Part 3
ห่างออกไปสามเซลล์ (เก้ากิโลเมตร)ไปทางตะวันตกของสนามรบที่ฮิโระกำลังต่อสู้มีหน้าผาขนาดใหญ่หลายผาและราวกับซ่อนตัวอยู่ด้านหลังเงามืดขนาดใหญ่ กองทัพขนาดสองหมื่นนายเต็มถิ่นทุรกันดาร มันเป็นกองทัพของจักรวรรดิที่สี่ของมหาจักรวรรดิแกรนท์ ซึ่งเป็นกองกำลังที่โดดเด่นในทวีปกลาง
ที่หัวหน้ากองทีพขี่ม้าที่มีแผงคอสีขาวคนที่ค่อยๆเดินไปข้างหน้าคือผู้บังคับบัญชา ชื่อของเขาคือ เทรย์ ฟรีเอน ฟอน โลอิ่ง ผู้นำกองทัพจักรวรรดิที่สี่
เขาเป็นนายพลที่ดุร้ายและเป็นหนึ่งในห้านายพลผู้ยิ่งใหญ่ของมหาจักรวรรดิ
นายพลโลอิ่งมองย้อนกลับไปที่นั่นมีรถม้าหรูหราวิ่งในขณะที่สั่นสะเทือนเพราะสภาพพื้นถนน คนสำคัญต่อนายพลและมหาจักรวรรดิแกรนท์นั่งอยู่
นายพล โลอิ่งหันไปข้างหน้าและม้าตัวหนึ่งควบม้ามาจากด้านหน้าเป็นหนึ่งในหน่วยสอดแนม
“ท่านนายพล ได้นำข่าวมาแล้วครับ การต่อสู้เป็นไปได้ไม่ดีนักเนื่องจากทหารของมาร์เกรฟกรินด้าที่กำลังต่อสู้อยู่ที่ชายแดน.”
“มันก็น่าจะเป็นแบบนั้น กองทัพของราชอาณาจักรลิชไทน์มีถึงหนึ่งหมื่นห้าพันนาย ไม่รู้ว่าทางฝั่งมาร์เกรฟกรินด้ามีกี่นาย แต่ไม่มีทางที่จะเอาชนะได้ หรือมากกว่านั้น ควรสรรญเสริญพวกเขาที่ยื้อได้นานถึงเพียงนี้.”
พื้นที่แห่งนั้นไม่ได้ประสบภัยด้านการรบมาหลายปีแล้ว มันเป็นดั่งสถานที่ๆถูกลืมเลือน
ไม่ว่าพวกเขาจะมีความสามารถแค่ไหน กองทัพปกติของมาร์เกรฟกรินด้าก็น่าจะมีแค่สามพันคน นอกจากนี้ยังมีกองกำลังที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้เพื่อความปลอดภัย นายพลโลอิ่งคิดว่าประมาณหนึ่งพันคนที่สามารถรวบรวมได้ ด้วยเหตุผลนั้นทำไมถึงทนมาได้จนถึงตอนนี้————–
“ดูเหมือนเทพธิดาแห่งสงครามเองก็จะอยู่ที่นั่นด้วยครับ”
ในที่สุดก็ได้รายงานอันสมเหตุสมผลมาเสียที
“โฮโฮะเพราะงั้นจึงไม่เจอมาตลอดทางตั้งแต่ทิศตะวันตกถึงปลายทิศใต้?”
“แต่ว่าไม่สามารถยืนยันได้ว่าเธอมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว ดูเหมือนนายพลฝั่งศัตรูจะเอาชนะเธอได้.”
“ถ้างั้นแม่สาวน้อยนั่นไปแนวหน้างั้นเหรอ? ช่างน่าเศร้าทำไมเธอถึงไม่อยู่แนวหลัง?”
เขาคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กมากความสามารถ แต่เขาคิดผิดมาก ความประมาทเป็นเหตุของความกล้าหาญ สำหรับคนเช่นนี้ ตำแหน่ง “เทพธิดาแห่งสงคราม” มันค่อนข้างหนักหนา ความตั้งใจของเจ้าชายที่มอบตำแหน่งนี้ให้เธอนี่มันหนักหนายิ่งนัก
โลอิ่งคิดว่าเขาเป็นคนที่ควรไดัรับตำแหน่ง “วีรบุรุษแห่งสงคราม” และหันมาสนใจรถม้าอีกครั้ง จากนั้นก็มีคำที่ราวกับข่มขู่ดังมาจากรถม้า
“โลอิ่ง”
เมื่อชื่อของเขาถูกเรียกนายพลชะลอม้าลงและหันไปที่หน้าต่างรถม้า ภายในมีแสงสลัว และสิ่งที่เขาเห็นคือชายคนหนึ่งที่รายล้อมไปด้วยสาวเปลือยกาย ชายคนนั้นคือเจ้าชายแซทโทเบล ผู้ติดตามการพิชิตสงครามของจักรวรรดิ
เจ้าชายแซทโทเบลอได้เข้าร่วมกับจักรพรรดิเพื่อบดขยี้เฟลเซ็นซึ่งเป็นมหาอำนาจและมีอิทธิพลต่อประเทศต่างๆจนกระทั่งพ่ายแพ้ให้กับออร่าเมื่อสองปีก่อน
แทนที่จะกลับไปยังเมืองจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่แซทโทเบล เจ้าชายลำดับที่หนึ่งได้นำองค์รักษ์ชั้นยอดและแม้แต่เจ้าหญิงของเฟลเซ็นมาด้วยซึ่งเป็นผลพลอยได้จากชัยชนะ
บางทีเพราะอาจการมองโลกในแง่ร้ายเกี่ยวกับอนาคตของพวกเขา หรือาจเป็นเพราะเห็นนรกมาก่อน แต่ร่างที่โชคร้ายของพวกเธอนั้นสูญสิ้นแสงสว่างเหมือนกับคนตาย เมื่อเจ้าชายเล่นสนุกจนพอแล้วไม่นานก็จะถูกขายเป็นทาส
ด้วยความสงสารต่ออนาคตอันใกล้ของพวกเธอ นายพลตอบกลับ
”มีอะไรให้ช่วยหรือครับ?”
“เรียกหน่วยสอดแนมมาหาข้าทีสิ”
“ฮ่ะ!”
นายพลโลอิ่งมองหาหน่วยสอดแนมที่มารายงานทันที หน่วยสอดแนมดึงม้าของเขาเข้าใกล้รถม้า
หันหน้าไปทางหน้าต่างนายพลโลอิ่งโบกคางขึ้นไปในอากาศ หน่วยสอดแนมเอาใบหน้าของเขาเข้าใกล้หน้าต่างด้วยความประหม่า
“…ตอนนี้เรย์ฮิลล์เป็นไงบ้าง?”
หน่วยสอดแนมดูงงงวยเมื่อแซทโทเบลกล่าวเช่นนั้น
“ได้รับคำสั่งให้ตรวจสอบเรย์ฮิลล์ไม่ใช่รึ,” เขากล่าวเช่นนั้น
หน่วยสอดแนมเริ่มกล่าวอย่างรวดเร็ว
“…น่าตกใจเป็นอย่างมากครับจู่ๆก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาขัดสนามรบ แม้แต่นายพลที่มีอาวุธภูติก็ไม่สามารถต่อกรได้――.”
“หนุ่มปริศนา?”
“ครับ เขาปรากฏตัวที่ค่ายหลักของศัตรูด้วยความเร็วที่น่าตื่นเต้น——————อ๊ากกกกกกกก?”
ทันทีที่เขาพูดเช่นนั้น หน้าต่างก็แตกดังเพล้ง เศษซากแทงเข้าไปในใบหน้าของหน่วยสอดแนม เสียงกรีดร้องอันแสนเจ็บปวดของหน่วยสอดแนมอยู่ได้ไม่นานเพราะแขนขนาดใหญ่ยื่นออกมาจากหน้าต่าง และมือใหญ่นั่นปิดใบหน้าของเขาจนมิด
“อ่อก อึก แค่ก!?”
ม้าวิ่งหนีจากหน่วยสอดแนมที่หายใจไม่ออก แต่เท้าของหน่วยสอดแนมยังคงลอยอยู่ กระวนกายใจในอากาศ โลอิ่งถอนหายใจ จากนั้นก็คว้าหน่วยสอดแนมและเรียกแซทโทเบล
“เจ้าชายแซทโทเบล โปรดเลิกเล่นอะไรไร้สาระ ปล่อยมือออก――.”
ก่อนที่โลอิ่งจะพูดจบก็มีเสียงดังกึกก้องและร่างของหน่วยสอดแนมก็ถูกปล่อยออกมา เจ้าหญิงแห่งเฟลเซ็นซึ่งอยู่ในรถม้าได้ยินเสียงกรีดร้อง โลอิ่งคิดว่าเขากำลังอารมณ์เสีย แต่อาจเป็นเพราะพวกเขาทำอะไรบางอย่างทำให้เสียงแบบนั้นหลุดรอดออกมา
เมื่อโลอิ่งปล่อยเอวของทหารที่คอหักไปแล้วก็ตกไปยังพื้นที่ทางด้านหลัง
“…มีอะไรที่ท่านไม่ชอบใจหรือขอรับ?”
