[LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก 7 Chapter 2 เหลียวมอง [ Complete Chapter]

ตอนที่ 7 Chapter 2 เหลียวมอง [ Complete Chapter]

Chapter 2 – เหลียวมอง

 

ไม่มีอะไรนานกว่าเวลาที่คุณตื่น และไม่มีอะไรที่น้อยไปกว่าเวลาที่คุณนอน มีเด็กชายคนหนึ่งกำลังนอนหลับโดยห่มผ้าห่มคลุมทั้งตัว

 

――ไม่ใช่ใครอื่น ฮิโระนั่นเอง

 

“เซอร์เบอรัส เขาดูหลับสนิทไปเลยนะ?”

 

“วูลฟ์”

 

“ก็รู้สึกผิดอยู่หรอกที่ต้องทำแบบนี้ แต่ว่าถึงเวลาตื่นแล้ว”

 

“วูลฟฟฟฟฟ์!”

 

แม้ว่าเปลือกตาจะหนักอึ้ง แต่จิตสำนึกของฮิโระก็ถูกปลุกจากภวังค์เพราะบทสนทนาของเธอ แต่เขาก็ยอมจำนนต่อความอบอุ่นให้กับผ้าห่มและไม่อยากจะลุกขึ้น

 

ตอนนั้นเอง――.

 

“อะเฮือก!”

 

ดวงตาของฮิโระเบิกกว้างด้วยความตกใจและแรงสั่นสะเทือนไปทั่วร่าง

 

“นั่นไม่ใช่ปฏิกิริยาที่ฉันคาดหวังไว้เลยนะ.”

 

ท้องของเขารู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง แต่ร่างกายของเขาขยับไม่ได้แม้ว่าพยายามกลิ้งไปกลิ้งมาก็ตาม

 

“ฟุฟุ ฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่า.”

 

เสียงหัวเราะดังลงมาเหนือท้องของเขา

 

“ฮิโระทำไมถึงทำหน้าแบบนั้นกันล่ะ? นี่อยากให้ฉันขำจนท้องแข็งตายแต่เช้าเลยเหรอ?”

 

ฮิโระเงยหน้าขึ้นขณะน้ำตาคลอเบ้าเห็นลิซยืนกุมท้องอยู่

 

“ชั้นต่างหากที่ต้องพูด ทำบ้าอะไรเนี่ย?”

 

เธอกระทืบเท้าลงที่ท้องของฮิโระ และสิ่งที่เขาได้รับก็คือความเจ็บปวดอันรุนแรงที่แล่นผ่านท้องของเขา เมื่อเขาถามว่าทำไมเธอถึงทำแบบนี้

 

“ก็เพราะว่าจะปลุกนายไง!”

 

“ไม่ แต่ว่าการจะปลุกคนอื่นมันน่าจะมีวิธีที่นุ่มนวลกว่านี้―.”

 

ฮิโระไม่ทันได้พูดจนจบประโยค นั่นก็เพราะมีปีศาจยืนอยู่ทางเข้าเต็นท์

 

“…ไอ้เด็กเวรแกทำอะไรหะ…”

 

ตาแก่กล้ามโตที่แข็งแรงเหมือนกับหมี ทริส

 

“ไม่ใช่อย่างที่คิดนะครับ!”

 

ขึ้นอยู่กับว่าใครกำลังดูสถานการณ์ แต่พวกเราไม่ได้มีอะไรเกินเลยกันจริงๆ ลิซมองไปที่ฮิโระด้วยแววตาเย็นชา

 

“หืม หมายความว่าไงเหรอจ๊ะ?”

 

“เดี๋ยวมันจะไปกันใหญ่ เธอช่วยหยุดพูดก่อนได้ไหม?”

 

นี่เป็นเส้นแบ่งระหว่างความเป็นความตายของชั้น ทริสเข้ามาใกล้ด้วยฝีเท้าที่ดังกึกก้อง

 

“ข้าล่ะไม่คิดเลยว่าจะมีสัตว์ร้ายซ่อนอยู่ในคราบใบหน้านั่น เจ้าหญิงได้โปรดถอยห่างจากไอ้หมอนี่ ข้าจะฆ่ามันไม่ให้เหลือซากเลย.”

 

คมดาบที่ถูกชักออกมาจากเอวของทริสเรืองแสงสลัว และลิซที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าได้แต่สงสัย

 

“ฉันไม่เข้าใจเท่าไร แต่ว่าเราพร้อมออกเดินทางแล้วสินะ?”

 

“…ครับพวกเราพร้อมแล้วแต่ว่า…”

 

“ถ้างั้นเราจะรีบออกไปทันทีที่ทานอาหารเช้าเสร็จ.”

 

ความกดดันหายไป

 

“ฮิโระพวกเรามีอาหารเช้าเป็นซุปและขนมปังเป็นอาหารเช้ากินได้ไหม?”

 

“อ่าได้สิไม่มีปัญหาหรอกแต่…”

 

“ถ้างั้นก็ไปกินกันเถอะ แล้วพวกเราจะได้ข้ามภูเขาไปยังประเทศเล็กๆบัลม์! ทริสเองก็อย่ามัวแต่ยืนเอ้อระเหยรีบไปทานข้าวเช้าได้แล้ว!”

 

“แต่ว่า อึก――ไอ้หนู ข้าจะปล่อยเอ็งไปก่อนเห็นแก่เจ้าหญิงนะ…”

 

เมื่อคิดว่ารอดไปทีกับสถานการณ์ตอนนี้ ทริสก็ลดดาบลงและเดินออกจากเต็นท์ หลังจากตบหน้าตัวเองด้วยความโล่งอก ฮิโระก็คว้าอาหารเช้าที่ลิซนำมาให้เขา ขณะเคี้ยวขนมปังแข็งเล็กน้อย เขาก็ดื่มซุปที่มีเนื้อไก่เข้าไปด้วย

 

เซอร์เบอรัสที่นั่งอยู่ข้างหน้าดูหิวโหย และเมื่อเขากำลังจะหันไปทางอื่นก็พบว่าลิซกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่

 

“หืมมมม?กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้—————พรวดดดดดดดดดด!”

 

อาหารเช้าที่เขาคายออกมากระเด็นไปเลอะหน้าเซอร์เบอรัส ไม่มีเวลามาขอโทษ ฮิโระจึงขึ้นเสียงใส่ลิซทันที

 

“แค่ก แค่ก ทะทะทำบ้าอะไรเนี่ยลิซ?”

 

“ถามแปลกๆว่าทำอะไร ก็เห็นๆกันอยู่เปลี่ยนเสื้อไง?”

 

“ละละละทำไมต้องเปลี่ยนด้วยเล่า?”

 

“ก็เอิ่ม แบบว่าฉันยังไม่ได้อาบน้ำเลยใช่ไหมล่ะ ดังนั้นอย่างน้อยชั้นก็ควรเปลี่ยนชุดชั้นในหน่อย?”

 

“เอ่อที่เธอพูดก็ถูกอยู่หรอกแต่มีชั้นนั่งหัวโด่ตรงนี้ทั้งคนนะ”

 

“แล้วมันมีปัญหาตรงไหนล่ะ?”

 

ลิซมองไปที่ฮิโระด้วยความอยากรู้อยากเห็น สำหรับเรื่องเมื่อคืนนี่เธอไม่รู้เหรอว่าพวกผู้ชายนั้นเป็นสัตว์ป่ามากแค่ไหน เธอไม่มีความรู้สึกอายอะไรทำนองนั้นเลยเหรอ ฮิโระอยากจะถามคนที่เลี้ยงดูเธอให้โตมาแบบนี้

 

“เธอก็รู้นี่…ว่าชั้นเป็นผู้ชาย――.”

 

“ไว้ค่อยคุยกันที่หลังได้ไหมฉันขอแต่งตัวก่อนนะ?”

 

ลิซวางมือบนเสื้อแจ็กเก็ตของเธอและฮิโระก็รีบหยุดเธอทันที

 

“ดะดะดะเดี๋ยวมาคุยกันให้เสร็จก่อนสิ!”

 

“แล้วทำไมต้องรีบขนาดนั้นเล่า ห๊ะ?”

 

“เดี๋ยวขอชั้นหันหลังกลับก่อนพอชั้นหันหลังกลับค่อยเปลี่ยนนะโอเค๊?”

 

“ก็ไม่มีปัญหาหรอกแต่ว่าทำไมล่ะ?”

 

“เปล่าไม่มีอะไร ชั้นไม่ได้คิดอะไรเลย ถ้างั้นชั้นหันหลังแล้วนะ โอเค?”

 

“ก็ไม่รู้ว่าอะไรหรอกนะ แต่ช่างมันเถอะ.”

 

เมื่อฮิโระหันหลังไป ก็มีเสียงของเธอที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ทางด้านหลัง ทุกวินาทีผ่านไปรู้สึกว่ามันนานมากๆและฮิโระก็ยืนรออย่างเงียบๆให้เวลาอันแสนทรมานผ่านพ้นไป

 

“เปลี่ยนเสร็จแล้วล่ะ”

 

“เฮ้ออออออออออออออออออออออออออออออออออออ…”

 

ตอนนี้ตัวเขาเหงื่อโชกเลยล่ะ เขารู้สึกเหนื่อยเหมือนกับวิ่งมาเป็นเวลานาน โดยคนตรงหน้านี้ไม่รู้เลยว่าหัวใจเขาจะวาย

 

“…อืม งั้นก็ถึงเวลาที่ฉันจะทานอาหารเช้าบ้าง.”

 

เมื่อเขามองลงไปที่จานก็พบว่าจานว่างเปล่า อาหารทั้งหมดหายไปที่ไหนสัก———-?

 

“ดูเหมือนเซอร์เบอรัสจะกินจนหมดแล้วอะ.”

