุขอะไรงั้นหรอ?”

ทันใดนั้นสกายก็เปิดประตูเดินเข้ามา พร้อมกับมองไปที่ซู่เจินและถามขึ้นมาอย่างสงสัย

ซู่เจินส่ายหัวเบา ๆ และยื่นมือของเขาออกไปจับแขนของสกายเอาไว้ และค่อย ๆ ดึงเธอให้มานั่งบนตักพร้อมกับกอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขน “เมื่อไม่นานมานี้ผมเพิ่งได้ยานบินมาหนึ่งลำ และผมก็กำลังสร้างฐานที่เกาะแห่งหนึ่งแถวชายฝั่งตะวันตก และตอนนี้ผมก็มีลูกน้องอยู่ประมาณ 2 – 3 คน แต่มันจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคต“

“คุณมีอะไรให้ฉันช่วยไหม?”

แน่นอนว่าสกายก็มีความสุขกับการพัฒนาของซู่เจินเช่นกัน ดังนั้นเธอจึงหวังว่าเธอจะช่วยเขาได้สักเล็กน้อยก็ยังดี

ซู่เจินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “ในตอนนี้ยังไม่มี แต่ผมหวังว่าคุณจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนที่อยู่ที่นี่ เพราะว่า SHIELD จะอยู่ได้อีกไม่นาน และถ้าหากคุณสามารถดึงพวกเขาให้มาเข้าร่วมกับพวกเราได้ละก็มันจะดีมากเลยล่ะ!”

“ฉันเข้าใจแล้ว!” สกายพยักหน้าและถามขึ้นมาอย่างสงสัยว่า “จะเกิดอะไรขึ้นกับชิลด์งั้นหรอ ?”

“คุณรู้จักไฮดร้าไหม ?”

สกายพยักหน้าและพูดว่า “รู้จักสิ แต่ว่าพวกมันไม่ได้ถูกทำลายทิ้งไปหมดแล้วงั้นหรอ ?”

“ตัดหัวไปหนึ่ง จะงอกขึ้นมาอีกสอง และถ้าเกิดว่าไฮดร้ามันถูกทำลายง่ายดายซะขนาดนั้น พวกเขาก็คงเป็นไฮดร้าตัวปลอมแล้วล่ะ ซึ่งในตอนนี้ภายใน SHIELD มีไฮดร้าแฝงตัวอยู่ภายในเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้สำนักงานใหญ่ของ SHIELD ในตอนนี้ไม่ใช่ของ SHIELD อีกต่อไป“ ซู่เจินพูดขึ้นมาอย่างช้า ๆ

ดวงตาของสกายเบิกกว้างขึ้นทันที ข่าวนี้ทำให้สกายตกใจเป็นอย่างมาก

“อย่าคิดมาก เพราะถึงยังไงคุณก็ยังมีผมอยู่ ผมจะปกป้องคุณเอง!” ซู่เจินกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“แน่นอนฉันเชื่อคุณ!”

สกายพยักหน้าอย่างรุนแรง

“คุณรู้แล้วใช่ไหมว่าผมตั้งทีมขึ้นมา?” ซู่เจินไม่ได้ตอบโควสัน และพูดถามขึ้นมาแทน

โควสันพยักหน้าเบา ๆ “ทีมของคุณมีชื่อว่าพันธมิตรสงคราม กำลังวางแผนที่จะซื้อเกาะแถวชายฝั่งตะวันตกเป็นฐานที่มั่นและนี่ก็คือเครื่องแบบของทีมคุณใช่ไหม ? มันสุดยอดมากเลยนะเนี้ย!” โควสันมองไปที่เสื้อผ้าของซู่เจินและพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

ซู่เจินยิ้มออกมาพร้อมกับถอดชุดที่เขาใส่อยู่ออกด้วยความคิด ในขณะนั้นจู่ ๆ โควสันก็สังเกตเห็นแหวนที่นิ้วของซู่เจินและกำลังจะถามเกี่ยวกับมัน ซู่เจินก็กล่าวขึ้นแทรกมาก่อนว่า “ถึงแม้ว่าผมจะบอกอะไรบางอย่างให้คุณรู้ คุณก็ทำอะไรมันไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นในตอนนี้ผมสามารถพูดได้แค่ว่าผมจะรอต้อนรับคุณเสมอเมื่อเหตุการณ์นั้นมาถึง!”

“ดูเหมือนว่ามันจะส่งผลกระทบมากเลยสินะ?” โคลสันขมวดคิ้วขึ้นมาทันที

ซู่เจินหัวเราะเบา ๆ พร้อมกับส่ายหัวและพูดว่า “คุณจะรู้เองเมื่อถึงเวลา….ถ้าเกิดว่าคุณไม่มีเรื่องอะไรแล้วผมขอตัว!”

ที่จริงแล้วโคลสันยังอยากจะถามซู่เจินให้มากกว่านี้อีกหน่อย แต่เขาก็รู้ว่าซู่เจินจะไม่บอกเขาอย่างแน่นอน

เพราะถึงยังไงซู่เจินก็อยู่ในทีมของเขาแค่ในนาม โดยอาศัยความสัมพันธ์อันดีของพวกเขาในการทำงานร่วมกัน

หลังจากออกมาจากห้องทำงานของโควสัน ซู่เจินก็เดินไปหาสกายก่อนเป็นอันดับแรก และพูดคุยกับเธออยู่สักพักหนึ่ง….สกายได้บอกกับซู่เจินว่าเธอนั้นคิดถึงซู่เจินมาก ๆ ซึ่งซู่เจินก็คิดแบบเดียวกับสกาย

หลังจากที่ซู่เจินอยู่กับสกายสักพักหนึ่งเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินลงไปที่ห้องทดลองชั้นล่างของยานบินทันที

ซึ่งมีเจมมาและฟิทซ์กำลังทำงานอยู่ที่นั่น

และเมื่อพวกเขาเห็นซู่เจินเดินเข้ามา พวกเขาก็หยุดสิ่งที่พวกเขาทำอยู่ทันที พร้อมกับทักทายซู่เจิน

จู่ ๆ เจมมาก็ถามขึ้นมาอย่างรวดเร็วว่า “ตอนนั้นคุณบอกว่าจะให้ของขวัญฉัน มันคืออะไรงั้นหรอ?”

“คุณลองเดาดูสิ?” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

เจมมาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “เลือดของคุณงั้นหรอ!“

“ผมไม่เคยบอกว่าจะให้เลือดของผมเป็นของขวัญของคุณซะหน่อยและก็…..อย่าลืมข้อตกลงของพวกเราล่ะ!” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม ทำให้ใบหน้าของเจมมาเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที และค่อย ๆ พูดขึ้นมาด้วยความเขินอายเล็กน้อยว่า “แล้วมันคืออะไรกันล่ะ?”

“เอาล่ะ! ผมไม่แกล้งคุณแล้ว” ซู่เจินยิ้มออกมาพร้อมกับเอามือของเขาไปด้านหลังและหยิบยายีน R รุ่นแรกออกมาจากมิติเก็บของของเขา และส่งมันให้กับเจมมา

เจมมามองไปที่ขวดยาสีฟ้าที่มือของเธอและถามขึ้นมาอย่างสงสัยว่า “มันคืออะไร?”

“ยาที่สามารถทำให้คนธรรมดากลายเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษ คล้าย ๆ กับไวรัสเอ็กซ์ตรีมมิสได้ โดยที่ความแข็งแกร่งของมันนั้นน้อยกว่าไวรัสเอ็กซ์ตรีมมิสอยู่มาก แต่ถึงยังงั้นมันก็มีความเสถียรมากกว่าและไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ!” ซู่เจินอธิบายคร่าว ๆ ให้เธอฟัง

“เรื่องจริงงั้นเหรอ ?” เจมมารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่ามันจะไม่ดีเท่ากับไวรัสเอ็กซ์ตรีมมิส แต่มันก็มีความเสถียรและไม่มีผลข้างเคียง ซึ่งสองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

เพราะการที่จะทำให้ตัวยา เช่นเซรุ่มหรือไวรัสมีความเสถียรและไม่มีผลข้างเคียงนั้นมันเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ

“ใช่! ตัวยานี้เมื่อฉีดเข้ากับร่างกายแล้วมันจะสร้างความสามารถพิเศษขึ้นมาแบบสุ่ม ซึ่งมันมีหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็น ความสามารถในการติดตาม คลื่นโซนิค พลังจิต การทำนายอนาคต เป็นต้น ดังนั้นผมจึงมอบยาตัวนี้ให้กับคุณเพื่อนำไปใช้เองหรือว่าคุณจะนำมันไปวิจัยก็แล้วแต่ อย่างไรก็ตามผมหวังว่าคุณจะศึกษามัน เพราะว่าผมยังมีตัวยาที่พัฒนาแล้วอีกตัวหนึ่ง แต่มันยังไม่ค่อยสมบูรณ์สักเท่าไหร่!” แน่อนว่าเจมมานั้นเป็นนักชีววิทยาที่เก่งมาก แถมตอนนี้เธอยังอยู่ในที่ที่มีอุปกรณ์อะไรเตรียมพร้อมไว้หมดแล้วทำให้การวิจัยของเธอจะต้องราบรื่นอย่างแน่นอน ดังนั้นซู่เจินจึงได้แต่หวังว่าเธอจะศึกษาเกี่ยวกับยายีน R รุ่นแรกได้สำเร็จ และจากนั้นเขาก็จะให้ยายีน R รุ่นสองที่ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ให้กับเธอ เพื่อให้เธอพัฒนามันให้สมบูรณ์

ซึ่งซู่เจินก็ยังไม่รู้ผลที่แน่ชัดของยายีน R รุ่นที่สองมากนัก เพราะว่าในหนังมีเพียงแค่คีร่าคนเดียวเท่านั้นทีสามารถรองรับพลังของยาตัวนี้ได้ ถ้าเกิดว่าคนอื่นใช้มันมันจะกลายเป็นยาพิษทันที ซึ่งซู่เจินก็ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับมันมากนัก เพราะเขาเชื่อว่ายาตัวนี้มันไม่สามารถทำอะไรเขาได้อย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เขายังไม่กล้าที่จะใช้มัน เพราะว่าตอนนี้เขายังมีมันเพียงแค่ขวดเดียวเท่านั้น และถ้าเกิดว่าเขาสามารถผลิตมันเพิ่มและลบผลกระทบของมันได้ มันจะมีประโยชน์กับเขาอย่างมหาศาล!

“อืม! ฉันจะพยายามศึกษามันให้ได้เร็วที่สุด“ เจมมาพยักหน้าให้ซู่เจิน หลังจากนั้นเธอก็หยิบอุปกรณ์ออกมาคู่หนึ่งและเริ่มวิจัยทันที

ซู่เจินส่ายหัวด้วยความมึนงงเล็กน้อยและหันหลังเดินจากไป

หลังจากที่ซู่เจินเดินมาถึงที่ห้องของเขา เขาก็ค่อย ๆ ลูบไล้ไปที่แหวนบนนิ้วของเขาเพื่อดูดกลืนอนุภาคอีเทอร์

เพราะว่าตอนนี้อนุภาคอีเทอร์ได้ถูกเก็บเอาไว้ในแหวนของกรีนแลนเทิร์น ทำให้เขาสามารถดูดกลืนอนุภาคอีเทอร์ได้เร็วกว่าแต่ก่อนมาก หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เริ่มรู้สึกถึงพลังของอนุภาคอีเทอร์ที่อยู่ในร่างกายของเขาเล็กน้อย

ซึ่งตอนนี้มันยังไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรมากนัก แต่เมื่ออนุภาคอีเทอร์ถูกดูดกลืนและหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขาอย่างสมบูรณ์ มันจะแตกต่างกับตอนนี้อย่างสิ้นเชิง และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือถ้าเกิดว่าเขาสามารถดูดกลืนอนุภาคอีเทอร์ได้จนหมด เขาก็สามารถดูดกลืนอินฟินิตี้ สโตนอันอื่น ๆ ได้เหมือนกัน เพราะว่ามันมีแหล่งกำเนิดมาจากสิ่งเดียวกันทำให้ไม่มีการต่อต้านกันระหว่างอินฟินิตี้ สโตน บวกกับร่างกายที่แปลกประหลาดของเขา เขาสามารถมั่นใจได้เลยว่าเขาสามารถรวบรวมอินฟินิตี้ สโตนทั้งหมดไว้ในร่างกายของเขาได้อย่างแน่นอน

ทำให้เขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าธานอส แม้ว่าธานอสจะใช้ถุงมืออินฟินิตี้กันเลทก็ตาม!

“ติ๊ง! พลังงานที่จำเป็นสำหรับการอัพเกรดระบบเต็มเรียบร้อยแล้ว กำลังทำการอัพเกรดระบบ… “

ในขณะที่ซู่เจินกำลังดูดกลืนอนุภาคเทอร์อยู่ จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงระบบแจ้งเตือนว่ากำลังอัพเกรด ? เขาเพิ่งทำภารกิจสามอย่างและกลืนกินความสามารถอีกสามอย่าง บวกกับการดูดกลืนอนุภาคอีเทอร์ ทำให้ระบบมีพลังงานเพียงพอต่อการอัพเกรด!

ดังนั้นสิ่งที่ให้พลังงานมากที่สุดก็น่าจะเป็นรางวัลของภารกิจกับอนุภาคอีเทอร์!

อนุภาคอีเทอร์เป็นสิ่งที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก แม้ว่าเขาจะดูดกลืนมันได้แค่เพียงเล็กน้อย แต่มันก็ยังมีพลังงานเพียงพอต่อการอัพเกรดระบบ ซึ่งพลังงานที่ใช้สำหรับอัพเกรดระบบมันน่าจะใช้พลังงานจำนวนมหาศาลอย่างแน่นอน

ซึ่งซู่เจินก็ไม่รู้ว่ามันจะใช้เวลานานแค่ไหนในการอัพเกรด ดังนั้นเขาเลยไม่ได้สนใจอะไรมันมากนัก และดูดกลืนอนุภาคอีเทอร์ต่อไป!

เวลาก็เดินต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งซู่เจินก็ไม่รู้ว่ามันนานแค่ไหนแล้ว จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงของเหมยผ่านลำโพงว่าเครื่องกำลังจะลงจอดแล้ว

“ฉันลืมถามเลยว่าพวกเขาจะไปภารกิจอะไรกัน ?”

ซู่เจินบ่นพึมพำขึ้นเบา ๆ หลังจากนั้นเขาก็หยุดดูดกลืนอนุภาคอีเทอร์และเดินออกจากห้องไป

“ฮ่า ๆ …. “

เฉินห่าวหรานหัวเราะออกมาเบา ๆ แม้ว่าร่างกายของเขาจะท่วมไปด้วยเหงื่อและหายใจเข้าออกอย่างรุนแรง

เพราะว่าเขาเริ่มรู้สึกได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งที่อยู่ภายในร่างกายของเขา ซึ่งเขาไม่เคยได้สัมผัสมันมาก่อนในชีวิต และไม่นานเขาก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ พร้อมกับมีเปลวเพลิงขนาดใหญ่พวยพุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขาอย่างรุนแรง มากกว่าเดิมถึง 10เท่า!

“ไหนนายลองทดสอบพลังให้ฉันดูสิ” ซู่เจินพูดขึ้นมาพร้อมกับมองไปที่เฉินห่าวหราน

เฉินห่าวหรานพยักหน้าอย่างตื่นเต้นและโบกมือของเขาไปทางด้านหน้าอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็มีลูกไฟพุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขาพุ่งตรงไปที่กำแพง และเมื่อลูกไฟกระทบเข้ากับกำแพง กำแพงก็แตกกระจัดกระจายกลายเป็นเศษหินชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันที

“มันแข็งแกร่งมาก!”เฉินห่าวหรานกล่าวขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

“มันก็ไม่เลว!” เมื่อเทียบกับความตื่นเต้นของเฉินห่าวหรานแล้ว ซู่เจินก็คิดว่ามันค่อนข้างธรรมดาเล็กน้อย “ถึงแม้ว่าในตอนนี้นายจะแข็งแกร่งขึ้นแล้ว แต่ถ้าเอาไปเทียบกับคนอื่นนายยังตามหลังพวกเขาอยู่อีกมาก!”

“ครับบอส!”

เฉินห่าวหรานเหมือนถูกราดด้วยน้ำเย็น ๆ ทำให้ความตื่นเต้นในความแข็งแกร่งของเขาดับวูบลงทันที

เมื่อเห็นว่าเฉินห่าวหรานเริ่มสงบลงแล้ว ซู่เจินก็ไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไป

ผู้คนมักจะหลงระเริงเมื่อพวกเขาได้รับความแข็งแกร่งมาใหม่ ๆ ซึ่งเฉินห่าวหรานก็เป็นหนึ่งในนั้นเพราะว่าเขาไม่เคยได้สัมผัสประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน ทำให้ซู่เจินต้องเตือนสติของเฉินห่าวหรานก่อนที่มันจะสายเกินไป

“เพราะอะไร ?” ลีน่ามองไปที่เฉินห่าวหรานด้วยความตกตะลึง ทำไมเขาถึงได้หลอมรวมกับไวรัสเอ็กซ์ตรีมได้ล่ะ?

“คุณอยากรู้งั้นหรอ ? ตราบใดที่คุณติดตามผม ผมจะบอกคุณให้ว่าทำไม!” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“มันเป็นไปไม่ได้!” ลีน่าพูดขึ้นมาพร้อมกับส่ายหัว

“เพราะตาทิพย์ ? ถึงแม้ว่าผมจะรู้ว่าคุณมีตาทิพย์ แต่คุณคิดว่าตาทิพย์ของคุณจะมีพลังมากพอที่จะสามารถรู้ได้ทุกอย่างงั้นหรอ ? มันก็แค่การหลอกลวง“ ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยความเยาะเย้ย “เพราะถึงยังไงคุณก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดา แต่ผมสามารถทำให้คุณเป็นคนที่ไม่ธรรมดาได้นะ! “

“ฉันไม่เชื่อ!”

ลีน่าก็ยังคงส่ายหัวเช่นเดิม

“ไม่หรอก…ผมคิดว่าคุณเชื่อในสิ่งที่ผมพูด แต่คุณกำลังพยายามหลอกตัวเองอยู่ ถึงแม้ว่ามันอาจจะยังมีข้อสงสัยอยู่บ้าง เพราะว่าคุณยังไม่ได้เห็นมันด้วยตาของตัวเองและตัดสินใจได้ถูกต้อง ดังนั้นผมจะให้โอกาสคุณสักเล็กน้อยแล้วกัน หวังว่าตาทิพย์ของคุณจะตัดสินใจได้ถูกต้อง และคนที่อยู่ที่นี่และอุปกรณ์ต่าง ๆ มันควรจะเป็นของผมใช่ไหม ? ……คุณมีความเห็นอะไรไหม ?”

“ฉันปฏิเสธอะไรคุณได้ด้วยหรอ?” ลีน่ากล่าวขึ้นมาเบา ๆ

“โอเค!”

ซู่เจินยิ้มออกมาพร้อมกับหันไปมองทางเฉินห่าวหรานและพูดว่า “โทรไปหาบริ๊งค์แล้วบอกให้เธอมาที่นี่ เพื่อพาคนเหล่านี้ไปอยู่บนยานก่อน!”

“ครับ!”

ตอนแรกซู่เจินสัญญากับเฉินห่าวหรานไว้ว่าจะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น และซู่เจินก็ทำได้จริง ๆ ทำให้เฉินห่าวหรานในตอนนี้เคารพซู่เจินเป็นอย่างมาก

“ฉันไปได้หรือยัง?”

ลีน่าถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

“แน่นอน!”

ซู่เจินยิ้มออกมา แน่นอนว่าความสามารถของลีน่านั้นน่าจะเก็บไว้ใช้งานใกล้ตัวของเขา แต่ลีน่านั้นเป็นผู้หญิงที่ฉลาด และยิ่งเธอฉลาดมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งจัดการมันได้ง่ายขึ้นเท่านั้น!

ถึงแม้ว่าพวกนักวิจัยเหล่านี้จะไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่ แต่พวกเขาก็เป็นฉลาดมาก พอรู้ว่าซู่เจินแข็งแกร่งมากขนาดไหน พวกเขาก็ยอมทำตามแต่โดยดี ขนาดลีน่ายังไม่กล้าที่จะปฏิเสธซู่เจินเลย แล้วจะเอาอะไรกับพวกเขากัน! แค่ซู่เจินพาพวกเขาไปโดยไม่ฆ่าทิ้งก็ดีแค่ไหนแล้ว เพราะถึงยังไงพวกเขาก็สามารถช่วยเรื่องการวิจัยสิ่งต่าง ๆ ได้ ทำให้พวกเขาเริ่มสงบสติอารมณ์ได้นิดหน่อย!

หลังจากที่ขนย้ายอุปกรณ์และผู้คนอะไรเรียบร้อยแล้ว พวกเฉินห่าวหรานก็กลับไปที่ยานทันที แต่ซู่เจินไม่ได้กลับไปพร้อมกับพวกเขา เพราะว่าเขาเตรียมตัวที่จะกลับไปหาสกายและอยู่ที่นั่นชั่วคราว

เพราะว่าเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้เขาสามารถยกให้บริ๊งค์จัดการได้อย่างง่ายดาย ทำให้เขามีเวลามากยิ่งขึ้นในกลืนกินอนุภาคอีเทอร์ แถมเขายังต้องการตรวจสอบเกี่ยวกับคริสตัลที่สามารถดูดกลืนความกลัวของผู้อื่นมาเป็นพลังได้อีกด้วย

ทันทีที่ซู่เจินบินเข้าใกล้ฐานและกำลังที่จะร่อนลงกับพื้น เขาก็สังเกตเห็นยานบินที่ค่อย ๆ บินขึ้นอย่างช้าๆ ราวกับว่ามันกำลังจะออกไปทำภารกิจ และเมื่อซู่เจินเห็นแบบนั้นเขาก็บินขึ้นไปอยู่ที่ด้านหน้าของยานบิน พร้อมกับโบกมือให้เหมยที่อยู่ในห้องนักบิน และเมื่อเหมยเห็นแบบนั้นก็ทำให้เธอประหลาดใจเล็กน้อย เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นซู่เจินในสารรูปแบบนี้ เธอพยักหน้าเบาๆ และชี้นิ้วไปด้านหลัง ไม่นานประตูด้านหลังของยานบินก็ค่อย ๆ เปิดออกอย่างช้า ๆ ซู่เจินหันหลังกลับและบินเข้าไปข้างในของยานบินทันที

ทันทีที่ซู่เจินเข้าไปด้านใน เขาก็เจอกับ สกาย เจมมา โควสัน และคนอื่น ๆ ที่กำลังเดินมา

หลังจากที่ประตูของยานบินปิดลงเรียบร้อยแล้ว สกายก็พุ่งเข้าไปกอดซู่เจินอย่างรวดเร็ว

เมื่อซู่เจินมองไปยังสกายที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา เขาก็ยิ้มออกมาและพยักหน้าเบา ๆ ให้กับคนอื่น ๆ หลังจากนั้นไม่นานสกายก็ค่อย ๆ ผลักตัวออกจากซู่เจินอย่างช้า ๆ

“คุณกลับมาแล้วงั้นหรอ ? คุณคงจะไม่ใช่ตัวปลอมใช่ไหม” โคลสันถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับเดินเข้าไปหาซู่เจิน

“ก็ใช่น่ะสิ!“

ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“สกาย ฉันขอยืมตัวแฟนของคุณสักพักหนึ่งได้ไหม ?”

“อืม!” สกายพยักหน้าเบา ๆ

ซู่เจินเดินตามโควสันไปที่ห้องทำงานของเขา ในขณะที่เขากำลังเดินอยู่เขาก็สังเกตเห็นเจมมาทำให้เขายิ้มออกมาและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “เดี๋ยวผมจะมาหาคุณที่หลัง เพราะว่าผมมีของดี ๆ จะให้คุณ! “

“จริงงั้นเหรอ….มันคืออะไร?” เจมมาถามขึ้นมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“เดี๋ยวคุณก็รู้เอง!“

เมื่อซู่เจินเดินเข้ามาในห้องทำงานของโควสัน โควสันก็เชิญให้ซู่เจินนั่งลงและกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันได้ยินมาว่าวันหยุดพักผ่อนของคุณมันเต็มไปด้วยความสนุกสนานและน่าตื่นเต้นมาก แถมคุณยังได้ยานบินของมนุษย์ต่างดาวกลับมาอีก เมื่อไหร่คุณจะพาฉันไปดูมันล่ะ ฉันอยากเห็นยานบินของมนุษย์ต่างดาวสักครั้ง!”

“ถ้าคุณแค่ไปดูมัน ผมก็ไม่มีปัญหาหรอก!” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“ฉันได้ยินมาว่าโทนี่ถูกคุณปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย คิดไม่ถึงเลยนะว่าคุณจะมีใบหน้าใหญ่โตขนาดนี้!” โคลสันก็พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

“พวกเขาก็ส่วนพวกเขา คุณก็ส่วนคุณ” ซู่เจินยิ้มออกมา

“มันชั่งเป็นเกียรติสำหรับฉันจริง ๆ !” โควสันก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขและถามซู่เจินขึ้นมาว่า “แล้วยานบินลำนี้มันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณได้พูดว่าการกอบกู้โลกอะไรนั่นไหม ? เพราะดูเหมือนว่าพื้นที่ในแทบลอนดอนจะเริ่มไม่ค่อยเสถียรเมื่อไม่นานมานี้ ขนาดดร.อีริค เซลวิก ที่เชี่ยวชาญในเรื่องของดาราศาสตร์ยังหาข้อสรุปเกี่ยวกับมันไม่ได้ และจู่ ๆ สถานที่ที่ไม่เสถียรอันนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย“

“พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ ถ้าตอนที่ยานบินปรากฏตัวขึ้นบนโลก และผมไม่ใช่คนที่อยู่บนยานบินลำนั้น คุณคงไม่มีโอกาสมานั่งสบาย ๆ แล้วนี้หรอกนะ!” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

โควสันพยักหน้าเบา ๆ “มันก็จริง“

“ตอนที่ผมไปที่นั่นผมได้เจอกับธอร์และไปพักอยู่ที่วังของแอสการ์ดมาสักพักหนึ่ง ที่นั่นมันสวยมาก คุณควรลองไปสักครั้งถ้าเกิดว่าคุณมีโอกาส“

“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น!”

“อ้อใช่! ครั้งก่อนที่คุณบอกว่า SHIELD มันไม่ใช่อย่างที่ฉันคิด คุณต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ ?” คำถามนี้เป็นสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจของโควสันมาเป็นเวลานาน ทำให้เขาตัดสินใจถามมันออกมาในที่สุด

ในตอนที่ซู่เจินจากไปในตอนนั้นและพูดประโยคนี้ขึ้นมา เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับมันมากนักในตอนแรก แต่เขาก็พยายามคิดอยู่ตลอดเวลาว่าซู่เจินต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ และก็น่าเสียดายที่เขาคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกอยู่ดี

“ตุบ!”

ซู่เจินปล่อยตัวของเฉินห่าวหรานทันทีเมื่อเขาลงถึงพื้น แต่เฉินห่าวหรานนั้นไม่ได้ทันตั้งตัวทำให้เขาเกือบที่จะหัวคะมำลงกับพื้น และเมื่อซู่เจินเห็นท่าทางที่เขินอายของเฉินห่าวหรานเขาก็ส่ายหัวเบา ๆ และมองไปด้านหน้า ซึ่งมีห้องปฎิบัติการลับที่ไว้ใช้สำหรับการค้นคว้าเกี่ยวกับไวรัสตะขาบที่กลายพันธ์มาจากไวรัสเอ็กซ์ตรีมมิส

“ที่นี่คือที่ไหน?” เฉินห่าวหรานกลับมามีสติอย่างรวดเร็วและมองไปข้างหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“สถานที่ที่จะทำให้นายแข็งแกร่งขึ้น!”

ซู่เจินมองไปที่เฉินห่าวหราน หลังจากนั้นอนุภาคอีเทอร์ในแหวนก็ไหลออกมาอย่างรวดเร็วและค่อย ๆ แพร่กระจายไปทั่วร่างกายของซู่เจิน และไม่นานมันก็กลายเป็นชุดรัดรูปสีดำ พร้อมกับผ้าคลุมไหล่ที่สลักคำว่า ‘สงคราม’ เอาไว้กลางหลังกำลังพลิ้วไหวไปมาตามสายลม

“สุดยอด!”

เฉินห่าวหรานอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา เมื่อมองไปยังชุดของซู่เจิน

“เมื่อพวกเรากลับไปที่ยานฉันจะทำเครื่องแบบประจำทีมของพวกเราขึ้นมาให้!” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม เขาเองก็พอใจกับชุดของเขาเช่นกัน แถมสิ่งนี้ยังถูกสร้างขึ้นจากอนุภาคอีเทอร์โดยมีแหวนของกรีนแลนเทิร์นเป็นตัวกลาง ทำให้เขาไม่ต้องกังวลว่าอนุภาคอีเทอร์จะดูดกลืนพลังของเขา

ไม่ว่าจะเป็นในด้านของการป้องกันหรือการโจมตี สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความสะดวกสบายในการใช้งาน ซึ่งชุดตัวนี้ของเขาสามารถทำให้หายไปหรือปรากฏขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วโดยสั่งการด้วยความคิดเท่านั้น

“ไปกันเถอะ!”

