Part 6
ขวัญกำลังใจของทหารลิชไทน์สูงมากแม้แต่กองทหารแนวหน้าของกองทัพจักรวรรดิที่สี่ก็หยุดไม่อยู่ แต่ความไม่สบายใจที่ก่อตัวขึ้นมันคืออะไร ประสบการณ์หลายปีของเขากำลังส่งเสียงเตือน เมื่อฝุ่นหนาๆปรากฏขึ้นก็สังเกตเห็นบางสิ่งแปลกๆ
“อย่าบอกนะว่านี่ก็กับดักอีก…?”
“นายพล มีอะไรเกิดขึ้นครับ?”
คาร์ลตอบสนองต่อคำพูดของรังกิลล์ เขายิ้มอย่างมั่นใจและเรียกที่ปรึกษา
“ต้องการอะไรครับท่าน?”
“ส่งท่านคาร์ลกลับพร้อมกับทหารอูฐหนึ่งร้อยนาย.”
“พูดอะไรน่ะ ไม่จำเป็นที่เราจะต้องหนีเลย พวกเรากำลังกดดันฝ่ายตรงข้ามอยู่นะ.”
รังกิลล์วางมือบนไหล่ของคาร์ลขณะที่บ่น
สถานการณ์ตอนนี้ไม่แน่ชัด แม้ว่าจะทำลายแนวหน้าของจักรวรรดิได้แล้ว แต่ก็ยังมีศัตรูมากกว่าแปดพันนาย
“แต่ทางนี้ไปได้ด้วยดีมากเลยนะ ไม่คิดว่าพวกเราจะชนะเหรอ?”
“ครับ บางทีพวกเราอาจจะมีแต่โอกาสแพ้สูงมาก.”
“หืม…”
“ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินจะให้ท่านหนีไปเมืองหลวงพร้อมกับคนคุ้มกันร้อยคน น่าจะซื้อเวลาได้บ้าง.”
“แล้วนายล่ะ?”
“ข้าจะอยู่ที่นี่และล่อพวกเขาออกไป สำหรับท่านคาร์ล…”
“ศัตรูอยู่ข้างหลังพวกเราครับ จำนวนสามพันถึงห้าพันนาย ดูเหมือนว่าจะประกอบด้วยทหารม้าเป็นหลัก.”
รายงานจากผู้ส่งสารทำให้พวกเขาต้องตกตะลึงและมองย้อนกลับไป ฝุ่นจำนวนมากกำลังเข้าหาทางนี้ อันที่จริงธงจำนวนมากสามารถเห็นได้กระจัดกระจายไปทั่ว
“หน่วยซุ่มโจมตีของกองทัพจักรวรรดิที่สี่งั้นเหรอ?”
รังกิลล์ถามผู้ส่งสาร
“เปล่าครับมีธงตราของมหาจักรวรรดิแกรนท์และขุนนางตะวันออก”
“ขุนนางตะวันออก…?”
“นอกจากนี้ยังมีธงประจำตระกูลเคลไฮนต์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นกำลังเสริมจากฝั่งตะวันออกครับ.”
“หัวหน้าตระกูลไม่น่าจะอยู่แล้วนี่ เธอคนนั้นมีสามีใหม่แล้วเหรอ…?”
เมื่อได้ยินว่าหัวหน้าตระกูลเคลไฮนต์ที่รวบรวมขุนนางตะวันออกเข้าด้วยกันตาย พวกเขาคิดว่ามหาจักรวรรดิแกรนท์น่าจะมีความแตกแยกเกิดขึ้นที่ภาคตะวันออก แต่มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ
“ถ้าอย่างงั้นจะทำยังไงต่อ…?”
“มีอะไร อย่ากั๊ก รีบพูดมาเร็วเข้า.”
“เสื้อคลุมแบล็คคามิเลียของจักรวรรดิองค์ที่สอง ธงมังกรถือดาบสีเงินขาวบนพื้นผ้าสีดำ ยังถูกพบเห็นอีกด้วย……”
“ว่าไงนะ…”
ทุกคนที่อาศัยอยู่ในโลกนี้ต่างรู้ดี นั่นคือธงของหนึ่งในเทพสิบสององค์ของมหาจักรวรรดิแกรนท์ “เทพแห่งสงคราม”และเป็นธงศักดิ์สิทธิ์ของชายที่ให้กำเนิดมหาจักรวรรดิแกรนท์ขึ้นมา
“…ถ้านั่นเรื่องจริงพวกเราเจอปัญหาใหญ่แล้วไง”
เลือดที่ไหลผ่านร่างกายของเขาราวกับถูกแช่แข็ง ปลายนิ้วนั้นเสียความรู้สึกไปแล้ว และความคิดในหัวเขาจะหยุดลง รังกิลล์ที่พูดด้วยน้ำเสียงสั่นกลัวได้ถามออกไปอีกครั้ง
“ยืนยันได้รึเปล่าว่าของจริง?”
“ถ้าที่กล่าวขานในตำนานนั้นถูกต้อง…”
“…จะบอกว่าสายเลือดของจักรพรรดิองค์ที่สองยังไม่หมดไปงั้นเรอะ?”
ชายที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “ราชันวีรบุรุษแฝดทมิฬ” นั้นตายลงโดยไร้ซึ่งบุตรหลาน หลังจากนั้นเสื้อคลุมแบล็คคามิเลียก็ไม่เคยถูกนำมาใช้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่มีใครสามารถสวมมันได้ ใครก็ตามที่พยายามจะใช้มันจะถูกราชันภูติสาปส่งและถูกฆ่าตายในทันที ไม่มีใครบอกถึงรายละเอียดที่แน่ชัดเกี่ยวกับเรื่องนั้น บางทีพวกเขาอาจจะกลัวที่ไปสร้างความโกรธแค้นให้กับราชันภูติ หรือบางทีที่ทำเช่นนั้นก็เพื่อเคารพบรรพบุรุษที่กลายเป็นเทพเจ้าไปแล้ว ความจริงที่ว่าไม่เคยโผล่ออกมาเลย เป็นไปได้ที่สายเลือดของเขาพึ่งจะถูกค้นพบไม่นานมานี้
“จะดีกว่าไหมถ้าพวกเราหลีกเลี่ยงจากด้านข้าง?”
