[LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก 42 Volume 2 Chapter 4 มังกรตาเดียว Part 6

ตอนที่ 42 Volume 2 Chapter 4 มังกรตาเดียว Part 6

Part 6

ดวงอาทิตย์อันร้อนระอุกำลังส่องลงมาที่ค่ายหลักของกองทัพจักรวรรดิที่สี่ อย่างไรก็ตาม อากาศที่นั่นสงบ สามารถเห็นทหารหลายคนพูดคุยและหัวเราะออกมา ฉากนั้นมันดูสนุกสนานเสียจนไม่คิดว่าอยู่ท่ามกลางสงคราม

 

ข้างในโต๊ะธรรมดาที่มีแผนกางออกและนายพลไคโลและทีมงานของเขาล้อมรอบ

 

“หน่วยสอดแนมรายงานว่ากองทัพของราชอาณาจักรลิชไทน์กำลังถอย――.”

 

ที่ปรึกษาคนหนึ่งวางชิ้นส่วนลงบนแผนที่

 

“ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังรออยู่ที่นี่ว่าเกิดอะไรขึ้น ดูเหมือนว่าศัตรูจะส่งหน่วยสอดแนมมาเช่นกัน ซึ่งหมายความว่าสถานการณ์ของเรากำลังถูกศัตรูจับจ้องอยู่”

 

ที่ปรึกษาเงยหน้าขึ้นและมองนายพลไคโล

 

“แบบนั้นจะไม่เป็นไรเหรอครับท่าน? คำสั่งของเจ้าชายลำดับที่สี่คือการส่งหน่วยสำรองไป.”

 

“ไม่สนโว้ย ข้าไม่สนใจคำสั่งของคนที่ไม่มีตัวตนได้หรอก จะเกิดอะไรขึ้นหากมันเป็นสายลับของศัตรู?”

 

“แต่ว่ามันเป็นที่แน่นอนแล้วนะครับว่ากองทัพของราชอาณาจักรลิชไทน์ ทหารม้าสองพันคนไม่เพียงพอแน่ครับ.”

 

“พวกแกนี่กังวลกันมากเกินไปแล้ว ถ้าเป็นคิกุยมันคงไม่บ่นแบบนี้หรอก”

 

คิกุยเป็นนายพลคนที่สองที่คอยช่วยเหลือนายพลไคโล เขาเผชิญหน้ากับปีศาจอย่างประมาทและเสียชีวิตในสนามรบ เมื่อนายพลไคโลทราบเรื่องการตายเขาโกรธมากจนเกือบลืมตัว แต่ที่ปรึกษาของเขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำให้เขาสงบลงและเขาก็สามารถเลี่ยงสถานการณ์นั้นได้

 

“และเจ้าชายลำดับที่สี่ก็ชูธงของจักรพรรดิที่สองใช่ไหม?”

 

“ได้ยินมาเช่นนั้นครับ”

 

“ถ้าเขาเป็นทายาทของจักรพรรดิองค์ที่สองจริง เขาจะสามารถทำตามตำนานได้.”

 

“ถ้าเขานำทัพหนึ่งหมื่นคนไม่มีใครเทียบได้ในสวรรค์ ถ้าเขานำคนพันคน เขาก็ไม่มีใครเทียบได้บนพื้นแผ่นดินโลก กลยุทธ์ของเทพแห่งสงครามควบคุมโลกได้ทั้งใบ———–นั่นคือสิ่งที่กล่าวในตำนานใช่ไหม?”

 

“ใช่ ฟังดูไร้สาระชิบหาย แต่ถ้าเป็นทายาทจริงๆทหารสองพันนายก็น่าจะพอแล้ว ศัตรูมากมายขนาดไหนก็ทำอะไรไม่ได้ไม่ใชเหรอวะ.”

 

นายพลไคโลหัวเราะ ดูเหมือนเขากำลังดูถูกฮิโระ

 

ที่ปรึกษาคนหนึ่งดูเหมือนจะคิดว่านายพลพูดตลกร้าย แต่เขาต่างคิ้วขมวดและพูดอย่างใจเย็น

 

“มันเป็นตำนานและเรื่องจริงเราไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง เหนือสิ่งอื่นใดหากเขาเป็นทายาทตัวจริงล่ะ? ไม่ต้องพูดถึงพลเมืองหลายคนในกองทัพจักรวรรดิที่สี่ซึ่งศรัทธาในตัวเขา หากพวกเขารู้ตำแหน่งของนายพลไคโลจะตกอยู่ในอันตรายได้”

 

เห็นได้ชัดจากคำพูดของเขาว่าเป็นหนึ่งในคนที่ศรัทธาเช่นกัน

 

นายพลไคโลที่รอยยิ้มจางหายไปและความโกรธของเขาเพิ่มมากขึ้น

 

“หุบปาก แรงค์ของแกคืออะไร ดริกส์?”

