[LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก 48 Volume 2 Chapter 5 แผนการของเทพแห่งสงคราม Part 5

ตอนที่ 48 Volume 2 Chapter 5 แผนการของเทพแห่งสงคราม Part 5

Part 5

――เช้าวันถัดมา

 

กองทัพจักรวรรดิที่สี่กำลังเก็บค่ายได้หันหน้าไปทางทิศเหนือด้วยการเคลื่อนทัพแบบปีก มีแนวหน้าหนึ่งพันนายออกเดินทางในตอนเช้าและเริ่มตั้งขบวนห่างออกไปสามกิโลเมตร

 

ข้างหัลงพวกเขามีกองทัพปลดแอคสามพันนายประกอบไปด้วยทาสและทหารรับจ้าง

 

“เปลวไฟถูกจุดแล้ว?”

 

ขณะที่ฮิโระพึมพำ ควันดำก็ลอยสู่ท้องฟ้าจากป้อมปราการที่ถูกทำลายที่อยู่ข้างหน้าไกลกว่ากองทัพแนวหน้า จากนั้นก็เห็นกองทัพราชอาณาจักรลิชไทน์

 

ขวัญกำลังใจของเหล่าทหารน่าจะพุ่งสูงมากเพราะเผาเสบียงฝ่ายตรงข้ามได้ อย่างไรก็ตามกองทัพจักรวรรดิที่สี่ยังคงนิ่งเฉย แต่พวกเขาได้แต่สงสัยว่าทำไมที่นั่นถีงถูกเผา

 

เนื่องจากเสบียงของกองทัพจักรวรรดิที่สี่อยู่ที่อื่น ป้อมปราการที่ถูกเผานั้นมีเพียงอาหารและอาวุธที่ฮิโระนำมาเพื่อล่อศัตรู

 

“เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่แผนทุกอย่างดำเนินไปได้สวย”

 

ฮิโระยักไหล่เมื่อได้ยินคำพูดของดริกส์และนั่งบนเก้าอี้

 

“พวกเขาถูกต้อนจนมุมซะขนาดนั้น ดังนั้นแค่วางเหยื่อล่อนิดหน่อยก็ติดเบ็ดแล้วล่ะ”

 

เขาลูบหัวเดรคที่นอนข้างๆเขาแล้วมองไปที่ดริกส์อีกครั้งซึ่งมองไปทางศัตรูอย่างมีความสุข กองทหารแนวหน้าปะทะกับกองทัพของราชอาณาจักรลิชไทน์

 

“ฝ่าบาทฮิโระ คิดว่าพวกศัตรูเผาเสบียงของเราแล้ว ขวัญกำลังใจของเขาจะสูงขึ้นมาก ถ้าเป็นกองกำลังแนวหน้าอย่างเดียวคงไม่อาจชนะได้ เหนือสิ่งอื่นใดจำนวนนั้นต่างกันเกินไป สมมติว่ากองทหารแนวหน้าถูกทำลายและกองทัพปลดแอคก็พ่ายแพ้เช่นกัน ในกรณีนี้ขวัญกำลังใจของพวกเขาจะยิ่งสูงขึ้นไปอีก พวกเขาอาจจะมุ่งหน้าเข้าหาเรา ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆมันคงจะลำบากนะครับ”

 

ฮิโระยกมือซ้ายขึ้นเพื่อขัดจังหวะดริกส์

 

“เรื่องนั้นน่ะ จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้หรอก”

 

“โฮ่วววว…….ได้เตรียมแผนรับมืออื่นไว้แล้วเหรอครับ?”

 

“แม้ว่าจะเป็นการต่อสู้ที่สามารถชนะได้ แต่ถ้าไม่ระมัดระวังและเตรียมตัวให้พร้อม สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไปทันที นั่นคือในกรณีที่ขวัญกำลังใจของศัตรูเพิ่มมากขึ้นถึงขีดสุด.”

