[LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก 34 Volume 2 Chapter 3 คลื่นพายุทางตอนใต้ Part 2

ตอนที่ 34 Volume 2 Chapter 3 คลื่นพายุทางตอนใต้ Part 2

Part 2

 

23 เดือนเจ็ด ปีจักรวรรดิที่ 1023 ตอนเช้าตรู่ที่หมอกยังไม่จางเสียงของโลหะของชุดเกราะและเสียงของม้าดังขึ้นไปบนอากาศหลายสิบครั้ง

 

ที่หน้าประตูหลักของป้อมปราการเบิร์กมีทหารม้าและทหารราบจำนวนมากเข้าแถว ทุกคนเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาและมีสีหน้าตึงเครียดและความตื่นเต้นที่ดุเดือดบนใบหน้าของพวกเขา

 

ทหารจากกองทัพจักรวรรดิที่สี่สองหมื่นนาย มีทหารหนึ่งหมื่นนายจากผู้พิทักษ์ทางใต้ ทางปีกซ้ายสองพันคนที่นำโดย เซเลีย เอสทรีย่า อลิซาเบธ ฟอน แกรนท์ ผู้ถือครอง “ลิเวียธาน”

 

“ทริส ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับนายพลไคโลเลย ความสามารถของเขาล่ะมากแค่ไหน?”

 

ข้างๆลิซมีทหารที่ดูองอาจ ทริส

 

“ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าหญิงจะไม่รู้เกี่ยวกับนายพลไคโล เขาเป็นนายพลไร้ชื่อเสียง ไม่เคยทำศึกจริงมาก่อน นอกจากนี้ยังมีพวกสัตว์ประหลาดในหมู่คู่แข่งของนายพลไคโล เขาไม่เคยได้โผล่มาเชิดฉายเพราะอยู่กับสัตว์ประหลาดตัวนั้น.”

 

“หมายถึงนายพลโลอิ่งเหรอ?”

 

“ใช่แล้วครับ เนื่องจากพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาของเขา นายพลไคโลเลยไม่ได้แสดงความสำเร็จให้เห็นเลย ถึงกระนั้น ต้องขอบคุณความสำเร็จที่สะสมมาอย่างต่อเนื่องของนายพลโลอิ่งที่ไม่มีโอกาสให้นายพลไคโลได้เฉิดฉายเลย”

 

“นั่นก็เป็นความจริงแหละนะ แต่ถ้าเขาประสบปัญหามากขนาดนั้น เขาก็คงไม่มีปัญหาด้านบัญชาการหรอกเพราะเขาเป็นเงาตามตัวของนายพลโลอิ่งตลอดเลยนี่น่า.”

 

ทริสครุ่นคิดกับคำพูดของลิซ

 

“ฟุมุ ข้าก็คิดเช่นนั้น”

 

“มีอะไรกวนใจทริสงั้นเหรอ?”

 

“เคยได้ยินมาว่านายพลไคโลมักจะไม่ชอบคนที่มีความสามารถเพราะเขาถูกผลักไสให้อยู่ในเงามืด”

 

“นั่นหมายความว่าเขาชอบคนที่ขยันมากกว่าคนมีพรสวรรค์งั้นเหรอ?”

 

“ครับ น่าจะพูดแบบนั้นได้ แต่ก่อนเขาก็มีพรสวรรค์แต่เขาไม่คิดจะหยิบมันมาใช้อีกแล้ว.”

 

“ถ้าเป็นเช่นนั้นมันก็ไม่น่าเป็นไรนี่?”

 

“หากกีดกัดคนมากความสามารถออกไป ก็จะทำให้กลยุทธ์ที่ใช้ได้น้อยลงนะครับ เป็นเรื่องธรรมดาเพราะเขาจะไม่ฟังความคิดเห็นที่ดีกว่าของเขาได้.”

 

ทริสมองลิซที่แสดงสีหน้ากังวล

 

“แล้วองค์หญิงท่านจำได้ไหมครับ?”

 

“หืมมมม?”

