Part 4
กองทัพของราชอาณาจักรลิชไทน์อยู่ไม่ไกลจากกองทัพจักรวรรดิที่สี่ พวกเขามีจำนวนห้าพันนาย ทหารอูฐอีกหนึ่งพันนายในปีกแต่ละข้าง ทหารทาสหนึ่งพันนายที่เป็นแนวหน้า และทหารเกราะเบาสองพันนายที่อยู่แนวหลักและแนวหลัง
กองทัพนี้นำโดยลูกชายคนที่สองคาร์ลและผู้สนับสนุนคาร์ล รังกิลล์
ใบหน้าของทั้งสองปกคลุมไปด้วยความมืดเนื่องจากสวมฮู้ดอยู่
“…ไม่ได้คาดหวังเลยว่าพวกขุนนางจะกลัวกันขนาดนี้” มาร์ควิสรังกิลล์พูดด้วยความหงุดหงิด
เมื่อวานนี้ที่รายงานสุดท้ายได้มาถึง ข่าวก็คือกองทัพจักรวรรดิที่สี่ได้บุกเผาหมู่บ้านจนหมด นี่เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาบุกเข้ามาในถิ่นศัตรู อย่างไรก็ตามเหล่าขุนนางหวงดินแดนทั้งหลายก็พยายามกลับไปป้องกันและแพ้กันจนหมด
พวกเขาต่างกรีดร้องว่าให้ยอมจำนนต่อมหาจักรวรรดิแกรนท์และควรเจรจากับพวกเขา ต้องใช้เวลาพอสมควรในการโน้มน้าวสิ่งที่พวกโง่ทำ ซึ่งทำให้พวกเขากว่าจะนำทัพมาที่นี่ได้ก็ช้าไปหน่อย
“น่าเสียดายที่พวกเราต้องมาที่นี่ด้วยตัวเอง.”
ยังไงก็ตาม พวกขุนนางที่คิดจะทำสงครามกับมหาจักรวรรดิแกรนท์ถูกสังหารในการต่อสู้กับพวกกบฏ กองทัพจักรวรรดิที่สี่ก็ต้องถูกบดขยี้ นั่นจะทำให้ฝั่งนี้มีภาษีในการเจรจาได้มากขึ้น หากพวกเขาเลือกที่จะยอมแพ้โดยไม่ต่อสู้เลยก็จะโดนประเทศข้างเคียงเยาะเย้ยเอาได้
“ท่านคาร์ลครับถึงช่วงเวลาสำคัญแล้ว”
“อืม จะฝากทุกอย่างไว้กับนาย หวังพึ่งพานายอยู่นะ”
รังกิลล์พยักหน้าจากนั้นก็มีรายงานมาจากทางด้านหลัง
“ฝ่าบาท มีกบฏบางกลุ่มกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ครับ.”
“ดูเหมือนว่าพวกทหารรับจ้างจะหนีมาได้นะ.”
“ถ้างั้นให้พวกเขามาเข้าร่วมกับเราดีไหม?”
“ไม่ครับ พวกเราจะให้เขาทำงานเป็นหน่วยแยกกันออกไป”
เพื่อชดเชยความล่าช้า พวกเขาไม่สามารถรอให้พวกนั้นมาเข้าร่วมกองทัพได้ในตอนนี้
บอกตามตรงรังกิลล์ไม่คิดจะเชื่อใจพวกทหารรับจ้างอยู่แล้ว พวกมันไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ของประเทศแต่ทำเพื่อเงิน ไม่มีใครรู้ว่าพวกมันจะทรยศตอนไหน และหนีไปเมื่อไหร่ หากคนแบบนั้นได้รับการอนุญาตให้เข้าร่วมกองทัพ พวกนั้นมีแต่จะขัดแข้งขัดขาเรา
“สถานการณ์ของสงครามเองก็ทำให้กังวลนิดหน่อย ข้าอยากจะคุยกับผู้นำของทหารรับจ้าง ช่วยพาพวกมันมาที่นี่ได้ไหม?”
“แน่นอนครับ!”
