[LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก 2 Chapter 1 เผชิญหน้า Part 1

ตอนที่ 2 Chapter 1 เผชิญหน้า Part 1

Part 1

จิตสำนึกของฮิโระถูกปลุกขึ้นมาด้วยแสงเปล่งประกายระยิบระยับที่ส่องผ่านเปลือกตาของเขา ทำให้เขาต้องลืมตาตื่นขึ้น หลังจากเอามือบังแสงแดดที่ส่องเข้ามาเขาก็ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น สิ่งที่เข้ามาในทิวทัศน์ของเขาคือต้นไม้ขนาดใหญ่ แสงแดดส่องผ่านช่องว่างระหว่างกิ่งไม้และใบไม้ที่งอกเงยขึ้น

 

เมื่อเขาโน้มตัวลุกขึ้น เขาก็เห็นต้นไม้นับไม่ถ้วน ป่าทึบมากจนมองไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่น่าแปลกที่บรรยากาศมันดูเงียบสงบมากกว่าน่ากลัว

 

“…ฮะฮ่ะ นี่มันที่ไหนเนี่ย?”

 

ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นประโยคคำถามซ้ำซากจำเจ แต่มันก็เป็นสิ่งเดียวที่เขาต้องให้ความสนใจ

 

นอกจากนี้เมื่อครู่เขากำลังเดินทางไปโรงเรียนมัธยมปลาย แต่ความรู้สึกของพุ่มไม้และกลิ่นหอมตามธรรมชาติที่ลมพัดพามามันสมจริงเสียจนยากจะเชื่อว่าเป็นแค่ความฝัน และยิ่งไปกว่านั้น ทางข้างหน้าไม่ใช่ถนนยางมะตอยแต่เป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์

 

“ถ้าเป็นแค่ความฝัน ชั้นก็ควรจะตื่นได้แล้วนะ…”

 

ฮิโระบ่นกับตัวเอง

 

ในไม่ช้าคงตื่นขึ้นมาในห้องอันแสนคุ้นเคย เขาเดาะลิ้นด้วยความเขินอายว่าเขากลัวความฝันมากแค่ไหน

 

“จนกว่าจะตื่นก็ขอสำรวจรอบๆก่อนแล้วกัน”

 

เขาบังคับโน้มน้าวใจตัวเองตัดสินใจเดินออกจากต้นไม้ใหญ่และเดินเข้าไปในป่า แต่ไม่ว่าจะก้าวไปแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถออกจากป่าแห่งนี้ได้ ต้นไม้หนาทึบยังคงเต็มไปทั่ววิสัยทัศน์ของเขา และแม้ว่าเขาจะเขม่นตาแค่ไหนก็มองไม่เห็นทางข้างหน้า

 

เมื่อเขากำลังจะหงุดหงิดกับความจริงที่ว่าเขาเหนื่อยเกินกว่าที่จะเดินได้

 

――มันก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า

 

ดวงตาสีทองคู่หนึ่งที่ส่องอยู่ในความมืด มันกระทืบพื้นดินอย่างรุนแรงพร้อมเข้าใกล้ด้วยเสียงคำราม น้ำลายไหลออกจากเขี้ยวที่เปลือยเปล่าราวกับว่าเห็นเหยื่ออันโอชะ

 

“…หมาป่าเรอะ?”

 

แสงแดดส่องผ่านต้นไม้ส่องสว่างให้เห็นถึงสัตว์ร้าย และเขาสังเกตเห็นว่ามันมีขนสีขาวอันงดงามตัวใหญ่กว่าสุนัขทั่วไป มันเข้าหาเขาพร้อมกับข่วนกรงเล็บหน้าเข้าโจมตี

 

“อั๊ก…”

 

เขาเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการโจมตี แต่ว่าสัตว์ร้ายตัวนั้นก็หยุดลง

 

(มันระวังตัวงั้นเหรอ?)

 

จากนั้น อาจจะเป็นไปได้ที่จะหนีจากมันเพราะสัตว์ป่าส่วนมากจะกลัวไฟ แต่ไม่มีทางที่เขาจะมีอะไรแบบนั้น ถ้าเป็นแบบนั้นก็ต้องจ้องหน้ามันโดยไม่ละสายตา ไม่จำเป็นต้องกลัวแค่จ้องหน้ามันและถอยห่างอย่างช้าๆ

 

ฮิโระตัดสินใจนำสิ่งที่เขาเรียนรู้จากโทรทัศน์มาใช้

 

แต่แล้วเมื่อเขาถอยหลังสบตากับหมาป่ามันก็ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว เมื่อเขาถอยหลังสองก้าว มันก็ก้าวมาข้างหน้าสองก้าว

 

อ่า ไม่เห็นจะได้ผลเลย

 

เขาไม่รู้เลยว่าจะถอยหลังไปได้ไกลแค่ไหนหรือทางออกอยู่ตรงไหน

 

(นอกจากนี้หมาป่าตัวนี้มันจะไล่ตามชั้นจนสุดทางเลยเหรอ?)

