Chapter 3 เบิกเนตร
Part 1
“อืมเมื่อไหร่เขาจะตื่นกันนะ…”
ลิซมองไปที่เตียงด้วยความเป็นห่วงและเห็นว่าฮิโระกำลังนอนหลับอย่างเงียบๆ มากกว่านั้นเขายังไม่ได้ลุกขึ้นตื่นมาเลยสักครั้งตั้งแต่หมดสติ แพทย์เองก็ได้ตรวจอาการแล้วแต่ไม่ทราบสาเหตุ
“ก็พูดอะไรไม่ได้มากหรอกครับ แต่ข้าแน่ใจว่า เขาจะตื่นเร็วๆนี้.”
ทริสพูดเช่นนั้นขณะลูบเครา
“เจ้าหญิงเองก็ต้องไปพักผ่อนเหมือนกันนะครับ มันไม่มีประโยชน์เลยหากไอ้หนูนี่ตื่นขึ้นมาแล้วเจ้าหญิงล้มฟุบไป.”
“…นั่นสินะคะ.”
ลิซพยักหน้าเล็กน้อยและมองไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยดวงดาวอันไร้ที่สิ้นสุด ส่องสว่างลงบนพื้นดินให้เห็นเมืองด้านล่าง นี่เป็นเมืองเดียวในประเทศเล็กๆของบัลม์หรือที่รู้จักกันในชื่อ นาทัว
ในใจกลางเมืองซึ่งแผ่ขยายออกไป มีวิหารสีขาวที่เปล่งประกาย เจ้าหญิงลำดับที่หกและผู้ติดตามต่างอยู่ภายใต้การคุ้มครองของวิหารแห่งนี้ ซึ่งเรียกอีกอย่างว่า “วิหารราชันภูติ”
“ถ้าอย่างนั้นไว้เดี๋ยวฉันจะกลับมาเยี่ยมเขาอีกทีในตอนเช้า.”
ลิซตบแก้มของฮิโระที่ยังไม่ตื่นแล้วออกไปจากห้อง เมื่อประตูปิดลง ความเงียบก็แผ่กระจายไปทั่วห้อง
เสียงกรนดังออกมาจากปากของฮิโระที่หลับใหลอยู่บนเตียง ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวด
ตอนนี้เขากำลังฝันอยู่
มันเริ่มต้นอย่างกะทันหัน เขาถูกโยนไปในสนามรบที่เต็มไปด้วยซากศพ เท่าที่มองเห็นกองทัพของศัตรูมีจำนวนหนึ่งหมื่นนาย ซึ่งเป็นจำนวนซากศพอันชวนสะอิดสะเอียน เลือดนั้นย้อมพื้นที่แห่งนั้นจนเป็นสีแดงเข้ม แม้กระทั่งสรวงสวรรค์ยังสั่นสะท้าน
ท่ามกลางการต่อสู้ระยะประชิดมีชายคนหนึ่ง สวมเสื้อคลุมสีดำที่โบกสะบัดไปตามสายลม แขนของเขาขยับฟาดฟันดาบอยู่อย่างงั้น ดาบสีขาวเงินตัดผ่านอากาศที่เพียงแค่สะบัดมันเบาๆก็ทำให้พื้นที่โดยรอบสั่นไหว
ด้วยการเคลื่อนไหวอันรุนแรง ศีรษะของทหารห้านายก็หลุดออกจากบ่า ชายหนุ่มคนนั้นหันเป้าไปเล็งทางอื่นและพุ่งเข้าไปท่ามกลางสนามรบ
――เป้าหมายของเขาคือหัวของนายพล
นั่นเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการยุติสงครามบ้าเลือด และเป็นวิธีที่การันตีชัยชนะอย่างแน่นอน แต่ไม่มีทางที่ฝ่ายตรงข้ามจะยอมให้ผ่านไปได้โดยง่าย สิ่งที่ขวางทางคือเหล่าทหารชั้นสูงที่ได้รับการฝึกเป็นอย่างดี
แนวหน้าที่เต็มไปด้วยกำแพงอันไร้ที่สิ้นสุดไม่มีช่องว่างให้แทรกตัว และถ้าเป็นเพียงคนธรรมดาศีรษะของนายพลนั้นก็อยู่ไกลเกินจะเอื้อมถึง แต่ว่าชายหนุ่มคนนั้นก็วิ่งผ่านช่องว่างเล็กๆที่เกิดขึ้นกับทหารเหล่านั้น
เส้นทางทุกสายล้วนมีจุดสิ้นสุด มันก็แค่ขึ้นอยู่ว่าถนนหนทางนั้นยาวไกลเพียงใด ลองนึกภาพของนายพลฝั่งศัตรูดูสิว่าจะทำอย่างไรกับชายหนุ่มคนเดียวที่ล้มกองทัพนับหมื่น
“บ้าน่า! บุกทะลวงเข้ามาได้ยังไง?”