ถ้าต้องสู้กับกองทัพจักรวรรดิที่สี่ที่เหนื่อยล้าอยู่ มากกว่าสู้กับกำลังเสริมที่มีกำลังพลมากและยังสมบูรณ์พร้อม เหนือสิ่งอื่นใดหากมีสัตว์ประหลาดปรากฏขึ้นในสนามรบอีกพวกเขาคงต้องหลีกเลี่ยง เขาต้องริเริ่มแผนก่อนที่ทหารม้าทั้งสองฝ่ายจะล้อมเขาไว้
“ไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ตรงนี้ มาบุกด้วยกองทัพทั้งหมดเลย!”
ด้วยขวัญกำลังใจอันสูงส่งและสถานการณ์ที่ยังคงไปได้ด้วยดี แม้ว่าจะทะลวงผ่านศูนย์กลางไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ให้คาร์ลได้หนีก็ยังดี ทันทีที่ศัตรูโผล่มาอยู่ข้างหลังพวกเขา นั่นหมายถึงทางตันแล้ว ไม่ว่าขวัญกำลังใจจะสูงแค่ไหนก็มีแต่จะถูกทำลายล้างจากทุกด้าน
“ความผิดเป็นของข้าเองที่ไม่มีปัญญาไตร่ตรองให้ดี ความผิดทั้งหมดคือความผิดของข้า.”
หากเป็นกรณีนี้การแยกย้ายกันเพื่อหลีกเลี่ยงการล่มสลาย เขาเป็นนักรบ และเขาเดินไปรอบๆสนามรบด้วยดาบในมือเพียงหนึ่งเล่มตั้งแต่การต่อสู้ครั้งแรกของเขา มันคงไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่ที่เขาจะกลับสู่รากเหง้าของตนเอง
“ท่านคาร์ลพวกเราจะเปิดทางให้ เพราะงั้นพยายามหนีไปโดยใช้พวกทหารเป็นโล่ได้เลย!”
ไม่ต้องการซึ่งคำตอบกลับ เหนือสิ่งอื่นใดไม่จำเป็นต้องถาม
“ตั้งใจฟังให้ดีท่านคาร์ล ข้ามีแผนสุดท้ายให้กับท่าน!”
ส่วนที่เหลือต้องฝากไว้ที่คาร์ล
“การเผาเสบียงของฝ่ายตรงข้ามทำให้ศัตรูไม่อาจสู้เป็นศึกระยะยาวได้ หลังจากนี้พวกกองทัพจักรวรรดิที่สี่จะออกปล้นสะดม พวกเราจะเซอร์ไพร์สพวกนั้นจากเบื้องหลัง หากพวกนั้นกระจายกันไปหมดแล้ว พวกเขาจะไล่ทำลายล้างพวกมันไปทีละหน่วย ถ้าพวกมันไปที่ป้อมปราการพวกเราต้องต้านเอาไว้จนกว่าพวกมันจะหมดแรง จากนั้นพวกเราค่อยเลือกเส้นทางแห่งการทำลายล้างด้วยตัวเอง!”
“จู่ๆพูดบ้าอะไรของนายเนี่ย…….หยุดพูดอะไรแบบนั้นได้แล้ว…?”
“ที่เหลือทั้งหมดข้าขอฝากไว้กับท่าน!”
เขาชักดาบที่เอวออกมาและตะโกนใส่เหล่าทหาร
“อย่าไปกลัว ใช้กำลังใจที่พวกแกมีทำให้ศัตรูต้องร่ำไห้!”
รังกิลล์ตะโกนออกไป
จากนั้น———เขารู้ถึงความสิ้นหวัง
“…ไร้สาระน่า”
ทหารที่ผ่านหมอกฝุ่นไปถูกฝังอยู่ในทราย มีลูกธนูนับไม่ถ้วนติดอยู่ในร่างของพวกเขา และไม่มีใครอยู่ในสายตารังกิลล์ ที่รอดเหลือเลย ร่างกายของเขาเย็นลงด้วยความหวาดกลัว เท้าของอูฐหยุดลงเมื่อเห็นสถานการณ์ผิดปกติ นอกจากนี้กองทัพทั้งหมดยังหยุด คาร์ลซึ่งวิ่งไปกับพวกเขาต่างหน้าซีด ขมวดคิ้วและต้องอ้าปากค้าง
“…มังกรถือดาบสีเงินขาวบนผืนผ้าสีดำ?”
กองบัญชาการของกองทัพจักรวรรดิที่สี่ ธงนั้นราวกับใช้เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจพร้อมกับสายลมเบาๆ เมื่อมองไปทางซ้ายและขวาก็พบเห็นกำลังเสริมของศัตรูที่กำลังพร้อมจะกินเหยื่อ
“ฮ่าฮ่า นี่พวกเราโดนปิดล้อมตั้งแต่แรกโดยไม่รู้ตัว พวกเรายังไม่สามารถให้ท่านคาร์ลหนีไปได้ด้วยซ้ำ”
ในเบื้องหน้า พลธนูของกองทัพจักรวรรดิที่สี่และกองกำลังผสมระหว่างทหารเกราะหนักและเบาเรียงรายกันเป็นระเบียบ แม้ว่าจะเป็นศัตรูแต่ทักษะการบัญชาการของศัตรูนั้นเหนือกว่ารังกิลล์มาก รังกิลล์คิดว่าฝ่ายตรงข้ามคงจะสนุกน่าดูที่ได้ใช้หัวคิดเช่นนี้ ในทางกลับกันทหารเองก็เหนื่อยล้าไม่ต่างกับหมาที่หิวโซเลย
“เมื่อมองย้อนกลับไป มีสิ่งแปลกๆมากมายตั้งแต่เริ่มแล้ว.”