ซู่เจินพูดขึ้นมาเบา ๆ และเดินไปที่ห้องทดลองที่อยู่ด้านหน้าของเขาทันที โดยมีเฉินห่าวหรานที่เดินตามมาอยู่ข้าง ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความกระวนกระวาย ซึ่งเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรที่จะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นได้ ?

เมื่อพวกเขาเดินมาถึงหน้าห้องทดลอง ก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์ถือปืนวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว ทำให้เฉินห่าวหรานรู้สึกกังวลเล็กน้อย แต่เมื่อเขามองไปที่ซู่เจินที่ยังคงสงบนิ่งอยู่ เขาก็ผ่อนคลายลงทันที

ตึก! ตัก! ตึก!

ไม่นานก็มีเสียงรองเท้าส้นสูงดังขึ้น และค่อย ๆ ปรากฏเป็นหญิงสาวในชุดลายดอกไม้เดินออกมาอย่างสง่างาม พร้อมกับมองไปที่ซู่เจินและลูบไล้ฝ่ามือของเธอเบา ๆ และพูดว่า “ฉันไม่คิดว่าจะได้เจอคุณที่นี่!”

เธอจ้องมองไปที่ซู่เจินและเฉินห่าวหราน แม้ว่าจะดูเหมือนว่าเธอมั่นใจ แต่จริง ๆ แล้วเธอก็รู้สึกประหม่าเล็กน้อย เพราะเธอรู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเธอคือใคร เขาคือซู่เจินคนที่มีความสามารถในการกลืนกินไวรัสเอ็กซ์ตรีมมิสและหลอมรวมเข้ากับมันได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งจริง ๆ แล้วเธอก็อยากจับตัวของซู่เจินมาทำการทดลอง เพื่อหาเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้หลอมรวมเข้ากับไวรัสเอ็กซ์ตรีมมิสได้อย่างสมบูรณ์ แต่…..ความแข็งแกร่งของซู่เจินนั้นมันมากเกินไป ทำให้เธอไม่กล้าพอที่จะทำเช่นนั้น

แถมเธอก็ไม่คิดด้วยว่าซู่เจินจะเป็นคนที่มาหาเธอด้วยตัวเอง และดูเหมือนว่าเขาจะรู้ว่าที่นี่มีไว้ใช้สำหรับทำอะไรด้วยเช่นกัน!

ดูท่าข่าวลือจะเป็นจริงว่าซู่เจินมีความสามารถในการทำนายอนาคตได้!

“คุณบังเอิญเห็นผมกับเฉินห่าวหรานโดยบังเอิญงั้นหรอ ? และถ้าเกิดว่ามันไม่ใช่ ผมก็คิดว่าเฉินห่าวหรานน่าจะถูกคุณหลอกให้มาที่นี่เพื่อจับตัวเขาไปทดลองใช่ไหม ?” ซู่เจินมองไปที่เธอ และพูดขึ้นมาอย่างแผ่วเบา

ลีน่ายิ้มออกมา “อันที่จริงฉันควรจะแปลกใจเรื่องชุดของคุณมากกว่า เพราะว่ามันค่อนข้างจะพิเศษ!”

“ขอบคุณ!” ซู่เจินตอบเธอด้วยรอยยิ้ม

“อันที่จริงฉันคิดว่าเราสามารถร่วมมือกันได้ แม้ว่าคุณจะเป็นที่ปรึกษาของ SHIELD แต่คุณก็ไม่ได้เป็นสมาชิกของ SHIELD แถมฉันยังได้ยินมาว่าคุณกำลังผลิตยาบางอย่าง…..ทำไมพวกเราไม่มาร่วมมือกันพัฒนามันให้ดียิ่งขึ้นล่ะ ?” ลีน่าพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

ซู่เจินส่ายหัวเบา ๆ และพูดว่า “มันไม่จำเป็น….เพราะว่าผมมีข้อเสนอที่ดีกว่า!“

“ข้อเสนอของคุณคือ?”

“ควบคุมคุณไง“

เมื่อซู่เจินพูดจบเขาก็ใช้พลังจิตของเขาโจมตีไปรอบ ๆ ทันที ทำให้ลีน่าและชายฉกรรจ์ที่ถือปืนอยู่ไม่สามารถขยับร่างกายของพวกเขาได้ และปืนของชายฉกรรจ์พวกนั้นก็ถูกพลังจิตของซู่เจินทำให้ลอยขึ้นอย่างช้า ๆ และโยนทิ้งออกไปข้าง ๆ พร้อมกับร่างกายของพวกเขา!

“ไวรัสเอ็กซ์ตรีมมิสอยู่ที่ไหน”

ซู่เจินถามขึ้นมาพร้อมกับมองไปที่ลีน่าที่กำลังทำหน้าทำตาตื่นตระหนกอยู่

ในขณะที่ลีน่ากำลังลังเล จู่ ๆ ร่างกายของเธอก็ขยับขึ้นมาโดยอัตโนมัติ พร้อมกับเริ่มหายใจลำบากขึ้นทุกที

“ผมรู้ว่าคุณเป็นคนฉลาดและมีความสามารถ…..ซึ่งอันที่จริงแล้วผมก็มองคุณในแง่ดีมาก ๆ เลยนะ แม้ว่าคุณจะไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไร แต่คุณก็สามารถทำอะไรหลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่างที่คนทำธรรมดาไม่สามารถทำได้ ดังนั้น….ผมจึงไม่อยากฆ่าคุณ “ซู่เจินพูดขึ้นมาเบา ๆ

ตอนนี้ลีน่าไม่สามารถขยับร่างกายของเธอได้เลย แม้แต่การกระพริบตาเธอก็ทำได้อย่างอยากลำบาก แต่ไม่นานเธอก็เริ่มรู้สึกว่าร่างกายของเธอเบาขึ้นและเริ่มหายใจได้สะดวก และหลังจากที่เธอปรับสภาพได้แล้วซู่เจินก็พาเธอเดินเข้าไปในห้องทดลองทันที

ฉากที่แสนวุ่นวายในห้องทดลองทำให้ซู่เจินรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย

เพราะว่าเกรดวิชาวิทยาศาสตร์ของซู่เจินนั้นมันแย่มาก ๆ !

เมื่อพวกเขาเดินมาถึงภายในห้องทดลองลีน่าก็สั่งให้คนไปนำไวรัสเอ็กซ์ตรีมมิสมาให้ซู่เจินทันที

“ฉีดให้กับเขา!”

ซู่เจินพูดขึ้นมาพร้อมกับชี้ไปที่เฉินห่าวหราน

เฉินห่าวหรานตะลึงไปพักหนึ่ง และค่อย ๆ มองไปที่ซู่เจินด้วยความกังวล

“ถ้านายต้องการแข็งแกร่งขึ้น นายก็ต้องฉีดมันซะ!” ซู่เจินมองไปที่เฉินห่าวหรานและพูดขึ้นมา

เฉินห่าวหรานกัดฟันแน่นและพยักหน้าให้กับซู่เจิน

ลีน่าหันไปพูดกับซู่เจินด้วยความงุนงงเล็กน้อยว่า “ฉีดให้เขางั้นหรอ ?”

“เธอมีปัญหา?” ซู่เจินพูดออกมาพร้อมกับเลิกคิ้ว

ลีน่าส่ายหัวเบา ๆและพูดว่า “ไม่! ก็แค่ไวรัสมันไม่ค่อยเสถียร์และมีความเสี่ยงบางอย่างก็แค่นั้น”

“ถ้าเขาไม่กล้าเสี่ยงและเขาจะแข็งแกร่งขึ้นงั้นหรอ ?” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“โอเค!“

ในเมื่อซู่เจินพูดขึ้นมาแบบนี้ และเฉินห่าวหรานก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร แล้วเธอจะพูดอะไรได้อีกละ ? ส่วนเหตุผลที่เธอเตือนซู่เจินก็เพราะว่าเธอไม่อยากให้เขาคิดว่าเธอกำลังโกหกเขาอยู่ และมาเสียใจกับผลที่เกิดขึ้นในภายหลัง

ไม่นานไวรัสเอ็กซ์ตรีมมิสก็ค่อย ๆ ถูกฉีดเข้าไปในร่างกายของเฉินห่าวหราน

ท่าทางของเฉินห่าวหรานเริ่มสั่นสะท้านขึ้นเรื่อย ๆ เพราะความเจ็บปวดจากไวรัสเอ็กซ์ตรีมมิสที่เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

ลีน่าและนักวิจัยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ซู่เจินมีท่าทางที่ดูประหม่าเล็กน้อย ส่วนซู่เจินก็ยังอยู่ในความสงบเช่นเดิม เพราะว่าเกล็ดเลือดของเฉินห่าวหรานนั้นมีความพิเศษมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกังวลว่าเฉินห่าวหรานจะมีอันตรายจากการฉีดไวรัสเอ็กซ์ตรีมมิสเข้าไปในร่างกายของเขาเลยแม้แต่น้อย และเมื่อซู่เจินมองไปรอบ ๆ เขาก็เกิดความสงสัยขึ้นมาเล็กน้อยว่าเขาจะจัดการกับที่นี่อย่างไรดี!

ถึงแม้ว่านักวิจัยเหล่านี้จะไม่ใช่คนดีเด่นหรือมีคุณธรรมอะไร แต่พวกเขาก็ยังมีคุณค่าบางอย่างอยู่ ถ้าเกิดว่าเขาให้พวกนักวิจัยเหล่านี้ช่วยพัฒนายายีน R หรือสิ่งอื่น ๆ มันจะช่วยเขาได้อย่างมาก และถ้าหากว่าเขามีผู้เชี่ยวชาญในเรื่องพวกนี้อยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นในโลก Marvel หรือดันเจี้ยนแห่งอื่น ๆ มันจะทำประโยชน์ให้กับเขาอย่างมหาศาล!

“คุณไปพักได้แล้วล่ะ”

ซู่เจินเดินเข้าไปหาคีร่าและพูดขึ้นมา

คีร่าก้มหน้าลงและพูดขึ้นมาอย่างลังเลว่า “คุณไม่ต้องการให้ฉันอยู่รับใช้คุณงั้นหรอ?

“คุณอยากช่วยผมอาบน้ำหรือว่าอุ่นเตียงกันล่ะ” ซู่เจินยิ้มออกมาอย่างโง่งม แน่นอนว่าคีร่ายังปกติดีอยู่หลังจากที่เขาได้ปรับเปลี่ยนความทรงจำของเธอ ทำให้เธอมีความจงรักภักดีต่อเขาเพียงคนเดียว แถมทัศนคติที่เธอมีต่อเขาก็คือคนรับใช้

ซึ่งซู่เจินเพิ่งจะแยกจากเฟลิเซ่ได้ไม่นานทำให้เขาไม่ได้มีความต้องการในเรื่องอย่างว่ามากมายซะขนาดนั้น แม้ว่าคีร่าจะมีรูปร่างและหน้าตาที่ดูดีมากก็ตาม

ซู่เจินสามารถยอมรับได้เลยว่าเขานั้นเป็นคนโรแมนติกมาก แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่สัตว์ป่า ที่จะคิดแต่เรื่องใต้สะดืออยู่ในหัวตลอดเวลา

“คุณกลับไปพักผ่อนเถอะ ถ้าผมต้องการเดี๋ยวผมจะโทรไปหาคุณเอง เพราะถึงยังไงคุณก็หนีผมไปไหนไม่อยู่ดี!” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม ทำให้คีร่าหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อยและรีบจากไปด้วยความเขินอาย

หลังจากที่ซู่เจินอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย เขาก็เข้านอนทันที

และเมื่อซู่เจินตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น เขาก็ไปเดินสำรวจรอบ ๆ ฐานเพื่อสังเกตสิ่งต่าง ๆ และในช่วงบ่ายคีร่าก็เตรียมเงินสดและทองคำแท่งทั้งหมดมาให้กับเขา ซึ่งมันมีมูลค่าประมาณ 800 ล้านดอลลาร์ และแน่นอนว่าเงินแค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการซื้อเกาะและการออกแบบเบื้องต้น!

“ผมหวังว่าครั้งต่อไปที่ผมมาที่นี่ ผมจะได้เจอเธอ!”

และครั้งนี้ซู่เจินก็ยังไม่ได้เจอกับหลี่เสี่ยวลู่เช่นเคย ทำให้เขาได้แต่ฝากให้คีร่าจัดการ จากนั้นเขาก็ออกจากดันเจี้ยนทันที

และไม่นานหลังจากนั้นซู่เจินก็ค่อย ๆ ปรากฏตัวขึ้นบนยานบิน

ซึ่งตอนนี้มีเพียงแค่ดาร์กเอลฟ์กับเฉินห่าวหรานเท่านั้นที่อยู่บนยานบิน

“แล้วบริ๊งกับแมโรละ?” ซู่เจินถามขึ้นมา

“ตอนนี้พวกเธออยู่ที่ S.H.I.E.L.D. ” เฉินห่าวหรานค่อย ๆ อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ให้กับซู่เจินฟัง และดูเหมือนว่า SHIELD จะมอบเกาะให้กับเขาฟรี แต่มันก็มีเงื่อนไขว่า ซู่เจินจะต้องให้โทนี่ได้ศึกษาเกี่ยวกับยานบินของเขา!

ถ้าถามว่าทำไม SHIELD ถึงต้องการให้โทนี่ศึกษาเกี่ยวกับยานของเขาน่ะหรอ ? ประการแรก เทคโนโลยีของหน่วย SHIELD ไม่จำเป็นที่จะต้องดีกว่าของโทนี่ ประการที่สอง โทนี่หรือไอรอนแมน เป็นหนึ่งในสมาชิกของ อเวนเจอร์ และอเวนเจอร์ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับ SHIELD ทำให้พวกเขาสามารถได้รับข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีภายในยานของเขาไปได้โดยไม่มีความเข้าใจผิดกันซึ่งกันและกัน!

“มันก็คือการขโมยดี ๆ นี่เอง!”

ซู่เจินหน้ามุ่ยทันทีหลังจากได้ยินสิ่งที่เฉินห่าวหรานอธิบายให้เขาฟัง

“บอกบริ๊งค์ไปว่าถ้าหากนิคฟิวรี่ไม่เห็นด้วย พวกเราจะซื้อเกาะด้วยตัวของพวกเราเอง…..หึ! พวกเขาต้องการจะศึกษายานของฉันงั้นหรอ ฝันไปเถอะ!“

“รับทราบ!”

เฉินห่าวหรานตอบกลับซู่เจินและรีบติดต่อหาบริ๊งค์ทันที

ในขณะที่บริ๊งค์กำลังพูดคุยกับนิคฟิวรี่อยู่ เธอก็ได้รับการติดต่อมาจากเฉินห่าวหราน และเมื่อเธอได้ฟังสิ่งที่เฉินห่าวหรานบอกเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็ยืนขึ้นทันทีและพูดว่า “ขอโทษด้วย พอดีบอสของพวกเราบอกว่าเขาจะจัดการปัญหานี้ด้วยตัวของเขาเอง ดังนั้นพวกเราจะไม่ขอรบกวนเวลาของคุณอีกต่อไป! “เมื่อบริ๊งค์พูดจบ เธอก็เปิดประตูพอร์ทัลขึ้นมาและเตรียมตัวที่จะจากไป

การเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันของบริ๊งค์ ทำให้นิวฟิวรี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย และตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่ามันไม่มีโอกาสในการเจรจาอีกต่อไป ถึงแม้ว่าเขาจะเกลียดความตระหนี่ของซู่เจิน แต่เขาก็ไม่ต้องการทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างซู่เจินกับSHIELD ต้องมีปัญหาระหว่างกัน

“ปัญหามันมากมายซะจริง ๆ!”

นิวฟิวรี่ตะโกนขึ้นมาดังลั่นและพูดต่อว่า “ฉันจะช่วยจัดการเรื่องเกาะให้ แต่เธอจะต้องไปบอกกับซู่เจินว่าเขาติดหนี้บุญคุณฉันหนึ่งครั้ง และถ้าเกิดว่า SHIELD ต้องการความช่วยเหลือจากเขาในอนาคต เขาจะไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ! “

“เดี๋ยวฉันจะไปบอกกับเขาให้!”

บริ๊งค์กล่าวขึ้นมาพร้อมกับเดินเข้าไปในพอร์ทัล

และเมื่อบริ๊งค์มาถึงบนยานบิน เธอก็บอกคำพูดของนิคฟิวรี่ให้กับซู่เจินฟัง ทำให้ซู่เจินอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา….เพราะว่านิคฟิวรี่นั้นเหมือนกับจิ้กจองเฒ่าจริง ๆ พอเขาไม่สามารถศึกษายานบินของซู่เจินได้ เขาก็หันมาสร้างหนี้บุญคุณกับเขาแทน ซึ่งสิ่งนี้มันมีค่ายิ่งมากกว่าเงิน!

แต่ถ้าเกิดว่าเขาไม่ได้ให้ SHIELD ช่วย เขาก็จะไม่มีปัญหาอะไรตามมาที่หลัง

ยิ่งไปกว่านั้นเขาในตอนนี้ต้องการสร้างความประทับใจครั้งใหญ่ให้กับ SHIELD

โดยที่เขาจะรอจนกว่า SHIELD จะถูกไฮดราเข้ายึดครอง และหลังจากนั้นเขาก็ช่วยจัดการไฮดราให้กับ SHIELD

แค่นี้ชื่อเสียงของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

“พาฉันไปดูที่เกาะหน่อย!”

ซู่เจินหันไปสั่งกับดาร์กเอลฟ์ และเมื่อดาร์กเอลฟ์ได้ยินแบบนั้นเขาก็หันยานบินไปทางเกาะแถวชายฝั่งตะวันตกทันที

จะต้องบอกก่อนว่าขนาดของเกาะนี้มันไม่เล็กเลยจริง ๆ แต่มันก็มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งนั่นก็คือมันค่อนข้างไกลกับตัวเมือง แต่ถ้าซู่เจินใช้เกาะนี้เป็นที่ตั้งฐานทัพของเขา เขาก็สามารถมองข้ามข้อเสียข้อนี้ไปได้ เพราะว่าเขานั้นมียานบินไว้ใช้สำหรับการเดินทาง และในตอนแรกเขาวางแผนไว้ว่าเขาจะซื้อเกาะใกล้ ๆ กับตัวเมือง แต่ตอนนี้….เขารู้สึกว่าเกาะนี้มันก็ไม่เลว!

“จอดยานบินเอาไว้ตรงนี้…..ตอนนี้พวกเรามีเงินอยู่ประมาณ 800 ล้านดอลลาร์ ซึ่งน่าจะเพียงพอต่อการซื้อเกาะและสร้างฐานของพวกเราขึ้นมา และเดี๋ยวพวกเธอจัดการเตรียมความพร้อมเรื่องต่าง ๆ ให้เรียบร้อย ส่วนเฉินห่าวหรานเดี๋ยวนายมากับฉัน”เมื่อซู่เจินกล่าวจบ เขาก็เอาเงินและทองคำแท่งทั้งหมดออกมากองไว้บนพื้น ทำให้พวกเขาทั้งสามคนถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นเงินและทองคำแท่งที่กองกันอยู่เหมือนกับภูเขา แถมมันยังส่องแสงแวววาวออกมาภายใต้แสงอาทิตย์อยู่ตลอดเวลา

และพวกเขาทั้งสามคนก็อยากรู้ว่าซู่เจินเอาเงินและทองคำพวกนี้เก็บไว้ที่ไหนกันแน่ เพราะอยู่ดี ๆ มันก็โผล่ขึ้นมาจากอากาศที่ว่างเปล่า

แต่ความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขามันก็เป็นได้แค่ความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น เพราะว่าไม่มีใครกล้าพอที่จะถามซู่เจินขึ้นมา

“บอส! คุณกำลังจะไปไหนงั้นหรอ ? ให้ฉันไปส่งคุณไหม?” บริ๊งค์ถามขึ้นมา

ซู่เจินส่ายหัวเบา ๆ และยกมือของเขาขึ้นมาอย่างช้า ๆ ทำให้แหวนที่อยู่บนนิ้วของซู่เจินเปล่งแสงสีเขียวเข้มขึ้นมาห่อหุ้มร่างกายของซู่เจินและเฉินห่าวหรานเอาไว้ และร่างของซู่เจินและเฉินห่าวหรานก็หายไปในอากาศทันที…

ซู่เจินบินกลับมาที่โลกโดยอุ้มเฟลิเซ่ที่เหนื่อยล้าเอาไว้ในอ้อมแขนของเขา และตอนนี้เวลาบนโลกมันคือตอนกลางคืนทำให้ไม่ค่อยมีคนสักเกตเห็นพวกเขาสักเท่าไหร่ หลังจากนั้นเขาก็บินไปที่โรงแรม และค่อย ๆ ร่อนลงที่หน้าต่าง

“ที่รักปล่อยฉันลงได้แล้ว!” เฟลิเซ่พูดขึ้นมาเบา ๆ

ซู่เจินค่อย ๆ วางเธอลงและทันทีที่ขาของเธอแตะพื้น เธอก็ทรงตัวไม่ค่อยได้เพราะว่าตอนนี้ขาของเธอมันไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง ทำให้เธอเกือบที่จะล้มลงกับพื้น และเมื่อซู่เจินเห็นแบบนั้นเขาก็รีบเข้าไปพยุงเธอและพูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า “มันเป็นความผิดของผมเอง ผมน่าจะให้คุณได้พักผ่อนมากกว่านี้”

“มันไม่ใช่ความผิดของคุณ! แต่นี่มันเป็นครั้งแรกสำหรับฉัน และคุณก็ทำมันเหมือนกับว่าคุณอดอยากตายอยากมาซะอย่างงั้น!” เฟลิเซ่พูดขึ้นมาด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ

ซู่เจินหัวเราะออกมาเบา ๆ และพูดว่า “ทำไงได้ก็คุณมีเสน่ห์มากมายซะขนาดนั้น!“

ด้วยความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมแบบนั้น ทำให้ซู่เจินไม่สามารถที่จะหยุดมันได้เลย แม้ว่าเขาจะอยากหยุดมันแค่ไหนก็ตาม!

แต่มันก็เป็นความผิดของเขาจริง ๆ นั่นแหละ เพราะว่าเฟลิเซ่ไม่ได้มีร่างกายที่แข็งแกร่งเหมือนกับซิฟ แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกเหมือนกันก็ตาม!

พวกเขาสองคนเดินเข้าไปในห้องผ่านทางหน้าต่างและนอนลงบนเตียงเพื่อพักผ่อน โดยที่ซู่เจินเอาแขนของเขาโอบไปที่ไหล่ของเธอและเอามือบีบมันเบา ๆ ซึ่งไหล่ของเฟลิเซ่นั้นมันนุ่มมากทำให้ซู่เจินรู้สึกเสพติดมันเล็กน้อย และเฟลิเซ่ก็ค่อย ๆ รู้สึกคันตรงที่ซู่เจินจับ ทำให้เธอเหล่ตามองไปที่ซู่เจินและอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อย

ถึงแม้ท้องฟ้ายามคำคืนมันจะสวย แต่ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขามันสวยยิ่งกว่า

เดิมทีซู่เจินวางแผนไว้ว่าเขาจะไปที่ใจกลางเมืองหรือภายในตัวเมืองเพื่อดูว่าเขาจะพบกับ เดอะแฟลชหรือซุปเปอร์แมนหรือไม่ ? จากนั้นเขาก็จะไปที่ สตาร์ซิตี้ เพื่อตามหา Arrow แต่เมื่อเขามองไปยังเฟลิเซ่ ทำให้เขารู้สึกลังเลที่จะจากเธอไป ยิ่งไปกว่านั้นเขาเพิ่งได้สัมผัสกับช่วงเวลาที่ไม่มีอะไรที่สามารถหามาทดแทนได้ และยังมีเเหตุการณ์ที่น่าจดจำบนดวงจันทร์นั่นอีก ทำให้เขาไม่อยากจากเธอไปไหน

ถึงแม้ว่าซู่เจินจะต้องออกจากดันเจี้ยนวันพรุ่งนี้แล้วก็ตาม แต่อย่างน้อยเขาก็อยากทำให้เธอมีความสุขที่สุดก่อนที่เขาจะจากไป!

ในขณะที่ซู่เจินกำลังพยายามยับยั้งความต้องการของตัวเอง เฟลิเซ่ก็เป็นคนเริ่มก่อนทำให้ซู่เจินจำเป็นที่จะต้องปล่อยเลยตามเลย และซู่เจินยังรู้สึกได้ถึงความโลภของเธอ ความโลภที่ต้องการอยู่กับเขาให้ได้นานที่สุด

ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นมาอย่างช้า ๆ ซู่เจินและเฟลิเซ่ก็ค่อย ๆ ตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น พร้อมกับอากาศยามเช้าที่สดใส

“คุณจะไปตอนไหนงั้นหรอ?”

เฟลิเซ่เอาผ้าห่มมาคลุมตัวของเธอเอาไว้และเอนตัวไปพิงซู่เจิน พร้อมกับถามขึ้นมา

“ผมทานข้าวกับคุณให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยไป! เพราะว่าผมจะต้องกลับไปจัดการอะไรบางอย่างและจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนถึงจะกลับมาหาคุณได้” ซู่เจินพูดขึ้นมาเบา ๆ

“ฉันจะรอคุณ!” เฟลิเซ่พยักหน้าเบา ๆ และพูดต่อว่า “แล้วถ้าคุณกลับมาครั้งหน้า คุณจะไม่จากไปอีกงั้นหรอ?”

“ผมจะย้ายมาอยู่ที่นี่ ดังนั้นคุณช่วยหาบ้านดี ๆ ให้ผมหน่อยได้ไหม?” ซู่เจินกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“ได้สิ”

เมื่อได้ยินคำพูดของซู่เจินเฟลิเซ่ก็มีความสุขขึ้นมาทันที

แน่นอนว่าการซื้อบ้านเป็นตัวช่วยในการแก้ปัญหาเรื่องระยะห่างระหว่างพวกเขา ถึงแม้ว่าตอนแรกซู่เจินจะมาที่นี่เพื่อมาเที่ยว แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว ทำให้เขาตัดสินใจที่จะซื้อบ้านอยู่ที่นี่ และที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อทำให้เธอรู้สึกสบายใจและให้เธอรู้ว่าเขานั้นจริงจังกับเธอจริง ๆ!

พวกเขาทั้งสองคนนั่งคุยกันอยู่ในห้องพักเป็นเวลาสักพักใหญ่ ๆ ก่อนที่พวกเขาจะไปทานอาหารด้วยกัน หลังจากทานอะไรกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่ซู่เจินจะต้องจากไป ทำให้เฟลิเซ่รู้สึกไม่เต็มใจเล็กน้อย โดยก่อนที่ซู่เจินจะจากไปเขาก็ได้ไปส่งเฟลิเซ่ที่บ้านของเธอก่อน และหลังจากที่เขาส่งเฟลิเซ่เรียบร้อยแล้ว เขาก็กลับไปที่โรงแรมและเปิดคอมพิวเตอร์ของเขาขึ้นมาเพื่อเช็คข่าวสารต่าง ๆ ทางโลกออนไลน์ เพราะว่าตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะออกจากดันเจี้ยน

แน่นอนว่าข่าวของกรีนแลนเทิร์นในตอนนี้กำลังเป็นที่สนใจในโลกออนไลน์เป็นอย่างมาก ซึ่งซู่เจินก็ไม่ได้สนใจอะไรมันเลยแม้แต่น้อย

เพราะว่าตอนนี้เขากำลังพยายามหาข่าวของฮีโร่คนอื่น ๆ อยู่

และดูเหมือนว่าชื่อเสียงของ ซูเปอร์แมน มันจะยังไม่ค่อยโด่งดังมากนักในตอนนี้ เพราะว่ามันยังไม่เกิดเหตุการณ์ระเบิดที่ใจกลางเมือง แถมเดอะแฟลชก็ยังไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมา ส่วน Arrow หรือที่รู้จักกันในชื่อ โอลิเวอร์ ควินน์ ก็ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่กลับมาจากการติดเกาะ และหลังจากที่เขาดูข้อมูลเหล่านี้แล้ว ทำให้เขาสามารถรู้ไทม์ไลน์คร่าว ๆ ในขณะนี้!

ตอนแรกซู่เจินคิดว่าเขาจะไม่ลบดันเจี้ยนของกรีนแลนเทิร์นทิ้ง เพราะว่าดันเจี้ยนที่อยู่ในจักรวาล DC นั้นมีเพียงแค่แห่งเดียวก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่หลังจากที่เขาพยายามคิดทบทวนอย่างหนัก เขาก็คิดว่ามันจำเป็นที่จะต้องเปิดดันเจี้ยนแห่งใหม่อยู่ดี เพราะถ้าเขาไม่เปิดดันเจี้ยนแห่งใหม่เขาก็จะไม่มีภารกิจให้ทำและเขาก็จะไม่มีพลังงานสำหรับการอัพเกรดระบบ แต่การที่เขาจะเปิดดันเจี้ยนแห่งใหม่นั้นจะต้องไม่มีผลกระทบต่อเฟลิเซ่เด็ดขาด

และถ้าหากมันได้รับผลกระทบจริง ๆ เขาก็จำเป็นที่จะต้องรอจนกว่าระบบจะได้รับการอัพเกรดอีกครั้งและเปิดดันเจี้ยนแห่งใหม่ได้

“ระบบฉันสามารถออกจากดันเจี้ยนก่อนเวลา แล้วไปที่ดันเจี้ยนแห่งแรกได้ไหม?“

“ได้!”

