ตอนที่ 1223 ความฝันไม่รู้จบ
ชุนหวีทั้งอับอายและโกรธ เขาตวาดด้วยความโมโห
รอจนเขาสงบใจได้
เขาพบว่าตนเองยืนอยู่ตรงทางเข้าวังเทียนหลัว เหมือนเมื่อตอนขามาราวกับว่าไม่ได้ย่างเท้าเลยสักก้าว นอกจากนี้เจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางผู้อยู่ในชุดบัณฑิตวัยกลางคนก็ยังรู้สึกเหมือนเขา ขณะเดียวกันทั้งสองคนมองหน้ากันเอง ไม่มีใครเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขาไม่ได้เข้าวังเทียนหลัวอย่างสง่าผ่าเผยหรอกหรือ? นั่นเป็นเพียงภาพลวงตาในฝันซ้ำซ้อน เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?
ทหารรักษาทางเข้าวังเทียนหลัวยังคงยืนเฝ้ารักษาการณ์ราวกับว่าไม่เห็นอะไรที่ข้างหน้าพวกเขา
ขุนพลเฉียนมู่ที่ซื่อสัตย์ที่สุดยืนถือดาบในมือ
นิ่งไม่มีความเคลื่อนไหว
ในขณะนั้นมีนางกำนัลประจำวังคนหนึ่งเดินออกมาจากข้างใน ทั้งชุนหวีและเจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางจำสตรีคนนี้ได้ นางสุภาพและมีมารยาทน่าชื่นชมเหมือนที่ได้พบก่อนหน้านั้น
นางกำนัลผู้เหมือนบัวแรกแย้มเดินมาถึงหน้าชุนหวีและเจ้าตำหนักตงฟาง ทั้งส่งเสียงเชิญอย่างมีมารยาท “อาคันตุกะมาถึง ฝ่าบาทขอเชิญ”
คำนี้นางเพิ่งพูดไปแล้วไม่ใช่หรือ? เห็นได้ชัดว่าเขายังเล่าเรื่องเสียดสีต่อว่า ตอนนี้มันกลายเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?
ทุกอย่างเหมือนเหตุการณ์ก่อนฝันไม่ใช่หรือ?
เจ้าตำหนักตงฟางตื่นเต้นเล็กน้อย และก่อนที่หญิงสาวจะเดินออกมา เขาถาม “เจ้าจะส่งอาหารให้ฝ่าบาทใช่ไหม?”
นางกำนัลน้อยได้ยินก็ยิ้มเล็กน้อยและไม่ตอบโดยตรง นางหยุดและหันกลับมาแสดงความคาราวะเล็กน้อยให้กับเจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางก่อนลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว เมื่อสายตาทั้งสองมองดูนาง พวกเขาเหลียวกลับมายังที่เดิมก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าทั้งสองยืนอยู่ต่อหน้าหัวซิ่วรี่
มีนางกำนัลหญิงคนหนึ่งเดินออกมาอย่างกระตือรือร้น เป็นนางกำนัลที่ทำหน้าที่จัดกระยาหารถวาย
พอเห็นเจ้าตำหนักตงฟางและชุนหวี
ดูเหมือนว่านางจะผงะถอย
อย่างไรก็ตามนางสงบกิริยาได้ในเวลาอันรวดเร็วและทักทายพวกเขาอย่างนอบน้อมจากนั้นกลับไปจัดการอาหารต่อไป
ชุนหวีและเจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางรู้สึกเหมือนอยู่ในฝันร้าย แต่หาไม่พบว่าเกิดอะไรขึ้น?
บางที…
พวกเขาทั้งสองหันกลับไปมองข้างหลังทันทีหลังจากได้ยินเสียงที่อยู่ด้านหลังพวกเขา
เมื่อมองแวบแรกทั้งสองไม่ได้เคลื่อนไหวก็แล้วไป ถ้าเคลื่อนไหวเหมือนมีแผ่นดินถล่มข้างหน้า ในที่สุดก็อดเปลี่ยนสีหน้าไม่ได้ เหตุผลเพราะชุนหวีและเจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางอีกคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครพูดถึง “ชุนหวี เมื่อเห็นฉากภาพนี้ข้ารู้สึกว่านางกำนัลที่ตำหนักมีความรู้และพัฒนาก้าวหน้า การศึกษานี้ทำได้ยังไง? มารยาทนี้คืออะไร? ความเอื้ออาทรนี้คืออะไร? จิตวิญญาณนี้คืออะไร? ข้าคิดว่าในโลกนี้ยังมีเด็กผู้หญิงนี้หรือไม่!”