 

“องค์หญิงเองก็เป็นพวกอัจฉริยะเป็นประเภทที่นายพลไคโลเกลียดที่สุดเลย และนั่นทำให้ข้าหงุดหงิดมาก.”

 

“ฮ่าฮ่า พูดเวอร์เกินไปแล้วน่าทริส ถ้าฉันเป็นอัจฉริยะจริง ฉันคงไม่ฝึกหนักทุกวันหรอก.”

 

ลิซโบกมือปฏิเสธ แต่แก้มของเธอราวกับผ่อนคลายลงจากที่การได้รับคำชม ทริสถอนหายใจลึกๆและชี้ไปที่ “ลิเวียธาน”ที่เอวเธอ

 

“มีอะไรเหรอครับ?”

 

“นี่ไงลิเวียธาน ดูน่ารักมั้ย?”

 

“ยังไงก็ตามช่างเรื่องน่ารักหรือไม่น่ารักไปเถอะ มีดาบภูติกี่เล่มในโลกนี้เหรอครับ?”

 

“ห้า แต่หนึ่งในนั้นหายไปจึงเหลือแค่สี่.”

 

“มีดาบภูติเพียงสี่เล่มในโลกเหรอ และหนึ่งในนั้นอยู่ที่เอวขององค์หญิง”

 

“แต่เพียงเพราะฉันมีลิเวียธานจังไม่ได้หมายความว่าฉันจะมีพรสวรรค์นะ?”

 

“มีเหตุผลรองรับเสมอครับทำไมลิเวียธานถึงยอมรับในตัวท่าน ต้องมีพรสวรรค์บางอย่างที่ท่านอาจจะไม่รู้ก็ได้ นั่นเป็นเหตุผลที่นายพลไคโลจะมองท่านเป็นศัตรู”

 

“เป็นถึงผู้บัญชาการของกองทัพจักรวรรดิที่สี่ ดังนั้นไม่คิดว่าเขาจะแสดงอารมณ์แบบเด็กๆ…”

 

“ถึงกระนั้นก็ควรระมัดระวังตัวไว้นะครับ”

 

“…เข้าใจแล้วค่า”

 

ทริสเสนอแนะลิซเก็บมันมาไว้ในใจ

 

(ฮิโระเองก็พูดอะไรแบบนั้นเหมือนกัน)

 

 

 

มันทำให้เธอนึกถึงชายหนุ่มที่มีผ้าปิดตาปิดครึ่งหน้าเขา เขาแยกจากกันสองวันก่อน และตอนนี้ผ่านมาสิบกว่าวันแล้ว

 

*ย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ที่ลิซไปหาฮิโระที่ห้องสมุด*

 

ตามปกติแล้วฮิโระจะซ่อนตัวอยู่ในห้องสมุดที่ป้อมเบิร์ก ลิซไปรับฮิโระที่ไม่ได้กินอาหารเช้าและหมกหมุ่นอยู่กับการอ่าน

 

“ลิซเธอคิดว่าอะไรเป็นสิ่งจำเป็นในการทำสงครามงั้นเหรอ?”

 

หลังจากที่ลิซเข้าไปในห้อง ฮิโระก็โยนคำถามใส่เธอ

 

“อืม ทหาร อาหาร และ————–ข้อมูลไง!”

 

“แน่นอนสามสิ่งนั้นเป็นปัจจัยสำคัญ แต่อย่าลืมว่าสงครามจะเริ่มได้ก็ต่อเมื่อมีสาเหตุ”

 

ฮิโระยิ้มอย่างขมขื่นและมองตรงไปที่ลิซ

 

“ในระหว่างนี้ พวกเรามาพูดถึงสาเหตุในภายหลัง และมาพูดถึงข้อมูลกันดีกว่า”

 

ความเป็นเด็กที่่เคยมีอยู่บนใบหน้าของเขาหายไปจากสีหน้าของฮิโระ

 

(ใบหน้านั่น)

 