ตอนนี้ซู่เจินไม่มีอะไรที่จะต้องจัดการที่นี่อีกต่อไป ทำให้เขาต้องการที่จะออกจากดันเจี้ยนก่อนเวลา

ทิวทัศน์เบื้องหน้าของซู่เจินค่อย ๆ เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และซู่เจินก็พบว่าตอนนี้เขามาปรากฏตัวขึ้นที่ดันเจี้ยนแห่งแรกเป็นที่เรียบร้อย และเมื่อเขาเดินทางมาถึงที่ฐาน ซู่เจินก็ตรงไปหาคีร่าทันที!

“บอส! คุณกลับมาแล้วงั้นหรอ?“

คีร่ามองไปที่ซู่เจินและพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

ซู่เจินพยักหน้าเบา ๆ และพูดว่า “ผมอยากรู้ว่าความคืบหน้าในตอนนี้มันเป็นยังไงบ้าง “

“ตอนนี้ตัวยากำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาและยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก ส่วนผู้มีความสามารถพิเศษตอนนี้มีอยู่ 8 คนที่มีความสามารถแข็งแกร่งที่สุด ส่วนเรื่องเงินตอนนี้มีอยู่ประมาณ 800 ล้านดอลลาร์ และคนที่บอสให้ฉันตามหาตอนนี้ฉันรู้ข่าวของเธอเรียบร้อยแล้ว และกำลังส่งคนไปตามหาเธออยู่” คีร่าพูดตอบขึ้นมาอย่างฉะฉาน

“นำคนที่มีความสามารถพิเศษใน 8 คนนี้ที่มีผลงานน้อยที่สุดมาให้ผมกลืนกินความสามารถของพวกเขา เพราะว่าสิ่งที่องค์กรต้องการก็คือคนที่แข็งแกร่งที่สุด ถ้าเกิดว่าพวกเขาทำอะไรไม่ได้สักอย่าง พวกเขาก็สมควรที่จะกลับไปเป็นคนธรรมดา และเดี๋ยวเธอเอาเงินไปเปลี่ยนเป็นทองคำแท่งด้วยนะ “ซู่เจินพูดขึ้นมาอย่างช้า ๆ

“ค่ะ!”

คีร่าพยักหน้าตอบซู่เจินและออกไปจัดการเรื่องที่ซู่เจินสั่งทันที

ในขณะเดียวกันซู่เจินในตอนนี้กำลังพักผ่อนอยู่ในห้องของเขาอย่างสบาย ๆ

ไม่นานหลังจากนั้นก็มีคนที่มีความสามารถพิเศษทั้งสามคนเดินเข้ามาในห้องของเขา

ซู่เจินไม่ได้มีพิธีรีตองอะไรมากนัก เขากลืนกินความสามารถของพวกเขาทั้งสามคนโดยทันที หลังจากนั้นเขาก็ปรับเปลี่ยนความทรงจำของพวกเขาเพื่อให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาปกติทั่วไปได้ ส่วนเรื่องของหลี่เสี่ยวลู่เขาก็ไม่ได้รีบร้อนมากนัก

หลังจากที่ซู่เจินกินอาหารอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว เวลามันก็ผ่านไปเกือบที่จะหมดวันแล้ว

แน่นอนว่าการไหลของเวลาในดันเจี้ยนทั้งสองแห่งนั้นมันเป็นแบบเดียวกัน และหลังจากที่เขาออกมาจากดันเจี้ยนของกรีนแลนเทิร์นและมาถึงที่นี่มันก็เป็นเวลาเกือบบ่ายเข้าไปแล้ว และตอนที่เขากลืนกินความสามารถของคนทั้งสามคนเสร็จเวลามันก็ผ่านไปถึงช่วงค่ำพอดี

ตอนนี้ซู่เจินได้อาบนำเสร็จเรียบร้อยแล้ว และกำลังจะเตรียมตัวนอน

เขาก็หันไปเห็นคีร่าที่กำลังยืนอยู่ในห้องและไม่ยอมออกไปไหน…

การปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของเฟลิเซ่ ทำให้เธอโดนกลุ่มผู้ก่อการร้ายจับไปเป็นตัวประกัน ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในตอนนี้อยู่ในความตึงเครียด และเมื่อเฟลิเซ่เห็นซู่เจินที่กำลังวิ่งมาอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยพวกคนร้ายพวกนี้มันมีอาวุธปืน ทำให้เธอไม่กล้าที่จะทำอะไรพลีผล่าม เธอทำได้เพียงแค่ตะโกนเตือนซู่เจินเท่านั้น

“รีบหนีออกไปจากที่นี่!”

ถึงแม้ว่าเธอจะถูกคนพวกนี้จับเป็นตัวประกัน และหวาดกลัวมากก็ตาม แต่เธอก็ยังตัดสินใจที่จะตะโกนเตือนซู่เจิน

และในขณะที่เธอตะโกนออกมา กลุ่มผู้ก่อการร้ายพวกนั้นก็สังเกตเห็นซู่เจินทันที และหนึ่งในกลุ่มผู้ก่อการร้ายก็ยกปืนขึ้นมาและเล็งไปที่ซู่เจินและพูดว่า “มึงอะเดินมานี่ซะ ไม่งั้นตาย!”

“เฟลิเซ่…คุณไม่ต้องกลัว เดี๋ยวผมช่วยคุณเอง!“

ซู่เจินยิ้มให้กับเฟลิเซ่เพื่อปลอบประโลมเธอ จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปหาเธออย่างช้า ๆ

ทันทีที่ซู่เจินเดินเข้าไปใกล้กับกลุ่มผู้ก่อการร้าย พวกมันก็พยายามจะจับตัวของเขาเอาไว้ แต่ทันใดนั้นซู่เจินก็ยื่นมือของเขาออกมา พร้อมกับมีแสงสีเขียวเข้มปรากฏขึ้นมาห่อหุ้มร่างกายของเขาและเฟลิเซ่เอาไว้ หลังจากนั้นผู้ก่อการร้ายที่จับตัวของเฟลิเซ่เอาไว้ก็บินออกไปอย่างรวดเร็ว!

การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของซู่เจินทำให้ทุกคนตกอยู่ในความตกตะลึง

ซู่เจินหันไปมองพวกผู้ก่อการร้ายพวกนั้นและพูดขึ้นมาอย่างเรียบเฉยว่า “นายบอกว่าจะฆ่าฉันด้วยกระสุนเพียงนัดเดียวงั้นหรอ? โทษที…..ฉันว่าพวกนายอาจจะมีความสามารถไม่เพียงพอ!” เมื่อซู่เจินพูดจบ ทันใดนั้นก็มีกำปั้นสีเขียวเข้มขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาโจมตีหนึ่งในผู้ก่อการร้ายพวกนั้นจนกระเด็นไปกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง และในขณะเดียวกันผู้ก่อการร้ายคนอื่น ๆ ก็หยิบปืนขึ้นมาและยิงไปที่ซู่เจินอย่างเมามัน

ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง!

เมื่อซู่เจินเห็นแบบนั้นเขาก็สร้างโล่ขึ้นมากันกระสุน และโบกมือของเขา ทันใดนั้นก็มีมีดสั้นสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมาบนท้องฟ้า และซู่เจินก็โบกมืออีกทีหนึ่ง ทำให้มีดสีเขียวพวกนั้นพุ่งเข้าไปโจมตีผู้ก่อการร้ายทั้งหมดอย่างรวดเร็วและแม่นยำ

“ อ๊ะ อั๊ก อ๊ากก … ”

ทำให้มีเสียงกรีดร้องขึ้นมาอย่างทรมาณ และพวกผู้ก่อการร้ายพวกนั้นก็ค่อย ๆ ล้มลงกับพื้นที่ละคน

ซู่เจินเดินเข้าไปหาเฟลิเซ่และถามขึ้นมาเบา ๆ ว่า “คุณเป็นอะไรไหม?”

“คุณ … คุณเป็นใครกันแน่!” เฟลิเซ่ถามขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

ซู่เจินมองไปที่พวกผู้ก่อการร้ายที่นอนอยู่ที่พื้น หลังจากนั้นเขาก็มองไปทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังตกใจอยู่และพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “แน่นอนว่าผมยังเป็นคนเดิมที่คุณรู้จัก แต่ผมก็มีความสามารถของกรีนแลนเทิร์น ดังนั้น….ผมก็เป็นกรีนแลนเทิร์นด้วยเช่นกัน”

“กรีนแลนเทิร์น?”

“เดี๋ยวผมจะอธิบายให้คุณฟังที่หลัง ตอนนี้….เราออกจากที่นี่กันก่อนดีกว่า”

ซู่เจินยิ้มออกมาและเดินไปโอบเอวของเฟลิเซ่มากอดเอาไว้ จากนั้นเขาก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้าและกลายเป็นแสงสีเขียวเข้มบินหายไปอย่างรวดเร็ว

“เฮ้! พวกคุณได้ยินไหม เขาบอกว่าเขาชื่อ กรีนแลนเทิร์น!”

“ได้ยินสิ พวกเราไม่ได้หูหนวกสักหน่อยเรา และไม่คิดไม่ฝันเลยว่าวันนี้จะได้เห็นซูเปอร์ฮีโร่ตัวเป็น ๆ ……กรีนแลนเทิร์นงั้นหรอ ? มันสุดยอดมาก!”

ทำให้บริเวณโดยรอบมีการพูดคุยกันมากมายเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น และไม่นานข่าวของกรีนแลนเทิร์นก็กระจายไปอย่างรวดเร็ว และมันก็กลายเป็นหัวข้อที่มีคนค้นหามากที่สุดในอินเตอร์อย่างรวดเร็ว

“ระบบตอนนี้ภารกิจรองของฉันน่าจะเสร็จสมบูรณ์แล้วใช่ไหม ไม่ว่าจะเป็นฮีโร่กอบกู้สหรัฐอเมริกา และทำให้ผู้คนรู้จักการมีตัวตนของกรีนแลน ?” ซู่เจินถามระบบขึ้นมาในจิตใจของเขา

“ถูกต้อง!“

“เยี่ยม!“

ถึงแม้ว่าซู่เจินจะทำมันได้ไม่สมบูรณ์แบบมากนักและมันก็เป็นเพียงแค่จัดการกับผู้ก่อการร้ายธรรมดา แต่สำหรับเขาแค่นี้มันก็เพียงพอแล้ว ที่เขาจะทำให้ผู้คนรู้สึกถึงการมีอยู่ของกรีนแลนเทิร์น และเขาก็ไม่ได้คิดที่จะเป็นกรีนแลนเทิร์นเพียงเพราะว่ามันเป็นภารกิจเท่านั้น!

ซู่เจินบินไปยังชายทะเลที่ห่างไกลจากตัวเมือง และค่อย ๆ ร่อนลงอย่างช้า ๆ

เฟลิเซ่ที่อยู่ในอ้อมแขนของซู่เจินในตอนนี้กำลังมีความหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย

“ไม่ต้องกลัว ผมไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวสักหน่อย ผมก็แค่มีความสามารถพิเศษบางอย่างและความสามารถพิเศษของผมก็มาจากแหวนที่อยู่ในมือของผม…” ซู่เจินพูดขึ้นมาเบา ๆ และค่อย ๆ อธิบายให้เฟลิเซ่ฟังอย่างช้า ๆ

ในแง่หนึ่งที่เขาเล่าให้เธอฟังก็เพื่อเอาใจเธอ แต่ในทางกลับกันถ้าเกิดว่าเขาไม่ได้บอกเธอ เดี๋ยวเธอก็จะต้องรู้ด้วยตัวเองในอนาคตอยู่ดี ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะบอกเธอในตอนนี้เลยจะดีกว่า

“ฉันไม่ได้กลัวคุณ…ฉันแค่ประหลาดใจนิดหน่อย และฉันก็ไม่คิดว่าแฟนคนแรกของฉันจะกลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่…มันวิเศษมากเลยล่ะ! ” เฟลิเซ่พูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

“มันยังมีดีกว่านี้อีกนะ!” ซู่เจินยิ้มออกมาและพูดต่อว่า “คุณอยากลองสัมผัสประสบการณ์บนอวกาศไหม?”

“อวกาศ ? คุณหมายถึง … ” เฟลิเซ่มองไปที่ซู่เจินอย่างตื่นเต้นและก่อนที่เธอจะพูดจบซู่เจินก็ปล่อยพลังสีเขียวเข้มมาห่อหุ้มร่างกายของเฟลิเซ่เอาไว้ หลังจากนั้นพวกเขาก็ทะยานขึ้นไปบนฟ้าอย่างรวดเร็ว

เมื่อพวกเขาทั้งสองคนผ่านชั้นบรรยากาศของโลก พวกเขาก็พบกับจักรวาลอันยิ่งใหญ่ที่ไกลสุดลูกหูลูกตา เฟลิเซ่ก็ค่อย ๆ หันไปมองที่ดาวเคราะห์สีน้ำเงินด้วยความไม่อยากเชื่อและเธอก็ค่อย ๆ หันไปมองรอบ ๆ ด้วยความตื่นเต้น จากนั้นเธอก็หันไปกอดเอวของซู่เจินเอาไว้และจูบเขาอย่างดูดดื่ม

“ในประเทศจีนของผมมันมีตำนานเกี่ยวกับดวงจันทร์อยู่เรื่องหนึ่ง เขาว่ากันว่ามีเทพธิดานางหนึ่งชื่อว่า ฉางเอ๋อ เธออาศัยอยู่ในพระราชวังกวงฮั่นบนดวงจันทร์ และถึงแม้ว่าผมจะรู้ว่านี่เป็นเพียงแค่ตำนานและไม่มีพระราชวังกวงฮั่นหรือเทพธิดาฉางเอ๋ออะไรทั้งสิ้น แต่ตอนนี้ผมคิดว่ากำลังจะมีเทพธิดากำเนิดขึ้นบนดวงจันทร์แล้วล่ะนั่นก็คือ…..เธอไงเฟลิเซ่ “ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มและบินตรงไปที่ดวงจันทร์ทันที

ซู่เจินใช้พลังสร้างเตียงขนาดใหญ่ขึ้นมาและพวกเขาทั้งสองคนก็ค่อย ๆ นอนลง โดยที่ล้อมรอบไปด้วยแสงสีเขียวเข้มที่เรืองแสงอยู่ตลอดเวลา

“มันสวยมาก!”

ซู่เจินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเบา ๆ

เฟลิเซ่พยักหน้าเห็นด้วยและพูดว่า “ใช่มันสวยมาก และฉันก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้มีโอกาสขึ้นมาอยู่บนดวงจันทร์!”

“ไม่ ๆ ที่ผมหมายถึงก็คือ…คุณต่างหากที่สวยมาก!”

ซู่เจินส่ายหัวเบา ๆ และค่อย ๆ ก้มหัวลงไปจูบเฟลิเซ่

หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาทั้งสองคนก็แยกจากกันและเฟลิเซ่ก็พูดขึ้นมาอย่างคลุมเครือว่า “นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้รับประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้”

“คุณไม่ต้องการทำให้ประสบการณ์ครั้งนี้มันสวยงามและน่าจดจำยิ่งกว่านี้งั้นหรอ ? แถมพรุ่งนี้ผมจะต้องออกเดินทางแล้วด้วยและจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนถึงจะกลับมาหาคุณได้ ดังนั้น … ” ซู่เจินไม่ได้พูดต่อ และเฟลิเซ่ก็เข้าใจเรื่องที่ซู่เจินต้องการจะสื่อเช่นกัน เธอรู้สึกอายเล็กน้อยและพยายามหลบสายตาจากซู่เจิน แต่เธอก็ไม่ได้มีท่างทางปฏิเสธหรือต่อต้านอะไรซู่เจินเลยแม้แต่น้อย

ฟุบ!

ซู่เจินค่อย ๆ ถอดเสื้อผ้าของเฟลิเซ่ออกอย่างอ่อนโยน และเมื่อซู่เจินมองไปที่เฟลิเซ่ที่กำลังกระวนกระวายเล็กน้อย เขาก็จูบไปที่ปากของเฟลิเซ่เบา ๆ จากนั้น….เขาก็ค่อย ๆ เอนตัวลงเพื่อให้เฟลิเซ่ได้รับประสบการณ์อันยอดเยี่ยมที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วในโลกใบนี้……

“ไหนดูซิว่ามันทำงานยังไง!”

ซู่เจินหยิบน้ำอัดลมขึ้นมาดื่ม หลังจากนั้นเขาก็มองไปที่ พื้นที่วางภายในห้อง

ทันใดนั้นกลุ่มก้อนพลังงานสีเขียวเข้มก็ปรากฏขึ้นมา หลักจากนั้นมันก็เปลี่ยนรูปร่างไปมาอย่างรวดเร็ว เช่นโล่ที่คล้ายกับของกัปตันอเมริกา , ไม้เท้า , ปืนพก , ปืนกล , ปืนใหญ่ , รถยนต์ , เครื่องบิน ฯลฯ

ในตอนแรกการเปลี่ยนรูปร่างมันสามารถเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว แต่มันก็สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้แค่วัตถุขนาดเล็ก อย่างไรก็ตามหลังจากที่ซู่เจินเริ่มปรับตัวได้และเขาก็เริ่มชำนาญขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เขาสามารถเปลี่ยนรูปร่างเป็นอะไรก็ได้ตามที่เขาต้องการ และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือซู่เจินสามารถสัมผัสได้ว่ามันมีการรวมกลุ่มของพลังทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน นั่นก็คือพลังของกรีนแลนเทิร์นและพลังของอนุภาคอีเทอร์ และอนุภาคอีเทอร์ก็ไม่ได้ดูดกลืนพลังงานจากร่างกายของเขาอีกต่อไป

มันสำเร็จแล้ว!

แน่นอนว่าความสามารถเดิมของแหวนกรีนแลนเทิร์นยังคงมีอยู่และหลังจากที่เขาหลอมรวมแหวนเข้ากับอนุภาคอีเทอร์ทำให้พลังของแหวนมันทรงพลังมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม และเขาก็ไม่ต้องกลัวผลกระทบของอนุภาคอีเทอร์อีกต่อไป และหลังจากที่เขาลองกลืนกินอนุภาคอีเทอร์ดูก็พบว่าเขายังสามารถกลืนกินมันได้และเนื่องจากที่เขามีแหวนของกรีนแลนเทิร์นเป็นตัวช่วยยับยั้งพลังของอนุภาคอีเทอร์เอาไว้ทำให้ประสิทธิภาพการกลืนกินของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล!

พลังของแหวนถูกใช้ออกมาอย่างต่อเนื่อง และดูเหมือนว่าพลังงานของมันจะไม่ค่อยลดลงมากนัก แถมมันยังดูดซับพลังงานจากอนุภาคอีเทอร์อีกด้วย และซู่เจินก็ยังรู้สึกอีกว่าพลังงานของอนุภาคอีเทอร์ก็ไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย ซึ่งโดยปกติแล้วแหวนของกรีนแลนเทิร์นจะต้องชาร์จพลังงานกับตะเกียงแลนเทิร์นทุก ๆ 24 ช.ม. แต่หลังจากที่มันได้หลอมรวมเข้ากับอนุภาคอีเทอร์มันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องชาร์จพลังงานอีกต่อไป

และซู่เจินยังจำได้ว่าแหวนของกรีนแลนเทิร์นนั้นมีความสามารถในการสร้างหน้ากากพลังจิตขึ้นมาได้ และมันสามารถเป็นเครื่องป้องกันการโจมตีทางจิตได้ อธิเช่นการโจมตีทางจิตและการควบคุมจิตใจ และนี่ก็คือภัยอันตรายที่ซ่อนอยู่และเขาสามารถแก้ปัญหามันได้ด้วยตัวเอง อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลเกี่ยวกับมัน

“คืนนี้ท้องฟ้าดูงดงามมากจริง ๆ!“

ซู่เจินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเบา ๆ เพราะว่าการที่เขาได้เห็นดวงดาวข้างนอกยาวค่ำคืนเช่นนี้ มันช่างวิเศษจริง ๆ

และซู่เจินก็นอนหลับไปพร้อมกับความสุขและเมื่อเขาตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นมันก็เป็นเวลา 9.00 เรียบร้อยแล้ว ซึ่งดวงอาทิตย์ในตอนนี้มันเต็มไปด้วยแสงแดดอันอบอุ่น

เขาลุกจากเตียงและเดินไปที่ห้องน้ำเพื่ออาบน้ำแต่งตัว หลังจากนั้นเขาก็ไปทานอาหารเช้าภายในโรงแรม

หลังจากที่ซู่เจินได้รับประทานอาหารอะไรเรียบร้อยแล้ว เขาก็นั่งคิดเกี่ยวกับภารกิจรองทั้งสองอันของเขา

ทำให้โลกได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของกรีนแลนเทิร์น ?

มันเป็นเรื่องง่ายที่เขาจะเป็นฮีโร่กอบกู้สหรัฐอเมริกา เพราะว่าเขามีร่างกายของอบินเซอร์อยู่ ซึ่งโดยปกติแล้วทางกองทัพของอเมริกาจะได้ร่างของอบินเซอร์ไปเพื่อทำการวิจัยและได้รับเชื้อจากผลึกคริสตัลของพารัลแล็กซ์ที่หลงเหลือยู่ในร่างกายของอบินเซอร์ จากนั้นคนที่ได้รับเชื้อของพารัลแล็กซ์ก็จะไปทำลายงานเลี้ยงค็อกเทล ซึ่งภายในงานเลี้ยงค็อกเทลก็จะมีเฟลิเซ่ที่กำลังตกอยู่ในอันตรายภายในงานเลี้ยง และเขาก็จะใช้โอกาสนี้เพื่อช่วยเธอ หลังจากนั้นภารกิจรองของเขาทั้งสองอันก็จะสำเร็จ แต่ตอนนี้ศพของอบินเซอร์และคริสตัลของพารัลแล็กซ์มันอยู่กับเขา ทำให้เขาจะต้องใช้วิธีอื่นเพื่อให้ภารกิจรองทั้งสองอันนี้สำเร็จ

ซู่เจินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและเขาก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเฟลิเซ่และพูดว่า “สวัสดีเฟลิเซ่! คุณจำผมได้ไหม ผมไงซู่เจิน…คุณพอจะมีเวลาไปช็อปปิ้งด้วยกันกับผมสักหน่อยไหม ?….โอเคเดี๋ยวผมจะรอคุณอยู่ที่ชั้นล่างในโรงแรม!”

เมื่อซู่เจินวางสายโทรศัพท์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไปรอเธอที่ด้านล่างของโรงแรมทันที หลังจากนั้นไม่นานเฟลิเซ่ก็ขับรถมาถึง

โดยที่เธอสวมชุดเดรสรัดรูปสีดำ และแต่งหน้าเบา ๆ ทำให้หน้าของเธอดูเด็กลงเล็กน้อย

เมื่อซู่เจินเห็นว่าเธอมาถึงเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินไปที่รถและเปิดประตูเข้าไป และเขาก็หันไปมองที่เฟลิเซ่แล้วพูดว่า “วันนี้คุณสวยมาก!”

“ขอบคุณ!” เฟลิเซ่รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่ได้ยินคำชมจากปากของซู่เจิน

เพราะว่าเธอนั่งเลือกชุดนี้ตั้งนานกว่าเธอจะตัดสินใจได้เธอได้

“คุณอยากไปไหนที่ไหนงั้นหรอ?” เฟลิเซ่ถามขึ้นมา

ซู่เจินส่ายหัวเบา ๆ และพูดว่า “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน…แล้วแต่คุณเลย”

“โอเค งั้นเดี๋ยวฉันจะพาคุณไปเที่ยวรอบ ๆ นี้ก็แล้วกัน!” เฟลิเซ่ยิ้มออกมาและพาซู่เจินไปเที่ยวรอบ ๆ

ไม่ว่าจะเป็นอาคารที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองชายทะเล , ห้าง , ร้านอาหาร …..ฯลฯ และก็มาจบลงที่สวนสาธารณะ ซึ่งสวนสาธารณะของที่นี่มันสวยงามเป็นอย่างมาก และในขณะที่เขาเดินเล่นและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ทำให้บรรยากาศระหว่างเขากับเฟลิเซ่ค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากนั้นซู่เจินก็เดินไปนั่งพักที่ม้านั่งพร้อมกับเฟลิเซ่และเขาก็เอามือของเขายกขึ้นมาและเอาไปวางไว้บนไหล่ของเธอ เฟลิเซ่มองไปที่มือของซู่เจินและหันไปมองเขาและพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “วิธีนี้มันไม่ล้าสมัยเกินไปหน่อยงั้นหรอ?”

“มันไม่สำคัญว่าวิธีนี้มันจะเชยหรือไม่เชย เพราะว่าสิ่งที่สำคัญจริง ๆ ก็คือคุณไม่ปฏิเสธผมและปัดมือของผมทิ้งจริงไหม ?” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

เฟลิเซ่ยิ้มขึ้นมาและพูดว่า “ถ้าฉันบอกคุณว่าฉันไม่เคยมีแฟนมาก่อนคุณจะเชื่อฉันไหม ? เพราะว่าตอนที่ฉันยังเด็กพ่อของฉันฝึกฉันให้เป็นผู้สืบทอดของบริษัทและนักบินทดสอบ ทำให้โดยพื้นฐานแล้วชีวิตของฉันส่วนใหญ่จะใช้เวลาอยู่ใน บริษัท , บ้านและเครื่องบิน ซึ่งเดิมที่แล้วบริษัทของฉันได้วิจัยเกี่ยวกับเครื่องบินขับไล่และมีแนวโน้มสูงมากที่จะได้รับคำสั่งซื้อจากกระทรวงกลาโหม แต่ด้วยเหตุผลบางประการทำให้พวกเขาไม่ซื้อมัน ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก ฉันจึงไปที่ไนต์คลับเพื่อดื่มให้ลืมเรื่องร้าย ๆ ไป และฉันก็ไม่คิดว่าจะได้เจอกับคุณโดยบังเอิญ พูดตามตรงฉันคิดว่านี่อาจจะเป็นพรหมลิขิตจากสวรรค์ที่ได้ส่งให้พวกเราได้มาเจอกัน ซึ่งเหมือนกับว่าพระเจ้ากำลังบอกให้ฉันตกหลุมรักคุณ? “

“อาจจะใช่!” ซู่เจินตอบเธอด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นเขาก็เอามือที่อยู่บนไหล่ของเฟลิเซ่ดึงตัวเธอให้เข้ามาใกล้เขา ซึ่งเฟลิเซ่ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด และเธอก็ค่อย ๆ เอาหัวของเธอไปพิงที่ไหล่ของซู่เจินด้วยความประหม่าเล็กน้อย

“มันให้ความรู้สึกที่น่าอัศจรรย์มากเลยทีเดียว … ” เธอรู้สึกได้ถึงหัวไหล่อันแข็งแกร่งและกล้ามแขนอันทรงพลังของซู่เจิน เฟลิเซ่ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนและพูดว่า “บางที … ฉันอาจจะต้องพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง ซู่เจิน… คุณจริงจังกับฉันไหม?”

“แน่นอน!”

ซู่เจินกล่าวขึ้นมาโดยไม่ลังเล

สำหรับเฟลิเซ่เธออาจจะยังไม่ได้รู้จักซู่เจินมากนัก แต่สำหรับซู่เจินแล้วเขารู้จักเธอเป็นอย่างดี ซึ่งอาจจะพูดได้ว่าเขารู้จักผู้คนมากมาย!

แน่นอนว่าภาพลักษณ์ภายนอกของเฟลิเซ่อาจจะดูเหมือนว่าเธอเป็นคนที่แข็งแกร่ง แต่ที่จริงแล้วมันตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง เพราะว่าเธอได้รับการปลูกฝังให้เป็นผู้สืบทอดของบริษัทและนอกจากนี้เธอยังเป็นนักบินทดสอบ ทำให้ภายนอกเธอดูเหมือนคนแข็งแกร่ง แต่ที่จริงแล้วเธอก็เป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ที่ต้องการคนคอยให้กำลังใจในเวลาที่เธอท้อ และมีความสุขไปกับคนที่เธอรักเมื่อเขาประสบความสำเร็จ!

ตั้งแต่ที่ซู่เจินได้เดินทางมาที่โลก Marvel เขาไม่เคยคิดว่าเขาจะมีผู้หญิงเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาสามารถเปิดดันเจี้ยนได้

ซึ่งมันมีผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมและน่าดึงดูดมากมายหลายคน มันคงจะน่าเสียดายเกินไปถ้าเกิดว่าซู่เจินไม่เอาพวกเธอเข้ามาอยู่ในฮาเรมของเขา!

“แม้ว่าผมอาจจะไม่สามารถสัญญาได้ว่าผมจะอยู่เคียงข้างคุณไปตลอด แต่ผมก็ขอสัญญาว่าผมจะการเรื่องอื่น ๆ ให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุด เพื่อที่จะได้มีเวลาอยู่ร่วมกับคุณมากขึ้น”

“อืม!”

เฟลิเซ่ตอบขึ้นมาเบา ๆ

ซู่เจินก้มหัวของเขาลงเล็กน้อย ทำให้เฟลิเซ่เริ่มรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง และเธอค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นและหลับตาลง

ความโรแมนติกนี้มันยากที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดว่าเขามีความรู้สึกแบบไหน แต่สำหรับเฟลิเซ่แล้วนี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของเธอ และทำให้เธอรู้สึกว่าจูบนี้…….มันยอดเยี่ยมมาก

“ตูม!”