 

กองทัพของราชอาณาจักรลิชไทน์กำลังเหนื่อยล้าถึงขั้นสุด ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกบังคับให้ฝืนรบ โดยไม่ได้หยุดพักและตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาซึ่งมันทำให้เคลื่อนทัพได้อย่างไร้ประสิทธิภาพ

 

“กองทัพของราชอาณาจักรลิชไทน์เริ่มเคลื่อนทัพตั้งแต่เที่ยงคืนยันเช้า พวกเราที่รู้อยู่แล้วก็แค่มาดักรอแค่นั้นเอง”

 

เมื่อดริกส์ลูบคางและยิ้ม ฮิโระก็มองเขาอย่างไม่สบายใจแล้วโบกมือซ้าย ธงถูกชูขึ้น มันเป็นธงดอกลิลลี่บนพื้นหลังสีแดง ธงของเจ้าหญิงลำดับที่หก ลิซ

 

เมื่อได้รับสัญญาณทหารม้าจากทั้งสองปีกค่อยๆเคลื่อนทัพ การก่อตัวของทัพจักรวรรดิที่สี่เปลี่ยนแปลงโดยไร้ซึ่งการหยุดชะงัก หลังจากยืนยันเช่นนั้นผู้บัญชาการก็มาหาฮิโระ

 

“ฮิโระได้เวลาแล้วเหรอ?”

 

เธอเป็นสาวแสนสวย ที่มีผมสีแดงเพลิงซึ่งเหมาะกับตัวเธอ สนามรบที่แสนสกปรกไม่ได้ลดความงามในตัวเธอลงเลยแม้แต่น้อย เธอยังคงแสดงความสง่างามท่ามกลางสนามรบ

 

“ใช่แล้ว ถึงเวลาแล้วล่ะลิซ”

 

“ถ้างั้นก็―.”

 

“ลิซ ชั้นขอให้เธออยู่นี่เข้าใจไหม?”

 

แน่นอนว่าเธอไม่จำเป็นต้องได้ยินจนจบประโยคก็เข้าใจ ผู้บัญชาการจะบุกไปข้างหน้าแบบสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ สายบัญชาการจะหยุดชะงักในทันที มีบางครั้งที่จำเป็นต้องไปด้านหน้า แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ฮิโระยิ้มให้กับลิซที่กำลังพองแก้มด้วยความไม่พอใจและหันมือไปหาเมดที่อยู่ข้างๆเธอ

 

“เธอวางแผนที่จะพาเธอคนนี้ไปที่แนวหน้าด้วยรึไง?”

 

“ฮิโระต้อง…”

 

“ไม่ได้หรอก ชั้นคิดว่าเธอคงจะเกลียดชั้น เธอไม่น่าจะอยากอยู่กับชั้นเท่าไหร่”

 

เธอเมินฮิโระตั้งแต่ได้ยินที่ฮิโระสั่งให้กองทัพปลดแอคไปที่แนวหน้า อาจไม่ใช่ว่าเธอเกลียดเขา แต่เธอระมัดระวังตัวมากขึ้น

 

“งั้นหรอกเหรอ? ฉันคิดว่าเธอแค่ประหม่าเพราะนายเป็นทายาทของจักรพรรดิองค์ที่สองซะอีกนะ?.”

 

ลิซพูดเช่นนั้น แต่ฮิโระทำเป็นไม่ได้ยินและยื่นแขนไปข้างหน้า ปลายนิ้วของเขาคือการต่อสู้ของกองทหารแนวหน้ากับกองทัพของราชอาณาจักรลิชไทน์ เมื่อกองทัพส่งสัญญาณ ให้ปีกขวาและปีกซ้ายมุ่งหน้าเต็มกำลังเพื่อปิดล้อม

 

“แล้วด้านหลังของราชอาณาจักรลิชไทน์ล่ะ? ถ้าเราโจมตีจากสามทิศทาง พวกนั้นอาจจะหนีไปได้นะ.”

 

“สิ่งนั้นได้ถูกเตรียมไว้ตั้งแน่เนิ่นๆแล้ว ไม่มีทางให้พวกเขาหนี ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาน่ะไม่มีทางทำอะไรเลย.”

 

ก่อนที่สงครามจะเริ่มต้น มันจบลงตั้งแต่ที่ฝ่ายนั้นบุกมายังมหาจักรวรรดิแกรนท์ ในแง่ของพื้นที่ อำนาจทางการทหาร ทรัพยากร และประชากร มหาจักรวรรดิแกรนท์เหนือกว่าทุกด้าน หากไม่มีพันธมิตรหรือกำลังเสริม มันก็เป็นเกมที่จบตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มด้วยซ้ำ

 

ไม่ว่าจำนวนจะมากแค่ไหน แต่สงครามนั้นไม่แน่นอนอยู่แล้ว คนที่ตัดสินใจได้เด็ดขาดกว่าจะชิงความได้เปรียบในสนามรบ และคนที่พานำทัพแต่ไม่สามารถชนะได้ยังไงก็ถูกฆ่าตาย ฮิโระรู้สึกสงสารมาร์ควิสรังกิลล์นิดหน่อย

 

(ถ้าเป็นชั้นจะทำอะไรได้บ้างหากอยู่ในตำแหน่งเดียวกับเขา…?)

