[LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก 33 Volume 2 Chapter 3 คลื่นพายุทางตอนใต้ Part 1

ตอนที่ 33 Volume 2 Chapter 3 คลื่นพายุทางตอนใต้ Part 1

Chapter 3 คลื่นพายุทางตอนใต้

Part 1

อัลบากัล เมืองหลวงของราชอาณาจักรลิชไทน์ ในพระรามวังทองคำซึ่งเป็นที่บ่งบอกถึงอำนาจของพวกเขา ขุนนางกำลังวิ่งไปรอบๆกระซิบกันและแสดงความไม่พอใจต่อเจ้าชาย

 

เมื่อเดือนที่แล้ว ราชอาณาจักรลิชไทน์ประสบความพ่ายแพ้อย่างหนักหนาสาหัส โดยสูญเสียเจ้าชายทั้งสองคน นอกจากนี้ทางตอนใต้ เผ่าพันธุ์ปีศาจซึ่งประกอบด้วยทาสและทหารรับจ้าง ได้ปลดแอคตัวเอง นำโดยอดีตทาส ซึ่งตอนนี้ไม่มีอะไรที่พวกเขาทำได้

 

ไม่มีใครที่ริเริ่มจะระงับสถานการณ์นี้ และเจ้าชายเองก็หมดความกล้าหาญ จึงนำทหารสี่พันนาย ทหารราบเกราะเบาสองพันนาย และ ทาสหนึ่งพันนาย เข้าสนามรบเมื่อสี่วันก่อน

 

ในกรณีที่ราชาไม่อยู่พระราชวังทองคำก็เต็มไปด้วยขุนนางมากมาย ที่กำลังวิตกกังวล ถึงเวลาแล้วที่ผลการปะทะของเจ้าชายกับกลุ่มกบฏจะถูกรายงานให้ทราบ

 

จากนั้นผู้ส่งสารก็รีบเข้ามาพร้อมหอบหายใจรุนแรง

 

“ขอโทษด้วยครับ กองทัพกบฏได้เอาชนะกองทัพของเจ้าชายแล้วครับ!”

 

ขุนนางต่างโอดครวญ พวกเขาคิดว่าฝ่ายเจ้าชายจะชนะ จากนั้นขุนนางคนหนึ่งก็ก้าวมาข้างหน้าและเผชิญหน้ากับผู้ส่งสาร

 

“โกหกใช่ไหม ไม่จริงใช่ไหม? เป็นไปไม่ได้.”

 

ใบหน้าของเขาซีดและเขาส่ายหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความที่ไม่อยากจะเชื่อ

 

ไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเขาไม่อยากจะเชื่อ จำนวนกบฏที่มีนั้นน้อยกว่าสองพันคนในทางตรงกันข้าม กองทัพของเจ้าชายประกอบด้วยหน่วยหัวกะทิ แม้ว่าขวัญกำลังใจจะต่ำหลังจากพ่ายแพ้อันเจ็บปวดเมื่อเดือนที่แล้ว แต่ก็ได้รับการยกระดับให้อยู่ในระดับที่สมบูรณ์แบบโดยผู้นำที่เป็นเจ้าชาย นอกจากนี้ ผู้คนรอบตัวเขาล้วนแต่เป็นขุนนางที่มีประสบการณ์ในการรบดังนั้นไม่น่าจะมีผิดพลาดเรื่องสั่งการ

 

“เกิดบ้าอะไรขึ้นกันเนี่ย?”

 

“พวกทาสมันก่อกบฏและขุนนางก็ถูกฆ่าตาย เจ้าชายพยายามสู้อย่างหนัก แต่ความพยายามของเขาไม่เพียงพอ!”

 

“พวกทาสงั้นเรอะ…”

 

ขุนนางถอยออกห่างจากผู้ส่งสารด้วยสีหน้าซีดๆ งอเข่าลง วางหน้าผากลงบนพื้นและเริ่มร้องไห้ ขุนนางโดยรอบก็ทรุดตัวกันหมด บางคนก็บอกว่าที่นี่มันจบแล้ว และวางแผนที่จะออกจากราชอาณาจักร ทุกคนต่างจินตนาการว่าราชอาณาจักรลิชไทน์ได้ล่มสลายในไม่ช้า แต่มีใครบางคนที่หยุดความสิ้นหวังเหล่านั้น

