Part 4
“คิดว่าน่าจะถึงเวลาแล้วที่การบุกโจมตีกลางดึกของเราจะประสบความสำเร็จ”
ฮิโระพึมพำภายใต้ท้องฟ้าอันหนาวเหน็บที่มีเมฆหนาปกคลุมดวงดาว ข้างหลังเขามีทหารราบเกราะเบาสองร้อยคนกำลังเตรียมพร้อมอยู่ พวกเขาทุกคนต่างเงียบ บริเวณนี้มืดและเงียบสงบมาก ท่ามกลางบรรยากาศเช่นนี้ ถัดจากฮิโระ ดริกส์ถามออกมา
“คิดจริงๆเหรอครับว่าศัตรูจะผ่านทางนี้?”
“เพราะแบบนั้นไงถึงได้แนะนำให้บุกกลางดึก ศัตรูนั้นต้องการบุกโจมตีกลางดึกให้สำเร็จ พวกนั้นไม่โง่พอที่จะข้ามทางที่พวกเราสร้างเอาไว้หรอก ยิ่งคนจนมุมมากเท่าไรมันก็ยิ่งลดการระมัดระวังตัวมากเท่านั้น พวกมันต้องการผลลัพธ์ที่เห็นผลในทันที ดังนั้นจะเลือกวิธีที่สั้นที่สุดในการทำศึก และนี่ก็เป็นวิธีเดียว”
เมื่อฮิโระพูดเสร็จ ดริกส์ก็ถอนหายใจด้วยความชื่นชม
“ฝ่าบาทท่านอายุเท่าไรครับเนี่ย?”
“สิบหกย่างเข้าสิบเจ็ดเร็วๆนี้.”
“ทำไมท่านถึงคิดได้ถึงขนาดนั้นด้วยอายุแค่นั้นกันครับเนี่ย นี่มันโครตจะโหดร้ายเลยนะท่าน”
“พอดีอ่านตำราพิชัยสงครามมากเกินไปหน่อย”
“ไม่ ไม่ ไม่ นั่นไม่ใช่ทั้งหมดเลยครับท่าน แม้แต่ท่านที่เป็นสายเลือดของ “เทพเจ้าแห่งสงคราม” ดูเหมือนจะมีความเข้มข้นสูงนะครับ จักรพรรดิองค์ที่สองต้องมีความสุขมากแน่ๆที่มีทายาทเก่งๆเช่นนี้”
ถึงจะพูดแบบนั้นมันก็คือตัวเขาเมื่อสามปีที่แล้ว ถ้าในโลกนี้ก็หนึ่งพันปีก่อน ฮิโระได้แต่พยักหน้าเพราะบอกให้ภูมิใจในตัวเองซึ่งมันก็ยังไงอยู่ เขาเริ่มเงียบและดริกส์เองก็เช่นกัน
“จากรายงานของสายลับที่ปล่อยไปมีทหารอูฐสองพันนาย ในทางกลับกันพวกเรามีทหารราบเกราะเบาห้าร้อยนาย แม้ว่าเราจะดักซุ่มโจมตี พวกเราไม่ก็ไม่สามารถเอาชนะได้เพราะจำนวนต่างกันเกินไป.”
“อย่าคิดมากสิสหาย ถ้าทหารอูฐเริ่มสู้ให้ลั่นกลอง แค่นั้นก็ทำให้พวกเขาสับสนแล้ว จากนั้นก็ยิงธนูใส่รวดเดียว.”
“ครับระวังตัวด้วยท่าน.”
“ฝากที่เหลือด้วยล่ะ.”
ฮิโระดึงบังเหียนขี่สวิฟเดรคและดริกส์เองก็ตะโกนด้วยความตกใจ
“หมายความว่ายังไงครับ ฝ่าบาทมีโอกาสที่ท่านจะโดนลูกหลง…”
“ไม่ต้องกังวล ชั้นมีแบล็คคามิเลียอยู่เธอจะต้องปกป้องชั้นแน่นอน”
ฮิโระทุบอกอย่างมั่นใจและหายไปในความมืด ชั่วขณะหนึ่งดริกส์ตกตะลึง แต่เขาก็เริ่มสั่งทหารทันที เสียงการต่อสู้ด้วยดาบและเสียงตะโกนซ้อนทับกัน และการต่อสู้ที่มองไม่เห็นได้เริ่มขึ้น
“ตีกลองดังๆ และอย่าทำให้เสียงแผ่วเด็ดขาด!”