หลังจากที่ผู้ส่งสารจากไปได้ไม่นาน ชายคนหนึ่งสวมชุดเกราะเบาก็มาถึง
เลือดแห้งๆเกาะติดอยู่กับชุดเกราะและใบหน้าอันชั่วช้าไร้ซึ่งสมองคิดนั่น แม้จะเป็นทหารรับจ้าง แต่ก็ไม่ต่างจากโจรเลยสักนิด รังกิลล์ขมวดคิ้วขณะที่สังเกตรูปลักษณ์ของชายคนนั้น เมื่อตรวจสอบอย่างใกล้ชิด
เลือดแห้งแสดงให้เห็นว่ามันไม่ใช่เพิ่งเกิดแต่ผ่านมานานมากแล้ว เดาได้ง่ายว่าเดิมทีเป็นพวกของกองทัพกบฏ
บางทีอาจเป็นของที่ชิงมาจากศึกสงครามของผู้ตาย ซึ่งไม่เหมาะกับพวกมันเลยสักนิดรังกิลล์แอบหงดหงิด
“ขอบคุณสำหรับการอุปถัมภ์พวกเรานะครับ.”
โดยไม่รู้ว่าเขาทำให้รังกิลล์ขุ่นเคืองมากแค่ไหน เขาเกาหัวและก้มหัวให้ รังกิลล์อยากจะฟันหัวมันให้ขาดเสียตอนนี้ แต่เขาพยายามระงับอารมณ์เหล่านั้นเอาไว้ด้วยการหายใจออกมาอย่างหนัก
คาร์ลที่ยืนอยู่ข้างๆก็สังเกตเห็นท่าทีของเขาและออกหน้ารับแทน
“ขอบคุณที่สละเวลามาหา ผมชื่อคาร์ล โอ๊ค ลิชไทน์ ยินดีที่จะได้ต่อสู้กับพวกคุณ”
“หืม ดีใจที่ได้ยินเช่นนั้นนะครับ พวกเราเองก็ได้รับเงินมามากเลย ดังนั้นจะปฏิบัติงานอย่างเต็มที่”
“แล้วสถานการณ์รบเป็นยังไงบ้าง?”
“ดูเหมือนพวกกองทัพกบฏจะถูกโต้กลับ ตอนนี้ก็เป็นเรื่องของเวลาว่าพวกเขาจะยอมจำนนเมื่อไหร่”
“นั่นไม่ดีเลยนะมาร์ควิสรังกิลล์พวกเราต้องรีบ”
คำพูดของคาร์ลช่วยดึงสติเขา เขาตอบกลับด้วยการพยักหน้า
“นั่นสินะ เห้ย ทหารรับจ้าง”
“หืออ?”
“นำทัพเข้าไปในสนามรบ พวกหน่วยสอดแนมของพวกเรายังมีข้อมูลไม่มากพอ พาพวกเราไปขนาบกับกองทัพจักรวรรดิที่สี่ให้ได้.”
คาร์ลสงสัยเมื่อได้ยินคำพูดของรังกิลล์ เป็นที่เข้าใจอยู่แล้วเพราะพวกเขาได้รับรายงานมาตลอดเวลา ที่สำคัญกว่านั้น พวกเขามีข้อมูลทั้งหมดในสนามรบ
“ถ้างั้นก็ฝากด้วยล่ะ.”
“อ่า ได้เลย!”
หลังจากเห็นทหารรับจ้างออกไป คาร์ลก็เรียกรังกิลล์
“ทำไมถึงต้องทำอะไรแบบนั้นเล่า?”
“หมายถึงเรื่องที่ข้าโกหกน่ะเหรอ?”
“ใช่ ทหารรับจ้างคนนั้นคงหัวเราะ เขาคงต้องคิดว่าหน่วยสอดแนมของเราไม่มีความสามารถ”
“ถ้าเป็นแบบนั้นพวกเขาไม่ยอมนำทางให้พวกเราหรอก.”
“แม้ว่าจะเป็นความอัปยศต่อเราเนี่ยนะ?”
“ชะตากรรมของประเทศนี้ตกอยู่ในความเสี่ยง ต่อให้น่าอับอายแค่ไหนมันก็ไม่เท่ากับการที่เราเสียเอกราชไปหรอกครับ ใครจะหัวเราะก็ช่างมันไป.”
“งั้นเหรอ เข้าใจแล้วมาร์ควิสรังกิลล์มีทักษะในการควบคุมอารมณ์มากจริงๆ แต่ผมไม่คิดว่าจะสามารถจะทำได้ง่ายๆเลย.”
รังกิลล์มองไปที่คาร์ลที่กำลังดูเศร้าๆแล้วพูดออกมา
“ที่สำคัญกว่านั้น สังเกตหรือเปล่าครับว่าชุดเกราะที่พวกทหารรับจ้างใส่เป็นของประเทศเรา?”
