Part 5
――เช้าวันถัดมา
กองทัพจักรวรรดิที่สี่กำลังเก็บค่ายได้หันหน้าไปทางทิศเหนือด้วยการเคลื่อนทัพแบบปีก มีแนวหน้าหนึ่งพันนายออกเดินทางในตอนเช้าและเริ่มตั้งขบวนห่างออกไปสามกิโลเมตร
ข้างหัลงพวกเขามีกองทัพปลดแอคสามพันนายประกอบไปด้วยทาสและทหารรับจ้าง
“เปลวไฟถูกจุดแล้ว?”
ขณะที่ฮิโระพึมพำ ควันดำก็ลอยสู่ท้องฟ้าจากป้อมปราการที่ถูกทำลายที่อยู่ข้างหน้าไกลกว่ากองทัพแนวหน้า จากนั้นก็เห็นกองทัพราชอาณาจักรลิชไทน์
ขวัญกำลังใจของเหล่าทหารน่าจะพุ่งสูงมากเพราะเผาเสบียงฝ่ายตรงข้ามได้ อย่างไรก็ตามกองทัพจักรวรรดิที่สี่ยังคงนิ่งเฉย แต่พวกเขาได้แต่สงสัยว่าทำไมที่นั่นถีงถูกเผา
เนื่องจากเสบียงของกองทัพจักรวรรดิที่สี่อยู่ที่อื่น ป้อมปราการที่ถูกเผานั้นมีเพียงอาหารและอาวุธที่ฮิโระนำมาเพื่อล่อศัตรู
“เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่แผนทุกอย่างดำเนินไปได้สวย”
ฮิโระยักไหล่เมื่อได้ยินคำพูดของดริกส์และนั่งบนเก้าอี้
“พวกเขาถูกต้อนจนมุมซะขนาดนั้น ดังนั้นแค่วางเหยื่อล่อนิดหน่อยก็ติดเบ็ดแล้วล่ะ”
เขาลูบหัวเดรคที่นอนข้างๆเขาแล้วมองไปที่ดริกส์อีกครั้งซึ่งมองไปทางศัตรูอย่างมีความสุข กองทหารแนวหน้าปะทะกับกองทัพของราชอาณาจักรลิชไทน์
“ฝ่าบาทฮิโระ คิดว่าพวกศัตรูเผาเสบียงของเราแล้ว ขวัญกำลังใจของเขาจะสูงขึ้นมาก ถ้าเป็นกองกำลังแนวหน้าอย่างเดียวคงไม่อาจชนะได้ เหนือสิ่งอื่นใดจำนวนนั้นต่างกันเกินไป สมมติว่ากองทหารแนวหน้าถูกทำลายและกองทัพปลดแอคก็พ่ายแพ้เช่นกัน ในกรณีนี้ขวัญกำลังใจของพวกเขาจะยิ่งสูงขึ้นไปอีก พวกเขาอาจจะมุ่งหน้าเข้าหาเรา ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆมันคงจะลำบากนะครับ”
ฮิโระยกมือซ้ายขึ้นเพื่อขัดจังหวะดริกส์
“เรื่องนั้นน่ะ จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้หรอก”
“โฮ่วววว…….ได้เตรียมแผนรับมืออื่นไว้แล้วเหรอครับ?”
“แม้ว่าจะเป็นการต่อสู้ที่สามารถชนะได้ แต่ถ้าไม่ระมัดระวังและเตรียมตัวให้พร้อม สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไปทันที นั่นคือในกรณีที่ขวัญกำลังใจของศัตรูเพิ่มมากขึ้นถึงขีดสุด.”