 

ลิซตอบเช่นนั้น และมองไปทางหัวขโมยและก็พบว่ามันอยู่ที่ทางเข้าของเต็นท์ เซอร์เบอรัสกระดิกหางชอบใจใหญ่

 

“…ก็ดูจะเป็นแบบนั้นท่าทางชอบใจน่าดูเลยนะ.”

 

ขณะที่ฮิโระถอนหายใจลึกๆ ก็มีช้อนสีเงินยื่นออกมาต่อหน้าเขา

 

“อะ อ้ามมมมมมมมม~.”

 

นี่ชั้นดูน่าสมเพชขนาดนั้นเลยเหรอ ฮิโระสงสัย?

 

“เอ่อ ไม่ต้องหรอกแต่ว่าช่วยไม่ได้ล่ะนะ…”

 

และเมื่อเขาพยายามปฏิเสธมัน เขาก็กลืนน้ำลาย ท้องของเขาก็ส่งเสียงร้อง

 

มันเป็นมื้อเช้าที่น่าอับอายที่สุดเท่าที่เขาเคยกินมา เขาเดินออกจากเต็นท์ ฮิโระกลางแขนออกและสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปในร่างกาย จากนั้นก็มองรอบๆว่าการตั้งแคมป์ถูกเก็บเรียบร้อยแล้ว

 

สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือเต็นท์ของฮิโระและลิซ และเมื่อเห็นว่าลิซกับชั้นเริ่มเคลียร์เต็นท์แล้ว เหล่าทหารก็เริ่มวิ่งเข้ามา ฮิโระเข้ามาทักทาย และเมื่อเก็บเต็นท์เสร็จ จุดหมายปลายทางของเราก็คือประเทศเล็กๆบนเนินเขา บัลม์

 

จากข้อมูลของลิซ ดินแดนของมาร์เกรฟกรินด้าใช้เวลาเดินเท้าสิบหกวัน แม้ว่าจะเตรียมตัวมาพร้อมแค่ไหน แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นการเดินทางที่ยาวนานขนาดนี้ ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เสียใจที่ได้ตามเธอมา แม้ว่าจะฝืนร่างกายหน่อย แต่ก็ต้องอดทน

 

เมื่อพวกเขาเริ่มขึ้นไปข้างบน ได้มาสักครึ่งทางของภูเขาฮิมเมล พวกเขาก็พบกับมอนสเตอร์ชนิดใหม่ มันไม่ใช่โอเกิลหรือโอเกอร์แต่เป็นสิ่งที่ใหญ่กว่านั้น

 

“…ใหญ่มาก.”

 

ขนาดตัวของมันใหญ่กว่าฮิโระสามเท่า ใบหน้าไร้ซึ่งชีวิตชีวา และร่างกายที่มีกล้ามเนื้อถูกปกคลุมไปด้วยเกราะที่ขึ้นสนิม เมื่อมองไปที่ท่อนบนร่างกายเพียงอย่างเดียวก็ถือได้ว่าเป็นมนุษย์ แต่ครึ่งล่างของมันเหมือนกับงู ดวงตาสีแดงของมันจ้องมองพวกเราเหมือนเห็นเหยื่ออันโอชะ

 

จากนั้น เสียงคำรามดังก้อง แรงกดดันมหาศาลถูกปลดปล่อยออกมาจนฮิโระก้าวถอยหลัง

 

“นั่น กิกัส ว่ากันว่าเดิมทีเป็นภูติ แต่มันถูกเนรเทศลงมายังโลกมนุษย์เนื่องจากก่อกบฏต่อราชันภูติ.”

 

“ถ้างั้นมันก็คงจะแข็งแกร่งสุดๆไปเลยใช่ไหม?”

 

“แม้ว่ามันจะถูกกลืนกิน แต่ก็ยังเป็นอดีตภูติ ดังนั้นเทียบกับโอเกอร์แล้วมันฉลาดกว่ามากและ――!?”

 

ขณะที่ลิซกำลังอธิบาย กิกัสก็พุ่งเข้าหาเธอด้วยความเร็วสูง ต่อหน้าฮิโระที่ประหลาดใจหางขนาดใหญ่เหวี่ยงลงมาใส่ลิซ พื้นดินโดยรอบแตกสลายและฝุ่นกระจายคละคลุ้ง

 

มันเร็วมากจนฮิโระไม่เข้าใจสถานการณ์ และเขารู้สึกว่าคอของเขาถูกรัดแน่น

 

“ฮิโระมาทางนี้!”

 

ตามคำพูดของลิซ เธอกระโจนออกมาจากเศษฝุ่นพร้อมกับถือดาบภูติจักรพรรดิเพลิงในมือ เขาโล่งใจเล็กน้อยที่ลิซปลอดภัย แต่แล้วเธอก็บุกเข้าไปหากิกัส

 

“ทหารราบเกราะเบา ตามเจ้าหญิงไป พลธนู คุ้มครองเจ้าหญิง ทหารราบติดอาวุธหนักตั้งขบวนรบ!”

 

ทหารราบอาวุธหนักกระหน่ำแทงอาวุธใส่กิกัสภายใต้คำสั่งของทริส ในขณะเดียวกันก็สร้างกำแพงโล่บังพลธนูไปด้วย จากนั้นพลธนูก็ยิงธนูไปหากิกัส

 

“ฉันจะดึงความสนใจมันไว้เอง ระหว่างนี้ เตรียมหอกเอาไว้ให้ดี!”

 

ลิซสั่งทหารราบเกราะเบาและโบกสะบัดดาบภูติจักรพรรดิเพลิงใส่กิกัส เปลวไฟขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นแผ่กระจายไปทั่วกิกัสดึงความสนใจได้ชั่วขณะหนึ่ง

 

“ตอนนี้แหละ ขว้างหอกเลย!”

 

หอกถูกโยนจากหน่วยทหารราบเกราะเบา จากนั้นก็มีเสียงสั่งของทริส

 

“พลธนู ระดมยิง!”

 

ลูกธนูตัดผ่านอากาศแผ่กระจายไปในแนวพาราโบลาบนท้องฟ้า ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องของกิกัสก็ดังขึ้นขณะที่ลูกธนูและหอกทิ่มแทงร่างกายมัน มันก็สะบัดหางไปมาไม่หยุด

 

“หือออ? ทุกนายรีบถอยเร็วเข้า!”

 

ในขณะเดียวกันที่ลิซสัมผัสได้ถึงอันตราย หางของกิกัสก็ฟาดลงไปยังทหารราบเกราะเบา

 

“อั่กกกกกกกกกกกกกกก!”

 

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก!”

 

ทหารราบเกราะเบาสองสามนายที่หนีไปทันปลิวหายไปในฝุ่น

 

“ฉันจะเป็นคนถ่วงเวลาไว้ ทุกนายรีบถอยทัพเร็วเข้า!”

 

ลิซฟันดาบภูติจักรพรรดิเพลิงออกไปแต่กิกัสก็หลบได้และเริ่มโต้กลับ มันฟาดท่อนแขนขนาดใหญ่และม้วนตัวเข้าหาลิซซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

”ฮ๊ากกกกกกกกกกห์!”

 

ลิซที่มองเห็นการโจมตีก็ยังคงรุดหน้าต่อไปและยกดาบภูติจักรพรรดิเพลิงขึ้น จากนั้นแขนของกิกัสก็ขาดว่อนปลิวไปในอากาศ เปลวไฟเผาไหม้แขนของมันจนสิ้น

 

ราวกับจะกลบความเจ็บปวดกิกัสเริ่มเสียสมดุล ทหารราบเกราะเบาที่อยู่บริเวณนั้นถูกซัดกระเด็นด้วยแรงมหาศาล

 

เมื่อเห็นฉากตรงหน้า ใบหน้าของฮิโระก็จินตนาการถึงการทำลายล้างที่จะถูกกวาดล้างทั้งกองทัพ

 

จากนั้น ตัวเขาก็เริ่มก้าวเท้าไปข้างหน้า

 

(เอออออออ๋…)

 

เขาก้าวไปข้างหน้าโดยที่ตัวเองไม่ได้คิดและความเจ็บปวดที่ดวงตาก็เริ่มเพิ่มมากขึ้น

 

(นี่มันอะไรกัน…)

 

ฮิโระคร่ำครวญจับดวงตาทั้งสองข้างไว้

 

“อั่กกกกกกกกกก…?”

 

ข้อมูลจำนวนมากถูกส่งเข้ามาในหัวของเขา และหัวใจเขาเริ่มเต้นแรง บางสิ่งบางอย่างที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้บอกกับเขาให้สังหารศัตรูตรงหน้า บอกว่าเขาสามารถกำจัดมันได้ จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ถูกปลุกขึ้นมาจากส่วนลึกของจิตใจของเขา

 

“เห้ย ไอ้หนุ่ม อย่าเข้าไปนะโว้ย เดี๋ยวก็โดนกิกัสซัดปลิวหรอก!”

 

ในที่สุดหน่วยทหารราบเกราะหนักที่นำโดยทริสก็มาถึงได้ทันเวลา

 

“เร็วเข้า ขอฝากทุกอย่างไว้กับพวกเจ้าก็แล้วกัน”

 

ภายใต้คำสั่งของทริส ทหารราบเกราะหนักก็ตั้งโล่ลงกับพื้นเพื่อสร้างกำแพงเหล็กชั่วคราว

 

“เจ้าหญิง ทางนี้ครับ !”

 

“อืม!”

 

ลิซตอบสนองต่อเสียงของทริสและหลบอยู่ภายในกำแพงเหล็ก

 

“มีกึ๋นแค่ไหนพวกแกหยิบเอามาใช้ให้หมด ตั้งเท้าให้มั่น ถ้าพวกแกถูกซัดปลิวก็อย่าเรียกตัวเองว่าทหารราบเกราะหนักเลย พลธนู ปกป้องทหารราบเกราะเบาด้วย!”