เสียงเฉือนผ่านอากาศยามค่ำคืนซึ่งเป็นเสียงที่ดังที่สุด จากนั้นเสียงกลองดังก้องไปทั้งสี่ด้าน ทหารร้อยนายกำลังนอนรออยู่ทั้งสามด้าน
มันยังเร็วเกินไปที่ยิง ดริกส์มองเข้าไปในความมืด แสงสีเงินยามค่ำคืนกำลังลากไปในความมืดแล้วหายไป ราวกับอุกกาบาตที่ตกลงมา และเขาอดไม่ได้ที่จะชื่นชมภาพตรงหน้า เมื่อทหารคนหนึ่งตบไหล่เขาดริกส์ก็เค้นเสียงออกมา
“เอาล่ะ หยุดตีกลอง และยิงลูกธนูสู่ท้องฟ้า”
จากนั้นเองเสียงของลมลูกธนูลอยหายไปในความมืด มีการหยุดชั่วคราวและยิงออกไปเพิ่ม มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมากมาย
“เอาล่ะ เหมือนจะโดนเป้าหมายยิงต่อไป!”
ไม่รู้ระยะที่แน่ชัด แต่เหล่าพลธนูยังคงยิงต่อไปเรื่อยๆเมื่อลูกธนูเริ่มหมด ศัตรูก็ตะโกนว่า “หนีเร็ว” หากดวงอาทิตย์ส่องแสง พวกเขาจะเห็นเหล่าศัตรูหนีตายได้ แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นฉากเหล่านั้น
ไม่นานหลังจากนั้น ฮิโระกลับมาด้วยความเร็วสูง ร่างกายของเขานั้นปกคลุมไปด้วยสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้า และยากที่จะมองว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่
ดริกส์วิ่งไปหาและตะโกน
“ฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บรึเปล่าครับ?”
“สบายๆ”
“ดีใจที่ได้ยินเช่นนั้นนะครับ แล้วสามารถลดกองกำลังศัตรูไปได้กี่นายเหรอครับ?”
“ไม่ทราบจำนวนที่แน่นอนแต่เกินกว่าที่คาดไว้มาก หวังว่าพวกเขาจะไม่กลับมาที่เดิมและหนีไปที่อื่น.”
“สถานการณ์ก็เป็นเช่นนั้น บางคนอาจจะไม่สามารถกลับบ้านได้แม้ว่าจะต้องการก็ตาม”
วิ่งหนีไปในความมืดก็เหมือนกับจมหายในมหาสมุทร ไม่มีทางรู้ได้ว่าจะไปทางซ้ายหรือขวา เป็นการยากที่จะคิดให้ถูกต้องเมื่อยังตกใจและสับสน บางคนอาจจะแข็งตายเพราะหลงทางและอากาศที่หนาวเย็น หากพวกเขาได้รับบาดเจ็บโอกาสรอดก็ยิ่งยากไปอีก ดริกส์หยุดคิดว่าจะมีสักกี่คนในสองพันคนที่รอดชีวิต แต่ยามพระอาทิตย์ขึ้นเขาจะรู้แน่ชัด
“กลับไปที่ค่ายแ้ลวไปตบรางวัลให้ทหารดีกว่า.”
ฮิโระพยักหน้า
“นั่นสินะ พวกเรามาพักผ่อนเพื่อเตรียมสำหรับศึกวันรุ่งขึ้น นอกจากนี้ผู้ที่เข้าร่วมในศึกครั้งนี้ จะอนุญาตให้เมาหัวราน้ำไปเลย แต่อย่าหนักเกินจนออกไปรบไม่ไหวล่ะ.”
มีเสียงตะโกนด้วยความดีใจ เท้าของทหารเบาลงราวกับความเหนื่อยล้าทั้งหมดหายไป ปากของฮิโระยิ้มออกมา แต่เมื่อดริกส์เข้ามาเขาก็ทำหน้านิ่ง
“ศัตรูคงรู้ตัวแล้วว่าตอนนี้โดนหลอก”
“แน่นอนสิ ไม่มีเวลาหรือกำลังพลจะบุกอีกครั้งหรอก นี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนั้น”
จากนั้นดริกส์ก็นึกออกราวกับจำบางอย่างได้
“แต่ทำไมมีสายลับคนเดียวที่ได้ถุงเงินเหรียญเงินของสไตน์เชินครับ?”
“…แล้วถ้าเป็นนายจะทำยังไงล่ะนายทหารชั้นสองดริกส์ หากถูกตั้งคำถามหลายคำถาม?”