 

แม้ฮิโระจะสับสน แต่จู่ๆหมาป่านั่นก็นอนลงบนพื้น มันอ้าปากใหญ่และเคลื่อนไหวเกาหัวของมันด้วยท่าทางเบื่อหน่าย

 

หมาป่าตัวนั้นยืดตัวเหมือนแมวและนอนลงทันทีโดยที่ไม่ละสายตาจากฮิโระ ตื่นตัวอยู่เสมอ ถ้าชั้นขยับแม้แต่นิดเดียวคงได้โดนกัดแน่ ดวงตาสีทองที่มันจ้องราวกับจะบอกแบบนั้น

 

เวลาผ่านไปนานแค่ไหนกันแล้วนะ? หมาป่าที่ยืนอยู่นิ่งก็หูกระตุกและลุกขึ้นยืนเกือบจะในเวลาเดียวกันก็ได้ยินเสียงกร๊อบแกร๊บจากด้านหลังพุ่มไม้

 

เขาไม่ได้คาดคิดว่าจะเจอหมาป่าตัวใหม่ แต่ว่าสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าฮิโระคือหญิงสาวสุดสวย

 

“หืมมมม? นายเป็นใครน่ะ….?”

 

หญิงสาวหยุดอยู่ข้างหมาป่าขณะที่เธอเช็ดผมที่เปียกปอนด้วยผ้า จ้องมองมาที่ฮิโระจากนั้นเธอก็วางมือลูบหมาป่าที่อยู่ข้างๆ

 

“…..”

 

เธอเอียงคอทำท่าสงสัยอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับตัวฮิโระ

 

“นี่…..ฉันถามนายอยู่นะไม่ได้ยินเหรอ?”

 

“เอ่อ ถามชั้นงั้นเหรอ?”

 

“แล้วมันมีคนอื่นนอกจากนายรึไงยะ…?”

 

ตอนนี้ชั้นก็แค่หลงใหลกับภาพลักษณ์ตรงหน้า ไม่มีทางที่เขาจะพูดออกไปได้

 

ผมสีแดงเพลิงทำให้นึกถึงด้ายที่ถูกทักถอขึ้นมาด้วยเปลวไฟ ใบหน้าที่ดูดุดันแต่ก็มีความงดงามแฝงอยู่ ดวงตาสีทับทิมเข้ม แสดงให้เห็นท่าทีอันแข็งแกร่ง ภายใต้ผิวพรรณสีขาวนวลจนสามารถมองเห็นเส้นเลือดสีน้ำเงินได้ ผู้คนมักกล่าวกันว่าเทพมักจะประทานของขวัญให้มนุษย์หนึ่งถึงสองชิ้น ซึ่งสิ่งที่เธอยังขาดไปในวัยของเธอก็คือขนาดหน้าอกที่ดูจะพอมีแต่ก็ไม่ได้ใหญ่จนเกินไป แต่แม้เธอจะไม่ได้มีหน้าอกที่มากมายนัก แต่มันก็ไม่ได้ลดเสน่ห์ตัวเธอลงเลยแม้แต่น้อย

 

 

 

“อะฮ่ะฮ่ะ….สวัสดี ชั้น โอกุโระ ฮิโระ”

 

เนื่องจากเขาไม่สามารถนิ่งเงียบชมความงามของเธอต่อไปได้ เขาก็เอ่ยชื่อของเขาออกไปและหญิงสาวคนนั้นก็เอียงคอสงสัย

 

“โอรุกุโร้ว ฮิโระ?” [T/n: ผู้แต่งเขียนทับศัพท์ทั้งอังกฤษและตัวคาตะคานะซึ่งกำลังจะอธิบายว่านางเอกอยู่ประเทศตะวันตกเลยไม่คุ้นกับชื่อญี่ปุ่น.]

 

“อืม มันถ้ามันเรียกยากเกินไปก็เรียกชั้นว่าฮิโระก็ได้.”

 

“อืม ถ้างั้นจะเรียกว่าฮิโระก็แล้วกันนะคะ ว่าแต่มาทำอะไรที่นี่กันคะ?”

 

“เอ่อ พอดีว่าขณะที่ชั้นกำลังหาทางออก…”

 

“หืมมมม”

 

เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาของเธอจ้องมองมายังฮิโระ ราวกับว่าสังเกตตัวเขาอยู่

 

ในขณะเดียวกันนั้นเอง――.

 

“อืม นายดูไม่ใช่คนมีพิษมีภัยอะไร แล้วกำลังหาทางออกอยู่ใช่ไหม?”

 

ทางนี้ เธอคนนั้นบอกเช่นนั้นและฮิโระก็ตามเธอไปราวกับว่าเพื่อปกป้องหญิงสาวคนนั้นหมาป่าก็มาเดินคั่นระหว่างกลาง

 

ในที่สุดทางออกที่เขาหาไม่เจอ แต่ก็ดันเจอได้อย่างง่ายดายด้วยการที่มีผู้หญิงตรงหน้าเป็นคนนำทาง ราวกับว่าตาของเขาถูกภูติจิ้งจอกบดบังอยู่ [T/n:ก็คล้ายๆสำนวนไทยประมาณ ผีบังตา.]