“…..”
นายพลฝั่งศัตรูอ้าปากค้างมองไปที่หน้าของชายหนุ่มที่โชกไปด้วยเลือด ดวงตาสีดำสนิทสบตากับนายพลราวกับจะกลืนกิน
“…ดวงตาสีออบซิเดียน ข้าเคยได้ยินเรื่องราวนั้นมาก่อน”
นายพลฝั่งศัตรูพูดด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว
หนึ่งในทหารผู้มากความสามารถเป็นหน่วยบุกทะลวงซึ่งฟันฝ่าได้ทุกสถานการณ์เพียงแค่มองก็สามารถกุมชัยชนะมาอยู่ในมือได้ ชายหนุ่มผู้เข้าใจสรวงสวรรค์และโลกอย่างท่องแท้
มันคือของขวัญที่ได้รับมาจากราชันภูติ
“ตอนแรกข้าก็คิดว่ามันเป็นแค่เรื่องไร้สาระ แต่นั่นมันเนตรภูติสวรรค์จริงๆงั้นเหรอ?”
นายพลศัตรูก้าวไปข้างหน้าโดยในมือมีขวานขนาดใหญ่อยู่
“ข้าจะฆ่าเจ้าที่นี่และนำดวงตาของเจ้ามาเป็นของข้า.”
ขณะที่นายพลฝั่งศัตรูยกมือขึ้นพลทหารหลายพันนายก็ล้อมชายหนุ่มคนนั้น
“มันน่าทึ่งมากที่เจ้าสามารถบุกทะลวงเข้ามาได้ด้วยตัวคนเดียว แต่ก็พูดได้อีกอย่างว่าเจ้าเองก็เป็นเพียงแค่คนโง่เขลาที่ฝ่าดงศัตรูเข้ามา.”
เนื่องจากศัตรูมีคนเดียว จึงทำให้เกิดความประมาทเลินเล่อ
“เจ้าจะต้องทุกข์ทรมานและตายอย่างน่าอดสู่――!?”
ศีรษะของนายพลกลิ้งลงมากลับพื้นก่อนที่จะได้พูดจบ เหล่าทหารที่ยืนรอบๆต่างตกตะลึง ไม่มีใครเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ชายหนุ่มชุดดำเริ่มออกวิ่งและร่ายรำ
กว่าจะรู้สึกตัวทหารฝั่งศัตรูที่โดนชายหนุ่มคนนั้นวิ่งผ่านก็ถูกตัดหัวไปทีละนาย
เมื่อเขาสะบัดดาบสีขาวเงินส่องประกายเข้าศีรษะฝั่งศัตรู ศัตรูก็ค่อยๆล้มหายตายจากไปทีละคน
แรงสั่นสะเทือนแผ่กระจายไปทั่วพื้นที่ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา เห็นได้ชัดว่านี่มันไม่ใช่การเคลื่อนไหวของมนุษย์ เรียกได้ว่าสัตว์ประหลาดก็ว่าได้
“เร็วชิบ!”