“รายงานของเขาดูมั่วซั่วก็เลยประหารแม่ง มีปัญหาข้องใจรึเปล่า?”
อารมณ์ของเขาหงุดหงิดสุดๆ ความตั้งใจจะฆ่าฝ่ายตรงข้ามนั้นชัดเจน แต่โลอิ่งแค่ยักไหล่
“ผมไม่คิดว่าท่านจะฟังผมถ้าผมบอกท่าน.”
“ถ้างั้นก็อย่าพล่าม แต่ข้ายังอยากรู้เกี่ยวกับเร็วอะไรสักอย่าง บอกว่ามาจากชายปริศนา.”
“ถ้านั่นไม่ใช่ข้อผิดพลาด เป็นไปได้ว่าเขามีหนึ่งใน “ดาบภูติทั้งห้าของจักรวรรดิ” แม้ว่าจะให้อาวุธภูติแก่เขาแต่ก็ยังเป็นภาระที่หนักหน่วงสำหรับเรย์ฮิลล์ที่ต้องรับมือ.”
“ไม่ ข้าไม่คิดแบบนั้น เพราะข้าให้เขาดื่มเจ้านั่นด้วย.”
“ฟุมุ ถ้าอย่างนั้นกระผมเองก็ไม่แน่ใจในผลลัพธ์เหมือนกัน.”
เมื่อโลอิ่งได้ยินเกี่ยวกับความทะเยอทะยานของแซทโทเบล เขาจำได้ว่าเขาอ้าปากค้างจนไม่รู้จะไปจบที่ไหนดี ในขณะเดียวกันตอนนี้เขาไม่รู้ว่าเจ้าชายองค์นี้จะมุ่งไปในทางใด
“บางทีคำสาปของราชันภูติจะเปรอะเปรื้อนข้าในบางจุด”
“…ท่านคิดว่าราชันภูติทำอะไรได้บ้างในตอนนี้?”
โลอิ่งไม่สามารถพูดอะไรกับแซทโทเบล
“ข้าจะต้องเป็น !@#$@.” ( T/Nต้นฉบับเขียนงี้จริงๆ)
ซัทโทเบลพึมพำขณะที่สายฝนตกลงมาซึ่งมันดังไปไม่ถึงหูของโลอิ่ง หรือแม้ว่าจะไปถึงเขาแล้ว โลอิ่งก็พูดอะไรไม่ออก
เมื่อโลอิ่งมาถึงสนามรบสงครามจบลงแล้ว มีชายและหญิงสี่คนอยู่หน้าพวกเขา รวมถึงเจ้าหญิงลำดับที่หก ทุกสายตาต่างจับจ้องมาด้วยความระมัดระวัง
มันไม่ยากที่จะเข้าใจได้ จุดนี้พวกเขาต้องถามว่าโผล่มาทำไมเอาป่านนี้ ไม่ว่าจะถูกกล่าวหาเช่นใดพวกเขาก็ต้องเลี่ยง
เขาลงจากม้าอย่างกล้าหาญวางมือไว้ที่อกโลอิ่งคุกเข่าลงต่อหน้าเจ้าหญิงลำดับที่หก
“ฝ่าบาทเซเลีย เอสทรีย่า กระผมขออภัยอย่างยิ่งสำหรับความล่าช้า ดูเหมือนว่าฝนที่ตกลงมาก่อนหน้านี้ทำให้การเดินทัพของเราล่าช้าลง และเราไม่สามารถมาได้ทันเวลา”
โลอิ่งจ้องมองเด็กชายคนหนึ่งที่ถูกเจ้าหญิงอุ้มเอาไว้ ไม่ว่ามันจะจบลงอย่างไร แต่ก็ยังสามารถเอาชนะ “ปีศาจ”ได้
ถ้าคิดว่าใครเอาชนะมันได้ก็คงไม่พ้นเจ้าหญิงลำดับที่หกที่ครอบครอบจักรพรรดิเพลิง และถึงอย่างนั้นก็ไม่น่าจะเอาชนะได้ด้วยตัวคนเดียว
นายพลโลอิ่งปละหลาดใจกับเด็กชายที่อายุไม่เกินเจ้าหญิงลำดับที่หกจะทำสำเร็จ
(นี่มันน่าสนใจจริงๆ)
มันช่างน่าเสียดายที่เขาไม่ได้เห็นการต่อสู้เหล่านั้น ถึงกระนั้นผลลัพธ์นั่นก็จุดประกายสัญชาตญาณนายพลผู้ยิ่งใหญ่ เขาอยากจะทดสอบ อยากรู้ว่าเขาคนนี้จะเก่งสักเพียงใด
