ก่อนอ่าน!!
ฝากติดตามเป็นกำลังใจเพจ: มิเงะッ ไว้ด้วยน้า
ขอให้อ่านให้สนุก #))
—ยิ่งมีอิสระในชีวิตมากเท่าไหร่ชีวิตก็ยิ่งดีเท่านั้น ดังนั้นผมจะไม่หาเพื่อน ผมไม่ต้องการเพื่อน แทนที่จะออกไปใช้เวลากับพวกเขา มันทำได้ง่ายกว่ามาก ผมจะไม่หวั่นไหวไปทางซ้ายหรือขวาตามความต้องการของคนอื่น และผมจะทำตามที่ใจต้องการ ทุกเมื่อที่ตัวผมต้องการ อย่างเช่น ให้พูดถึงปฏิทินพักร้อนของผม
หากตารางงานเต็มไปด้วยกิจกรรมต่างๆ ทั่วทั้งกระดาน ผู้คนมักจะพูดว่า ‘ว้าว มันต้องเป็นอะไรที่สนุกแน่นอนเลย’ ใช่ไหมล่ะ แต่ดูเหมือนอย่างไรและในลักษณะใด ถ้าทุกคนบอกว่าอยากไปร้องคาราโอเกะ สมมุติว่าผมอยากไปที่ เกมเซนเตอร์ แทน ไม่มีทางที่ความปรารถนาของผมจะถูกพิจารณาใช่ไหม? ถ้ามีคนหนึ่ง ต้องการไปเที่ยวใกล้สถานีรถไฟ และ อีกคนหนึ่ง ต้องการไปเที่ยวใกล้บ้านของพวกเขา ต้องมีสีกคนก็ต้องยอมประนีประนอมที่ทำตามใจของอีกฝ่าย
ถ้าตัวผมที่อยู่คนเดียว ผมก็ไม่ต้องปรับตัวกับคนอื่น และสามารถสนุกสนานไปกับตัวเองได้มากขึ้น ตรงข้ามกับเรื่องยุ่งเหยิงที่น่ารำคาญ บังคับให้มีเพื่อนจอมปลอมและแลกเปลี่ยนคุณค่าที่ไร้ค่านี้กับอิสรภาพ เพียงเพราะหยิ่งเกินกว่าจะมีชีวิตอยู่กับความจริงที่ว่าผู้คนอาจมองว่าคนโดดเดี่ยวที่น่าสงสารนั้นช่างโง่เขลาเหลือเกิน
อย่างไรก็ตาม นั่นคือคุณค่าในหัวใจของผมเมื่อผมตัดสินใจลงทะเบียนเรียนในโรงเรียนมัธยมปลายแห่งนี้ และหลังจากการมาถึงของฤดูใบไม้ผลิที่สองของผม ไม่นานหลังจากพิธีเปิด ก็เป็นช่วงครึ่งหลังของเดือนเมษายนแล้ว ท้องฟ้านอกหน้าต่างห้องเรียนเป็นสีฟ้าและมีเมฆปนกัน แสงแดดก็สว่างเกินไปสำหรับผม ถึงจะช้าแต่ก็มั่นคง
“ฉันอยากมีแฟน อยากมีใครสักคนจ่ายค่าอาหารของฉัน บางทีเวลากลับบ้านด้วยกัน ก็อยากมีคนจ่ายค่ารถไฟให้ด้วย”
เขาแค่ต้องการกระเป๋าสตางค์แบบเดินได้ ไม่ใช่แฟน เช่นนั้น
โฮมรูมซึ่งควรจะเป็นช่วงเวลาที่น่าเบื่อที่สุดในช่วงเช้า กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุดของวันสำหรับผู้ชายเหล่านั้น เพียงเพราะพวกเขาได้พูดคุยและพบเพื่อนใหม่ คนที่พอใจกับสิ่งนี้คือเด็กผู้หญิงที่มุมห้องเรียน
ส่วนหนึ่งของคนกลุ่มใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยเด็กชายห้าคน และเด็กผู้หญิงทั้งหมดหกคน ถ้ารวมผู้ชายคนนั้นจากตอนนี้ด้วย ผมเห็นกลุ่มคนสิบเอ็ดคน ทั้งหมดนี้จัดอยู่ในกลุ่มคนปกติ