คมดาบสีขาวเงินโบกสะบัดไปทั่วทั้งพื้นดินทำให้เกราะของศัตรูแตกสลาย ศัตรูถูกฟันเป็นสองส่วน ศพของทหารฝั่งศัตรูเริ่มกองเป็นพะเนินและกลายเป็นบ่อโลหิตที่ย้อมไปทั่วทั้งพื้นที่
“หะ――!?”
โดยไม่ทันจะได้พูดกองศพจำนวนมากก็ถูกก่อขึ้นในทันใด
เมื่อเสียนายพลไปแล้วกองทัพจึงแตกสลายโดยสิ้นเชิง กองทัพฝ่ายศัตรูที่สูญเสียผู้นำถูกชายหนุ่มคนนั้นบดขยี้เหมือนหนอนแมลง เสียงกรีดร้องของเหล่าผองเพื่อนที่ถูกสังหารและเสียงหนีตายจากเพื่อนร่วมรบดังก้องไปทั่วพื้นที่
ชายหนุ่มคนนั้นไม่ยอมให้ศัตรูแม้แต่คนเดียวหลุดรอดไปได้
“เทพแห่งสงคราม!”
มีคนกล่าวเช่นนั้นเหล่าทหารฝั่งพันธมิตรก็กล่าวดังพร้อมกันกลายเป็นเสียงเชียร์
“เทพแห่งสงคราม ! เทพแห่งสงคราม ! เทพแห่งสงคราม!!”
ทหารหลายพันคนต่างกรีดร้องเพราะถูกศัตรูเพียงหนึ่งคนไล่สังหารอยู่ฝ่ายเดียว ราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกับภาพหลอนและทุกครั้งที่ชายหนุ่มย่างก้าวก็จะมีหัวของทหารฝ่ายศัตรูหลุดจากบ่า
นั่นคือสิ่งที่ผู้คนกล่าวขานว่าคือหนทางแห่งราชัน ทหารฝ่ายพันธมิตรต่างเผชิญหน้ากัน โดยมีชายหนุ่มคนนั้นเป็นจุดศูนย์กลาง
“เทพแห่งสงคราม ! เทพแห่งสงคราม ! เทพแห่งสงคราม!!”
จากนั้นก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏตัวต่อหน้าเขาคนนั้น ยกมือข้างหนึ่งขึ้นไปในอากาศ ความเงียบสงบเกิดขึ้นทั้งพื้นที่
เขาก้าวไปข้างหน้าและเข้าใกล้ชายหนุ่มคนนั้น แต่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ
“ไม่น่าเชื่อเลยที่นักวางแผนกลยุทธ์ของข้าจะมุ่งไปที่แนวหน้าแบบนี้…”
“มันช่วยไม่ได้นี่น่า ถ้าเราโดนตีวงล้อมพวกเราก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบกันพอดี เพราะงั้นเลยต้องบุกไปทางทิศตะวันตกแต่เริ่มไง?”
ขณะที่ชายหนุ่มคนนั้นพยายามจะปฏิเสธก็โดนเขกหัวเข้าให้ ชายหนุ่มอีกคนก็ยิ้มออกมา
“ถ้างั้นก็บอกข้าก่อนสิข้าเองจะได้ไปแจมด้วยเจ้าเล่นทำผลงานคนเดียวมันไม่แฟร์เลยนี่”
“ถ้าทำแบบนั้นแล้วใครจะบัญชาการอยู่ที่ฐานฟะ แกน่ะมีหน้าที่อยู่ในค่ายหลักและนอนพักไปเฉยๆก็พอ”
“แบบนั้นข้าก็เบื่อตายชัก ช่างมันเถอะ พูดไปก็เปล่าประโยชน์อะไรที่เกิดไปแล้วก็ช่างมัน”.