“สองท่านเดินทางมาไกลเป็นพันๆ ไมล์เพื่อพูดคุยเรื่องนางกำนัลของข้าหรือ?” เสียงตำหนิของจักรพรรดิดังนั้น
“แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่เรามาเพื่อเรื่องนี้… เราผู้เฒ่าเป็นนักฝันที่ดีคนหนึ่ง ข้าเดินทางข้าโลกมาเพื่อสำรวจความฝันอันยิ่งใหญ่ของคนธรรมดาสามัญที่สับสน แต่ขยันหมั่นเพียร โปรดแนะนำข้าด้วย!” บุรุษชื่อชุนหวีกล่าว
ถ้าใช้มุมมองของอีกคนหนึ่งชุนหวีเห็นได้อย่างชัดเจน
เมื่อเขาพูดแบบนี้
ใบหน้าของตัวเขาเองนั้นมีความพึงพอใจ และพยายามยั่วยุ การค้นพบนี้ทำให้ชุนหวีประหลาดใจ เพราะเขาไม่เคยพบว่าทัศนคติของเขาช่างหยิ่งยโส ดวงตาของเขาเย่อหยิ่งลำพอง หากเขาไม่เคยทำสิ่งนี้มาก่อน เขาอาจจะไม่รู้สึกอะไรเท่าใดนัก แต่ตอนนี้เขาพูดอะไรไม่ออกนอกจากหลั่งเหงื่อเยียบเย็น
ถูกแล้ว ตัวเขาเองพูดไม่ออก
อยู่ต่อหน้าจักรพรรดิหัวซิ่วรี่เร็วเกินไปที่จะแสดงความเย่อหยิ่งเช่นนั้น
ทันทีที่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีต เรื่องราวบทสนทนาและคำพูดที่น่าตกใจ การกล่าวอ้างว่าเป็นเทพแห่งความฝันเพื่อบีบบังคับจิตใจคนที่ชมดู กระทั่งถึงตอนที่เรียกดาวตกร่วงลงมากลายเป็นดอกไม้สีแดง ชุนหวีพบว่าเขาเพลี่ยงพล้ำ แสดงออกไปเหมือนกับคนโง่ ความรู้สึกอับอายปรากฏอยู่บนใบหน้าจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี
“ฝ่าบาท ท่านคิดยังไงกันแน่?” เจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางเห็นตัวตนของเขาถามอย่างนี้
“ฝันได้ไม่เลวเมื่อเทียบกับเรื่องก่อนหน้านี้!” หัวซิ่วรี่ยังตอบเหมือนก่อน แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเยาะเย้ยพอแล้ว
“เจ้าว่ายังไงนะ?” ชุนหวีเห็นว่าเขากำลังโกรธ เขาเห็นความอับอายและความกลัวของตนเองได้อย่างชัดเจนและอยากจะออกไปทันทีและไม่ย่างเท้าเข้ามายังวังเทียนหลัวอีก
“คำพูดของเด็กน้อยจอมโวเจ้าบ่นเพ้อเจ้อเปลืองน้ำลาย ข้าจะพักแล้ว ดังนั้นเจ้ายังจะออกไปไม่ได้” จักรพรรดิหัวซิ่วรี่พูดเหมือนเดิม คราวนี้ก่อนที่หัวซิ่วรี่จะพูดจบ ชุนหวีใช้ความเร็วที่สุดหนีออกจากวังเทียนหลัวอย่างรวดเร็วที่สุดในชีวิตของเขา หลังจากหนีออกมาจากวังเทียนหลัวแล้ว เขารู้สึกว่าตนเองกำลังจะบ้า เขาไม่ได้ไปที่แห่งใดๆ ในโลก มาเพียงวังเทียนหลัว และรู้ว่าหัวซิ่วรี่เป็นนักฝันที่เก่งที่สุดในโลก น่าเสียดายที่ฝันของเขาสลายอย่างแท้จริง
ถ้าเขาบอกว่าอับอายตอนนี้ เขาจะตื่นขึ้นและพบว่าความฝันของเขาช่างโง่เขลา
ดังนั้นตอนนี้เขารู้สึกเหมือนเป็นมดที่อยู่ในรังมด
ฝันถึงความไร้สาระในฝันของคนอื่น
ตื่นจากฝันไม่ได้เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เป็นแค่มดตัวหนึ่งที่เข้าไปอยู่ในความฝันของคนอื่น.. เขาไม่รู้ว่าหลบหนีมาไกลกี่ไมล์แล้ว จนกระทั่งเจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางต้องเรียกเขาและปลอบโยนไม่ให้เขาท้อใจ เขาหลับตาด้วยความเจ็บปวด ตราบใดที่เขาลืมตา เขาจะเห็นว่าตัวเองหยิ่งยโสอยู่ต่อหน้าวังเทียนหลัวชูมือประกาศอย่างภูมิใจว่าเขาคือเทพแห่งความฝัน ภาพที่ไร้สาระของคนที่อ้างว่าทำได้ทุกอย่าง
อย่าว่าแต่เป็นเทพแห่งความฝันเลย แม้แต่จะเป็นคนก็ยังนับไม่ได้
อยู่ต่อหน้าจักรพรรดิหัวซิ่วรี่ เขาผู้มีความมั่นใจในตัวเองว่าฝึกฝนมาหลายพันปีคิดว่าสามารถทำอะไรได้ทุกอย่าง เป็นแค่เพียงมดที่มุดเข้าไปอยู่ในความฝันของคนอื่น ไม่สามารถควบคุมพลังตัวเองได้ แต่ก็ยังแยกเขี้ยวกางเล็บอวดอ้างว่าตนเองเป็นเทพ… ชุนหวีแหงนหน้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่งหลั่งน้ำตาสองสาย
จนกระทั่งถึงวันนี้
เขาเพิ่งเห็นตัวเองครั้งแรก
ปรากฏว่าเขาเคยใช้ชีวิตอยู่แต่ในความฝันตัวเอง ไม่เคยเห็นตัวเองมาก่อน และเขาไม่เคยเห็นโลกนี้!