กองทัพของราชอาณาจักรลิชไทน์กำลังเหนื่อยล้าถึงขั้นสุด ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกบังคับให้ฝืนรบ โดยไม่ได้หยุดพักและตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาซึ่งมันทำให้เคลื่อนทัพได้อย่างไร้ประสิทธิภาพ
“กองทัพของราชอาณาจักรลิชไทน์เริ่มเคลื่อนทัพตั้งแต่เที่ยงคืนยันเช้า พวกเราที่รู้อยู่แล้วก็แค่มาดักรอแค่นั้นเอง”
เมื่อดริกส์ลูบคางและยิ้ม ฮิโระก็มองเขาอย่างไม่สบายใจแล้วโบกมือซ้าย ธงถูกชูขึ้น มันเป็นธงดอกลิลลี่บนพื้นหลังสีแดง ธงของเจ้าหญิงลำดับที่หก ลิซ
เมื่อได้รับสัญญาณทหารม้าจากทั้งสองปีกค่อยๆเคลื่อนทัพ การก่อตัวของทัพจักรวรรดิที่สี่เปลี่ยนแปลงโดยไร้ซึ่งการหยุดชะงัก หลังจากยืนยันเช่นนั้นผู้บัญชาการก็มาหาฮิโระ
“ฮิโระได้เวลาแล้วเหรอ?”
เธอเป็นสาวแสนสวย ที่มีผมสีแดงเพลิงซึ่งเหมาะกับตัวเธอ สนามรบที่แสนสกปรกไม่ได้ลดความงามในตัวเธอลงเลยแม้แต่น้อย เธอยังคงแสดงความสง่างามท่ามกลางสนามรบ
“ใช่แล้ว ถึงเวลาแล้วล่ะลิซ”
“ถ้างั้นก็―.”
“ลิซ ชั้นขอให้เธออยู่นี่เข้าใจไหม?”
แน่นอนว่าเธอไม่จำเป็นต้องได้ยินจนจบประโยคก็เข้าใจ ผู้บัญชาการจะบุกไปข้างหน้าแบบสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ สายบัญชาการจะหยุดชะงักในทันที มีบางครั้งที่จำเป็นต้องไปด้านหน้า แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ฮิโระยิ้มให้กับลิซที่กำลังพองแก้มด้วยความไม่พอใจและหันมือไปหาเมดที่อยู่ข้างๆเธอ
“เธอวางแผนที่จะพาเธอคนนี้ไปที่แนวหน้าด้วยรึไง?”
“ฮิโระต้อง…”
“ไม่ได้หรอก ชั้นคิดว่าเธอคงจะเกลียดชั้น เธอไม่น่าจะอยากอยู่กับชั้นเท่าไหร่”
เธอเมินฮิโระตั้งแต่ได้ยินที่ฮิโระสั่งให้กองทัพปลดแอคไปที่แนวหน้า อาจไม่ใช่ว่าเธอเกลียดเขา แต่เธอระมัดระวังตัวมากขึ้น
“งั้นหรอกเหรอ? ฉันคิดว่าเธอแค่ประหม่าเพราะนายเป็นทายาทของจักรพรรดิองค์ที่สองซะอีกนะ?.”
ลิซพูดเช่นนั้น แต่ฮิโระทำเป็นไม่ได้ยินและยื่นแขนไปข้างหน้า ปลายนิ้วของเขาคือการต่อสู้ของกองทหารแนวหน้ากับกองทัพของราชอาณาจักรลิชไทน์ เมื่อกองทัพส่งสัญญาณ ให้ปีกขวาและปีกซ้ายมุ่งหน้าเต็มกำลังเพื่อปิดล้อม
“แล้วด้านหลังของราชอาณาจักรลิชไทน์ล่ะ? ถ้าเราโจมตีจากสามทิศทาง พวกนั้นอาจจะหนีไปได้นะ.”
“สิ่งนั้นได้ถูกเตรียมไว้ตั้งแน่เนิ่นๆแล้ว ไม่มีทางให้พวกเขาหนี ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาน่ะไม่มีทางทำอะไรเลย.”