หากเขาคิดแผนการที่ยอดเยี่ยมได้ขนาดนี้ มันก็เป็นไปดั่งที่เขาหวัง เหมือนกับเราเต้นอยู่บนฝ่ามือของจอมบงการ(Mastermind)
“…จากนั้นถ้าให้ข้าเดาเขาเอาตัวเองมาอยู่ในตำแหน่งข้าและยังคิดแผนเดียวกันออกอีก จะบ้าเกินไปแล้ว”
พวกเขาไม่สามารถเสียท่านคาร์ลไปได้ คนเดียวที่ต้องโดนตำหนินั่นคือความผิดพลาดของรังกิลล์
“…วางอาวุธลงและยกธงขาวซะ.”
ดาบและอาวุธจำนวนมากถูกวางลงจากมือของชายที่รู้จักกันในนาม “อินทรีผู้เกรี้ยวกราดแห่งดินแดนตะวันฉาย” ถูกฝังลงไปในทราย ทหารเองก็นั่งลงโดยไม่รู้จะเอายังไงต่อ ราวกับว่าพวกเขาอับจนหนทางไม่มีทางเลือกให้เหลือเลย
“แต่ว่ามีบางสิ่งที่ข้าไม่เข้าใจอยู่อย่าง อะไรทำให้เขาต้องต้อนข้าให้จนมุมถึงขนาดนี้?”
เขาลูบรอยแผลเป็นตรงแก้มของเขาและจ้องมองธงศักดิ์สิทธิ์ของ “เทพเจ้าแห่งสงคราม”ขณะที่มันโบกสะบัดท่ามกลางท้องฟ้า
***
ดวงอาทิตย์กำลังแผดเผาท่ามกลางท้องฟ้าที่ไร้ซึ่งเมฆ มันยังคงส่งความร้อนลงมาเพื่อดูดเอาพลังงานของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยบนพื้นดิน เมื่อมองไปยังพื้นทรายที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาบ่งบอกได้ว่าสถานที่แห่งนี้นั้นไร้ซึ่งความเย็นในเวลากลางวัน
ที่นี่คือราชอาณาจักรลิชไทน์ประเทศที่ถูกครอบงำด้วยทะเลทรายที่แผดเผา เรื่องราวจะถูกเล่าขานให้คนรุ่นหลังได้ฟังยังไงก็คงต้องดูกันต่อไป แต่ตอนนี้ ณ สนามรบไร้นามแห่งนี้ สงครามได้สิ้นสุดลง
สวมชุดเกราะที่หลอมด้วยช่างฝีมือดีถือดาบและหอกที่ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามเพื่อจุดประสงค์ในการฆ่าฟัน ทหารที่ไม่กลัวตายต่างยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ พวกเขาเป็นนักรบที่เกิดขึ้นมาเพื่อสู้ กองทัพจักรวรรดิที่สี่ ผู้พิทักษ์ทางตอนใต้ของมหาจักรวรรดิแกรนท์ ตรงกลางของแถว ในค่ายหลักที่มีการป้องกันอย่างแน่นหนา มีผู้บัญชาการสนามรบสองคนนั่นคือ ลิซ ที่เป็นผู้บัญชาการรบ กับ ฮิโระ ที่เป็นนักยุทธศาสตร์ของเธอ
ดวงอาทิตย์ที่แผดเผาทำให้ลิซต้องเอามือบังหน้า ธงที่มีสัญลักษณ์มากมายถูกชูขึ้นไปเหนือท้องฟ้า
“นั่นมันธงของตระกูลเคลไฮนต์นี่ เป็นของพี่สาวฉันนี่? ทำไมพวกเขามาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”
ไม่แปลกใจที่ลิซจะสงสัย ขุนนางตะวันออกใช้เวลาสองสามวันกว่าจะมาถึงที่นี่ผ่านดินแดนของขุนนางทางใต้ เดินทัพมาด้วยกองทัพเต็มรูปแบบ ฮิโระเข้าหาลิซที่กำลังสับสน แต่ลิซก็ดันชิงพูดก่อน
“ฮิโระ พี่สาวฉันมานี่ด้วยล่ะ”
“เห็นเหมือนกันเหรอลิซ?”
“อืมเพราะนั่นเป็นธงของขุนนางตะวันออก…”
“ใช่แล้ว มีธงของขุนนางตะวันออกจำนวนมากเลยใช่ไหมล่ะ.”
ลิซมองฮิโระ
“…สีหน้าแบบนั้นมันอะไรกันยะ?”
เธอแสดงสีหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นฮิโระหัวเราะใส่เธอ
ฮิโระพยายามกลั้นเสียงหัวเราะ แต่ดูเหมือนลิซจะยิ่งโกรธไปอีก และแก้มของเธอก็พองขึ้น ฮิโระขอโทษและบอกเธอ
“ยังไงก็ตามพวกเขามาที่นี่ได้ยังไงและมีจำนวนเท่าไหร่กันแน่?”
“…อืม ก็ประมาณสามพันนายมั้ง”
เธอดูไม่มีความสุข แต่เธอตอบด้วยท่าทางสมเหตุสมผล ซึ่งดูน่ารักไปอีก
“จริงๆแล้วมีแค่ห้าร้อยนายเอง”
“หมายความว่าไงอ่าา?”
“ก็แค่ทำให้ดูเหมือนกองทัพใหญ่ๆเท่านั้นเอง และกำลังเสริมไม่ใช่ขุนนางตะวันออก แต่คือกองทัพส่วนตัวของคุณคิออร์กต่างหากที่ซ่อนตัวไว้ก่อนหน้านี้”
“กองทัพส่วนตัวของท่านลุง?”