ในขณะที่พวกเขากำลังอยู่ในห้วงของความรัก จู่ ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นทำให้เฟลิเซ่และซู่เจินได้สติขึ้นมาทันที

เฟลิเซ่มองไปรอบ ๆ ด้วยความตื่นตระหนกเล็กน้อยและในไม่ช้าเธอก็พบว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นบนถนนใกล้กับสวนสาธารณะ

“ดูเหมือนว่าจะเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ พวกเราไปดูกันเถอะ!”

เฟลิเซ่หันไปพูดกับซู่เจินและวิ่งออกไปทันที ซึ่งซู่เจินไม่คิดว่าเธอจะวิ่งออกไปก่อนเขาแบบนี้ และไม่นานเขาก็วิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อซู่เจินวิ่งไล่ตามเฟลิเซ่จนทัน เขาก็เห็นว่าเฟลิเซ่ถูกกลุ่มผู้ก่อการร้ายจับไปเป็นตัวประกันและกำลังเผชิญหน้ากับตำรวจอยู่ตรงฝั่งตรงข้ามของถนน

เห็นได้ชัดเจนว่ามันคืออุบัติเหตุทางรถยนต์ แต่สาเหตุจริง ๆ ของมันน่าจะไม่ใช่!

“หรือว่านี่จะเป็นโอกาสในการทำเควสให้สำเร็จ?”

ซู่เจินอดไม่ได้ที่จะใบ้กิน แน่นอนว่าเขาไม่ได้กังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเฟลิเซ่เลยแม้แต่น้อย เพราะว่าเขามั่นใจมากว่าเขาจะสามารถช่วยเธอได้อย่างแน่นอน!

เมื่อมองไปที่ร่างของอบินเซอร์ ซู่เจินก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยและปลดปล่อยพลังจิตของเขาออกมา

ทำให้บาดแผลของอบินเซอร์ที่ช่วงหัวไหล่ค่อย ๆ ขยายออกและฉีกขาดออกจากกัน จากนั้นคริสตัลสีเหลืองก็ค่อย ๆ ลอยออกมา

แน่นอนว่าคริสตัลสีเหลืองนี้มันไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะว่าสิ่งนี้คือพลังของ พารัลแลกซ์ พลังแห่งความกลัว ซึ่งตรงกันข้ามกับพลังความมุ่งมั่นของกรีนแลนเทิร์นโดยสิ้นเชิง ถ้าหากว่ามีใครได้สัมผัสมัน มันจะค่อย ๆ เปลี่ยนสภาพจิตใจของคนที่สัมผัสมันให้เลวร้ายยิ่งไปกว่าเดิม และเจ้าคริสตัลสีเหลืองนี้ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ พารัลแลกซ์ ได้เดินทางมาที่โลกเพื่อกลืนกินความกลัวและเพิ่มพลังของมันให้มากขึ้นยิ่งกว่าเดิม!

“ระบบเจ้าสิ่งนี้มันมีประโยชน์อะไรใหม ? ถ้าเกิดว่าไม่มีฉันจะได้ทำลายมันทิ้งซะ!” เวลาที่ซู่เจินจะอยู่ในดันเจี้ยนได้มันมีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการรอให้ พารัลแลกซ์ ลงมาที่โลก เพราะว่าเมื่อเขาไม่อยู่แล้วใครจะเป็นคนจัดการกับมันล่ะจริงไหม?

ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือทำลายเจ้าสิ่งนี้ทิ้งซะ ทำให้พารัลแลกซ์ไม่สามารถมาที่โลกได้และโลกก็จะปลอดภัย

“โฮสต์สามารถกลืนกินเจ้าสิ่งนี้ได้ และยังสามาถสร้างพลังงานพิเศษไว้อัพเกรดระบบได้อีกด้วย!” ระบบตอบกลับ

“ความสามารถของเจ้าสิ่งนี้คือการกลืนกินความกลัวหรือดูดซับความกลัวกันแน่?” ซู่เจินครุ่นคิดอย่างหนักและเขาก็คิดว่าพลังความกลัวนั้นมันค่อนข้างจะน่ากลัวมากซะทีเดียว เพราะว่าตราบใดที่มีคนรู้สึกกลัวเขา เขาก็จะได้รับพลังอันแข็งแกร่งมา อย่างไรก็ตามการที่เขาจะกลืนกินเจ้าสิ่งนี้ มันคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายและเวลาเพียงแค่ชั่วข้ามคืนมันน่าจะไม่เพียงพออย่างแน่นอน!

“ระบบเก็บเจ้าสิ่งนี้ไว้ในมิติเก็บของ!”

เวลาต่อมาคริสตัลสีเหลืองนั้นก็เข้าไปอยู่ในมิติเก็บของทันที และพารัลแลกซ์ก็ไม่สามารถรู้สึกถึงมันได้อีกต่อไป!

“ยังไงก็ตามฉันควรที่จะเอาศพของอบินเซอร์ไปด้วย”

นอกเหนือจากตัวตนของอบินเซอร์ที่เป็นกรีนแลนเทิร์นแล้ว เขาก็เป็นเพียงมนุษย์ต่างดาวคนหนึ่ง ซึ่งเขาสามารถนำร่างของอบินเซอร์ไปศึกษาได้และในอนาคตเขาอาจจะพบอะไรบางอย่างก็ได้

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ตอนนี้เขาก็มีสมบัติล้ำค่ามากมายที่อยู่ในมิติเก็บของของเขาในตอนนี้!

ไม่ว่าจะเป็น อนุภาคแรงโน้มถ่วง , อนุภาคอีเทอร์ , กล่องน้ำแข็ง และก็คริสตัลสีเหลืองอันนี้

แน่นอนว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในมิติเก็บของ ของเขามันเป็นสิ่งที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะใช้มันได้ในตอนนี้ ทำได้เพียงแต่จ้องมองไปที่พวกมัน ทำให้ตอนนี้มีสิ่งเดียวที่เขาสามารถใช้ได้ก็คือ ชุดเกราะของแอสการ์ด ซึ่งเจ้าชุดเกราะตัวนี้มันคนละระดับกับชุดเกราะตัวอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง!

หลังจากนั้นไม่นานก็ค่อย ๆ มีเสียงของเฮลิคอปเตอร์ดังขึ้น เมื่อซู่เจินเห็นเช่นนั้นเขาก็ใส่แหวนไปที่นิ้วของเขาและหยิบตะเกียงแลนเทิร์นขึ้นมาและตัวของเขาก็กลายเป็นไฟและบินจากไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อซู่เจินกลับมาถึงโรงแรม เขาก็มองไปที่ตะเกียงแลนเทิร์นและแหวนที่อยู่บนนิ้วของเขา ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนว่าแหวนน่าจะมีพลังไม่มากนัก และเมื่อไหร่ที่เขาเปิดใช้งานแหวน เขาจะต้องบินออกจากโลกเพื่อมุ่งหน้าไปยังดาวโออา สำนักงานใหญ่ของกรีนแลนเทิร์น หลังจากนั้นเขาก็จะได้รับชุดรัดรูปสีเขียว ซึ่งมันก็ไม่ได้ดูสวยงามอะไรมากมายอย่างที่คิด และยิ่งไปกว่านั้นตัวของเขาก็ไม่ได้อ่อนแอในด้านของพลังป้องกันหรือการรักษาอาการบาดเจ็บแต่อย่างใด ทำให้เขาไม่จำเป็นที่จะต้องหันไปพึ่งพาเจ้าชุดนี่เลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นจุดประสงค์หลักของเขาก็คือแหวนของกรีนแลนเทิร์น เพื่อนำมันมาเป็นภาชนะของรับพลังของอนุภาคอีเทอร์ ไม่ใช่เพื่อทำให้เขากลายเป็นกรีนแลนเทิร์น!

“ระบบเอาอนุภาคอีเทอร์ออกมา!”

เมื่อซู่เจินกล่าวจบทันใดนั้นอนุภาคอีเทอร์ก็ปรากฏขึ้นมาอยู่ตรงหน้าของเขา และก็ค่อย ๆ มีกลุ่มควันสีดำกระจายออกมา และมันก็พุ่งเข้าไปในร่างกายของซู่เจินอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นมันก็เริ่มดูดกลืนพลังงานของเขาทันที

“มาลองดูกันว่าการคาดเดาของฉันมันจะสำเร็จหรือไม่!”

ซู่เจินถอนหายออกมาใจเบา ๆ และค่อย ๆ รวบรวมพลังของอนุภาคอีเทอร์ไปที่แหวนกรีนแลนเทิร์นที่อยู่บนนิ้วของเขา ตอนแรกก็ผ่านไปได้ด้วยดี แต่หลังจากที่มันเริ่มเข้าใกล้แหวนที่อยู่บนนิ้วของเขามันก็เริ่มเกิดอาการต่อต้านอย่างรุนแรง แน่นอนว่าอนุภาคอีเทอร์เป็นหนึ่งใน อินฟินิตี้ สโตน นอกจาก อินฟินิตี้ สโตน แบบเดียวกันแล้วมันไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใด แต่มันกลับกลัวแหวนของกรีนแลนเทิร์น และพยายามต่อต้านอย่างรุนแรงเพื่อไม่ให้มันเข้าใกล้แหวนวงนี้

การค้นพบนี้ทำให้ซู่เจินรู้สึกมีความสุขและด้วยปฏิกิริยาของอนุภาคอีเทอร์ที่ต่อต้านอย่างรุนแรงก็ได้พิสูจน์แล้วว่าการคาดเดาของเขามันมีความเป็นไปได้!

ตอนนี้ซู่เจินพยายามอย่างเต็มเพื่อควบคุมให้อนุภาคอีเทอร์เข้าใกล้แหวนให้ได้มากที่สุดและเขายังใช้พลังจิตเป็นตัวผลักดันให้อนุภาคอีเทอร์เข้าไปใกล้แหวนได้เร็วยิ่งขึ้น…..แต่มันก็ยังช้าอยู่ดี!

เม็ดเหงื่อขนาดใหญ่เริ่มปรากฏขึ้นบนหน้าผากของซู่เจินและใบหน้าของเขาก็เริ่มซีดลงเรื่อย ๆ เพราะว่าการที่เขาพยายามควบคุมพลังของเขาอย่างต่อเนื่องมันทำให้เขาเริ่มรู้สึกเจ็บปวด ราวกับว่าหัวของเขากำลังจะระเบิด แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้และกัดฟันสู้ต่อไป

เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เขายอมแพ้ อนุภาคอีเทอร์มันจะล่าถอยทันทีและมันอาจจะใช้ประโยชน์จากตรงนั้นเพื่อดูดกลืนพลังงานของเขา ซึ่งมันอันตรายเป็นอย่างมาก!

“เข้าไปซะ!“

เส้นเลือดสีฟ้าเริ่มปูดโปนขึ้นมาบนร่างของซู่เจิน และเขาก็ตะโกนขึ้นมาอย่างเสียงดัง ทันใดนั้นพลังจิตทั้งหมดของเขาก็ระเบิดออกมาและผลักดันไปที่อนุภาคอีเทอร์อย่างรุนแรง ทำให้อนุภาคอีเทอร์พุ่งเข้าไปในแหวนอย่างรวดเร็ว

แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ส่วนเล็ก ๆ แต่ทันใดนั้นแหวนก็เริ่มส่องแสงสว่างขึ้น และเริ่มดูดกลืมอนุภาคอีเทอร์เข้าไป แม้ว่ามันพยายามจะหนีแต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะว่ามีซู่เจินคอยใช้พลังจิตครอบคลุมเอาไว้อยู่ หลังจากนั้นไม่นานมันก็ถูกดูดเข้าไปในแหวนจนหมด

ทันทีที่แหวนดูดกลืนจนหมด มันก็เริ่มส่องแสงสีเขียวเปล่งประกายแพรวพราวไปทั่วทั้งห้องและซู่เจินก็เป็นลมหมดสติไปทันที

ซู่เจินไม่รู้ว่าเวลามันผ่านไปนานแค่ไหน เขาค่อย ๆ ตื่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ และพยายามอดทนต่ออาการปวดหัวอย่างรุนแรง หลังจากนั้นเขาก็มองไปที่แหวนสีเขียวที่อยู่ในมือของเขา!

ในตอนนี้แหวนได้เปลี่ยนรูปร่างไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

จากแสงสีเขียวดั้งเดิม ตอนนี้กลายเป็นแสงสีเขียวเข้มสีแบบเข้มมาก ๆ และโลโก้รูปหลอดไฟตรงกลางของแหวนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยราวกับว่ามันถูกห่อหุ้มด้วยอนุภาคอีเทอร์จนกลายเป็นสีดำเงา ซึ่งมันดูพิเศษมาก ๆ !

“ตอนนี้มันไม่น่าจะใช่แหวนของกรีนแลนเทิร์นแล้วใช่ไหม? หรือว่ามันคือ แหวนอีเทอร์?”

เมื่อมองไปที่แหวนซู่เจินก็พึมพำขึ้นมากับตัวเอง

หลังจากที่ตรวจสอบอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซู่เจินก็ปิดคอมพิวเตอร์แล้วไปนอนพักผ่อนทันที แม้ว่าเขาจะเคยนอนที่แอสการ์ดหรือไม่ก็ที่ยานบินมาก่อน แม้ว่ามันจะดี แต่มันก็เทียบกับการที่ได้นอนเตียงนุ่ม ๆ ไม่ได้อยู่ดี!

“หืม? สำนักพิมพ์เดลี่แพลนเน็ต?”

ในขณะที่ซู่เจินกำลังจะล้มตัวลงนอน เขาก็เห็นหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่ด้านข้างของเตียง เขาก็เลยหยิบมันขึ้นมาและอ่านมันด้วยความสนใจเล็กน้อย

สำนักพิมพ์เดลี่แพลนเน็ตก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากนัก แต่ที่พิเศษจริง ๆ ก็คือนักข่าวของสำนักพิมพ์เดลี่

คลาร์ก เคนท์!

หากว่าคุณไม่คุ้นเคยกับชื่อนี้ เขาก็ยังมีอีกชื่อหนึ่งที่พวกคุณน่าจะคุ้นเคยอย่างแน่นอน

นั่นคือ ซูเปอร์แมน!

ซูเปอร์ฮีโร่จากดาวคริปทอนยักษ์ใหญ่แห่งทีม จัสติซ ลีก และผมคิดว่าน่าจะไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินชื่อของเขามาก่อนอย่างแน่นอน

และเมื่อซู่เจินเห็นสำนักพิมพ์เดลี่แพลนเน็ตที่อยู่ในหนังสือพิมพ์ เขาก็มีความคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาทันที

อย่างที่รู้กันว่าดันเจี้ยนแห่งแรกนั้นมันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับดันเจี้ยนแห่งอื่นแต่อย่างใด แต่ดันเจี้ยนของกรีนแลนเทิร์นนั้นมันแตกต่างออกไป เพราะว่ากรีนแลนเทิร์นก็เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งทีม จัสติซ ลีก ขึ้นมา!

ไม่ว่าจะเป็น กรีนแลนเทิร์น , ซูเปอร์แมน , แบทแมน , วันเดอร์วูแมน , เดอะ แฟลช , อควาแมน , มาร์เชียนแมน ฮันเตอร์ , วิคเตอร์ สโตน พวกเขาเหล่านี้คือสมาชิกหลักของ จัสติช ลีก

“ระบบถ้าเกิดว่าฉันลบดันเจี้ยนแห่งนี้ทิ้งและเปิดดันเจี้ยนแห่งใหม่ในโลกแห่งเดียวกัน มันจะส่งผลต่อไทม์ไลน์ของกรีนแลนเทิร์นใช่หรือไม่ ? ” ซู่เจินถามขึ้นมาอย่างสงสัย

“ทุกสิ่งที่คุณได้ทำในดันเจี้ยนแห่งนั้น มันจะส่งผลต่อดันเจี้ยนที่อยู่ในจักรวาลแห่งเดียวกัน”

“กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ถ้าฉันได้รับแหวนของกรีนแลนเทิร์นมา มันก็จะไม่มีกรีนแลนเทิร์นในดันเจี้ยนแห่งนี้อีกต่อไป แล้วถ้าเกิดว่าฉันไปดันเจี้ยนของซูเปอร์แมนหรือเดอะแฟลชในอนาคต มันก็จะไม่มีกรีนแลนเทิร์นในจักรวาลนั้นอีกต่อไปใช่ไหม ?”

“ถูกต้อง!”

คำตอบนี้ของระบบทำให้ ซู่เจินรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก แล้วถ้าถามว่าทำไมเขาถึงมีความสุข ?

ก็เพราะว่าเขาไม่จำเป็นที่จะต้องเก็บดันเจี้ยนแบบนี้เอาไว้หลาย ๆ แห่งตราบใดที่เขายังอยู่ในจักรวาลเดียวกันกับดันเจี้ยนแห่งที่แล้ว เขาสามารถออกจากดันเจี้ยนแห่งนี้ได้เลยหลังจากที่เขาได้รับแหวนของกรีนแลนเทิร์นเรียบร้อยแล้ว แล้วลบดันเจี้ยนแห่งนี้ทิ้งและเปิดดันเจี้ยนของ เดอะแฟลช , ซูเปอร์แมน , หรือแม้แต่ Arrow ก็เปิดขึ้นมาได้เพราะว่าพวกเขาเหล่านี้อยู่ในจักรวาลเดียวกัน แถมยังเชื่อมโยงด้วยเวลาอันใกล้เคียงกันด้วย

“เริ่มต้นภารกิจ”

“ภารกิจหลัก: ได้รับแหวนของกรีนแลนเทิร์น”

“ภารกิจรอง 1 : เป็นฮีโร่กอบกู้สหรัฐอเมริกาและช่วยแครอล เฟลิเซ่และครอบครองหัวใจของเธอให้ได้!”

“ภารกิจรอง 2 : ทำให้โลกได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของ กรีนแลนเทิร์น!”

จู่ ๆ ภารกิจก็เด้งขึ้นมาอย่างกระทันหัน ทำให้ซู่เจินถามกับระบบด้วยความมึนงงว่า “ทำไมถึงไม่ปล่อยภารกิจนี้ออกมาหลังจากที่ฉันได้เข้าสู่ดันเจี้ยนล่ะ ? และทำไมจะต้องรอให้เริ่มเนื้อเรื่องก่อนถึงจะปล่อยภารกิจออกมาได้ แถมยังมีภารกิจรองนี่อีก ? ”

“เนื่องจากระดับของระบบเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้มีภารกิจรองเพิ่มเข้ามา!“

“แต่มันก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะอย่างน้อยระบบก็จะได้รับพลังงานสำหรับการอัพเกรดมากยิ่งขึ้น แต่ภารกิจที่ 1 นี่มันคืออะไร ? เป็นฮีโร่กอบกู้สหรัฐอเมริกา และครองครอบหัวใจของ แครอล เฟลิเซ่ ? เธอเป็นหนึ่งในภารกิจของเขาด้วยงั้นหรอ!“

แม้ว่าซู่เจินจะมีความประทับใจที่ดีต่อเฟลิเซ่ และรู้ว่าเธอเป็นนางเอกของเรื่อง กรีนแลนเทิร์น ดังนั้นตอนที่เขาพบเธอครั้งแรก เขาจึงเริ่มพูดคุยเพื่อตีสนิทกับเธอ เพราะว่าหากเกิดเหตุอะไรขึ้น เขาก็ยังสามารถขอให้เธอช่วยเหลือเขาได้ แถมเธอยังสวยมากอีกด้วย! แต่เขาก็ไม่คิดว่าเธอจะกลายเป็นหนึ่งในภารกิจของเขาไปได้

นี่คืออะไร? ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ?

ซู่เจินส่ายหัวเล็กน้อย และพยายามคิดหาทางทำภารกิจพวกนี้ให้สำเร็จ แต่ทันใดนั้นก็มีแสงไฟสว่างวาบปรากฏขึ้นที่นอกหน้าต่าง ราวกับว่ากำลังมีอะไรบางอย่างกำลังตกลงมาด้วยความเร็วสูง

ยานบินของ อบินเซอร์!

ไม่น่าแปลกใจเลที่ระบบจะปล่อยภารกิจออกมาอย่างกะทันหันแบบนั้นและตอนนี้เนื้อเรื่องก็กำลังจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ!

เมื่อซู่เจินเห็นแบบนั้นเขาก็เปิดหน้าต่างของโรงแรม และกลายเป็นไฟบินไปยังสถานที่ที่ยานบินได้ตกลงไปอย่างรวดเร็ว ในค่ำคืนที่มืดมิดมีเปลวไฟสว่างวาบขึ้นมา หลังจากนั้นไม่นานซู่เจินก็ค่อย ๆ ร่อนลงกับพื้นอย่างช้า ๆ และเปลวไฟบนร่างของเขาก็หายไป เขามองไปที่ยานบินที่มีกระจกโปร่งใสและอยู่ไม่ไกลจากเขามากนัก

ในยานบินมีมนุษย์ต่างดาวหัวโล้น ผิวสีม่วงอมชมพู สวมชุดรัดรูปสีเขียวที่เรืองแสงสีเขียวออกมาตลอดเวลา กำลังนั่งอยู่ในยานบินและดูเหมือนว่าเขากำลังจะตาย โดยที่เขาสวมแหวนสีเขียวอยู่ที่นิ้วของเขา มันก็คือ แหวนกรีนแลนเทิร์น ของอบินเซอร์!

และอีกไม่นานแหวนวงนี้ก็จะค้นหาผู้สืบทอดคนต่อไปที่ตรงกับเงือนไขโดยอัตโนมัสตินั่นก็คือ ฮาล จอร์แดน!

ซู่เจินรีบเดินเข้าไปหาอบินเซอร์ และเอาเขาออกมาจากยานบินและวางเขาลงกับพื้นอย่างช้า ๆ ส่วนอบินเซอร์ที่กำลังจะตายก็มองไปที่ซู่เจินและดูเหมือนว่าเขาอยากจะพูดอะไรสักอย่าง

ในเวลาเดียวกันแหวนมันก็เริ่มส่องสว่างขึ้นและก็มีกลุ่มก้อนพลังงานสีเขียวห่อหุ้มร่างกายของซู่เจินเอาไว้ ซึ่งซู่เจินตกใจเป็นอย่างมากและเขาก็คิดว่าอบินเซอร์คงจะทำอะไรบางอย่างกับเขา แต่เมื่อผ่านไปสักพักซู่เจินก็รู้สึกว่ากลุ่มก้อนพลังงานสีเขียวนี้ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรต่อเขา

“หรือว่ามัน … ” ซู่เจินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะปกติแล้ว ฮาล จอร์แดน จะต้องถูกนำตัวมาที่นี่ด้วยกลุ่มก้อนพลังงานสีเขียวนี้และถูกเลือกให้เป็นกรีนแลนเทิร์นคนต่อไป แต่ตอนนี้กลุ่มก้อนพลังงานสีเขียวนี้มันได้ห่อหุ้มร่างกายของเขาเอาไว้ มันจะเป็นไปได้ไหมว่า….. แหวนวงนี้มันเลือกเขา!

เขาจำได้ว่าการที่จะเป็นกรีนแลนเทิร์นนั้น โดยพื้นฐานแล้วจะต้องไม่เกรงกลัวต่อผู้ใด พูดตามตรงมันก็ค่อนข้างตรงกับเขามากซะที่เดียว แม้ว่าเขาจะรู้ว่าในอนาคตจะมีศัตรูที่แข็งแกร่งอีกมายมาย และเขาอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้สำหรับคนพวกนั้นในตอนนี้ แต่เขามั่นใจว่าในอนาคตเขาจะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นไปกว่าอย่างแน่นอน! ด้วยเหตุนี้ทำให้เขาไม่เคยเกรงกลัวใครอีกเลย…ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม!

“ชื่อเจ้า…ชื่อเจ้า?”

อบินเซอร์มองไปที่ซู่เจินและถามขึ้นมา พร้อมกับหายใจเข้าออกอย่างรุนแรง

“ซู่เจิน….ผมชื่อซู่เจิน”

“ซู่เจิน ข้าคืออบินเซอร์ ผู้พิทักษ์เซ็กเตอร์ 2814″ อบินเซอร์กล่าวขึ้นมาพร้อมกับยกมือของเขาขึ้นและแบมือออกมาพร้อมกับยืนให้ซู่เจิน ซึ่งในมือของเขามีวงแหวนของกรีนแลนเทิร์นอยู่และพูดว่า “วงแหวนได้เลือกเจ้าแล้ว….รับไป! เจ้าสวมแหวนแล้ววางมันลงในตะเกียงแลนเทิร์น แล้วกล่าวปฏิญาณเกียรติสูงสุด ความรับผิดชอบ…. ” อบินเซอร์มองไปที่แลนเทิร์นที่อยู่ในยานบินและเอาแหวนใส่ในมือของซู่เจิน หลังจากนั้นเขาก็ค่อย ๆ เอียงหัวลงและตายจากไป

เมื่อเห็นแหวนสีเขียวที่อยู่ในมือของเขา ซู่เจินก็ยังรู้สึกงุนงงอยู่เล็กน้อย เพราะว่าตอนแรกเขาพยายามคิดหาทางเอาแหวนมาจากฮาล จอร์แดน อย่างไรดี แต่ตอนนี้เขากลับได้มันมาอย่างง่ายดาย ซึ่งมันค่อนข้างแตกต่างกับสิ่งที่เขาคิดมากจริง ๆ และแหวนมันยังได้เลือกเขาด้วยตัวของมันเองอีกด้วย

“ขอโทษนะ ฮาล จอร์แดน ตอนนี้กรีนแลนเทิร์นจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณอีกต่อไป แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะถึงยังไงคุณก็ไม่ได้มีส่วนเสียอะไรอยู่แล้ว!” ซู่เจินกระชับแหวนที่อยู่ในมือของเขาให้แน่น หลังจากนั้นซู่เจินก็ขยับนิ้วของเขาเล็กน้อย ทำให้ตะเกียงแลนเทิร์นที่อยู่ในยานลอยขึ้นมาและบินมาอยู่ในมือของซู่เจินอย่างรวดเร็ว

“วิส!”

เกิดแสงสว่างวาบขึ้นเบื้องหน้าของซู่เจิน ทำให้สภาพแวดล้อมโดยรอบเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ก่อนที่เขาจะรู้สึกตัวว่าเขาอยู่ที่ไหนสักแห่งและมีเสียงดนตรีดังกึกก้องอยู่ในหูของเขาอยู่ตลอดเวลา

มันเป็นเสียงเพลงที่ดังกึกก้องไปทั่วและบางครั้งเขาก็ได้ยินเสียงตะโกนและเสียงกรีดร้องกันอย่างสนุกสนาน เมื่อเขามองไปรอบ ๆ ก็พบกับความมืดสลัวที่มีแสงไฟหลากสีกระพริบอยู่ตลอดเวลาและก็มีชายหญิงที่ยืนเต้นไปกับเสียงดนตรีกันอย่างสนุกสนาน เห็นได้ชัดเลยว่าที่นี่คือ ไนท์คลับ!

ซู่เจินไม่คิดว่าระบบจะเทเลพอร์ตเขามายังไนต์คลับโดยตรง และดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็นตัวของเขาที่อยู่ดี ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมา!

“ระบบ ครั้งนี้นายไม่มีให้เลือกฝ่ายหรืออะไรแบบนั้นงั้นหรอ?” ซู่เจินถามขึ้นมาอย่างสงสัย เพราะว่าเขาไม่ได้รับการแจ้งเตือนอะไรเลย ทั้งทีปกติมันน่าจะมี

“มันจะเป็นแบบสุ่ม ไม่ใช่ทุกดันเจี้ยนที่มี” ระบบตอบกลับมาอย่างห้วน ๆ

“อย่างงั้นหรอ!”

ซู่เจินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะเขาคิดว่ามันจะมีทุกดันเจี้ยนซะอีก

เขาสามารถอยู่ในดันเจี้ยนได้แค่สามวันเท่านั้น และเขาก็ไม่มีอะไรให้ทำนอกจากไปเอาแหวนของกรีนแลนเทิร์น ดังนั้นระบบจึงไม่น่าปล่อยให้ซู่เจินอยู่ห่างจากเนื้อเรื่องและเวลามากเกินไป และสิ่งที่ซู่เจินจะต้องทำในตอนนี้ก็คือสำรวจรอบ ๆ แล้วรอเวลา

เป้าหมายของซู่เจินก็คือแหวนกรีนแลนเทิร์นของ ฮาล จอร์แดน ซึ่งเป็นพระเอกของหนังเรื่องนี้ เดิมที่แหวนวงนี้มีเจ้าของคนก่อนชื่อว่า อบินเซอร์ [Abinxu ] เขาได้ต่อสู้กับศัตรูของเขาและได้รับบาจเจ็บสาหัส ทำให้ยานบินของเขาตกลงมาที่โลกและด้วยคำสั่งเสียสุดท้ายของเขา ทำให้แหวนได้เลือก ฮาล จอร์แดน เป็นกรีนแลนเทิร์นคนต่อไป! ดังนั้นสิ่งที่ซู่เจินจะต้องทำในตอนนี้ก็คือตรวจสอบว่า ฮาว จอร์แดน ได้แหวนของกรีนแลนเทิร์นมาแล้วหรือยัง!

ในขณะที่ซู่เจินกำลังจะเดินออกจากไนต์คลับ ทันใดนั้นหางตาของเขาก็ไปสังเกตเห็นคน ๆ หนึ่ง

ผมยาวสีน้ำตาล หน้าตาสะสวยดูแล้วมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก!