 

ชั้นเองก็คงไม่พ้นใช้วิธีการเดียวกันเหมือนกับเขา ฮิโระกล่าวได้ว่ามันเป็นเส้นทางเดียวกันกับที่เขาเลือกเมื่อพันปีก่อน ไม่ว่าทางไหนก็ไม่มีทางที่ถูกต้องเสมอไป อย่างไรก็ตามการถอยหลังให้กับสถานการณ์นี้มีแต่จะถูกทำลายล้างเท่านั้น แทนที่จะนั่งรอความตายสู้เปิดเส้นทางไปสู่อนาคตใหม่ยังดีกว่า

 

(ถึงกระนั้น สถานการณ์นั่นก็ใช่ว่าจะเหมือนกับของชั้นทุกประการ.)

 

กองทัพของเจ้าชายถูกกองทัพกบฏฆ่าตายได้ง่ายๆ และที่เหลืออยู่คือเหล่าขุนนางปรสิตที่หวังเกาะกินผลประโยชน์ อย่างไรก็ตามฮิโระชื่มชมในทัศนคติของพวกเขาที่เลือกจะสู้ดีกว่ายอมจำนน

 

เหนือสิ่งอื่นใดแผนการที่ล่อกองทัพจักรวรรดิที่สี่ไปสู้กับกองทัพกบฏและค่อยต้อนให้จนมุม แม้ว่ามันจะล้มเหลวแต่ก็เป็นการตัดสินใจที่ดีเยี่ยม

 

และถ้าเกิดว่ามันสำเร็จสถานการณ์รบจะไหลไปทางฝั่งเขาทันที พวกเขาคงได้รับชัยชนะในศึกครั้งนี้ กลับไปเฉลิมฉลองและถูกยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษอีกครั้ง

 

เพราะแบบนั้นมันเลยน่าเสียดายที่ต้องฆ่าเขา การสูญเสียคนมากความสามารถแบบนั้นไปมันช่างน่าอดสู่

 

(มันคุ้มค่าที่จะหยิบมาใช้งาน ถ้าเขายังมีโอกาสรอดชีวิตอยู่—-แต่จะไม่คาดหวังหรอกนะ)

 

มันยากที่จะจับเขาแบบเป็นๆในสนามรบ ถ้าพยายามจะทำแบบนั้นมันจะสร้างความเสียหายให้กับฝ่ายตนเองอย่างมาก และถ้าตายในสนามรบขึ้นมาก็ไม่มีโอกาสจะได้ใช้งานเขาอีก ณ จุดนี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้ ฮิโระจึงไม่ได้บอกใครเลยว่าอยากได้ตัวรังกิลล์

 

(ปล่อยให้ชะตาเป็นตัวตัดสินว่าเขาจะมีชีวิตรอดหรือถูกฆ่า ไม่ก็――.)

 

ฮิโระลุกขึ้นและโบกแขนขวาไปด้านข้าง ธงผืนหนึ่งปรากฏขึ้นในสนามรบกระพือกว้างราวกับจะเปิดพื้นที่นี้ให้กระจ่าง มันเป็นธงมังกรถือดาบสีเงินขาวบนพื้นหลังสีดำ

 

เสียงเชียร์ดังขึ้นจากเหล่าทหาร เข้าใจได้ว่า มันเป็นธงที่ถูกเก็บไว้เป็นเวลากว่าหนึ่งพันปี เป็นธงที่ถูกฝังลึกไว้ในประวัติศาสตร์และเห็นได้ในหนังสือนิทานเท่านั้น จะเกิดอะไรขึ้นหากมันโผล่ขึ้นมาในสนามรบจริงๆ หัวใจของทหารที่มีศรัทธาอันแรงกล้าต่อเทพแห่งสงคราม จะมีกำลังใจที่สูงมาก ฮิโระยิ้มและชูเอ็กซ์คาลิเบอร์ขึ้น

 

ทหารทั้งหมดต่างหยุดส่งเสียงเมื่อเห็นเอ็กซ์คาลิเบอร์ชี้ไปยังสวรรค์ และปลายดาบก็ส่องแส่งประกายดั่งสายรุ้งท่ามกลางแสงแดด

 

 

 

“กองกำลังทั้งหมดเดินขบวน!”