ก่อนที่สงครามจะเริ่มต้น มันจบลงตั้งแต่ที่ฝ่ายนั้นบุกมายังมหาจักรวรรดิแกรนท์ ในแง่ของพื้นที่ อำนาจทางการทหาร ทรัพยากร และประชากร มหาจักรวรรดิแกรนท์เหนือกว่าทุกด้าน หากไม่มีพันธมิตรหรือกำลังเสริม มันก็เป็นเกมที่จบตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มด้วยซ้ำ
ไม่ว่าจำนวนจะมากแค่ไหน แต่สงครามนั้นไม่แน่นอนอยู่แล้ว คนที่ตัดสินใจได้เด็ดขาดกว่าจะชิงความได้เปรียบในสนามรบ และคนที่พานำทัพแต่ไม่สามารถชนะได้ยังไงก็ถูกฆ่าตาย ฮิโระรู้สึกสงสารมาร์ควิสรังกิลล์นิดหน่อย
(ถ้าเป็นชั้นจะทำอะไรได้บ้างหากอยู่ในตำแหน่งเดียวกับเขา…?)
ชั้นเองก็คงไม่พ้นใช้วิธีการเดียวกันเหมือนกับเขา ฮิโระกล่าวได้ว่ามันเป็นเส้นทางเดียวกันกับที่เขาเลือกเมื่อพันปีก่อน ไม่ว่าทางไหนก็ไม่มีทางที่ถูกต้องเสมอไป อย่างไรก็ตามการถอยหลังให้กับสถานการณ์นี้มีแต่จะถูกทำลายล้างเท่านั้น แทนที่จะนั่งรอความตายสู้เปิดเส้นทางไปสู่อนาคตใหม่ยังดีกว่า
(ถึงกระนั้น สถานการณ์นั่นก็ใช่ว่าจะเหมือนกับของชั้นทุกประการ.)
กองทัพของเจ้าชายถูกกองทัพกบฏฆ่าตายได้ง่ายๆ และที่เหลืออยู่คือเหล่าขุนนางปรสิตที่หวังเกาะกินผลประโยชน์ อย่างไรก็ตามฮิโระชื่มชมในทัศนคติของพวกเขาที่เลือกจะสู้ดีกว่ายอมจำนน
เหนือสิ่งอื่นใดแผนการที่ล่อกองทัพจักรวรรดิที่สี่ไปสู้กับกองทัพกบฏและค่อยต้อนให้จนมุม แม้ว่ามันจะล้มเหลวแต่ก็เป็นการตัดสินใจที่ดีเยี่ยม
และถ้าเกิดว่ามันสำเร็จสถานการณ์รบจะไหลไปทางฝั่งเขาทันที พวกเขาคงได้รับชัยชนะในศึกครั้งนี้ กลับไปเฉลิมฉลองและถูกยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษอีกครั้ง
เพราะแบบนั้นมันเลยน่าเสียดายที่ต้องฆ่าเขา การสูญเสียคนมากความสามารถแบบนั้นไปมันช่างน่าอดสู่
(มันคุ้มค่าที่จะหยิบมาใช้งาน ถ้าเขายังมีโอกาสรอดชีวิตอยู่—-แต่จะไม่คาดหวังหรอกนะ)
มันยากที่จะจับเขาแบบเป็นๆในสนามรบ ถ้าพยายามจะทำแบบนั้นมันจะสร้างความเสียหายให้กับฝ่ายตนเองอย่างมาก และถ้าตายในสนามรบขึ้นมาก็ไม่มีโอกาสจะได้ใช้งานเขาอีก ณ จุดนี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้ ฮิโระจึงไม่ได้บอกใครเลยว่าอยากได้ตัวรังกิลล์
(ปล่อยให้ชะตาเป็นตัวตัดสินว่าเขาจะมีชีวิตรอดหรือถูกฆ่า ไม่ก็――.)