 

“นายทหารชั้นสองครับท่าน”

 

“ถ้ารู้ตัวดี เฮ้ยพวกเอ็งเอามันออกไป”

 

นายพลไคโลโบกมือให้อย่างสง่างามกระตุ้นให้นายทหารคนอื่นๆพาดริกส์ออกไป

 

“รีบๆออกไปเลย แกคงไม่เหมาะที่นี่”

 

“…ขออนุญาต”

 

ที่ปรึกษาคนอื่นๆมองไปทางดริกส์ ขณะที่รู้สึกสงสาร อย่างไรก็ตาม ดริกส์ที่ถูกไล่ออกไปก็ออกไปไม่ได้

 

เพราะ――,

 

“นายทหารชั้นสอง ดริกส์ คุณได้รับอนุญาตให้อยู่ที่นี่ต่อ”

 

มีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ที่ทางเข้า เป็นหญิงสาวผมสีแดงเพลิง ที่ปรึกษาทุกคนต่างก้มศีรษะเมื่อเห็น “เจ้าหญิงแห่งเปลวเพลิง”ปรากฏตัวขึ้น นายพลไคโลรีบปั้นหน้าขึ้นมาทันที

 

“ลมอะไรหอบมาครับเนี่ย? คิดว่าน่าจะเคลื่อนทัพทางปีกซ้ายอย่างเห็นแก่ตัวเพื่อบุกราชอาณาจักรลิชไทน์ไม่ใช่เหรอครับ?”

 

ลิซขมวดคิ้วกับคำพูดประชุดประชัน

 

“ฉันมาเพราะอยากคุยเกี่ยวกับเรื่องนั้นพอดี เหตุใดถึงไม่ตอบรับคำขอกำลังเสริมจากทางเรา พวกเราส่งจดหมายมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็ยังไม่ส่งหน่วยสำรองมาอีก?”

 

“ก็ท่านไม่ใช่นายพลของกองทัพจักรวรรดิที่สี่ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น.”

 

นายพลไคโลหัวเราะเยาะใส่ลิซ จากนั้นเขาก็สังเกตเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่ข้างเจ้าหญิงลำดับที่หก

 

“จำไม่เห็นได้เลยนะว่าอนุญาตให้พาคนนอกเข้ามาในที่แบบนี้ แม้ว่าจะเป็นสมาชิกของราชวงศ์ แต่นี่ก็ไม่ใช่พฤติกรรมที่ดีเลยนะครับ.”

 

เมื่อตรวจสอบอย่างใกล้ชิดเขาสังเกตเห็นว่ามีอีกคนหนึ่งอยู่ข้างหลังเจ้าหญิงลำดับที่หก เขาไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงเพราะสวมฮู้ดอยู่

 

นายพลไคโลจ้องมองพวกเขาทั้งสามคน

 

“เห็นทีจะต้องลงโทษวินัยทางทหารอย่างรุนแรงแล้วสินะ แต่น่าเสียดายที่ท่านเป็นสมาชิกของราชวงศ์ จะมองข้ามไปในครั้งนี้ เพราะงั้นโปรดระวังด้วยในอนาคต.”

 

เขาถอนหายใจแบบจงใจ จากนั้นก็โบกมือราวกับไล่ไปให้พ้นๆทาง

 

“ถ้าเข้าใจแล้ว กลับไปสั่งการปีกซ้ายเถอะ ที่นี่ไม่ใช่สนามเด็กเล่น”

 

“นายพลไคโล แกกกกกกก――.”

 

ลิซที่กำลังจะเข้าใกล้ แต่มีคนวางมือบนไหล่เพื่อหยุดเธอ

 

“ลิซ รอก่อน เดี๋ยวชั้นจัดการเอง”

 

นายพลไคโลมองเขาอย่างสงสัยเมื่อสังเกตเห็นชายหนุ่มคนนั้นที่เรียกเจ้าหญิงลำดับที่หกด้วยชื่อเล่น แต่ไม่นานนักเขาก็พบกับคำตอบที่สงสัย

 

“สวัสดี ยินดีที่ได้รู้จัก นายคือนายพลไคโลสินะ?”