อย่างไรก็ตามโลอิ่งกำมือแน่นจนเลือดอาบ และอดทนกับมัน การเอาชนะศัตรูที่กำลังอ่อนแรงไม่ใช่เรื่องน่าสนุกหรือน่าสนใจ ตอนนี้เขาสามารถเอาชนะชายหนุ่มคนนั้นได้ด้วยมือข้างเดียว
(เก็บความสนุกเอาไว้ก่อน และนั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมมาเพื่อตอนนี้)
แล้วเขาก็สังเกตเห็นถึงพลังอันร้ายแรงที้เล็ดลอดออกมาจากข้างๆเขา
“เกือบไปแล้ว”
คมที่พึมพำด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำคือเจ้าชายแซทโทเบล ร่างที่คร่อมม้าแสดงตัวตนเหมือนราชันสูงสุด ผมสีทองของเขาปกคลุมใบหน้าและสวมมงกุฏอยู่ ดวงตาที่แหลมคมของเขาจ้องมองเด็กชายโดยไม่ซ่อนเจตนาฆ่าเลยแม้แต่น้อย
(แย่แล้ว…)
โลอิ่งกระตุกแก้ม
“มันอาจจะขวางทางเราได้.”
“ได้โปรดรอก่อนสถานการณ์เช่นนี้――.”
สายฟ้าพุ่งออกมาจากมือของแซทโทเบล เป็นไปไม่ได้ที่จะตอบโต้มัน อย่างไรก็ตามสายฟ้านั่นพลาดเป้า
“หือ?”
เสียงตกตะลึงมาจากโลอิ่ง
(บ้าน่า สายฟ้าของจักรพรรดิสายฟ้าเชียวนะ เป็นหนึ่งในดาบภูติจักรพรรดิทั้งห้าเชียวนะ เขาหยุดมันได้ยังไง?)
เขาไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ดูเหมือนเด็กชายคนนั้นจะทำอะไรบางอย่าง
“…ต้องการอะไร?”
เสียงที่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่เหนือจินตนาการถูกปล่อยออกมาจากรูปลักษณ์อันแสนอ่อนโยนของเขา แรงกดดันของชายหนุ่มคนนั้นทำให้เขาลุกขึ้นยืนอย่างหวั่นไหวและโลอิ่งก็ถอยหลังกลับโดยไม่ตั้งใจ
เขาเองก็ประหลาดใจเช่นกัน
(สำหรับผมที่โดนแรงกดดันมาตลอด ไม่เคยเจอแรงกดดันที่รุนแรงเท่านี้มาก่อน มันมาจากเด็กตัวแค่นี้อะนะ?)
เด็กชายที่อ่อนแอก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม แรงกดดันมหาศาลที่เด็กชายปล่อยออกมานั้นน่ากลัว
เขาผ่านสนามรบมาอย่างโชกโชนและสังหารหมู่มามากมายนับไม่ถ้วน และไม่รู้สึกกลัวมาเป็นเวลานาน นั่นเป็นเหตุผลที่ตอนนี้เขาไม่พร้อม เขาละอายใจต่อความอวดดีของตัวเอง
เนี่ยเหรอนายพลผู้ยิ่งใหญ่และยืนอยู่ในจุดสูงสุดช่างน่าขัน
เขาต้องตักเตือนนายของเขา เมื่อเขามองไปทางแซทโทเบล เขากำลังหัวเราะด้วยใบหน้าอันบิดเบี้ยว
“คุคุ แกมันน่าสนใจจริงๆ แกหลบเจ้านั่นได้ยังไง?”
“เจ้าชายลำดับที่หนึ่งแซทโทเบล กรุณารอสักครู่ ถ้ายังทำอะไรนอกเรื่องแบบนั้นฝ่าบาทได้โกรธเอานะครับ.”
โลอิ่งกระซิบ แต่แซทโทเบลไม่สนใจ คราวนี้เขาชี้มือไปที่เจ้าหญิงลำดับที่หก ไม่ใช่ชายหนุ่ม
“ลองต่อต้านมันดูสิ.”