ทันทีที่ซู่เจินเห็นเธอ เขาก็เปลี่ยนใจทันทีและค่อยสังเกตอยู่ห่าง ๆ จนแน่ใจแล้วว่าเธอนั่งอยู่คนเดียว ซู่เจินก็เดินเข้าไปหาเธอด้วยรอยยิ้มอย่างรวดเร็ว

“คุณจะรังเกียจไหมถ้าเกิดว่าผมจะนั่งข้าง ๆ คุณ?” ซู่เจินถามออกมาด้วยรอยยิ้ม

แครอล เฟลิเซ่ เงยหน้าของเธอขึ้นมาและชำเลืองมองไปที่เจ้าของเสียงพูดและเธอก็ประหลาดใจเล็กน้อย เพราะว่าคนที่เธอเจอเป็นคนเอเชีย ซึ่งในเมืองชายทะเลนั้นเป็นสิ่งที่หายากมาก แถมเขายังมีหน้าตาหล่อเหลาและเสียงที่ทรงเสน่ห์ เธอยิ้มออกมาและพยักหน้าเบา ๆ เมื่อซู่เจินเห็นแบบนั้นเขาก็นั่งลงทันทีและยื่นมือออกไปแล้วกล่าวว่า “สวัสดีผมชื่อซู่เจิน เป็นคนจีน!”

“ฉัน แครอล เฟลิเซ่ คุณเป็นคนจีนงั้นหรอ ? มันสุดยอดมาก! ฉันก็อยากลองไปเที่ยวที่ประเทศจีนดูสักครั้ง แต่น่าเสียดายที่ฉันไม่มีโอกาสได้ไป! “

“ทิวทัศน์และอาหารจีนของจีนนั้นไม่เป็นสองรองใครในโลก มันคงจะน่าเสียดายมากถ้าเกิดว่าคุณไม่ได้ไปลองสัมผัสมันด้วยตัวเอง” ซู่เจินพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับกวักมือเรียกไปที่บาร์และขอเบียร์สักสองสามขวด “คุณอยากดื่มกับผมสักหน่อยไหม?“

“ไม่มีปัญหา!”

เฟลิเซ่ยิ้มออกมาและหันไปถามกับซู่เจินว่า “คุณกำลังจะไปที่เมืองชายทะเลใช่ไหม?“

“ใช่ ผมได้ยินมาว่าที่นั่นมันสวยงามอย่างมาก โดยเฉพาะความสวยงามที่อยู่ตรงหน้าของผม และดูเหมือนว่า….มันจะเป็นจริงซะด้วย!” ซู่เจินกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มและพูดต่อว่า “ผมคิดว่าคนที่สวยแบบคุณน่าจะมีคนตามจีบเยอะอย่างแน่นอน แล้วทำไมคุณถึงมาเที่ยวที่ไนต์คลับเพียงคนเดียวล่ะ?”

“บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้มีดวงตาที่สวยเหมือนคุณ” เฟลิเซ่พูดขึ้นมาแบบติดตลก

“โอ้พระเจ้า! ผมคิดว่าตาของพวกเขาคงบอดแล้วล่ะ!” ซู่เจินพูดออกมาด้วยท่าทางเกินจริง ทำให้เฟลิเซ่หัวเราะออกมาคิกคัก

ความรู้สึกแรกของเธอที่มีต่อซู่เจินในตอนนี้ก็คือ เขาเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีและเป็นคนที่ตลกมาก ทำให้พวกเขาคุยกันอย่างสนุกสนาน จนเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว

“ไม่คิดเลยว่าเวลาจะผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ฉันจะต้องกลับแล้วล่ะ!”

ทันใดนั้นเฟลิเซ่ก็เริ่มรู้สึกตัวและพบว่าเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้ว ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะเธอไม่คิดว่าจะนั่งคุยกันได้นานขนาดนี้และเธอยังรู้สึกอีกว่าเวลามันผ่านไปแค่เพียงครู่เดียวเท่านั้นเอง

“น่าเสียดายจริง ๆ!” ซู่เจินกล่าวขึ้นมาด้วยความเสียใจเล็กน้อย

“นี่คือเบอร์โทรศัพท์ของฉัน คุณสามารถโทรหาฉันได้ถ้าเกิดว่าคุณต้องการไกด์นำเที่ยว!” เฟลิเซ่จดเบอร์โทรศัพท์ของเธอและส่งให้กับซู่เจิน ซู่เจินก็บันทึกเบอร์ของเธอเอาไว้ในโทรศัพท์ของเขาและลองกดโทรออกดู

“งั้นผมกลับด้วยเลยก็แล้วกัน!”

ซู่เจินกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มและพวกเขาทั้งสองคนก็เดินออกมาจากไนท์คลับด้วยกัน

“คุณพักอยู่ที่ไหนงั้นหรอ ให้ฉันไปส่งคุณไหม?” เฟลิเซ่พูดถามขึ้นมา

“ได้สิ เพราะว่าตอนนี้ผมเมามาก!” ซู่เจินตอบออกมาด้วยความกังวล

“ถ้างั้นคุณรอฉันอยู่ตรงนี้แป๊ปหนึ่ง เดี๋ยวฉันขอตัวไปเอารถก่อน!”

เฟลิเซ่ยิ้มและพูดออกมา จากนั้นเธอก็เดินไปที่รถที่จอดอยู่ข้าง ๆ

ซู่เจินเม้มริมฝีปากของเขาและยิ้มออกมา พร้อมกับทำตามที่เธอบอก

หลังจากที่เขาขึ้นรถของเฟลิเซ่เรียบร้อยแล้ว ซู่เจินก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “วันนี้ผมเพิ่งจะเดินทางมาถึงที่นี่ ทำให้ผมยังไม่ได้จองโรงแรมเอาไว้ และเนื่องจากที่คุณจะเป็นไกด์นำเที่ยวให้กับผม คุณช่วยหาโรงแรมให้ผมก่อนได้ไหม”

“คุณยังไม่ได้จองโรงแรม แถมยังไม่มีกระเป๋าเดินทาง ? คุณคงเดินทางมาที่นี่โดยวิธีที่พิเศษมาก ๆ!“

“ประมาณนั้น!” ซู่เจินกล่าวพร้อมกับยิ้มออกมา

เฟลิเซ่สตาร์ทรถและขับไปยังโรงแรมที่อยู่ใกล้ ๆ แถวนี้ โดยที่ระหว่างทางพวกเขาทั้งสองคนก็คุยกันอย่างสนุกสนาน เต็มไปด้วยบรรยากาศของความผ่อนคลาย หลังจากนั้นไม่นานเฟลิเซ่ก็ขับรถมาถึงโรงแรม แล้วเธอก็จอดรถและพูดว่า “ฉันว่าโรงแรมนี้ก็ไม่เลวนะ!“

“ผมขอขอบคุณ คุณเป็นอย่างมากสำหรับความช่วยเหลือในครั้งนี้ แล้วคุณอยากขึ้นไปดื่มกาแฟกับผมสักแก้วไหม?” ซู่เจินถามออกมาด้วยรอยยิ้ม

เฟลิเซ่ยิ้มออกมาและลูบผมของเธอเบา ๆ และพูดว่า “คุณชวนฉันไปดื่มกาแฟทั้งทีคุณยังไม่ได้จองโรงแรม ? คุณไม่คิดว่ามันจะเร็วเกินไปหน่อยงั้นหรอ ? แม้ว่าฉันจะมีรู้สึกดีกับคุณ แต่มันก็ยังไม่ถึงจุดนั้น และฉันก็ไม่อยากให้ครั้งแรกกับคนที่ยังไม่ได้รู้จักกันดี แถมคุณยังเป็นนักท่องเที่ยวอีกด้วย!”

“โอ้! คุณทำให้ผมประหลาดใจจริง ๆ เอาล่ะ! ไว้เจอกันใหม่นะ” ซู่เจินไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่เขากล่าวลาเธอเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ลงมาจากรถและเดินเข้าไปในโรงแรม

หลังจากที่ซู่เจินเปิดห้องเรียบร้อยแล้ว เขาก็ใช้คอมพิวเตอร์ของโรงแรมหาข่าวเกี่ยวกับ ฮาล จอร์แดน อย่างรวดเร็วเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ในปัจจุบันของ ฮาว จอร์แดน ว่าเป็นยังไงบ้าง และหลังจากที่เขาตรวจสอบมาสักพักเขาก็พบว่า จอร์แดนเพิ่งถูกพักงาน….

“เปิดใช้งานโหมดล่องหน!”

หลังจากที่ยานบินลอยถึงระดับที่สูงพอประมาณ ซู่เจินก็เปิดโหมดล่องหนของยานบินทันที

เพื่อที่จะไม่ทำให้ประชาชนคนทั่วไปเกิดความตื่นตระหนก หรือความหวาดกลัว

หลังจากที่ยานบินเข้าสู่โหมดล่องหนสร็จเรียบร้อยแล้ว ซู่เจินก็ติดต่อไปบริ๊งทันที

ใช้เวลาไม่นานบนยานบินก็มีประตูพอร์ทัลปราฏขึ้นมาตรงหน้าของซู่เจิน พร้อมกับบริ๊ง แมโร และเฉินห่าวหราน ที่ค่อย ๆ เดินออกมาจากประตูพอร์ทัล และเมื่อซู่เจินเห็นอย่างงั้นเขาก็อดชื่นชมไม่ได้ว่าความสามารถของบริ๊งนั้นแข็งแกร่งเป็นอยากมาก เพราะว่าขนาดยานบินลำนี้มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ล้ำสมัยมากแต่ประตูพอร์ทัลของบริ๊งก็ยังสามารถทะลุผ่านเข้ามาได้อย่างง่ายดาย

“นี่มัน … ยานบินงั้นเหรอ?“

หลังจากที่พวกเขาทั้งสามคนออกมาจากประตูพอร์ทัลเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็มองไปรอบ ๆ ด้วยความประหลาดใจ

“ใช่ นี่คือยานบินของดาร์กเอลฟ์ที่ยืนอยู่ตรงนั้น และเขาก็เป็นดาร์กเอลฟ์ตนสุดท้ายที่ยังคงหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้” ซู่เจินพูดออกมาพร้อมกับชี้ไปทางดาร์กเอลฟ์ที่กำลังยืนอยู่

พวกเขาทั้งสามครั้งหันไปมองที่ดาร์กเอลฟ์ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบเจอกับมนุษย์ต่างดาวตัวเป็น ๆ ทำให้ดาร์กเอลฟ์รู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่กล้าทำท่าทางไม่พอใจออกมา ไม่งั้นเขาคงโดนซู่เจินฆ่าตายอย่างแน่นอน!

“จากนี้ไปยานบินลำนี้จะใช้เป็นฐานทัพชั่วคราวของพวกเรา ดังนั้นพวกเธอสามารถเลือกห้องที่ชอบได้ตามที่ต้องการและก็ทำความสะอาดให้เรียบร้อย” หลังจากที่ซู่เจินพูดจบ เขาก็หันไปมองที่บริ๊งค์และถามว่า “เรื่องที่ผมฝากให้เธอไปจัดการเป็นยังไงบ้าง ? “

บริ๊งค์พยักหน้าเบา ๆ และกล่าวว่า “ฉันพบสถานที่ที่เหมาะสมประมาณสองสามแห่ง แต่ … ฉันคิดว่ามันค่อนข้างธรรมดาและมีขนาดเล็กมากเกินไป แต่ฉันคิดว่าถ้าเรามีเงินมากกว่านี้ทำไมเราไม่ซื้อเกาะสักแห่งและทำเป็นฐานของพวกเรา….และนี่ก็เป็นสถานที่ที่ฉันได้ไปสำรวจมา” ในขณะที่บริ๊งค์กำลังพูดอธิบายให้ซู่เจินฟัง เธอก็หยิบเอกสารที่เธอเตรียมมาให้กับซู่เจิน และเมื่อซู่เจินลองอ่านดูก็พบว่าข้อมูลมันก็ละเอียดเป็นอย่างมาก

ไม่ว่าจะเป็น ที่อยู่ ขนาด สภาพแวดล้อม ฯลฯ

หลังจากตรวจสอบข้อมูลที่บริ๊งค์ให้มา ซู่เจินก็พบเข้ากับสถานที่อันคุ้นเคยมันก็คือโรงงานร้างของ สตาร์กอินดัสตรีส์ ซึ่งมันเป็นสถานที่ที่ดีและมีพื้นที่ขนาดใหญ่มาก แถมสถานที่แห่งนี้ก็ยังเป็นฐานทัพแห่งใหม่ของเหล่าอเวนเจอร์สในอนาคตอีกด้วย

และถ้าเขาบอกกับโทนี่ สตาร์ค ว่าเขาต้องการสถานที่แห่งนี้ เขาคงจะยกให้กับเขาฟรี ๆ อย่างแน่นอน แต่เขาก็ไม่ต้องการที่จะทำแบบนั้น เพราะว่าข้อเสนอของบริ๊งค์มันดีกว่ามาก ๆ นั่นก็คือ…

เกาะ!

เพราะว่าถ้าเขาสามารถซื้อเกาะได้ เขาจะสามารถสร้างฐานทัพได้ขนาดใหญ่แค่ไหนก็ได้ที่เขาต้องการ ซึ่งแน่นอนว่ามันจะสะดวกในการที่จะทำอะไรหลาย ๆ อย่าง และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ….มันสะดุดตา

แถมมันยังสามารถกลายเป็นแลนด์มาร์ค ที่แสดงถึงความแข็งแกร่งของซู่เจินได้อีกด้วย!

“เกี่ยวกับเกาะ เธอมีสถานที่ที่แนะนำไหม?” ซู่เจินถามกับบริ๊งค์ขึ้นมา

บริ๊งค์ส่ายหัวเบา ๆ และพูดว่า “เมื่อพิจารณาจากระยะทางและความสะดวกสบายในการเดินทางแล้ว เกาะในบริเวณใกล้ ๆ นี้ไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไหร่ในตอนแรก แต่ตอนนี้พวกเรามียานบินแล้วมันจะไม่มีปัญหาเรื่องการเดินทางอีกต่อไป แต่มันก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะว่าถ้าทีมของเรามีขนาดใหญ่ขึ้น ฉันเกรงว่ามันจะไม่เพียงพอต่อความต้องการของพวกเขา!“

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวเราค่อยซื้อเกาะข้าง ๆ อีกสักสองสามเกาะ จะได้เดินทางกันได้สะดวกมากยิ่งขึ้น!” ซู่เจินกล่าวขึ้นมาอย่างลวก ๆ

อะไรนะ … ซื้อเกาะเพิ่ม?

สิ่งที่ซู่เจินพูดออกมามันอาจจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ สำหรับเขา แต่สำหรับคนอื่นมันไม่ใช่ ทำให้พวกเขามองไปที่ซู่เจินด้วยความตกตะลึง

“ดังนั้นนี่จะเป็นเรื่องแรกที่ผมจะให้เธอไปจัดการ ก่อนอื่นเธอก็ไปดูที่เกาะทางฝั่งตะวันตกก่อน และไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับพวก SHIELD มากนัก ถ้าพวกเขาถามเธอเธอก็บอกไปว่าผมต้องการรที่จะใช้เกาะแห่งนี้เป็นฐานทัพและผมก็คิดว่า นิค ฟิวรี่ จะต้องเห็นด้วยกันมันแน่นอน และเดี๋ยวเธอก็มาเรียนรู้วิธีบังคับยานจากดาร์กเอลฟ์คนนั้นด้วย เพราะว่าเดี๋ยวผมจะไม่อยู่สักสองสามวัน” ซู่เจินพูดสั่งออกมาเป็นชุด ๆ

“รับทราบ!“

พวกเขาทั้งสามคนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสามคนก็ไปเลือกห้องของตัวเองกันอย่างรวดเร็ว และไปเดินสำรวจรอบ ๆ ยานลำ

ส่วนซู่เจินก็เตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่ดันเจี้ยน

“ระบบถ้าเกิดว่าฉันเปิดดันเจี้ยนแห่งที่สอง มันจะมีข้อกำหนดในเรื่องของเวลาการเข้าออกของดันเจี้ยนทั้งสองแห่งหรือไม่ ?” ซู่เจินถามกับระบบ

“หลังจากเวลารีเฟรชของดันเจี้ยนสิ้นสุดลง โฮสต์สามารถเข้าสู่ดันเจี้ยนอันไหนก็ได้ ส่วนระยะเวลาในการอยู่ในดันเจี้ยนแต่ละแห่งตอนนี้คือสามวัน!” ระบบตอบกลับซู่เจิน

ซู่เจินคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ทุก ๆ 30 วัน ฉันสามารถเข้าดันเจี้ยนได้ทุกอันเลยใช่ไหม?”

“ถูกต้อง!“

“เอาล่ะ! ระบบฉันจะเปิดดันเจี้ยนแห่งที่สอง ส่วนดันเจี้ยนที่ฉันเลือกก็คือ กรีนแลนเทิร์น“

ดันเจี้ยนแห่งที่สองที่ซู่เจินเลือกก็คือ กรีน แลนเทิร์น เพราะว่ากรีนแลนเทิร์นเป็นหนึ่งในซูเปอร์ฮีโร่ของค่าย DC และกรีนแลนเทิร์นก็คือเรื่องราวของกองกำลัง “กรีนแลนเทิร์นคอร์ปส” ที่คอยเป็นผู้พิทักษ์จักรวาลให้อยู่ในความสงบสุข ซึ่งสมาชิกทุกคนจะมีแหวนสีเขียวอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งมันได้มอบพลังอันมหาศาลให้กับผู้ถือครอง โดยมันสามารถสร้างสิ่งของต่าง ๆ ได้ตามความคิดของผู้ถือครอง และพระเอกของเรื่อง ฮาล จอร์แดน เดิมทีเขาเป็นนักบินทดสอบและได้ถูกเลือกโดยแหวน ทำให้เขาจะต้องกลายเป็น “กรีนแลนเทิร์น” ที่มีหน้าที่ในการดูแลความสงบของโลกและบริเวณโดยรอบทางช้างเผือก

ส่วนเหตุผลที่ซู่เจินเลือกดันเจี้ยนแห่งที่สองเป็น กรีนแลนเทิร์น นั้นก็เพราะแหวนสีเขียวที่สามารถเรืองเสืองวงนี้นี่เอง เพราะว่ามันสามารถสร้างสิ่งของตามความคิดของเราได้ ยิ่งเขาจินตนาการมากเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น!

แน่นอนว่าถ้าซู่เจินมีเหตุผลแค่นี้ เขาคงจะไม่เลือกดันเจี้ยนแห่งนี้อย่างแน่นอน เพราะว่ามันมีดันเจี้ยนที่ดีกว่านี้อีกมากมาย แถมแหวนวงนี้มันก็ไม่ได้ทรงพลังมากขนาดนั้น แต่ที่เขาเลือกที่แห่งนี้ก็เพราะว่า….เขาจะเอาแหวนวงนี้ไว้เป็นภาชนะของอนุภาคอีเทอร์!

และตอนนี้มาเลคิธก็ได้ตายไปแล้ว ดังนั้นซู่เจินจึงไม่ต้องกังวลว่าอนุภาคอีเธอร์จะถูกกระชากออกไปจากร่างกายของเขาอีกต่อไป ส่วนเรื่องของธานอสเขาก็ไม่รู้ว่ามันจะปรากฏตัวขึ้นตอนไหน และตอนนี้เขาก็ยังสามารถกลืนกินอนุภาคอีเธอร์ได้ช้ามาก ๆ แถมถ้าเขาวางอนุภาคอีเทอร์ไว้ในมิติเก็บของ เขาก็ไม่สามารถกลืนกินมันได้อีก ดังนั้นเขาจึงคิดวิธีนี้ขึ้นมา ก็คือเอาอนุภาคอีเทอร์ไปเก็บไว้ในภาชนะที่สามารถรองรับพลังของมันได้ แค่นี้เขาก็สามารถใช้พลังของมันได้อย่างไม่มีปัญหา!

ดังนั้นเขาจึงจำเป็นที่จะต้องหาภาชนะที่สามารถรองรับพลังของอนุภาคอีเทอร์ได้และเขาก็ค่อย ๆ กลืนกินมันอย่างช้า ๆ โดยที่มันไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาและมันยังสามารถใช้พลังของอนุภาคอีเทอร์ได้อีกด้วย!

ทำให้แหวนของกรีนแลนเทิร์นเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดในตอนนี้!

“ดันเจี้ยนได้รับการยืนยัน กำลังส่งโฮสต์เข้าสู่ดันเจี้ยน กรีนแลนเทิร์น“

หลังจากที่เสียงพูดของระบบจบลง ซู่เจินก็หายตัวไปจากยานบินและเข้าสู่โลกของกรีนแลนเทิร์นทันที

“ตื่นแล้วงั้นเหรอ?”

ซู่เจินค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ และได้ยินเสียงอันอ่อนหวานของซิฟดังขึ้นมาข้าง ๆ หูของเขา

มันเป็นคำพูดเดิม ๆ เหมือนกับครั้งที่แล้ว แต่มันเป็นเสียงที่แตกต่างกันอย่างมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ครั้งที่แล้วซิฟนั่งอยู่ข้าง ๆ เขาส่วนครั้งนี้เธอนอนอยู่ข้าง ๆ เขา

“ ทำไมคุณถึงตื่นเช้าขนาดนี้ละ ไม่นอนต่ออีกหน่อยงั้นหรอ? ” ซู่เจินพูดขึ้นมาเบา ๆ

ซิฟส่ายหัวเบา ๆ และกล่าวว่า “ข้าจะต้องกลับไปที่แอสการ์ด และรายงานให้พวกเขาทราบว่า มาเลคิธได้ตายไปเรียบร้อยแล้ว! แล้วเจ้า…จะกลับมาหาข้าอีกใช่ไหม?”

“ แน่นอนว่าผมจะกลับมาหาคุณอย่างแน่นอน และขอเวลาให้ผมอีกไม่นานผมจะทำให้คุณได้อยู่เคียงข้างผมไปตลอดชีวิต!” ซู่เจินกล่าวคำมั่นสัญญาด้วยสายตาจริงจัง

“ข้าจะรอวันนั้น!” ซิฟพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

หลังจากเก็บของอะไรเรียบร้อยแล้วซู่เจินก็อุ้มซิฟเอาไว้ในอ้อมแขนของเขาและปล่อยให้ดาร์กเอลฟ์ขับยานบินไปที่ทางเข้าของทางลับ

“คุณจะให้ผมไปส่งไหม?” ซู่เจินกล่าวขึ้นมาด้วยความไม่เต็มใจเล็กน้อย

ซิฟส่ายหัวปฏิเสธพร้อมกับยิ้มออกมาและกล่าวว่า “ไม่ ข้าสามารถกลับเองได้ และถ้าเกิดว่าข้าให้เจ้าไปส่งแล้วดาร์กเอฟล์เกิดทรยศและขับยานบินหนีไปล่ะ? “

“ผมจะคิดถึงคุณตลอดเวลา!”

“ข้าก็เช่นกัน!”

ซู่เจินกอดซิฟและจูบเธออย่างดูดดื่ม หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็แยกจากกัน ซิฟค่อย ๆ หันหลังและเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อมองดูแผ่นหลังของซิฟที่ค่อย ๆ หายไปจากสายตาของเขา ซู่เจินก็หันกลับมาและเรียกดาร์กเอลฟ์ให้มาหาเขาในขณะที่ดาร์กเอลฟ์กำลังซ่อมประตูของยานอยู่ เมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้ ๆ ซู่เจินก็สามารถบอกได้ทันทีเลยว่าหน้าตาของดาร์กเอลฟ์ตัวนี้มันเหมือนกับตัวร้ายเอามาก ๆ และเขาก็บอกให้ดาร์กเอลฟ์สอนเกี่ยวกับยานบินลำนี้ให้กับเขาต่อ!

ใช้เวลาประมาณสองวันกว่าที่ซู่เจินจะสามารถเชี่ยวชาญและเข้าใจยานบินลำนี้ได้อย่างท่องแท้และในเวลาเดียวกัน เวลาของความสัมพันธมิตรของอาณาจักรทั้งเก้าก็กำลังจะสิ้นสุดลง และตอนนี้ยานบินของซู่เจินกำลังล่องลอยไปในอวกาศ และทันใดนั้นเขาก็พบเข้ากับพื้นที่ที่คล้ายกับหลุมดำ และซู่เจินก็ขับยานพุ่งตรงเข้าไปทันที

แต่ว่าโชคของซู่เจินก็ไม่ค่อยดีนัก เพราะว่าตอนแรกเขาคิดว่าเขาจะไปปรากฏบนดาวโลก แต่ตอนนี้เขากับอยู่ส่วนไหนของอาณาจักรทั้งเก้าก็ไม่รู้? และเขาก็ตัดสินใจพุ่งตรงเข้าไปที่พื้นที่ที่คล้ายกับหลุมดำอีกครั้ง ทำให้เขาตอนนี้มาปรากฏตัวอยู่บนโลกเรียบร้อยแล้ว แต่ซู่เจินไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนกันแน่ ? ที่ด้านล่างของยานมันเต็มไปด้วยน้ำทะเลและข้างหน้าของเขามันมีสะพานที่เชื่อมต่อกับเกาะอยู่ซึ่งสะพานมันยาวมาก ๆ !

“ที่นี่คงจะไม่ใช่สะพานโกลเดนเกตใช่ไหม ?”

ด้วยรูปร่างอันคุ้นตานี้ทำให้ซู่เจินนึกถึงสะพานโกลเดนเกตขึ้นมาเป็นสิ่งแรกทันที และดูเหมือนว่าสะพานโกลเดนเกตยังอยู่ในสภาพที่ดี และเขาก็ไม่รู้ว่าสะพานแห่งนี้ได้ถูกทำลายโดย แม็กนีโต และสร้างขึ้นมาใหม่หรือไม่ ?

ในขณะที่มียานบินปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหันบนสะพานโกลเดนเกต ทำให้ผู้คนที่ขับรถสัญจรไปมามองไปที่ยานบินลำนั้นด้วยความตกใจ และเกือบเกิดความโกลาหลขึ้นมา

ความรู้สึกแรกของผู้คนโดยรอบก็คือ กำลังจะมีมนุษย์ต่างดาวมาบุกโลก เพราะว่าเหตุการณ์ที่เกิดครั้งล่าสุดที่กลางนิวยอร์กมันยังติดตาของพวกเขาอยู่

ไม่ใช่แค่คนเหล่านี้เท่านั้นที่ตกใจ เพราะว่าไม่นานหลังจากนั้นก็มียานบินของ S.H.I.E.L.D. ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีนิคฟิวรี่ที่กำลังเครียดคิดว่าจะมีมนุษย์ต่างดาวมาบุกโลก เลยทำให้เขามุ่งหน้ามาที่นี่อย่างรวดเร็ว!

“แจ้งไปที่อเวนเจอร์ส ให้พวกเขาเตรียมพร้อมรบตลอดเวลา!”

ตอนนี้ยานบินกำลังลอยอยู่เนื้อน้ำทะเล ทำให้น้ำทะเลบริเวณรอบ ๆ ของยานบินเกิดคลื่นกระเพื่อมไปมาอย่างรุนแรงจากกระแสอากาศโดยรอบที่ส่งออกมาจากยานบิน จนกลายเป็นเกลียวคลื่น

ลิฟต์บนยานบินค่อย ๆ เคลื่อนตัวลงมาจากด้านบนของยานอย่างรวดเร็ว และท้ายของยานบินก็ค่อย ๆ เปิดออกอย่างช้า ๆ และค่อย ๆ มีบันไดอัตโนมัติเรียงตัวออกมาเป็นทางเดินแบบขั้นบันได

ซู่เจินที่กำลังเดินออกมาจากลิฟต์อย่างช้า ๆ ก็บังเอิญไปเห็นคน ๆ หนึ่งที่กำลังบินมาจากระยะไกล โดยสวมชุดเกราะเหล็กสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ เขาก็คือ ไอรอนแมน!

“ฉันรู้อยู่แล้วว่าไอรอนแมนจะไม่กล้าทำลายชุดเกราะของเขาทั้งหมด และยอมทิ้งตัวตนของเขาในฐานะไอรอนแมนไป!”

เมื่อเห็นไอรอนแมนที่กำลังบินอยู่เหนือหัวของซู่เจิน เขาก็เม้มริมฝีปากของเขาและยิ้มขึ้นมา

“ทำไมถึงเป็นคุณ?”