 

ผมสีดำ ตาสีดำ ในมหาจักรวรรดิแกรนท์ เรียกว่าแฝดสีดำ ซึ่งเป็นสีที่ไม่มีอยู่ในโลกใบนี้ ที่แปลกประหลาดกว่านั้นคือผ้าปิดตาปกคลุมใบหน้าของชายหนุ่มมากกว่าครึ่ง และร่างกายที่ปกคลุมด้วยชุดสีดำ ชวนให้นึกถึง “เทพแห่งสงคราม” ในตำนาน

 

“ชื่อของชั้นคือ ฮิโระ ชวาร์ชตช ฟอน แกรนท์ เจ้าชายลำดับที่สี่ของมหาจักรวรรดิแกรนท์”

 

ฮิโระยื่นมือขวาเพื่อจะจับมือ

 

“โอ้ นั่นสินะ แม้ว่าชั้นจะเป็นเจ้าชายลำดับที่สี่แต่ก็มียศเป็นนายทหารชั้นสาม.”

 

ฮิโระมองไปยังดริกซ์ที่ถูกไล่ออกไป จากนั้นก็หันกลับมามองนายพลไคโลและพูดอย่างมีความสุข

 

“คิดว่าชั้นคงจับมือกับนายไม่ได้สินะเพราะมียศต่ำกว่า โทษทีๆ”

 

“มะมะมะไม่จริงเลยครับ”

 

ความสงสัยเพิ่มมากขึ้น แต่นายพลไคโลจับมือและอ้าปาก

 

“ต้องขอโทษด้วยแต่มีหลักฐานใดๆเป็นข้อพิสูจน์ไหมครับ?”

 

“แค่ดวงตากับสีผมของชั้นยังไม่พออีกเหรอ แต่ถ้าคิดบอกว่าชั้นปลอมตัว ถ้างั้นก็มองที่เสื้อคลุมสีดำนี่ นี่คือสิ่งพิสูจน์ได้.”

 

ฮิโระเคาะหน้าอกเขา ไปที่ “แบล็คคามิเลีย” และชายเสื้อของมันก็โผล่ออกมาเหมือนลูกศรพุ่งเข้าหานายพลไคโล

 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้เขาไม่สามารถป้องกันการโจมตีทีเผลอได้ นายพลไคโลกระแทกพื้นอย่างแรง และหายใจอย่างหนัก นายพลไคโลลุกขึ้นยืนทันที แต่ร่างกายส่ายไปมาราวกับหายใจไม่ออก และใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด

 

“ทำบ้าอะไรวะ?”

 

ราวกับตอบสนองต่อความโกรธของนายพลไคโล ที่ปรึกษาทั้งหลายจับดาบขึ้นมา

 

“ขอโทษ ขอโทษ ดูเหมือนว่าจะมาผิดที่ผิดเวลาสินะถึงได้ก้าวร้าวกันแบบนี้ นอกจากนี้แบล็คคามิเลียนั้นค่อนข้างขี้อาย เมื่อชักอาวุธออกมา เธอจะควบคุมตัวเองไม่ได้ แม้แต่ชั้นที่เป็นเจ้านายยังไม่สามารถควบคุมเธอได้เลย”

 

ฮิโระหัวเราะและมองไปรอบๆพวกที่ปรึกษา

 

“อยากจะลองดูไหมล่ะครับ ท่านที่ปรึกษาทั้งหลาย?”

 

ไม่มีใครกล้าพยักหน้า ทุกคนในห้องยกเว้นฮิโระที่คุ้นเคยกับ แบล็คคามิเลีย ต่างตกตะลึงกับเสื้อคลุมสีดำ ราวกับพวกเขากำลังตกอยู่ใน “อำนาจของราชวงศ์” ที่มีเพียงจักรพรรดิองค์ที่สองเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้สวมใส่มัน

 

ฮิโระเห็นว่าเจตนาฆ่าหายไปและเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของเขา หยิบกระดาษออกมา

 

“ถ้ายังไม่เชื่อในผมสีดำตาสีดำ หรือแม้กระทั่งแบล็คคามิเลียที่ชั้นใส่ งั้นก็อ่านเจ้านี่ซะสิ.”

