Part 7
ค่ายของราชอาณาจักรลิชไทน์กำลังตื่นตระหนกเมื่อได้ยินเสียงกลองที่สะท้อนจากกองทัพจักรวรรดิที่สี่
“ศัตรูบุก! ทหารม้าของศัตรูเคลื่อนทัพมาแล้ว!”
“นำทาสไปข้างหน้าสร้างกำแพงป้องกันและส่งพลธนูไปข้างหน้าเพื่อยิงสกัดกั้น”
มาร์ควิสรังกิลส์ มองไปที่ขุนนางอย่างขยะแขยงแล้วกัดฟันด้วยความหงุดหงิด
“พวกมันเริ่มมาแล้ว…”
ไม่กี่วิที่ผ่านมาพวกเขาพึ่งทราบว่าผู้บัญการของกองทัพจักรวรรดิที่สี่ถูกแทนที่ จึงพยายามศึกษาตัวคนนำทัพฝ่ายศัตรู สิ่งแรกที่เขาทำคือนำทหารอูฐไปข้างหน้าเพื่อดูว่าพวกเขาจะตอบสนองอย่างไร
“นี่มันกำลังซัดเราเข้ามาเหรอ?”
พวกเขานำทัพเข้ามาในเวลาที่เหมาะสม ถ้านี่คือความสามารถของเจ้าหญิงลำดับที่หก มันน่ากลัวมาก แม้ว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น แต่ก็เป็นที่ชัดเจนว่ามีคนที่มากความสามารถเข้าร่วมด้วย
อย่างที่คาดเอาไว้มหาจักรวรรดิแกรนท์ ซึ่งเป็นมหาอำนาจที่โดดเด่นในโลก อย่างไรก็ตาม ไม่มีเวลามาประทับใจเรื่องนั้น
“อย่าตกใจ พาทหารอูฐไปทางซ้ายและขวา!”
ไม่ว่าเจตนาของศัตรูจะเป็นยังไง พวกเขาก็ต้องหลีกเลี่ยงการถูกล้อม
“นำพลธนูไปข้างหน้า ศัตรูกำลังมาทางนี้ นี่เป็นโอกาสอันดี!”
จากนั้นก็ตระหนักได้ว่าชายที่อยู่ด้านหลังของทหารม้าคือชายคนนั้น
“อย่างที่คิด มาด้วยสินะ”
บาดแผลที่ชายชุดดำทิ้งไว้ยังคงลึกอยู่ ไม่ใช่แค่ทาสเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทหารทั่วไปที่ได้รับการบอกกันตามเรื่องราวและความกลัวบนใบหน้าของพวกเขา วิธีเดียวที่จะลบล้างความกลัวคือให้ความมั่นใจแก่พวกเขา ราวกับจะบดขยี้ความวิตกกังวลของเขา รังกิลส์พูดกับตัวเองว่าเขาจะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ทุกวิธีทาง
“พลธนูเตรียมตัว!”
ขณะที่ออกคำสั่ง ฉากแปลกๆก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ทหารม้าของศัตรูได้กระจายตัวและแยกย้ายกันไปเมฆฝุ่นขนาดใหญ่ลอยขึ้นทำให้ท้องฟ้าเป็นสีน้ำตาล
“ลมแรงงั้นเหรอ…?”
ทหารม้าหายเข้าไปในฝุ่น ได้ยินเพียงเสียงคำรามของเกือกม้าและเสียงตะโกน สถานการณ์นั้นไม่ค่อยน่าพอใจนัก แต่เขาดีใจที่ชายชุดดำไม่อยู่ในสายตาอีกต่อไป ทหารส่วนใหญ่ยังไม่ทราบว่าเขาโผล่มาในสนามรบ
“ยังไงก็ตาม พวกเขาวางแผนที่จะซ่อนตัวอยู่ในทรายและตั้งวงล้อมงั้นเหรอ? หากเป็นกรณีนี้ พวกเรากำลังโดนดูถูกอยู่.”
รังกิลล์มองไปรอบๆทุกทิศทางแล้วขึ้นเสียง
“ปีกซ้าย ปีกขวาไปข้างหน้า! กลุ่มแรกถอยออกมา!”