 

“ใจเย็นสหาย ไม่มีเวลาให้เศร้าโศก เราจำเป็นต้องหารือเกี่ยวกับอนาคต เราไม่สามารถปล่อยให้พวกกบฏทำตามใจชอบได้”

 

สายตาของขุนนางจดจ่ออยู่กับคนที่ก้าวเข้ามาในห้องโถง ชายคนนั้นหยุดเดิน อาจเป็นเพราะแววตาโกรธแค้น แต่ในไม่ช้าเขาก็เดินบนพรมแดง

 

ตัวของเขานั้นผอมและดูอ่อนแอ ใบหน้าซีดราวกับว่าจะล้มป่วยได้ทุกเมื่อ เขาเป็นบุตรชายคนที่สองของราชาแห่งราชอาณาจักรลิชไทน์ ชายหนุ่มที่ไม่มีใครต้องการให้เป็นทายาทเพราะความอ่อนแอของเขา ชื่อของเขาคือ คาร์ล โอ๊ค ลิชไทน์ ตำแหน่งเคานต์

 

ขณะที่เขาเดินไปที่ศูนย์กลางของขุนนาง เขาก็หันแขนซีดๆและผิวสีแทนไปด้านทางเข้า

 

“เขาเองก็มาเหมือนกัน.”

 

มาร์ควิสรังกิลส์ ผู้พิทักษ์ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือเข้ามาในห้องโถงด้วยท่าทีหยิ่งผยอง เขาหัวเราะเยาะเย้ยขุนนางที่หวาดกลัวด้วยท่าทางที่ค่อนข้างหยาบคาย

 

ชายคนนี้ตอนอายุ 34 ปี เป็นวีรบุรุษของราชอาณาจักรลิชไทน์โดยเอาชนะกองทัพสไตน์เชินที่มีจำนวนมากกว่าสามหมื่นนายจากประเทศเพื่อนบ้านเมื่อสองปีก่อน อย่างไรก็ตาม แม้จะมีพรสวรรค์แต่ก็ถูกกีดกัดให้ไปชายแดนเพราะบุคลิกที่หยาบกระด้างของเขา

 

“ต้องขอโทษจริงๆวะ เจ้าชายตายแล้วงั้นเหรอวะเนี่ย ไม่มีเวลามาเศร้าหรอกโว้ยไอ้พวกเวร เคานต์ คาร์ล จะขึ้นครองบัลลังก์ในทันที”

 

มาร์ควิสรังกิลส์ ซึ่งจู่ๆปรากฏตัวในที่แห่งนี้ประกาศอย่างมั่นใจ พูดตามใจต้องการ พร้อมกับเสียงโห่ร้องของขุนนางที่ดังก้องขึ้นมา

 

“แกคิดว่าแกเป็นใครวะ ท่านคาร์ลอ่อนแอเกินกว่าจะรวมประเทศเป็นหนึ่งเดียว――.”

 

“หมายความว่ายังไงหะไอ้พวกเวร ไม่อยากพูดจาใส่ร้ายคนตายหรอกนะ แต่เจ้าชายที่ตายไปแม่งเห็นแก่ตัวไม่สนใจประเทศ รางวัลกับบทลงโทษแม่งไม่มีความเท่าเทียมเลยสักนิด และเขาจ้องหาแต่ขั้วอำนาจใหญ่ๆ นอกจากนี้ ลูกชายที่ถูกต้องตามกฏหมายยังเป็นพวกโง่เง่าที่มีอารมณ์ดุร้ายโดยยั่วได้ง่ายๆ แถมลูกชายคนที่สามแม่งก็ติดผู้หญิง”

 

“แก แกมันหยาบคายเกินกว่าจะเชื่อ!”

 

ใบหน้าของขุนนางเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ และพวกเขาก็เข้าใกล้รังกิลส์

 

“ฮ่าฮ่า พอตรูพูดความจริงพวกมึงก็รับไม่ได้งั้นเรอะ เพราะพวกมึงมันได้ใช้ชีวิตสะดวกสบายบนกองเงินกองทอง ไม่เคยออกไปบนสนามรบไง?”

 

“หมายความว่าไง…?”