 

นายพลไคโลเข้ามาใกล้ด้วยความระมัดระวัง มันดูไร้สาระที่เขาทำตัวเอาแต่ใจ และทันใดนั้นก็ต้องเงียบทันที แต่หลังจากถูกโจมตีเมื่อกี้ เขาพยายามระมัดระวังตัวให้ดีที่สุด

 

นายพลไคโลขมวดคิ้วหยิบกระดาษขึ้นมา เขาตระหนักดีว่าจดหมายนั่นมาจากจักรพรรดิ เขาเหลือบมองมันอย่างรวดเร็วและสีหน้าเขาเริ่มซีด

 

นายพลไคโลค่อยๆเงยหน้าขึ้นและมองฮิโระด้วยความตกใจ

 

“…นี่มัน”

 

ไม่ต้องอธิบายใดๆ….และนายพลไคโลก็มีอาการกระวนกระวายใจ ฮิโระตบไหล่นายพลไคโลเบาๆ จากนั้นก็ขอจดหมายกลับคืนมาและพูดด้วยสีหน้าชัดเจนขณะม้วนแผ่นกระดาษ

 

“ชั้นได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทว่าให้โอนตำแหน่งบัญชาการมาให้ชั้น ถ้าหากทำไม่ได้ให้โอนตำแหน่งบัญชาการไปยัง เจ้าหญิงลำดับที่หก เซเลีย เอสทรีย่า เป็นผู้บัญชาการคนใหม่ และชั้นจะเป็นผู้ช่วยของเธอ…”

 

“อย่าพูดบ้าๆน่า!”

 

นายพลไคโลซึ่งร่างกายสั่นไปด้วยความโกรธขัดคำพูดของฮิโระ

 

“มาให้ไอ้เด็กกระโปกอย่างพวกแกออกคำสั่งเนี่ยนะ?”

 

“ไม่ใช่ชั้นสักหน่อย เซเลีย เอสทรีย่า เจ้าหญิงลำดับที่หกต่างหาก”

 

“มันก็เหมือนกันหมดนั่นแหละไอ้พวกปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม!”

 

แม้ว่าอากาศจะร้อน แต่นายพลไคโลที่เดือดดาลทำให้สภาพโดยรอบร้อนยิ่งขึ้นไปอีก เขากระวนกระวายใจยิ่งกว่าตอนที่แบล็คคามิเลียจู่โจมเขา

 

ที่ปรึกษาต่างหดตัวและมองหน้ากันด้วยความหวาดกลัว

 

ฮิโระยักไหล่ ยกมือขวาขึ้น และวางนิ้วชี้ไปที่ปากของนายพลไคโล

 

“หุบปาก คำพูดของแกมันไร้ค่า คิดจะกล้าลองดียังงั้นเรอะ”

 

“อะไรนะ—————-! ไม่มีทางที่ข้าจะยอมรับเรื่องแบบนี้……..! ข้าไม่ยอมรับหรอก!”

 

“ชั้นบอกให้แกหุบปากไง.”

 

เส้นสีขาวส่องประกายระยิบระยับในอากาศ คมดาบติดอยู่ที่คอของนายพลไคโล

 

“อั่ก…”

 

“ชั้นอุตสาห์ให้โอกาสแกตั้งหลายครั้งหลายหน ให้ส่งกองกำลังสำรองมาตั้งแต่แรกก็จะให้แกได้ผลงานอย่างเงียบๆ แต่แกมันโง่เกินเยียวยามัวแต่หลงใหลในอำนาจ อีโก้หนาเตอะ หยิ่งผยอง จองหอง ไอ้สวะอย่างแกมันแกว่งเท้าหาเสี้ยน อย่าได้พูดอีกเลยไอ้สวะเอ้ย.”

 

“ว่าไงนะ…”

 

“ไว้จะให้ไอ้สวะที่โง่เง่าเช่นนี้รู้ทุกอย่างในภายหลัง นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาลงโทษไอ้โง่อย่างมึง.”