ขณะกำลังสงสัยว่าจะถูกหลบเลี่ยงรึเปล่า ดริกส์ตอบอย่างตรงไปตรงมา
“ก็คงจะโกรธไม่น้อยเลยสินะครับ คงจะน่าขยะแขยง หากโดนตั้งคำถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า?”
“ก็เหมือนกันนั่นแหละ นายจะทำให้พวกเขาสับสนหากถามคำถามมากเกินไป และอย่าให้เวลาอีกฝ่ายได้ตอบด้วย นั่นคือสิ่งที่เหรียญเงินสไตน์เชินมีไว้เพื่อการนั้น พวกเขากำลังใช้สมองกันให้วุ่นเลยในตอนนี้”
“ก่อนที่จะพบคำตอบปัญหาใหม่ก็เกิดขึ้นสินะครับ?”
“ใช่แล้ว”
“ไม่คิดว่ามันจะล้มเหลวบ้างเหรอครับ?”
“ก็คิดบ้าง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้หากกลัวว่าล้มเหลว นอกจากนี้ แผนยังประสบความสำเร็จโดยไม่มีปัญหาใดๆ ตอนนี้สิ่งที่เราต้องทำคือให้ความหวังแก่พวกนั้นและบอกให้พวกเขารู้ว่าความสิ้นหวังที่แท้จริงมันเป็นยังไง.”
เมื่อฮิโระพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ ดริกส์ตัวสั่นไปชั่วครู่
――ทุกอย่างเต้นบนฝ่ามือของเขา
“ฮ่าฮ่าฮ่า นี่น่ะเหรอ “พรสวรรค์ของราชวงศ์” ไม่สิ ฉายานั้นจะเพียงพอหรือเปล่า…”
เขาอายุเพียงสิบหกปี แต่เขามีพรสวรรค์อันเหลือล้น นอกจากนี้ ศัตรูยังเป็น “อินทรีผู้โกรธเกรี้ยวแห่งแดนตะวันฉาย” เป็นวีรบุรุษของราชอาณาจักรลิชไทน์ที่สามารถเอาชนะกองทัพสไตน์เชินจำนวนสามหมื่นนายได้ แทนที่เขาจะระมัดระวัง แต่กลับทำเหมือนศัตรูเป็นเด็กหัดเดิน
ดริกส์ได้แต่สงสัยว่าชายหนุ่มคนนี้ “มองไปไกลแค่ไหน” และ “เทพเจ้าแห่งสงคราม” บรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่จะมีความคิดเฉกเช่นเขาหรือไม่ คนธรรมดาอย่างเขาไม่มีทางทราบถึงความคิดของผู้มากพรสวรรค์ได้เลย
บางทีเขาอาจจะไม่สามารถรู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของเขาคืออะไร นั่นเป็นเหตุผลที่เขาอยากจะเห็น ความน่าสนใจของชายหนุ่มคนนี้ไปตลอดการเดินทางจะสิ้นสุด
***
“รายงานความเสียหายมาหน่อย”
ริงกิลล์พูดขณะมองดูร่างของอูฐที่กำลังลุกไหม้ อูฐที่ตายแล้วนอนอยู่ทั่วค่าย ไม่มีคนขี่ และทุกคนถูกลูกธนูฆ่าตายหมด
“ความเสียหายเล็กน้อย ผู้รับบาดเจ็บไม่กี่นาย แต่ไม่มีใครเสียชีวิต อูฐที่อาละวาดจุดไฟเผาเต็นท์สองสามเต็นท์ แต่เราสามารถดับมันได้ก่อนจะลุกลาม.”
ทหารและทาสหอบหายใจอย่างหนัก เพราะความเหนื่อยล้า ด้วยความพยายามของพวกเขาการบุกโจมตีกลางดึกจึงจบลงด้วยความล้มเหลว หรือประสบความสำเร็จในการทำให้ศัตรูล่าถอยไปได้ รังกิลล์มองไปที่เต็นท์ที่จัดประชุม
“ปล่อยให้พวกทหารได้พัก.”
“ครับท่าน”
“อีกอย่างหนึ่ง.”
เขาหยุดและมองกลับมาที่รังกิลล์ ทุกอย่างเข้าที่ แต่สิ่งที่ปรากฏคืออูฐหนึ่งพันห้าร้อยนายไร้คนขี่ มันไม่ใช่มนุษย์ที่เขาต่อกรด้วยอย่างหนัก แต่เป็นกลุ่มอูฐที่ถูกผูกด้วยเชือก มันบ้าบอเสียจนเขาพูดอะไรไม่ออก
“ไปเอาทุกสิ่งทุกอย่างจากพวกสายลับมาและตัดหัวมันทิ้งซะ”
“ฮ่ะ!”