 

กองทหารราบเกราะเบาที่กำลังล่าถอยถูกปกคลุมไปด้วยฝนธนูหลังจากรอดชีวิตจากฝนธนู กิกัสก็ไล่ตามมาอย่างน่าสะพรึ่งกลัว แต่ตบลงด้วยการกระแทกเข้ากับกำแพงเหล็ก

 

“พาคนเจ็บไปทางด้านหลังเร็วเข้า!”

 

ทหารที่ได้รับบาดเจ็บถูกพาไปทางด้านหลัง กำแพงโล่ของทหารเกราะหนักสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงภายใต้การโจมตีของกิกัส

 

“พวกเราต้านมันต่อไปไม่ไหวแล้วครับ!”

 

ทหารราบเกราะหนักตะโกนก้องโล่เหล็กเริ่มเสียรูปเนื่องจากแรงกระแทกอันรุนแรง มันเป็นเพียงเรื่องของเวลาที่ขบวนทัพจะเสียรูปเมื่อไรก็ได้

 

“เจ้าหญิง พวกเราต้องทำอะไรสักอย่างกับการโจมตีนั่น!”

 

ทริสตะโกนด้วยน้ำเสียงร้อนรน ลิซพยักหน้าเหลือบมองกิกัสผ่านช่องว่างของโล่

 

“ฉันจะดึงความสนใจจากมันให้เอง เพราะฉะนั้นระหว่างที่ฉันดึงความสนใจอยู่ให้โจมตีหางของมันให้ขาด”

 

“มันเสี่ยงเกินไปครับ มันฉลาดพอที่จะโจมตีเหล่าทหารราบเกราะหนักจนขบวนทัพแตกก่อนเป็นแน่!”

 

“แต่ถ้าปล่อยไว้แบบนี้มันจะเกิดความเสียหายลุกลามมากขึ้นไปอีก มันจะดีกว่าถ้าฉันเป็นตัวล่อ”

 

“พวกเราจะปล่อยให้เจ้าหญิงไปเสี่ยงอันตรายได้ยังไง ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหญิงพวกเราไม่มีหน้า――!?”

 

ทริสไม่สามารถพูดจนจบประโยคได้ลิซเองก็ตกใจเช่นกัน กำแพงโล่เหล็กที่มุมหนึ่งพังทลายลง

 

มันไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดรอดเหวี่ยงแขนอันทรงพลังเข้าไปในช่องว่างซัดทหารราบเกราะหนักปลิวไปหลายนาย ราวกับมั่นใจในชัยชนะมันส่งเสียงร้องอย่างโกรธแค้นและคว้าทหารคนหนึ่งที่ล้มลงกับพื้น

 

“ทริส คุ้มกันฉันด้วย ขอร้องล่ะ!”

 

และก่อนที่จะได้รับคำตอบเธอก็วิ่งไปถึงตรงนั้นแล้ว

 

“เจ้าหญิงรอก่อนสิครับ!”

 

เสียงของทริสที่ไล่ตามหลังเธอไป แต่ลิซไม่รอช้าเธอจ้องไปที่แขนของกิกัสจุดเดียว

 

“เอาลูกน้องของฉันคืนมานะ!”

 

ลิซกระโจนไปข้างหน้าพร้อมกับดาบภูติจักรพรรดิเพลิง แต่คมดาบไปไม่ถึงมันเพราะกิกัสใช้หางฟาดเธอจนปลิว

 

“อั่ก――!”

 

เมื่อเธอรู้ตัวมันก็สายเกินไป ร่างของลิซถูกกิกัสซัดจนปลิว

 

“อั่ก อ๊ากกกกกกกกกกกห์!”

 

ร่างกายของเธอกระแทกลงกับพื้นด้วยความรุนแรง และเธอก็พลิกคว่ำหลายตลบ เธอพยายามจะลุกขึ้นแต่ว่าก็ได้แต่คุกเข่าอยู่ตรงนั้น

 

เธอกัดฟันด้วยความหงุดหงิดราวกับว่าร่างกายไม่ฟังคำสั่งของเธอ

 

“ฮ๊ากกกกกห์!”

 

ลิซแทงดาบลงไปบนพื้นและใช้มันเป็นไม้เท้า

 

“อั่ก――!”

 

ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่างของเธอ และลิซถือดาบไว้ในมือ เลือดก็ไหลออกมาจากช่องว่างบนผมสีแดงเพลิง บางทีศีรษะของเธออาจจะได้รับการกระแทกอย่างรุนแรง

 

อย่างไรก็ตาม เลือดที่มาปกคลุมดวงตาก็ไม่ได้ทำให้จิตใจเธอสั่นคลอน ดวงตาของเธอเปล่งประกายดั่งเปลวเพลิง

 

“ชั้นต้องรีบลงมือแล้ว!”

 

ถ้าหากใครสักคนสามารถเอาชนะกิกัสได้ก็คงเป็นลิซกับดาบภูติจักรพรรดิเพลิงของเธอ เธอมองไปที่กิกัส แต่ทันใดนั้นก็ต้องจับจ้องไปที่ชายคนหนึ่ง

 

“…ฮิโระ?”

 

เป็นแผ่นหลังของชายหนุ่มคนหนึ่ง ใบหน้าที่ดูอ่อนโยนในตอนนั้น มีความมุ่งมั่นอันแรงกล้าจากภายใน เส้นทางบนภูเขาที่เขาไม่คุ้นเคยจนถึงขั้นหอบหายใจ แผ่นหลังอันกว้างใหญ่ของเขาอยู่ตรงหน้าเธอราวกับปกปิดความอ่อนแอที่ผ่านมา

 

Part 2

“…ฮิโระ ? คิดจะทำอะไรน่ะ?”

 

เสียงอันสับสนของเธอดังเข้าผ่านหูของฮิโระ รอยยิ้มขมขื่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮิโระ แม้จะมีสีหน้าลังเลแต่เขาก็ก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าวและยังคงก้าวต่อไป

 

หญิงสาวที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ตรงหน้าเขา แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะเป็นเหตุผลให้เขาลุกขึ้นสู้

 

――ชั้นจะไม่ยอมให้ใครต้องทุกข์ทรมานอีก

 

นั่นอาจจะฟังดูเรียบง่ายและตื้นเขิน แต่ไม่ว่าอะไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดเธอช่วยเขาโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆทั้งๆที่เขาถูกโยนมายังโลกแห่งนี้ และตอนนี้เธอกำลังได้รับบาดเจ็บสาหัส ถ้าเขาไม่ทำแล้วใครจะทำ เขาจะปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้ออกรับหน้าเพียงคนเดียวงั้นเหรอ แบบนั้นยังกล้าเรียกตัวเองว่าผู้ชายอีกเหรอไง

 

เมื่อฮิโระคิดได้เช่นนั้น ความลังเลก็หายไปจากใจเขา และรอยยิ้มจางๆก็โผล่มาบนใบหน้า

 

“ฮิโระหยุดนะนายน่ะ――.”

 

ฮิโระเพิกเฉยต่อคำเตือนของลิซ กระแทกเท้าและวิ่งไปเป็นเส้นตรง

 

“ต่อจากนี้ไป…..ชั้นลุยเอง”

 

กิกัสที่สังเกตเห็นฮิโระที่พุ่งเข้ามาก็ฟาดหางใส่เขา แต่ว่ามันก็ไม่โดนเขามันเฉียดผ่านจมูกของฮิโระไปพร้อมกับคลื่นกระแทก

 

การฟาดหางของมันที่คมยิ่งกว่าคมดาบ

 

“ขอโทษที แต่ชั้นเห็นมันหมดแล้ว.”

 

ด้วยความประหลาดใจฮิโระหลบทุกการโจมตี หลบด้วยการขยับร่างกายเพียงเล็กน้อย ถ้าเขาคำนวณพลาดแม้แต่นิดเดียวก็ตายได้เลย

 

“ลิซ ชั้นจะดึงความสนใจให้เองเธอช่วยปิดฉากหน่อยได้ไหม!”

 

ฮิโระหยิบหอกและขว้างมันออกไปที่กิกัส มันปล่อยทหารราบที่อยู่ในมือลงและมองฮิโระเป็นเหยื่อรายใหม่

 

ลิซที่ตกตะลึงสังเกตเห็นและเปลี่ยนท่าทีของเธอ

 

“นั่นมันบ้าบิ่นเกินไปแล้ว ถอยกลับมาซะฮิโระ!”

 

เสียงของลิซตะโกนราวกับว่าขอร้องให้เขาถอยกลับมา เธอคงจินตนาการถึงอนาคตอันแสนเลวร้ายในสมองของเธอ แต่มันตรงกันข้ามเลย

 

กิกัสเหวี่ยงแขนไปในอากาศ ไม่เพียงแต่หางเท่านั้น แม้แต่แขนก็ยังรวดเร็ว

 

การโจมตีครั้งเดียวที่สามารถขยี้ร่างมนุษย์ให้แตกเป็นเสี่ยงๆได้ ยิ่งไปกว่านั้นหากไม่ได้สวมอุปกรณ์ใดเลยก็คงตายคาที่

 

ยังไงก็ตามการโจมตีเหล่านั้นไม่เคยโดนฮิโระแม้แต่ครั้งเดียว

 

“ไม่มีทางน่า――!”

 

ลิซมองภาพตรงหน้าในขณะที่ไม่อยากจะเชื่อ

 

“หมายความว่ายังไง…”

 

ด้วยการโจมตีทั้งหมดของกิกัสใส่ฮิโระ ทริสและทหารโดยรอบต่างตกตะลึง

 

”ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านั่นคือการเคลื่อนไหวของมนุษย์จริงๆเหรอ?”

