Part 3
ในวันเดียวกันกับที่ฮิโระออกเดินทางไปยังเมืองหลวงของจักรวรรดิ มีสิ่งประหลาดเกิดขึ้นทางใต้บนชายฝั่งทางใต้สุดของท่าเรือลิชไทน์
ชาวประมงแห่กันไปที่เมืองท่าอิลนิส เพื่อจับปลา แต่ที่นั่นไม่ได้มีชื่อเสียงด้านนั้นเพียงอย่างเดียว
นี่คือเมืองที่เต็มด้วยความเส็งเคร็ง ที่มีทาสจากทั่วโลกพร้อมสินค้าจำพวกเนื้อจำนวนมากเข้ามา ห่างจากท่าเรือมีกองเรือค้าทาสจอดอยู่ข้างชายหาดที่ชาวประมงจอดเรืออยู่
ที่พักบนชายฝั่งหิน แม้ว่าจะมีไว้สำหรับชาวประมงที่กลับมาจากตกปลา แต่ปัจจุบัน ถูกครอบครองโดยกลุ่มค้าอาวุธ
“ดยุคนั่นแม่งโง่ชิบหาย”
หนึ่งในพวกเขาพูดเช่นนั้น
.”ไปต่อสู้กับจักรวรรดิและเสียลูกชายสองคน!”
“อ่า และจักรวรรดิก็จะมากวาดล้างพวกเราในไม่ช้าแน่นอน”อีกคนตอบกลับ
“ข้าไม่ชอบเลยนี่มันคราวขาลงของพวกเราแล้วเหรอวะ”
“ตอนที่ข้าได้ยินเรื่องราวมา ดยุคคนนั้นมันอยากแก้แค้นให้ลูกชายมันวะ พวกมันประกาศรับสมัครทหารจำนวนมากเพื่อเข้าร่วมกองทัพ.”
“เฮ้ย แล้วมันจ่ายให้เท่าไรฟะ?!”
เสียงดันขึ้น กลุ่มค้าอาวุธหันไปทางพ่อค้าทาสที่แต่งตัวด้วยผ้าไหมชั้นดี
เหงื่อหยดไปทั่วร่างขณะที่หอบหายใจ ข้างหน้าเขามีเด็กสาวคนหนึ่งวิ่งเพื่อเก็บสิ่งของมีค่าอยู่
กลุ่มค้าอาวุธยักไหล่ออกมาและถอนหายใจ ภาพดังกล่าวไม่ใช่เรื่องแปลกที่ท่าเรือลิชไทน์แห่งนี้
ไม่ว่าเชลยที่ซื้อมาจากต่างประเทศหรือชาวพื้นเมืองลิชไทน์ที่มีตราทาสประทับอยู่ พวกทาสมักพยายามจะหนีก่อนที่จะถูกขาย เธอคนนี้เองก็เป็นหนึ่งในนั้น
“นั่นสินค้ามีค่าของข้า หยุดเธอซะ!”
กลุ่มค้าอาวุธหันไปหาสมาชิกคนที่หก
“เอาไงดีหัวหน้า?” ชายคนหนึ่งลุกขึ้นออกจากที่พัก
“แน่นอนพวกมันเป็นแหล่งเงินชั้นดีให้กับพวกเราเลย”
เขาลูบครางและสั่ง “จับตัวมันมา” พวกเขาทั้งหมดต่างทำท่าทางผ่อนคลายและในไม่ช้าก็ไล่จับหญิงสาวตัวน้อยได้ทัน เธอถูกล้อมไปด้วยชายฉกรรจ์ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“ได้โปรด ปล่อยฉันไปเถอะค่ะ”
เธอกระซิบ
“ขอโทษนะแม่หนู แต่พวกเราเองก็ต้องมีชีวิตต่อเหมือนกัน”
“อีกสองสามปีไม่นานนัก เธอก็คงงดงามได้ที่แล้วแท้ๆ น่าเสียดายจริงๆ ที่เธอจะไม่มีอายุยืนถึงขนาดนั้น”
ทาสสาวส่วนใหญ่มักไม่มีชีวิตรอดไปจนโต พวกเธอมักจะโดนทรมานอย่างโหดเหี้ยมก่อนที่จะได้ปรนนิบัติรับใช้นายคนใหม่ ไม่มีความเมตตาให้กับเหล่าทาสในราชอาณาจักรลิชไทน์แห่งนี้ เมื่อทาสคนหนึ่งตายไปก็ซื้อคนใหม่มาแทน
พ่อค้าทาสที่ตามมาทันก็หอบหายใจ
“เสียเวลากูจริงๆนังเด็กนี่?!”