“ไม่ๆ แฟนน่ะ มันคงไม่ได้หาง่ายแบบนั้นหรอกใช่มั้ย ฮ่ะฮ่า”
ดูเหมือนว่าในโลกของคนทั่วไปมักเรียกกระเป๋าสตางค์ว่า ‘แฟน’
“นี่ๆ เธอมีแฟนแล้วใช่มั้ยเอริ? เป็นยังไงบ้างกับเขาเมื่อเร็ว ๆ นี้ “
“เธอๆ เขาอยู่มหาวิทยาลัย เขาปฏิบัติกับฉันเหมือนกับเด็กด้วยแหละ น่ารักมากเลย~”
แน่นอนตามกฎหมายแล้ว นักเรียนมัธยมปลายอย่างพวกเรายังคงเป็นเด็ก
“โธ่พวกเธอนี่ ฉันอิจฉานะรู้มั้ย โธ่เว้ยย ฉันก็อยากมีแฟนมั่งอ่ะ ไม่เหมือนพวกผู้หญิงที่คอยมีผู้ชายมาจีบ”
“เห๊~ นายแค่ต้องการทำเรื่องลามกใช่ไหม”
คงจะเป็นแบบนั้นแหละ ดูแล้วผู้ชายคนนั้นทำหน้าเหมือนลิงหื่นแน่ๆ ไม่ ผมหมายความว่า เขามองดูหน้าอกของเด็กผู้หญิงคนนั้นมาระยะหนึ่งแล้ว และที่แน่ๆไม่ใช่ด้วยเจตนาดี…
“พอพูดเรื่องนี้แล้วก็ นี่ฮินะ เธอโดยสารภาพรักอีกแล้วเหรอ เห็นเงียบๆ”
“เอาจริงดิ กี่คนแล้วเนี่ยเทอมนี้”
“อ่ะ..อึมประมาณนั้นแหละ ดูเหมือนข่าวจะแพร่กระจายเร็วมากเลยนะ..”
เด็กสาวที่ชื่อฮินะแสดงท่าทีบิดเบี้ยวแต่ยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยน
ว่าด้วยในเรื่องที่เกี่ยวกับเธอ เธอมีชื่อเสียงในระดับที่แม้แต่ผมรู้ชื่อเต็มของเธอ—คาสุกะ ฮินะ ผมสีสดใสของเธอดุจแพรไหมราวกับสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิ และรอยยิ้มของเธอก็อบอุ่นและอ่อนโยนราวกับแสงอาทิตย์ในต้นฤดูร้อน ผิวขาวและเนียนของเธอสร้างความประทับใจอย่างมากเป็นพิเศษ เธอเป็นคนร่าเริง ใจดี และคุยง่าย เธอสวยตีสามแต้ม
ข้าพเจ้าคนนี้ขอยกตัวอย่างแค่บางส่วนที่แสดงให้เห็นทัศนคติที่ร่าเริง ใจดี และเป็นมิตรได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ในปีแรกของเราในช่วงซัมเมอร์ เธอสามารถพาเพื่อนร่วมชั้นที่หนีเรียนกลับไปโรงเรียนได้ ในขณะที่ยังคงเคารพในความคิดเห็นและความรู้สึกของพวกเขา
ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีเดียวกัน คนนอกอย่างผมได้รับบาดเจ็บระหว่างเรียนวิชาพละ และเธอเสนอยื่นผ้าเช็ดหน้าของตัวเองให้ผมเพื่อห้ามเลือดโดยไม่ลังเล
ในช่วงฤดูหนาวของปีเดียวกัน นักเรียนทุกคนในโรงเรียนรู้จักชื่อคาสุกะ ฮินะ และเธอก็สามารถพูดชื่อนักเรียนทุกคนได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม แม้คาสุกะจะสวยขนาดไหน ถ้าถาม 100 คนว่า “คาสุกะ ฮินะ น่ารักไหม” หากต้องการทราบตัวเลือกทั่วไปเกี่ยวกับความน่ารักของเธอ ก็จะได้รับความเห็นพ้องต้องกันอย่างพร้อมเพรียงจากคนที่เห็นด้วยมากกว่า 100 คนว่าเธอน่ารักจริงๆ นอกจากนี้