ชายหนุ่มคนนั้นตบไหล่เขาคนนั้น
“ชวาร์ตช ทำได้ดีมาก ข้าดีใจที่เจ้ากลับมาได้อย่างปลอดภัย ข้านี่นึกว่าอายุขัยจะลดไปร้อยปีเพราะได้ยินว่าเจ้าบุกเข้าไปในสนามรบด้วยตัวคนเดียว แม้ว่าจะได้ยินว่าเจ้าเด็ดหัวนายพลฝั่งศัตรูจะทำให้อายุไขข้าเพิ่มร้อยปีก็เถอะ.”
“พูดเวอร์เกินไปแล้วน่าอัลทิอุส อ่า ชั้นเอาหัวนายพลศัตรูกลับมาด้วย แล้วจะทำยังไงกับมันดีล่ะ?”
ชวาร์ตชใช้นิ้วหัวแม่มือชี้ไปทางด้านหลังเขา และทหารราบคนหนึ่งที่ยืนอยู่ที่นั่นพร้อมกับกล่องสีขาว
“ใครว้าแต่ก่อนที่แค่เห็นหัวหลุดจากบ่าก็อ้วกแทบเป็นแทบตาย แต่ตอนนี้กลับนำหัวศัตรูกลับมาอย่างสบายใจเฉิ่ม ความคุ้นเคยนี่มันน่ากลัวจริงๆ.”
“ฮะฮ่ะ ถ้าให้พูดตามตรงชั้นเองก็ยังไม่ชินหรอกน่า การฆ่าคนเนี่ย การทำให้อีกฝ่ายต้องหมดอายุไข….แต่ว่าถ้ามัวมากังวลเรื่องแบบนั้น พวกเราก็จะเป็นฝ่ายถูกฆ่าแทน.”
“นั่นสินะ.”
อัลทิอุสพยักหน้าพอใจกับคำตอบของชวาร์ตชและพูดกับทหารที่ถือกล่องสีขาว
“ไม่ต้องทำการพิสูจน์ใดๆ ส่งกลับบ้านเกิดฝั่งศัตรูด้วยความเคารพ แม้พวกเขาจะเป็นศัตรู แต่ถ้าเราเสียมารยาทต่อคนตาย พวกเราก็ไม่ต่างจากสัตว์ร้ายหรอก”
“ฮ่ะ!”
หลังจากละสายตาทหารที่โค้งคำนับอัลทิอุสก็โอนกอดคอชวาร์ตช
“ถ้างั้นรีบไปรายงานชัยชนะของพวกเราให้กับเหล่าพี่น้องของเราและราชันภูติ แล้วมาดื่มฉลองแด่ชัยชนะกันเถอะ.”
“เห้ย เห้ย ก็บอกไปแล้วไงชั้นยังไม่บรรลุนิติภาวะ ดื่มไม่ได้หรอก”
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวคั้นน้ำองุ่นแทนให้เพื่อนยาก!”
“ทีเรื่องแบบนี้ล่ะพร้อมเพรียงเชียวนะสหาย?”
เขายิ้มอย่างขมขื่น ซึ่งมันเป็นเหมือนเดิมเสมอมา
(อ่านี่มันความฝัน และตัวชั้นไม่ควรอยู่ที่นี่)
ความฝันที่ชวนให้นึกถึงความทรงจำอันห่างไกลและชวนให้นึกถึงอดีต ตอนนั้นเป็นช่วงที่เราทั้งสองได้รู้จักกัน แต่ในปัจจุบันคงหาเขาไม่พบอีกแล้ว มันเป็นความทรงจำสมัยรุ่งโรจน์ที่ไม่มีวันจางหาย แต่สักวันฝันนั่นก็ต้องจบลง—————
“นี่ฮิโระยังไม่ตื่นอีกเหรอ?”
เมื่อได้ยินเสียงเหมือนกับกำลังจะร้องไห้ ก็รีบลืมตาตื่นขึ้น สาวสวยผมสีแดงเพลิงอยู่ตรงหน้าเขา
“…ลิซ?”