“แน่นอน แม้จะสกปรก แต่ไม่มีทางจะมองผิดหรอก พวกมันน่าจะซื้อจากพ่อค้า”
“ไม่หรอกครับ พวกมันปล้นมาจากกองทัพเจ้าชายที่แพ้ต่างหาก”
“แน่ใจเหรอครับ?”
“พวกมันทำจากเหล็กชั้นดี นั่นเป็นของขุนนางที่มีชื่อเสียง ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นของใคร แต่ก็ทราบว่าเป็นของคุณภาพสูง.”
“ถ้างั้นก็ยิ่งอภัยให้ไม่ได้ ถ้าหากสงครามนี้จบลงพวกเขาจะต้องโดนลงโทษ”
คาร์ลที่เริ่มมีอารมณ์โกรธ เขาจับบังเหียนและมองไปยังทหารรับจ้างที่อยู่ไกลออกไป เมื่อเขาเห็นคาร์ลเป็นแบบนั้น รังกิลล์ก็เลยปลอบใจ
“เพราะแบบนั้นไงข้าถึงให้พวกมันเป็นฝ่ายนำ”
“ทำไมเหรอ?”
“พวกกลุ่มทหารรับจ้างจะต้องเข้าสู้เป็นกลุ่มแรก นั่นเป็นเหตุผลที่จะใช้พวกมันไปตาย หากพวกมันโชคดีก็อาจจะมีชีวิตรอดกลับมาได้ และค่อยลงโทษพวกมันในภายหลัง.”
“หืมม ความคิดไม่เลวเลยนะครับ!”
“นอกจากนี้ ท่านเข้าใจผิดทั้งหมดเลยนะครับท่านคาร์ล”
“เข้าใจผิด?”
“แน่นอน ท่านบอกว่าข้าสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดี แต่จริงๆข้าไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก.”
เขายักไหล่และพูดต่อ
“แม้แต่ตัวข้าเองก็มีความโกรธไม่แพ้กัน อยากจะฟันคอมันให้ขาดซะตอนนี้ แต่เมื่อดูภาพรวมยังไงขยะก็ยังมีประโยชน์หากเราใช้งานถูกวิธี”
คาร์ลตกใจเล็กน้อยกับรอยยิ้มอันชั่วร้ายของรังกิลล์ เขาตกใจที่แม้แต่ชายคนนี้ก็ถูกขับเคลื่อนไปด้วยความโกรธ
“ถึงกระนั้น ก็ประทับใจในความเฉลียวฉลาดของท่านที่พยายามใช้พวกมันให้เป็นประโยชน์ ผมคงไม่สามารถทำอย่างงั้นได้”
“น่าอายเหลือเกินครับ ข้าหวังว่าท่านจะไม่ชมข้าอีก ถ้าจะทำแบบนั้นเก็บไว้ตอนที่เราชนะสงครามดีกว่าครับ”
รังกิลล์ลูบคอและดูมีปัญหาในที่สุดความโกรธก็ผ่านพ้นไปและคาร์ลก็หัวเราะออกมาเล็กน้อย
“นั่นสินะ ไว้ค่อยคุยหลังชนะดีกว่า”
ด้วยความมุ่งมั่นในใจ คาร์ลเงยหน้าขึ้นและมองไปข้างหน้ารังกิลล์ พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และทั้งคู่ก็กลับไปที่ม้าของพวกเขา มันเป็นเพียงเรื่องของเวลาก่อนที่พวกเขาจะโล่งใจที่พบว่ามีบางอย่างผิดปกติกับทหารรับจ้างที่นำทัพ
มีเสียงดาบปะทะกันอย่างรุนแรง อากาศสั่นสะเทือนด้วยเสียงตะโกนของทหารรับจ้างที่ถือจิตวิญญาณของพวกเขาในน้ำเสียงของพวกเขา ทหารรับจ้างกระแทกดาบกับโล่เพื่อข่มขู่คู่ต่อสู้และตะโกนอย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม สนามรบที่กองทัพของราชอาณาจักรลิชไทน์จินตนาการไว้ยังอีกยาวไกล
ขณะที่รังกิลล์สงสัย ผู้ส่งสารเข้ามาต่างสับสน
“การต่อสู้เริ่มขึ้นแล้วครับ!”
“อะไรนะ หมายความว่าไง?”