เขาคนนั้นมีใบหน้าหลายอารมณ์ เขามักจะมีใบหน้าที่อ่อแอเหมาะสมกับอายุของเขา แต่ในสนามรบเขามีสีหน้าโหดเหี้ยมทำให้สงสัยว่าเขาคิดอะไรอยู่ และเมื่อเขาใช้ไหวพริบเขาจะแสดงสีหน้าน่าสนใจออกมา เธอสงสัยอยู่บ่อยครั้งว่าใบหน้าที่แท้จริงของเขาเป็นเช่นไร และถ้าเป็นไปได้เธอหวังว่าจะเป็นฮิโระในยามปกติ ลิซฟังเรื่องราวของเขาโดยหวังว่าจะทำให้ดีที่สุด

 

“――จนกว่าเวลาจะมาถึง พวกเราจะส่งสายลับซ่อนตัวอยู่ในประเทศศัตรูเป็นเวลาหลายปีหรือเป็นทศวรรษ จากข้อมูลที่สะสม เราสามารถเปรียบเทียบกับรายงานล่าสุดและเริ่มเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม.”

 

ฮิโระปิดหนังสือที่เขาถืออยู่ในมือ

 

“พวกเราได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเพราะอุดมการณ์ของเรา การฝึกอบรมและขวัญกำลังใจของทหารนั้นไร้ที่ติ เรามีอาหารและเครื่อมดื่มเพียงพอ และเรามีข้อมูลของศัตรูละเอียดมาก สิ่งที่เหลืออยู่ที่จะทำให้สงครามเกิดขึ้นคือสิ่งใดกันครับ?”

 

แต่หลังจากหยุดไปชั่วครู่ฮิโระก็พูดต่อ

 

“มีหลายครั้งที่ทุกคนต่างเตรียมปัจจัยทั้งสามในการชนะสงครามเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าผู้บัญชาการไม่สามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ พวกเขาก็จะแพ้นั่นเอง.”

 

“เพราะแบบนั้นเลยมีเหล่าที่ปรึกษาที่คอยเตือนสติไม่ใช่เหรอ?”

 

“คนส่วนใหญ่มักจะตระหนักรู้ถึงข้อบกพร่องของตัวเองจึงได้พึ่งพาคนรอบตัว นั่นคือผู้บัญชาการทั่วไปที่มีสมองคิด แต่ก็จะมีผู้บัญชาการบางจำพวกที่กีดกัดหัวกะทิทั้งหลายออกจากตัวเองและรวบรวมคนที่เชื่อฟังเขามากกว่าจะเสนอความคิดเห็นต่าง.”

 

มีผู้บัญชาการแบบนี้อยู่ทุกที่ ทุกเวลา ทุกสถานการณ์ ซึ่งมันเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติ นายพลธรรมดามักจะอิจฉาคนมากพรสวรรค์ ดังนั้นหากไม่มีคนที่มากพรสวรรค์ปรากฏตัวพวกเขาจะได้ชิงลงมือทำผลงานอย่างเต็มที่ ในฐานะที่ลิซเป็นที่ชื่นชอบของลิเวียธานและมีสายเลือดของราชวงศ์แกรนท์ พวกเขาจะยิ่งไม่ฟังคำสั่งของเธอ

 

“ลิซเองก็ยศนายพล ดังนั้นจึงมีสิทธิในการออกคำสั่งกองทัพ แต่บางครั้งก็ต้องมีที่ปรึกษาในการช่วยวางแผนการรบ บางครั้งเธอก็ต้องปรึกษากับนายพลคนอื่นๆ และคอยรับฟังพวกเขา จงจำเอาไว้ ต่อให้พวกเขาจะทำผิดพลาดมากแค่ไหน ก็อย่าได้ต่อว่าตรงๆ เพราะมันจะเป็นแผลซ้ำเติมให้กับคนๆนั้น บางคนนั้นอีโก้หนาเตอะแต่สมองคิดไม่มี”

 

“เพราะแบบนั้นพวกเราเลยต้องชี้ให้เขาเห็นถึงความผิดพลาดไม่ใช่เหรอ.”

 

“เพราะแบบนั้นจงเตรียมตัวเอาไว้ เตรียมพร้อมสำหรับทุกกรณี หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นให้ติดต่อหน่วยอื่นๆและลูกน้องของพวกเขาแทนที่จะเป็นตัวนายพลคนนั้น”

 

“แต่พวกเขาจะฟังที่ฉันบอกเหรอ?”