 

ไม่มีวาทศิลป์สวยหรู มีเพียงคำพูดง่ายๆและไม่มีความโดดเด่นใดๆ ไม่ใช่เสียงที่ถูกตะโกนเพื่อให้ดังไปทั่วทั้งพื้นที่

 

แต่เสียงนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนได้ยิน ทหารแถวแรก แถวที่สอง และกองทัพหลักเริ่มกระแทกหอกกับโล่ลงกับพื้น

 

จักรพรรดิองค์แรกอัลทิอุสเคยกล่าวถึงชายหนุ่มคนนี้ว่า

 

เขาคนนี้นี่แหละที่เหมาะกับฉายาเทพแห่งแสงคราม

 

เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจที่อยู่เหนือกาลเวลา

 

ดังนั้นแม้ว่าเทพแห่งสงครามจะไม่เอ่ยปากออกมา แต่การปรากฏตัวของเขาก็ทำให้ทุกคนตื่นเต้น

 

“ฟู่วววว…”

 

ฮิโระสอดนิ้วเข้าไปในผ้าคลุมและดึงออกมาเพื่อให้หายใจได้ตามปกติ นี่เป็นครั้งแรกหลังจากผ่านมาเป็นระยะเวลานานที่เขาไม่ได้ออกคำสั่ง และเขาเริ่มตื่นเต้นที่ได้กลับมาที่สนามรบอีกครั้งในฐานะผู้บัญชาการ เขาได้แต่คิดว่าทำอะไรผิดพลาดลงไปรึเปล่า และเมื่อเขามองไปที่ลิซ เธอก็พูดพร้อมกับชู ลิเวียธาน ขึ้นไปบนฟ้าและออกคำสั่งแก่เหล่าทหาร

 

(ไปได้สวยเลยไม่ใช่รึไง?)

 

ฮิโระตบหน้าอกของตัวเอง ซึ่งเธอในตอนนี้ดูเหมาะสมที่จะเป็นผู้บัญชาการมากขึ้นแล้ว เขาโล่งใจ แตรก็ถูกเป่าดังขึ้น

 

เสียงตะโกนของเหล่าทหารกลายเป็นท่วงทำนองอันลึกซึ้ง สันสะเทือนอากาศราวกับเสียงคำรามของมังกรและกองทัพทั้งหมดเริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้าโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย และลิซที่เป็นผู้บัญชาการก็ทำในสิ่งที่เธอควรจะทำ

 

“ฮิโระนี่เป็นศึกแรกของนายสินะ ดังนั้นฝากด้วยล่ะ ตอนนี้นายเป็นศูนย์รวมจิตใจของเหล่าทหาร อย่างน้อยก็แก้ไขนิสัยเอื่อยเฉื่อยหน่อยเถอะ”

 

ในการประชุมกลยุทธ์ก่อนรุ่งสางเขาได้รับคำแนะนำจากเธอเล็กน้อย

 

“ฮิโระจะเข้าโจมตีศัตรูทั้งแบบนี้เหรอ?”

 

ลิซถามขัดจังหวะเขา

 

“ไม่พวกเราจะต้องเข้าไปใกล้และรอหลังจากนั้น…”

 

เขาหยุดพูด  ก่อนจะเห็นเงาขนาดใหญ่มาจากแนวหน้า

 

“ดูเหมือนจะเริ่มแล้ว”

 

“อืมใกล้จะจบศึกนี้แล้ว”

 

ฮิโระลูบผ้าปิดตาและยิ้มออกมาอย่างสนุกสนาน

 

“ชั้นจะมอบทั้งความหวังไปแล้วคราวนี้ก็ถึงเวลาลิ้มรสความสิ้นหวังแล้วล่ะ”

 

ฮิโระกุมผ้าปิดตาไว้แน่นขณะที่ยื่นแขนออกไปข้างหน้า

 

 

 

***

 

 

 

แนวหน้า กองทหารแนวหน้าของกองทัพจักรวรรดิที่สี่ อยู่ในความวุ่นวาย ฝุ่นบดบังทัศนวิสัยของพวกเขาและพวกเขาไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์รอบตัวได้

 

“บ้าเอ้ยเกิดบ้าอะไรขึ้นวะ?”