“ใช่แล้ว”
“แต่ว่ามีธงขุนนางตะวันออกจำนวนมากเลยนะ”
“ก็แค่ขอยืมธงมาเท่านั้นเองน่า”
“ดังนั้นนายจะบอกว่าธงนั้นเป็นของขุนนางตะวันออกจริงๆ แต่กองทัพที่พามาคือกองทัพของท่านลุงงั้นเหรอ?”
“ใช่แล้วล่ะ คิดว่าเป็นแผนการที่ดีเลยใช่ไหมล่ะ!”
ทันใดนั้นฮิโระก็ถูกลิซบีบแก้ม และเธอพูดด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
“เพราะแบบนั้นเลยหัวเราะที่เห็นฉันสับสนใช่ไหม เจอนี่หน่อยเป็นไงพ่อตัวแสบ”
“อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาา เจ็บนะลิซ”
“พอใจรึยังล่ะ?”
ในขณะที่ฮิโระพยายามเลือกคำพูด ลิซก็รีบบอกเขา
“ขอร้องล่ะลิซเหยิกจนแก้มบวมไปหมดแล้วเนี่ย อภัยให้ชั้นด้วย.”
“ขอโทษที ครั้งหน้าก็ซื้ออะไรมาให้ฉันเป็นการไุถ่โทษด้วยล่ะ หืม”
หลังจากหยิกแก้มฮิโระลิซก็ปล่อยมือลง
“ตราบใดที่มันไม่แพงเกินไปอะนะ…”
“เอ๋ ? ไม่ใช่ว่านายมีเงินมากไม่ใช่เหรอไง?”
“เอ่อ………นั่นชั้นต้องเก็บไว้สำหรับอนาคต.”
เงินที่ได้จากแม่ม่ายของตระกูลเคลไฮนต์เขาจะต้องเก็บมันไว้ใช้ในอนาคต
ก่อนอื่นก็จำเป็นต้องมีกองทัพส่วนตัวและจ่ายเงินเดือนให้กับพวกเขา จะใช้เงินอย่างสูญเปล่าไม่ได้ แม้ว่าเขาจะแจกทองคำจำนวนมากในระหว่างภารกิจนี้ แต่เขากำลังจะขอให้ราชอาณาจักรลิชไทน์ ชดใช้ค่าปฏิกรรมสงคราม แถมเขายังต้องลดค่าใช้จ่ายลงอีก
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า ฉันไม่ได้อยากได้ของแพงๆอะไรหรอก”
เขาไม่รู้ว่าคำว่า “แพง” ของราชวงศ์นี่ขีดกำจัดมันอยู่แค่ไหน ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่จะต้องทำประกันภัยสำหรับกระเป๋าเงินของฮิโระด้วยการต่อรอง เขานี่ดูเป็นสามีที่ใช้ไม่ได้เลยสำหรับสาวๆ
“ตราบใดที่มันไม่ใช่พวกเพชรพลอย…”
“ไม่ ไม่ ไม่ ฉันไม่ใส่พวกเพชรหรอกนะ”
ลิซขำและบอกปัด ฮิโระได้แต่ถามว่า “งั้นเหรอ?” ขณะที่สังเกตลิซ แม้ว่าเธอจะยังอยู่ในวัยกำลังโต แต่รอยยิ้มอันสดใสก็ชวนให้นึกถึงดอกไม้ที่บานสะพรั่ง และรูปร่างที่สวยงามได้สัดส่วนของเธอทำให้ทุกคนต้องอ้าปากค้างด้วยความชื่นชม ถ้าเธอไม่มาเป็นนักรบ เธอก็คงมีผู้ชายมารุมล้อมมากมายแล้วล่ะ
(พอมาคิดดูแล้ว มีเครื่องประดับน้อยชิ้นที่จะเหมาะกับเธอ)
ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วยว่าเธอไม่จำเป็นต้องแต่งตัว แม้ว่าก้อนหินข้างถนนก็อาจจะกลายเป็นอัญมณีสำหรับเธอได้
“เอาล่ะมารีบๆตั้งหลักและกลับไปที่ลิงซ์กันเถอะ.”
“สัญญาแล้วนะ ถ้าฮิโระโกหก ฉันจะให้ฮิโระได้ลิ้มรสลิเวียธาน”
“ฮ่าฮ่า ถ้าทำแบบนั้นชั้นก็ตายพอดีสิ.”
“ไม่ต้องห่วง แค่ทำให้เกิดอาการเสียดท้องนิดหน่อย.”
ขณะที่ทั้งสองคนคุยกันอย่างสนิทสนมดริกส์ที่เฝ้ามองดู
“พอมาดูจากตรงนี้แล้ว ก็ดูเป็นชายหนุ่มหญิงสาวทั่วไปเลยนะครับ”
หนึ่งคือหญิงสาวที่ได้รับเลือกจากลิเวียธานซึ่งเป็นหนึ่งในห้าจักรพรรดิภูติ และอีกคนเป็นทายาทของจักรพรรดิองค์ที่สอง
นี่พวกเขารู้ตัวไหมว่าหมายความว่าไง?
“อย่างน้อยที่สุดโลกก็จะเฉลิมฉลองการกลับมาของคู่หูราชันภูติ”
TN:บางคนอาจจะสับสนในอเลเทียเรียกคนแบบฮิโระ ที่มีผมดำตาดำ ว่าแฝดทมิฬ ซึ่งไม่เกี่ยวกับราชันภูติเด้อ
――คู่หูราชันภูติ
เพื่อเป็นเกียรติให้แก่จักรพรรดิอัลทิอุสและจักรพรรดิชวาร์ชตช หนึ่งพันปีผ่านไปสายเลือดของทั้งสองจะมาบรรจบกันอีกครั้ง
จักรพรรดิองค์แรกอัลทิอุส ได้มีนักปราชญ์ผู้เรื่องชื่ออย่างชวาร์ชตช ช่วยเขาในการพิชิตโลกใบนี้ ลิซเจ้าหญิงลำดับที่หกซึ่งมีสติปัญญาที่ไม่มีใครเทียบได้ และยังสนิทสนมกับทายาทของเทพเจ้าแห่งสงครามที่พึ่งเข้ามาในศึกชิงบัลลังก์ครั้งนี้
การต้อนรับของเจ้าชายลำดับที่หนึ่งที่มีผู้ช่วยเป็นเผ่าหูยาวนั้นก็น่าสนใจ เจ้าชายลำดับที่สามเองก็เริ่มสะสมความสำเร็จด้วยการได้มาซึ่งหญิงสาวมากพรสวรรค์ที่มีฉายาว่า “เทพธิดาแห่งสงคราม”
“สิ่งนี้จะนำไปสู่ความรุ่งโรจน์หรือความเสื่อมถอยก็ขึ้นกับจักรพรรดิ……และกระผมคิดว่า.”