ไอรอนแมนบินไปอยู่ตรงหน้าของซู่เจิน และถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ

“แล้วทำไมมันถึงเป็นผมไปไม่ได้ล่ะ?” ซู่เจินก็ถามกลับเช่นกัน

ไอรอนแมนมองไปที่ซู่เจินเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็มองไปที่ยานบินของซู่เจินและพูดว่า “อย่าบอกนะว่ายานบินลำเบ้อเร่ออันนี้เป็นยานของคุณ ? มันสุดยอดมาก! เพราะว่านี่น่าจะไม่ใช่เทคโนโลยีของดาวโลกอย่างแน่นอน คุณสามารถให้ฉันลองศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับยานลำนี้ได้หรือไม่ ?” ไอรอนแมนค่อย ๆ บินไปจอดลงข้าง ๆ ของซู่เจนและพูดขึ้นมาอย่างกับคนคุ้นเคย

ซู่เจินกลอกตาของเขาเล็กน้อยและพูดขึ้นมาด้วยความแกล้งโกรธเล็กน้อยว่า “อย่าได้คิด นี่เป็นยานบินที่ผมได้มาอย่างยากลำบาก คุณต้องการจะศึกษามัน ? แล้วทำไมผมถึงไม่ศึกษาค้นคว้ามันด้วยตัวเองแทนที่จะยกให้คุณล่ะ!“

“โห่ อย่าขี้เหนี้ยวเกินไปหน่อยเลยน่า! ฉันขอแค่ศึกษามันเอง เราไม่ใช่เพื่อนกันงั้นหรอ ? แถมฉันยังรู้จักกับนางแบบระดับซูเปอร์โมเดลเด็ด ๆ มากมาย และฉันคิดว่าพวกเธอจะต้องชอบคุณมากอย่างแน่นอน แถมฉันยังสามารถจัดงานเลี้ยงอันใหญ่โตให้กับคุณได้อีกด้วยนะ ขอแค่คุณให้ฉันได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับยานบินลำนี้ก็แค่นั้นเอง!” โทนี่พูดขึ้นมาอย่างอ้อนวอน

“เฮ้! หยุดพูดกันก่อนได้ไหมและอธิบายให้ผมเข้าใจหน่อยว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

ยานบินของ SHIELD ค่อย ๆ หยุดลงและกัปตันอเมริกาก็เดินออกมาจากยานบินและตะโกนขึ้นมา

“นี่คือยานบินของผม! มันไม่ใช่การรุกรานของมนุษย์ต่างดาวอย่างแน่นอน และฝากบอกผู้อำนวยการของคุณด้วยว่าผ่อนคลายได้แล้ว ไม่ต้องเครียด ๆ ” ซู่เจินกล่าวขึ้นมากับกัปตันอเมริกาด้วยรอยยิ้ม

“คุณควรไปบอกเขาด้วยตัวเอง!”

กัปตันอเมริกายักไหล่เบา ๆ และหยิบโทรศัพท์ที่ต่อสายของใครบางคนเอาไว้ขึ้นมา

ซู่เจินมองไปที่มันและไม่นานก็มีเสียงของ นิค ฟิวรี่ ดังออกมาจากโทรศัพท์เครื่องนั้น

“ซู่เจิน ดูเหมือนว่าคุณในตอนนี้จะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะ ตอนแรกคุณก่อตั้งทีมของตัวเองขึ้นมา และตอนนี้คุณยังเอายานบินของมนุษย์ต่างดาวมาที่โลกอีก”

“ไม่หรอก ผมแค่บังเอิญได้ไปที่อาณาจักรของดาร์กเอลฟ์ และอาศัยอยู่ในแอสการ์ดสักพักหนึ่ง แถมผมยังช่วยฆ่ามาเลคิธผู้นำของเหล่าดาร์กเอลฟ์ให้พวกเขา และยานบินลำนี้ก็เป็นของสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ตอนผมสามารถฆ่ามาเลคิธได้แล้ว ดังนั้นแล้วยานบินลำนี้จึงเป็นของผม และมันก็เป็นไปไม่ได้ด้วย!” ซู่เจินพูดอธิบายขึ้นมาอย่างช้า ๆ

ข้อมูลที่ซู่เจินได้อธิบายมามันมีจำนวนมากเกินไปทำให้ นิค ฟิวรี่ เงียบไปพักหนึ่งและพูดขึ้นมาว่า“อะไรที่มันเป็นไปไม่ได้”

“อย่าบอกนะว่าคุณไม่ต้องการยานบินลำนี้ ? ผมถึงบอกคุณไงว่ามันเป็นไปไม่ได้!“

“โอเค!” นิค ฟิวรี่ รู้อยู่แล้วว่าซู่เจินจะต้องรู้อย่างแน่นอนว่าเขาจะพูดอะไรออกมา เลยพูดปฏิเสธดักเอาไว้ก่อน ทำให้เขารู้สึก…หดหู่จริง ๆ ! “แล้วคุณจะจัดการกับยานบินลำใหญ่ขนาดนี้ยังไง แล้วจะเอามันไปไว้ที่ไหน?”

“เรื่องนี้ผมไม่รบกวนผู้อำนวยการ นิค ฟิวรี่ ให้เหนื่อยหรอก ผมจะหาทางดูแลมันเอง!” หลังจากที่ซู่เจินพูดจบ สายก็ตัดไปทันที

“ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว งั้นผมขอตัวก่อน เพราะเดี๋ยวผมจะต้องไปหาสถานที่จอดยานลำนี้อีก!” ซู่เจินหันไปพูดกับไอรอนแมนและกัปตันอเมริกา จากนั้นเขาก็หันหลังกลับและเดินไปที่ลิฟต์เพื่อขึ้นไปชั้นบนสุดของยาน และยานก็ค่อย ๆ ลอยตัวขึ้นอย่างช้า ๆ

กระแสลมอันรุนแรงพัดไปรอบ ๆ บริเวณของตัวยาน แต่มันก็ไม่ได้มีผลอะไรกับไอรอนแมนที่กำลังบินอยู่

“ผู้ชายคนนี้!”

กัปตันอเมริกาตะโกนขึ้นมาอย่างหดหู่เล็กน้อย

“ผู้ชายคนนี้เป็นคนดีใช่ไหม ? เพราะว่าฉันเริ่มสนใจในตัวเขาขึ้นมาสักเล็กน้อยแล้วสิ!” กัปตันอเมริกานั้นตรงข้ามโทนี่โดยสิ้นเชิง เพราะว่าโทนี่รู้สึกชอบสไตล์การแสดงออกของซู่เจินเป็นอย่างมาก หลังจากที่เขาพูดจบก็บินจากไปอย่างรวดเร็ว

แน่นอนว่าซิฟนั้นแข็งแกร่งมาก มันไม่ใช่ปัญหาเลยที่ให้เธอไปจัดการกับพวกดาร์กเอลฟ์ลูกระจ๊อก แต่ซู่เจินก็ไม่อยากให้เธอต่อสู้มากเกินไป ดังนั้นซู่เจินจึงควบคุมเปลวเพลิงของเขาและพุ่งเข้าไปหาพวกดาร์กเอลฟ์อย่างรวดเร็ว

ไม่ว่าเปลวเพลิงจะไปโดนส่วนไหนของร่างกายพวกดาร์กเอลฟ์ พวกมันก็เริ่มกลายเป็นเถ้าถ่านทันที

และซู่เจินยังควบคุมพลังจิตของเขาห่อหุ้มร่างกายของเขาและซิฟเอาไว้เพื่อไม่ให้ร่างกายของพวกเขาต้องเปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยผงขี้เหล่านี้!

ตอนนี้ได้เหลือดาร์กเอลฟ์เพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงหน้าของซู่เจินและมันกำลังมองมาที่ซู่เจินด้วยความหวาดกลัวและไม่กล้าที่จะทำอะไรผลีผลาม

ซู่เจินยกมือของเขาขึ้นและดาร์กเอลฟ์คนนั้นก็ถูกพลังจิตของซู่เจินยกไปไว้ด้านข้างทันที

เมื่อมองไปที่มาเลคิธ ซู่เจินก็พูดขึ้นมาอย่างติดตลกว่า “ดูสิว่าเขาคือใครกันน้า ? อ๋อ! ผู้นำของเผ่าดาร์กเอลฟ์นี่เอง….ทำไมตอนนี้คุณดูเหมือนมดตัวเล็ก ๆ ที่ผมสามารถบดขยี้ได้ง่าย ๆ เลยล่ะ ความยิ่งผยองของคุณหายไปไหนหมดแล้ว?

“เจ้าอย่ามั่นใจในตัวเองมากเกินไป เพราะว่าที่นี่คืออาณาจักรสวาทาลฟ์ไฮม์ดินแดนของเหล่าดาร์กเอลฟ์ และถ้าเกิดว่าเจ้าทำให้ข้าขุ่นเคืองแม้แต่นิดเดียวละก็…ข้าจะตามฆ่าคนที่เจ้ารักให้หมดสิ้นเลยคอยดูสิ!

“ผมคิดว่าเขาคงไม่กล้าทำจริง ๆ หรอก เพราะดูยังไงเขาก็ไม่มีรัศมีของความเป็นผู้นำเลยแม้แต่น้อย” ซู่เจินหันหน้าไปถามซิฟ

ชิฟยิ้มและพูดว่า “ไม่ใช่หรอก เขากลัวเจ้าต่างหาก!”

“เผ่าดาร์กเอลฟ์งั้นหรอ? ฮ่าฮ่า … วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่เผ่าดาร์กเอลฟ์จะหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้!”

ซู่เจินยิ้มออกมา ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็ลุกขึ้นมากจากร่างกายของซู่เจินอย่างรวดเร็วและเขาก็เดินเข้าไปหามาเลคิธทีละก้าวอย่างช้า ๆ และในขณะที่ซู่เจินเดินอุณหภูมิมันก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับเปลวเพลิง มาเคลิธเริ่มรู้สึกได้ถึงความแสบร้อนบนใบหน้าของเขาที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

คลื่นความร้อนกระทบเข้าที่ใบหน้าของมาเลคิธเรื่อย ๆ ทำให้มาเลคิธเริ่มหวาดกลัวและหันหลังวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว

ซู่เจินโบกมือของเขาเบา ๆ ด้วยความเยาะเย้ยเล็กน้อย ทันใดนั้นก็มีสนามพลังปรากฏขึ้นมาตรงหน้าของมาเลคิธ ทำให้มาเลคิธที่กำลังวิ่งหนีชนเข้าไปกับสนามพลังนั้นอย่างรุนแรงและกระเด็นถอยหลังไปเล็กน้อย หลังจากนั้นสนามพลังก็ค่อย ๆ กลายเป็นสีเหลี่ยมล้อมรอบตัวของมาเลคิธเอาไว้และขังเขาไว้ด้านใน

มาเลคิธพยายามที่จะใช้พลังของเขาทำลายมัน แต่ว่ามันก็ไร้ผล เพราะว่าสนามพลังจิตของซู่เจินมันแข็งแกร่งเกินไป

ซู่เจินค่อย ๆ ยื่นมือของเขาผ่านเข้าไปในสนามพลังจิตของเขา หลังจากนั้นเขาก็ควบคุมเปลวเพลิงที่กำลังโหมกระหน่ำอยู่เข้าไปในสนามพลังจิตของเขาทั้งหมดทันที!

“นี่แหละคือ พลังของซูเปอร์โนวา!!“

ซู่เจินระดมเปลวเพลิงของเขาและปลดปล่อยพลังของซุปเปอร์โนวาขึ้นมาอีกครั้ง ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวระหว่างทั้งสองครั้งที่เขาได้ใช้พลังของซูเปอร์โนวาก็คือ ในครั้งแรกซู่เจินได้ใช้ทุกส่วนของร่างกายในการใช้พลังของซูเปอร์โนวาทำให้เขาสามารถใช้พลังของมันได้อย่างจำกัด ส่วนครั้งที่สองเขาใช้แค่ส่วนแขนของเขาเท่านั้น!

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ด้วยความสามารถของปีศาจเพลิง จอห์น ที่สามารถควบคุมเปลวเพลิงได้อย่างอิสระ ทำให้ซู่เจินในตอนนี้ได้ควบคุมเปลวเพลิงไปที่แขนของเขาและค่อย ๆ ปล่อยมันออกมา

“ไม่ไม่……”

ตอนนี้ซู่เจินไม่สามารถมองเห็นมาเลคิธที่อยู่ในเปลวเพลิงได้อีกต่อไป เขาได้ยินแต่เสียงกรีดร้องอย่างทนทุกข์ทรมาณของมาเลคิธที่ดังออกมาอย่างต่อเนื่อง

“ตายไปซะ!”

เมื่ออุณหภูมิในสนามพลังจิตของซู่เจินเริ่มถึงจุดสูงสุด ซู่เจินก็ตะโกนขึ้นมาด้วยเสียงร้องดัง

ตูม!

เปลวเพลิงที่อยู่ในสนามพลังจิตก็ระเบิดออกมาอย่างรุนแรง เหมือนกับคลื่นน้ำที่ล้อมรอบไปด้วยเปลวเพลิงที่สามารถละลายได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนโลกนี้…

“มาเลคิธ ? ดาร์กเอลฟ์ ? ฮ่า ฮ่า … ”

ซู่เจินพูดขึ้นมาอย่างดูถูกเหยียดหยาม จากนั้นเขาก็หันไปหาซิฟและพูดว่า “คุณคิดว่าการที่ผมช่วยฆ่ามาเลคิธ โอดินจะขอบคุณผมใหม ?”

“ไม่ใช่แค่โอดิน แต่คนทั้งเก้าโลกจะต้องกล่าวขอบคุณเจ้าอย่างแน่นอน!” ซิฟพูดขึ้นมาด้วยความจริงจัง

ผู้นำของดาร์คเอลฟ์ มาเคลิธ คือศัตรูตัวฉกาจที่สร้างปั่นป่วนให้กับอาณาจักรทั้งเก้ามาอย่างยาวนาน และการที่ซู่เจินสามารถฆ่าเขาได้ด้วยฝีมือของตนเอง ถ้าเกิดว่าเธอไม่ได้เป็นคนที่ได้มาเห็นกับตาด้วยตัวเอง เธอคงไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่าซู่เจินจะเป็นคนที่ฆ่ามาเลคิธได้จริง ๆ!

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้มาเลคิธก็ได้ตายไปแล้ว ทำให้เธอกลัวว่าซู่เจินจะจากไปจากเธอในเร็ว ๆ นี้แน่นอน

เธอไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ทั้งนั้น และในตอนนี้เธอรู้สึกว่าถ้าเธอยังไม่ทำอะไรสักอย่างก่อนที่ซู่เจินจะจากไป เธอจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน เพราะว่าระหว่างเธอกับซู่เจินจะต้องอยู่ห่างไกลกัน ไกลออกไป!

“ยานบินลำนี้สภาพดีมากและฉันยังไม่มียานบินเป็นของตัวเองด้วย ดังนั้นฉันจึงสามารถใช้โอกาสเพื่อเอายานบินลำนี้ไปที่โลกได้ เพราะว่า SHIELD ก็มียานบรรทุกเครื่องบินของเขา ส่วนผมก็มียานบินของดาร์กเอลฟ์ ซึ่งเทคโนโลยีของดาร์กเอลฟ์มันก้าวหน้ากว่าที่โลกมาก!”

เหตุผลที่ซู่เจินมาตามล่ามาเลคิธก็เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและอีกอย่างหนึ่งก็คือยานบินลำนี้

เขาจะพลาดของดี ๆ แบบนี้ไปได้ยังไงจริงไหม?

และยานบินลำนี้อยู่คนละดับกับยานบรรทุกเครื่องบินของ SHIELD อย่างสิ้นเชิง โดยไม่ต้องพูดถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ เลยแม้แต่น้อยเพราะว่ายานบรรทุกเครื่องบินของ SHIELD สร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีบนโลก แต่ยานบินของดาร์กเอลฟ์สร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และเมื่อยานบินของดาร์กเอลฟ์นี้ได้ปรากฏต่อสาธารณชน มันจะเกิดการเปรียบเทียบขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ขนาดดาร์กเอลฟ์ที่มีพลังมากมายขนาดนี้ยังถูกฆ่าโดยเขา แล้วพวกเขาล่ะ ?

นี่คือการปฏิวัติอย่างแน่นอน!

ก่อนหน้านี้ที่ซู่เจินจงใจโยนดาร์กเอลฟ์ตัวสุดท้ายออกไปและไม่ได้ฆ่าทิ้งก็เพื่อให้ดาร์กเอลฟ์ตัวนั้นสอนวิธีการขับยานบินให้กับเขา

“ได้โปรด … อย่าฆ่าข้า ข้าขอสวามิภักดิ์ต่อท่าน!”

ดาร์กเอลฟ์ตนนั้นได้สติขึ้นมาทันทีและเมื่อเห็นซู่เจินเดินเข้ามา เขาก็ตื่นตระหนกและรีบร้องขอความเมตตาทันที

ซู่เจินหน้ามุ่ยเล็กน้อยและกล่าวว่า “คุณสอนวิธีการใช้ยานบินลำนี้ให้กับผม และถ้าเกิดว่าคุณมีความประพฤติที่ดีผมจะไม่ฆ่าคุณ เพราะถึงยังไงคุณก็เป็นดาร์กเอลฟ์คนสุดท้ายที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ดังนั้นผมจะรับคุณไว้เป็นคนรับใช้ของผมก็แล้วกัน! “

เมื่อได้ยินซู่เจินบอกว่าจะปล่อยให้เขามีชีวิตรอด เขาก็บอกบอกทุกสิ่งทุกอย่างที่เขารู้ให้กับซู่เจินในทันที ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างภายในยานหรือวิธีการทำงานของยานบินลำนี้ เพราะถึงยังไงยานบินลำนี้ก็มีขนาดใหญ่มาก และแม้ว่ามันจะมีระบบการทำงานแบบอัตโนมัติ ซู่เจินก็อยากรู้ข้อมูลของยานบินลำนี้ให้มากที่สุดอยู่ดี!

“ อย่าพยายามคิดที่จะวิ่งหนีจะหนีกว่านะ!”

ซู่เจินหันเตือนกับดาร์กเอลฟ์และเพิกเฉยต่อเขาทันที

แน่นอนว่าดาร์กเอลฟ์คนนี้มีความซื่อสัตย์แต่เขาก็ขี้ขลาดเล็กน้อย เขาไม่กล้าวิ่งหนีเมื่ออยู่ต่อหน้าซู่เจินอย่างแน่นอน เพราะท้ายที่สุดแล้วแม้แต่ชายที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าดาร์กเอลฟ์อย่างมาเลคิธ ก็ยังถูกซู่เจินฆ่าได้อย่างง่ายดาย แล้วนับประสาอะไรกับตัวเขา?

“ซู่เจินพาข้าไปดูห้องภายในยานบินลำนี้หน่อยสิ แม้ว่าข้าจะสู้กับดาร์กเอลฟ์มาเป็นเวลานาน แต่ข้าก็ไม่เคยเห็นว่าห้องของพวกดาร์กเอลฟ์นั้นมีลักษณะอย่างไร” เมื่อเห็นซู่เจินพูดจบซิฟก็เดินเข้ามาหาซู่เจินและถามขึ้นมาทันที

“ได้! ผมก็อยากรู้เหมือนกัน”

ซู่เจินตอบขึ้นมาด้วยรอยยิ้มและจูงมือของซิฟไปเดินดูห้องภานในยานบิน และเมื่อพวกเขาเดินดูกันจนทั่วก็พบว่ามันก็เหมือนกับห้องพักธรรมดา ๆ ทั่วไป แต่มันมีเพียงห้องโดยสารเท่านั้นที่แตกต่างจากห้องพักเหล่านั้น

ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงห้องพักที่ใหญ่ขึ้นและกว้างขวางมากขึ้นกว่าเดิมและในที่สุดพวกเขาก็พบกับสิ่งที่คล้ายกับเตียงนอนที่ใช้สำหรับพักผ่อน

“ดาร์กเอลฟ์พวกนี้มันไม่เบื่อกันตายเลยรึไงเนี้ย!”

ซู่เจินส่ายหัวเบา ๆ และทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงปิดประตูที่ด้านหลังของเขาและเมื่อเขาหันหน้าไปมองก็เห็นว่าซิฟกดปิดประตูขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและมองไปที่ท่าทางของซิฟที่แสดงออกมา

มันเต็มไปด้วยความขี้อายและความมุ่งมั่นที่จะทำอะไรบางอย่าง

ทันใดนั้นซู่เจินก็รู้ว่าเธอต้องการที่จะทำอะไรกันแน่ และเมื่อซู่เจินกำลังจะพูดขึ้นมา อยู่ดี ๆ ซิฟก็ยกมือขึ้นมาห้ามเอาไว้!

“อย่าได้พูดอะไรขึ้นมา ข้ากลัวว่าข้าจะสูญเสียความกล้าหาญของตัวเองไป ข้าไม่รู้ว่าทำไมข้าถึงได้ตัดสินใจที่จะทำแบบนี้ แต่อยู่ดี ๆ มันก็มีเสียงดังขึ้นมาในหัวใจของข้าว่า ‘ถ้าเกิดว่าข้าไม่ทำแบบนี้ ข้าจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตของข้าแน่ ๆ’ และเจ้าอาจจะเห็นได้ว่าข้าเกลียดความความกะล่อนของเจ้าในตอนแรก แต่ตอนนี้มันกับทำให้ข้าสามารถยิ้มได้อย่างมีความสุขและข้าก็รู้สึกโชคดีมากที่ได้รู้จักกับเจ้า

กึก!

เกราะอกของซิฟที่ตกลงพื้นส่งเสียงดังออกมา!

เมื่อซู่เจินเห็นว่าซิฟกำลังกังวลเป็นอย่างมาก ไม่อย่างนั้นเธอก็คงจะไม่ปล่อยให้ชุดเกราะหล่นลงมาเสียงดังขนาดนั้น แถมเธอยังเป็นผู้หญิงที่สวยราวกับเทพธิดา ยังมีความกล้าที่จะตัดสินใจในเรื่องแบบนี้ แล้วเขาที่เป็นผู้ชายล่ะ ? จะไม่ทำอะไรในฐานะของผู้ชายบ้างเลยงั้นหรอ!

มันคงจะเป็นเรื่องน่าอายเกินไปที่จะปล่อยให้ฝ่ายหญิงเป็นคนเริ่มในเรื่องแบบนี้!

“พอเถอะ เดี๋ยวผมช่วยคุณเอง”

ซู่เจินพูดขึ้นมาเบา ๆ และซิฟก็ก้มหัวลงด้วยความเขินอายและหยุดอยู่กับที่ทันที…….

ทั้งวันซู่เจินและซิฟไม่ได้ออกไปไหนเลยนอกจากอยู่ในบ้าน

แม้ว่าพวกเขาจะอยู่กันแค่สองคนและนั่งคุยกันเรื่อยเปื่อย แต่พวกเขาทั้งสองคนก็ไม่รู้สึกเบื่อเลยสักนิด และเวลามันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ซู่เจินได้เล่าสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่บนโลกให้กับเธอ ส่วนเธอก็เล่าเรื่องของแอสการ์ดให้เขาฟัง พวกเขานั่งแลกเปลี่ยนความคิดกันอย่างสนุกสนาน และถ้าเธอมองข้ามความประทับใจแย่ ๆ ของซู่เจินในตอนที่เจอกันครั้งแรก เธอรู้สึกว่าซู่เจินเป็นคนที่น่าดึงดูดมาก ๆ

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้มีรูปร่างที่ดูกำยำ แต่เขาก็มีหน้าตาที่หล่อเหลา โดยเฉพาะเทคนิคการพูดของซู่เจินที่แฝงไปด้วยความมั่นใจและเสน่ห์ ทำให้ซิฟรู้สึกหลงไหล

ผู้ชายที่มีความมั่นใจในตัวเองและเข้มแข็งจะเป็นคนที่ดูขี้เหร่ไปได้ยังไงจริงไหม?

โดยไม่รู้ตัวตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งสองคนเริ่มกลายเป็นความสนิทสนม แม้ว่ามันจะมีข้อจำกัดอยู่บ้างในการทำสิ่งต่าง ๆ แต่เขาก็แค่จับมือของเธอและไม่ได้ทำอะไรเกินเลยไปมากกว่านั้น แต่สำหรับความคิดนั้นแตกต่างออกไป

ตอนนี้ซู่เจินอยู่ที่บ้านของซิฟมาเป็นเวลาหลายวันแล้วและสามารถพูดได้เลยว่าความสัมพันธ์ของเขาและซิฟก้าวหน้าไปอย่างก้าวกระโดด อย่างไรก็ตามซู่เจินก็ไม่ใช่ชาวแอสการ์ดอยู่ดีและเขาไม่สามารถอยู่ที่นี่ไปได้ตลอด ถึงแม้ว่าเมืองนี้มันจะสงบสุขดี แต่มันก็หน้าเบื่อเกินไป

“เจ้าจะไปแล้วงั้นหรอ?”

เมื่อซู่เจินบอกกับซิฟว่าเขากำลังจะจากไป ปฏิกิริยาของซิฟก็เปลี่ยนไปทันที

ซู่เจินพยักหน้าและพูดขึ้นมาด้วยความไม่เต็มใจว่า “ใช่ ผมอยู่ที่นี่ไปตลอดไม่ได้เพราะว่าผมยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำอยู่ แต่ไม่ต้องห่วงถ้าผมมีเวลาผมจะมาหาคุณแน่นอน”

“แต่ … แต่ว่าเจ้าจะอยู่ที่นี่อีกสักสองสามวันได้ไหม” ซิฟรู้สึกเสียใจเล็กน้อยและไม่อยากให้ซู่เจินจากไปไหน

ในเวลานี้เธอตระหนักได้ว่าซู่เจินได้เข้ามาเป็นส่วนสำคัญของชีวิตเธอเรียบร้อยแล้ว เธอไม่ต้องการให้ซู่เจินจากไปไหน และเธอก็รู้ว่าคนอย่างซู่เจินคงจะไม่อยู่ในแอสการ์ดไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน แต่เธอก็ไม่สามารถตามซู่เจินไปที่โลกได้!

“มาเลคิธในตอนนี้กำลังซ่อนตัวและรักษาบาดแผลของเขาอยู่และในไม่ช้าเขาจะกลับมาล้างแค้นอย่างแน่นอน และผมจะใช้ประโยชน์จากอาณาจักรทั้งเก้าและพลังของอนุภาคอีเทอร์ใช้การเขาในรวดเดียว แค่นี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว!” ซู่เจินอธิบายออกมา

ซิฟตกใจมากและพูดขึ้นมาว่า “เจ้ากำลังจะไปจัดการมาเลคิธ? แล้วเจ้ารู้งั้นหรอว่าเขาอยู่ที่ไหน!“

“อืม” ซู่เจินพยักหน้าตอบ

“ข้าจะไปกับเจ้า!” ซิฟพูดขึ้นมาโดยทันที

ซู่เจินส่ายหัวและพูดว่า “มันอันตรายเกินไป และมันก็ไม่ง่ายเลยที่จะพาคุณออกไป”

“ข้าไม่ไว้ใจที่จะให้เจ้าไปคนเดียว และเจ้าอย่าลืมนะว่าข้าคือใคร…ข้าคือเทพีแห่งสงคราม ซิฟ!” ซิฟพูดขึ้นมาอย่างหนักแน่น

“โอเค!”

ซู่เจินคิดอยู่สักพักหนึ่งและพยักหน้าเห็นด้วย

เมื่อเห็นว่าซู่เจินตกลงแล้ว ซิฟก็ยิ้มขึ้นมาด้วยความพึงพอใจและก็พูดขึ้นมาอย่างเป็นห่วงว่า “ตอนนี้แอสการ์ดกำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟูหลังสงคราม ทำให้เราไม่สามารถออกไปจากแอสการ์ดได้โดยง่าย!”

“ผมรู้ทางลับที่จะสามารถพาเราออกจากแอสการ์ดและไปยังอาณาจักรสวาทาลฟ์ไฮม์ได้อย่างรวดเร็ว!” ซู่เจินกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“มันน่าจะไม่ใช่สถานที่ที่โลกิรู้จักมาก่อนใช่ไหม ? แล้วเจ้ารู้จักทางลับนี้ได้ยังไง?” ซิฟถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ

ซู่เจินยิ้มออกมาและไม่ได้พูดตอบซิฟ

พวกเขาทั้งสองคนช่วยกันจัดเตรียมสัมภาระให้พร้อมและเตรียมตัวออกเดินทาง

เส้นทางลับที่ซู่เจินได้พูดถึงนั้นมันอยู่ไกลมากและโดยปกติแล้วถ้าพวกเขาเดินเท้ากันไปมันคงจะใช้เวลานานมากกว่าที่พวกเขาจะเดินทางไปถึง และตอนแรกซิฟก็ตั้งใจว่าจะใช้ยานบินของแอสการ์ดในการเดินทาง แต่ซู่เจินก็ยิ้มออกมาและเดินไปกอดเอวของเธออย่างรวดเร็วและเปลวเพลิงก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นที่ใต้เท้าของซู่เจินและบินออกไปอย่างรวดเร็ว!

ซู่เจินบินด้วยความเร็วสูงและพวกเขาก็ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงทางลับที่ซู่เจินได้บอก หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็บินเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว และจู่ ๆ ซู่เจินก็ยิ้มออกมาและหันไปพูดกับซิฟว่า“คุณคิดไหมว่าพวกเราสองคนในตอนนี้เหมือนกับว่ากำลังนี้ตามกันไปเลยว่าไหม?”

“ไม่ใช่ เพราะว่าเดี๋ยวข้าก็กลับมาอยู่ดี!” ซิฟพูดขึ้นมาพร้อมกับหน้าแดงด้วยความเขินอาย

พวกเขาทั้งสองคนบินเข้าไปด้านในเรื่อย ๆ และอยู่ ๆ ทิวทัศน์เบื้องหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างปรากฏขึ้นมา จากสถานที่ที่มืดมิดในตอนแรก ตอนนี้มันสว่างไสวจนสามารถมองเห็นได้ทุกอย่าง!

“เรามาถึงแล้ว!”

ซู่เจินค่อย ๆ วางซิฟลงกับพื้นและพูดขึ้นมาเบา ๆ

“ยานบินของมาเคลิธอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก แต่ผมไม่รู้ว่ามันเหลือเผ่าดาร์กเอลฟ์อีกมากมายแค่ไหน ดังนั้นเดี๋ยวผมจะเป็นคนเดินนำเอง โอเคไหม?” ซู่เจินชี้ไปด้านหน้าและพูดขึ้นมา

ซิฟพยักหน้าเห็นด้วย แม้ว่าเธอจะมองไม่เห็นด้วยซ้ำว่ายานบินของมาเคลิธอยู่ตรงไหน

“ไปกันเถอะ!”

