[LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก 9 Chapter 3 เบิกเนตร Part 2

ตอนที่ 9 Chapter 3 เบิกเนตร Part 2

Part 2

 

“ทริส ! ฮิโระไม่ได้อยู่ที่นี่อะ!”

 

“ใจเย็นหน่อยสิครับเจ้าหญิง ไม่จำเป็นต้องวิ่งไปไหนมาไหนเลยครับ.”

 

“แต่ว่าเขาไม่ได้อยู่ในห้องล้างบาป เขาอาจจะหลงทางรึเปล่า…”

 

“ข้าเกรงว่าคงจะไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับเพราะมิโกะก็อยู่กับเขา…”

 

“แล้วเขาไปอยู่ที่ไหนกันล่ะ ตอนนี้เขาน่ากำลังร้องไห้อยู่แน่เลย”

 

ลิซนั่งลงบนเก้าอี้และใช้มือปิดหน้า จานเปล่าวางอยู่บนโต๊ะของเธอ ที่เท้ามีเซอร์เบอรัสนอนหลับด้วยสีหน้าสบายใจ ทริสนั่งตรงข้ามเธอ

 

“ไม่มีทางไอ้หนุ่มอายุสิบหกขวบจะร้องไห้หรอกครับบางที――.”

 

ทริสหันไปตามทางก็พบว่ามีร่างหนึ่งสะดุดตาเขา

 

“เจ้าหญิงดูเหมือนเขาจะกลับมาแล้วครับ.”

 

“เอ๋?”

 

เมื่อเธอหันกลับมา ก็เห็นฮิโระที่ทางเข้า บางทีอาจเป็นเพราะทำพิธีล้างบาปมา สีหน้าของเขาดูเหนื่อยเล็กน้อย  

 

“ฮิโระ ทางนี้ ทางนี้!”

 

เธอโบกมือและเรียกเขา จากนั้นฮิโระก็หันมามองลิซ

 

“หนอย ! มาสายเกินไปแล้วนะ!”

 

ลิซที่ทนไม่ไหวเห็นฮิโระเดินเหมือนหมดแรงจึงวิ่งเข้าหาเขาและจูงมือเขามานั่งข้างๆเธอ

 

“ฮิโระดูเหนื่อยมากเลยนะ ไปทำพิธีล้างบาปมามันหนักขนาดนั้นเชียว?”

 

“อืมหนักมากเลยล่ะ โดยเฉพาะด้านสุขภาพจิต”

 

“จริงอะ?”

 

“ชั้นไม่รู้เลยว่าจะมองไปทางไหน และชั้นเองก็ประทับใจในหลายๆด้าน”

 

“หืม ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีคนเยอะเป็นพิเศษ ฮิโระเองก็มีใบหน้าน่ารักด้วยสิ ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ถ้าจะเจอยัยแก่ความคิดแปลกๆ”

 

“หืม? ยัยแก่?”

 

“ก็แบบว่าดูแก่ใช่ไหมล่ะ?”

 

“เอ๋?”

 

“เอ๋?”

 

ขณะที่ทั้งคู่ตกตะลึง ก็มีเงาทอดยาวระหว่างพวกเขา

 

“――ท่านเซเลีย เอสทรีย่า อาหารเช้าเป็นเช่นไรบ้างคะ?”

 

เมื่อพวกเขาหันกลับไปมิโกะก็อยู่ด้านหลังพวกเขาแล้ว

 

“อืม อร่อยมากเลยล่ะ อย่างที่คาดหวังไว้เลยว่าครัวที่วิหารราชันภูตินั้นดีจริงๆ.”

 

“ดีใจที่ได้ยินเช่นนั้นค่ะ วันนี้อยากจะค้างคืนอีกวันไหมคะ?”

 

“หืม แม้จะเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ แต่พวกเราต้องรีบออกเดินทาง.”

 

“เสียดายจังเลยค่ะ ดูท่าจะยุ่งน่าดูเลยสินะคะ แต่ดิฉันหวังว่าท่านจะกลับมาเยื่ยมพวกเราอีกครั้งนะคะ.”