ในอนาคตการต่อสู้เพื่อชิงบัลลังก์จะมีความเข้มข้นมากขึ้น หากจัดการได้ไม่เหมาะสม อาจจุดชนวนการจลาจลครั้งใหญ่ได้ นอกจากนี้ยังหมายความว่าจะแบ่งแยกตัวจักรพรรดิด้วย
“ท่านดริกส์”
เมื่อเขาหันกลับไปก็พบกับผู้ส่งสารที่คุกเข่าลงข้างหนึ่ง
“มีอะไร?”
“พวกเราจับตัวผู้บัญชาการของราชอาณาจักรลิชไทน์ เคานต์คาร์ลและมาร์ควิสรังกิลล์ได้แล้วครับ.”
”ทำได้ดีมาก อย่าลืมปฏิบัติกับพวกเขาเป็นอย่างดี”
“ฮ่ะ!”
หลังจากผู้ส่งสารวิ่งออกไป ดริกส์ก็เข้าหาฮิโระและคุกเข่าลง
“ฝ่าบาทฮิโระ ดูเหมือนว่าผู้บัญชาการของราชอาณาจักรลิชไทน์จะโดนจับกุมเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ”
“ถ้างั้นมาเริ่มการเจรจากันดีกว่า ช่วยเตรียมเต็นท์ไว้ทีนะ”
“ได้ครับ ฝ่าบาท พวกเราจะดำเนินการในทันที”
“ขอบคุณมาก”
หลังจากโค้งคำนับอีกครั้ง ดริกส์ก็หันหลังกลับไปเตรียมการในทันที
ขณะที่นั่งลงบนเก้าอี้ รังกิลล์อยู่ในสภาวะสับสนอย่างมาก คาร์ลที่นั่งข้างเขาเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน สีหน้าของเขาดูอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
ไม่น่าแปลกใจเลย การปฏิบัติต่อเชลยศึกสงครามนั้นดีกว่ายิ่งกว่าที่พวกเขาปฏิบัติกับทาสซะอีก พวกเขาไม่ได้ถูกทำร้ายร่างกายหรือถูกมัดด้วยเชือก สถานที่ที่พวกเขาถูกนำมาราวกับว่าเป็นสถานที่รวมดาวเด่นในสงคราม
“หมายความว่ายังไงกันแน่เนี่ย?”
“ควรคิดไว้ดีกว่านะครับท่านคาร์ลว่าอีกฝั่งจะทำอะไรบางอย่าง”
รังกิลล์ลูบคางและคร่ำครวญขณะที่พยายามจะพูด แม้จะยังมีสติเหลืออยู่บ้าง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถไขปริศนาตรงนี้ได้
ไม่จำเป็นต้องวางแผนต่อต้าน หากพวกเขาขัดขืดราชอาณาจักรลิชไทน์คงล่มสลาย
ขุนนางคงเปลี่ยนฝั่ง ก่อให้เกิดความโกลาหลในประเทศ โจรจะออกอาละวาดไปทั่ว และมอนสเตอร์เองก็จะเข้าบุกรุกเมือง
“พวกเขาต้องการขยายอาณาเขตงั้นเหรอ?”
“ก็อาจจะเป็นเช่นนั้นแต่ว่าเหตุผลนั้นดูอ่อนแอเกินไปครับ”
ถ้าต้องการดินแดนสิ่งที่พวกเขาต้องทำก็คือการฆ่าล้างบางและเอาบางส่วนในดินแดนที่พวกเขาต้องการไป แม้จะน่าอับอายแต่จากการตายของรังกิลล์ไม่มีขุนนางคนไหนจะกล้าขัดขืนทวงดินแดนคืนหรอก พวกเขาอาจจะยอมจำนนมากกว่าต่อต้าน
“พวกเราไม่จำเป็นต้องหดหู่เพียงเพราะเราแพ้สงคราม หากพวกเขาขอให้พวกเราทำในสิ่งไร้สาระ พวกเราก็ปฏิเสธได้.”
“ถ้างั้น…”
คาร์ลนั้นต่างเต็มไปด้วยความปวดร้าว เขาอาจจะกลัวว่าขุนนางจะโกรธและลงโทษรังกิลล์ได้
เขารู้สึกรับผิดชอบต่อการพ่ายแพ้ในครั้งนี้ แต่เขาต้องการให้คาร์ลเติบโตผ่านประสบการณ์ต่างๆ ในอนาคต สิ่งต่างๆอาจจะมีปัญหาที่ยากกว่านี้ตามมา ทั้งในและนอกประเทศ รังกิลล์อาจจะไม่ได้อยู่เคียงข้างเขาอีกต่อไปเมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งสำคัญ
แม้ว่าจะไม่ใช่โอกาสอันโชคดีสำหรับเขาที่ได้รับประสบการณ์เช่นนี้ แต่เพื่อไม่ให้ถูกหลอกด้วยคำพูดอันสวยหรูของขุนนางรอบตัวเขา โอกาสนี้แหละดีแล้ว
“ข้าขอฝากทุกการตัดสินใจไว้ที่ท่าน.”