 

ปากของทริสอ้ากว้างด้วยความประหลาดใจ

 

――ผลที่ตามมาเมื่อสามปีที่แล้ว

 

สำหรับฮิโระแล้วการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามดูเชื่องช้ามากๆราวกับหยุดเวลา สำหรับเหล่านักสู้อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นอาณาเขตชนิดหนึ่งเลยก็ว่าได้ เป็นสิ่งที่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะมองการเคลื่อนไหวของศัตรูได้แม่นยำ สิ่งที่เขาได้รับมันเทียบเท่ากับการฝึกมาทั้งชีวิตของนักสู้คนหนึ่งที่มากพรสวรรค์ เขามองเห็นการเคลื่อนไหวเหมือนอนุภาคในอากาศ จึงสามารถรับรู้การโจมตีได้

 

เขาไม่อยากให้ครอบครัวต้องกังวล ฮิโระจึงไม่ได้บอกหมอเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ถึงบอกไปพวกเขาก็คงไม่รู้สาเหตุอยู่ดี

 

แต่ชาวอเลเทียรู้เรื่องนี้ดี

 

――มันคือ

 

“เนตรภูติสวรรค์…”

 

ลิซพึมพำขณะที่จ้องมองภาพตรงหน้าด้วยความว่างเปล่า

 

“ทางนี้!”

 

หอกที่ฮิโระขว้างกระแทกกับมันอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม เขาทำได้เพียงดึงดูดความสนใจในตอนนี้

 

แม้แต่เหล่านักสู้ที่มีประสบการณ์มาทั้งชีวิตยังต้องชื่นชมกับการเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมที่ถูกขัดเกลามาอย่างดี แต่ว่าฮิโระก็เริ่มมีเหงื่อให้เห็นแล้ว

 

ความเหนื่อยล้าสะสมจากการปีนเขาและความตึงเครียดขั้นสุดที่เกิดจากการต่อสู้ การรวมกันของทั้งสองปัจจัยทำให้ความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขาลดลงอย่างมาก

 

ถึงกระนั้นฮิโระก็ยังคงหลบต่อไป รอยยิ้มปรากฏบนปากเขาราวกับกำลังบอกว่าเขากำลังจะถึงขีดจำกัด

 

“นอกจากนี้ยังมีเจ้าหมาป่าดุร้ายนั่นอยู่ด้วยสินะ แกเองก็ด้วยมาช่วยกันหน่อย”

 

กิกัสที่กำลังโดนฮิโระปั่นหัวหยุดชั่วครู่ ไม่แน่ใจว่ามันเข้าใจภาษามนุษย์รึเปล่ามันหยุดการเคลื่อนไหวลง

 

“ก๊าซซซซซซซซซซซซซซ!”

 

เซอร์เบอรัสที่รอโอกาสอยู่กระโดดมาจากด้านข้างของฮิโระร่างที่เร็วเหมือนกับกระสุนปืน กรงเล็บที่แหลมคมของมันตัดผ่านอากาศเฉือนร่างของกิกัส

 

ทันใดนั้นที่เซอร์เบอรัสลงจอดกับพื้น เลือดก็พุ่งออกมาจากคอของกิกัสราวกับน้ำก๊อกที่ล้นออกมา ร่างใหญ่โตนั่นส่ายไปมาและไม่มีทางที่เธอจะปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือ

 

“ที่เหลือฉันจัดการเองฮิโระ ขอบคุณมากนะ!”

 

ดาบภูติจักรพรรดิเพลิงที่กลายเป็นดั่งดอกบัวแดงเข้มแผดเผาไปในอากาศ เมื่อคลื่นความร้อนเข้าใกล้กิกัสร่างของลิซก็หายไปในอากาศโดยสิ้นเชิง

 

ตู้มมมมมมม———————–อากาศระเบิดโดยรอบกิกัส

 

เมื่อลิซที่ทำดาเมจใส่ฝั่งตรงข้ามฮิโระก็ขว้างหอกอีกอันขว้างเข้าไปหอกทั้งสองที่ขว้างไปนั้นไม่ได้ถูกกระแทกออกแต่มันแทงทะลุหน้าอกของกิกัสราวกับถูกดูดเข้าไป

 

ในขณะที่เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วกิกัสก็แสดงสีหน้าบิดเบี้ยวและล้มฟุบลงไปกับพื้น

 

――ร่างกายส่วนล่างของมันไม่ขยับเหลือเพียงแต่ส่วนบน

 

ในบริเวณใกล้ๆกับครึ่งล่างของมันถูกเปลวเพลิงเผาไหม้เป็นจุล

 

กิกัสกรีดร้องออกมาจนอากาศสั่นไหว และกลิ่นเหม็นอันรุนแรงจนชวนคลื่นไส้ถูกลมพัดผาไปยังที่ฮิโระอยู่

 

“อั่ก…”

 

ฮิโระถึงกับต้องจับจมูกโดยไม่ตั้งใจ ในขณะนั้นเองลิซที่กระโดดอยู่ด้านหลังของมันจะฟาดฟันดาบภูติจักรพรรดิเพลิงโดยมีดวงอาทิตย์เป็นฉากหลัง

 

“เดี๋ยวฉันจะช่วยส่งให้แกไปสบายเอง!”

 

ดาบภูติจักรพรรดิเพลิงตัดผ่านร่างของกิกัสเป็นสองส่วน เลือดจากร่างกายที่ถูกผ่าครึ่งระเหยหายไปและควันสีขาวปกคลุมไปทั่วร่างกาย ร่างขนาดใหญ่ของมันถูกเผาไหม้จนระเหยไปในอากาศ

 

“ฮิโระ!”

 

หลังจากที่เห็นลิซวิ่งเข้ามาหาเขาและอ้าแขนเพื่อกอดเขาไว้แน่นๆ แต่ร่างกายของเขามันไม่ฟังค่ำสั่งอีกต่อไป ฮิโระไม่รู้ว่าเพราะความตึงเครียดหรืออะไรเขารู้สึกเหนื่อยเอามากๆ

 

ราวกับหุ่นเชิดที่ขาดสายตรึงเขาล้มลงเนื่องจากการเสียสมดุล

 

“แข็งใจไว้ฮิโระ ทริสมานี่เร็ว ฮิโระน่ะ ฮิโระเค้า!”

 

ฮิโระอยากจะพูดอะไรสักอย่างกับลิซที่มองมาด้วยความเป็นห่วง แต่เสียงไม่ยอมออกมา จิตสำนึกของเขาเริ่มจางหาย

 

ขณะที่รู้สึกถึงความสบายใจที่โดนเธอกอด ฮิโระก็จมลงสู่ความมืดมิด

 

 

 

***

 

 

 

ณ เวลาเดียวกัน ดิออสที่กำลังรุกคืบไปทางใต้ก็ประสบปัญหาที่ยากลำบาก เหตุผลคือกองทัพที่ปรากฏตัวต่อหน้าเขา ทหารราบเกราะหนักแผ่กระจายล้อมรอบราวกับจะขัดขวางการเคลื่อนไหวของเขาและมีทหารม้ารออยู่ด้านหลัง

 

“พวกมันมาถึงแล้วงั้นเหรอ? ยิ่งไปกว่าพวกมันนำทหาร สองพันนายมาต่อกรกับทหารฝั่งเราที่มีแค่สองร้อยนายเนี่ยนะ.”

 

“แถมยังไม่มีธงระบุฝ่ายอีก”

 

ดิออสพยักหน้ารับคำพูดของผู้ช่วยของเขา ไม่มีตราสัญลักษณ์ใดๆพิสูจน์ตัวตน

 

“แน่ใจเลยล่ะน่าจะเป็นพวกขุนนางใหญ่โตที่คิดก่อกบฏ”

 

เพราะแบบนั้นเลยจะทำให้ดูเหมือนโจรปล้น แต่จำนวนมันก็มากเกินไป หลังจากจ้องมองกันสักครู่ผู้ส่งสารก็เข้ามาหาดิออส

 

บางทีอาจจะเป็นเพราะไม่ยอมปล่อยให้เห็นหน้าหรือจำหน้าได้ เมื่อดวงตาของดิออสหันไปสบ ปากของผู้ส่งสารก็ค่อยๆขยับ

 

“เจ้าหญิงอลิซาเบธอยู่ที่นี่หรือไม่?”

 

“ไม่รู้หรอกนะว่าพวกแกหมายถึงอะไร แต่คิดว่าชั้นจะบอกแกเหรอ?”

 

“…งั้นนายเป็นใคร?”

 

“ดิออส ฟอน มิคาเอล”

 

“โอ้ว ถ้างั้นนายก็เป็น “ยักษา”ที่เขาล่ำลือกันสินะ”

 

ดิออสจ้องมองไปยังผู้ส่งสาร ในขณะที่แสดงความไม่พอใจที่ถูกเรียกด้วยนามแฝง

 

“หืมนั่นคือสิ่งที่อยากจะรู้งั้นเหรอ?”

 

“อืมใช่แล้ว แต่มันไม่สำคัญอีกต่อไป.”

 

ผู้ส่งสารยกมือขึ้น

 

“ข้าจะพูดสั้นๆส่งมอบตัวเจ้าหญิงให้แก่เราแล้วชีวิตของพวกเจ้าจะได้รับการยกเว้น.”

 

“ครับ จะบอกให้ชั้นพยักหน้าง่ายๆแบบนั้นน่ะเหรอ?”

 

“ถ้างั้นแกก็ไม่คิดจะส่งตัวเจ้าหญิงมาใช่ไหม?”

 

ในการตอบสนองต่อคำพูดของผู้ส่งสารดิออสสูดลมหายใจเข้าและยิ้มท้าทาย

 

“เฮ้ย เฮ้ย พูดอะไรกันครับเนี่ย พวกเราเป็นกองทัพส่วนตัวของเจ้าหญิงลำดับที่หก อย่างน้อยก็หัดไปเรียนมารยาทเพิ่มเติมซะบ้างนะ.”