 

ทันทีที่ฮิโระหยิบเอ็กซ์คาลิเบอร์กลับเข้าฝัก เขาก็มองไปยังเหล่าที่ปรึกษาของนายพลไคโล

 

“พวกแกทั้งหมดก็มีความผิดเช่นกัน ทำไมถึงไม่ยอมเตือนผู้บัญชาการที่โง่เง่าขนาดนี้ ถ้าทำได้แค่พยักหน้าก็ไม่ต้องทำงานกันแล้ว เดี๋ยวจะปลดออกให้หมด.”

 

ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าพวกเขามาก อย่างไรก็ตาม การข่มขู่ที่เขาเปล่งออกมานั้นเหมือนนักรบผู้ยิ่งใหญ่ ที่ปรึกษาทุกคนต่างหายใจไม่ออก กลัวจนอยากจะขอโทษออกมา

 

นายพลไคโลทำผิดพลาดในหน้าที่ของเขา แต่เขาก็ตกตะลึงกับคำพูดอันรุนแรงของฮิโระที่อายุน้อยกว่า จากนั้นฮิโระก็เข้ามาเพื่อกำจัดเขา

 

“บางทีไอ้สวะอย่างแกคงอยากจะสงบสติอารมณ์ ไป ออกไปจากที่นี่.”

 

ใบหน้าของนายพลไคโลเปลี่ยนเป็นสีแดง และล้มลงกับพื้น

 

“นายพล!? แข็งใจไว้ครับ!!”

 

“พาเขาไปหาแพทย์ทหารเร็วเข้า!”

 

นายพลไคโลถูกอุ้มไว้บนไหล่ของที่ปรึกษาสองคน เขาไม่ได้่คาดหวังว่าจะกระวนกระวายใจจนเป็นลม แต่เขาไม่ควรมาจิตใจแตกสลายในตอนนี้

 

จากนั้นฮิโระก็มองลิซ และเธอพยักหน้าเล็กน้อยเดินไปที่โต๊ะ

 

“มาเริ่มประชุมกลยุทธ์กันเถอะค่ะ ไม่ต้องกลัวไปนะทุกคน ดิฉันพร้อมรับฟังทุกความคิดเห็นของท่าน?”

 

เมื่อลิซประกาศเช่นนั้น ที่ปรึกษาทุกคนก็กลับมาตั้งใจและยืดหลังให้ตรง

 

ทันทีที่ฮิโระเริ่มออกมาข้างนอกหลังจากการประชุมกลยุทธ์ ด้านอกมีทหารจำนวนมากกำลังเดินไปมาอย่างเร่งรีบ พื้นดินถูกเหยียบซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้ทรายปะปนไปในอากาศและกระจัดกระจายไปตามสายลม

 

สายลมพัดไปกับธงที่ชูไปในท้องฟ้าทำให้ชายเสื้อคลุมสีดำของเขาแกว่งไปมา

 

จากนั้นฮิโระก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของธงที่ถูกชูขึ้น

 

“ทำงานเร็วดีนี่”

 

ธงของนายพลไคโลหายไปทั้งหมดถูกแทนที่ด้วยธงของเจ้าหญิงลำดับที่หก ———-ดอกลิลลี่บนพื้นหลังสีแดง นี่หมายความว่าลิซได้รับช่วงต่อจากนายพลไคโลเรียบร้อย แม้ว่าเธอจะเข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการ แต่ก็ไม่มีความหมายหากเธอไม่สามารถเอาชนะการต่อสู้ครั้งนี้ได้

 

“ฮิโระ~!”

 

ขณะที่ฮิโระกำลังคิดอยู่ ผู้หญิงคนหนึ่งก็กอดเขาจากด้านหลัง เขาไม่ต้องมองย้อนกลับไปเลยว่าเป็นใคร ฮิโระยิ้มเจื้อนๆออกมา

 

“ลิซ จู่ๆทำอะไรเนี่ย?”

 

“ก็พวกเราไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน ไม่มีความสุขเหรอที่ได้เจอหน้าฉันอ่ะ?”

 

ลิซพูดขระที่หงุดหงิดเธอกอดเขาแรงขึ้นราวกับประท้วง

 

“แน่นอนว่าชั้นมีความสุข ชั้นดีใจมากที่ลิซไม่เป็นไร”

 

“หืม มีบางอย่างขาดไปน้าฮิโระ คำพูดของฮิโระหายไปหนึ่งคำน้าาาาาาาา จะก้าวร้าวกว่านี้หน่อยก็ได้นะ แค่แสดงด้วยการกระทำ ฮิฮิ.”