คาร์ลพยักหน้าอย่างลัเลให้กับรังกิลล์ที่ดวงตาเปล่งประกาย นานแค่ไหนแล้วที่ความเงียบสงบและน้ำก็มาอยู่ตรงหน้าเขา? เขาชิมมันเล็กน้อยเพื่อสัมผัสว่ามีพิษหรือไม่ แต่ไม่มี
หลังจากคิดว่าไม่มีพิษ เขาก็คิดว่าอาจจะโดนการลอบสังหารแบบต่างๆได้ เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงนิสัยที่มันหวาดระแวงทุกอย่างได้เลย
คนที่เข้ามาในเต็นท์คือสาวน้อยที่สวมชุดพิธีการทับเครื่องแบบทหารของมหาจักรวรรดิแกรนท์
“ผู้บัญชาการกองทัพจักรวรรดิที่สี่ของมหาจักรวรรดิแกรนท์ เซเลีย เอสทรีย่า อลิซาเบธ ฟอน แกรนท์ เจ้าหญิงลำดับที่หกค่ะ.”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเธอ แต่สามารถบอกได้ว่าเธอเป็นผู้บัญชาการคนใหม่ของกองทัพจักรวรรดิที่สี่เพราะมีข่าวลือว่าเธอที่เป็นเจ้าหญิงลำดับที่หกได้ชิงตำแหน่งมา แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักสำหรับรังกิลล์ เป็นเพราะเขาเห็นดาบสีแดงที่ห้อยตรงเอวเธอ
(ดาบภูติจักรพรรดิทั้งห้า เป็นครั้งแรกที่เห็นด้วยตาของตัวเอง แต่ดูค่อนข้างพิเศษ.)
จากนั้นก็มองไปยังเจ้าหญิงและดาบสีแดงสลับกัน และเข้าใจว่าทำไมเธอถึงถูกเรียกว่า “เจ้าหญิงแห่งเปลวเพลิง” ท้ายที่สุดเธอก็ได้รับเลือกจากภูติ และเธอดำรงตำแหน่งสูงสุดด้วยอายุที่น้อยของเธอ คนเหล่านี้น่ากลัวเพราะสามารถแปรเปลี่ยนได้ทุกเมื่อ อย่างไรก็ตาม จิตวิญญาณยังอ่อนแอ และพรสวรรค์ยังไม่เบ่งบาน ดังนั้นรังกิลล์จึงคิดว่าเธอไม่ใช่คนที่ต้อนเขาจนมุม
“…..”
จากนั้นเขาก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาในเต็นท์ เขาถึงกับพูดไม่ออก เขาสวมชุดคลุมสีดำที่มีลายมังกรอยู่บนไหล่เหนือเครื่องแบบทหารเก่าของจักรวรรดิ
ชายหนุ่มที่สวมผ้าปิดตาครึ่งหน้า ตาข้างหนึ่งถูกซ่อนเอาไว้
(…เนตรภูติสวรรค์งั้นเหรอ?)
นั่นเป็นหนึ่งในสามเนตรที่ลี้ลับที่สุดในโลก ซึ่งมันเป็น “ลักษณะเด่น” ของวีรบุรุษส่วนใหญ่ครอบครองสิ่งเหล่านั้น
ไม่มีใครเหลือในโลกนี้อีกแล้ว รังกิลล์เองก็ไม่ทราบเหมือนกัน มีเพียงคนเดียวที่มีผมสีดำตาสีดำ มันมีเพียงคนเดียวในโลกใบนี้
ถึงแม้จะไม่รู้จักชื่อของจักรพรรดิที่แท้จริง แต่พวกเขาก็รู้จักกันในนามของ “เทพแห่งสงคราม”
(นี่มันจะเซอร์ไพร์สเกินไปหน่อยแล้ว ไม่ได้คาดหวังว่าทายาทของจักรพรรดิองค์ที่สองจะมีอยู่จริง.)
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นผู้ถือครอง “เนตรภูติสวรรค์”ที่ถูกกล่าวขานกันในตำนาน
“ชั้นเป็นหัวหน้าเสนาธิการของกองทัพจักรวรรดิที่สี่ของมหาจักรวรรดิ มีนามว่า ฮิโระ ชวาร์ชตช ฟอน แกรนท์ เป็นเจ้าชายลำดับที่สี่ของมหาจักรวรรดิ.”
แม้ว่าใบหน้าของเขาจะยิ้มแย้ม แต่กลิ่นอายอันน่าขนลุกมันออกมาจากตัวเขาอย่างชัดเจน จากส่วนลึกของดวงตา ดวงตาที่มืดแทบทุกซอกทุกมุม มันเหมือนกับขุมนรกที่จะกลืนกินผู้ที่จ้องมองมัน
“ขออนุญาต.”
บุคคลที่อ้างว่าเป็นนายทหารชั้นสองดริกส์ แจกกระดาษสองแผ่นให้กับพวกเขาทั้งสองคน
“ได้โปรดเซ็นต์เอกสารหลังจากอ่านรายละเอียดอย่างถี่ถ้วนแล้วด้วยครับ.”