ความน่ารักที่จะทำให้เธอเป็นไอดอลของโรงเรียนที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักกันดี แม้ว่าจะพยายามหาแฟนไอดอลให้ตัวเอง ผมคิดว่าเราทุกคนรู้ว่ามันยากและเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติแค่ไหน
ถึงแม้ว่า คาสุกะ จะมีความน่ารักในระดับไอดอล แต่เธอก็ทำให้รู้สึกว่า ถ้ามีความทุ่มเทในขีดสุดจริงๆ ก็อาจจะสามารถทำให้เขากลายเป็นแฟนของเธอได้ นั่นคือความงามที่เธอเป็น
เธอเป็นนางฟ้าที่ยอมให้เด็กผู้ชายมีความฝัน แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นปีศาจที่สามารถเชื้อเชิญความเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงได้เพียงเพราะเธอใช้ถ้อยคำแปลกๆ เพียงประโยคเดียว
ผมจะพูดยังไงดี…โดยพื้นฐานแล้ว ความน่ารักของคาสุกะ ทำให้หนุ่มๆ หลายคนตกหลุมรักเธอและสารภาพรัก อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบกันดีว่าเธอปฏิเสธพวกเขาทั้งหมด
สรุปสั้นๆคือ…
“—เธอคือตัวตนที่คนธรรมดาจะไม่มีวันได้สัมผัส”
ผมแค่ให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการสนทนาเหล่านี้ในช่วงเวลาอันน่าเบื่อก่อนเริ่มชั้นเรียนตอนเช้า ที่จริง ผมกำลังนั่งอยู่ที่นั่งของตัวเอง ตอนนี้ห่างจากที่นั่งติดผนังที่พวกเขารวมตัวกัน จากมุมมองของคนอื่น นี่อาจเป็นวิธีการใช้เวลาในตอนเช้าที่อ้างว้าง
ผมชินกับการอยู่คนเดียวแบบนี้ ไม่ใช่ว่าผมเหมาะกับการเรียน อ่า..มีการจินตนาการในหัวมาก มันง่ายมากที่จะเห็นว่าผมเป็นคนนอกในขณะเดียวกัน ให้มองไปที่คาสุกะ ในกลุ่มนั่น มี 11คนที่บรรทัดฐานอยู่เคียงข้างเธอ เหตุผลที่ผมเลือก คาสุกะ มาคิดกอาจเป็นเพราะเธอตรงข้ามกับผมอย่างสิ้นเชิง
ผมเดินไปโรงเรียนคนเดียว เข้าห้องเรียนก่อนเริ่มโฮมรูม 10 นาทีโดยไม่แม้แต่จะส่งเสียง และไม่พูดอะไรเลยตลอด 10 นาทีนั้น ในเวลาเดียวกัน แม้ว่าผมจะคาดไม่ถึง แต่ก็เป็นอย่างนั้น คาสุกะแลกเปลี่ยนคำทักทายอย่างกระฉับกระเฉงกับเด็กผู้หญิงทั้งหกคนนั้น จากนั้นก็ได้พบปะกับเด็กชายทั้งห้าคนที่อยู่รอบๆ และเพลิดเพลินกับตัวเองในขณะที่พูดคุยกับพวกเขาทั้งหมดในช่วง 10 นาทีสุดท้ายก่อน โฮมรูมเริ่มต้นขึ้น การแสดงออก บุคลิกภาพ สภาพแวดล้อมของเราตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง….