 

“จงใช้ฐานะของเธอที่เป็นเจ้าหญิงลำดับที่หกเพื่อประโยชน์ของตัวเธอเอง ยิ่งเธอที่เป็นผู้ถือครองลิเวียธาน ยังไงพวกนั้นก็ต้องยอมสยบและเชื่อฟังคำสั่งเธออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้.”

 

ฮิโระค่อยๆอ้ามืออย่างช้าๆดวงตาสีดำของเขาเปล่งประกาย

 

“ทหารจะฟังคำพูดของเธออย่างแน่นอน เนื่องจากเธอเป็นผู้ถือครองลิเวียธาน มันจะมีผลในอนาคตหลังจากนี้อย่างแน่นอน.”

 

“เมื่อเวลานั้นมาถึงงั้นเหรอ?”

 

ลิซเบิกตากว้างมองไปยังฮิโระ แต่เขาได้ยิ้มให้และไม่ได้ให้คำตอบกับเธอ

 

“ถ้างั้นพวกเรามาพูดถึงสาเหตุกันบ้างดีกว่า” ฮิโระพูดต่ออย่างราบรื่น

 

(การสนทนาของพวกเราจบลงเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน…)

 

 

หัวของเธอเริ่มปวดอีกครั้งเมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาบอก ลิซส่ายหัวและมองไปยังข้างหน้า

 

“ทริส”

 

“ครับ มีอะไรให้รับใช้?”

 

“ฉันอยากให้นายไปหาชื่อของ กองทัพ สังกัด ธง ของฝ่ายเราทั้งหมด และติดต่อกับหัวหน้าหน่วยทุกสังกัดให้หน่อย.”

 

ทริสเอียงคอด้วยความสงสัย ชื่อของแม่ทัพของทหารที่เธอนำทัพอยู่เธอน่าจะรู้หมดแล้วนี่

 

“หมายถึงกองทัพทั้งหมดงั้นเหรอครับ?”

 

“ใช่พวกเราจะต้องเตรียมพร้อมในกรณีที่นายพลไคโลทำผิดพลาด”

 

มันคงจะดีถ้าไม่มีอะไรผิดแปลก แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ในสนามรบ

 

“ฝากด้วยนะทริส.”

 

“เข้าใจแล้วครับ ข้าจะรีบไปตรวจสอบในทันที”

 

ทริสก้มศีรษะลงและหายไปในกองทัพ

 

ลิซเฝ้าดูขณะที่มองไปที่ลิเวียธาน

 

กลองจำนวนหนึ่งถูกตีออกจากค่ายหลัก และเสียงของทหารก็เคลื่อนทัพ ธงตราสัญลักษณ์ถูกชูขึ้น ลิซเฝ้าดูและยกมือให้สัญญาณแก่คนถือธง

 

ธงตราสัญลักษณ์ดอกลิลี่บนพื้นหลังสีแดงกำลังโบกสะบัดไปตามสายลม และธงสิงโตบนพื้นหลังสีทองของราชวงศ์ก็ถูกชูขึ้นเช่นกัน ดังนั้นกองกำลังทั้งหมดจึงเริ่มเดินทัพไปยังราชอาณาจักรลิชไทน์อย่างรวดเร็ว

 

 

 

***

 

 

 

26 เดือนเจ็ด ปีจักรวรรดิที่ 1023 สามวันหลังจากที่ลิซและคนอื่นๆเริ่มเดินทัพ

 

ฮิโระมาถึงเมืองชายแดนลิงซ์

 

“โฮ่ กำลังรอเจ้าอยู่เลย”

 

ที่หน้าของคฤหาสน์ คิออร์กกำลังรอฮิโระด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรบนใบหน้าเขา ถัดจากเขาคือสวิฟเดรคซึ่งดูไม่พอใจที่ถูกปลุกแต่เช้า

 

“มาต้อนรับกันแต่เช้าแบบนี้เลยเหรอครับ?”