 

“น่าเสียดายที่ข้าไม่จำเป็นต้องมีมารยาทกับคนแบบแก บอกมาซะว่าเจ้าหญิงอยู่ที่ไหน ฮะไอ้ “ยักษา”เอ้ย.”

 

“ไอ้เวรนี่เดี๋ยวบัดเชือดคอแม่มไม่ให้มีปากพูดอีกเลย.”

 

ดิออสกล่าวด้วยความโกรธ ทันใดนั้นผู้ส่งสารก็ยิ้มออกมา

 

“ไอ้หนุ่มหัดมีมารยาทหน่อย.”

 

ผู้ส่งสารโบกมือลง และแนวทหารราบที่อยู่ด้านหลังก็แยกออก และทหารม้าก็เข้ามาแทรก

 

“เฮอะยังไงพวกแกก็จะคิดจะฆ่าปิดปากอยู่แล้วนี่?”

 

“ข้าจะปล่อยให้พวกแกหนึ่งคนรอดชีวิต”

 

“ไอ้เวรเอ้ย.”

 

หลังจากกล่าวเช่นนั้นก็ละสายตาจากผู้ส่งสารและมองไปเหล่าทหารม้าที่กำลังเข้าชาร์จ

 

――ยังมีระยะห่างระหว่างพวกเขาบ้าง ดวงตาของดิออสเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งขณะที่กลับมายังตำแหน่งเดิม

 

“สำหรับตอนนี้ ชั้นแน่ใจว่าจะเด็ดหัวแกมาให้ได้”

 

แม้ว่าเขาจะแทงหอกออกมาด้วยแรงมหาศาล แต่การโจมตีของดิออสก็ไม่ประสบความสำเร็จ

 

“อะไรนะ?”

 

มันถูกรับไว้อย่างง่ายดาย ในมือของผู้ส่งสารมีดาบที่ตกแต่งด้วยทองคำและเงินอยู่

 

“ทำไมต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้น?”

 

“นั่นมันดาบภูติ?”

 

ภูติส่วนใหญ่มักชอบความสะอาดและไม่ค่อยผลิตคริสตัลที่มีคุณสมบัติในตัวเองออกมา มีเพียงความงดงามเท่านั้นที่เทียบเท่ากับอัญมณี เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผลึกพวกนั้นถึงถูกเรียกว่าผลึกภูติ

 

ในดินแดนของมหาจักรวรรดิมีการค้นพบผลึกภูติสามถึงเจ็ดก้อนต่อปี นั่นเป็นเพราะมหาจักรวรรดิมีดินแดนกว้างใหญ่ แต่ก็มีบางประเทศที่ไม่สามารถหาผลึกภูติได้มากนัก

 

ดังนั้นมูลค่าความหายากของผลึกเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นในทุกปี ด้วยผลึกภูติก้อนเดียวก็สามารถทำเงินได้มากพอให้ใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยได้ แม้กระทั่งตอนนี้ก็มีเพียงราชวงศ์เท่านั้นที่สามารถครอบครองมัน

 

“ไปได้มันมาจากไหน?”

 

“จำไม่ได้ว่าจำเป็นต้องบอกแก”

 

*เคร้งเคร้ง* เสียงของดาบและหอกฟาดฟันกันอย่างต่อเนื่อง

 

“อึ่ก!”

 

เขาโยนหอกของเขาทิ้งไปทันทีและชักดาบจากเอวออกมา ทหารม้าที่อยู่ข้างหลังเขาก็ชักหอกออกมาและเหล่าทหารราบเองก็ชักดาบมาเช่นกัน แม้ว่าจะมีจำนวนมากแต่ก็ยากที่จะต่อกรกับดาบภูติ

 

แม้ว่าอาจจะเป็นเพราะความสามารถในการต่อสู้ที่สูงเป็นทุนเดิม แต่ความสามารถทางกายภาพก็ได้รับการเสริมแกร่งอย่างมากด้วยพรของดาบภูติ ไม่มีทางที่จะต่อกรได้

 

ดิออสสูดลมหายใจเข้าลึกๆและไตร่ตรองสถานการณ์ ขณะที่จะพยายามฆ่าชายคนนี้ ทหารม้าของศัตรูก็เริ่มเข้ามาใกล้เรื่อยๆ

 

ดิออสยกดาบขึ้นและส่งเสียงไปทั่วพื้นที่

 

“ไอ้พวกเวร ! ถ้าหากใครล้มก็ปล่อยมันทิ้งไป อย่าหันหลังกลับบุกฝ่าไปข้างหน้าอย่างเดียว!”

 

“โอ้วววววววววว!” ทหารต่างขานรับอย่างพร้อมเพรียง

 

“บุกเต็มกำลัง!!!”

 

เขาเหวี่ยงดาบลงพื้นดิออสเตะไปที่ส่วนท้องของม้าและควบม้าข้ามที่ราบ แต่เมื่อเขาควบม้าผ่านผู้ส่งสาร――.

 

“อะไรกัน มีดีแค่นี้เองรึ?”

 

ดิออสได้ยินคำพึมพำที่น่าเบื่อหน่าย แต่เขาก็ไม่ยอมหันหลังกลับไป แม้จะรู้สึกหงุดหงิดก็ตามที แต่ตอนนี้เขามีหน้าที่ต้องนำสารไปส่ง

 

“ไอ้พวกเวรต่อให้ตายก็ตามมาให้ได้นะโว้ย!”

 

“โอ้ววววววววววววว!”

 

จากนั้นทหารม้าจำนวนร้อยกว่านายและทหารราบห้าสิบนายก็ทิ้งเกวียนสะเบียงข้าวของจนหมดสิ้นและเข้าปะทะกับทหารม้าฝ่ายศัตรู

 

“โอร่าาาาาาาาา!”

 

ดิออสคว้าหอกจากศัตรูและแทงสวนไป

 

“หัวหน้าดิออส พวกเราแยกกับคนอื่นๆในกลุ่มแล้วครับ”

 

ผู้ช่วยของเขาตะโกนมาแบบนั้น ทหารม้าและทหารราบต่างถูกศัตรูล้อมในคราวเดียว

 

พวกเขาไม่ได้ฝึกมาแบบครึ่งๆกลางๆ ทักษะของพวกเขาดีพอๆกับกองทัพจักรวรรดิที่หนึ่ง อย่างไรก็ตามมันต่างกันเกินไปในแง่ของจำนวน แถมอุปกรณ์ก็ต่างชั้นกัน

 

“พวกเราต้องทิ้งพวกมันไว้!”

 

ดิออสไม่มีทางเลือกจึงตัดสินใจแบบนั้น ถึงกระนั้นผู้ช่วยก็ยังไม่ยอมแพ้และถอยหลังไปเล็กน้อย

 

“มันไม่สายเกินไปหรอกครับ!”

 

“แต่แกไม่เห็นรึไงว่าเกิดอะไรขึ้น?”

 

“แต่พวกเขาเป็นกองทหารส่วนตัวของเจ้าหญิงนะครับ!”

 

“มันก็เป็นลูกน้องชั้นเหมือนกันและหน่าอย่าให้พูดซ้ำซาก!”

 

เขาปฏิเสธที่จะพูดอะไรอีก มันคงจะดีกว่าถ้าเขาไม่พูดอะไรเลย เพราะใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ ขณะที่ไล่ฆ่าศัตรูไปด้วยความแค้น

 

“เคลื่อนทัพอย่าให้พวกแมงวันเหล่านี้มาล้อมเราไว้!”

 

“แกเป็น “ยักษา”ใช่ไหม พละกำลังยอดเยี่ยมเลยนี่ แต่ข้าจะทดสอบความอดทนเจ้าเอง!”

 

มีศัตรูเข้ามาใกล้ดิออสด้วยสีหน้ามีความสุข มันเป็นทหารม้าติดอาวุธที่มีผ้าสีม่วงพันรอบแขน

 

“หุบปาก!”

 

ดิออสขยับหอกในแนวนอนและขว้างมันเหมือนกระสุนปืน

 

“อ๊ากกก!”

 

หอกแทงทะลุหมวกเหล็กและมีเลือดจำนวนมากไหลออกมาจากหมวก

 

“ฮิย๊าาาาาาาาาาาา หัวหน้าตาย――!?”

 

หัวของทหารม้าเกราะหนักบินออกไปโดยที่ยังไม่ทันได้พูดจบประโยค ในขณะเดียวกันดิออสก็สะบัดดาบเปื้อนเลือดไปทางขวา

 

“พวกเราจะบุกเต็มกำลังผ่านปีกซ้ายของศัตรู ชั้นจะเปิดเส้นทางให้ ปล่อยพวกปลาสิวปลาสร้อยไปซะสลัดมันให้หลุด!”

 

เมื่อพวกเขาแซงทหารม้าติดอาวุธหนักของศัตรู ทหารราบเกราะหนักก็รอพวกเขาอยู่ แม้แต่พลธนูก็เตรียมพร้อม มันเป็นทางเลือกอันโง่เขลาที่จะฝ่าวงล้อมเข้าไป

 

ดิออสเลือกที่จะเลี่ยงมันด้วยการทะลุผ่านปีกซ้าย มันไม่ใช่ความผิดพลาด แต่การต่อสู้มันต้องมีการเสียสละเพื่อออกจากสนามรบ ผู้ส่งสารจ้องมองไปที่ด้านหลังของดิออสขณะที่เขาต่อสู้กับกองทัพอย่างโดดเดี่ยว

 

“ไอ้หมอนั่นมันเป็นนายทหารที่เก่งกาจเกินกว่าจะฆ่าได้ไหม?”