สิ่งที่เขียนบนกระดาษคือ――,
ราชอาณาจักรลิชไทน์จะยกพื้นที่ทางตอนเหนือให้กับมหาจักรวรรดิแกรนท์ และจะชดเชยค่าปฏิกรรมสงครามทั้งหมด
นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศจะลมนามในสนธิสัญญาไม่รุกรานกันอีกในสองปีข้างหน้า ยกเว้นเหตุการณ์ที่คุกคามความมั่นคงของมหาจักรวรรดิแกรนท์ ซึ่งจะให้สิทธิ์การครอบครองดินแดนใดๆ ต่อราชอาณาจักรลิชไทน์
(เป็นข้อตกลงที่ไม่เลว ทางตอนเหนือของประเทศนับว่ามีประโยชน์ใช้สอยน้อย และการสูญเสียเมืองโอเอซิสหนึ่งที่มันไม่ได้หนักหนาขนาดนั้น เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจว่ามหาจักรวรรดิต้องการไปเพื่อสิ่งใด แต่ว่ามันก็โอเคที่ได้อีกฝ่ายมาช่วยคุ้มกันดินแดนด้วย การชดเชยค่าปฏิกรรมสงครามก็สามารถทำได้ด้วยการขายทรัพย์สินส่วนพระองค์ที่สะสมโดย….บรรดาพี่ชายของคาร์ล)
ขณะที่คิดอยู่รังกิลล์พยายามมองคาร์ลแต่ล้มเหลว ชายหนุ่มผมดำวางมือบนโต๊ะและใช้นิ้ววางลงบนแผนที่
“หากสาธารณรัฐสไตน์เชินบุกราชอาณาจักรลิชไทน์ในอนาคต ทางเราจะส่งกำลังเสริมในการช่วยรบ หากท่านยินยอมที่จะจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามทั้งหมด แม้ว่านี่จะเป็นข้อตกลงที่ไม่ได้เขียนไว้ก็ตาม.”
“…นั่นเอาจริงเหรอครับ?”
คาร์ลเอนหลังจากเก้าอี้และถาม
พูดน่ะง่ายแต่ทำยาก——และมันไม่ง่ายแบบนั้น
ในความเป็นจริงหากสาธารณรัฐสไตน์เชินโจมตีตีและมหาจักรวรรดิแกรนท์รีบเสริมกำลังให้กับทางนี้ก็สามารถสู้กันที่แถบชายแดนได้ซึ่งนั่นจะทำให้เกิดสงครามเต็มรูปแบบกับสไตน์เชิน เว้นแต่เฟลเซ็นที่กำลังฟื้นฟูประเทศ พวกเขาจะต้องหลีกเลี่ยงปัญหาให้มากที่สุด
“ใช่แล้ว หากท่านปรารถนา”
“แต่ว่าแค่สู้กับเฟลเซ็นก็หนักหนาพอแล้วไม่ใช่เหรอ แม้จะเป็นข้อตกลงทางวาจา แต่สามารถทำข้อตกลงแบบนั้นโดยพลการได้เหรอt?”
“แน่นอนครับ เรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้ไม่สั่นคลอนมหาจักรวรรดิแกรนท์ด้วยซ้ำ”
ความหนาวเย็นไหลผ่านกระดูกสันหลังของรังกิลล์ เมื่อเขาเห็นรอยยิ้มฮิโระที่มอบให้คาร์ล เขาสามารถบอกได้ว่าฮิโระกำลังวางแผนบางอย่าง แต่ความตั้งใจนั้นถูกซ่อนภายใต้ความมืดมิด ละมันไม่ง่ายที่จะหาคำตอบ
“ถ้าหากมั่นใจแล้ว กรุณาลงนามในสนธิสัญญาด้วยครับ”
ฮิโระชี้ถึงกระดาษสนธิสัญญา
ไม่มีเวลาจะมาตรวจสอบชายคนนี้ ยิ่งเข้าพยายามซื้อเวลามากเท่าไหร่ ชายคนนี้จะยิ่งคิดสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น คาร์ลจับปากกาในมือ รังกิลล์ถอนหายใจก่อนจะเซ็นชื่อของเขา เขายื่นกระดาษที่กรอกไป และฮิโระก็หยิบมันขึ้นมาตรวจสอบ หลังจากแลกเปลี่ยนคำพูดสองสามคำกับเจ้าหญิงลำดับที่หกเขาก็ยื่นให้กับพนักงานข้างๆ
ในขณะที่เกิดความเงียบ เสียงของรังกิลล์ทำลายความเงียบนี้
“ข้ามีคำถามอยากจะถามสักหนึ่งข้อหากท่านไม่รังเกียจ.”
ฮิโระหันไปมองรังกิลล์
“ไม่มีปัญหา มีอะไรขับข้องใจอย่างงั้นเหรอ?”
“การปิดล้อมที่เอาชนะพวกเราได้นั้นยอดเยี่ยมมาก ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด มันเป็นกลยุทธ์เดียวกันกับข้าที่พยายามใช้กับกองทัพจักรวรรดิที่สี่เลยสินะ.”
กลยุทธ์ที่รังกิลล์ใช้เพื่อเอาชนะกองทัพจักรวรรดิที่สี่คือการล่อให้เข้ามายังส่วนลึกในดินแดนเขาและใช้ป้อมปราการเป็นเหยื่อล่อเพื่อให้พวกเขาคิดว่ากำลังเดินหน้าได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ให้สู้กับกองทัพปลดแอคและเมื่อเหนื่อยล้าจะเข้าล้อมศัตรูและเอาชนะ
ในทางตรงกันข้าม แผนของฮิโระคือการใช้ฐานเสบียงเป็นเหยื่อล่อ ทำให้พวกเขาคิดว่าได้เปรียบ สร้างสถานการณ์ที่พวกเขาไม่สามารถถอยกลับได้ แล้วเปิดฉากปิดล้อมกองทัพราชอาณาจักรลิชไทน์ที่เหนื่อยล้า
พอคิดดูดีๆแล้วมันก็แผนการเดียวกันแต่ขึ้นอยู่กับคนใช้กลยุทธ์ แม้ว่าเงื่อนไขจะต่างกันก็ตาม
“คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ มันเป็นกลยุทธ์ที่เตรียมไว้ล่วงหน้าหรือ….เป็นกลยุทธ์เดียวกับพวกเราที่เตือนถึงความแตกต่างของอำนาจการรบงั้นเหรอ? ข้าอยากจะศึกษาเอาไว้เพื่ออ้างอิงในอนาคต”
“ขอโทษด้วยหากสร้างความขุ่นเคืองให้ แต่ตอนที่ได้ยินรายงานการเคลื่อนไหวของราชอาณาจักรลิชไทน์ ก็เลยรู้ว่าจะใช้มาตราการณ์แบบไหน หลังจากที่เข้าร่วมกับกองทัพจักรวรรดิที่สี่ ไม่ใช่ว่าชั้นคิดมาล่วงหน้าหรอกนะ.”