ท้องฟ้าดังกึกก้องและอากาศคำรามลั่น สายฟ้ากระจัดกระจายไปทั่ว สายฟ้าแห่งความสิ้นหวังพุ่งเข้าหาเจ้าหญิงลำดับที่หก
―ชายหนุ่มลุกขึ้นร่ายรำ
ด้วยความเร็วเหนือจินตนาการเขาสกัดสายฟ้าเพื่อปกป้องหญิงสาว อย่างไรก็ตาม เขาป้องกันได้ไม่หมด และเมื่อโลอิ่งสังเกตเห็น เขาก็เห็นเด็กชายพุ่งออกมาแวบเดียวเท่านั้น
“ฮิโระ…!!”
ลิซกรีดร้องเธอวิ่งไปหาเด็กชายขณะที่เขาล้มลงกับพื้น
“ทำใจดีๆไว้ ! บ้าเอ้ยทำไมต้องทำเรื่องแบบนี้?!”
แซทโทเบลกระโดดลงจากม้าและเดินเข้ามาใกล้ ในมือของเขามีขวานขนาดใหญ่ หนึ่งในห้าดาบภูติ จักรพรรดิสายฟ้า
“อลิซาเบธถอยไป.”
“หยุดล้อกันเล่นได้แล้วท่านพี่ ทำไมถึงต้องทำแบบนี้กับเขาด้วย”
ลิซร้องไห้ทั้งน้ำตา เปลวไฟลอยขึ้นจากดาบของเธอราวกับตอบสนองต่อความโกรธ ไฟฟ้าช็อตโหมกระหน่ำจากจักรพรรดิสายฟ้าเพื่อตอบสนองต่อคู่ต่อสู้
“…อย่าคิดว่าเจ้าจะเอาชนะข้าได้เพียงเพราะหันดาบใส่ข้า?”
“ฉันไม่สนหรอกว่าจะชนะหรือแพ้ ฉันจะไม่ปล่อยให้ท่านพี่ทำร้ายฮิโระหรอก!”
สถานการณ์เริ่มควบคุมไม่อยู่และไม่น่าแปลกใจเลยที่จะเกิดการฆ่ากันเองได้ทุกเมื่อ
ไม่ ลิซจะเป็นฝ่ายที่ถูกทรมานจนตายได้
นั่นแหละคือความแตกต่างของความสามารถ
“ข้าแค่พยายามกำจัดศัตรูพืชที่มาคลืบคลานน้องสาวแสนสวยของข้ามันผิดตรงไหน?”
“ฮิโระเนี่ยนะศัตรูพืช?”
โลอิ่งคิดว่ามันแย่มาก แต่เขาคิดไม่ออกว่าจะหยุดสถานการณ์ตรงหน้ายังไง คงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหยุด
――มีพยานมากเกินไป กลบหลักฐานได้ไม่มิดหรอก
ถ้าเขาฆ่าผู้ถือของจักรพรรดิเพลิง บัลลังก์ได้อยู่ไกลออกไปแน่นอน
เขาควรรู้อย่างงั้น เขาต้องตระหนักถึงมัน
(นั่นแหละคือภัยคุกคามที่รอท่านอยู่!)
แซทโทเบลกล่าวด้วยความรำคาญ
“ผู้ชายคนนี้สำคัญสำหรับเธอมากเลยงั้นเหรอ มีเหตุผลอะไรที่เธอต้องปกป้องเจ้านั่นถึงขนาดนั้น?”
“ใช่สำคัญมาก ถ้าพี่ฆ่าเขาไปท่านพ่อจะต้องโกรธมากแน่ๆ”
“หมายความว่าไง?”
บางทีมันอาจจะเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก หลังจากเหลือบมองเด็กชายที่กำลังหลับอยู่ ลิซก็พูดออกมาด้วยสีหน้าเศร้าๆ
“เขาน่ะ เขาเป็นทายาทของจักรพรรดิองค์ที่สอง.”
ด้วยคำพูดของเธอทำให้ทั่วทั้งบริเวณหยุดหายใจไปชั่วครู่ ทุกคนพูดไม่ออก กลอกตาไปมา ทุกสายตาจับจ้องไปยังชายทีหมดสติ
――ลูกเต๋าได้ถูกทอยลงไป
――โลกได้เริ่มเคลื่อนไหวโดยมีชายหนุ่มเป็นจุดศูนย์กลาง
วันนี้ขอพอแค่นี้เหนื่อยมากกกกกกกกกกกก