เขาหายใจหอบดังๆ คว้าผมของหญิงสาวไว้ในกำมือแล้วโยนเธอลงกับพื้น จากนั้นก็กดหน้าของเธอลงบนพื้นทรายอันร้อนระอุ เธอพยายามดิ้นอย่างสิ้นหวังเพื่อหนีความร้อน แต่ไม่มีทางที่เธอจะหนีได้ด้วยแรงของเธอ
“ลองปามาอีกรอบสิไอ้เด็กเวร เดี๋ยวปัดเฉือดแม่งทิ้ง ห๊ะ?!”
“ถ้าเรื่องนั้นให้ข้าทำเหอะบอส”
หนึ่งในกลุ่มค้าอาวุธกล่าวเตือน
“แกฆ่าเด็กสาวที่น่าสงสารได้ลงคองั้นเหรอ”
ทาสหันมาหาเขาด้วยรอยยิ้มอันทรมาน
“ถ้ากูทำแล้วมันจะทำไม มันเรื่องของกูนี่ทาสกูทรัพย์สินของกู จะทำอะไรกับมันก็ได้.”
“ถ้าอย่างงั้น”
ชายคนนั้นขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรอีก ผู้นำของกลุ่มยืนขึ้นพร้อมกับหาวออกมา
“ดูเหมือนจะจับทาสสาวตัวน้อยได้แล้วสินะ”
“แน่นอน!”
.ทาสคนนั้นเงยหน้าขึ้น
“นี่ถดถอยกันถึงขนาดที่ว่าต้องทำเรื่องโหดร้าย—- “
“ตอนนี้ใจเย็นก่อน ทุกอย่างจะจบลงด้วยดี เอ๊ะ?”
หัวหน้าคนนั้นยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย
“นั่นสินะข้าควรจะรีบไปจากที่นี่ดีกว่าเพราะมันร้อนเหลือเกิน”
เขาหมุนตัวกลับไป———และก็พบกับชายร่างใหญ่อยู่เหนือพวกเขา
“เอาล่ะ คราวนี้ใครอีกวะเนี่ย?”
ผู้มาใหม่ที่ตัวสูงกว่าใคร หัวหน้าคนนั้นหดตัวลงและชักดาบออกมา
< “อืม แขนผอมบาง ตัวเล็ก ต้องเป็นมนุษย์แน่ๆ”>
“นั่นมันภาษาต่างถิ่นงั้นเหรอ ก็ไม่รู้หรอกนะว่าพูดห่าเหวอะไร”
<“ในที่สุดก็พบทางไปยังโซลเลย์สักที” >
ชายร่างใหญ่ปัดผมออกจากดวงตาด้วยมืออันใหญ่โต คริสตัลสีม่วงที่ฝังอยู่บนหน้าผากของเขาเปล่งประกายรับแสงแดด
<“ดูเหมือนภาษาถิ่นที่นี่จะใช้ภาษาแกรนท์เซียนสินะ”>
“เห้ย ไอ้ยักษ์ ข้ากำลังพูดกับเอ็งอยู่นะเห้ย.”
“โทษทีๆ”
ชายคนนั้นส่งเสียงดังก้องในภาษาแกรนท์เซียนด้วยสำเนียงทุ้มหนัก
“เข้าใจแล้วใช่ไหม?”
“แกเป็นคนของจักรวรรดิเหรอ?”
หัวหน้าถาม ชายร่างใหญ่ขมวดคิ้ว
นี่ข้าดูเหมือนพวกเจ้าเผ่ามนุษย์งั้นเหรอ?”
หัวหน้าคนนั้นมองไปที่ชายคนนั้น ครู่หนึ่งเขาก็เข้าใจสิ่งที่หมอนั่นสื่อ
“ล้อกันเล่นปะเนี่ย เป็นไปไม่ได้..”
ชายคนนั้นมีผิวสีม่วงกล้ามเนื้อใหญ่โต แต่คริสตัลที่ฝังบนหน้าผากทำให้ไม่ต้องสงสัยเลย มีเพียงเผ่าพันธุ์เดียวในอเลเทีย ที่ตรงกับลักษณะเหล่านั้น
“แกเป็นซลอร์ตต้างั้นเหรอ?!”