 

ขณะที่กระโหลกศีรษะของทหารม้าเกราะเบาล้มลงถูกเหยียบย่ำจนตายทหารราบที่หนีไม่ทันก็ถูกบดขยี้จนตายทั้งหมด จำนวนมันต่างกันเกินไป ความเสียหายที่พวกฝั่งศัตรูได้รับมีน้อย และในไม่ช้าก็จะจัดการจนหมด

 

มันเป็นการสังหารอยู่ฝ่ายเดียวตั้งแต่เริ่ม ทหารม้าสามคนเข้าใกล้ผู้ส่งสารขณะที่เขาลงจากม้าและคุกเข่าเอามือทาบหน้าอก

 

“ดูเหมือนว่าจะมีทหารจำนวนยี่สิบนายได้บุกทะลวงที่เหลือถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง หนึ่งในนั้นมี”ยักษา”ด้วยครับ?”

 

“จะทำอะไรก็ตามใจแล้วเราได้รับความเสียหายมากแค่ไหน?”

 

“ไม่พบเจ้าหญิงลำดับที่หกเลย ทราบผู้เสียชีวิตว่าหนึ่งในร้อยนายของทหารฝั่งเราถูกจัดการและทหารม้าเกราะหนักสิบสองคนตายครับ ขณะนี้ก็มีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสกับบาดแผลเล็กน้อย.”

 

“ความเสียหายค่อนข้างจะแย่เลยนะ”

 

“พวกเราจะตามไปดีไหมครับ?”

 

“ไม่ปล่อยพวกมันไป ไม่มีใครได้รับอันตรายก็ช่างมัน ในไม่ช้าก็คงถูกโจรในเขตของมาร์เกรฟกรินด้าฆ่าตายน่ะแหละ”

 

“แน่ใจเหรอครับว่าไม่ต้องการจับตัวเจ้าหญิงลำดับที่หก?”

 

“เธอไม่ได้อยู่ในกลุ่มนี้แต่แรกเราไม่จำเป็นต้องตามไป.”

 

“เป็นไปได้ไหมที่เธอปลอมตัว?”

 

“เธอไม่ได้มีทักษะมากขนาดนั้น.”

 

“แล้วเธออยู่ที่ไหนกันละครับ?”

 

เขาหยุดไปชั่วครู่จากนั้นผู้ส่งสารก็พูดต่อ

 

“…เธอน่าจะอยู่ในประเทศเล็กๆที่เรียกว่าบัลม์ เธออาจจะเดินทางข้ามภูเขาฮิมเมล.”

 

“ถ้างั้นพวกเราจะไปที่ประเทศบัลม์ไหมครับ?”

 

“ไม่ อย่างที่คาดการณ์เอาไว้ ถ้าเราสังเกตเห็นไว้ค่อยเคลื่อนทัพ ตอนนี้สลายทัพได้.”

 

“ตามบัญชา”

 

ผู้ส่งสารละสายตาจากทหารที่ก้มศีรษะลงและจ้องมองไปยังเทือกเขาเกลาซาร์ม ดวงตาที่เหมือนเสือกำลังเปล่งประกายราวกับกำลังล่าเหยื่อ

 

Part 3

ลีนซ์ เมืองใจกลางของอาณาเขตมาร์เกรฟกรินด้า เป็นการผสมผสานระหว่างทุ่งหญ้าและทะเลทราย ทางตอนเหนือเป็นเขตอาศัยของชนชั้นสูง ในขณะที่ทางตอนใต้เขตทะเลทรายเป็นเขตของชนชั้นล่าง

 

ในเขตทางตอนเหนือมีคฤหาสน์ของ มาร์เกรฟ ลูเซ็น คิออร์ก ฟอน  ตั้งอยู่

 

คฤหาสน์ไม้สองชั้นสร้างขึ้นบนที่ราบสูงที่มองเห็นเมืองได้เหมาะสำหรับขุนนาง กำแพงสูงล้อมรอบคฤหาสน์และตรงกลางกำแพงหน้ามีประตูเหล็กหนา มีชายคนหนึ่งที่ทรุดตัวลง

 

ทหารที่เฝ้าอยู่ทั้งสองด้านประตูรีบวิ่งไปหาเขา

 

“เฮ้ยเกิดอะไรขึ้น?”

 

“หมอนี่ได้รับบาดเจ็บหนักมากเลย”

 

ใบหน้าของทหารคนนั้นซีดเซียว ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดจำนวนมาก แต่บาดแผลยังดูใหม่ โชคยังดีที่ยังรอดมาได้

 

ทันใดนั้นชายคนนั้นก็คว้าคอทหารคนหนึ่ง

 

“ส่งข้อความนี้ไปให้มาร์เกรฟกรินด้าที.”

 

“…เฮ้ย ชั้นไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ปล่อยชั้น!”

 

“นายได้รับบาดเจ็บอยู่นะ ใจเย็นๆก่อน!”

 

มีการใช้แรงแขนผิดปกติที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีทหารสองคนพยายามพยุงเขาขึ้นแต่ชายคนนั้นเกาะไหล่อย่างสิ้นหวัง

 

“ขอร้องล่ะ ชั้น ดิออส ฟอน มิคาเอล เป็นข้ารับใช้ของ เซเลีย เอทรีย่า ให้ชั้นได้ส่งข้อความ—-.”

 

“เอาล่ะเอาล่ะปล่อยชั้นได้แล้วเดี๋ยวจะไปรายงานให้!”

 

“ขอร้องล่ะมีเวลาไม่มาก…”

 

ทหารทั้งสองต่างมองหน้ากันด้วยสีหน้ากังวล ไม่มีเวลามาตรวจสอบความจริง และถ้าเป็นความจริง พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญกับการลงโทษแบบไหนหากปล่อยเขาตาย

 

ทหารที่ถูกดิออสคว้าไว้ก็ตะโกน

 

“เฮ้ย รีบไปแจ้งหัวหน้ารักษาการเร็วเข้า!”

 

ทหารอีกคนที่พยายามพยุงดิออสพยักหน้าและวิ่งไปยังคฤหาสน์ ทหารรักษาการที่รู้สึกถึงความผิดปกติก็รีบออกมาดูทันที

 

เขาเข้าหาดิออสและตบไหล่เขาเบาๆ

 

“ท่านกรินด้าจะมาพบกับนาย เพราะงั้นช่วยปล่อยเพื่อนของข้าหน่อยได้ไหม?”

 

ทั้งสองต่างเจรจาตกลงกันดิออสปล่อยทหารคนนั้นและนั่งลงกับพื้น

 

“ขอร้องล่ะองค์หญิงอลิซาเบธกำลังตกอยู่ในอันตราย.”

 

“อืม เข้าใจแล้ว แต่ต้องได้รับการรักษาก่อน.”

 

จากนั้นก็พาดิออสไปที่ห้องพยาบาล หัวหน้ากล่าวในตอนท้าย

 

ด้วยทหารสองคนแบกเขาไว้บนไหล่ดิออสถูกนำตัวเข้าไปในห้องพยาบาลในคฤหาสน์ ข้างในมีชายคนหนึ่งรอเขาอยู่และอ้าปากค้างเมื่อเห็นดิออส

 

“ก็อยากจะทักทายก่อนหรอกนะ——แต่ช่วยอธิบายสถานการณ์โดยละเอียดได้ไหม”

 

บางทีเขาคงจะเป็นมาร์เกรฟกรินด้า เขาดูใจดีอย่างที่ลิซบอกเขา ดิออสที่นอนลงบนเตียงเพื่อพูดคุยในขณะที่ได้รับการรักษา

 

“มีพวกเราหนึ่งร้อยห้าสิบคน และชั้นเป็นคนรอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียว”

 

ดิออสพูดแบบนั้นพร้อมความหงุดหงิด หลังจากออกมาจากสนามรบทหารแต่ละคนก็ล้มหายตายจากไปทีละคน โชคร้ายยิ่งกว่าระหว่างทางยังถูกโจรดักซุ่มโจมตี ขณะที่เขาสะสมความเหนื่อยล้าระหว่างทางมามากมายก็มาถึงหน้าคฤหาสน์ของมาร์เกรฟกรินด้า

 

เมื่อได้ยินคำอธิบายของดิออสสีหน้าของมาร์เกรฟกรินดร้าก็บิดเบี้ยวไปด้วยความเศร้า

 

“เข้าใจแล้ว พยายามได้ดีมาก ตอนนี้เจ้าก็พักผ่อนไปก่อนเถอะ…”

 

เขาสำลักคำพูดขณะที่ส่ายหัวไปมา และยื่นจดหมายให้ดิออส

 

“มันมาถึงเมื่อวานนี้.”

 

ด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็นดิออสหยิบจดหมายมา

 

“นี่มัน…?”

 

หลังจากอ่านเนื้อหาแล้วดิออสมองไปทางมาร์เกรฟกรินด้าด้วยความกังวล

 

“ดูเหมือนจะเป็นทัพใหญ่สองพันนาย แต่ไม่ต้องกังวลข้าไม่มีวันจะทรยศหลานสาวหรอกนะ”

 

“แต่ว่านี่มัน…”

 

“ข้ารู้จักกับ “เทพธิดาแห่งสงคราม”เป็นอย่างดี แม้ว่านี่จะเป็นพื้นที่ห่างไกล แต่ก็เคยได้ยินมาบ่อยครั้ง ข้าล่ะสงสัยว่าจะผูกมิตรกับนางได้หรือไม่ และแม้ว่าอยากจะวิงวอนองค์จักรพรรดิ แต่ก็อยู่ระหว่างออกรบ.”

 

“ถ้างั้นจะส่งตัวเจ้าหญิงไปงั้นเหรอครับ?”