 

“ไว้จะกลับมาใหม่นะ เพราะต้องกลับมารับคนเจ็บกลับไปด้วย.”

 

พวกเขาไม่สามารถพาทหารที่บาดเจ็บไปด้วยได้ เพราะเหตุนี้กองทัพของลิซจึงลดลงและมันลำบากหากพ่อคนเจ็บไปเป็นตัวถ่วง

 

บางทีเธอคงจะเข้าใจมิโกะพยักหน้าให้กับคำพูดของลิซ

 

“นั่นสินะคะ ถ้างั้นท่านฮิโระ ได้โปรดมาเยี่ยมพวกเราอีกนะคะ ดิฉันยินดีที่จะคุยกับท่านได้ทุกเรื่องเลยค่ะ.”

 

“โอ้ว อืม ไว้มาคุยกันใหม่นะ…”

 

“ฮิโระ ? หน้าแดงแจ๋เลยเป็นไข้รึเปล่าเนี่ย?”

 

“เปล่า ไม่เป็นอะไรหรอก?”

 

“ฟุฟุ ถ้างั้นดิฉันขอตัวก่อนนะคะ.”

 

“โอ้วขอบคุณสำหรับทุกอย่าง บุญคุณนี้จะไม่ลืมเลย”

 

“มันเป็นหน้าที่ของเหล่าข้ารับใช้ราชันภูติอยู่แล้วค่ะ ถ้ามีอะไรให้ดิฉันรับใช้แจ้งได้เลยนะคะ.”

 

“ขอบคุณมากค่า”

 

“ดิฉันได้จัดเตรียมม้าให้ด้านนอกแล้ว สามารถนำไปใช้ได้ตามสมควรเลยนะคะ.”

 

หลังจากโค้งคำนับมิโกะก็เดินจากไป หลังจากมองส่ง ลิซก็นั่งบนเก้าอี้อีกครั้งแล้วถามฮิโระ

 

“นี่ ทำไมถึงหน้าแดงก่ำขนาดนั้นล่ะ?”

 

ฮิโระเริ่มร้อนรนเมื่อเห็นลิซจับได้

 

“เอ่อไม่ใช่อย่างที่คิดนะ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราต้องรีบไปใช่ไหมล่ะ!”

 

“หืมมมม?แล้วนายจะร้อนรนทำไมเนี่ย?”

 

ลิซได้แต่สงสัยเมื่อฮิโระดึงแขนเธอ

 

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะน่า”

 

มิโกะที่เฝ้าดูการพูดคุยของพวกเราจากเงามืดมาเป็นเวลานาน เมื่อหลังฮิโระและคนอื่นๆหายไปจากสายตา เธอก็เริ่มเดิน เท้าของเธอกำลังมุ่งหน้าไปทางตอนเหนือของวิหารราชันภูติ

 

พื้นที่ๆซึ่งอนุญาตให้เพียงมิโกะแห่งวิหารราชันภูติเข้าไปเพียงคนเดียว มันเป็นพระราชวังแห่งการล้างบาป ณ จุด กึ่งกลางมีแสงสว่าวไสวอยู่ มิโกะจ้องมองมันอย่างตั้งใจ เธอเป็นสาวสวยที่มักจะยิ้มอยู่เสมอ แต่ตอนนี้เธอมีสีหน้าเคร่งเครียด

 

“วางแผนอะไรอยู่กันแน่คะ…ทำไมถึงได้ตัดสินใจอัญเชิญราชันผู้กล้าหาญคนนั้นกลับมา? ขอร้องล่ะท่านราชันภูติเหตุใดท่านถึงได้ทำเช่นนี้.”