ชายคนนั้นยิ้มตอบกลับ
“ถูกต้องแล้ว เจ้ามนุษย์”
“ซลอร์ตต้า!?”
พ่อค้าทาสกรีดร้องด้วยความประหลาดใจ
“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ค่อยคุ้มค่าหน่อยโว้ย จับแม่งเลย ! เดี๋ยวจ่ายให้สามเท่า!”
หนึ่งพันปีที่แล้ว ซลอร์ตต้าหรือปีศาจที่ถูกเรียกขานกันว่าได้ถูกกวาดล้างไปแล้วในยุคผู้พิชิต
มนุษย์ คนแคระ อัลฟาร์ และเหล่าสัตว์ป่าได้ยืนหยัดต่อต้านพวกมันในฐานะพันธมิตรสี่เผ่า หลังจากการต่อสู้อันยาวนานและขมขื่นพันธมิตรก็ประสบความสำเร็จในการกวาดล้างซลอร์ตต้า แต่ก็ล้มเหลวในการโ่ค่นล้มพวกมันทั้งหมด ซลอร์ตต้าส่วนใหญ่ข้ามมหาสมุทรไปยังเกาะ แอมบิชั่น ทางตอนใต้ของโซลเลย์
เท่าที่ทุกคนรู้พวกนั้นยังคงเก็บตัวอยู่ที่นั่น แม้ว่าทะเลที่โหมกระหน่ำแยกเกาะส่วนที่เหลือของอเลเทีย ทำให้ไม่สามารถทราบที่อยู่อันแน่นอนของซลอร์ตต้า บางส่วนของพวกเขาปฏิเสธในการอยู่ที่โซลเลย์
“จักรวรรดิกวาดล้างจนแทบจะหมดไปแล้ว พวกมันโผล่มาในตลาดครั้งเดียวในเหตุการณ์พระจันทร์สีน้ำเงิน และมักจะเป็นพวกผอมเพรียวไม่มีสายเลือดของซลอร์ตต้าจริงๆ แต่ตรงหน้านี้ สายเลือดบริสุทธิ์ แค่จับมันได้ก็ได้เงินใช้ไปทั้งชีวิตแล้ว!”
ทางตะวันออกเฉียงเหนือของมหาจักรวรรดิแกรนท์ มีประเทศที่เรียกว่าอาณาจักรเลเบอร์ริ่ง
เมื่อนานมาแล้วมันถูกก่อตั้งเพื่อให้เป็นที่หลบภัยของเผ่าซลอร์ตต้าที่ถูกกดขี่ แต่จักรวรรดิได้กำจัดพวกมันทิ้งไปด้วยข้ออ้างที่ว่าเป็นภัยอันตรายต่อมนุษย์
“ดูเหมือนจะได้ราคาดีเลยวะบอส”
หัวหน้ากลุ่มค้าอาวุธกล่าว
“พวกเรากำลังเจอกับซลอร์ตต้าสายเลือดบริสุทธิ์ ต้องห้าเท่าถึงจะ——อั๊กกกกกกกกกก?!”
ก่อนที่จะได้พูดจบ เลือดสีแดงก็พุ่งออกมาจากร่างกายของเขา อวัยวะภายในถูกควักออกมา
“เฮ้อ ไม่ว่าข้าจะไปที่ไหน มันก็เหมือนกันหมดเหรอไงวะเนี่ย ทาสนี่ เงินนั่น ราวกับว่าจะล่ามโซ่ข้าได้ยังงั้นแหละ พวกแกไม่ได้เข้าใจเลยว่าเลือกคู่ต่อสู้ผิดคนแล้ว”
ซลอร์ตต้าถอนหายใจด้วยความโกรธแค้น กำดาบใหญ่ที่เปื้อนเลือดไว้ในมือ
“หัวหน้า!”
“แกจะต้องชดใช้ไอ้เวรเอ้ย!”
กลุ่มค้าอาวุธที่เหลือพุ่งเข้าใส่ซลอร์ตต้าเต็มสูบ
“เก่งแต่ปากอยากแดกข้าวผ่านธูปใช่ไหม”
เขาสะบัดดาบเพียงเล็กน้อยก็ทำให้ชายสามคนปลิวไป ชายหาดถูกย้อมไปด้วยเลือด อีกสองคนที่เหลือก็มองกันแล้วหนีทันที
“เฮ้ย กลับมาก่อนสิวะ!”
พ่อค้าทาสร่ำไห้
“แล้วเรื่องที่ตกลงกันล่ะ?!”