ฮิโระกล่าวเช่นนั้นเบาๆและยกร่างส่วนบนขึ้น ลิซเบิกตาด้วยความยินดีและกอดเขา
“ขอบคุณพระเจ้า ! ฉันคิดว่านายจะไม่ตื่นอีกแล้วซะอีก ! ฉันดีใจมากเลยนะ!”
ฮิโระที่ได้ยินเธอพูดแบบนั้นก็รู้สึกผิดเล็กน้อย ที่นี่คือห้องที่ดูเหมือนจะไม่ได้ใช้งานมาเป็นเวลานาน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันรกหรือสกปรกอะไร โต๊ะทำงานใกล้หน้าต่างเป็นระเบียบเรียบร้อยดี และเมื่อมองไปยังพื้นที่รอบๆห้องก็ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
มีธงสองธงแขวนอยู่ใกล้หน้าต่าง หนึ่งเป็นธงที่มีตราชั่งบนพื้นหลังสีขาว อีกธงหนึ่งเป็นมังกรถือดาบสีเงินไว้บนพื้นหลังสีดำ
ฮิโระนอนหลับอยู่ตรงเตียงข้างกำแพงใกล้ทางเข้า ก่อนที่ฮืโระจะถามว่าอยู่ที่ไหนลิซก็พูดขึ้น
“ยังรู้สึกปวดตรงไหนรึเปล่าฮิโระ?”
“อืม ไม่ได้รู้สึกเจ็บหรือปวดตรงไหนแล้วล่ะ แต่ว่าที่นี่ที่ไหน?”
“อืม หลังจากที่ฮิโระหมดสติ พวกเราก็รีบลงจากภูเขาทันที…”
ลิซและคนอื่นๆแวะที่หมู่บ้านเพื่อดูอาการของฮิโระ อย่างไรก็ตามก่อนที่จะได้แวะหมู่บ้านก็ดันเจอประเทศบัลม์ซะก่อน――.
“ถ้าเป็นที่นี่คงจะไม่สบายใจสินะ ถ้าต้องการทำไมเราไม่ไปพักที่วิหารราชันภูติล่ะ แถมมิโกะแห่งวิหารเองก็ต้องการพบนายด้วย.”
ไม่มีราชาปกครองในประเทศเล็กๆของบัลม์ แต่มีตัวแทนที่เรียกได้ว่ามิโกะแห่งวิหารราชันภูติ
“ได้โปรดฟังคำขอของเราหน่อยได้ไหม?”
หลังจากได้รับแจ้งจากผู้บัญชาการอัศวิน ลิซก็ตกลงจะทำแบบนั้นโดยคำนึงถึงคนบาดเจ็บ
เพราะฉะนั้นเอง――.
“รีบไปทานข้าวเช้ากันเถอะคงจะหิวมากแน่ๆเลยใช่ไหม”
หลังจากอธิบายเสร็จแล้ว ลิซก็ดึงแขนของฮิโระ ฮิโระยิ้มอย่างขมขื่นก่อนพยักหน้า
“อืม ไปกินกันเถอะ――!”
เมื่อเขาลุกขึ้นยืน ตัวเขาก็ส่ายไปมา และลิซก็ประคองร่างเขา
“ไม่เป็นไรนะ?”
“อืม ไม่เป็นไรหรอก ดูเหมือนว่าชั้นจะพึ่งตื่นก็เลยยังทรงตัวไม่ได้.”
“บอกฉันได้นะถ้ามันลำบาก แล้วก็ต้องไปพบแพทย์ให้ตรงเวลาด้วยเข้าใจไหม?”
หลังจากกล่าวเช่นนั้น ลิซก็เปิดประตูห้อง
“ฮิย๊าาาาาาาาาาห์!?”
“อุหวาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!?”
ทั้งสองถอยหลังด้วยความตกใจ เหตุผลก็คือมีผู้หญิงคนหนึ่งมาก้มกราบต่อหน้าพวกเขา
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ไม่ทราบว่าหลับฝันดีไหมคะ?”