 

ความเงียบอันน่าขนลุกปกคลุมไปทั่วบริเวณ

 

“ได้โปรดตอบคำถามของดิฉัน…”

 

มิโกะถอนหายใจหันมาสนใจรูปปั้นสองรูปที่อยู่ด้านหลังบ่อน้ำพุ ทุกคนที่อาศัยอยู่ในมหาจักรวรรดิต่างก็คุ้นเคยกันดีว่านี่คือเสาหลักสองประการและเป็นเทพในบรรดาสิบสององค์ของมหาจักรวรรดิแกรนท์

 

รูปปั้นหนึ่งคือรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ขอองขายหนุ่มรูปงานที่มีดาบปักอยู่บนพื้น ราชันผู้มีจิตใจกล้าแกร่งดุจสิงโต ผู้ก่อตั้งอาณาจักรอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ ลีออน เวลล์ อัลทิอุส ฟอน แกรนท์ (Leon Welt Altius von Grantz)

 

อีกรูปปั้นหนึ่งเปรียบเสมือนน้องชายของเขาและเป็นคู่หูคนสำคัญถือดาบด้วยมือทั้งสองข้างและชี้มันขึ้นสู่สวรงสวรรค์ ราชันผู้กล้าหาญผู้ก่อตั้งอาณาจักรอีกคน เฮอร์ธ เรย์ ชวาร์ตซ์ ฟอน แกรนท์(Herth Ray Schwartz von Grantz)

 

“…ฝ่าบาทอัลทิอุสได้โปรดปกป้องฝ่าบาทชวาร์ตชด้วยค่ะ”

 

 

 

***

 

 

 

หลังจากออกมาจากนาทัว ฮิโระและคนอื่นๆต่างอยู่ใกล้ชายแดนของประเทศบัลม์ แม้ว่าพวกเขาจะอายุน้อย แต่เสียงเกือกม้ากระทืบพื้นในคราวเดียวอาจทำให้ใจสั่น แน่นอนว่าลิซนั้นเป็นผู้นำ คุมม้าได้อย่างชำนาญผมสีแดงเพลิงของเธอปลิวไสวไปทางด้านหลัง ฮิโระเกาะเอวของเธอโดยเอามือโอบเอวไว้

 

“พวกเรามาถึงชายแดนแล้วใช่ไหม?”

 

“อืม หลังจากนี้พวกเราจะมุ่งตรงไปยังดินแดนของมาร์เกรฟกรินด้า”

 

ทริสที่ตามมาก็ทำสีหน้าอึดอัดใจเมื่อได้ยินบทสนทนาของพวกเขา

 

“หน่วยสำรวจที่ไปกันก่อนหน้านี้ยังไม่กลับมาเลย เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในเซลล์อื่น เราอาจจะต้องละทิ้งม้าและเดินไปด้วยเท้า.”

 

“…ยังคิดอยู่อีกเหรอว่าท่านพี่จะเอื้อมมือมาแถวนี้น่ะ?”

 

“มันก็ยากที่จะพูดอยู่นะครับ แต่ระวังไว้ควรจะดีกว่า”

 

“เข้าใจแล้วค่ะ…”

 

ลิซพยักหน้าและมองไปข้างหน้า ถนนระหว่างประเทศเล็กๆของบัลม์และดินแดนของมาร์เกรฟกรินด้าเป็นเขตทุรกันดาร

 

หนึ่งในสามของดินแดนชนบทของมาร์เกรฟกรินด้า นั้นแห้งแล้งและขาดน้ำอย่างรุนแรง และแม้ว่าไม่เพียงแค่ดินแดนของมาร์เกรฟแม้แต่ดินแดนบัลม์เองก็ได้รับผลกระทบจากความแห้งแล้งและปกคลุมไปด้วยทะเลทรายและฝุ่นละออง

 

เนินเขาเล็กๆที่สร้างขึ้นจากทราย ทรายที่พังถล่มจากหน้าผา ดินแดนที่เหมือนกับทุ่งทะเลทรายไม่มีต้นไม้หรือหญ้าข้างทาง

 

“พวกเราควรระมัดระวังตัวมากขึ้นนับแต่นี้ไป”

 

ลิซเริ่มเดินผ่านถิ่นทุรกันดารโดยจ้องมองไปทางเหล่าทหาร ถ้าเป็นแบบนี้อีกครึ่งชั่วโมง พวกเขาจะเข้าสู่ดินแดนของมาร์เกรฟกรินด้าลิซและคนอื่นๆจะซ่อนตัวอยู่หลังผาเพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าสายตา