 

“ยังจะให้ต้องบอกอีกเหรอไอ้พวกโง่ ความจริงพวกมึงก็รู้อยู่แก่ใจ”

 

ในกองทัพของเจ้าชายที่ไปบุกในครั้งนี้พร้อมกับเหล่าขุนนางอาจกล่าวได้ว่าเป็นสาเหตุของความเสื่อมถอยของประเทศนี้อยู่ด้วย การหายตัวไปของขุนนางเหล่านั้นหมายความว่าพวกนั้นจะมาแทนที่ขั้วอำนาจเก่า

 

(เอออ….ไม่ยอมให้ทำอะไรตามที่ต้องการหรอก)

 

ถึงเวลาแล้วที่จะทำให้ประเทศแห่งนี้กลับสู่สภาวะปกติ แม้ว่าเจ้าชายจะยังไม่ตาย แต่อนาคตของประเทศนี้ก็จะเกิดสงครามกลางเมือง ทุกอย่างล้วนมีอะไรแอบแฝง แต่มันจะต้องใช้กำลังในการกำราบเท่านั้น หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คราวนี้กองทัพกบฏได้ถือกำเนิดแล้ว

 

(ยังไงก็ตาม สถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงในสองสามครั้งในเวลาอันสั้นได้ยังไง?)

 

ตัวทายาทและเจ้าชายคนที่สามตายระหว่างการต่อสู้ นอกจากนี้กบฏยังเอาชนะเจ้าชายองค์ปัจจุบันอีก รังกิลส์ รู้สึกว่าอยากจะมอบรางวัลให้กับกลุ่มกบฏเสียเหลือเกิน

 

“แต่โชคยังดีที่ตระกูลของเขายังมีเจ้าชายผู้เปี่ยมไปด้วยปัญญาและความกล้าหาญ ท่าน คาร์ล โอ๊ค ลิชไทน์ ผู้ห่วงใยประชาชน เคารพต่อเหล่าทหาร และรักลูกน้องของเขา.”

 

“แต่ก็อย่างที่ทุกคนเห็น ตัวผมนั้นอ่อนแอ สามารถตายได้ทุกเมื่อ จะรวบรวมประเทศนี้ได้ยังไงน่ะเหรอ?”

 

มาร์ควิสรังกิลส์ยิ้มและพยักหน้ากับเจตจำนงอันแรงกล้าของคาร์ล

 

“ข้าหามิใช่หมอ ดังนั้นไม่รู้หรอกว่าร่างกายท่านจะทรุดลงเมื่อใด แต่ในยุคนี้ ไม่มีใครรู้อนาคตหรอกอาจจะตายได้ทุกเมื่อ และสำหรับข้าแล้วคนที่แข็งแรงยืนยาวนั้นตายง่ายกว่าคนมีโรคซะอีก.”

 

ลูกชายคนโตตาย เจ้าชายตาย เหลือเพียงเจ้าชายผู้อ่อนแอ

 

“ฮ่ะฮ่าก็จริงนะ…”

 

เคานต์คาร์ลหัวเราะออกมาดังๆกับการประชดประชัน

 

“ถ้าอย่างนั้นมันอาจจะไม่ใช่ความคิดแย่ที่จะลองเป็นเจ้าชายในวาระสุดท้ายของชีวิต แต่ประชาชนจะเห็นด้วยกับผมไหม?”

 

“ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นเลย หากเอาชนะกบฏได้ ทุกคนก็จะยอมรับท่าน.”

 

“ถ้างั้นผมจะขึ้นเป็นเจ้าชายหลังจากจัดการกบฏให้เรียบร้อย.”

 

มาร์ควิสรังกิลส์ซึ่งพยักหน้าอย่างกระตือรือร้นมองไปรอบๆขุนนางพึมพำเกี่ยวกับความจริงจังของเขา

 

“ตอนนี้ดูเหมือนท่านคาร์ลจะตัดสินใจแล้ว แล้วพวกแกล่ะ ท่านสุภาพบุรุษ?”

 

“ถ้าท่านคาร์ลตัดสินใจแล้ว เราก็ไม่มีทางเลือก แต่เราจะจัดการกับกลุ่มกบฏที่เอาชนะชนชั้นสูงของเราได้อย่างไร?”