ผิวเรียบเนียนของเธอซึ่งชุ่มชื้นและเปล่งประกายไปด้วยแสงแดดและกลิ่นของสีสันที่ชวนให้ใจเต้นดึงเสน่ห์อันแสนงดงามของเธอออกมาอย่างเต็มที่ ความงามของเธอแทบจะดึงดูดหัวใจชายหนุ่มได้เลยทีเดียว
เธอสวมชุดกิโมโนสีขาวและฮากามะสีดำ
“ดิฉันเป็นมิโกะแห่งวิหารราชันภูติค่ะ ดิฉันเป็นตัวแทนของประเทศบัลม์แห่งนี้”
เมื่อเธอก้มศีรษะ ผมสีฟ้าของเธอก็ไหลลงสู่พื้น เผยให้เห็นหูที่ยาวผิดปกติซึ่งต่างจากมนุษย์
ฮิโระจ้องมองอย่างใกล้ชิด
“เอ่อสนใจหูของฉันเหรอคะ?”
“เอ่อมันเป็นรูปลักษณ์ที่ไม่ค่อยได้เห็นเท่าไรน่ะ”
“ฟุฟุ นั่นสินะคะ มันคงเป็นภาพที่หาได้ยากสำหรับเผ่ามนุษย์.”
เธอแตะหูของเธอขณะที่หัวเราะไปด้วย ลิซซึ่งยืนอยู่ข้างๆก็เอาศอกกระแทกเขา ขณะที่ฮิโระหันไปหาลิซเธอก็กระซิบข้างหูเขา
“เธอเป็นเผ่าหูยาว ลักษณะเด่นของพวกเธอคือมีชีวิตยืนยาว แต่สิ่งที่น่าอิจฉาที่สุดในบรรดาเผ่าหูยาวทุกคนล้วนมีหน้าตาดีทุกคนเลย~.”
“นั่นสินะถูกของเธอ แม้ว่าเธอจะมีใบหน้าที่งดงามแต่…”
เธอเองก็ไม่แพ้เขาหรอก ไม่มีทางที่ฮิโระจะกล้าพูดแบบนั้นออกไป
มิโกะกำลังมองมาทางเราขณะเฝ้ามองพวกเราพูดคุยกัน
“นอกจากนี้เธอยังฉลาดมากอีกด้วย แถมยังมีคนๆหนึ่งได้เป็นเลขาของพี่ชายฉันด้วย แถมยัง――.”
“เจ้าหญิง ! มาทำอะไรที่นี่กันครับเนี่ย————หนอยไอ้เด็กเวรเผลอไม่ได้เอาอีกแล้วเรอะ”
“เอ่อ ชั้นยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ!”
มนุษย์หมีปรากฏตัวทริสนั่นเอง แต่ก่อนที่เขาจะได้ระเบิดอารมณ์ก็ต้องหยุดเพราะมิโกะแห่งวิหารภูติอยู่ตรงนั้น
“ท่านทริสกรุณารักษาความสงบในวิหารราชันภูติด้วยค่ะ.”
“อึกขอโทษครับ.”
ทริสคุกเข่าลงและโค้งคำนับเธอ
“ขอบคุณที่เข้าใจกันนะคะ”
มิโกะหันหน้าไปหาทั้งสองอีกครั้งก่อนจะเดินไปข้างหน้า
“เชิญทางนี้ค่ะ อาหารเช้าได้ถูกเตรียมไว้แล้ว บางทีพวกเราอาจจะได้พูดคุยตามอัธยาศัยที่นั่น.”
“โอ้นั่นสินะ ขอบคุณมากค่ะ.”
“อืมชั้นหิวจะแย่แล้ว ขอบคุณมากนะ!”
พวกเขาทั้งสองเดินตามมิโกะไปขณะที่เธอนำทาง
“ไม่เพียงแค่หนึ่งแต่เล่นถึงสอง ไอ้เวรนี่ จำไว้ก่อนเถอะ.”