 

(ไม่คิดเลยว่าทางออกมันจะหาได้ง่ายขนาดนี้…)

 

แม้จะสับสนแต่เขาก็เดินผ่านต้นไม้ที่มืดมนขณะที่เขากำลังเดินผ่านแสงสว่างตรงหน้า――.

 

“เอ๋…”

 

ฮิโระกระพริบตาขณะมองฉากที่แพร่กระจายไปตรงหน้า เมื่อเขามองไปบนท้องฟ้าก็พบดวงอาทิตย์ที่กำลังสาดแสงลงมาที่พื้นโลกอย่างเต็มที่ และทุ่งหญ้าที่ไกลสุดลูกหูลูกตา

 

ในขณะที่มองไปยังทุ่งหญ้าไร้ที่สิ้นสุดตรงหน้า ก็เจอกลุ่มคนแปลกๆที่ทางปลายสายตา เป็นกลุ่มอัศวินขี่ม้าที่กระจายตัวเป็นแนวนอนพร้อมทั้งชุดเกราะหนัก หอกที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี สายตาของคนที่อยู่บนหลังม้าจ้องมองมาทางนี้แบบไม่เป็นมิตรนัก

 

เมื่อฮิโระลังเล ม้าตัวหนึ่งก็วิ่งออกมาจากกลุ่ม ชายบนม้ามีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่บนแก้ม ความจริงที่ว่าเขาสวมเกราะเหมือนกับเหล่านักรบ เขาเหลือบมองฮิโระด้วยแววตาดั่งสัตว์ร้ายแล้วจ้องมองไปที่หญิงสาว

 

“นายหญิง….ไปอาบน้ำมาอีกแล้วเหรอครับ?”

 

“ก็เหงื่อมันไหลออกมาเยอะหลังจากฝึกมานี่?”

 

“อย่างน้อยก็ช่วยพาคนคุ้มกันไปสักสองสามคนได้ไหมครับ?”

 

“อาระ ฉันเองก็มีบอดี้การ์ดประจำตัวอยู่นี่ไง เนอะเซอร์เบอรัส?”

 

เมื่อหญิงสาวเรียกชื่อมันและลูบหัวมัน――.

 

“วูลฟ์”

 

เซอร์เบอรัสเห่าออกมาอย่างมีความสุข หลังจากหายใจเข้าชั่วครู่หนึ่ง ชายคนนั้นก็ส่ายหัวด้วยความตกใจ แต่ถึงกระนั้น ชั้นก็ยังตกเป็นเป้าสายตา

 

“แล้วหมอนี่ใครครับเนี่ย?”

 

จากนั้นชายคนนั้นก็ชี้นิ้วมาที่เขา

 

“เอิ่ม ชั้นก็แค่เด็กหลงทาง…..ตอนนี้ขอตัวก่อนนะ?”

 

เขาพูดแบบนั้นพร้อมกับแสดงรอยยิ้มเป็นมิตร

 

“…นี่จะล้อกันเล่นรึไงวะไอ้เวร?”

 

ไม่ต้องสงสัยดูยังไงก็เฟลเห็นๆ

 

“เขาชื่อฮิโระน่ะ.”

 

หญิงสาวคนนั้นวางมือลงบนไหล่ฮิโระ

 

“พวกเราพบกันที่นั่น ตอนนี้ก็เป็นเหมือนกับเพื่อนกันแล้วใช่ไหม ใช่ไหม?”

 

หญิงสาวคนนั้นเดินวนไปมาต่อหน้าฮิโระและจ้องหน้าเขา ใบหน้าของฮิโระเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที อาจเป็นไปได้ว่าเขาไม่คุ้นเคยกับการคุยกับผู้หญิงในระยะใกล้ขนาดนี้มาก่อน แถม สาวตรงหน้ายังสวยมากด้วย

 

“นั่นสินะ พะพะพวกเราเป็นเพื่อนกันเนอะ ชั้นยังสงสัยอยู่เลยว่าเราเป็นเพื่อนกันรึเปล่านะ ฮะฮะ.”

 

ฮิโระพูดอย่างรวดเร็วในขณะที่เขาตัวสั่นเทา

 

“วูลฟฟฟฟฟฟ์”

 

เซอร์เบอรัสเห่าใส่เขา บางทีอาจจะเห็นด้วยกับเขา เห็นได้ชัดว่าชายที่มีรอยบากตรงหน้ากำลังขมวดคิ้วด้วยท่าทีขยะแขยง

 

“เขาเป็นเพื่อนท่านแน่เหรอครับ ดูน่าสงสัยสุดๆไปเลยนะครับ”

 

ชายคนนี้แสดงความไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัดขณะจ้องมองมาที่เขา

 

“แล้วชุดนั่นมันอะไรกันน่ะ ไม่ได้เป็นคนของจักรวรรดิใช่ไหม?”