 

ขุนนางลืมวิธีคิดอย่างอิสระและเป็นเรื่องน่าท้อแท้ที่เห็นถึงการทุจริตที่พวกเขาเคยก่อ

 

(อยากจะฆ่าพวกมันโดยเร็วจริงๆ แต่พวกมันยังมีประโยชน์สำหรับพวกมัน ก่อนอื่นข้าจะต้องรีดเค้นความมั่นคั่งที่พวกเขาสะสมมา)

 

มาร์ควิสรังกิลส์ซึ่งยังไหล่พูดต่อ

 

“พวกเราไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มกบฏเลยแม้แต่น้อย”

 

“มาร์ควิสรังกิลส์ หมายความว่าไง?”

 

เพื่อตอบสนองต่อคำพูดของคาร์ล มาร์ควิสรังกิลส์กล่าว “ช่วยรออีกสักครู่.”

 

ครู่ต่อมาชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในห้องโถง

 

“มีรายงานครับ กองทัพจักรวรรดิที่สี่กำลังรวมตัวกันที่ป้อมเบิร์กเพื่อเข้าโจมตีพวกเราครับ!”

 

เป็นรายงานที่เขารอคอย ในขณะนี้มาร์ควิสรังกิลส์ เชื่อมั่นในชัยชนะของเขา

 

ชายผู้มีสติปัญญาที่ไม่มีใครเทียบได้ เป็นคนที่ประเทศอื่นให้ฉายาเขา มาร์ควิสรังกิลส์ยิ้มออกมาเพราะมีโอกาสได้ทดสอบสติปัญญาหลังจากไม่ได้ผ่านมานาน

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่กรณีของขุนนาง สิงโตที่ครอบงำทวีปกลางกำลังจะเข้าโจมตี ห้องโถงเต็มไปด้วยความกลัว

 

ราวกับจะปลอบใจพวกเขามาร์ควิสรังกิลส์ก็ขึ้นเสียง

 

“ใจเย็นน่า ข้ามีแผน”

 

มาร์ควิสรังกิลส์เชี่ยวชาญในการควบคุมจิตใจคน

 

หากมีขุนนางเก่าแก่ที่นี่เพียงคนเดียว เขาคงโดนต่อต้านแน่นอน แต่ตอนนี้พวกมันตายไปหมดแล้ว ดังนั้นขุนนางที่เหลืออยู่จึงไม่มีใครกุมบังเหียน และมีแต่พวกหวงอำนาจไม่อยากสูญเสียตำแหน่ง ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาต้องการคนที่มาช่วยรักษาอำนาจพวกเขา นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าก่อนหน้านี้แม้จะบ่น แต่ตอนนี้ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องฟังรังกิลส์

 

“ท่านคาร์ล พวกเราสามารถปล่อยให้กบฏต่อสู้กับกองทัพจักรวรรดิที่สี่ได้”

 

“…หมายความว่าพวกเราจะใช้พวกบกฏต่อสู้กับกองทัพจักรวรรดิที่สี่เหรอครับ?”

 

“ใช่ นั่นคือสิ่งที่ข้าวางแผนเอาไว้ไม่มีอะไรยากเลยสักนิด ตามรายงานของสายลับของข้ากองทัพจักรพรรดิที่สี่จะนำโดลนายพลที่ไร้ชื่อเสียงที่เป็นตัวแทนนายพลโลอิ่งที่โดนกักบริเวณ เพราะงั้นมันไม่น่าจะลำบากที่จะไปเล่นกับพวกเขา.”

 

รังกิลส์ขุดกระเป๋าของเขาและกางแผ่นกระดาษ แผนที่ของราชอาณาจักรลิชไทน์ บนพรมแดง

 

“ก่อนอื่นพวกเราจะให้พวกเจ้าดินแดนทั้งหลายรวบรวมกองกำลังมาให้มากที่สุด พวกเราไม่สามารถเริ่มต้นอะไรได้หากไม่มีทหาร”

 

ได้ยินเช่นนั้นขุนนางต่างๆก็รีบออกไปรวมกำลังพลในดินแดนของตน ในช่วงเวลาเช่นนี้ใครที่ลงมือก่อนจะได้ผลประโยชน์มากที่สุด อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เริ่มทีหลังจะจบลงด้วยรางวัลอันน้อยนิด หลังจากขุนนางที่พยายามแย่งชิงกันลงมือเพื่อสร้างผลงาน ก็รีบออกจากห้อง

 

ในทางตรงกันข้ามฝ่ายที่ไม่มีทหารก็จะนำทรัพย์สมบัติส่วนตัวมาทุ่มไว้ ในเวลาไม่นานทั้งห้องบัลลังก์ก็เหลือขุนนางสองคนและทหารที่เฝ้าพวกเขา

 

“ตอนนี้ไม่มีการรบกวนอีกต่อไปแล้ว โปรดอย่าบอกใครเกี่ยวกับแผนการในครั้งนี้ นี่เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการชนะสงครามเข้าใจไหม”

 

มาร์ควิสรังกิลส์กล่าวคาร์ลเองก็พยักหน้าให้

 

“ก่อนอื่นพวกเราต้องนำทางกองทัพจักรวรรดิที่สี่ไปหาพวกกบฏ.”