 

“ข้าบอกไปแล้วไง ข้าไม่ทรยศหลานสาวข้าหรอก เธอเป็นของที่ระลึกที่น้องสาวข้าทิ้งไว้ให้”

 

“แต่ว่าคู่ต่อสู้มีจำนวนถึงสองพันนาย ตอนนี้ท่านรวบรวมทหารได้กี่นายกันแน่?”

 

“แม้ในช่วงสงครามดินแดนแห่งนี้จะมีกองหนุนสามพันนาย แต่พวกเราไม่มีเวลามารวมพวกเขาทั้งหมด อย่างมากที่สุดก็หนึ่งพันนาย”

 

“ไม่พอหรอกครับ…”

 

ศัตรูคือ “เทพธิดาแห่งสงคราม”เธอจะไม่ลดความระมัดระวังลงหรอกแม้ศัตรูจะมีจำนวนน้อยกว่า เธอจะออกมาบดขยี้ศัตรูเต็มกำลังและนำชัยชนะมาครอง

 

“ข้าจะยื้อพวกนั้นเอาไว้จนกว่าจักรพรรดิจะกลับมา แม้ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นถึง “เทพธิดาแห่งสงคราม”ก็ตามที”

 

“แล้วองค์จักรพรรดิจะเสด็จกลับมาเมื่อไร”

 

“ข่าวดีเพิ่งประกาศไปเมื่อห้าวันก่อนว่าทรงได้รับชัยชนะ ตอนนี้น่าจะกลับไปพร้อมกับเจ้าชายลำดับที่หนึ่งแล้ว ข้าเองก็ส่งผู้ส่งสารไปแล้ว แต่ก็ต้องรออย่างน้อยอีกห้าวัน อย่างเร็วที่สุดสามวัน เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำสงคราม แถมเป็นสงครามที่แพ้ไม่ได้ด้วย.”

 

“สงครามที่แพ้ไม่ได้งั้นเหรอ…”

 

“ใช่หน่วยสอดแนมรายงานกองกำลังศัตรูกำลังเคลื่อนทัพไปทางใต้จากหมู่บ้านเซเก็น ไปยังที่ราบโกรเล่.”

 

“ดังนั้นศึกตัดสินจะชี้ขาดที่ๆราบโกรเล่?”

 

มาร์เกรฟกรินด้าพยักหน้าให้กับคำพูดของดิออส

 

“ศัตรูอาจเล็งไปที่พรมแดนเล็กๆของประเทศบัลม์ แต่เราจะไม่ปล่อยให้พวกเขาไปที่นั่นและจะเข้าปะทะกันในที่ราบโกรเล่.”

 

“ถ้างั้นชั้นไปด้วย”

 

“ไม่ ข้าต้องการให้เจ้านำทหารสองร้อยนายไปพบกับอลิซาเบธที่ป้อมปราการอัลโต แม้จะเป็นป้อมปราการที่ไม่แข็งแรงนัก แต่สำหรับตอนนี้ต้องซื้อเวลาไม่ให้ศัตรูปิดล้อม.”

 

ป้อมปราการอัลโตสร้างขึ้นใกล้ชายแดนของประเทศเล็กๆของบัลม์ แต่มีทหารน้อยกว่าร้อยนาย เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกับสงคราม นอกจากนี้ว่ากันว่าอุปกรณ์นั้นทรุดโทรมจนเรียกว่าป้อมปราการไม่ได้แล้ว

 

ดินแดนของมาร์เกรฟกรินด้าอาจมีความสงบสุขมากเกินไปอย่างไรก็ตามดิออสไม่คิดจะตำหนิเรื่องนั้น เพราะว่านั่นเป็นยามสงบ แถมมาร์เกรฟกรินด้าก็ไม่ได้รีดไถประชาชนให้อยู่อย่างอดยาก

 

“ขอโทษด้วย ถ้าข้าแน่วแน่กว่านี้คงไม่เป็นเช่นนี้แน่”

 

“ไม่หรอก ชั้นเป็นฝ่ายมาหาเองต่างหากที่ต้องขอโทษ.”

 

ดิออสเป็นคนนำความยากลำบากมาสู่ทุกคน หากพวกเขาคิดถึงตำแหน่งปัจจุบันก็ควรส่งตัวเจ้าหญิง ถึงกระนั้นมาร์เกรฟกรินด้าก็ยังดิ้นรนต่อสู้ เขารู้สึกขอบคุณเขามากที่มาสู้ในสงครามที่ไม่มีวันชนะ

 

“ขอโทษนะครับ…”

 

“ถ้าเป็นเจ้าหญิงก็คงพูดแบบเดียวกันนั่นแหละเงยหน้าขึ้นเถอะ.”

 

“ขอบคุณที่กล่าวเช่นนั้น ข้าทราบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง”

 

เมื่อดิออสเห็นมาร์เกรฟกรินด้าเงยหน้าขึ้น เขาก็ก้มศีรษะลงอีกครั้ง และไม่มีวี่แววว่าจะเงยหน้าขึ้น ดิออสจึงเปลี่ยนเรื่อง

 

“แล้วจะเอายังไงกันต่อดี?”

 

“จะออกจากที่นี่ทันทีเมื่อรวมกำลังพลพร้อมแล้ว”

 

“ถ้าอย่างงั้นก็ระมัดระวังตัวด้วย ชั้นเองก็ต้องไปพบกับเจ้าหญิง…”

 

“ไว้เดี๋ยวข้าจะส่งผู้ส่งสารไปยังป้อมปราการอัลโต ขอฝากอลิซาเบธไว้กับเจ้าด้วย.”

 

“เข้าใจแล้วจนกว่าจะถึงตอนนั้น――.”

 

ดิออสจับมือกับมาร์เกรฟกรินด้า

 

“อืมไว้เจอกันพร้อมกับอลิซบาเบธ.”

 

“ครับแน่นอน.”

 

พวกเขาจึงสาบานว่าจะพบกันอีกครั้งและต่างทำในสิ่งที่ตนเองต้องทำ

 

 

 

***

 

 

 

ค่ายของจักรวรรดิที่สามอยู่ห่างจากที่ราบโกลเร่แปดเซลล์ (ยี่สิบสี่กิโลเมตร) ภาพของเต็นท์หลายร้อยหลังถูกกางจนน่าทึ่ง

 

ตรงกลางของทุกอย่าง ภายในเต็นท์สีดำ ชายและหญิงคนหนึ่งหัหน้าเข้าหากัน ชายคนนั้นต่างเอียงคอด้วยความสงสัยไปหาหญิงสาวที่กำลังอ่านหนังสือ

 

“เนตรภูติสวรรค์?”

 

“ใช่ เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหมไวเคานต์สปิตซ์?”

 

“แน่นอนว่ารู้จักเป็นอย่างดีขอรับเป็นหนึ่งในสามมหาเนตรของโลก และแม้แต่เผ่าพันธุ์ที่มีหูยาวมีอายุยืนนานหลายพันปีก็ยังไม่ทราบ และมีเพียงจักรพรรดิองค์ที่สองที่ครอบครองมัน.”

 

จากนั้นสปิตซ์ก็จำอะไรบางอย่างได้และพูดต่อไป

 

“อ่าใช่ พอพูดถึงเรื่องเผ่าหูยาวแล้ว เชื่อว่ามีหนึ่งในเจ้าหน้าที่ของเจ้าชายลำดับที่หนึ่งแซทโทเบล.”

 

“อืม ฉันเองก็มีโอกาสได้พูดคุยไม่กี่ครั้ง นั่นคือตอนที่ได้ยินเกี่ยวกับเนตรภูติสวรรค์.”

 

“ด้วยความที่อายุยืนและความรู้อันมากล้นก็หวังว่าจะรู้อะไรสักอย่าง.”

 

“มันเล่อค่ามาก เขากล่าวกันว่าเนตรภูติสวรรค์สามารถเข้าใจได้ทั้งสวรงสวรรค์และโลกมนุษย์ สามารถมองทิศทางของสงครามได้อย่างเด็ดขาด เป็นเนตรที่กุมอำนาจและพลังอันท่วมท้น.”

 

“ล้อกันเล่นรึเปล่าครับ ไม่คิดว่ามันจะมีพลังมากขนาดนั้นนะครับ…”

 

สปิตซ์ยักไหล่ด้วยความที่ไม่เชื่อในเรื่องราว แต่เขาก็ต้องเปลี่ยนใจเพราะออร่าทำหน้าบึ้งตึง

 

“ฉันแน่ใจค่ะว่ามันมีอยู่ตริง “เทพแห่งสงคราม” เป็นข้อพิสูจน์ยังไงล่ะคะ ที่สำคัญกว่านั้นสิ่งนี้ยังถูกกล่าวขานโดยเผ่าหูยาวที่ไม่ชอบเล่นตลกด้วย มันน่าเชื่อถือนะคะ ไม่คิดแบบนั้นเหรอไวเคานต์สปิตซ์”

 

แม้ว่าเขากลัวที่จะปฏิเสธออร่าที่ขี้วีนคนนี้ แต่เขาก็ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาไม่เชื่อ ดังนั้นสปิตซ์เลยกล่าวอย่างลังเล

 

“ผมไม่อยากจะเชื่อเลย นั่นจะทำให้กลยุทธ์และแผนการรบไร้ความหมายไปเลยนะครับ และชัยชนะเหล่านั้นก็ควรเป็นของมนุษย์มันไม่ใช่สิ่งที่มองเห็นแป๊บเดียวแล้วกุมชัยได้เลยนะครับ.”

 

“ก็ไม่ผิดนักหรอกค่ะ ผู้คนที่คว้าเนตรภูติสวรรค์มาได้ จะลงมาเหยียบย่ำพื้นโลกและคนที่คอยเอาแต่สั่งคนอื่นโดยเอาแต่มอง ก็ไม่ต่างไปจากพวกชี้นิ้วไล่คนไปตายหรอกนะคะ ฉันอยากให้มีเนตรภูติสวรรค์จริงๆ.”