“นี่คือสิ่งที่ข้าได้รับหลังจากงับเหยื่อศัตรูหลังจากที่ข้าบอกว่าอย่ารีบร้อนงั้นเหรอ?”
มาตรการทั้งหมดที่พวกเขาดำเนินการมาถึงตอนนี้โดนเหลี่ยมฝ่ายศัตรูเข้าเต็มประตู แถมยังได้ผลอย่างมากอีกด้วย ร้อยเทคนิค พันไอเดีย ความลึกลับนั้นทำให้ความประมาทของเขาดูเหมือนตลกร้าย เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นฝืมือของยอดขุนพลหรือดาราดวงใหม่ที่กำลังเชิดฉายในหาจักรวรรดิ เมื่อเวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน ก็อดคิดไม่ได้ว่าตนเองเริ่มแก่จนพลาดในการตัดสินใจ
“คิดว่าจะตามทันได้อีก แต่…”
ดูเหมือนจะไม่มีพื้นที่ว่างให้เขาได้เติบโตอีกต่อไปรังกิลล์กล่าว เขาไม่เด็กพอหรือมีไหวพริบพอที่จะสร้างประกายแห่งความหวัง
บางทีเขาอาจจะหยิงผยองหลังจากได้รับฉายา “อินทรีผู้กรี้ยวกราดแห่งดวงตะวันฉาย” หลังจากเข้าไปในเต็นท์ รังกิลล์ก็นั่งบนเก้าอี้
“พวกเราจะถอย”
แต่ถ้าเขาถอยกลับพวกขุนนางอาจจะทรยศและถูกฆ่าตายเอง เขาสนับสนุนให้พวกเขาเชื่อว่าพวกเราสามารถเอาชนะได้ แต่ก็พบว่าเขาทำผิดพลาดและพวกขุนนางไม่มีวันให้อภัย
“ถึงแม้ว่ามันจะไม่ฆ่าข้าก็ตาม.”
จะมีขุนนางพยายามจะต่อต้านเขาเสมอ หากพวกเขาอยู่ในเมืองหลวง จะใช้เวลาไม่นานในการล่มสลาย เนื่องจากการก่อบกฏ ดูเหมือนไม่มีประโยชน์ที่จะทำอะไรอีกต่อไป และเขาเบื่อทีจะคิดแล้ว
“ขออนุญาตครับท่าน.”
ที่ปรึกษาปรากฏตัวที่ทางเข้า เขาเดินเข้าไปหารังกิลล์และวางถุงใบเล็กๆสามใบไว้บนโต๊ะ รังกิลล์มองด้วยความเย็นชา
“อะไร?”
“เป็นของพวกสายลับครับ.”
“พวกมันพูดรึเปล่า?”
เขาเปิดถุงสามใบซึ่งตอนนี้ไม่สำคัญ
“ไม่ครับ พวกเขาแค่บอกว่านั่นคือความจริงทั้งหมด.”
“งั้นเหรอ.”
เมื่อเขารู้และเข้าใจว่ามีอะไรอยู่ในกระเป๋ารันกิลล์หัวเราะลั่น
“ยังคิดจะหลอกข้าซ้ำซ้อนอีกเหรอ ต้องเหลี่ยมแค่ไหนวะเนี่ย?”
กระเป๋าทุกใบมีเหรียญทองแกรนท์ สายลับที่รายงานโกหกมีเหรียญเงินสไตน์เชิน เขาพยายามไตร่ตรองเจตนา
“มาร์ควิสรังกิลล์”
ที่ปรึกษาอีกคนเข้ามาด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ
“การบุกโจมตีกลางดึกล้มเหลว ทหารอูฐไม่ถึงห้าร้อยคนกำลังกลับมา!”
อย่างที่คาดการณ์ไว้ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะหนีออกมาได้ เพียงแต่ว่าถูกหลอกมาตั้งแต่เริ่ม
“น่าขายหน้ายิ่งนัก.”
“กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทหารจักรวรรดิสามพันนายของกองทัพจักรวรรดิที่สี่ได้เอาชนะกองทหารหนึ่งหมื่นสามพันนายรวมถึงกองกบฏด้วย.”