 

ยังไม่ถึงนาทีเลยตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้น ในตอนแรกฮิโระไม่ได้แจ้งให้เขาทราบด้วยว่าจะมาวันไหน ฮิโระเลยค่อนข้างประหลาดใจ ฮิโระคิดว่าเขารอมานานแค่ไหนแล้ว อย่างไรก็ตามคิออร์กส่ายหัวบอกไม่ต้องกังวล

 

“ไม่ มันเป็นเรื่องปกติเพราะส่วนใหญ่ราชวงศ์จะชอบมาเยี่ยมบ้านข้า ข้าส่งตัวแทนไปรับเจ้าที่สถานีด้วย แต่ดูเหมือนจะคลาดกัน”

 

“ขอบคุณมากครับ”

 

หลังจากยิ้มเจื้อนๆฮิโระหดตัวลง คิออร์กค้นกระเป๋าและหยิบจดหมายออกมา

 

มันเป็นจดหมายที่ฮิโระส่งโดยใช้ผู้ส่งสารของตระกูลเคลไฮนต์

 

“ข้าทำในสิ่งที่เจ้าขอไว้ในจดหมายเรียบร้อยแล้ว แต่นี่คือทั้งหมดที่เจ้าต้องการจริงๆเหรอ?”

 

“ครับแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว ขอบคุณมากนะครับ”

 

“ข้าล่ะไม่ชอบใจเลยที่เจ้าก้มหัวให้กับข้าบ่อยเช่นนี้ ตอนนี้เจ้าเป็นเจ้าชายแล้วนะ ข้าต่างหากที่ควรขอบคุณเจ้าที่มอบคำสั่งแบบนี้ให้กับข้า.”

 

“อย่างที่คิดไว้เลยสินะครับ…”

 

ฮิโระตระหนักได้ว่าเขาไม่มีสิทธิบ่น คิออร์กพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นตบไหล่และบอกว่า “เจ้าไม่ต้องถ่อมตนอีกต่อไปแล้ว”

 

ฮิโระประหลาดใจเล็กน้อยกับคิออร์กที่ดูอารมณ์ดี เขาเกาหัวด้วยสีหน้าเขินอาย

 

“อ่า ขอโทษ พอดีข้านอนไม่หลับเลย และข้าดีใจที่เจ้าได้รับการยอมรับว่าเป็นทายาท ข้าสนิทกับเจ้ามากเกินไปสินะ ข้านี่ทำตัวไม่เหมาะสมกับเจ้าชายเลยนะเนี่ย ฮะฮะฮ่า.”

 

อาจเป็นความผิดของฮิโระที่ทำให้เขาต้องตื่นตลอดทั้งคืน ดังนั้นเขาไม่มีอะไรจะพูด และคิออร์กเองก็เป็นคนนิสัยดีมาก ดังนั้นเขาไม่โกรธหรอก ถ้าเป็นเจ้าชายแซทโทเบลคงน่ารำคาญน่าดู

 

ก่อนที่จะเกิดความเงียบระหว่างพวกเขา ฮิโระเปลี่ยนเรื่อง

 

“ลิซออกไปทำสงครามเหรอครับ?”

 

“ใช่ จดหมายพึ่งมาถึงเมื่อวานนี้ ตอนนี้เธอน่าจะเข้าไปในราชอาณาจักรลิชไทน์แล้ว.”

 

“ถ้างั้นผมเองก็ขอตัวครับ…”

 

คิออร์กหยุดฮิโระที่กำลังจะขึ้นสวิฟเดรคด้วยความรีบร้อน

 

“จะไปโดยที่ไม่ทานข้าวเช้าเลยรึ?”