ฮิโระลุกขึ้นและโบกแขนขวาไปด้านข้าง ธงผืนหนึ่งปรากฏขึ้นในสนามรบกระพือกว้างราวกับจะเปิดพื้นที่นี้ให้กระจ่าง มันเป็นธงมังกรถือดาบสีเงินขาวบนพื้นหลังสีดำ
เสียงเชียร์ดังขึ้นจากเหล่าทหาร เข้าใจได้ว่า มันเป็นธงที่ถูกเก็บไว้เป็นเวลากว่าหนึ่งพันปี เป็นธงที่ถูกฝังลึกไว้ในประวัติศาสตร์และเห็นได้ในหนังสือนิทานเท่านั้น จะเกิดอะไรขึ้นหากมันโผล่ขึ้นมาในสนามรบจริงๆ หัวใจของทหารที่มีศรัทธาอันแรงกล้าต่อเทพแห่งสงคราม จะมีกำลังใจที่สูงมาก ฮิโระยิ้มและชูเอ็กซ์คาลิเบอร์ขึ้น
ทหารทั้งหมดต่างหยุดส่งเสียงเมื่อเห็นเอ็กซ์คาลิเบอร์ชี้ไปยังสวรรค์ และปลายดาบก็ส่องแส่งประกายดั่งสายรุ้งท่ามกลางแสงแดด
“กองกำลังทั้งหมดเดินขบวน!”
ไม่มีวาทศิลป์สวยหรู มีเพียงคำพูดง่ายๆและไม่มีความโดดเด่นใดๆ ไม่ใช่เสียงที่ถูกตะโกนเพื่อให้ดังไปทั่วทั้งพื้นที่
แต่เสียงนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนได้ยิน ทหารแถวแรก แถวที่สอง และกองทัพหลักเริ่มกระแทกหอกกับโล่ลงกับพื้น
จักรพรรดิองค์แรกอัลทิอุสเคยกล่าวถึงชายหนุ่มคนนี้ว่า
เขาคนนี้นี่แหละที่เหมาะกับฉายาเทพแห่งแสงคราม
เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจที่อยู่เหนือกาลเวลา
ดังนั้นแม้ว่าเทพแห่งสงครามจะไม่เอ่ยปากออกมา แต่การปรากฏตัวของเขาก็ทำให้ทุกคนตื่นเต้น
“ฟู่วววว…”
ฮิโระสอดนิ้วเข้าไปในผ้าคลุมและดึงออกมาเพื่อให้หายใจได้ตามปกติ นี่เป็นครั้งแรกหลังจากผ่านมาเป็นระยะเวลานานที่เขาไม่ได้ออกคำสั่ง และเขาเริ่มตื่นเต้นที่ได้กลับมาที่สนามรบอีกครั้งในฐานะผู้บัญชาการ เขาได้แต่คิดว่าทำอะไรผิดพลาดลงไปรึเปล่า และเมื่อเขามองไปที่ลิซ เธอก็พูดพร้อมกับชู ลิเวียธาน ขึ้นไปบนฟ้าและออกคำสั่งแก่เหล่าทหาร
(ไปได้สวยเลยไม่ใช่รึไง?)
ฮิโระตบหน้าอกของตัวเอง ซึ่งเธอในตอนนี้ดูเหมาะสมที่จะเป็นผู้บัญชาการมากขึ้นแล้ว เขาโล่งใจ แตรก็ถูกเป่าดังขึ้น
เสียงตะโกนของเหล่าทหารกลายเป็นท่วงทำนองอันลึกซึ้ง สันสะเทือนอากาศราวกับเสียงคำรามของมังกรและกองทัพทั้งหมดเริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้าโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย และลิซที่เป็นผู้บัญชาการก็ทำในสิ่งที่เธอควรจะทำ
“ฮิโระนี่เป็นศึกแรกของนายสินะ ดังนั้นฝากด้วยล่ะ ตอนนี้นายเป็นศูนย์รวมจิตใจของเหล่าทหาร อย่างน้อยก็แก้ไขนิสัยเอื่อยเฉื่อยหน่อยเถอะ”
ในการประชุมกลยุทธ์ก่อนรุ่งสางเขาได้รับคำแนะนำจากเธอเล็กน้อย
“ฮิโระจะเข้าโจมตีศัตรูทั้งแบบนี้เหรอ?”