ออกคำสั่งให้ปิดล้อมกลับไป
ผ่านมาจากนั้นไม่นาน
“…ไม่มีศัตรูโผล่มางั้นเรอะ?”
เขาสังเกตถึงบางอย่างแปลกๆแต่เสียงกลองและเสียงเกือกม้ายังคงทำให้แก้วหูของเขาสั่นสะเทือน
“ไม่ใช่……..ถอยออกไปแล้วงั้นเหรอ?”
เมื่อถึงเวลาที่คิดว่าจะโดนบุก มันก็สายไปเสียแล้ว ทหารม้าหายไปทั้งหมด เขากำลังไตร่ตรองถึงจุดประสงค์ของศัตรู จากนั้นก็โดนขัดด้วยเสียงของทหาร
“ผู้ชายชุดำ เขาโผล่มาอีกแล้ว”
เสียงดังกล่าวดังมาจากแถวหน้า ความสับสนเข้าผ่านกองทัพและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
“เกิดบ้าอะไรขึ้นวะ…?”
โดยไม่ให้เวลาเขาคิดด้วยซ้ำ รังกิลล์เงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ พื้นที่รอบๆเกิดความโกลาหลขึ้น และมีการพังทลายของกองทัพ ไม่เพียงแค่นั้นทหารยังหยุดชะงักโดยสิ้นเชิง
รังกิลล์ปวดหวัและเอามือแตะหน้าผาก มองไปที่เดียวกันกับทหาร
ชายคนหนึ่งในชุดสีดำเสื้อคลุมสีดำยืนอยู่ตรงนั้น
ภาพของการสังหารหมู่กลับเข้ามาในใจเขา ร่างกายของเขาสั่นสะท้านไปด้วยความกลัว รังกิลล์ไม่ได้มีเวลามากพอที่จะสั่นกลัว
หลังจากตบแก้มของตัวเองเพื่อดึงสติกลับมา รังกิลล์หายใจเข้าเล็กน้อยและอ้าปาก
“อย่าเสียขบวน! ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นชายเพียงคนเดียว กลัวอะไร?”
“แต่ว่าไอ้หมอนั่นมันจัดการกองทัพหนึ่งพันคนด้วยตัวคนเดียว!”
“อย่าไปกลัว พวกเราเตรียมตัวมาพร้อมแล้ว”
เพื่อตอบโต้กับชายชุดดำพวกเขารวบรวมทหารชำนาญการหนึ่งร้อยนายและจัดตั้งหน่วยพิเศษขึ้นมา สำหรับคนที่สามารถต่อกรกับทหารหนึ่งพันนายได้ แม้ว่าจะเป็นระดับหัวกะทิหนึ่งร้อยนายอาจจะไม่เพียงพอ แต่ตราบใดที่ซื้อเวลาได้ ก็ไม่มีปัญหา ในขณะที่จมปลักอยู่กับหน่วยหัวกะทิ จะต้อนกองทัพจักรวรรดิที่สี่ออกไป
ท้ายที่สุดแล้วจำนวนที่มากกว่าก็ไม่สามารถต่อต้านได้ด้วยตัวคนเดียว
“แกจะต้องได้รับสิ่งนี้.”
รังกิลล์ชักดาบออกจากเอวแล้วเล็งไปที่ผู้ถือธง ทหารอูฐหนึ่งร้อยนายที่ได้รับเลือดเป็นพลทะลวงในการโจมตี เขาเริ่มรุกคืบเข้าไป
“เมื่อการต่อสู้ระหว่างพวกพลทะลวงกับชายชุดดำเริ่มต้นขึ้น พวกเราจะบุกเข้ากองทัพจักรวรรดิที่สี่ จากนั้นจะให้พวกพลทะลวงเหล่านั้นล่อชายคนนั้นเอาไว้.”
“ครับ ถ้างั้นจะไปแจ้งกองทัพให้เตรียมพร้อม”
“อืม”
ยังไงก็ตาม การต่อสู้ไม่ได้เริ่มขึ้นสักที รังกิลล์จึงได้แต่สงสัยและผู้ส่งสารก็เข้ามาหา
“ตัวปลอมครับ ! ชายคนนั้นเป็นตัวปลอม!”
“หือ หมายความว่าไงตัวปลอม?”