เพียงแค่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น มนุษย์ก็ไม่สามารถค้นพบตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาได้ นั่นเป็นเหตุผลที่ผมเปรียบเทียบตัวเองกับคาสุกะ และรู้สึกโล่งใจที่ได้ทำตัวเหมือนคนโดดเดี่ยวอยู่เสมอ โดยไม่ได้ลิ้มรสความรู้สึกต่ำต้อยใดๆ
=====
—ช่วงพักกลางวัน
เนื่องจากผมชอบอ่านหนังสือเป็นงานอดิเรก ผมมักจะใช้เวลาอยู่ที่ห้องสมุด และตอนนี้ก็เช่นกัน การอยู่ในห้องเรียนไม่ได้ช่วยอะไรฉันเลย และไม่มีเพื่อนคนไหนที่จะขอให้ผมไปร่วมวงกับเขาด้วย มีศัพท์เรียกว่า วรรณะของโรงเรียน ถ้าจะสื่อความหมายโดยตรง ก็เหมือนกับช่องว่างที่เกิดขึ้นภายในโรงเรียน
แน่นอนว่าโรงเรียนมีนักเรียน แต่แทนที่จะแยกตามความแข็งแกร่งหรือความสามารถทางวิชาการ
มันเหมือนเป็นเสน่ห์ที่สร้างความแตกต่างในอันดับและความนิยมในโรงเรียน เมื่อเราเป็นที่สนใจ เปรียบเสมือนเรายืนอยู่บนยอดเขา และเมื่อไม่มีใครสนใจก็เปรียบเสมือนว่าเราตกต่ำ
และคนที่เป็นที่สนใจเหล่านั้นก็ร่าเริงและเป็นกันเอง มนุษย์คงไม่สนุกที่ได้อยู่ร่วมกับคนเก็บตัวและมืดมน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมคนส่วนใหญ่ที่น่าจะสนุกด้วยจึงชอบเข้าสังคม
โดยสรุปแล้ว คนที่มีบุคลิกร่าเริงและชอบเข้าสังคมคือสิ่งที่เพิ่งเริ่มเรียกว่าเป็นบรรทัดฐานหรือเพียงแค่คนที่ชอบเข้าสังคม จึงกลับไปสนทนาในห้องเรียน ที่มันยากที่จะอยู่นอกห้องเรียนโดยไม่มีเพื่อนสักคน
ในกรณีนี้ ผมแค่ย้ายไปห้องสมุดอย่างเงียบๆ แม้ว่าผมจะไม่ชอบให้ใครมาตัดสินการกระทำของผม แต่ผมก็ไม่อยากถูกดูถูกและตีความตัวเองแบบนั้น
“…..”
โชคดีที่ตอนนี้ผมชินกับการอยู่คนเดียวมากขึ้นกว่าแต่เดิม ดังนั้นมันก็โอเค ผมแค่ไม่อยากให้คนอื่นรู้สึกแย่หรือเยาะเย้ยผมก็เท่านั้น ผมก็เลยตัดสินใจเดินไปห้องสมุดด้วยตัวคนเดียวอย่างเงียบๆ และอีกอย่างผมไม่ใช่นักเรียนคนเดียวในห้องสมุดด้วย
ผมกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะด้านหลัง ในมุมสูงสุด แน่นอนว่าที่นั่งในห้องสมุดไม่ใช่ที่นั่งแบบจอง อย่างไรก็ตาม ผมไม่เห็นใครนั่งอยู่ตรงนั้น และในหัวของผม คิดว่าคงไม่มีปัญหาในการทำให้ที่นั่งนั่นเป็นของตัวเองโดยไม่ลังเล
และบนที่นั่งที่สองถัดจากผม….