 

”เจ้าหญิง หน่วยที่ส่งไปสำรวจยังไม่กลับมา พวกเราควรคิดว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นนะครับ”

 

“อืม มันคงจะอันตรายมากถ้าเรายังไปต่อแบบนี้”

 

ลิซเห็นด้วยกับทริสและเริ่มปีนขึ้นไปบนโขดหินด้วยมือของเธอ พวกเขาย้ายไปยังที่ๆมองเห็นชายแดนได้ เมื่อสังเกตเห็นสีหน้ากังวลของฮิโระ ลิซก็ยิ้มเพื่อปลอบใจเขา

 

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ที่นั่นเป็นดินแดนของลุงฉันเอง.”

 

ราวกับว่าเธอกำลังบอกตัวเอง เธอปีนขึ้นหน้าผาเสร็จก็มองเห็นชายแดนได้และทริสก็ไต่ไปถึงขอบ หลังจากนั้นไม่นาน สัญญาณก็ถูกส่งไปยังลิซ ความจริงที่เขาไม่ได้หันหลังกลับมาหรือเรียกเธอนั่นแสดงให้เห็นถึงความผิดปกติ

 

ลิซเข้าหาทริสด้วยสีหน้าสงสัย และมองลงไปที่พื้นจากขอบหน้าผา――.

 

“――!?”

 

ลิซรีบปิดปากในขณะที่เธอเกือบตะโกนออกมา ฉากที่แผ่กระจายตรงหน้าเธอไม่มีอะไรนอกจากความสิ้นหวัง ลิซไม่อยากเชื่อในสายตาตัวเอง จึงขยี้เปลือกตาครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงกระนั้นก็ยังเป็นภูมิทัศน์อันแสนโหดร้าย น้ำตาไหลอาบแก้มของลิซ

 

“เกิดบ้าอะไรขึ้นเนี่ย…”

 

ณ ทางเข้าดินแดนของมาร์เกรฟกรินด้า ทหารที่ไปสำรวจล่วงหน้าประมาณสิบนายกลายเป็นศพน่าสังเวช พวกเขาอาจจะถูกทรมานและพวกเขาต่างมีชิ้นส่วนที่ขาดหายไป

 

ข้างหลังพวกเขามีทหารผิวสีน้ำตาลสามพันนาย พวกเขาสวมชุดเกราะหนังที่มีผ้าสีน้ำตาลพันรอบศีรษะให้เห็นทั้งแขนและไหล่ เคียวที่มีหอกและโล่วงรีที่แทงลงบนพื้นห้อยลงมาจากสะโพกของพวกเขา

 

ลมพัดในถิ่นทุรกันดารทำให้ธงตราเสือที่อยู่บนพื้นหลังสีน้ำตาลโบกสะบัด

 

“นั่นมันธงของราชอาณาจักรลิชไทน์?”

 

ทริสใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความขมขื่นและเสริม “เหล่าหมาป่าที่หิวโหยในทะเลทราย ราชอาณาจักรลิชไทน์ ความเป็นจริงรัฐนั้นโหดร้ายและไร้ซึ่งมนุษย์ธรรม ประชาชนไม่มีทางเลือก มีเพียงสองทางเท่านั้น : เป็นทาสหรือถูกฆ่า นั่นคือเหตุผลที่ประเทศนั้นยังคงค้าทาสอยู่

 

“ไม่ต้องบอกก็รู้น่า แต่ทำไมทหารของลิชไทน์ถึงมาอยู่ที่นี่”

 

พวกเขาอยู่ภายใต้การปกครองของมหาจักรวรรดิแกรนท์หลายปีแล้ว และไม่เคยมีการปะทะกันเลยในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมา เหตุผลก็เพราะเรื่องทาส

 