ลิซถามขัดจังหวะเขา
“ไม่พวกเราจะต้องเข้าไปใกล้และรอหลังจากนั้น…”
เขาหยุดพูด ก่อนจะเห็นเงาขนาดใหญ่มาจากแนวหน้า
“ดูเหมือนจะเริ่มแล้ว”
“อืมใกล้จะจบศึกนี้แล้ว”
ฮิโระลูบผ้าปิดตาและยิ้มออกมาอย่างสนุกสนาน
“ชั้นจะมอบทั้งความหวังไปแล้วคราวนี้ก็ถึงเวลาลิ้มรสความสิ้นหวังแล้วล่ะ”
ฮิโระกุมผ้าปิดตาไว้แน่นขณะที่ยื่นแขนออกไปข้างหน้า
***
แนวหน้า กองทหารแนวหน้าของกองทัพจักรวรรดิที่สี่ อยู่ในความวุ่นวาย ฝุ่นบดบังทัศนวิสัยของพวกเขาและพวกเขาไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์รอบตัวได้
“บ้าเอ้ยเกิดบ้าอะไรขึ้นวะ?”
“อ๊ากกกกกกก!”
นายพลไคโลฟาดดาบลง เลือดพุ่งกระจายไปทั่วท้องฟ้าจากหน้าอกของศัตรู ทหารศัตรูพ่นเลือดออกมาและล้มลงกับพื้น เขายกดาบขึ้นและตะโกนเสียงดัง
“ระวังโจมตีพวกเดียวกัน อีกสักพักคงจะมองเห็นได้ง่ายขึ้น!”
หากศัตรูทะลวงเข้ามาต้องถอยกลับเพื่อตั้งหลักอีกครั้ง แต่นายพลไคโลหันกลับมามองข้างหลังและกัดฟัน เขาไม่สามารถถอนตัวได้แม้จะต้องการ กองทัพปลดแอคมีส่วนร่วมในการต่อสู้
“ถ้าพวกแม่งอยู่เงียบๆ ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้!”
พวกเขาไม่สามารถทำผิดพลาดได้และต้องสร้างผลงาน แต่พวกเขาก็ถูกขวางทาง นายพลไคโลยกดาบขึ้นราวกับระบายความโกรธแค้น มีเสียงกรีดร้องและเลือดกระเซ็นไปทั่ว ปลายดายพุ่งทะลุในช่องว่างของชุดเกราะ ทหารศัตรูถูกสังหารไปทีละคน
“อย่ามาดูถูกกันนะโว้ย!”
เขามีความภาคภูมิใจที่ได้เลื่อนยศมาถึงนายพล เขาผ่านสนามรบมากมาย และผ่านความเป็นความตายมาหลายครั้ง ไม่มีอะไรขาดหายไปในฐานะนักรบ
“ท่าน จำนวนศัตรูมีมากขึ้น และคิดว่าคงจะดีกว่าหากถอยจากที่นี่!”
“…อึก แต่…”
“พวกเราจะมาตายที่นี่ไม่ได้นะครับ!”
“รู้อยู่แล้วโว้ย ไม่จำเป็นต้องให้แกบอกหรอก แต่ไม่สามารถปล่อยให้พวกทาสมันมาขวางทางได้.”
“พวกมันเป็นแค่ทาส ไม่มีใครบ่นหากพวกมันถูกฆ่าตาย ทำไมพวกเราไม่ฆ่ามันและสร้างเส้นทางหลบหนีล่ะครับ?”
“แต่ว่าฝ่าบาทฮิโระจะไม่ให้อภัยแกหากทอดทิ้งทหารของตัวเอง ฆ่าทาส และหนีออกไป”
“แต่ว่าในสถานการณ์ที่ฝุ่นหนาแบบนี้แยกแยะมิตรกับศัตรูออกยากนะครับ คิดว่านั่นน่าจะเป็นข้ออ้างได้.”
“ก็ได้เอาแบบนั้นก็ได้.”
“ถ้างั้น?”
“ช่วยไม่ได้ล่ะนะฝุ่นมันหนาเกินไปและพวกเราก็ออกคำสั่งไม่ได้ ไม่มีทางเลือกนอกจากถอย……….”