“ฮัดชี้ว!” (เบาๆ)
ผมจะไม่ปล่อยให้จามน่ารักแบบนี้เด็ดขาด คนที่จามแบบนั้นคือคนที่อยู่ห่างจากผม 2 ที่นั่ง—อากิซึกิ ซาคุยะ นักเรียนชั้นปีสองห้องสี่ บอกได้จากชื่อ เธอเป็นผู้หญิงที่จริงใจ ไม่ต้องพูดถึงความสวยงามเลยทีเดียว เธอเป็นหนึ่งในสองสาวงามอันดับต้น ๆ ของโรงเรียนนี้ โดยธรรมชาติแล้ว คาสุกะ เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องพูด
ถ้าคาสุกะเป็นคนน่ารัก อากิซึกิ ก็เป็นคนสวยเธอมีผมยาวสีดำราวกับลำธารในแม่น้ำ ถ้าเธอยิ้มจริงๆ แสดงว่าเธอสวยราวกับพระจันทร์เต็มดวง แต่ส่วนใหญ่แล้วเธอไม่ค่อยแสดงสีหน้าใดๆ ผิวของเธอขาวราวกับถูกหิมะปกคลุม และเธอก็ค่อนข้างสูงแม้จะเป็นเด็กผู้หญิง นอกจากนี้ไม่มีความคิดในทางที่ผิดเลย แต่เธอมีหน้าอกที่ใหญ่ (ไอ้คนลาม๊กก!) เอวที่เรียวยาว และด้านหลังที่หนา ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เธอดูเหมือนรูปปั้นที่สร้างขึ้นมาโดยมนุษย์ ผมได้ยินข่าวลือมาว่าเธอได้คะแนนเต็มในทุกๆ วิชาตั้งแต่สมัยมัธยมต้น
ยิ่งไปกว่านั้น ครอบครัวของเธอดูค่อนข้างมั่งคั่ง ไม่เหมือนคนนอกอย่างผม เธอสุภาพ สงบ และรวมถึง มีความสามารถที่โรงเรียน เธออาจอยู่คนเดียวด้วยความตั้งใจของเธอเอง
“…..”
อากิซึกิพลิกหน้ากระดาษหนังสือของเธออย่างเงียบๆ
ลักษณะการอ่านของเธอเกือบจะรู้สึกเหมือนเธอเกิดมาผิดรุ่น เหมือนเธอไม่เข้ากับยุคนี้ นั่นแหละคือความงดงามของเธอ แน่นอน เราอาจจะรู้จักกันแต่เราไม่พูดจากัน ลองนึกภาพถ้าจู่ๆ ผมพูดขึ้นว่า ‘นี่ เธอกำลังอ่านอะไรอยู่’ หรือ ‘อืม เธอมักจะอ่านที่นี่ใช่ไหม’ การถามแบบนั้นจะทำให้เธอนึกถึงผมมากขึ้นเท่านั้น และเธอก็จะสร้างกำแพงความสนิทป้องกันรอบตัวเธอ
เมื่อผมกำลังอ่านอะไรสักอย่าง ผมก็ไม่อยากถูกขัดจังหวะใช่ไหมล่ะ ผมก็เลยไม่ทำอะไรแบบนั้นกับคนอื่นเหมือนกัน ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเรียกหาเธอด้วย
อย่างไรก็ตาม…
“ฮัดชิ้ว!”
แม้ว่าเธอจะรักษาความสงบและแสดงออกเช่นเคย เธอคงรู้สึกเขินอายเพราะการจามที่น่ารักของเธอ ขณะที่เธอหน้าแดงเล็กน้อย ตอนนี้ยังคงเป็นเดือนเมษายน ดังนั้นจึงมีโอกาสที่ละอองเกสรจะปลิวไปทั่วโรงเรียน ช่วยไม่ได้…ผมจะให้ยืมทิชชู่กับเธอก่อนที่เธอจะไปค้นข้าวของตัวเอง
“อึม….”
ผมยื่นกล่องกระดาษทิชชู่ให้เธออย่างเงียบๆ อากิซึกิยอมรับอย่างไม่เต็มใจโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“อึ้ม…”
“อึ่ม….”