ฮิโระได้ยินเสียงของทริสกรนด่าทางด้านหลัง แต่เขาก็เมินเฉยและรีบก้าวเท้าอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกได้ถึงเจตนาฆ่าอันชัดเจน จึงรีบถามมิโกะสาวเพื่อเบี่ยงประเด็น
“พวกเรากำลังมุ่งหน้าไปที่ไหนเหรอครับ?”
“เป็นห้องรับประทานอาหารทางทิศใต้ ได้โปรดเดินตามดิฉันด้วยนะคะจะได้ไม่หลงทาง.”
การตกแต่งภายในวิหารราชันภูติแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ตรงกลางคือห้องล้างบาปที่ไว้บูชาราชันวิญญาณ ซึ่งเป็นสถานที่ทารกแรกเกิดและผู้มาเยือนวิหารราชันภูติจะเข้าไปเยี่ยมชม
ส่วนตะวันออกเป็นที่ที่มิโกะฝึกหัดกำลังฝึกซ้อม และไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าไป ส่วนด้านตะวันตกเป็นที่อยู่อาศัยของมิโกะฝึกหัด ซึ่งเป็นสถานที่ๆฮิโระและลิซพักผ่อนอยู่ และส่วนทางทิศใต้เป็นสถานที่พักผ่อนที่ทริสและทหารคนอื่นค้างคืน
ระหว่างทางไปยังห้องอาหาร มิโกะหยุดและหันมามอง
“เท่าที่ดิฉันจำได้ท่านฮิโระยังไม่ได้เข้าพิธีล้างบาปสินะคะ?”
“ล้างบาป?”
“หืม?ฮิโระไม่รู้จักงั้นเหรอ?”
เขาไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพิธีล้างบาปเลยหลังจากมาที่โลกนี้
“อืม ชั้นจำไม่ได้ว่าเคยได้รับพิธีล้างบาป…”
“ถ้างั้น ท่านฮิโระจะมากับดิฉันที่ห้องล้างบาปได้ไหมคะ?”
“ช่วยไม่ได้นะฮิโระ ต้องทำให้แน่ใจนะว่าราชันภูติชอบนาย.”
“หืม ข้าหวังว่าให้ไอ้เด็กนี่มันถูกสาป.”
จากนั้นมิโกะก็หันไปหาลิซ
“ท่านเซเลีย เอสทรีย่า เชิญท่านไปรับประทานอาหารเช้าก่อนได้เลยค่ะ รู้ทางไปห้องอาหารไหมคะ?”
“ไม่ต้องห่วง ฉันเคยมาที่นี่สองสามครั้งแล้ว ดังนั้นฉันไม่หลงหรอก”
“ถ้างั้นดิฉันจะพาท่านฮิโระไปที่ห้องล้างบาปนะคะt?”
“อืม ฮิโระ ไม่มีอะไรต้องกลัวนะ ดังนั้นรีบไปได้แล้ว ไปทำพิธีล้างบาปให้เสร็จสิ้นเถอะ.”
ลิซหายตัวไปทางด้านหลังเดินโดยมีทริสอยู่ด้วย มิโกที่มองดูก็คว้ามือจากฮิโระ
“ถ้างั้นเชิญทางนี้ค่ะ ดิฉันขออนุญาติจับมือท่านเพื่อไม่ให้หลงทางนะคะ”
“งั้นเหรอ?”
เมื่อเธอกล่าวเช่นนั้นก็แสดงรอยยิ้มอันเป็นเสน่ห์ของผู้ใหญ่ทำให้ฮิโระหัวใจเต้นรัวถึงขีดสุด หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินไปกันเงียบๆไปตามทางเดินล้อมรอบด้วยกำแพงสีขาวชั่วขณะหนึ่ง
หันจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งมุ่งหน้าไปตามทางเดินที่มากเกินไปจนไม่รู้ว่าทางกลับอยู่ทางไหน ข้างหน้าค่อยๆมืดลงเรื่อยๆและสถานที่ๆฮิโระถูกนำพามาก็คือ
“ที่นี่แหละค่ะ นี่คือห้องล้างบาป.”