 

“อ๊ากกกกกกก!”

 

นายพลไคโลฟาดดาบลง เลือดพุ่งกระจายไปทั่วท้องฟ้าจากหน้าอกของศัตรู ทหารศัตรูพ่นเลือดออกมาและล้มลงกับพื้น เขายกดาบขึ้นและตะโกนเสียงดัง

 

“ระวังโจมตีพวกเดียวกัน อีกสักพักคงจะมองเห็นได้ง่ายขึ้น!”

 

หากศัตรูทะลวงเข้ามาต้องถอยกลับเพื่อตั้งหลักอีกครั้ง แต่นายพลไคโลหันกลับมามองข้างหลังและกัดฟัน เขาไม่สามารถถอนตัวได้แม้จะต้องการ กองทัพปลดแอคมีส่วนร่วมในการต่อสู้

 

“ถ้าพวกแม่งอยู่เงียบๆ ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้!”

 

พวกเขาไม่สามารถทำผิดพลาดได้และต้องสร้างผลงาน แต่พวกเขาก็ถูกขวางทาง นายพลไคโลยกดาบขึ้นราวกับระบายความโกรธแค้น มีเสียงกรีดร้องและเลือดกระเซ็นไปทั่ว ปลายดายพุ่งทะลุในช่องว่างของชุดเกราะ ทหารศัตรูถูกสังหารไปทีละคน

 

“อย่ามาดูถูกกันนะโว้ย!”

 

เขามีความภาคภูมิใจที่ได้เลื่อนยศมาถึงนายพล เขาผ่านสนามรบมากมาย และผ่านความเป็นความตายมาหลายครั้ง ไม่มีอะไรขาดหายไปในฐานะนักรบ

 

“ท่าน จำนวนศัตรูมีมากขึ้น และคิดว่าคงจะดีกว่าหากถอยจากที่นี่!”

 

“…อึก แต่…”

 

“พวกเราจะมาตายที่นี่ไม่ได้นะครับ!”

 

“รู้อยู่แล้วโว้ย ไม่จำเป็นต้องให้แกบอกหรอก แต่ไม่สามารถปล่อยให้พวกทาสมันมาขวางทางได้.”

 

“พวกมันเป็นแค่ทาส ไม่มีใครบ่นหากพวกมันถูกฆ่าตาย ทำไมพวกเราไม่ฆ่ามันและสร้างเส้นทางหลบหนีล่ะครับ?”

 

“แต่ว่าฝ่าบาทฮิโระจะไม่ให้อภัยแกหากทอดทิ้งทหารของตัวเอง ฆ่าทาส และหนีออกไป”

 

“แต่ว่าในสถานการณ์ที่ฝุ่นหนาแบบนี้แยกแยะมิตรกับศัตรูออกยากนะครับ คิดว่านั่นน่าจะเป็นข้ออ้างได้.”

 

“ก็ได้เอาแบบนั้นก็ได้.”

 

“ถ้างั้น?”

 

“ช่วยไม่ได้ล่ะนะฝุ่นมันหนาเกินไปและพวกเราก็ออกคำสั่งไม่ได้ ไม่มีทางเลือกนอกจากถอย……….”

 

นายพลยังพูดไม่ทันจบก็มีสีหน้าหดหู่

 

“เข้าใจแล้วครับท่าน จากนั้นก็――?”

 

หัวของที่ปรึกษาทิ่มลงกับพื้น

 

“เฮ้ยเป็นอะไรไหม?”

 

นายพลไคโลรีบเข้าใกล้ที่ปรึกษาที่ล้มลง แต่มีลูกธนูปักหัวเขา และเขาก็ตายแล้ว เลือดหยดจากปลายหัวลูกศรและถูกดูดลงไปในทราย

 

“บ้าเอ้ย ชักไม่ดีแล้วไง.”