รังกิลล์ขมวดคิ้วขึ้นมองไปข้างหน้า แต่ฝุ่นและทรายทำให้พวกเขาไม่สามารถมองแนวหน้าได้อย่างแน่ชัด
“มากแค่ไหน?”
“…คนเดียวครับ.”
“…ห๊ะ?”
รังกิลล์อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความตกใจ เขาคิดว่าเขาได้ยินผิด แต่ขอบปากของเขากระตุก และพูดซ้ำ
“ช่วยบอกใหม่ดิจำนวนกี่นายนะ”
“คนเดียวครับท่าน ทันใดนั้นจู่ๆเขาก็ปรากฏขึ้นในเส้นทางของพวกเราพุ่งเข้าใส่ทหารรับจ้างที่เป็นผู้นำ”
“คนเดียวปะทะพันคนเนี่ยนะ?”
ช่างเป็นความคิดที่โง่เขลาที่จะซื้อเวลา คนคนเดียวจะทำอะไรได้?
พวกเขาอาจซ่อนการซุ่มโจมตีอยู่ที่ไหนสักแห่ง นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่จะประมาท เช่นพุ่งมาคนเดียวเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ รังกิลล์ยิ้มเมื่อคิดได้เช่นนั้น
“ไม่ ไม่ใช่แบบนั้นเลยครับ”
หากกองทัพจักรวรรดิที่สี่เคลื่อนไหวแปลกๆหน่วยสอดแนมจะสามารถตรจจจับได้ การหลบเลี่ยงการเฝ้าระวังไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทะเลทรายที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน แม้ว่าจิตใจของเขาจะสับสนกับสถานการณ์ที่เขาไม่เข้าใจ แต่เขาก็รู้สึกตัวด้วยการตบแก้มของเบาๆ บางทีจุดประสงค์สิ่งนี้อาจเป็นการทำให้พวกเขาสับสน
หากเป้าหมายของพวกเขาคือการชะลอการเดินทัพและซื้อเวลา แสดงว่าพวกเขามีแผนการที่ดีทีเดียวรังกิลล์หัวเราะ
“ทำได้ดี ถ้าไม่ใช่ว่าข้าเป็นนายพลมีหลายคนคงตื่นตระหนกและหยุดการเดินขบวน หรือบางทีข้าควรจะบอกว่าข้าระมัดระวังเพราะสังเกตเห็น…”
“ทุกอย่างโอเคดีงั้นเหรอ?”
คาร์ลถามด้วยสีหน้ากังวล รังกิลล์พยักหน้าและกางมือออกอย่างเกินจริงเพื่อปลอบใจ ไม่ว่าจุดประสงค์ของฝ่ายตรงข้ามจะเป็นอย่างไรเขาจะสามารถผ่านมันได้ เหนือสิ่งอื่นใดคนคนหนึ่งจะสามารถทำอะไรได้
“ไม่มีปัญหา มาจัดการกองทัพกันเถอะ ไม่ต้องกังวลเรื่องซุ่มโจมตี.”
แต่ว่าความมั่นใจของรังกิลล์ก็พังทลายลง ไม่นานต่อมากองกำลังล่วงหน้าก็หยุดลงโดยสิ้นเชิง ปล่อยให้คาร์ลรออยู่ในตำแหน่งหลัก รังกิลล์ไปเข้าร่วมแนวรุก
“ทำอะไรกันอยู่ ไม่มีเวลามาพักนะ บุกไปข้างหน้า!”
รังกิลล์ตะโกน แต่เขาสังเกตเห็นบางสิ่งแปลกๆในบรรยากาศของแรวหน้า ใบหน้าของทาสทุกคนซีดและราวกับว่าพวกเขากำลังจะล่มสลาย
รังกิลล์ดึงม้าของเขาไปหาทาสที่อยู่ใกล้แล้วถามเสียงดัง
“เกิดอะไรขึ้น?”