นายพลยังพูดไม่ทันจบก็มีสีหน้าหดหู่
“เข้าใจแล้วครับท่าน จากนั้นก็――?”
หัวของที่ปรึกษาทิ่มลงกับพื้น
“เฮ้ยเป็นอะไรไหม?”
นายพลไคโลรีบเข้าใกล้ที่ปรึกษาที่ล้มลง แต่มีลูกธนูปักหัวเขา และเขาก็ตายแล้ว เลือดหยดจากปลายหัวลูกศรและถูกดูดลงไปในทราย
“บ้าเอ้ย ชักไม่ดีแล้วไง.”
หลังจากนั้นเองลูกธนูจำนวนมากไหลลงมาผ่านหมอกหนาๆ นายพลไคโลรีบยกโล่ขึ้นมาและก้มลงแต่ทหารรอบตัวตอบสนองไม่ทันพากันล้มหายตายจาก เขาคิดว่ามันเป็นการโจมตีจากศัตรู แต่น่าแปลกที่มันมาจากด้านหลังพวกเขา ยากที่จะเชื่อว่าศัตรูจะบุกมาจากด้านหลังเพราะกองทัพปลดแอครอยู่ จากนั้นที่มาของลูกธนูนั้นชัดเจน
“พวกทาสมันไม่รู้วิธีใช้ลูกธนูรึไงวะ?”
เมื่อฝนธนูหยุดลงนายพลไคโลก็ลุกขึ้นยืนและโยนโล่ทิ้งและดึงลูกธนูที่ติดอยู่ที่แขนขาออก
“อึก มีใครอยู่ไหม?”
ขณะที่เขาก้าวไปข้างหน้าเพื่อเดินนายพลไคโลก็ต้องหยุด ร่างใหญ่ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา ชายร่างใหญ่ที่มีผิวสีม่วง ในมือขวาถือดาบเปื้อนเลือดในมือซ้ายมีหอกของราชอาณาจักรลิชไทน์อยู่
“ทำไมแกถึงมาอยู่ที่นี่?”
ชอลร์ตต้าปรากฏตัวเข้ามาหาเขาอย่างเงียบๆ
“พูดอะไรสักอย่างสิวะ แกควรจะอยู่ที่ด้านหลังตั้งแต่――.”
ไม่ทันจะได้พูดเสร็จดาบก็ถูกย้อมไปด้วยเลือด แทงผ่านหน้าอกของเขา มีบางอย่างร้อนๆผุดขึ้นในลำคอ เขากลั้นปากเพื่ออดทนเอาไว้ จากนั้นก็มองลงไปพบกับหอกที่แทงทะลุร่างของเขา
“อั่ก แกทำบ้าอะไรวะ?”
เลือดสดๆไหลออกมาระหว่างนิ้ว เข่าของนายพลไคโลงอเมื่อหมดแรง และเขาวางมือลงกับพื้น เงาขนาดใหญ่ปกคลุมเหนือเขา เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็กระวนกระวายใจขั้นสุด
“ดูเหนื่อยน่ะหายใจไม่ออกเหรอ?”
เป็นไปไม่ได้ที่จะบอกอารมณ์ของซลอร์ตต้าตรงหน้า เขาแค่มองมาที่นายพลไคโล
“เป็นความผิดของแก”
ชลอร์ตต้ากดดาบไปที่คอของนายพลไคโลพร้อมกับพูด
“มีข้อความจากมังกรตาเดียวถึงเจ้า”
“…..”
“เป็นความรับผิดชอบอันหนักหนาที่แกได้ร่วมมือกับเหล่าทาส เพราะแกประมาทและปรารถนาในการประสบความสำเร็จในหน้าที่มากเกินไปจึงทำให้กองทัพตกอยู่ในความวุ่นวายและยิ่งไปกว่านั้นยังละเมิดวินัยทางทหารซ้ำแล้วซ้ำเล่าซึ่งโทษหนักหนามาก ดังนั้นเลยโดนลดขั้นมา ณ ที่นี้.”