เราแลกเปลี่ยนคำเหล่านี้เพื่อสร้างสิ่งที่ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการสนทนา ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นจริง อากิซึกิแค่เสนอหนังสือของเธอให้ผมอย่างเงียบๆ เนื่องจากไม่มีบาร์โค้ดที่ด้านหลังหนังสือ ไม่มีหมายเลขที่ด้านหน้าของหนังสือ ผมจึงสันนิษฐานว่านี่คือหนังสือส่วนตัวของ อากิซึกอ ถึงกระนั้น นั่นคืออากิซึกิ แน่นอนว่าเป็นหนังสือจาก Dostojewski (ภาษาอะไรล่ะนั่น )และเป็นหนึ่งในหนังสือที่ผมยังไม่ได้อ่าน เธอมีความต้องการของผมอย่างสมบูรณ์แบบ และนั่นคือตอนที่มันเกิดขึ้น
“ฮัดชิ้ว!”
เสียงจามที่น่ารักดังขึ้นอีกครั้ง
เธอคงรู้สึกเขินและอับอายที่ผมเห็นเธอจามถึงสามครั้ง ขณะที่เธอจ้องมาที่ผมด้วยสายตาเปียกชื้น ผมพนันได้เลยว่าไม่มีใครรู้เรื่องอากิซึกิ ที่ซุ่มซ่ามคนนี้
“ฮึ่ม..”
อากิซึกิพยายามเอากล่องทิชชู่คืนมาให้ผม
“ฮึ๊ม…”
ผมส่ายหัว
“อึม…”
เธอหยิบกระดาษทิชชู่ส่วนหนึ่งลงในกระเป๋าเสื้อของเธอแล้วยืนกล่องกระดาษทิชชู่ที่เหลือมาให้
ผมดีใจที่ความตั้งใจของผมส่งไปถึงเธอ ด้วยการไตร่ตรองอย่างดี แม้แต่คนนอกอย่างผมก็สามารถถ่ายทอดความตั้งใจของผมได้โดยไม่ต้องใช้คำพูด อากิซึกิยืนขึ้น เธอคงคิดที่จะทิ้งทิชชู่ทิ้ง แล้วผมจะ—
“…..”
ผมหยิบหนังสือที่อากิซึกิอ่านได้ครึ่งหนึ่ง และตัดสินใจนำมันไปที่เคาน์เตอร์เพื่อยืนให้เธอ
“อึ๊ม!”
เธอปฏิเสธหนังสือและดูเหมือนเธอจะให้ผมยืมหนังสือเล่มนั้นมาอ่าน จากนั้นก็เปิดลิ้นชักของชั้น 2-4 ในชั้นของทุกชั้นเรียน และพบเอกสารขนาด A4 ของ อากิซึกิ ซาคุยะ ซึ่งมีบาร์โค้ดของเธอจากบัตรห้องสมุดอยู่
ผมเขียนชื่อหนังสือที่เธอยืมที่นั่น คัดลอกบาร์โค้ดที่ด้านหลังหนังสือรวมทั้งรหัสส่วนตัวของ อากิซึกิ และเสร็จสิ้นกระบวนการทั้งแบบแอนะล็อกและดิจิทัล
“อึ้ม…”
“อึม”
ตอนนี้ อากิซึกิเดินเข้ามาหาผม ผมจึงมอบหนังสือที่ผมยืมในชื่อเธอให้เธอ พวกเราออกจากห้องสมุดและขึ้นบันไดด้วยกัน โอ้..ใช่แล้วผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเราทำตามขั้นตอนแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว แต่ผมแน่ใจว่าระยะทางแบบนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนระหว่างเรา นั่นคือสิ่งที่ผมคิด…
จบ~~~เป็นยังไงบ้าง นี่แค่ส่วนแรกของบทที่หนึ่งเองนะ “-” ฉบับไลท์โนเวลนี่ยืดมากกก ไม่เหมือนฉบับเว็บเลย สรุป รวด รัด จบไว!