 

หลังจากนั้นเองลูกธนูจำนวนมากไหลลงมาผ่านหมอกหนาๆ นายพลไคโลรีบยกโล่ขึ้นมาและก้มลงแต่ทหารรอบตัวตอบสนองไม่ทันพากันล้มหายตายจาก เขาคิดว่ามันเป็นการโจมตีจากศัตรู แต่น่าแปลกที่มันมาจากด้านหลังพวกเขา ยากที่จะเชื่อว่าศัตรูจะบุกมาจากด้านหลังเพราะกองทัพปลดแอครอยู่ จากนั้นที่มาของลูกธนูนั้นชัดเจน

 

“พวกทาสมันไม่รู้วิธีใช้ลูกธนูรึไงวะ?”

 

เมื่อฝนธนูหยุดลงนายพลไคโลก็ลุกขึ้นยืนและโยนโล่ทิ้งและดึงลูกธนูที่ติดอยู่ที่แขนขาออก

 

“อึก มีใครอยู่ไหม?”

 

ขณะที่เขาก้าวไปข้างหน้าเพื่อเดินนายพลไคโลก็ต้องหยุด ร่างใหญ่ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา ชายร่างใหญ่ที่มีผิวสีม่วง ในมือขวาถือดาบเปื้อนเลือดในมือซ้ายมีหอกของราชอาณาจักรลิชไทน์อยู่

 

“ทำไมแกถึงมาอยู่ที่นี่?”

 

ชอลร์ตต้าปรากฏตัวเข้ามาหาเขาอย่างเงียบๆ

 

“พูดอะไรสักอย่างสิวะ แกควรจะอยู่ที่ด้านหลังตั้งแต่――.”

 

ไม่ทันจะได้พูดเสร็จดาบก็ถูกย้อมไปด้วยเลือด แทงผ่านหน้าอกของเขา มีบางอย่างร้อนๆผุดขึ้นในลำคอ เขากลั้นปากเพื่ออดทนเอาไว้ จากนั้นก็มองลงไปพบกับหอกที่แทงทะลุร่างของเขา

 

“อั่ก แกทำบ้าอะไรวะ?”

 

เลือดสดๆไหลออกมาระหว่างนิ้ว เข่าของนายพลไคโลงอเมื่อหมดแรง และเขาวางมือลงกับพื้น เงาขนาดใหญ่ปกคลุมเหนือเขา เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็กระวนกระวายใจขั้นสุด

 

“ดูเหนื่อยน่ะหายใจไม่ออกเหรอ?”

 

เป็นไปไม่ได้ที่จะบอกอารมณ์ของซลอร์ตต้าตรงหน้า เขาแค่มองมาที่นายพลไคโล

 

“เป็นความผิดของแก”

 

ชลอร์ตต้ากดดาบไปที่คอของนายพลไคโลพร้อมกับพูด

 

“มีข้อความจากมังกรตาเดียวถึงเจ้า”

 

“…..”

 

“เป็นความรับผิดชอบอันหนักหนาที่แกได้ร่วมมือกับเหล่าทาส เพราะแกประมาทและปรารถนาในการประสบความสำเร็จในหน้าที่มากเกินไปจึงทำให้กองทัพตกอยู่ในความวุ่นวายและยิ่งไปกว่านั้นยังละเมิดวินัยทางทหารซ้ำแล้วซ้ำเล่าซึ่งโทษหนักหนามาก ดังนั้นเลยโดนลดขั้นมา ณ ที่นี้.”

 

นายพลไคโลซึ่งถูกบังคับให้แบกรับความผิดทั้งหมดของสงคราม

 

“อ๊ากกกกกกก…”

 

เขาอ้าปากพูด แต่ดูเหมือนจะไม่สามารถพูดออกมาเป็นคำได้ และมีเพียงเลือดเท่านั้นที่ไหลออกมา

 

“ลาก่อนนายพลไคโล หรือ นายทหารชั้นสองจอมอวดดี?”

 

ไม่สามารถที่จะขอชีวิตได้ ไม่สามารถสาปส่งได้ หัวของนายพลไคโลลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ซลอร์ตต้าที่ตัดหัวเขา กาด้า หันหลังให้กับศพและเข้าร่วมกับกลุ่มทหารรับจ้างที่รออยู่ในที่ๆไกลออกไป เขาดึงบังเหียนของอูฐและพูดขึ้น

 

“รีบออกไปจากที่นี่ งานของพวกเราเสร็จแล้ว.”

 

“ทำไมพวกเราไม่หนีไปล่ะครับ?”