 

อย่างไรก็ตามเธอกำลังอารมณ์ดีอย่างมาก แต่ฮิโระอดไม่ได้ที่จะกังวลเกี่ยวกับการจ้องมองของเหล่าทหาร ลิซดูเหมือนจะไม่สนใจ และราวกับว่านั่นยังไม่เพียงพอใจ เธอถูแก้มของเธอเข้ากับคอของฮิโระ

(T/N: เจอกันไม่ถึงเดือนแต่สนิทกันอย่างกับแต่งงานแล้ว)

 

“ลิซมีคนมากมายมองพวกเราอยู่นะ ดังนั้นอย่าทำแบบนั้นสิ.”

 

ไม่ใช่ว่าฮิโระไม่ชอบ แต่เขาอาย เมื่อฮิโระกระซิบบอกเธอเบาๆ ลิซก็รีบถอยหลังทันที

 

“นั่นสินะ ถ้างั้นเอาไว้พวกเรามาจริงจังกันในคืนนี้ดีกว่า!”

 

เธอนี่เหมือนกับแมวตัวน้อยๆอารมณ์เปลี่ยนง่ายเหลือเกิน

 

“เอ่อ ไม่ใช่ ทำไมต้อ――.”

 

ฮิโระพยายามจะถามกลับ

 

“ทุกคนคงจะเหนื่อย แต่พวกเรามาอยู่ที่นี่กันอีกสักพักเถอะ!”

 

ลิซพามิลล์เดินผ่านกลุ่มทหารในขณะที่เติมทรายลงไปในถุง

 

“เจ้าหญิง งานตรงนี้ให้พวกเราทำเองเถอะครับ…”

 

“ไม่เป็นไร ฉันทำสิ่งนี้เพราะฉันอยากจะทำด้วยตัวเอง ไม่ต้องกังวลหรอก ทำงานต่อไปเถอะ เดี๋ยวฉันช่วยอีกแรง”

 

“เข้าใจแล้วครับ…”

 

ร่างกายของกัปตันสั่นสะท้านไปด้วยอารมณ์ซึ้งใจ และเขาก็ตะโกนออกมาดังๆ

 

“อย่าปล่อยให้เจ้าหญิงได้ทำงาน พวกแกรีบเร่งมือให้ไวเลย!”

 

ฮิโระหัวเราะเมื่อเห็นแบบนั้น และเห็นร่างหนึ่งจากปลายสายตา ฮิโระเรียกให้เขาเข้ามาใกล้

 

“ขอเวลาสักครู่ได้ไหม?”

 

“ผมเหรอครับ?”

 

ชายที่ยืนหลังตรงคือเจ้าหน้าที่ดริกส์ ซึ่งถูกไล่ออกมาเพราะต่อต้านคำพูดของนายพลไคโล เขาได้รับการช่วยเหลือจากลิซก่อนที่จะจากไป

 

ดูเหมือนเขาจะประหม่าที่ได้พบทายาทของจักรพรรดิองค์ที่สองมากกว่าการถูกราชวงศ์เข้าหา ฮิโระยิ้มอย่างร่าเริงและตบไหล่เขา ทำให้เขาสบายใจขึ้น

 

“มีอย่างหนึ่งอยากให้นายช่วยน่ะจากสิ่งที่พวกเราพึ่งคุยกันก่อนหน้านี้”

 

ฮิโระสั่งให้ถอยทัพอย่างรวดเร็วหลังจากประชุมกลยุทธ์ นั่นคือสิ่งที่ลิซและคนอื่นๆกำลังทำงานกันอยู่ การถอยครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะอีกฝ่ายสังเกตเห็นพวกเรา

 

แม้ว่าจะมีวิธีชนะโดยไม่ต้องถอยก็ตาม แต่ก็สร้างความเสียหายให้กับฝั่งเรามากกว่าศัตรู สิ่งที่ฮิโระต้องการคือชัยชนะอันสมบูรณ์แบบ———–เขาต้องทำให้ศัตรูยอมจำนน เพื่อให้พวกเขาเชื่อว่าไม่สามารถเอาชนะจักรวรรดิได้ และดำเนินแผนการเจรจา

 

“มีอะไรให้รับใช้ครับท่าน?”

 

“ชั้นขอรายงานทั้งหมดที่ถูกส่งให้นายพลไคโลได้ไหม?”