“ชุนหวี, พ่ายแพ้การต่อสู้ที่ไม่ธรรมดาในครั้งนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่ข้าคาดไว้แล้ว” เจ้าตำหนักตงฟางกล่าวปลอบโยน “ถ้าคนผู้นั้นจัดการได้ง่ายดายจริงๆ อย่างนั้นคนที่อยู่ในความมืดคงเริ่มไปแล้ว ไม่ใช่แค่เราเท่านั้น แม้แต่คนที่อยู่ในตำหนักกลางก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาสามารถทำลายความฝันได้! ทุกคนรู้ว่าทางเข้าที่ปลอดภัยเพื่อเข้าสู่ใจกลางดินแดนล่มสลายแห่งทวยเทพตกอยู่ในมิติลวงตา ใครจะผ่านเข้าไปอย่างปลอดภัยได้เล่า?”
“ข้าไม่ยินยอมพร้อมใจเลยจริง ฝึกฝนกันมาหลายพันปี แต่กลับกลายเป็นเหมือนมดแมลงตัวน้อย!” ชุนหวีกำหมัดแน่นด้วยความรู้สึกเจ็บปวด
“ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำลายความฝัน แม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จในครั้งนี้ แต่ก็เป็นความพยายามที่ดีมาก แต่อย่างน้อยพวกเราทุกคนก็ถอยกลับออกมาได้จริงไหม? ในใต้ท้องฟ้าที่กว้างใหญ่จะมีสักกี่คนที่ถอยออกมาจากมิติเงาลวงได้?” เจ้าตำหนักตงฟางปลอบโยนอย่างอดทน และชุนหวีผู้พ่ายแพ้และล้มเหลวในการทำลายความฝัน เขาได้เตรียมจิตใจไว้แล้ว ไม่ว่าเขาจะล้มเหลวสักกี่ครั้ง สิ่งที่สำคัญคือชุนหวีมีทักษะแฝงเร้นในการทำลายฝัน คงมีสักวันที่จะต้องทำลายความฝันให้สำเร็จ!
“จริงหรือ?” ชุนหวีลืมตาทั้งสองข้าตั้งใจมองหาความเบาใจมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามเมื่อเขามองครั้งนี้ ก็ต้องร้องด้วยความตกใจ
เพราะเขาพบว่า
เขาไม่รู้ว่ากลับไปที่ประตูทางเข้าวังเทียนหลัวตั้งแต่เมื่อใด ทหารองครักษ์ยืนตัวตรงเฝ้าหน้าประตูโดยไม่วอกแวก
มีนางกำนัลคนหนึ่งอยู่ข้างในเดินออกมาจากตำหนักพร้อมกับฝีเท้าที่รวดเร็วและพูดด้วยน้ำเสียงไพเราะมากมารยาท “อาคันตุกะมาเยือน ฝ่าบาทขอเชิญ”
คราวนี้แม้แต่เจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางก็ยังขมวดคิ้ว ชุนหวีตัวสั่นด้วยความกลัว เขาหายใจลึกๆ และเตรียมพร้อมจะถามคำถามก่อนหน้านี้ “เจ้าเตรียมกระยาหารให้ฝ่าบาทหรือ?”
นางกำนัลรอให้เขาถามก็หยุดและหันมาให้คำตอบ “ข้าน้อยจัดกระยาหารให้ฝ่าบาทแล้ว!”