ซู่เจินเป็นคนเดินนำ ส่วนซิฟก็เดินตามซู่เจินมาอย่างไม่ห่าง

ด้วยความสามารถในการทำนายอนาคตของซู่เจิน แม้ว่าเขาจะไม่สามารถมองเห็นยานบินของมาเลคิธได้ แต่เขาก็รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน

“แหลกไปซะ!”

ซู่เจินพูดขึ้นมาเบา ๆ และต่อยไปที่กำแพงที่อยู่ข้างหน้าของเขาทันที

หมัดของซู่เจินแทงทะลุเข้ากับกำแพง ทำให้กำแพงแตกออกเป็นรูขนาดใหญ่ทันทีและมือของเขาก็แทงทะลุต่อเนื่องไปยังผนังด้านนอกของยานบิน จากนั้นเขาก็จับไปที่บริเวณที่เสียหายด้วยมือทั้งสองข้างของเขา แล้วดึงมันลงมาอย่างแรงทำให้มีเสียงคลิ๊กดังขึ้นมาและประตูของยานบินก็ถูกดึงลงมาอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นลักษณะภายในยาน!

ยานบินของดาร์กเอลฟ์นั้นมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากยานบินลำอื่น ๆ เพราะว่ามันมีลิฟต์ที่เคลื่อนที่ขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา แถมยังมีขาตั้งที่ใช้สำหรับจอดยานบินคล้ายกับป้ายที่ติดอยู่บนหลังคารถแท็กซี่อยู่ที่ใต้ท้องของยานบิน

ทันทีที่พวกเขาเข้าไปด้านใน พวกเขาก็ได้ยินสัญญาณเตือนดังขึ้นมาทันที ซู่เจินเดินไปอุ้มซิฟและบินขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

จะใช้ลิฟต์ไปทำไม ในเมื่อเขาสามารถบินได้เร็วกว่า!

ในพริบตาพวกเขาทั้งสองคนก็มาถึงชั้นบนสุดของยานอย่างรวดเร็ว และทันทีที่พวกเขาขึ้นมาถึง พวกเขาก็ถูกเหล่าดาร์กเอลฟ์ใช้ปืนพลังงานยิงมาที่พวกเขาทันที

ซู่เจินปล่อยสนามพลังจิตของเขาออกไปรอบ ๆ ทำให้คลื่นพลังงานจากปืนพลังงานถูกพลังจิตของเขาป้องกันไว้ได้อย่างง่ายดาย หลังจากนั้นซู่เจินก็ใช้พลังจิตของเขาลากเหล่าดาร์กเอลฟ์ไปกับพื้น และยกมือของเขาขึ้นมาสร้างลูกบอลเพลิงและโจมตีไปที่พวกเขาอย่างแม่นยำ ทำให้เหล่าดาร์กเอลฟ์พวกนั้นถูกเผาไหม้และกลายเป็นเถ้าถ่านทันที

พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้หยุดพักและรีบวิ่งต่อไปอย่างรวดเร็ว ในระหว่างทางที่เจอศัตรูซู่เจินจะใช้พลังจิตของเขาควบคุมไม่ให้ศัตรูเคลื่อนไหวและปิดท้ายด้วยบอลเพลิงของเขา ซิฟที่เห็นแบบนั้นก็บ่นขึ้นมาด้วยความน้อยใจเล็กน้อยว่า “เจ้าจะไม่ให้ข้าทำอะไรเลยใช่ไหม!”

“ในเมื่อมีผมอยู่ ผมจะไม่ยอมให้คุณต่อสู้เด็ดขาด!”

ซู่เจินกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม และไม่นานพวกเขาก็มาถึงศูนย์กลางของยานบินลำนี้ โดยที่มีเหล่าดาร์กเอลฟ์ประมาณหนึ่งโหลกำลังปกป้องมาเลคิธที่กำลังนอนรักษาตัวอยู่ในแคปซูลตรงหน้าของพวกเขา

โดยที่พวกเขาสามารถมองเห็นได้ชัดเจนเลยว่าใบหน้าครึ่งหนึ่งของมาเลคิธถูกไฟไหม้จนเกรียมและเป็นแผลเหวอะวะจนน่ากลัว แต่เมื่อพวกเขามองแวบแรกมันก็ดูเหมือนกับว่าหน้าของเขามันเหมือนกับ หยินกับหยาง!

“หยุดพวกเขาซะ!”

เมื่อมาเลคิธเห็นซู่เจินและซิฟ เขาก็ตกใจขึ้นมาเล็กน้อยและเห็นได้ชัดเลยว่าซู่เจินเป็นคนที่ทิ้งบาจแผลอันนี้ไว้บนร่างกายของเขา ด้วยเสียงตะโกนของมาเลคิธทำให้ดาร์กเอลฟ์ที่อยู่รอบ ๆ พุ่งเข้ามาหาซู่เจินและซิฟอย่างรวดเร็ว ซิฟหยิบดาบและโล่ของเธอขึ้นมาและโจมตีไปที่ดาร์กเอลฟ์ที่กำลังวิ่งเข้ามาด้านหน้าของเธอทันที!

เทพีแห่งสงคราม!

เมื่อซู่เจินเห็นท่าทางที่กล้าหาญของซิฟในตอนนี้ และเอามันไปเปรียบเทียบกับท่าทางที่อ่อนโยนเมื่อเธออยู่กับเขา เขาอยากรู้จริง ๆ ว่าถ้าพวกเขาไปถึงจุดนั้น ซิฟจะมีท่าทางอย่างไร เธออาจจะมีท่าทางดุร้ายเหมือนหมาป่า ? หรืออ่อนโยนเหมือนกุลสตรีกันแน่!

“ตื่นแล้วงั้นเหรอ?”

ซู่เจินค่อย ๆ ลืมตาของเขาขึ้นมา พร้อมกับได้ยินเสียงที่อ่อนหวานดังขึ้นมาข้าง ๆ หูของเขา ทำให้เขาหันไปมองแล้วก็พบว่าซิฟกำลังนั่งอยู่ข้าง ๆ เขาและมองมาที่เขาด้วยความเป็นห่วง

“อืม…ตอนนี้ผมอยู่ที่ไหนงั้นหรอ”

ซู่เจินหันไปพูดกับซิฟ พร้อมกับลุกขึ้นมานั่งและความทรงจำก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาในหัวของเขา เขาจำได้ว่าเขาใช้อุณหภูมิสูงถึงระดับของซูเปอร์โนวาและจัดการกับมาเลคิธได้อย่างง่ายดาย! หลังจากนั้นดูเหมือนว่าเขาจะหมดสติไปจากการใช้พลังมากเกินไป

แน่นอนว่าความสามารถเปลวเพลิงของ Human Torch นั้นแข็งแกร่งมาก ไม่น่าแปลกใจเลยที่กาแลคตัสยังต้องส่งคนมาตามล่าตัวของ Human Torch ในภายหลัง!

“ที่นี่คือบ้านของข้า!”

ซิฟพูดขึ้นมาเบา ๆ

“บ้านของคุณ ?”

ซู่เจินมองไปรอบ ๆ ด้วยความสงสัยเล็กน้อย เอ่อ … พูดตามตรงเขามองยังไงห้องนี้มันก็ไม่เหมือนห้องนอนของผู้หญิงเลยสักนิด แต่เมื่อเขาลองคิดดูว่าซิฟมีลักษณะนิสัยยังไง เขาก็พยักหน้าด้วยความเข้าใจ

“หลังจากที่เจ้าสามารถเอาชนะมาเลคิธได้และหมดสติไปข้าก็พาเจ้ามาที่บ้านของข้า และข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะมีพลังมากมายขนาดนั้น โดยที่ไม่ใช้พลังของอนุภาคอีเทอร์ แต่หน้าเสียดาย…..เพราะว่ามาเลคิธมันสามารถหนีไปได้!” ซิฟพูดขึ้นมาและส่ายหัวด้วยความผิดหวังเล็กน้อย

ในตอนนี้ซู่เจินก็พบว่าน้ำเสียงของซิฟนั้นอ่อนโยนมาก เมื่อเขาพูดกับเธอมันไม่ได้มีความรู้สึกเย็นชาเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว

“หนีไปได้?”

ซู่เจินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะเขาคิดว่ามาเลคิธนั้นตายไปแล้วจริง ๆ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะสามารถหนีรอดไปได้อย่างปาฏิหาริย์

ผู้นำของเผ่าดาร์กเอลฟ์นั้นไม่ธรรมดาจริง ๆ แต่ถึงยังไงซู่เจินก็สามารถชนะเขาได้ครั้งหนึ่งแล้ว ดังนั้นครั้งที่สองก็น่าจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร และถ้าเกิดว่าเขาสามารถกลืนกินอนุภาคอีเทอร์ได้จดหมด มาเลคิธก็จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอีกต่อไป!

“ตอนนี้สถานการณ์ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?” ซู่เจินถามขึ้นมา

“ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่!” ใบหน้าของซิฟรู้สึกหนักอึ้งเล็กน้อย “ครั้งนี้เหล่าดาร์กเอลฟ์ยกกำลังพลมาจำนวนมากมายและทำการโจมตีแอสการ์ด ทำให้แอสการ์ดได้รับความสูญเสียเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามตอนนี้โอดินก็ได้จัดเตรียมกำลังพลเตรียมพร้อมที่จะเอาคืนพวกดาร์กเอลฟ์ให้สาสมกับสิ่งที่พวกมันได้ทำลงไป!”

“ดังนั้น…”

ด้วยนิสัยของโอดินเขาจะไม่ยอมอดทนต่อคนที่กล้ามายั่วยุเขาและ อีกไม่นานมาเลคิธก็คงกลายเป็นหนึ่งในรายชื่อที่อยู่ในหน้าประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก อนุภาคอีเทอร์!

อยากไรก็ตามมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงอยู่แล้ว เพียงแค่รอให้จบการแข่งขันของอาณาจักรทั้งเก้าโลก แม้ว่ามาเลคิธจะตามหาตัวเขามันก็จะไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง เพราะว่ามันไม่มีสิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาลแห่งเอกภพทั้งเก้าอยู่อีกแล้ว ดังนั้นการที่จะทำให้โลกกลับสู่ความมืดมิดนั้นมันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้าหากว่าไม่มีพลังของอนุภาคอีเทอร์

“คุณจะไม่เสียใจแน่นะที่คุณจะต้องไปเดทกับผม?” ซู่เจินมองไปที่ซิฟและพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน

ซิฟตัวแข็งค้างไปชั่วขณะและใบหน้าของเธอก็แดงขึ้นเล็กน้อย และเธอก็พยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ และพูดว่า “ไม่แน่นอน เพราะเจ้าเป็นนักรบที่กล้าหาญ แล้วทำไมข้าจะต้องปฎิเสธที่จะต้องไปเดทกับเจ้าด้วยล่ะ!”

“เจ้าอาจจะยังไม่รู้นะว่า ตอนนี้เจ้าน่ะได้กลายเป็นฮีโร่ของชาวแอสการ์ดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากการที่เจ้าสามารถฆ่านักรบต้องสาปได้และยังช่วยหยุดยั้งการโจมตีของดาร์กเอลฟ์ ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้จะมีผู้หญิงกี่คนในแอสการ์ดที่ต้องการที่จะออกเดทกับเจ้า” ซิฟพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม .

เมื่อเห็นรอยยิ้มของซิฟ ซู่เจินก็รู้สึกว่าตัวเองโง่ลงเล็กน้อยและจับไปที่มือของเธอโดยไม่รู้ตัว แล้วพูดว่า “รอยยิ้มของคุณมันสวยมาก ดังนั้นคุณควรยิ้มให้มาก ๆ กว่านี้ในอนาคต เพราะว่าผมชอบรอยยิ้มนี้ของคุณแต่ … คุณจะต้องยิ้มให้ผมแค่คนเดียวเท่านั้น!”

ซิฟไม่ได้ตอบ แต่เธอกับพยักหน้าด้วยความเขินอาย

เมื่อซู่เจินเห็นท่าทางของเธอแบบนั้น เขาก็ถามเธอขึ้นมาว่า “ผมได้ยินมาว่าคุณชอบนักรบที่แท้จริงเท่านั้นไม่ใช่หรอ และมันควรจะมีนักรบอยู่ในแอสการ์ดจำนวนมาก และคุณก็น่าจะเคยเจอกับพวกเขาแล้วด้วย ดังนั้นถ้าเกิดว่าคุณเจอคนที่ดีกว่าผม คุณจะไม่ทิ้งผมไปอย่างงั้นหรอ?”

รอยยิ้มของซิฟหายไปทันทีและพูดขึ้นมาอย่างโกรธเคืองว่า“ เจ้าคิดว่าข้าเป็นใคร ? แน่นอนว่าข้าชอบนักรบที่แข็งแกร่ง ก็เพราะว่ามีเพียงแค่นักรบที่แข็งแกร่งกว่าข้าเท่านั้น ที่สมควรที่จะได้รับความรักจากข้าไป! และข้าก็ไม่ใช่ผู้หญิงหลายใจเช่นนั้นอย่างที่เจ้าคิดด้วย และแน่นอนว่าในอนาคตอาจจะมีคนที่แข็งแกร่งกว่าเจ้าปรากฏตัวขึ้นมา แต่ถ้าเจ้าพยายามฝึกฝนอย่างหนักเจ้าจะแข็งแกร่งกว่าพวกเขาอย่างแน่นอน”

“ผมค่อนข้างโล่งใจเลยนะที่คุณพูดขึ้นมาแบบนี้ ฮ่าฮ่า … ผมขอแค่ให้คุณเชื่อใจผมและขอเวลาให้ผมอีกสักหน่อย… ผมจะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกใบนี้ และไม่มีใครสามารถสู้ผมได้อีกต่อไป!” ซู่เจินที่รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ก็หัวเราะขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจ

จากนั้นซิฟก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วและตบไปที่เขาด้วยความโกรธและพูดว่า “เจ้ากล้าหลอกข้างั้นหรอ! และข้าบอกเจ้าตอนไหนว่าให้จับมือของข้าได้ ? ข้าบอกกับเจ้าว่าจะไปเดทด้วยแค่นั้นไม่ใช่หรอ!”

“มันไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยผมก็เป็นผู้ชายคนแรกที่เดทกับคุณและเป็นผู้ชายคนสุดท้ายที่ได้อยู่กลับคุณ! ดังนั้นมันจึงไม่มีความหมายอื่นอะไรให้คุณได้คิดมากมาย ดังนั้นแล้วคุณจะไปเดทกับผมตอนไหนงั้นหรอ?” ซู่เจินถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าปล่อยมือของข้าก่อน!” ซิฟพูดขึ้นมาอย่างโกรธ ๆ

แทนที่ซู่เจินจะปล่อยมือ เขากับบีบมันแน่นยิ่งขึ้นกว่า “แน่นอนว่าการออกเดทเราจะต้องจับมือกัน”

“จริงงั้นหรอ” ซิฟไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้มากนัก เพราะว่าชีวิตของเธอมีแต่การออกกำลังกายและฝึกฝนเทคนิคการต่อสู้ และเธอก็ไม่เคยออกเดทมาก่อนเลยสักครั้งในชีวิต แถมเธอยังไม่เคยเห็นว่าคนอื่นเขาออกเดทกันยังไงอีกด้วย

“จริงสิ ผมไม่โกหกคุณหรอก! แล้ววันนี้คุณว่างไหม ? เพราะดูเหมือนว่าข้างนอกจะไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไหร่ ดังนั้นเราไม่ควรที่จะออกไปข้างนอกจะดีกว่า แถมการอยู่ที่บ้านของคุณก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะว่าพวกเราจะได้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง!”

“แล้วเราจะทำอะไรกันดี?” ซิฟถามขึ้นมาด้วยความมึนงง

ซู่เจินหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ และพูดว่า “ผมสามารถทำอะไรได้หลายอย่างเลยล่ะ และถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ทำอะไร ขอแค่เพียงให้ผมได้อยู่กับคุณ ผมก็มีความสุขมากแล้วล่ะ!”

“คนกะล่อน!”

ซิฟพูดขึ้นมาด้วยความโกรธ แต่การแสดงออกของเธอนั้นไม่ได้โกรธเลยสักนิด แต่กลับมีอาการงุนงงเล็กน้อย

เทพธิดาแห่งความเย็นชาในตอนนั้น กำลังทำตัวเป็นเด็กน้อยแสนน่ารักต่อซู่เจิน นี่ถือว่าเป็นข่าวใหญ่โดยแท้และมันคงมีเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่เธอจะแสดงท่าทางแบบนี้ออกมาให้เห็น! . . . .

ซิฟหยิบดาบและโล่ขึ้นมาและจ้องมองไปที่มาเลคิธอย่างจริงจัง

ในฐานะที่เขาเป็นผู้นำของเผ่าดาร์กเอลฟ์ ทำให้มาเลคิธนั้นมีหน้าตาที่ดูดีกว่าพวกดาร์กเอลฟ์โดยทั่วไป แต่เมื่อเอาเขามาเปรียบเทียบกับซู่เจิน มันช่างต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยจริง ๆ !

“ข้ามาที่นี่ก็เพื่อมารับสิ่งของที่ควรจะเป็นของข้าคืน!”

มาเลคิธไม่ได้มองมาที่ซิฟ แต่เขากับมองไปที่ซู่เจินแทนและพูดขึ้นมาอย่างช้า ๆ

“ในเมื่อมันอยู่ที่ผม แล้วทำไมผมถึงจะต้องยกให้คุณด้วยล่ะ? ถ้าคุณอยากได้คุณก็มาแย่งมันไปเองสิ!” ซู่เจินพูดขึ้นมาอย่างเย็นช้าและจู่ ๆ อนุภาคอีเธอร์ที่อยู่ในร่างกายของเขามันก็หายไป

“เป็นไปได้ยังไง ?” มาเลคิธพบว่าอยู่ดี ๆ เขาก็ไม่สามารถจับสัมผัสของอนุภาคอีเทอร์จากร่างกายของซู่เจินได้อีกต่อไป

“ถ้าคุณสามารถเอาชนะผมได้ ผมจะคืนมันให้คุณเอง!”

ซู่เจินขยับข้อมือของเขาไปมาและเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้

“เจ้ามนุษย์โลกชั้นต่ำ เดี๋ยวข้าจะแสดงพลังแห่งความมืดให้เจ้าได้ประจักษ์เอง!”

มาเลคิธตะโกนขึ้นมาด้วยความโกรธและพุ่งตรงไปที่ซู่เจินอย่างรวดเร็ว

ซิฟเตรียมพร้อมที่จะโจมตีตอบโต้ แต่จู่ ๆ เธอก็พบว่าร่างกายของเธอไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้

“เฮ้! ซิฟคุณตกลงกับผมแล้วไม่ใช่หรอว่าจะไม่เข้ามายุ่งกับการต่อสู้ครั้งนี้ ดังนั้นคุณควรยืนอยู่เฉย ๆ ตรงนั้นห้ามขยับไปไหน!” ซู่เจินใช้พลังจิตของเขาห่อหุ้มไปที่ร่างกายของซิฟ ทำให้เธอไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้ โดยมีสายตาของเธอที่จ้องมองมาที่เขาด้วยความประหลาดใจ และซู่เจินก็รีบหันไปมองมาเลคิธอย่างรวดเร็ว

ตูม!

กำปั้นต่อกำปั้นปะทะเข้าหากันอย่างรุนแรง

มาเลคิธและซิฟรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ที่ซู่เจินสามารถรับหมัดนั้นเอาไว้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าปากของซู่เจินค่อย ๆ ยกยิ้มขึ้นมาและซู่เจินก็ไม่ได้โจมตีสวนกลับมาเลคิธในทันที ทำให้ก่อเกิดความประทับใจขึ้นในใจของซิฟอย่างรวดเร็ว

แค่ซู่เจินกล้าเผชิญหน้ากับมาเลคิธและมีความกล้าหาญที่จะต่อสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า แค่นี้เขาก็ถูกเรียกว่าเป็น นักรบเต็มตัวแล้ว!

ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่าซู่เจินจะไม่ค่อยเสียเปรียบสักเท่าไหร่

กำปั้น! ศอก! และเตะไปที่ลำตัว!

แม้ว่าซู่เจินจะไม่ได้เรียนวิธีการต่อสู้มามากนัก แต่มันก็สามารถทดแทนได้ด้วยสมรรถภาพทางร่างกายและความเร็วในการตอบสนองของเขา แต่อย่างไรก็ตามมาเลคิธก็เป็นถึงผู้นำของเผ่าดาร์กเอลฟ์ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ซู่เจินจะสามารถจัดการกับเขาได้

แม้ว่าพลังโจมตีของซู่เจินจะทรงพลัง แต่มันก็ไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับมาเลคิธได้มากนัก

“มีพลังแค่นี้เองงั้นหรอ ? พวกมนุษย์โลกชั้นต่ำแบบพวกเจ้ามันก็ทำได้แค่นี้แหละ เพราะว่าพวกเจ้ามันก็เป็นเพียงแค่มดตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง ที่รอคอยให้ข้ามาบดขยี้ก็แค่นั้น! ดังนั้นเจ้าควรยอมแพ้และเอาอนุภาคอีเทอร์มาให้ข้า ไม่แน่ว่าข้าอาจจะไว้ชีวิตของเจ้า!” มาเลคิธพูดขึ้นมาอย่างเย่อหยิ่ง

“มดงั้นเหรอ ? ได้ เดี๋ยวผมจะแสดงให้ดูเองว่าใครกันแน่ที่เป็นมด!”

ซู่เจินหัวเราะเยาะเย้ยออกมา และกระโดดถอยไปด้านหลัง

“ซิฟคุณควรออกไปห่าง ๆ !”

“นักรบที่แท้จริง จะไม่มีวันหันหลังให้กับศัตรูเด็ดขาด!” ซิฟไม่รู้ว่าซู่เจินกำลังจะทำอะไรกันแน่ แต่เธอรู้สึกว่าร่างกายของเธอค่อย ๆ กลับมาขยับได้ เธอจึงรีบยกดาบขึ้นมาและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

“ผมไม่อยากทำร้ายคุณ!”

ซู่เจินก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเช่นกัน

“ข้าปกป้องตัวเองได้!” ซิฟยังคงดื้อดึงแล้วไม่ยอมขยับไปไหน

ซู่เจินก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีก เพราะว่าถึงเขาจะพูดยังไง เธอก็คงจะไม่ฟังเขาอย่างแน่นอนแน่นอน

และตอนนี้เขาอยากจะบอกให้มาเลคิธได้รู้ว่า ใครกันแน่ที่คือมดตัวเล็ก ๆ ตัวนั้น!

ตูม!

เปลวเพลิงค่อย ๆ ถูกปล่อยออกมาจากร่างของซู่เจินอย่างรวดเร็ว และไม่นานมันก็ค่อย ๆ หมุนไปรอบ ๆ ตัวของซู่เจิน และอุณหภูมิก็ค่อย ๆ สูงขึ้นเรื่อย ๆ สูงขึ้นเรื่อย ๆ สูงขึ้นเรื่อย ๆ จนซิฟไม่สามารถทำมันได้อีกต่อไป แต่อุณหภูมิมันก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

และร่างกายของซู่เจิน ค่อย ๆ จมลงไปในเปลวเพลิงอย่างรวดเร็ว จนทำให้สามารถมองเห็นเขาได้แค่เพียงภาพเบลอ ๆ เท่านั้น

“คุณรู้ไหมว่าพลังการระเบิดของซูเปอร์โนวามันเป็นยังไง? และผมก็ไม่รู้ว่าอุณหภูมิขนาดนี้จะสามารถละลายคุณที่เป็นดาร์กเอลฟ์ได้หรือไม่ ? แต่ว่ามันก็เป็นอุณหภูมิที่สูงที่สุดที่ผมสามารถทำได้และมีอุณหภูมิสูงเทียบเท่ากับการเกิดของซูเปอร์โนวา ดังนั้น …. ผมจึงอยากจะรู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นมดตัวเล็ก ๆ ตัวนั้น!“

เสียงพูดของซู่เจินค่อย ๆ ดังออกมาจากเปลวเพลิงอย่างช้า ๆ โดยที่พื้นดินและกำแพงรอบ ๆ เริ่มละลายและไหม้เป็นเถ้าถ่านจากอุณหภูมิความร้อนสูงที่ซู่เจินได้ปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง

ซิฟที่ยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก กำลังมองไปที่ซู่เจินที่อยู่ในกองเพลิงด้วยดวงตาเบิกกว้าง

ตอนแรกมาเลคิธนั้นสงบมาก เพราะเขาคิดว่าซู่เจินไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อมาเลคิธเห็นว่าอุณหภูมิของเปลวเพลิงที่ซู่เจินปล่อยออกมามันเริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เขาเริ่มตื่นตระหนกและหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย

ในฐานะที่เขามีเผ่าพันธ์เป็นดาร์กเอลฟ์ แสงและไฟถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องห้ามสำหรับเขาและเป็นสิ่งที่เขาชิงชังมากที่สุด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้อุณหภูมิมันสูงขึ้นถึงระดับของซูเปอร์โนวาเรียบร้อย ทำให้มาเลคิธเริ่มรู้สึกว่าความตายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้เขาเรื่อย ๆ

หนี!

เขาจะต้องรีบหนีให้เร็วที่สุด เพราะว่าอุณหภูมิขนาดนี้เขาไม่สามารถต้านทานมันได้อย่างแน่นอน

“จะหนีงั้นหรอ ? ดูเหมือนว่าคุณจะไม่ได้แค่แข็งแกร่งอย่างที่พูดเลยนะ… ”

เมื่อเห็นว่ามาเลคิธกำลังหันหลังกลับและวิ่งหนีไป ซู่เจินก็หัวเราะเยาะเย้ยออกมาและบินตามไปอย่างรวดเร็ว

ซู่เจินที่บินมาอย่างรวดเร็ว เขาเอาเปลวเพลิงมาห่อหุ้มไว้ที่หมัดของเขาและโจมตีไปที่มาเลคิธ ทำให้มาเลคิธกรีดร้องออกมาด้วยความทรมาณและกระเด็นไปกระแทกเข้ากับกำแพงจนทะลุและบินหายไป

ในพริบตาเดียวคนอย่างมาเลคิธที่เขาบอกกันว่าแข็งแกร่งนักแข็งแกร่งหนา ก็ถูกซู่เจินอัดจนเหมือนหมูเหมือนหมาและบินหายไปอย่างรวดเร็ว!

“หยุด…ได้โปรดหยุดก่อน!”

ซิฟที่เห็นว่าพระราชวังทั้งหลังมันถูกเผาจนไม่เหลือชิ้นดี เธอจึงรีบตะโกนบอกให้ซู่เจินหยุดโดยทันที ก่อนที่มันจะสายเกินไปมากไปกว่านี้

ซู่เจินไม่ได้ตอบและบินเข้าไปหามาเลคิธอย่างรวดเร็ว

ในขณะที่ซู่เจินกำลังบินเข้าไปหามาเลคิธอย่างรวดเร็ว เขาก็ยื่นมือของเขาออกไปด้านหน้า ทำให้เปลวเพลิงที่อยู่รอบ ๆ ตัวของเขา มารวมกันอยู่ที่มือของเขาจุดเดียวและโจมตีไปที่มาเลคิธอย่างแม่นยำ ทำให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง และเผาร่างของมาเลคิธให้กลายเป็นเถ้าถ่านอย่างรวดเร็ว!

ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!

เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดึงดูดความสนใจจากทุกในแอสการ์ดทันที และยานรบทั้งหมดก็ถูกทำลายทิ้งไปในพริบตาพร้อมกับกองทัพของดาร์กเอลฟ์ทั้งหมด

“เฮ้!!“

เสียงตะโกนโห่ร้องแสดงความดีใจดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

ซู่เจินค่อย ๆ ลดอุณหภูมิเปลวเพลิงของเขาลงอย่างช้า ๆ และบินกลับไปหาซิฟในทันที เมื่อขาของซู่เจินแตะถึงพื้นเปลวเพลิงบนร่างกายของเขาก็หายไป

“อย่าลืมที่เราตกลงกันไว้ล่ะว่า…คุณมีนัดเดทกับผมอยู่!”

เมื่อเห็นซิฟที่ยืนอยู่ตรงหน้า ซู่เจินก็ยิ้มออกมาและพูดขึ้นมาสองสามประโยค หลังจากนั้นตัวของซู่เจินก็เอนล้มลงไปด้านหน้าโดยทันที

ซิฟรีบวิ่งเข้าไปพยุงตัวของซู่เจินอย่างรวดเร็ว และตรวจอาการของเขาดูโดยทันที และก็พบว่าเขาแค่เป็นลมหมดสติไปเท่านั้น ทำให้เธอรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก และเมื่อเธอมองไปที่ซู่เจินที่กำลังนอนไม่ได้สติอยู่ในอ้อมแขนของเธอ ดวงตาของเธอก็ค่อย ๆ แดงขึ้น …. แสดงถึงความเคารพนับถือต่อซู่เจินขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ

ตอนนี้แอสการ์ดกำลังตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายอย่างสมบูรณ์ ซู่เจินเห็นทหารของแอสการ์ดจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังวิ่งไปยังสถานที่ต่าง ๆ พร้อมกับอุปกรณ์พร้อมรบเพื่อสนับสนุนสงครามที่กำลังประทุขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เว้นแม้แต่ทหารยามที่เฝ้าหน้าห้องเก็บสมบัติก็ยังต้องไปเข้าร่วมสงครามด้วยเช่นกัน

มันทำให้ซู่เจินมีความสุขเป็นอย่างมาก

ซู่เจินค่อย ๆ เดินไปที่หน้าห้องเก็บสมบัติและเปิดมันออกอย่างช้า ๆ

ทันทีที่เขาเข้ามาด้านใน ซู่เจินก็รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก เพราะว่ามันไม่ใหญ่เกินไปหน่อยงั้นหรอ?