เป็นจำนวนเดียวกันกับตอนที่สาธารณรัฐสไตน์เชินบุกมา อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาไม่มีอะไรให้เสี่ยงอีกแล้วสิ่งที่รออยู่คือการล่มสลาย
คมดาบที่มองไม่เห็นได้แทงลึกเข้าไปในร่างกายพวกเขา มันพยายามดูดกลืนชีวิตของพวกเขาโดยที่ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บปวด
――ถอย――.
นั่นคือสิ่งเดียวที่เข้ามาในหัวเขา
“ท่าน ท่าน ท่านรังกิลล์ มีข่าวดีครับ!”
ชายคนหนึ่งกลิ้งเข้ามาในเต็นทม์ ทุกคนต่างมองพร้อมๆกัน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ราวกับว่าผู้ส่งสารจะมองไปที่รังกิลล์คนเดียว
“ใจเย็น เกิดอะไรขึ้น? บอกข้าหน่อยข่าวดีคืออะไร?”
“พวกเราเจอที่ซ่อนฐานเสบียงของศัตรูแล้ว!”
“ว่าไงนะ พูดจริงเรอะ?”
ที่ปรึกษาขึ้นเสียง รังกิลล์เอนหลัง
“ที่ไหน?”
ผู้ส่งสารรีบไปที่โต๊ะยาวชี้ไปจุดหนึ่งบนแผนที่ เป็นป้อมปราการที่กองทัพจักรวรรดิที่สี่ยึดได้แต่ต้น
“พบว่ามีเสบียงอยู่ที่นี่ครับ.”
“พวกคนคุ้มกันล่ะ มีกี่คน?”
“ไม่แน่ใจจำนวนแน่ชัด แต่ประมาณ แปดร้อย ถึง หนึ่งพันนาย.”
“สภาพของป้อมปราการล่ะ”
“ประตูหลักถูกเผาและประตูหลังถูกทำลาย”
“ฟุมุถ้างั้นไม่จำเป็นต้องปิดล้อม.”
รังกิลล์วางมือไว้ที่คางและไคร่ตรอง
“…พวกเราจะออกจากค่ายตามที่เป็นอยู่ จู่โจมป้อมปราการด้วยกำลังรบทั้งหมด เผาเสบียงตอนรุ่งสาง และโจมตีศัตรูที่หมดขวัญกำลังใจจากด้านข้างคิดว่าไง…?”
ศัตรูจะรู้ว่าไม่มีเวลามาให้ฟุ่มเฟือย นี่คือเหตุผลที่เล็งแหล่งเสบียง เป็นไปได้ที่จะจัดการก่อนรุ่งสางและเผาพวกมัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นรังกิลล์ก็วางมือบนโต๊ะของเขา
“ถ้าใครมีข้อสงสัยสอบถามได้เต็มที่อย่ากลัวที่จะถาม.”
“จะปล่อยแคมป์ไว้แบบนี้จริงๆเหรอครับ?”
“ใช่มันใช้เวลานานกว่าจะเก็บกวาดเสร็จ นอกจากนี้ไม่มีประโยชน์ที่จะรีบเก็บค่ายเพื่อดึงความสนใจ.”
ที่ปรึกษาพยักหน้าอย่างพึงพอใจกับคำอธิบาย
“แต่ห้ามไม่ให้ใครพูดถึงเรื่องนี้ อาจมีสายลับแฝงอยู่ บอกให้คนของแกถอนตัว ถ้าสายลับแอบเข้ามา พวกเราจะรู้ตัวทันที.”
เพื่อที่จะขนาบข้างศัตรูพวกเขาต้องคิดว่าพวกเขากำลังอยู่ที่นี่โดยที่ไม่ถูกตรวจพบ หากสายลับแอบเข้ามา ให้เขารายงานว่าพวกเราหนีไปแล้ว สีหน้าของรังกิลล์ดีขึ้น เขาเปล่งเสียงที่ทรงพลังออกมา
“พวกเราจะบุกโจมตีป้อมปราการเพื่อเป็นศึกตัดสินชี้ชะตาของพวกเรา ถ้าเข้าใจแล้วก็เคลื่อนไหวได้.”
“ครับท่าน!”
ดวงตาที่เต็มไปด้วยความมืดกลับมามีแสงสว่างอีกครั้ง และหัวของเขาก็เริ่มโล่งขึ้นมา
“ในที่สุดก็สามารถหาจุดตัดสินกันได้สักที”
ปากก็บอกว่าปวดหลัง ปวดนิ้ว แต่ก็ยังแปลอยู่ แปลต่อ หยุดไม่ได้