 

“พวกเราจะหนี แต่ว่าต้องทำมันให้อลังการงานสร้างหน่อย”

 

“เดี๋ยวก่อนนะ!”

 

“ถ้างั้นก็จะฝากทุกอย่างไว้ที่นายด้วย เอาล่ะ ตีกลองได้”

 

“เหวอ รีบออกจากที่นี่กันเถอะ ตามชั้นมา!”

 

กาด้าขี่อูฐด้วยความเร็วสูงสุด ทหารรับจ้างเองก็ตามไปเช่นกัน ทหารราบที่สังเกตเห็นก็เริ่มส่งเสียงกลองและแยกย้ายกันโดยเร็วที่สุด

 

“อย่าเข้าใกล้กองทัพของราชอาณาจักรลิชไทน์มากเกินไป พวกนั้นมันไม่สนใจอะไรแล้ว!”

 

ทหารรับจ้างวิ่งเคียงข้างกาด้ารายล้อมไปด้วยเสียงหัวเราะ

 

“เป็นไงบ้าง รู้สีกดีเลยใช่ไหมล่ะ.”

 

“…เออ ค่อยดูเหมือนทหารรับจ้างขึ้นมาจริงๆหน่อย.”

 

กาด้าถอนหายใจออกมา จากนั้นก็มองไปยังค่ายหลักของกองทัพจักรวรรดิที่สี่เขาได้ทำทุกอย่างที่ต้องทำแล้ว ตอนนี้ที่เหลือก็คือรอ

 

วีรบุรุษรังกิลล์แห่งราชอาณาจักรลิชไทน์ อาจสังเกตเห็นแล้ว

 

“ชั้นอุตสาห์ให้ฉายาว่ามังกรตาเดียว แต่บางทีก็มีอีกฉายาที่เหมาะกว่าคือ “ผู้กลืนกินวีรบุรุษ”.”

 

หากทราบเรื่องราวทั้งหมดในสงครามประเทศเพื่อนบ้านจะต้องสั่นคลอนกันอย่างแน่นอน

 

“ไม่ว่าจะเป็นยังไงพวกเราก็หนีกันดีกว่า”

 

ถ้าพวกเขาไม่หนีก่อนที่ฝุ่นจะหายไป ซึ่งฝุ่นนี้ถูกสร้างขึ้นโดยกาด้า

 

“ด้วยดาบจักรพรรดิปีศาจ…ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับพลังเวทย์.”

 

ตอนนี้เขาถูกถอดทิ้งแล้ว มันก็ยากที่จะคงสภาพเอาไว้ พลังเวทย์หมดไม่ได้หมายความว่าถึงตาย แต่จะทำให้เขาเป็นลมและหมดสติไป ถ้าเขาสลบในตอนนี้มันเกี่ยวพันถึงชีวิต

 

“เฮ้อตอนนี้ก็ทำงานเสร็จแล้ว ตอนนี้มาผ่อนคลายกันดีกว่า”

 

เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงใบหน้าของชายหนุ่มสุดเจ้าเล่ห์คนนั้น

 

จะจบเล่มสองแล้วเย้ แปลไวเกินไปไหมฟะ

[LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก

[LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก

Score 10
Status: Completed
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกขนานนามกันว่า “วีรบุรุษแห่งสงคราม.” ณ ต่างโลกที่ซึ่งถูกเรียกว่า อเลเทีย ชายหนุ่มที่ช่วยอาณาจักรที่กำลังจะล่มสลายโดยประเทศข้างเคียง ได้ทำการเข้ากอบกู้และก่อตั้งจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ขึ้นมาและทิ้งมันเอาไว้ให้กับคนรุ่นหลังและกลับโลกที่เขาจากมา เหลือทิ้งไว้ความทรงจำ สามปีผ่านไป ชายหนุ่มผู้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกๆวันก็ถูกเรียกกลับไปต่างโลกอีกครั้ง ยังไงก็ตามแต่ สิ่งที่รอเขาอยู่คือ อเลเทียในอีก 1,000 ปีข้างหน้าเสียแล้ว ชายหนุ่มที่เคยรุ่งโรจน์ได้กลายเป็น “เทพนิยาย”ที่ถูกเล่ากันเป็นตำนานในฐานะ “คู่หูราชาวีรบุรุษทมิฬ”

Options

not work with dark mode
Reset