“ฉันรวยแล้ว!”

ซู่เจินมองไปรอบ ๆ และอดหัวเราะออกมาไม่ได้

ทุกอย่างที่นี่ดูเหมือนจะเรียบง่ายมาก เพราะซู่เจินไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย มันเต็มไปด้วยกองสมบัติจำนวนมหาศาล แต่มันมีสิ่งหนึ่งดึงดูดซู่เจินได้ มันอยู่ตรงกลางสุดของห้อง มันเป็นกล่องอะไรสักอย่างที่ซู่เจินรู้สึกได้ว่ามันค่อนข้างผิดปกติ เนื่องจากอนุภาคอีเทอร์ในร่างกายของเขาเริ่มมีปฏิกิริยาอะไรบางอย่าง ซึ่งมันแปลกมาก ๆ เขาสามารถบอกได้เลยว่าเจ้ากล่องนี้มันน่าจะไม่ธรรมดา!

ทันทีที่ซู่เจินเดินเข้าไปใกล้ ๆ กล่องนั้น เขาก็รู้สึกหนาวขึ้นมาทันทีและเริ่มลุกลามไปตามร่างกายของเขา เหมือนกับว่ามันกำลังจะแช่แข็งเขา ทำให้เขาจะต้องเปิดใช้ความสามารถของไวรัสเอ็กซ์ตรีมมิสของเขา ทำให้ร่างกายของเขาอุณหภูมิค่อย ๆ สูงขึ้นจนถึงอุณหภูมิของแมกมา ทำให้ร่างกายของเขาค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติ

“เจ้าสิ่งนี้คงไม่ใช่สมบัติของยักษ์น้ำแข็ง กล่องแห่งความหนาวเหน็บ ใช่ไหม?” ดวงตาของซู่เจินค่อย ๆ สว่างไสวขึ้น เจ้ากล่องอันนี้มันเป็นสุดยอดสมบัติเลยก็ว่าได้ เพราะว่ามันสามารถทำให้อาณาจักรทั้งเก้าโลกสามารถตกลงสู่ยุคของน้ำแข็งได้ เมื่อมันถูกเปิดมันออกมา

“ระบบเก็บมันไว้ในมิติเก็บของ!”

ซู่เจินวางมือลงบนกล่องน้ำแข็งและพูดขึ้นมากับระบบ

หลังจากนั้นไม่นานกล่องน้ำแข็งมันก็เข้าไปอยู่ในมิติเก็บของ

หลังจากนั้นซู่เจินก็มองไปรอบ ๆ เพื่อหาสมบัติชิ้นอื่น ๆ เพราะเขาจำได้ว่าที่นี่มันน่าจะมีเทสเซอร์แรคต์อยู่ ซึ่งมันเป็นหนึ่งในอินฟินนิตี้ สโตนและยังมีไฟนิรันดร์ของเซอร์เทอร์ ที่ว่ากันว่ามันเป็นเปลวไฟแห่งการทำลายล้างที่ไม่มีวันมอดดับ และยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่ามันจะมีเสาโอเบลิสก์อยู่ที่นี่เช่นกัน มันก็คือคริสตัลของเผ่าพันธุ์อินฮิวแมนส์ ที่สามารถใช้ปลุกเผ่าพันธุ์อินฮิวแมนส์ให้ตื่นขึ้นมาได้

เรียกได้ว่ามีสมบัติระดับจักรวาลมากมายอยู่ในห้องเก็บสมบัติของแอสการ์ด!

ในขณะที่ซู่เจินกำลังที่จะหาสมบัติชิ้นต่อไป เขาก็รู้สึกได้ว่าพื้นดินมันสั่นสะเทือนเล็กน้อยและได้ยินเสียงคำรามเบา ๆ มาจากหน้าประตูของห้องเก็บสมบัติ และไม่นานก็มีชายร่างใหญ่เดินเข้ามา

“นักรบต้องสาบ?”

ซู่เจินรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เขามาทำอะไรที่นี่? ไม่ใช่ว่าเขาจะต้องไปทำลายระบบป้องกันของแอสการ์ดและคอยคุ้มกันมาเลคิธผู้นำของเผ่าดาร์กเอลฟ์ไม่ใช่หรอ?

เขาคือนักรบต้องสาป ไม่ใช่มาเลคิธ ดังนั้นซู่เจินจึงไม่จำเป็นที่จะต้องกลัวเขา เพราะว่าเขาไม่ได้มีความสามารถที่ควบคุมอนุภาคอีเทอร์ได้อย่างมาเลคิธ และเมื่อเขาเห็นนักรบต้องสาปวิ่งเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว ปากของซู่เจินก็ยกขึ้นมาเล็กน้อยและพูดว่า “เอาล่ะ ฉันจะใช้นายเป็นหนูทดลองพลังของอนุภาคอีเทอร์ก็แล้วกัน!”

เจตนาต่อสู้ของซู่เจินค่อย ๆ เพิ่มขึ้นและทันใดนั้นอนุภาคอีเทอร์ก็ปรากฏขึ้นมารอบ ๆ ตัวของเขา ทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ในความมืดมิด และหลังจากนั้นซู่เจินก็บินออกไปอย่างรวดเร็ว

ปัง! ปัง! ปัง!

ซู่เจินที่พุ่งเข้าอย่างรวดเร็ว โจมตีไปที่นักรบต้องสาปอย่างรุนแรง จนทำให้ร่างกายอันใหญ่โตของเขาค่อย ๆ ถอยหลังไปที่ละสองถึงสามก้าว และซู่เจินก็เปลี่ยนพลังอนุภาคอีเทอร์ให้กลายเป็นหอกและแทงเข้าไปที่ร่างกายของนักรบต้องสาปอย่างรวดเร็ว

ฉึก!

มันเจาะเข้าไปในร่างกายของนักรบต้องสาปได้อย่างง่ายดาย ทำให้นักรบต้องสาปถึงกับตาเบิกกว้างด้วยความตกใจและไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะพ่ายแพ้ให้กับวิธีง่าย ๆ แบบนี้ นักรบต้องสาปเมื่อเห็นว่าเขาจะต้องตายแน่ ๆ เขาก็เลยหยิบวัตถุที่มีลักษณะที่คล้ายกับระเบิดออกมาอย่างยากลำบาก และค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้าไปหาซู่เจินอย่างช้า ๆ และหลังจากนั้นเขาก็โยนมันออกไป และคอของเขาก็ค่อย ๆ ห้อยตกลงมา

“ฟูม!”

เมื่อเห็นระเบิดที่ถูกโยนขึ้นมาซู่เจินก็ไม่กล้าที่จะประมาท เพราะว่าพลังของเจ้าระเบิดลูกนี้มันไม่ธรรมดา ซึ่งหลังจากที่มันระเบิดมันก็เกิดเกลียวคลื่นคล้ายหลุมดำขึ้นมา และเริ่มดูดกลืนสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวของมันเข้าไปหามันอย่างรุนแรง!

ซู่เจินรีบใช้พลังของอนุภาคอีเทอร์ห่อหุ้มร่างกายของเขาเอาไว้และกระโดดหนีออกมาอย่างรวดเร็ว

และในขณะที่ซู่เจินกระโดดหนี้ออกมา เกลียวคลื่นของหลุมดำก็เริ่มไปบดขยี้แท่นที่ไว้ใช้สำหรับว่างกล่องน้ำแข็งโดยทันที

“ ดูเหมือนว่าวันนี้ฉันจะโชคดีไม่ใช่น้อย เพราะอยู่ดี ๆ ก็ได้ข้อแก้ตัวสำหรับเรื่องกล่องน้ำแข็งที่หายไป!”

เมื่อมองไปที่แท่นวางกล่องน้ำแข็งที่หายไป ซู่เจินก็อดไม่ได้ที่จะขอบคุณนักรบต้องสาปขึ้นมาในใจ

อย่างไรก็ตามการต่อสู้เมื่อกี้มันได้ดึงดูดความสนใจจากคนภายนอก ให้มุ่งหน้ามาที่นี่แล้วด้วยเช่นกัน และไม่นานหลังจากนั้นซู่เจินก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนมากกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ ทำให้เขาจะต้องยอมแพ้เรื่องสมบัติชิ้นอื่น ๆ ไปก่อน เพราะแค่เขาได้กล่องแห่งความหนาวเหน็บมาได้มันก็ดีเกินพอแล้ว

และเมื่อซู่เจินยกเลิกพลังของอนุภาคอีเทอร์ ก็ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยหอบและล้มลงนั่งคุกเข่ากับพื้นโดยทันที

มันเป็นภาระต่อร่างกายมากเกินไป!

“ทำไมถึงเป็นเจ้า ? เจ้ามาทำอะไรที่นี่!“

มีร่างหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาด้านในอย่างรวดเร็วนั่นก็คือซิฟ และซิฟมองดูไปที่ซู่เจินที่กำลังนั่งเป็นอัมพาตอยู่ข้างหน้าของเธอด้วยความประหลาดใจ

“ผมช่วยจัดการเขาให้น่ะ!”

ซู่เจินชี้ไปที่นักรบต้องสาปที่นอนตายอยู่

หลังจากนั้นซิฟก็เดินไปตรวจสอบนักรบต้องสาปที่นอนตายอยู่ และเธอก็มองไปที่ซู่เจินด้วยความไม่อยากจะเชื่อแล้วพูดขึ้นมาว่า “เจ้าฆ่า ? เจ้าฆ่านักรบต้องสาปได้จริง ๆ งั้นหรอ?”

“อะไร ? มันดูไม่เหมือนงั้นเหรอ ? คุณอย่าดูคนที่รูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขาสิ” ซู่เจินพูดขึ้นมาเบา ๆ

“เมื่อดูจากท่าทางของเจ้าในตอนนี้แล้วมันยากมากที่ข้าจะเชื่อว่าเจ้าได้ฆ่านักรบต้องสาปด้วยตัวของเจ้าเองจริง ๆ ” ซิฟพูดขึ้นมาและมองสำรวจไปรอบ ๆ ก็พบว่ากล่องน้ำแข็งและแท่นวางของกล่องน้ำแข็งมันหายไป

“อย่ามองมาที่ผมด้วยสายตาแบบนั้น นักรบต้องสาปคนนั้นมันเหมือนจะมีอะไรอย่างที่คล้ายกับวัตถุระเบิดที่สามารถสร้างเกลียวคลื่นของหลุมดำขึ้นมาได้ และดูดกลืนเจ้ากล่องน้ำแข็งและแท่นของมันหายเข้าไปในหลุมดำ!” ซู่เจินสังเกตเห็นการจ้องมองมาจากซิฟ เขาก็รู้ในทันที่ว่าเธอต้องการจะสื่ออะไร เขาก็เลยอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาอย่างคร่าว ๆ ให้เธอฟัง

ซิฟขมวดคิ้วและพูดขึ้นมากับซู่เจินอย่างจริงจังว่า “ตอนนี้กำลังมีพวกดาร์กเอลฟ์บุกโจมแอสการ์ดอยู่ด้านนอก ซึ่งพวกดาร์กเอลฟ์พวกนั้นกำลังตามล่าตัวของเจ้าอยู่ และที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อปกป้องเจ้าจากหน้าที่ที่ข้าได้รับมา!”

“ผมอยากออกไปด้านนอกซะจริง ๆ … ” ซู่เจินยิ้มขึ้นมาอย่างขมขื่น เพราะว่าพลังของอนุภาคอีเธอร์นั้นทรงพลังมากเกินไป ทำให้เขาสามารถฆ่านักรบต้องสาปได้อย่างง่ายดายเหมือนกับหั่นผัก แต่มันก็เป็นภาระต่อร่างกายมากเช่นกัน ทำให้เขาในตอนนี้ไม่มีแม้แต่แรงที่จะใช้ยืนขึ้นด้วยซ้ำ!

ตอนนี้ไฟของสงครามค่อย ๆ ประทุขึ้นอย่างรุนแรง ทำให้ซิฟขมวดคิ้วขึ้นมาและพูดว่า “เจ้าขึ้นมาขี่หลังของข้า และข้าจะพาเจ้าออกไปจากที่นี่”

“แล้วทำไมคุณถึงไม่อุ้มผมไปล่ะ?”

“ใครใช้ให้เจ้าอ่อนแอแบบนี้ล่ะ นอกจากนี้เจ้ายังมีอนุภาคอีเทอร์อยู่ในร่างกาย และถ้าเกิดว่าข้าปล่อยให้มาเลคิธพบเจอตัวของเจ้า มันจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่ข้าจะปกป้องอนุภาคอีเทอร์และตัวของเจ้าเอาไว้ได้” ซิฟแสดงท่าทางดูถูกออกมาเล็กน้อย และพูดออกมาอย่างเย็นชา

สมควรแล้วที่เธอถูกเรียกว่า เทพธิดาแห่งความเย็นชา!

ซิฟเดินมานั่งยอง ๆข้างหน้าของซู่เจิน ทำให้ซู่เจินรู้สึกอับอายเล็กน้อยและค่อย ๆ ขึ้นไปกอดคอของเธอเอาไว้ หลังจากนั้นเธอก็อุ้มซู่เจินขึ้นมาได้อย่างง่ายดายและวิ่งออกไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว ซึ่งซู่เจินก็คอยสังเกตไปที่เธออย่างเงียบ ๆ เธอวิ่งอย่างรวดเร็วราวกับว่าตัวของเขาไม่มีน้ำหนักอย่างไงอย่างงั้น ในตอนแรกซู่เจินรู้สึกอับอายเล็กน้อย แต่เมื่อลองคิดในอีกแง่มุมหนึ่งเขาก็เป็นผู้ชายคนแรกที่เธอได้แบกเขาไว้บนหลังแบบนี้ และเป็นครั้งแรกที่เธอได้ใกล้ชิดกับผู้ชายมากขนาดนี้ ทำให้ซู่เจินค่อย ๆ คิดเกี่ยวกับมันในแง่ดีมากขึ้น และไม่อายเกี่ยวกับมันอีกต่อไป!

“เฮ้! เทพธิดาซิฟ เธอปล่อยผมลงก่อนได้ไหม”

หลังจากที่วิ่งไปได้สักพักจู่ ๆ ซู่เจินก็พูดขึ้นมาอย่างกระทันหัน

ซิฟขมวดคิ้วและพูดขึ้นมาว่า “เจ้าคิดว่าข้าเต็มใจนักหรอที่ข้าแบกเจ้าไว้บนหลังแบบนี้ ?”

“น่าเสียดาย ถ้าเกิดว่าคุณไม่สามารถส่งตัวผมออกไปจากแอสการ์ดได้ มาเลคิธก็จะไล่ตามหาผมอยู่อย่างงี้ไม่จบไม่สิ้น และการวิ่งหนีก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ ดังนั้นปล่อยผมลงซะ!” ซู่เจินพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ

ซิฟหยุดวิ่งและยืนอยู่กับที่ กำลังลังเลอยู่ว่าจะทำอย่างไรดี แต่ซู่เจินก็ไม่ได้รอให้ซิฟตอบเขา เขารีบกระโดดลงมาด้วยตัวเองอย่างรวดเร็ว

“ผมขอพูดตามตรงเลยนะว่า แม้ว่าคุณจะเป็นเทพธิดา แต่คุณก็ยังเป็นผู้หญิงอยู่ดี ดังนั้นคุณไม่ควรที่จะให้ใครมาขี่หลังของคุณได้อย่างง่าย ๆ และผมยังได้ยินมาว่าคุณชอบผู้ชายที่เป็นนักรบที่กล้าหาญ ? และเป็นผู้ชายที่แท้จริง ? แล้วถ้าเกิดว่าผมสามารถเอาชนะมาเลคิธได้ มันจะเป็นไปได้ไหมว่าที่คุณจะไปออกเดทกับผม?” ซู่เจินเขย่ามือของเขาและกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

ซิฟหน้ามุ้ยขึ้นมาเล็กน้อยและพูดว่า “เจ้าจะบอกว่าเจ้าสามารถเอาชนะมาเลคิธได้ ? อ้อ! หรือว่าที่เจ้ามั่นใจว่าจะชนะมาเลคิธได้ เจ้าจะใช้พลังของอนุภาคอีเทอร์ใช่ไหม ? แต่น่าเสียที่อนุภาคอีเทอร์ไม่สามารถทำอะไรกับมาเลคิธได้”

“ใครบอกคุณว่าผมไม่สามารถเอาชนะมาเลคิธได้ ถ้าเกิดว่าผมไม่ได้ใช่พลังของอนุภาคอีเทอร์ ?” ซู่เจินเหล่ตาของเขาและมองไปที่ซิฟอย่างเจ้าเล่ห์

“ถ้าเกิดว่าเจ้าสามารถเอาชนะมาเลคิธได้จริง ๆ ข้าจะยอมไปเดทกับเจ้าก็ได้!”

“คุณเป็นคนพูดเองนะ!”

ซู่เจินยิ้มออกมาและดวงตาของเขาก็ค่อย ๆ แหลมคมขึ้นและจ้องมองไปตรงหน้าด้วยสายตาจริงจัง

มาเลคิธผู้นำของเผ่าดาร์กเอลฟ์ปรากฏตัวขึ้น…

หลังจากได้ลิ้มรสอาหารและไวน์ของชาวแอสการ์ด ซู่เจินก็กลับไปที่ห้องของเขาอย่างรวดเร็วและเริ่มกลืนกินอนุภาคอีเทอร์ ซึ่งในปัจจุบันอนุภาคอีเทอร์ยังคงมีความเสถียรอยู่ ถึงแม้ว่าเขาจะกลืนกินมันอย่างต่อเนื่องในตอนนี้ แต่มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะฟื้นฟูร่างกายของเขาได้อย่างร้อยเปอร์เซ็น เพราะถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะควบคุมอนุภาคอีเทอร์ได้และเขายังไม่กล้าที่จะดึงพลังของมันออกมามากเกินไปด้วยไม่งั้นมันอาจจะเป็นอันตรายได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงกลืนกินและหลอมรวมมันเข้ากับร่างกายของเขาอย่างช้า ๆ เท่านั้น

แต่มันก็กลืนกินได้ช้ามาก ๆ และดูเหมือนว่าประสิทธิภาพการกลืนกินจะค่อย ๆ น้อยลง แถมอนุภาคอีเทอร์ก็เริ่มไม่ค่อยเสถียรขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นตราบใดที่ซู่เจินยังกลืนกินมันไปเรื่อย ๆ มันจะเกิดอาการต่อต้านอย่างรุนแรงและทำให้เกิดอาการเจ็บปวดอย่างมหาศาล

และด้วยประสิทธิภาพการกลืนกินแค่นี้ ซู่เจินไม่รู้ว่าเขาจะต้องใช้ระยะเวลาแค่ไหนในการกลืนกินพลังงานของอนุภาคอีเทอร์ได้ทั้งหมด ทำให้เขาค่อนข้างหดหู่เล็กน้อยเพราะว่าถ้าหากเขาไม่สามารถกลืนกินมันได้ทั้งหมดเขาก็จะไม่สามารถใช้พลังของมันได้ และยังมีมาเลคิธที่สามารถรองรับพลังของอนุภาคอีเทอร์ได้อย่างง่ายดายอีกด้วย ทำให้เขาไม่กล้าใช้พลังของอนุภาคอีเทอร์ออกมา ไม่งั้นมันจะเป็นอันตรายต่อตัวเขาเอง

“ ไม่ได้! ฉันจะต้องรีบหาวิธีจัดการกับมันอย่างเร็วที่สุด ไม่งั้นอนุภาคอีเทอร์ที่ได้มามันจะไร้ประโยชน์ แล้วฉันจะทำยังไงละให้มันอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ฉันรับได้ละ ?” ซู่เจินขมวดคิ้วขึ้นมาและพยายามคิดอย่างหนัก เพราะก่อนที่อนุภาคอีเธอร์จะถูกเขากลืนกินจนหมด เขาจะต้องหาอะไรที่มันสามารถรองรับพลังของอนุภาคอีเทอร์ได้เช่นเดียวกับ อินฟินิตี้ กอนต์เล็ต เพื่อให้เขาสามารถใช้พลังของอนุภาคอีเทอร์ได้อย่างเต็มที่และมีผลกระทบต่อร่างกายน้อยที่สุด

แต่ภาชนะที่รองรับพลังของอนุภาคอีเทอร์ได้ มันหายากมาก ๆ !

“ดูเหมือนว่าดันเจี้ยนแห่งที่สองจะต้องคิดอย่างรอบคอบซะแล้ว!”

ระยะเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว!

โดยที่ค่ำคืนแรกในแอสการ์ดของซู่เจิน เขาไม่ได้ทำอะไรมากมายนอกจากคิดทบทวนวนไปวนมาเกี่ยวกับอนุภาคอีเทอร์

เช้าวันรุ่งขึ้น ซู่เจินก็ตื่นขึ้นมาด้วยความสนชื่นและกำลังจะออกไปเดินเล่นข้างนอก โดยที่เขาลองคิดเล่น ๆ ดูว่าถ้าเกิดว่าเขาสามารถหาสมบัติของแอสการ์ดได้และนำมันไปที่โลก เขาก็จะมีพลังที่จะสามารถทำลายล้างโลกได้เลยใช่ไหม ?

หลังจากออกมาได้ไม่นานซู่เจินก็สังเกตเห็นซิฟและคนอีกสองสามคน ที่กำลังกดดันเชลยศึกอยู่ โดยที่หนึ่งในสามคนนั้นกำลังสวมหมวกเหล็กและมีรูปร่างที่ค่อนข้างใหญ่โต ซึ่งมันดูสะดุดตามาก

“มันเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้เลยงั้นหรอ ?”

ซู่เจินขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย เพราะว่าต้นกำเนิดของผู้ชายคนนี้มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เขาเป็นนักรบที่ถูกสาปเพียงคนเดียวของเผ่าดาร์กเอลฟ์ และดูเหมือนว่าเขาจะเป็นลูกน้องมือหนึ่งของมาเลคิธอีกด้วย ซึ่งการที่เขามาอยู่ที่นี่ตรงนี้แสดงว่าเหล่าดาร์กเอลฟ์กำลังที่จะบุกแอสการ์ดแน่นอน

“ดูเหมือนว่าฉันจะต้องรีบแล้ว!”

ซู่เจินพึมพำขึ้นมากับตัวเองเบา ๆ และหันไปทางซ้ายเดินจากไปทันที

เมื่อวานตอนซู่เจินเดินสำรวจไปรอบ ๆ ทำให้เขาค่อนข้างคุ้นเคยกับที่นี่ไม่มากก็น้อย และในตอนแรกเขาต้องการที่จะเดินสำรวจเพื่อหาสถานที่เก็บสมบัติของแอสการ์ด แต่ในตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะต้องเปลี่ยนแผนและรีบไปหาธอร์โดยเร็วที่สุด ไม่นานเขาก็หาธอร์เจอ

“ธอร์ คุณน่าจะรู้จักผมดีอยู่แล้ว งั้นคุณก็คงจะรู้ความสามารถของผมด้วยใช่ไหม ?” ซู่เจินพูดถามกับธอร์ขึ้นมาตรง ๆ

ธอร์พยักหน้าให้เบา ๆ

“ ถ้าอย่างนั้นคุณก็รู้ใช่ไหมว่าผมมีความสามารถในการทำนายอนาคตได้ ถึงแม้ว่าความสามารถนี้จะไม่ค่อยน่าเชื่อถือสักเท่าไหร่ แต่มันก็มีความแม่นยำเป็นอย่างมาก และที่ผมสามารถไปยังสวาทาลฟ์ไฮม์และหาอนุภาคอีเทอร์เจอก็มาจากความสามารถนี้เช่นกัน และเมื่อกี้ผมก็เห็นภาพอะไรบางอย่าง โดยที่แอสการ์ดกำลังถูกอะไรบางอย่างยกกองทัพมาโจมตี” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

ธอร์ขมวดคิ้วและพูดขึ้นมาว่า “เจ้าอย่ามาล้อเล่น นี่มันไม่ใช่เรื่องตลก ๆ !”

“ผมก็หวังว่ามันจะไม่ใช่เรื่องจริง เพราะมาเลคิธผู้นำของเผ่าดาร์กเอลฟ์กำลังบุกโจมตีแอสการ์ด พร้อมกับกองทัพจำนวนนับไม่ถ้วน ทำให้ผู้คนของแอสการ์ดเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และแอสการ์ดก็โดนถล่มจนยับเยินจนกลายเป็นซากปรักหักพัก ธอร์นายควรเชื่อผมนะ มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เราจะต้องรีบเตรียมตัวเดี๋ยวนี้เลย!”

“พี่ชายขอบคุณสำหรับคำเตือนของเจ้า และถ้าพวกเขากล้ามาจริง ๆ ข้าจะสอนให้พวกเขารู้เองว่าค่าใช้จ่ายสำหรับการบุกแอสการ์ดมันคืออะไร!” ธอร์ตบไปที่บ่าของซู่เจินเบา ๆ เพื่อแสดงความขอบคุณ และสำหรับคำเตือนของซู่เจิน ธอร์ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรกับมันมากนัก

ธอร์ไม่รู้ว่าเขาไม่เชื่อคำนายของซู่เจิน หรือว่าเขาไม่เกรงกลัวต่อเหล่าดาร์กเอลฟ์กันแน่

“ธอร์ ดูเหมือนว่านายจะมั่นใจในตัวเองมากเกินไป ในเมื่อฉันเตือนนายแล้วแต่กับไม่เชื่อ นายก็รอดูผลของมันก็แล้วกัน!” ซู่เจินพูดขึ้นมาอย่างลับ ๆ ในใจของเขา

และทันใดนั้นเสียงระฆังก็ดังขึ้นมา ทำให้การแสดงออกของธ​​อร์เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว “นี่คือเสียงระฆังเตือนของแอสการ์ด ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ข้าจะต้องไปตรวจสอบด้วยตัวเองซะแล้ว!”

หลังจากพูดจบธอร์ก็บินออกไปพร้อมกับค้อนของเขา

ซู่เจินยักไหล่พร้อมกับยิ้มออกมาและกล่าวว่า “การโจมตีของดาร์กเอลฟ์ได้เริ่มขึ้นแล้ว … งั้นฉันจะต้องรีบไปที่ห้องเก็บสมบัติของแอสการ์ดอย่างรวดเร็ว หวังว่ามันจะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง!”

ในขณะเดียวกันคุกของแอสการ์ดก็เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นมา

โดยนักรบต้องถูกสาปที่ถูกขังอยู่ในคุกก็ได้แหกคุกออกมาฆ่าผู้คุมของเรือนจำจนตายและปล่อยนักโทษคนอื่น ๆ ออกมา

และในตอนนี้นักรบต้องคำสาปคนนั้นก็กำลังยืนอยู่หน้าห้องขังของโลกิหลังจากที่เขาปล่อยนักโทษคนอื่น ๆ เรียบร้อยแล้ว เขากะว่าจะมาปล่อยโลกิออกไปด้วย แต่เมื่อเขาเห็นโลกิที่กำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาเรียบเฉย ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยและไม่ได้ปล่อยตัวของโลกิออกมา และในขณะที่เขาจะเดินจากไป …

“เจ้าควรไปทางซ้ายดีกว่านะ!”

โลกิที่อยู่ในห้องขังก็ตะโกนขึ้นมา ทำให้นักรบต้องสาปคนนั้นเหลือบมองไปที่โลกิเล็กน้อย โดยที่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาและหันหลังเดินจากไป

และไม่นานหลังจากที่นักรบต้องสาปเดินจากไป ธอร์ก็เดินทางมาถึงที่นี่แล้วเช่นกัน โดยที่เขาบอกให้เหล่านักโทษกลับเข้าไปในห้องขัง ก่อนที่พวกเขาจะมีความผิด แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ได้ฟังคำพูดของธอร์เลยสักนิด และมันก็เกิดการต่อสู้ขึ้นอีกครั้ง

ในเวลาเดียวกันยานรบของมาเลคิธ ราชาของเผ่าดาร์กเอลฟ์ ก็เข้าสู่แอสการ์ดแล้วเช่นกัน โดยบนท้องฟ้าตอนนี้เต็มไปด้วยยานรบที่ไกลสุดลูกหูลูกตา และถึงแม้ว่าผู้พิทักษ์ของแอสการ์ด เฮมดอลล์ จะพยายามหยุดยั้งพวกเรือรบพวกนั้นเอาไว้ แต่เขาก็ทำไม่สำเร็จ ทำให้ยานรบขนาดเล็กเหล่านั้นหลุดเข้ามาได้และทำการโจมตีอย่างรวดเร็ว!

ทำให้แอสการ์ดในตอนนี้เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายและเข้าสู่เปลวไฟแห่งสงครามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

และในขณะเดียวกันซู่เจินก็เดินทางมาถึงหน้าห้องเก็บสมบัติของแอสการ์ดแล้วเช่นกัน!

Marvel : The King ราชาของโลกมาเวล

Marvel : The King ราชาของโลกมาเวล

Score 10
Status: Completed
คนธรรมดาคนหนึ่งได้ข้ามไปยังโลก Marvel พร้อมกับความสามารถในการกลืนกิน! แถมเขายังถูกรายล้อมไปด้วยสาวงาม และค่อย ๆ แข็งแกร่งขึ้นจนกลายเป็นราชาของโลกมาเวล!!!

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options

not work with dark mode
Reset