 

“พวกเราจะล่อพวกกองทัพจักรวรรดิที่สี่ได้ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?”

 

“นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเราจะจงใจสร้างเส้นทางสำหรับพวกเขา หากเราทำให้การป้องกันของป้อมเบาบางลง เราก็สามารถแสดงให้พวกเขาเห็นว่าพวกเขาเดินทัพได้อย่างปลอดภัยมากขึ้นด้วยวิธีนี้ และนายพลที่ไร้ชื่อเสียงที่ต้องการผลงาน จะไล่ตามมาอย่างแน่นอนและพวกเราจะนำพวกเขาเข้าไปในดินแดนของพวกเรา.”

 

ใบหน้าของเคานต์คาร์ลไม่ชัดเจนแม้ว่ารังกิลส์จะพูดอย่างมั่นใจ

 

“เขาเป็นนายพลของมหาจักรวรรดิใช่ไหมครับ นายพลของมหาจักรวรรดิจะไม่สามารถมองแผนการนี้ได้เลยงั้นเหรอครับ?”

 

“ความโลภของมนุษย์ไม่มีขีดจำกัด หากโยนเหยื่อไปแล้วก็จะกัดไม่ปล่อย สิ่งที่ต้องทำคือทำให้พวกนั้นคิดว่าทุกอย่างจะไปได้สวย ศัตรูที่ระมัดระวังตัวมากเกินไปเป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่กองทัพศัตรูที่ประมาทน่ะย่อยได้ง่ายๆ”

 

มาร์ควิสรังกิลส์พูดต่อขณะที่คาร์ลพยักหน้า

 

“ต่อไปเราจะมาดูกันว่าใครชนะแล้วเราจะไล่กวาดล้างผู้ที่เหนื่อยล้า”

 

“ฟุมุ พวกเราจะมาปลามาเกยตื้นสินะ…”

 

“ใช่ จนถึงตอนนี้มันประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน หลังจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับทหารที่จะตัดสินใจว่าเราจะชนะได้หรือไม่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่กวนใจข้า.”

 

“อะไรเหรอครับ?”

 

“ดูเหมือนว่าสาธารณรัฐสไตน์เชิน และ แกรนด์ดัชชีแห่งดรัล ได้บรรลุข้อตกลงสงบศึกแล้ว การล่มสลายของเฟลเซ็นอาจเป็นปัจจัยหนึ่ง แต่การเสียชีวิตของประมุขแห่งสาธารณรัฐสไตน์เชิน น่าจะเป็นสาเหตุหลักมากที่สุด”

 

“…แบบนั้นก็เป็นปัญหาหนึ่งใช่ไหม?”

 

“สาธารณรัฐสไตน์เชิน ดูเหมือนจะสูญเสียความสามัคคีเป็นที่เรียบร้อย ไม่มีการรับประกันว่าจะไม่มีคนที่จะโจมตีพวกเราเพื่อแสวงหาความได้เปรียบ”

 

ราชอาณาจักรลิชไทน์เสียทหารจำนวนมากและแพ้ศึกถึงสองครั้งติด ด้วยเหตุนี้การปกป้องดินแดนนอกพื้นที่วิกฤตจึงเบาบางลง

 

“กบฏ มหาจักรวรรดิแกรนท์ สาธารณรัฐสไตน์เชิน ราชอาณาจักรลิชไทน์ของเรานี่เป็นแหล่งยอดฮิตเหลือเกินนะ แม้ว่าหลายประเทศจะดูหมิ่นพวกเราว่าเป็นรัฐทาส.”