 

อันที่จริงฮิโระเป็นคนเดียวที่สวมชุดนักเรียน ถ้าจะบอกไม่คุ้นฝ่ายนี้ต่างหากที่ไม่คุ้นเพราะมีทหารสวมเกราะเต็มยศ เต็มไปหมด

 

“ที่สำคัญกว่านั้น ใบหน้าและทรงผมของเอ็งดูไม่เหมือนคนของจักรวรรดิเลยสักนิด แกมาจากไหนฮะ?”

 

หลังจากโดนรัวคำถามใส่ เขาก็ตระหนักได้ว่าทุกๆคนบริเวณนี้ไม่ได้มีเค้าโครงเป็นคนญี่ปุ่นกันเลยแม้แต่น้อย ผมของพวกเขาส่วนมากเป็นสีบลอนด์ไม่ก็น้ำตาล แต่ไม่มีใครผมสีดำเหมือนฮิโระ แถมพวกเขายังมีลักษณะเด่นที่ตัวสูงไหล่กว้าง เมื่อเทียบกับฮิโระที่ร่างกายผอมเพรียวแล้ว

 

เมื่อฮิโระแสดงสีหน้าสับสนหญิงสาวที่อยู่ข้างๆก็ตบไหล่เขาเบาๆเมื่อหันหน้าไปทางเธอก็พบกับความงดงามหาที่ใดเปรียบ

 

“ดูสิใบหน้าของเขาดูอ่อนโยนมากเลยใช่ไหม? แม้แต่แววตายังดูสดใสเลย ดูเหมือนเซอร์เบอรัสตัวน้อยเลยล่ะ”

 

มันอยู่ใกล้มากจนขนาดที่ว่าหากเขาเผลอพุ่งไปข้างหน้าอาจจะหน้าชนกันเลยทีเดียว ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังยิ้มได้อย่างไร้กังวล

 

“ฉันชอบนะ รู้ไหม?”

 

“เอ๋ ขอบคุณครับ.”

 

จู่ๆเธอก็พูดบ้าอะไรออกมา จิตใจของชั้นกระสับกระส่ายไปหมด

 

“แล้วแกจะหน้าแดงทำไมฟะ? เจ้านี่มันน่าสงสัยจริงๆ แกรู้ไหมว่าตอนนี้แกพูดอยู่กับใคร?”

 

“ดิออส อย่าไปแกล้งเด็กคนนี้สิ ทำเขากลัวหมดแล้วเห็นไหม!”

 

“…นายหญิงแม้ว่าเขาจะดูเด็ก แต่เขาก็ดูน่าสงสัยนะครับ?”

 

คำพูดที่ไม่ค่อยคุ้นหูเขา แต่ดูเหมือนชายคนนั้นจะชื่อดิออส แม้จะถูกเรียกว่าเด็ก แต่ว่ามันเป็นเรื่องแปลกที่หญิงสาวอายุน้อยกว่าชั้นจะมาเรียกชั้นว่าเด็ก

 

“ทำไมล่ะ? เขาดูตะมุตะมิดีออก…”

 

“เขาไม่ได้ดูน่ารัก――.”

 

ฮิโระยกมือขึ้นขัดจังหวะคำพูดของดิออส

 

“เอ่อออ~…”

 

“อะไร?”

 

หญิงสาวตรงหน้ามองเขาด้วยความเห็นอกเห็นใจ เป็นเรื่องหน้าเสียดายที่เขาถูกมองว่าเป็นเด็ก

 

“ถึงแม้ว่าจะเห็นชั้นเป็นแบบนี้ก็เถอะ ชั้นอายุสิบหกปีย่างเข้าสิบเจ็ดปีในปีนี้”

 

“…โกหกใช่ไหม? นายจะบอกว่านายอายุเยอะกว่าฉันงั้นเหรอเนี่ย?”

 

ทำไมเธอต้องมองชั้นด้วยสายตาที่ราวกับว่าไม่อยากจะเชื่อกันล่ะ เมื่อเธอมองไปที่ดิออสที่อยู่บนม้าเขาก็ดูประหลาดใจพอๆและเธอก็พูดขึ้นมา

 

“ไม่ใช่ว่านายอายุสิบขวบหรอกเหรอ?”

 

หญิงสาวคนนั้นเข้ามาหาเขาด้วยความที่ไม่เชื่อใจ

 

“อายุสิบหกจริงๆ ไม่ใช่สิบ.”

 

คนญี่ปุ่นมักจะดูเด็กกว่าวัย เหนือสิ่งอื่นใดฮิโระสูง 165 ซม. เขาตัวเล็กมากสำหรับนักเรียนม.ปลายปีสอง ดูแทบจะไม่ต่างกับเหล่าสาวๆรุ่นเดียวกันด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้นใบหน้าเขายังดูเด็กกว่าวัย จนทำให้คนไม่ค่อยจะเชื่อสักเท่าไร

 

เมื่อฮิโระสงสัยว่าจะทำอย่างไรให้พวกเขาเชื่อนั้น――.

 

“นี่นายเป็นภูติชนิดหนึ่งงั้นเหรอ?”