 

ดริกส์ดูจริงจังขึ้นเมื่อรู้ว่าสิ่งที่ฮิโระพูดนั้นหมายถึงอะไร

 

“…เข้าใจแล้วครับ จะไปนำมาให้เดี๋ยวนี้เลยครับ.”

 

หลังจากมองดริกส์ที่ออกไป ขณะที่เขาเดินจากไป ฮิโระก็เดินไปข้างหน้า เขาต้องการช่วยลิซและคนอื่นๆในการทำงาน ไม่ใช่เพียงทำหน้าที่ผู้บัญชาการเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเหล่าทหาร ผู้คนส่วนใหญ่จะไม่ทำตามคำสั่ง หากผู้บัญชาการไม่เป็นแบบอย่างที่ดีและน่าเชื่อถือ สิ่งนี้คือสิ่งจำเป็นคือการให้ทหารทุกคนไว้วางใจในตัวผู้บัญชาการ พยายามซื้อใจเหล่าทหาร ทำงานอย่างหนักและทานข้าวช้ากว่าเหล่าทหารคนอื่นๆ  

 

แม้จะเป็นเรื่อง่ายๆแต่เป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลต่อขวัญกำลังใจของเหล่าทหาร มันไม่ใช่สิ่งที่มองเห็นได้ แต่มันเป็นสิ่งที่สัมผัสได้ด้วยจิตใจ

 

“ลิซชั้นเองก็จะช่วยด้วยนะ”

 

ลิซหยุดทำงานสักพัก เธอเช็ดเหงื่อที่หน้าผากและมองมาที่เขา

 

“ไม่ใช่ว่ามีสิ่งอื่นที่ต้องทำหรอกเหรอ ฮิโระ?”

 

“ได้แจ้งให้กัปตันของแต่ละหน่วยทราบถึงการเปลี่ยนแปลงคำสั่งและส่งคำแนะนำสำหรับอนาคตไปแล้ว และเท่าที่เห็นดูเหมือนจะไม่มีความวุ่นวายเกิดขึ้น ตอนนี้สิ่งที่เราต้องทำคือการรอให้หน่วยสอดแนมกลับมาเท่านั้น.”

 

จากที่ฮิโระได้ยินลิซได้ติดต่อกัปตันของแต่ละหน่วย ก็ไม่รู้หรอกว่าคิดอะไรอยู่ แต่ต้องขอบคุณสิ่งที่เธอทำลงไป ทำให้ไม่มีใครคิดจะขัดคำสั่งเลยแม้แต่น้อย

 

เขาสามารถเห็นได้ว่าทหารทุกนายต่างปฏิบัติตามคำสั่งด้วยความตั้งใจของตัวเอง สิ่งที่เหลือคือรอหน่วยสอดแนม และจนกว่าจะถึงตอนนั้นเขาไม่มีอะไรจะทำ

 

ลิซบ่นราวกับว่าเธอยังไม่มั่นใจ

 

“พวกเราจำเป็นต้องพึ่งพาฮิโระอย่างมากนับจากนี้ไป หวังว่าจะมีแรงเหลือนะ ผ่านการต่อสู้มาตั้งมากมายขนาดนั้น คงจะเหนื่อยมากเลยใช่ไหม?”

 

“มันคงจะเป็นการโกหกหากชั้นบอกว่าไม่เหนื่อยเลย แต่ชั้นแทบจะไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยนะ”

 

ลิซทำสีหน้าลำบากใจกับฮิโระที่ยักไหล่

 

“หืมมมมม เห็นทีฉันคนนี้จะต้องบังคับให้นายได้หยุดพักบ้างสินะ ยังคิดจะทำงานอื่นอีกอยู่ใช่ไหมล่ะ เพราะงั้นห้ามหายไปไหนจากระยะสายตาของฉันเด็ดขาดเลยนะ”

 

“ฮะฮะ ชั้นไม่ใช่เด็กแล้วนะลิซ…”

 

“งั้นเหรอ? ฮิโระมักจะหายตัวไปเสมอทันทีที่ฉันละสายตา.”

 

“…หยุดพูดและทำงานต่อได้แล้วลิซ”

 

ถ้ายังพูดต่อไปมีหวังงานไม่คืบ ฮิโระเข้าร่วมกับเหล่าทหารเพื่อเริ่มทำงาน หลังจากนั้นไม่นาน หน่วยสอดแนมก็กลับมาหาฮิโระ

 

“ฝ่าบาทฮิโระ ตามที่ท่านสั่ง กระผมได้สอดแนมกองทัพศัตรูไปแล้วครับ.”