 

ราชอาณาจักรลิชไทน์ เป็นดินแดนที่แห้งแล้งปกคลุมไปด้วยทะเลทราย ซิเกิร์ล แต่มีผู้คนมากมายที่โลกดินแดนแห่งนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณ เหตุผลนี้คือการมีอยู่ของโอเอซิสที่สวยงามกระจายอยู่ทั่วทะเลทรายซีเกิร์ล ภูติไม่เข้าใกล้โอเอซิสเพราะมีคนอาศัยอยู่ แต่กล่าวอีกนัยหนึ่งหากไม่มีผู้คนอาศัยอยู่จะมีภูติเข้ามาอาศัย หากใครสามารถคว้าโอเอซิสมาได้จะสามารถหาผลึกภูติได้ พวกเขาไม่สามารถเลี่ยงมันได้เลยเพราะมหาจักรวรรดิแกรนท์กับราชอาณาจักรลิชไทน์สนิทสนมผ่านการค้าทาส

 

เมื่อเดือนที่แล้วความสัมพันธ์ของสองประเทศนั้นไม่ลงรอยกัน

 

“ดังนั้นการต่อสู้ครั้งนี้จะอยู่ได้ไม่นาน”

 

โจรและมอนสเตอร์เข้าโจมตีหมู่บ้าน หากความขุ่นเคืองของประชาชนระเบิดอารมณ์ กองทัพกบฏที่สองจะกำเนิดขึ้น หากเป็นเช่นนั้น คงไม่ง่ายที่จะรักษารูปลักษณ์ของประเทศแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการรุกรานจากภายนอกและภายในจะทำให้ราชอาณาจักรลิชไทน์หายไปจากแผนที่

 

วิธีเดียวคือทำสงครามระยะสั้นแทนที่จะยืดเยื้อ

 

“เป็นไปได้ไหมที่มาร์ควิสรังกิลส์จะทำแบบนั้น?”

 

“ใช่แล้ว แต่ก่อนหน้านั้นข้าอยากให้ท่านวางใจข้า”

 

“…โอเค”

 

มาร์ควิสรังกิลส์พูดอย่างมั่นใจเพื่อให้คาร์ลมั่นใจ แต่…

 

(สถานการณ์รบในตอนนี้มันยากลำบากสุดๆ)

 

จำนวนทหารที่รวมได้มากที่สุดของราชอาณาจักรลิชไทน์น่าจะประมาณห้าพันคนอย่างดีที่สุด นี่ไม่เพียงแต่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของกองทัพจักรวรรดิที่สี่เลย แต่ยังด้อยกว่ากองทัพกบฏที่รุกคืบด้วยกองกำลังมากขึ้นในสถานที่ต่างๆ

 

“ถึงกระนั้น ข้าจะนำชัยชนะมาสู่ท่านอย่างแน่นอน”

 

นี่คือประเทศที่เขาเกิดและเติบโตมา เขาต้องการให้มันรอดพ้นจากภัยพิบัติทั้งปวง มาร์ควิสรังกิลส์เริ่มกำหนดกลยุทธ์ด้วยความมุ่งมั่นในใจ

 

ช่วยกันหารค่าเล่มนิยาย ค่าข้าว ค่าน้ำ ค่าไฟ ผู้แปลได้ที่นี่

 

[LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก

[LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก

Score 10
Status: Completed
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกขนานนามกันว่า “วีรบุรุษแห่งสงคราม.” ณ ต่างโลกที่ซึ่งถูกเรียกว่า อเลเทีย ชายหนุ่มที่ช่วยอาณาจักรที่กำลังจะล่มสลายโดยประเทศข้างเคียง ได้ทำการเข้ากอบกู้และก่อตั้งจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ขึ้นมาและทิ้งมันเอาไว้ให้กับคนรุ่นหลังและกลับโลกที่เขาจากมา เหลือทิ้งไว้ความทรงจำ สามปีผ่านไป ชายหนุ่มผู้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกๆวันก็ถูกเรียกกลับไปต่างโลกอีกครั้ง ยังไงก็ตามแต่ สิ่งที่รอเขาอยู่คือ อเลเทียในอีก 1,000 ปีข้างหน้าเสียแล้ว ชายหนุ่มที่เคยรุ่งโรจน์ได้กลายเป็น “เทพนิยาย”ที่ถูกเล่ากันเป็นตำนานในฐานะ “คู่หูราชาวีรบุรุษทมิฬ”

Options

not work with dark mode
Reset