“เข้าร่วมกองกำลัง หมายถึงตอนที่นายพลไคโลเป็นผู้บัญชาการเหรอ?”
“ใช่ตอนนั้นแหละ ชั้นไม่รู้สถานการณ์ของกองทัพจักรวรรดิที่สี่เลย ดังนั้นเลยไม่แน่ใจว่าต้องใชกลยุทธ์ใดด้วย”
“งั้นเหรอ…”
ชายหนุ่มหลีกเลี่ยงที่จะพูดอย่างชัดเจน แต่เขาอาจหมายถึงทั้งสองอย่างก็ได้ มันเป็นหนึ่งในมาตรการรับมือที่ถูกเตรียมเอาไว้ และเขาคงใช้กลยุทธ์เดียวกับรังกิลล์เพื่อทำให้เขาต้องยอมแพ้
“จากนั้นผู้ส่งสารจะถูกส่งมาจากสภาความมั่นคงของมหาจักรวรรดิแกรนท์ในภายหลัง หากมีคำถามอะไรให้ปรึกษาพวกเขาได้ตามสบาย.”
ฮิโระและเจ้าหญิงออกไปจากเต็นท์ เจ้าหญิงลำดับที่หกออกไปก่อน และฮิโระกำลังจะออกไป
รังกิลล์ รีบเรียกเขา
“ขอถามหน่อยได้ไหมทำไมถึงปล่อยให้พวกเรามีชีวิตรอด? ข้าไม่แน่ใจหรอกว่าจะพูดเองได้ไหม แต่ ข้าเป็นที่รู้จักกันในนาม “อินทรีผู้เกรี้ยวกราดแห่งแดนตะวันฉาย” และเป็นที่หวาดกลัวของประเทศโดยรอบเลยนะ”
ชายคนหนึ่งที่เคยถูกยกยอว่าเป็นวีรบุรุษสาบานว่าจะแก้แค้น และหลังจากสร้างประเทศขึ้นมาใหม่ ไม่ยากที่จะเข้าใจว่าทำไมคนฉลาดแบบเขาถึงไม่คิดแบบนั้น
“แม้ว่าจะพ่ายแพ้ในศึกครั้งนี้ แต่ก็มีส่วนที่ข้าต้องกอบกู้เพื่อศักดิ์ศรีของข้า ถ้าลองคิดดู ท่านน่าจะฆ่าข้าให้ตายเพราะเป็นตัวเกะกะในอนาคต”
รังกิลล์เป็นคนฉลาด แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่ไม่เข้าใจสิ่งต่างๆดีพอที่จะลดลาวาศอกได้ ตอนนี้เขาคงไม่ดีกว่าคนแก่ถูกเด็กถอนหงอก แต่เขาอดไม่ได้ที่จะถามถึงเหตุผลที่ชายหนุ่มคนนั้น
“ช่วยตอบคำถามของข้าหน่อยได้ไหม?”
“มาร์ควิสรังกิลล์!”
คาร์ลที่ใบหน้าซีดเรียกเขาด้วยน้ำเสียงกระซิบ
ถ้าชายหนุ่มไม่พอใจ ทั้งสองคนคงจะคอขาดในตอนนี้ เขาอยากจะบอกว่าเขาไม่อยากจะตายหลังจากที่โดนไว้ชีวิตเอาไว้ ในความเป็นจริงดริกส์กำลังมองมาทางนี้ด้วยความไม่พอใจอย่างมาก หากเขาอยู่ในตำแหน่งของฮิโระคงตัดคอพวกเขาทิ้งไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มผมดำคนนั้นจะไม่ใช่คนที่โกรธง่าย
“นายน่ะฉลาด ฉลาดพอที่จะรู้ว่าอะไรควรไม่ควร”
ฮิโระชี้ไปที่แก้มของรังกิลล์แล้วเดินจากไป ดริกส์เองก็ออกไปอย่างเงียบๆ
คาร์ลลูบหน้าอกและมองไปที่รังกิลล์
“มาร์ควิสรังกิลล์ จู่ๆพูดอะไรแบบนั้นกันครับ เป็นอะไรไป ทำไมเหงื่อไหลเยอะขนาดนั้น.”
แม้ว่าจะไม่บอก แต่เขาก็รู้ว่าเหงื่อจำนวนมากไหลออกจากร่างของเขา ชั่วขณะหนึ่งที่ฮิโระหันหลังเขาสามารถตายได้ทันที มันเป็นจิตสังหารที่รุนแรงมาก
เขามองไปที่คาร์ลซึ่งกำลังมองเขาอย่างกังวล
(…มีแค่หนทางเดียวที่ราชอาณาจักรลิชไทน์จะอยู่รอดงั้นเหรอ?)
ไม่มีทางที่คาร์ลจะสู้กับฮิโระได้เลย จำนวนคนบนโลกที่สามารถทนต่อจิตสังหารอันรุนแรงนั่นได้นั้นมีจำกัด
(พอมาพิจารณาแล้วมันไม่คุ้มค่าที่จะเสี่ยงเลยจริงๆ…)
เขาจะไม่มีวันลืมความบ้าคลั่งเบื้องหลังดวงตาของชายหนุ่มคนนั้น
(บางทีพ่อหนุ่มนั่นอาจจะมาฆ่าเราก็ได้.)
รังกิลล์ลูบรอยแผลเป็นบนแก้มด้วยนิ้วที่กำลังสั่นกลัว
นั่นคือคำเตือน ข้อบ่งชี้ที่ว่าเขาสามารถฆ่ารังกิลล์ได้ตลอดเวลา มันเป็นคำเตือนและคำสาป ไม่ใช่สำหรับปัจจุบัน แต่เป็นอนาคต