“ไม่คุ้มที่จะเสี่ยงชีวิตหรอกโว้ย!”
หนึ่งในนั้นตะโกนกลับมา
“พวกแกยังกล้าเรียกตัวเองว่าทหารรับจ้างอีกเรอะไงวะ?!”
“ไม่ต้องกลัว พวกมันหนีไม่พ้นหรอก”
ซลอร์ตต้าส่งเสียงทุ้มต่ำ เขาย่อตัวและกระแทกฝ่ามือลงกับพื้นทรายปะทุขึ้นใต้ขาของพวกนั้นพันรอบขาพวกเขา
“อะไรวะ?!”
“มีบางอย่างมัดขาข้า!”
เมฆฝุ่นลอยขึ้นตรงหน้าพวกเขา ชั่วขณะที่มันลอยอยู่ในอากาศ ดาบใหญ่ก็บินไปตัดศีรษะพวกนั้น
“เก่งแต่ปากจริงๆ”
ซลอร์ตต้าพูดเช่นนั้นพร้อมกับย่ำศพพวกมัน
เขาดึงดาบขึ้นมาไว้บนบ่าและก้าวเข้าไปหาพ่อค้าทาส
“และตอนนี้มันก็จบลงแล้ว เหลือเพียงคำถามเดียว จะให้ข้าทำยังไงกับแกดี?”
“อย่ารีบร้อนไปสิ!”
ชายคนนั้นสูดหายใจเข้าลึกๆ
“เออ ทำไมไม่มาทำงานให้ข้าล่ะ? พวกเราเป็นพันธมิตรกันได้นะ ! เดี๋ยวจะจ่ายให้เท่าที่-อั๊ก!”
มือของซลอร์ตต้าปิดหน้าของพ่อค้าทาสและยกเขาขึ้นจากพื้นดิน
ทาสสาวที่นอนหมดสติใต้เท้าห้อยลงมา ใบหน้าของเธอแดงสด สายตาของเธอจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเขาเงยหน้ามองทาส แววตาของเขาก็แสดงความเย็นชาให้เห็น
“ความตายคือสิ่งเดียวที่แกควรได้รับ”
พ่อค้าทาสกรีดร้อง เลือดพุ่งออกจากหูปาก ตา รูจมูก กระจายไปทั่วใบหน้าของซลอร์ตต้า แต่ชายร่างใหญ่กลับนิ่งเฉย เมื่อเขาฆ่าพ่อค้าทาสเสร็จก็หันไปมองเธอ
“ดูเหมือนจะต้องเริ่มต้นใหม่แล้วสินะ”
เขากระซิบกับตัวเองคุกเข่าข้างเด็กที่ล้มลง เขาปัดแก้มที่บวมแดงของเธออย่างอ่อนโยน
“ข้าเคยตายไปแล้วครั้งหนึ่ง มาดูกันว่าความแข็งแกร่งของคนที่เคยผ่านความตายมาแล้วจะพาไปได้ไกลแค่ไหน”
เขาออกเดินทางไปตามชายหาดพร้อมกับโอบกอดสาวน้อยคนนั้นไว้ในอ้อมแขน เพราะตอนนี้เขาไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
ในประเทศเล็กของบัลม์ ณ วิหารราชันภูติ ประเทศนี้มีผู้หญิงหูยาวเป็นตัวแทนประเทศ มีน้ำพุที่เต็มไปด้วยสีฟ้าพร้อมหมอกบางๆลอยอยู่ในอากาศท่ามกลางป่าทึบ
นี่คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีเพียงมิโกะเท่านั้นที่ได้รับอนุญาติให้เข้าไป ซึ่งเป็นวังแห่งการล้างบาปที่อยู่ในสุดของวิหารราชันภูติ
หญิงสาวคนนั้นนั่งลงไปจนน้ำจมถึงเอวของเธอขณะทีลืมตาอย่างเงียบๆ แสงที่ลอยอยู่ในดวงตาของเธอสีน้ำเงินเข้ม กระจัดกระจายเป็นประกายแสงแล้วหายไป
“…การลงมาของเผ่าปีศาจเป็นสิ่งที่ท่านได้จัดเตรียมงั้นเหรอคะ?”
มิโกะหันไปมองแท่นทรงกลมที่ส่องแสงระหว่างรูปปั้นทั้งสอง
“…..”