นายพลไคโลซึ่งถูกบังคับให้แบกรับความผิดทั้งหมดของสงคราม
“อ๊ากกกกกกก…”
เขาอ้าปากพูด แต่ดูเหมือนจะไม่สามารถพูดออกมาเป็นคำได้ และมีเพียงเลือดเท่านั้นที่ไหลออกมา
“ลาก่อนนายพลไคโล หรือ นายทหารชั้นสองจอมอวดดี?”
ไม่สามารถที่จะขอชีวิตได้ ไม่สามารถสาปส่งได้ หัวของนายพลไคโลลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ซลอร์ตต้าที่ตัดหัวเขา กาด้า หันหลังให้กับศพและเข้าร่วมกับกลุ่มทหารรับจ้างที่รออยู่ในที่ๆไกลออกไป เขาดึงบังเหียนของอูฐและพูดขึ้น
“รีบออกไปจากที่นี่ งานของพวกเราเสร็จแล้ว.”
“ทำไมพวกเราไม่หนีไปล่ะครับ?”
“พวกเราจะหนี แต่ว่าต้องทำมันให้อลังการงานสร้างหน่อย”
“เดี๋ยวก่อนนะ!”
“ถ้างั้นก็จะฝากทุกอย่างไว้ที่นายด้วย เอาล่ะ ตีกลองได้”
“เหวอ รีบออกจากที่นี่กันเถอะ ตามชั้นมา!”
กาด้าขี่อูฐด้วยความเร็วสูงสุด ทหารรับจ้างเองก็ตามไปเช่นกัน ทหารราบที่สังเกตเห็นก็เริ่มส่งเสียงกลองและแยกย้ายกันโดยเร็วที่สุด
“อย่าเข้าใกล้กองทัพของราชอาณาจักรลิชไทน์มากเกินไป พวกนั้นมันไม่สนใจอะไรแล้ว!”
ทหารรับจ้างวิ่งเคียงข้างกาด้ารายล้อมไปด้วยเสียงหัวเราะ
“เป็นไงบ้าง รู้สีกดีเลยใช่ไหมล่ะ.”
“…เออ ค่อยดูเหมือนทหารรับจ้างขึ้นมาจริงๆหน่อย.”
กาด้าถอนหายใจออกมา จากนั้นก็มองไปยังค่ายหลักของกองทัพจักรวรรดิที่สี่เขาได้ทำทุกอย่างที่ต้องทำแล้ว ตอนนี้ที่เหลือก็คือรอ
วีรบุรุษรังกิลล์แห่งราชอาณาจักรลิชไทน์ อาจสังเกตเห็นแล้ว
“ชั้นอุตสาห์ให้ฉายาว่ามังกรตาเดียว แต่บางทีก็มีอีกฉายาที่เหมาะกว่าคือ “ผู้กลืนกินวีรบุรุษ”.”
หากทราบเรื่องราวทั้งหมดในสงครามประเทศเพื่อนบ้านจะต้องสั่นคลอนกันอย่างแน่นอน
“ไม่ว่าจะเป็นยังไงพวกเราก็หนีกันดีกว่า”
ถ้าพวกเขาไม่หนีก่อนที่ฝุ่นจะหายไป ซึ่งฝุ่นนี้ถูกสร้างขึ้นโดยกาด้า
“ด้วยดาบจักรพรรดิปีศาจ…ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับพลังเวทย์.”
ตอนนี้เขาถูกถอดทิ้งแล้ว มันก็ยากที่จะคงสภาพเอาไว้ พลังเวทย์หมดไม่ได้หมายความว่าถึงตาย แต่จะทำให้เขาเป็นลมและหมดสติไป ถ้าเขาสลบในตอนนี้มันเกี่ยวพันถึงชีวิต
“เฮ้อตอนนี้ก็ทำงานเสร็จแล้ว ตอนนี้มาผ่อนคลายกันดีกว่า”
เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงใบหน้าของชายหนุ่มสุดเจ้าเล่ห์คนนั้น
จะจบเล่มสองแล้วเย้ แปลไวเกินไปไหมฟะ