 

ดิออสให้ความเห็นจริงจัง

 

“อ่า นั่นสินะดิออส ! นั่นคือเหตุผลที่เขาอยู่ในป่า แต่ว่าพวกภูติน่ะหลงทางในป่าของตัวเองกันเหรอ…”

 

หลังจากที่คิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งหญิงสาวก็ส่งเสียง “หืมม”

 

เธอเป็นคนประเภทที่สีหน้าเปลี่ยนตลอดเวลาคิดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อดิออสดึงม้าของเขา ฮิโระก็เริ่มตึงเครียดอีกครั้ง

 

“ถ้างั้นพวกเรามาพาชายคนนี้ไปกับพวกเราดีกว่า.”

 

“เอ๊ะ พวกเราทำแบบนั้นไม่ได้นะดิออส พ่อแม่พวกเขาอาจจะออกตามหาเขาอยู่ก็ได้ พวกเราต้องไปส่งเขาที่บ้านนะ.”

 

“นายหญิงหมอนี่อายุสิบหกแล้วนะครับ ถ้าเป็นเด็กก็ว่าไปอย่าง แต่เขาเป็นผู้ใหญ่แล้วนะครับ แถมยังรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ส่วนพระองค์ ดังนั้นต้องพาหมอนี่ไปสอบปากคำ.”

 

“เอ๋ ดิออสอย่าเยอะจะได้ไหม ฉันจะพาเขาไปส่งที่บ้าน”

 

“แต่ว่าเขาอาจจะเป็นสายลับของศัตรูก็ได้นะครับ”

 

“ไม่เลยฉันไม่คิดว่าเขาเป็นคนแบบนั้นเลยแต่…”

 

“ไม่เหรอครับ”

 

“ก็ได้ถ้างั้นให้เขานั่งรถม้าไปกับฉันโอเคไหม?”

 

ดิออสอ้าปากค้างระหว่างที่หญิงสาวคนนั้นไม่ยอมแพ้

 

“…เฮ้อ ก็ได้ครับ ถ้างั้นพวกเรากลับไปที่ป้อมปราการกันดีกว่า.”

 

ดิออสซึ่งหันกลับมามองเขากลับไปหาลูกน้องของเขา จากนั้นก็มีรถม้าสุดหรูมารับฮิโระและหญิงสาว

 

“เอาล่ะ ขึ้นมาสิ ข้างในค่อนข้างกว้างเลยล่ะ”

 

เซอร์เบอรัสเข้าไปก่อน และเมื่อฮิโระเข้าไปข้างใน ก็มีที่ว่างเพียงพอสำหรับหกคนที่จะนั่งเลย หลังจากหลบเซอร์เบอรัสที่นอนอยู่บนพื้นแล้ว ฮิโระก็นั่งลงบนที่นั่งที่จัดเตรียมเอาไว้ หญิงสาวคนนั้นนั่งตรงข้ามกับฮิโระ

 

“ฉันขอโทษนะที่ทำให้ตกใจในหลายๆเรื่อง”

 

“ไม่เลยนี่มันก็แค่ความฝัน ชั้นไม่โทษเธอหรอก”

 

แม้ในช่วงเวลานี้ ฮิโระก็ไม่อยากยอมรับว่านี่คือความจริง หญิงสาวจึงเอียงคอสงสัย

 

“…ความฝันงั้นเหรอ?”

 

“ใช่มีหลายสิ่งหลายอย่างมากเกินไปจนอธิบายไม่ได้น่ะสิ.”

 

“หลายสิ่งที่อธิบายไม่ได้เช่นt?”

 

“ก็ตอนแรกชั้นกำลังเดินทางไปโรงเรียน แล้วสักพักก็มาพบว่าตัวเองอยู่ที่นี่ ถ้าไม่ใช่ความฝันทิวทัศน์มันก็คงไม่เปลี่ยนไปเร็วขนาดนี้หรอกใช่ไหมล่ะ และไหนจะคนที่เหมือนชาวต่างชาติปรากฏต่อหน้ามากมายนี้อีก?”

 

“…อืม แต่นายอยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้นนี่คือความจริงนะ.”

 

ทันใดนั้นหญิงสาวคนนั้นก็ยืนขึ้นเล็กน้อยในขณะที่เอามืออุ่นๆไปตบที่หน้าเขา ก่อนที่เขาจะรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่แล่นไปทั่วหน้า

 

“เจ็บโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย!”

 

จากนั้นหญิงสาวก็หยิกแก้มฮิโระอยู่หลายครั้ง

 

“เป็นไงเจ็บไหมล่ะ?”

 

“โครตจะเจ็บ!”

 

เมื่อตะโกนออกไปแบบนั้น มือของหญิงสาวคนนั้นก็เขยิบออกไปและเธอก็นั่งลงที่เดิมเซอร์เบอรัสและคนอื่นๆต่างประหลาดใจกับเสียงร้องของฮิโระ

 

“เห็นม๊า ไม่ใช่ความฝันซะหน่อย?