มหาจักรวรรดิแกรนท์ได้ทำการเลิกทาส ดังนั้นพวกเราจึงไม่สามารถรับภาษีจากราชอาณาจักรลิชไทน์ได้ ลิชไทน์นั้นเป็นดินแดนค้าทาสขนาดใหญ่ แถมยังมีแนวรบกว้างขวาง มหาจักรวรรดิแกรนท์นั้นที่มีกำลังมากกว่าก็ไม่คิดว่าทางที่ราชอาณาจักรลิชไทน์จะเป็นฝ่ายเปิดศึกก่อน

 

“เนื่องจากพวกนั้นส่งกองกำลังมาที่นี่แน่นอนว่าพวกมันต้องการตัวเจ้าหญิงแน่ๆ”

 

ทริสประเมินศัตรู

 

“พวกมันรู้ได้ยังไงว่าเจ้าหญิงจะผ่านพื้นที่แห่งนี้ ตอนนี้พวกเรารีบกลับไปที่บัลม์กันเถอะครับ”

 

“ไม่ พวกเราไม่สามารถดึงมิโกะแห่งวิหารภูติมาเกี่ยวข้องได้.”

 

“ข้าไม่คิดว่าพวกมันจะบุกเข้ามาโจมตีประเทศเล็กๆอย่างบัลม์หรอก หากพวกมันทำเช่นนั้นมันจะโดนหลายๆอาณาจักรเล่นงานเอาได้.”

 

“นี่คือการบุกรุกดินแดนอันสูงส่ง ยิ่งไปกว่านั้นมันยังต่อต้านมหาจักรวรรดิแกรนท์ ฉันไม่คิดหรกนะว่าพวกมันลังเลที่จะทำลายวิหารราชันภูติ.”

 

“นั่น…”

 

ลิซอ้าปากค้างขณะที่ทริสยังพูดติดๆขัดๆ

 

“พวกเราต้องฝ่าไปและเข้าร่วมกับลุงของฉัน.”

 

“หากพวกเขาอยู่ที่นี่แสดงว่าป้อมปราการเบิร์กยังไม่ถูกทำลาย”

 

พวกมันจะต้องผ่านป้อมปราการเบิร์กและป้อมปราการอัลโต ตามลำดับ เมื่อพิจารณถึงข้อเท็จจริงที่ว่ากองกำลังศัตรูกำลังเข้าใกล้พื้นที่แห่งนี้แสดงว่ามันกำลังล่มสลาย

 

“พวกมันไม่สามารถอยู่ในดินแดนของมหาจักรวรรดิได้ตลอดหรอก เมื่อเวลาผ่านไปกองทัพจักรวรรดิที่สี่ต้องมาช่วยแน่.”

 

“ถ้าหากพวกเขาไม่มา หมู่บ้านโดยรอบพังทลายแน่ และถึงตอนนั้นมันจะบุกมาถึงบัลม์ด้วย.”

 

จินตนาการถึงอนาคตที่หมู่บ้านและเมืองถูกเผา และผู้คนที่ถูกปล้นและถูกฆ่า ลิซกำหมัดกระแทกลงกับพื้นจ้องมองทัพศัตรูที่อยู่เบื้องหน้าเธอ

 

“ฉันทนไม่ไหวหรอกนะที่คนบริสุทธิ์ต้องบาดเจ็บล้มตายเพราะฉัน”

 

“พวกเราจะเอาชนะพวกมันไม่ได้หากเจ้าหญิงเป็นอะไร――.”

 

“บทบาทของราชวงศ์มีหน้าที่ต้องต่อสู้เพื่อประชาชน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามไม่ใช่เหรอไง.”

 

“…เพราะแบบนั้นจะไม่ยอมแพ้เหรอครับ?”

 

“แน่นอน ฉันไม่ยอมหรอก ฉันเป็นถึงเจ้าหญิงลำดับที่หกของมหาจักรวรรดิแกรนท์.”

 

“…ถ้างั้นก็ช่วยไม่ได้ ข้าเองก็จะร่วมด้วย.”

 

“ฝากด้วยนะทริส.”