“มันแค่ท่อนซุงที่ผูกไว้กับถุงทรายและคลุมด้วยผ้าสีดำครับ.”
มีเสียงดังสนั่นขึ้น มันเป็นเสียงของบางสิ่งที่ผู้ส่งสารทำหล่นจากหลังของเขา มันเป็นท่อนซุงที่มีผ้าคลุมสีดำอยู่
“…หือ บ้าอะไรวะเนี่ย?”
เขาตกใจจนพูดไม่ออก บางทีเขาอาจจะกลัวเกินไปจนตกกลอุบายแบบเด็กๆนี่เข้าจังๆ
“ข้างหน้าเองก็มีเหมือนกันครับ.”
“…หะ?”
นั่นคือตรงที่กองทัพจักรวรรดิที่สี่และกองทัพกบฏต่อสู้กัน มีรอยขุดขนาดใหญ่ในพื้นดินที่สามารถมองลงไปได้จากทุกด้าน ท่ามกลางศพมีท่อนซุงจำนวนมากปกคลุมด้วยผ้าสีดำราวกับว่าเป็นหลุมฝังศพ
“ทำเหมือนกับตรูเป็นคนโง่”
เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ ทุกคนรู้ว่าชายชุดดำนั้นเก่งกาจ แต่ไม่มีการรับประกันเลยว่าจะไม่ซ่อนตัวภายใต้ท่อนซุงเหล่านั้น หรือมีตัวจริงปะปนอยู่ หลายคนต่างคิดแบบเดียวกัน นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาลังเลจะลงมือ
“สงสัยเหลือเกินว่าจุดประสงค์ที่ทำลงไปคือการออกไปจากที่นี่ หรือกำลังปิดล้อมพวกเรา ไม่ว่าจะเหตุไหน ก็ไม่เคยคิดว่าศัตรูจะทำได้ดีขนาดนี้.”
ฝั่งตรงข้ามกับกองสุสานกองทัพจักรวรรดิที่สี่กำลังล่าถอยโดยแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัด มันเป็นการล่อให้เหยื่อกินเบ็ดอย่างดี หากพวกเขาจะเข้าโจมตีเขาก็จะต้องผ่านจุดนี้ไป หากมันเป็นกำดัก ไม่เพียงแต่จะเสียเปรียบด้านสมรภูมิรบ แต่ยังต้องตายฟรีอีกด้วย
นอกจากนี้ หากชายชุดดำคนนั้นซ่อนตัวอยู่ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะแยกออกได้เลย ยิ่งสู้ก็ยิ่งแพ้ทางศัตรู
“ถ้าเราเลี่ยงสถานการณ์ตรงนี้และไล่ตามฝ่ายตรงข้าม…”
ไม่เพียงแต่ฝ่ายตรงข้ามจะใช้แผนสกัดกั้นเท่านั้น แต่ยังมีความเป็นไปได้ที่ขบวนทัพของเขาจะถูกขัดขวางอีกด้วยและถูกบังคับให้เข้าสู่การต่อสู้ ถ้าเป็นแบบนั้นไม่ว่าเลือกเดินทางไหนก็หายนะ
“แม้ว่าจะเป็นดินแดนของศัตรู แต่ก็สามารถควบคุมสนามรบได้อย่างอิสระ แถมทำให้ตัวเองได้เปรียบอยู่ฝ่ายเดียว ฝ่ายตรงข้ามมันมีสัตว์ประหลาดอย่างเทพเจ้าแห่งสงครามรึไงเนี่ย”
หลังจากหัวเราะเยาะเย้ยเล็กน้อย รังกิลล์ก็มองไปบนท้องฟ้า กลางคืนกำลังมาถึง หากพวกเขาปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปจะเกิดแต่การทำลายล้างเกิดขึ้น
รังกิลล์แสดงสีหน้ามืดมน เส้นทางสู่ชัยชนะถูกปิดกั้นอย่างสมบูรณ์แบบ กำลังใจในการรบถูกบดขยี้ย่อยยับ หากพวกเขาหาทางออกในสถานการณ์นี้ไม่ได้ ก็เตรียมรับความพ่ายแพ้
รังกิลล์ราวกับเจอกำแพงที่มองไม่เห็นตั้งตระหง่านอยู่ไกลๆ