“…นี่เหรอ.” ฮิโระตกใจเล็กน้อยที่อยู่ๆมิโกะก็ปล่อยมือเขาและหายตัวไป.
ฮิโระไม่ทันได้รู้ตัว เขารู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล จากนั้นทางเดินก็ถูกตัดออกด้วยเสียงกระทบกระทั่งราวกับถูกตัดผ่านด้วยคมดาบและป่าก็ทอดยาวออกไป
เท้าของฮิโระที่กำลังจะก้าวไปข้างหน้า อากาศเย็นยะเยือกไหลผ่านฝ่าเท้าและความรู้สึกหนาวเย็นลูบไล้ไปทั่วร่าง เสียงของนกร้องที่ดังก้องกังวาลไปในอากาศ
ขระที่เขาเดินผ่านป่าเขาพบว่าตัวเองอยู่ในพื้นที่เปิดโล่ง มีบ่อน้ำพุอยู่ตรงหน้าเขา เป็นบ่อน้ำพุที่ส่องแสงและล้อมรอบไปด้วยเสา อีกฝั่งมีรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่สองรูป ทรงกลมสีขาวลอยอยู่ระหว่างเขาเปล่งประกายอันศักดิ์สิทธิ์
ขณะที่เขานั่งลงและเอื้อมมือไปสัมผัสน้ำ ก็มีเสียงกรอบแกรบในหน้าด้านหลังเขา จากนั้นก็พุ่งเข้ามาหาเขา
“ขอบคุณที่รอค่ะ ตอนนี้ดิฉันจะเริ่มพิธีล้างบาปแล้วนะคะ.”
มิโกะยืนอยู่ตรงนั้น แต่วตัวบางจนเห็นผิวขาวเนียนราวหิมะของเธอ หน้าอกที่มองเห็นได้จางๆใต้ร่มผ้า ละด้านล่างทรวงอกของเธอมีเอวที่ค่อนข้างได้รูป หากมองลงไปอีกจะเห็นขาอ่อนและร่มเงาระหว่างขา
เรือนร่างอันงดงาม ขาวอวบอิ่มและแพรวพราวปรากฏต่อหน้าฮิโระ ทุกอย่างแทบจะมองทะลุได้ มันเกือบจะเหมือนเธอเปลื้องผ้าทั้งตัวเลย
“เป็นอะไรไปเหรอคะ?”
“อืมแล้วพิธีล้างบาปมันทำยังไงล่ะ?”
“มันคือการได้รับพรจากราชันภูติ.”
“ชั้นทำคนเดียวไม่ได้เหรอ?”
“นี่เป็นกรณีพิเศษค่ะ.”
“พิเศษยังไง?”
เขาพยายามก้มหน้าไม่มองเธอ แต่เขาก็ได้ยินเสียงเดินเข้ามาใกล้ เขาบอกได้เลยว่าเธอกำลังเข้ามาใกล้เขาเรื่อยๆ
“ดิฉันไม่สามารถบอกได้แต่ดิฉันสามารถให้คำใบ้ได้ค่ะ.”
จากนั้นก็พบว่ามิโกะกำลังก้มลงเพราะเขาเห็นขาอ่อนของเธอ จากนั้นเธอก็เอามือลูบไล้ไหล่ของเขาและลูบไปที่แก้มของเขา
เขาถูกกระตุ้นให้เงยหน้าขึ้นและเขาไม่สามารถต้านทานมันได้ เขาและมิโกะต่างสบตากันในระยะที่ว่าจมูกแทบสัมผัสกัน
“…หัวใจของดิฉันรู้สึกยินดีอย่างหาที่เปรียบมิได้เลยค่ะที่ท่านกลับมาได้อย่างปลอดภัยเช่นนี้.”
น้ำตาหยดหนึ่งไหลอาบแก้มของเธอจากดวงตาสีฟ้าของเธอสัมผัสและลูบไล้ริมฝีปากที่เปียกชื้นของเธอ