 

ขณะที่ออร่าพูดเช่นนั้น สายตาของเธอก็จ้องมองไปยังแผนที่ที่แผ่ขยายบนโต๊ะ สปิตซ์ ทำตามและมองดูเช่นกัน มีหมากหลายตัววางเอาไว้ ออร่าค่อยๆไล่มองแผนที่อย่างช้าๆราวกับตรวจสอบ

 

“นายแน่ใจนะว่ากำลังพลของมาร์เกรฟกรินด้ามีทั้งหมดเก้าร้อยนาย?”

 

“ครับ หน่วยสอดแนมของกองทัพจักรวรรดิที่สามกล่าวมาเช่นนั้น.”

 

เมื่อพิจารณาถึงดินแดนของมาร์เกรฟกรินด้า พวกเขาน่าจะรวบรวมทหารได้ประมาณสามพันนาย แต่บางทีเพราะไม่ได้รบมาหลายปีแล้ว หรือบางทีความสามารถในการสื่อสารจะถดถอยลง แต่ว่าจะต้องไม่ประมาท นี่จะเป็นการต่อสู้ที่ชนะได้อย่างง่ายดาย นี่คือความภาคภูมิใจและความสุขของกองทัพจักรวรรดิที่สามที่มีหน่วยหัวกะทิถึงสองพันนาย นามว่า “อัศวินดำแห่งจักรวรรดิ”

 

“แล้วมีจดหมายตอบกลับจากมาร์เกรฟกรินด้าไหมคะ?” ออร่ากล่าวเช่นนั้น ปรับท่าทางพร้อมถือจดหมาย

 

“อย่างที่คิดเลยปฏิเสธสินะ.”

 

สปิตซ์กล่าวเช่นนั้นพร้อมถอนหายใจ ออร่ายืนยันเนื้อหาในจดหมายและพยักหน้าเห็นด้วย

 

“มันแน่นอนอยู่แล้ว เราควรพยายามแลกเปลี่ยนผู้ส่งสารในวันพรุ่งนี้ด้วย เพื่อจะได้กระทำสิ่งต่างๆได้อย่างเงียบๆ”

 

“…หือ”

 

สปิตซ์ฟังดูอึ้ง เขานึกว่าตัวเองได้ยินผิด แต่เมื่อมองไปที่หน้าของออร่าเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น

 

“ได้โปรดรอก่อนครับ แล้วจุดประสงค์ของกลยุทธ์ก่อนหน้านี้คืออะไร?”

 

เขาโน้มตัวไปข้างหน้าและพยายามจะถามออร่าถึงแผนการก่อนหน้านี้ ถ้าไม่ได้วางแผนที่จะต่อสู้ตั้งแต่แรกทำไมถึงเขียนจดหมายไปแบบนั้น

 

ตรงกันข้ามกับสปริตซ์ที่สับสน ออร่ายังคงนิ่งเงียบและยิ้มออกมาอย่างน่ารัก

 

“ก็เพราะจุดประสงค์ของฉันคือการพูดคุยนี่น่า แต่ถ้ามาร์เกรฟกรินด้าเป็นเพียงแค่คนโง่ที่ไม่คิดจะสื่อสารกับเรา ก็ค่อยมาสู้กันที่หลังก็ได้?”

 

“แต่ว่ามาถึงจุดนี้มันหลีกเลี่ยงการต่อสู้ไม่ได้นะครับ…”

 

“ยังไม่สายเกินไปหรอกน่า เราต้องหลีกเลี่ยงความขัดแย้งอันไร้เหตุผลของชาวจักรวรรดิ.”

 

“นั่นก็จริงแต่ว่า…”

 

สปิตซ์ไม่เข้าใจ แต่ถ้านี่เป็นสิ่งที่ต้องการ เขาคิดว่าเธอคงไม่เต็มใจที่จะมาที่นี่ นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าเขาอ้างว่าเป็นคำสั่งของออร่าได้สังให้ทหารหลายนายบุกรุกดินแดนของมาร์เกรฟกรินด้าและจับตัวเจ้าหญิงลำดับที่หก

 

แม้ว่าจะไม่ต้องการทำตามคำสั่งของนายเหนือหัว แต่ว่าบางทีมันคงจะดีกว่าที่จะเงียบ ตอนนั้นเองก็มีผู้ส่งสารที่เต็มไปด้วยโคลนวิ่งเข้ามาทางเต็นท์

 

“เหตุด่วน ! ราชอาณาจักรลิชไทน์นำกำลังพลหนึ่งหมื่นห้าพันนายเข้าใกล้ชายแดน!”

 

“หาาาาาาาาาาาาาา?!”

 

สปิตซ์ตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น ออร่าหยุดตัวหมากที่เธอย้ายบนแผนที่และหันไปหาผู้ส่งสาร

 

“ขอรายละเอียดหน่อย.”

 

“ตามที่ท่านออร่าสั่ง หน่วยที่รอเจ้าหญิงเซเลีย เอสทรีย่าใกล้ชายแดนได้จับตาดูความน่าสงสัยของทางฝั่งราชอาณาจักรลิชไทน์ และหลังจากส่งหน่วยสอดแนมไปตรวจสอบ”

 

หลังจากได้ยินรายงานจากผู้ส่งสารดวงตาของออร่าก็เฉียบคมขึ้นในทางกลับกันสปิตซ์หัวใจแทบหยุดเต้นเพราะออร่าได้ส่งหน่วยทหารเหล่านั้นไปตรวจสอบด้วยตัวเธอเอง

 

“…สปิตซ์.”

 

โดยธรรมชาติแล้วไม่น่าแปลกใจเท่าไรที่ออร่าจะสงสัยในบางสิ่งที่เธอไม่ได้ทำ สีหน้าโกรธเกรี๊ยวนั้นทิ่มแทงไปทางสปิตซ์ แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาทำเช่นนั้น ออร่าส่ายหัวขยับสายตาไปหาผู้ส่งสาร

 

“ฉันรู้นะว่านายกำลังเหนื่อยแต่ฉันมีเรื่องจะขอร้องหน่อย.”

 

“ได้โปรดบัญชามาได้เลยครับ”

 

ออร่ายิ้มกับคำตอบที่รวดเร็ว

 

“ดิฉันขอร้องให้ไปส่งสารให้มาร์เกรฟกรินด้าทราบด้วยค่ะ เขาเองก็ต้องการความช่วยเหลือ พวกเราจะทำสิ่งที่เราทำได้ เดี๋ยวฉันจะเขียนจดหมายให้เองค่ะ”

 

กระดาษและปากกาถูกเตรียมไว้บนโต๊ะ ออร่าเขียนมันด้วยความรวดเร็ว

 

เมื่อสปิตซ์กลับมาสงบสติอารมณ์ไม่รู้ว่าเขาควรจะขอโทษหรือไม่ ดวงตาของออร่าที่เต็มไปด้วยความโกรธจ้องมาที่เขา

 

“บอกตามตรงฉันโกรธมากค่ะ แต่ฉันจะไม่ซักไซ้ในคราวนี้.”

 

“…เอ๋?”

 

“ถ้าตอบปกติแล้วฉันคงปลดคุณออกค่ะ แต่คราวนี้ถือว่าโชคดีที่สปริตซ์ส่งทหารไปยังเขตชายแดน ไม่งั้นเราไม่รู้เลยว่าราชอาณาจักรลิชไทน์จะทำอะไร.”

 

“จริงงั้นเหรอครับ?!”

 

สปิตซ์ลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความสุข ออร่าซึ่งยื่นจดหมายให้ผู้ส่งสารเหลือบมองสปิตซ์

 

“แต่ถ้าไม่ลงโทษเลย มันก็ดูไม่ยุติธรรมกับเหล่าทหารที่ทำดีมาตลอด ดังนั้นไว้เดี๋ยวฉันจะตบรางวัลให้ในภายหลัง”

 

หลังจากสรุปได้เช่นนั้น ออร่าก็หยิบหนังสือขึ้นมาบนโต๊ะและเริ่มอ่านบางอย่างเงียบๆ สปิตซ์ซึ่งจ้องมองเทพธิดาตัวน้อยของเขาด้วยแววตาลุ่มหลงและคุกเข่าข้างหนึ่ง

 

“แน่นอนครับ บุญคุณนี้กระผมจะทดแทนให้อย่างแน่นอน”

 

สปิตซ์สาบานด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์

 

 

T/N: ขอให้มีความสุขกับการอ่าน ตรงไหนเขียนผิด เขียนเกินแจ้งได้ครับจะแก้ให้

 

ตกงานโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

[LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก

[LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก

Score 10
Status: Completed
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกขนานนามกันว่า “วีรบุรุษแห่งสงคราม.” ณ ต่างโลกที่ซึ่งถูกเรียกว่า อเลเทีย ชายหนุ่มที่ช่วยอาณาจักรที่กำลังจะล่มสลายโดยประเทศข้างเคียง ได้ทำการเข้ากอบกู้และก่อตั้งจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ขึ้นมาและทิ้งมันเอาไว้ให้กับคนรุ่นหลังและกลับโลกที่เขาจากมา เหลือทิ้งไว้ความทรงจำ สามปีผ่านไป ชายหนุ่มผู้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกๆวันก็ถูกเรียกกลับไปต่างโลกอีกครั้ง ยังไงก็ตามแต่ สิ่งที่รอเขาอยู่คือ อเลเทียในอีก 1,000 ปีข้างหน้าเสียแล้ว ชายหนุ่มที่เคยรุ่งโรจน์ได้กลายเป็น “เทพนิยาย”ที่ถูกเล่ากันเป็นตำนานในฐานะ “คู่หูราชาวีรบุรุษทมิฬ”

Options

not work with dark mode
Reset