 

“แต่ถึงจะไม่ใช่ฝันก็ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้เลยนะ”

 

“ฉันขอโทษนะแต่นี่เป็นวิธีที่เร็วที่สุดที่จะทำให้นายตระหนักได้ถึงความจริง”

 

“หืมมมมม…”

 

ชั้นพูดอะไรไม่ออกหลังจากเห็นเธอยิ้มให้อย่างสง่างาม จะเกิดอะไรขึ้นถ้ารสนิยมทางเพศแปลกๆของเขาถูกปลุกขึ้นมา ฮิโระลูบแก้มของเขาจากนั้นก็มีเสียงเคาะจากด้านนอก

 

“มีอะไรงั้นเหรอ?”

 

ดิออสจ้องมองมาด้วยความสงสัยแต่เธอตอบกลับอย่างไม่สนใจ

 

“ไม่มีอะไร ฮิโระบอกว่าเขาฝันอยู่ ฉันก็เลยหยิกแก้มดึงสติเขาแค่นั้น”

 

“หืมมม ยังหนีจากโลกความเป็นจริงด้วยงั้นเหรอเนี่ย ไอ้นี่มันสปายชัดๆ.”

 

ด้วยเหตุนี้ดิออสขยับออกจากหน้าต่าง ฮิโระถอนหายใจขณะจับแก้มที่เจ็บปวด แม้ว่าตอนนี้เขาจะยอมรับได้แล้วว่าตัวเองไม่ได้ฝัน แต่ที่ไหนสักแห่งในใจก็ยังคงบอกเขาว่านี่ไม่ใช่ความเป็นจริง

 

“แล้วจะเอายังไงต่อดีเนี่ย…”

 

ฮิโระก้มลงมองที่เท้าของเขาขณะวางมือลงบนศีรษะ เขารู้สึกว่าตัวเองคิดตื้นเกินไปขณะที่ความเจ็บปวดยังคงแล่นผ่านแก้มของเขา ตอนนี้เขากังวลว่าเขาจะใช้ชีวิตยังไงต่อไป

 

“นี่ นาย ไม่เป็นไรแน่นะ?”

 

หญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงนั้นลูบหัวฮิโระอย่างกังวล

 

”ไม่ต้องหดหู่ไป ไม่เป็นไรหรอก ไม่ใช่ว่านายทำตัวหมิ่นฉันหรอกนะ.”

 

“เอ่อ ตอนนี้ชั้นไม่ได้หดหู่ แต่หมายความว่ายังไงดูหมิ่น?”

 

“โอ๊ะ ลืมตัวไปเลยแสดงว่าฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเองสินะ.”

 

เสียงของฮิโระที่เปล่งออกมาอย่างอ่อนแรงไปไม่ถึงหูของเธอ

 

“ดิฉันมีนามว่า เซเลีย เอสทรีย่าห์ อลิซาเบธ ฟอน แกรนด์ เจ้าหญิงอันดับหกของจักรวรรดิแกรนด์ และฉันเพิ่งอายุครบสิบห้าปี ทุกคนต่างเรียกฉันว่าลิซ ฮิโระเองก็เรียกฉันแบบนั้นได้นะ.”

 

เธอวางมือข้างหนึ่งไว้บนอกและยิ้มออกมาอย่างสง่างาม

 

“…..”

 

แบบนั้นมันดูหมิ่นเกียรติชัดๆถ้าชั้นเผลอเรียกเจ้าหญิงด้วยชื่อเล่นแบบนั้น บางทีชั้นควรจะเปลี่ยนวิธีพูดคุยกับเธอด้วยและอย่ามองหน้าเธอมากเกินไปไม่งั้นคอได้หลุดจากบ่าแน่นอน

 

“เป็นอะไรไป?”

 

“เอ่อมันจะเป็นการดูหมิ่นไหมถ้าชั้นเรียกเธอว่าลิซ?”

 

“ไม่เป็นไรหรอก ถ้าฉันเป็นคนอนุญาต เห็นไหมว่าแม้แต่ดิออสก็พูดคุยกับฉันตามปกติ.”

 

“อืมนั่นสินะ ถ้างั้นก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะลิซ.”

 

เธอเป็นมิตรตั้งแต่วินาทีแรกที่เราพบกัน ดังนั้นเธอคงจะเป็นเจ้าหญิงที่มีเมตตามากแน่ๆ

 

“อืม ดีนะที่นายเป็นคนซื่อตรงแบบนี้ แม้แต่ดิออสก็ไม่กล้าเรียกฉันด้วยชื่อเล่นหรอกนะ หุหุ”

 

“บ้าเอ้ยยยยยยยยยยยยยยยย นี่ชั้นโดนหลอกเหรอเนี่ยแบบนี้คอหลุดจากบ่าแหงๆ!”