ไม่มีคำตอบกลับราชันภูติไม่คิดจะบอกอะไร
“ถ้างั้นฉันจะทำในสิ่งที่ฉันช่วยได้นะคะ.”
ระลอกคลื่นขนาดใหญ่กระจายไปทั่วน้ำพุ น้ำไหลงจากกระดูกไหปลาร้าของมิโกะถูกดูดเข้าไปในเนินอกอันกว้างขวางของเธอ ผ้าบางๆของเธอที่เปียกน้ำทำให้มันแนบชิดกับเนื้อหนังอย่างเด่นชัด และแขนขาของเธอที่ร่ายรำก็มีเสน่ห์ดึงดูดอย่างมาก มิโกะที่คว้าชุดกิโมโนจากริมน้ำแล้วก้าวไปข้างหน้า สวมมันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ผ่านต้นไม้เขียวชะอุ่ม ทางเดินอันแสนคุ้นเคยปรากฏขึ้น
หลังจากเดินไปเงียบๆผ่านทางเดินที่มีกำแพงสีขาวอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็มาถึงห้องโถงที่มีกลุ่มอัศวินสาวในคราบของมิโกะกำลังรอคำสั่ง
“นำปากกา หมึก และกระดาษมาให้ดิฉันหน่อยค่ะ”
บรรยากาศตึงเครียดปรากฏขึ้นโดยรอบ เธอเดินออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว
“รีบๆไปเอามาได้แล้วค่ะ.”
เมื่ออัศวินหญิงส่งสัญญาณมือให้ลูกน้องของเธอ
“ฮ่ะ ! สักครู่!”
อัศวินฝึกหัดตอบรับและหายไปอย่างรวดเร็วที่ทางเดิน
“ท่านมิโกะ มีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอคะ?”
หัวหน้าอัศวินหญิงกล่าว
“มันเป็นเรื่องด่วนสุดๆเลยค่ะ”
“ท่านเห็นอนาคตงั้นเหรอคะ?”
“ใช่แล้วค่ะ ดิฉันต้องทูลเกล้าหาองค์จักรพรรดิทันที.”
อัศวินสาวฝึกหัดกลับมาพร้อมหอบหายใจ
“นำมาแล้วค่ะ แฮ่ก แฮ่ก…”
“ฟุฟุขอบคุณสำหรับความพยายามอย่างหนักค่ะ”
มิโกะยิ้มให้กับอัศวินฝึกหัดที่กลับมาเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้พร้อมชมในความพยายามของเธอ หัวหน้าของอัศวินดันยืนเท้าเอวด้วยความโกรธ
“นี่ อย่าแสดงสภาพน่าสมเพชให้ท่านมิโกะได้เห็นสิ นั่นเป็นเหตุผลที่เธอยังเป็นเพียงแค่เด็กฝึกงานอยู่นี่ไง”
“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะนะค้า…”
“ช่างเถอะค่ะ ให้เธอได้พักเถอะ”
เมื่อธอพูดเช่นนั้น มิโกะก็อมองไปรอบๆอัศวินสาวที่ยื่นเก้าอี้มาทางเธอ มิโกะนั่งลงวางกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งและอ้าปากขณะที่พลิกปลายปากกา
“ได้โปรดฟังให้ดีนะคะ มอบสิ่งนี้ให้กับเหล่าอัศวินภูติและบอกให้พวกเขาออกเดินทางไปยังมหานครจักรวรรดิโดยเร็วที่สุด.”
หลังจากกัดนิ้วหัวแม่มือของเธอและมีก้อนเลือดโผล่มาเล็กน้อย มิโกะก็กดมันลงในกระดาษสีขาว เมื่อเลือดประทับลงไปในกระดาษ ก็มีการเปลี่ยนแปลง มันเปล่งแสงจางๆและขดตัวขึ้นตามธรรมชาติ
เธอยื่นให้กับอัศวินสาวที่ยืนข้างๆเธอ อัศวินสาวในศาลเจ้าตอบกลับว่า “รับทราบค่ะ” จากนั้นก็วิ่งไปตามทางเดิน มิโกะมองไปทางด้านหลังพร้อมกับพึมพำเบาๆ
“นั่นคือสิ่งที่ดิฉันสามารถทำให้ท่านได้สุดความสามารถแล้วค่ะ ฝ่าบาทชวาร์ตช.”
ร่วมกันหารค่าเล่มนิยายได้ที่นี่ คนละบาทสองบาทก็ยังดีเด้อ