ทาสคนหนึ่งที่แถวหน้าตอบด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
“…ความสิ้นหวังไร้ที่สิ้นสุด”
คำพูดที่น่าขนลุกทำให้รังกิลล์รู้สึกหนาวสั่นในใจ
มันเป็นเรื่องเก่าที่พ่อแม่มักจะอ่านให้ลูกหลานฟัง หากพวกเขานอนดึกเกินไป ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องราวนี้เริ่มจากที่ไหนและถูกเล่าครั้งแรกเมื่อใด โดยไม่รู้ตัว มันได้แพร่กระจายไปอย่างกว้างขวางจากขุนนางไปยังประชาชนทั่วไปและแม้แต่ทาส ว่ากันว่ามันถูกกล่าวขานโดยนักกวีลึกลับจากเทพนิยายของอาณาจักรอัศวินแห่งนาลา ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปกลาง
“บ้าน่า บ้าน่า ความสิ้นหวังไร้ที่สิ้นสุดงั้นเหรอ นั่นเป็นเพียงแค่ในตำนาน”
รังกิลล์หัวเราะเยาะ แต่ลึกเข้าไปในร่างกายของเขา ตอนนี้มันร้อนรุ่ม แต่เหงื่อที่ไหลออกมาจากร่างกลับเย็นเฉียบ และเขารู้สึกว่าร่างกายของเขาเริ่มที่จะเย็นขึ้น รังกิลล์ เคลียร์คอ ขนาดอ้าปากค้างมองไปข้างหน้าอย่างน่ากลัว มีบางอย่างกำลังร่ายรำอยู่ในสนามรบ หมุนวนด้วยความร้อน
ราวกับเชิญชวน ราวกับดึงเขาให้เข้าไปในนั้น――,
――อีกาดำที่กำลังกางปีกสยาย
“อีกาดำ” เป็นชื่อของเทพเจ้าในตำนาน เรียกอีกอย่างว่า “เทพแห่งความมืด” และได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเทพแห่งความตายและการทำลายล้าง
“อะไรนี่มันคือความจริงงั้นเหรอ?”
ทหารรับจ้างที่ถูกปีกนั่นสยายโดนตัดหัวไปทีละคน หัวจำนวนมากลอยไปบนท้องฟ้าจำนวนมาก สิ่งที่รังกิลล์ได้ยินคือเสียงร้องของทหารรับจ้างที่ร้องด้วยความเศร้าโศก
ทหารรับจ้างที่ถือดาบที่คิดจะต่อกรกับเขาต่างถูกตัดหัวทุกคน แม้ว่าจะพยายามลุกขึ้นต่อกรแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ รังกิลล์ได้แต่มองฉากตรงหน้าอย่างตกตะลึง เมื่อได้เห็นสัตว์ประหลาดที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นมนุษย์จริงหรือเปล่า ความกลัวได้กัดกินร่างกายเขา และเขาไม่สามารถขยับตัวได้ คอของใครบางคนกลิ้งมาใกล้เท้าของรังกิลล์
มันคือหัวของหัวหน้าทหารรับจ้างที่เขาอยากจะฆ่ามัน
แต่รังกิลล์ยังคงมองไปยังจุดหนึ่ง ส่วนหนึ่งเพราะชายคนนั้นเป็นที่ดึงดูดสายตาอย่างมาก หากละสายตาเพียงเล็กน้อยเขาก็คงคอหลุดจากบ่าเหมือนกัน เขาไม่มีทางเห็นสีหน้าของชายคนนั้นได้จากระยะนี้ บางทีสมองเขาอาจจะหลอนจนคิดอะไรไม่ออก
แต่รังกิลล์เขาแน่ใจว่าเห็นมันชัดเจน
――ชายหนุ่มคนนั้นกำลังหัวเราะออกมา
พวกทหารรับจ้างที่กำลังหนีตาย รังกิลล์เห็นพวกนั้นวิ่งมาขอความช่วยเหลือ
“ยิงลูกธนูออกไปอย่าให้พวกทหารรับจ้างเข้ามาใกล้!”
พลธนูผู้ซื่อสัตย์ยิงลูกธนูออกไปตามคำสั่ง ลูกธนูมากกว่าพันลูกบินไปและโจมตีใส่ทหารรับจ้าง ทหารรับจ้างที่โดนลูกธนูถล่มต่างดิ้นรนและตายไป แน่นอนว่าพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มคนนั้นแต่น่าแปลกใจที่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
“เป็นสัตว์ประหลาดรึไงวะเนี่ย?”
รังกิลล์ได้แต่จินตนาการว่าเด็กชายตรงหน้านั้นเป็นเหมือนกับเทพแห่งความมืดในตำนาน ถ้าไม่งั้นจะอธิบายเป็นอย่างอื่นได้ยังไง จะเรียกสิ่งนั้นว่ามนุษย์จริงๆเหรอ?