เจ้าตำหนักตงฟางมีสีหน้าเจ็บปวดเหมือนถูกนกจิก แต่จากนั้นเขาหันไปทันที
เขาคืนสู่สภาพของบัณฑิตผู้สุภาพอีกครั้ง
ชุนหวีตัวสั่นอีกครั้ง และเจ้าตำหนักมีสีหน้าเห็นใจสงสาร เขาส่ายหน้าเล็กน้อย
ฉากภาพเปลี่ยนไปอีกครั้ง ก่อนที่จะกลับไปที่ห้องโถงอีกครั้ง มีนางกำนัลคนหนึ่งส่งกระยาหาร ชุนหวีส่งเสียงร้องโหยหวนพยายามดิ้นรนหนีบางอย่างที่ไม่มีที่สุดอย่างบ้าคลั่ง อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้ไม่สามารถหยุดการฉายภาพการสนทนาเล่าเรื่องความฝันของหัวซิ่วรี่ และเขาอ้างตัวว่าเป็นเทพ… ทุกอย่างฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชุนหวีคุกเข่ากับพื้นอย่างทรมานดวงตาแทบถลนจากเบ้า เขามองดูเหมือนนักโทษ
ตรงกันข้าม เจ้าตำหนักตงฟางมองดูภาพนี้อย่างเบาใจ
จากนั้นหัวซิ่วรี่พูดต่อ ‘ดี งั้นไม่ส่งแล้ว’
เขาตอบมาทางท้องพระโรงใหญ่ “โปรดให้จักรพรรดิไร้เทียมทานจิ๋วซื่อออกมาเถอะ แล้วตงฟางจะกลับมาสนทนากับท่านอีก”
ภายในห้องโถงใหญ่ดูเหมือนมีเสียงถอนหายใจเลือนราง แต่เหมือนกับลมพัดผ่านไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางคิดเล็กน้อยและจำได้ว่าดูเหมือนว่าครั้งแรกที่เกิดเหตุ จักรพรรดิจะพูด ‘ข้าคิดว่าตอนนี้ชัดเจนพอแล้ว’ หลังจากนั้นก็มีเสียงถอนหายใจ
ในเวลานี้ เขากลับพูดชื่อจักรพรรดิไร้เทียมทานจิ๋วซื่อหรือ?
เจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางได้นำความสงสัยนี้เข้ามาที่หน้าวังเทียนหลัวอีกครั้ง
ชุนหวีร้องโหยหวนเหมือนคนบ้าและลุกขึ้นทะยานขึ้นท้องฟ้า… เจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางส่ายหน้าเล็กน้อย และก้าวเดินไปเรื่อยๆ สองก้าวแล้วก้าวเข้าจัตุรัสด้านนอก ตอนนี้ภาพอุกกาบาตหายไป ชุนหวีปรากฏตัวอีกครั้งที่หน้าประตูวัง เขาทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความกลัวและโบกมือกรีดร้องขณะที่นางกำนัลน้อยเดินออกมาจากตำหนัก “ไม่, ข้าจะไม่มาอีกแล้ว ขอร้อง ข้าจะไม่กลับมาอีกแล้ว ปล่อยข้าไป ข้าจะไม่มายังหอทงเทียนอีก ข้าจะไม่มาอีกแล้ว ปล่อยข้าไปเถอะ…”
เจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางส่ายหน้าช้าๆ
ความดีความชอบพันปี
จากคนผู้น่ากลัวเปลี่ยนเป็นคนบ้าเสียสติพังทลาย…. “สมกับเป็นผู้ปกป้องแดนล่มสลายแห่งทวยเทพจริงๆ! น่าสนใจ!” เจ้าตำหนักใหญ่ตงฟางเดินมือไพล่หลังออกไปข้างหน้าอย่างฉลาด ฝีเท้าของเขาไม่หยุดและเขาพึมพำกับตนเองเบาๆ “ด้วยเหตุนี้จึงมีความจำเป็นต้องทำลายหอทงเทียนแห่งนี้ เพราะเหตุนี้จึงต้องทำลายทุกอย่างที่นี่!”
เจ้าตำหนักตงฟางยืนอยู่บนถนนมองเห็นการคมนาคมจอแจในเมือง
เขายิ้ม
เขายังคงกล่าว “ความฝันก็เหมือนชีวิต ชีวิตก็เหมือนฝัน ทำไมในตอนแรกถึงไม่อนุญาตให้ข้ามีความฝัน เพราะข้าไม่มีความฝันข้าจึงต้องทำลายฝันทั้งหมด นี่เป็นเรื่องยุติธรรมแล้ว!”