 

เมื่อเห็นฮิโระที่กำลังสับสน ลิซก็หัวเราะจนน้ำตาเล็ด

 

“ฮะฮะฮ่า ไม่ต้องกังวลไปหรอก แต่ว่าไม่ควรเรียกชื่อเล่นฉันในที่สาธารณะเท่านั้นก็พอแล้ว นอกจากดิออสแล้ว อาจจะทำให้คนที่อยู่ในป้อมปราการโกรธมากแน่ๆล่ะ”

 

――อะไรละนั่นโดนคนอายุน้อยกว่าแกล้งเล่นเนี่ยนะ? เธอดูสนุกมากเลยล่ะ แต่ไม่ควรเอาความเป็นความตายของคนอื่นมาแขวนบนเส้นด้ายจะได้ไหม

 

เอ่อชั้นมีคำถามสองสามคำถามอยากจะถามน่ะ…”

 

“อะไรงั้นเหรอคะ?”

 

“ทำไมถึงได้ใจดีกับชั้นขนาดนี้ล่ะ?”

 

“เพราะว่านายยังมีชีวิตอยู่ไงล่ะ.”

 

“หือออ?”

 

ชั้นอดสงสัยไม่ได้และไม่เข้าใจสิ่งที่เธอพูด

 

“เอ่อช่วยอธิบายให้มันเคลียร์ๆหน่อยสิ?”

 

ด้วยคำพูดเหล่านั้น ลิซจ้องมองเขาขณะที่เอานิ้วเท้าคางพร้อมกับร้อง “หืมมม”

 

“หืมมม จะว่าไงดีล่ะ เซอร์เบอรัสไม่ได้กัดนายใช่ไหม และนอกจากนี้เหล่าภูติเองก็ไม่ได้ตื่นตระหนกด้วย”

 

“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเซอร์เบอรัสกัดชั้นและเหล่าภูติตื่นตระหนกล่ะ?”

 

“นายก็ตายไง.”

 

ลิซยักไหล่และพูดต่อ

 

“ป่าก่อนหน้านี้น่ะ———–คือป่าอันฟางซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าภูติมากมายที่ราชาองค์แรกได้ทำพันธสัญญาเอาไว้เพื่อปกป้องป่าแห่งนั้น ซึ่งตอนนี้ผ่านมากว่าพันปีแล้ว ภูติเหล่านั้นก็ยังคงปกป้องป่าแห่งนี้อย่างเข้มงวด นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าหากคนอื่นที่ไม่ใช่ราชวงศ์จะไม่สามารถมีชีวิตรอดออกมาได้.”

 

“ชั้นไม่เห็นยักจะรู้เลยว่าไปอยู่ในสถานที่อันตรายแบบนั้นได้ยังไง…”

 

ไม่มีทางที่จะหาทางออกจากที่นั่นได้ ถ้าชั้นได้อยู่ที่นั่นอาจจะตายจริงๆ ความกลัวทำให้ตัวชั้นหนาวสั่นไปถึงกระดูกสันหลัง

 

“นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันช่วยนายออกมาไงเข้าใจรึยัง?”

 

“อืมเข้าใจถึงอันตรายของสถานที่แห่งนั้นแล้วล่ะ แต่ทำไมชั้นยังมีชีวิตอยู่ล่ะ ชั้นไม่ใช่ราชวงศ์ด้วยซ้ำ?”

 

“เพราะแบบนั้นมันถึงแปลกไงล่ะ ดิออสเลยสงสัยว่านายเป็นภูติประเภทหนึ่งรึเปล่า.”

 

“อ่านั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขามีปฏิกิริยาแบบนั้น”

 

“ก็ประมาณนั้นแหละ ตอนนี้ฉันเองก็โน้มน้าวเขาเท่าที่จะทำได้แล้ว ดังนั้นช่วยเล่าเรื่องราวของนายให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม ว่าไปทำอะไรอยู่ที่นั่น? หรือว่าเป็นภูติจริงๆ?”

 

“ถ้าชั้นรู้ชั้นคงไม่มานั่งปวดหัวแบบนี้หรอก…”

 

“ความจำเสื่อมงั้นเหรอ?”

 

“ไม่ใช่แบบนั้นสิ ชั้นเป็นคนธรรมดาทั่วไป เป็นนักเรียนม.ปลายอายุ 16 ปี”

 

“อะไรคือโรงเรียนมัธยมปลาย?”

 

“…เอิ่ม? ก็นักเรียนที่ต้องเข้าโรงเรียนไง.”

 

“เอ๋….หมายถึงนักเรียนที่เข้าโรงเรียนฝึกสอนอะเหรอ?”

 

เขาไม่สามารถทำให้เธอเข้าใจเรื่องราวได้ ไม่มีทางที่จะมีโรงเรียนม.ปลายในที่แบบนี้ ภาษาแม้จะดูคล้ายภาษาญี่ปุ่น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคำพูดของโลกที่ฮิโระจากมาจะเข้าใจได้

 

(ไม่ใช่ มันต่างกันออกไปสิ้นเชิงเลย)

 

ตอนนี้ฮิโระรู้ตัวแล้ว

 

“…เอิ่มตอนนี้ชั้นพูดภาษาญี่ปุ่นอยู่รึเปล่า?”