 

พวกเขาสองคนที่คุยกันเสร็จแล้วก็ลงมาซ่อนตัวหลังโขดหินลิซลุกขึ้นและปัดฝุ่นและเข้าหาฮิโระ

 

“พวกเราจะต่อสู้กับกองกำลังของราชอาณาจักรลิชไทน์ ฮิโระรีบกลับไปที่บัลม์เร็วเข้า”

 

“เออ๋?”

 

“ฮิโระจะเป็นภาระกับพวกเรา มันคงจะดีกว่าถ้านายหนีไป”

 

“ไม่ชั้นเองก็จะสู้ร่วมกับเธอด้วย”

 

ความมุ่งมั่นของฮิโระนั้นแน่วแน่ เขาไม่เคยทำสงครามมาก่อน ในความเป็นจริงขาของเขายังสั่นกลัวอยู่เลย

 

“ไม่ฉันให้นายทำแบบนั้นไม่ได้หรอก รีบหนีไปซะ”

 

ลิซทิ้งความรู้สึกส่วนตัวทั้งหมดไปและผลักเขา แต่ฮิโระยังดึงดัน

 

“เมื่อตอนเจอกับพวกโอเกอร์ชั้นก็――.”

 

เมื่อสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนของฮิโระ สีหน้าของลิซก็เปี่ยมไปด้วยความสุข แต่มันก็ถูกแทนที่ไปด้วยความสับสนและความมุ่งมั่น

 

“ฉันบอกตามตรงนะ เวลามีฮิโระอยู่ใกล้ตัวทีไรความคิดของฉันมันฟุ้งซ้านไปหมด ดังนั้นฉันไม่อยากให้นายมาทำให้ฉันต้องเสียสมาธิ.”

 

ได้ยินแบบนั้น ร่างของฮิโระก็สั่นเทาราวกับว่าโดนผูกโซ่ตรวนเอาไว้ ฮิโระกำหมัดแน่นและถอยหลัง มีหลายอย่างที่เขาอยากจะพูด แต่ตอนนี้จิตใจเขากลับว่างเปล่า ขณะที่สิ้นหวังเขาพยายามจะสรรหาคำพูด

 

ด้วยความรู้สึกหึงหวงต่อตัวฮิโระ ลิซจึงวางมือบนแก้มของเขา

 

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่เป็นไรจริงๆ ไว้เจอกันใหม่นะฮิโระ.”

 

ราวกับจะปลอบใจเขา ลิซพูดออกมาอย่างอ่อนโยน

 

“ขอบคุณที่เดินทางร่วมกับฉันน่ะ.”

 

ถ้าเธอพูดอีกต่อไปเธอคงอยากจะให้เขาอยู่เคียงข้างตลอดไป ลิซลูบแก้มของฮิโระราวกับเสียใจที่ต้องเสียเขาไปและ————-

 

“การเดินทางของเราจะจบลงที่นี่ เพราะงั้นมันสนุกมากเลยล่ะ”

 

เธอพูดเช่นนั้นราวกับกล่าวลาเป็นครั้งสุดท้าย

 

[LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก

[LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก

Score 10
Status: Completed
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกขนานนามกันว่า “วีรบุรุษแห่งสงคราม.” ณ ต่างโลกที่ซึ่งถูกเรียกว่า อเลเทีย ชายหนุ่มที่ช่วยอาณาจักรที่กำลังจะล่มสลายโดยประเทศข้างเคียง ได้ทำการเข้ากอบกู้และก่อตั้งจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ขึ้นมาและทิ้งมันเอาไว้ให้กับคนรุ่นหลังและกลับโลกที่เขาจากมา เหลือทิ้งไว้ความทรงจำ สามปีผ่านไป ชายหนุ่มผู้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกๆวันก็ถูกเรียกกลับไปต่างโลกอีกครั้ง ยังไงก็ตามแต่ สิ่งที่รอเขาอยู่คือ อเลเทียในอีก 1,000 ปีข้างหน้าเสียแล้ว ชายหนุ่มที่เคยรุ่งโรจน์ได้กลายเป็น “เทพนิยาย”ที่ถูกเล่ากันเป็นตำนานในฐานะ “คู่หูราชาวีรบุรุษทมิฬ”

Options

not work with dark mode
Reset