 

“ขอบคุณสำหรับความเหนื่อยยาก”

 

ฮิโระยื่นถุงน้ำให้เขาและรอให้เขาพักหายใจ

 

“อย่างที่ฝ่าบาทฮิโระคาดการณ์เลยครับทาสที่อยู่ในกองทัพศัตรูดูเหมือนจะสูญเสียกำลังใจในการต่อสู้ไปหมดแล้ว.”

 

“เพราะงั้นพวกเขาจะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เร็วๆนี้ใช่ไหม?”

 

“ไมาครับทาสถูกวางไว้ข้างหลังและทหารอูฐถูกนำมาที่แนวหน้า ดูเหมือนพวกเขาพร้อมที่จะเข้าชาร์จตลอดเวลา”

 

“พวกมันจะลอบกัดเราไหมหากพวกเราเปิดช่องว่าง?”

 

“น่าจะเป็นเช่นนั้นครับ.”

 

“แต่ดูเหมือนว่าจะมีแผนการไม่แน่นอน การเตรียมการของทางเราใกล้เสร็จแล้ว มาข่มขวัญศัตรูกันดีกว่า”

 

ฮิโระยกมือขึ้น ส่งสัญญาณให้เหล่าทหาร ทหารตีกลองให้สัญญาณในกองทัพ

 

คนแรกที่เคลื่อนไหวคือทหารม้าทางปีกซ้าย พวกเขาเริ่มเดินทัพไปทางตะวันออก ทหารม้าปีกขวาซึ่งถูกเลี่ยงไปทางด้านหลังก็ตามไป

 

ฮิโระแบกสิ่งที่เขาทำไว้บนหลัง และเมื่อเขาเรียกสวิฟเดรคมา เขาก็ขึ้นไปบนหลังของมัน

 

“ลิซส่วนที่เหลือให้ทำตามที่ประชุมกันเอาไว้.”

 

“เข้าใจแล้ว ระวังตัวด้วยล่ะ เข้าใจไหม?”

 

“แน่นอน รับทราบครับองค์หญิง”

 

“เอาล่ะ ได้เวลาทำงานแล้วทุกคนเริ่มลงมือเร็วเข้า!”

 

ราวกับได้รับแรงบันดาลใจจากลิซ ฮิโระขี่สวิฟเดรคไปทางทิศตะวันออก

 

“อ่า ลมกำลังดีเลย”

 

ฮิโระยิ้มขณะที่ฟังเสียงกลองที่ดังก้องนภา

 

 

วันนี้ขอเท่านี้ ไม่ไหวล่ะ นั่งแปลนิยายวันล่ะ 11 ชั่วโมง ทำแบบนี้ติดต่อกัน 9 วันติดแล้ว ปวดหลัง ปวดนิ้ว ทุกครั้งที่นอนก็ไม่สามารถยืดหลังตรงได้อีกเลย ขอไปพักก่อนครับ

(ถ้ามีงานทำจะเหนื่อยแบบนี้รึเปล่านะ)

[LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก

[LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก

Score 10
Status: Completed
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกขนานนามกันว่า “วีรบุรุษแห่งสงคราม.” ณ ต่างโลกที่ซึ่งถูกเรียกว่า อเลเทีย ชายหนุ่มที่ช่วยอาณาจักรที่กำลังจะล่มสลายโดยประเทศข้างเคียง ได้ทำการเข้ากอบกู้และก่อตั้งจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ขึ้นมาและทิ้งมันเอาไว้ให้กับคนรุ่นหลังและกลับโลกที่เขาจากมา เหลือทิ้งไว้ความทรงจำ สามปีผ่านไป ชายหนุ่มผู้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกๆวันก็ถูกเรียกกลับไปต่างโลกอีกครั้ง ยังไงก็ตามแต่ สิ่งที่รอเขาอยู่คือ อเลเทียในอีก 1,000 ปีข้างหน้าเสียแล้ว ชายหนุ่มที่เคยรุ่งโรจน์ได้กลายเป็น “เทพนิยาย”ที่ถูกเล่ากันเป็นตำนานในฐานะ “คู่หูราชาวีรบุรุษทมิฬ”

Options

not work with dark mode
Reset