 

“ยี่ปุ้น?ภาษาอะไรล่ะนั่นไม่เห็นรู้จักเลย”

 

ลิซได้แต่เอียงคอสงสัย

 

“อืมขอถามเพื่อความแน่ใจตอนนี้เรากำลังพูดภาษาอะไรกันอยู่?”

 

“อืม แกรนท์เซียน”

 

“…หมายความว่าไง?”

 

“หืมอะไร?”

 

“ไม่ ชั้นไม่เห็นจำได้เลยว่าชั้นพูดภาษาอะไรนั่นได้.”

 

“เรื่องนั้นฉันเองก็ไม่รู้หรอกนะ ที่สำคัญกว่านั้นช่วยเล่าเรื่องโรงเรียนม.ปลายทีสิ?”

 

ลิซโน้มตัวเข้ามาใกล้เขา นี่เป็นครั้งที่สองของวันแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ชิน และฮิโระก็เริ่มใจเต้นแรงอีกครั้ง

 

“ใกล้ไปแล้ว หน้าจะใกล้กันเกินไปแล้ว!”

 

“เอ๋? ไม่เห็นจะต้องตวาดใส่กันเลยนี่…”

 

เมื่อลิซขยับออกไปเธอก็แสดงท่าทีหดหู่ เอิ่มขอโทษที่เผลอตะโกนใส่ แต่ว่าถ้าเธอเข้าใกล้เขาอีกมันจะเป็นอันตรายต่อใจเขา

 

“กลับไปที่ประเด็นหลักเถอะ นักเรียนม.ปลายก็เหมือนกับนักเรียนในโรงเรียนฝึกสอนนั่นล่ะ.”

 

“เหหหห ถ้างั้นในโลกของเหล่าภูติเรียกกันว่าโรงเรียนม.ปลายนี่เอง!”

 

เธอกำมือราวกับจะสวดมนต์บางอย่าง และลิซก็มองเขาด้วยแววตาเป็นประกาย ฮิโระยิ้มอย่างขมขื่นและตอบกลับ

 

“ไม่เลยชั้นไม่ใช่ภูติ ชั้นเป็นมนุษย์เหมือนกับเธอนี่แหละ”

 

“อย่างที่ฉันพูดไปก่อนหน้านี้ หน้านายเด็กมาก นอกจากนี้ยังมีเสียงแหลมสูงเหมือนกับผู้ใหญ่อีก.”

 

“เอิ่มในโลกของชั้นเด็กอายุสิบหกยังเป็นเด็กอยู่นะ อย่างไรก็ตามภูตินี่เหมือนกับชั้นงั้นเหรอ?”

 

“ไม่ใช่แบบนั้นเลย ภูติไม่มีรูปลักษณ์หรือเสียง แต่จักรพรรดิองค์แรกดูเหมือนจะสื่อสารกับพวกเขาได้.”

 

“แล้วทำไมถึงคิดว่าชั้นเป็นภูติล่ะ?”

 

เมื่อฮิโระถามแบบนั้น ลิซเอียงคอเล็กน้อย

 

“อืม จะว่ายังไงดีล่ะ? นอกจากอธิบายว่าเป็นภูติ มันน่าจะสมเหตุสมผลมากกว่านะ ฉันคิดแบบนั้น”

 

เมื่อเขามองลิซ ก็พบว่าไม่ว่าลิซจะทำท่าทางใดๆก็งดงามไปหมด หลังจากนั้นลิซก็เหลือบมองข้ามหน้าต่าง

 

“พวกเราใกล้จะถึงป้อมปราการแล้วล่ะ ฉันเองก็ค่อนข้างงานยุ่งพอตัวเลย แต่ฉันจะปฏิบัติต่อนายในฐานะแขกที่เหมาะสม ดังนั้นพักผ่อนตามสบายนะ.”

 

ฮิโระหันสายตาไปในทิศทางเดียวกันและพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน จนเหลือแต่แสงสีแดงที่ปกคลุมทั่วท้องฟ้า

 

[LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก

[LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก

Score 10
Status: Completed
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกขนานนามกันว่า “วีรบุรุษแห่งสงคราม.” ณ ต่างโลกที่ซึ่งถูกเรียกว่า อเลเทีย ชายหนุ่มที่ช่วยอาณาจักรที่กำลังจะล่มสลายโดยประเทศข้างเคียง ได้ทำการเข้ากอบกู้และก่อตั้งจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ขึ้นมาและทิ้งมันเอาไว้ให้กับคนรุ่นหลังและกลับโลกที่เขาจากมา เหลือทิ้งไว้ความทรงจำ สามปีผ่านไป ชายหนุ่มผู้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกๆวันก็ถูกเรียกกลับไปต่างโลกอีกครั้ง ยังไงก็ตามแต่ สิ่งที่รอเขาอยู่คือ อเลเทียในอีก 1,000 ปีข้างหน้าเสียแล้ว ชายหนุ่มที่เคยรุ่งโรจน์ได้กลายเป็น “เทพนิยาย”ที่ถูกเล่ากันเป็นตำนานในฐานะ “คู่หูราชาวีรบุรุษทมิฬ”

Options

not work with dark mode
Reset