จากนั้น รังกิลล์ที่ตระหนักถึงสถานการณ์รอบตัวเขา ทาสต่างคุกเข่าเพื่อร้องขอชีวิตบางคนถึงกับหมอบกราบ พวกกองหน้าเองก็สูญเสียกำลังใจในการต่อสู้
“…นี่มันแย่แล้ว แบบนี้ไปต่อไม่ได้แน่.”
รังกิลล์อ้าปากพร้อมกับเปล่งเสียงให้ดังที่สุด จากนั้นก็ออกคำสั่ง ชายหนุ่มพลิกเสื้อคลุมสีดำและหันหลังกลับไป รังกิลล์เลยเล็งว่าเป็นโอกาสอันดี ตอนนี้ชายหนุ่มคนนั้นกำลังประมาท จึงสั่งให้พลธนูเตรียมคันศรขึ้นเล็งเพื่อยืนยันกับตาอีกครั้ง
“ตอนนี้แหละยิงเลย!”
เขาเหวี่ยงแขนไปด้านหน้า ห่าฝนธนูขนาดใหญ่ปกคลุมท้องฟ้าอีกครั้ง ลูกธนูนั้นหนามากจนแม้แต่หนูก็ยังหลบไม่พ้น แต่พวกมันทั้งหมดก็ถูกปัดปลิวโดยเสื้อคลุมของชายหนุ่มคนนั้น
รังกิลล์ได้แต่ตกตะลึง แต่แล้วเสียงดังฟู่มมาจากข้างๆเขา เขามองไปด้านข้างก็พบว่าทาสหลายคนตายไปโดยมีรูขนาดใหญ่กลางอก
จากใบหน้านั้นดูเหมือนจะตายโดยไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ความกลัว ความสิ้นหวัง การแสดงออกทางสีหน้านั้นต่างกันออกไป แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครตายอย่างทรมาน
รังกิลล์ตกตะลึง แต่ความเจ็บปวดก็ทำให้เขากลับมามีสติอีกครั้ง เขาลูบแก้มและรู้สึกว่ามีบางอย่างไหลออกมาจากแก้ม
“…ทำไมข้าถึงมีแผลได้?”
เมื่อเขามองไปที่เลือดขณะที่ปลายนิ้วสั่นสะเทือน ก็ตกใจและมองไปที่ชายหนุ่มคนนั้น อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มคนนั้นหายไปแล้ว ไม่มีอะไรนอกจากศพของทหารรับจ้างที่โดนสังหารหมู่
ลมร้อนๆพัดผ่านร่างกายของเขา เมื่อเขาดึงสติกลับมาได้ก็รู้สึกอยากจะกรีดร้องออกมา หัวใจเขาเต้นแรง เพื่อระงับหัวใจที่เต้นด้วยความเร็วสูง เขากดกำปั้นไปที่อกของเขา
“คุฮ่าฮ่าฮ่า………เข้าใจแล้ว นั่นคือชายชุดดำที่ปรากฏในรายงานงั้นเรอะ.”
ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ มันมีในรายงานอยู่แต่พวกเขาแค่ไม่เชื่อมันเท่านั้นเองเพราะลูกชายคนที่สามถูกชายชุดดำคนเดียวถล่มจนกองทัพย่อยยับ เขายังไม่อยากจะเชื่อ แต่ตอนนี้เห็นด้วยตาของตัวเองแล้ว แทนที่จะปฏิเสธมัน เขาเก็บมันไว้ในความคิดของเขา
มันสายเกินไปที่จะพูดเรื่องนี้ แต่ไม่ว่าด้วยวิธีไหน มาตรการตอบโต้ชายชุดดำก็จำเป็นต้องมี เขาต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ แต่ศัตรูไม่ปล่อยโอกาสนี้แน่ ทาสยังตัวสั่นและพึมพำชื่อของเทพเจ้าออกมา
“ดังนั้น ข้าจะหยุดหมอนั่น สงครามน่ะมันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะคนเพียงคนเดียวหรอก”
ตอนนั้นเองรังกิลล์ตัดสินใจถอยทัพ ถ้าเขาไม่ทำอะไรกับทาสที่สั่นกลัว เขาก็จะทำอะไรต่อไม่ได้ จุดเริ่มต้นของสงครามเป็นสิ่งสำคัญ หากพวกเขามาสะดุดล้มแต่ก้าวแรก ก็คงล่มสลายในพริบตา