 

“ครับมีบางอย่างกวนใจผม…”

 

สิ่งหนึ่งที่เขียนไว้ในจดหมายของจักรพรรดิ ———–การปรากฏตัวของเผ่าปีศาจ เผ่าปีศาจนั้นแอบแฝงตัวอยู่ในทวีปกลางและเป็นพันธุ์ผสมส่วนใหญ่ ไม่มีสายเลือดบริสุทธิ์

 

แต่ว่าในจดหมายรายงานไว้ว่าเผ่าปีศาจที่ปรากฏตัวในลิชไทน์เป็นสายเลือดบริสุทธิ์

 

ฮิโระเคยต่อสู้กับจุดสูงสุดของราชันปีศาจเมื่อพันปีก่อน และเขารู้ได้ว่าพวกมันแข็งแกร่งแค่ไหน

 

(ถ้าเป็นครึ่งปีศาจก็ดีไป ลิซคงรับมือได้ แต่ถ้าเป็นปีศาจที่มีผลึกอยู่ด้วยนั้นอันตรายมาก.)

 

เผ่าพันธุ์ปีศาจมีพลังลึกลับที่เรียกกันว่าเวทมนตร์ บางคนมีพลังเวทย์มากน้อยต่างกันไป วิธีเดียวที่จะแยกแยะได้คือดูว่าพวกมันมีผลึกตรงไหนสักส่วนของร่างกาย

 

พลังเวทย์ไม่สามารถบรรจุในร่างกายได้ มันจะตกผลึกกลายเป็นหินและถูกเรียกกันว่า “ผลึกปีศาจ” ได้รับการตั้งชื่อเช่นนั้นเพราะมันมีฤทธิ์เช่นเดียวกับหินภูติ

 

ไม่ยากที่จะจินตนาการว่ามันเป็นสถานการณ์ที่อันตรายมากหากมันเผชิญหน้ากับลิซ

 

แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าฮิโระคิดอะไรอยู่ แต่คิออร์กยิ้มอย่างขมขื่น

 

“ถ้างั้นก็ไปซื้ออาหารและน้ำในเมือง บางทีควรหยุดพักระหว่างทาง――.”

 

ฮิโระเรียกคิออร์กที่พยายามค้นกระเป๋า

 

“ไม่เป็นไรครับผมเตรียมไว้พร้อมแล้ว”

 

จากนั้นเขาก็บิดตัวเพื่อให้เขาเห็นถุงเสบียงที่ด้านหลัง

 

“อืม ถ้าอย่างงั้นก็ออกเดินทางเถอะระวังตัวด้วยล่ะ ข้าจะรอฟังข่าวดีจากที่นี่”

 

“ครับไว้เดี๋ยวผมกลับมา”

 

หลังจากบอกลากับคิออร์ก ฮิโระก้าวขึ้นไปบนสวิฟเดรคและดึงบังเหียน เมื่อสวิฟเดรคพุ่งตัวออกไป มันก็ย่ำพื้นด้วยความเร็วสูง

 

ในชั่วพริบตาคฤหาสน์ก็ไม่อยู่ในสายตาอีกแล้ว ลมแรงพัดผ่านแก้มของฮิโรและทำให้เสื้อคลุมของเขาปลิวไสว

 

วันนี้ค่อนข้างเหนื่อยมากขอตัวไปพักผ่อนเอาแรงก่อนนะครับ

 

[LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก

[LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก

Score 10
Status: Completed
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกขนานนามกันว่า “วีรบุรุษแห่งสงคราม.” ณ ต่างโลกที่ซึ่งถูกเรียกว่า อเลเทีย ชายหนุ่มที่ช่วยอาณาจักรที่กำลังจะล่มสลายโดยประเทศข้างเคียง ได้ทำการเข้ากอบกู้และก่อตั้งจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ขึ้นมาและทิ้งมันเอาไว้ให้กับคนรุ่นหลังและกลับโลกที่เขาจากมา เหลือทิ้งไว้ความทรงจำ สามปีผ่านไป ชายหนุ่มผู้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกๆวันก็ถูกเรียกกลับไปต่างโลกอีกครั้ง ยังไงก็ตามแต่ สิ่งที่รอเขาอยู่คือ อเลเทียในอีก 1,000 ปีข้างหน้าเสียแล้ว ชายหนุ่มที่เคยรุ่งโรจน์ได้กลายเป็น “เทพนิยาย”ที่ถูกเล่ากันเป็นตำนานในฐานะ “คู่หูราชาวีรบุรุษทมิฬ”

Options

not work with dark mode
Reset