[LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก 14 Chapter 4 เทพธิดาแห่งสงคราม Part 1

ตอนที่ 14 Chapter 4 เทพธิดาแห่งสงคราม Part 1

Part 1

28 พฤษภาคม 1023 ปีมหาจักรวรรดิ สองวันหลังจากการต่อสู้ในถิ่นทุรกันดาร กลุ่มของฮิโระกำลังวิ่งผ่านที่รกร้างแปดเซลล์(ยี่สิบสี่กิโลเมตร)ห่างจากเมืองชายแดนลิงซ์

 

ในช่วงเริ่มต้นของการเดินทาง ทหารสามร้อยนายได้ติดตามพวกเขามา แต่หลังจากเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าและการต่อสู้กับราชอาณาจักรลิชไทน์ จำนวนของพวกเขาก็เหลือน้อยกว่าสิบคนในตอนนี้

 

ถึงกระนั้น ลิซก็ยังคงขี่ม้าไปข้างหน้า ฮิโระเองก็อยู่ในอ้อมแขนของลิซ

 

“เมื่อไปถึงป้อมปราการเบิร์กต้องสอนฮิโระขี่ม้าซะแล้วสิ.”

 

“ไม่ๆ ชั้นขี่มันไม่ได้หรอก.”

 

แม้กระทั่งเมื่อพันปีที่แล้ว จักรพรรดิองค์แรกอัลทิอุสเคยเป็นครูฝึกเขาทั้งกลางวันและกลางคืน แต่ถึงแม้จะขึ้นคร่อมม้าได้ แต่ม้ามันก็ไม่ยอมเดิน ดังนั้นการฝึกเลยไม่ไปไหนสักที

 

เนื่องจากในช่วงสงครามเขาจะนั่งรถม้าอยู่เสมอ แม้จะไม่ค่อยสะดวกสบายแต่เขาก็ใช้มันจนชิน

 

มีเหตุผลสองประการที่เขาเข้าใจได้ว่า หนึ่งคือใบหน้าของทริสตอนนี้กำลังโกรธจัด อีกประการหนึ่งคือหน้าอกอันนุ่มนิ่มของลิซมันกระทบหลังเขาเป็นครั้งคราว ซึ่งอย่างหลังเป็นที่เป็นอันตรายต่อใจเขา

 

เมื่อพันปีที่แล้วเขาต้องขี่ม้ากับอัลทิอุสเลยไม่รู้สึกแปลก แต่ตอนนี้ฝ่ายตรงข้ามคือผู้หญิง แม้ว่าจะไม่ได้มีเยอะมากมาย แต่ในอนาคตเธอคงจะมีมันมากพอจนทำให้ผู้ชายทุกคนต้องสนใจ

 

(ทำไมถึงได้นุ่มนิ่มขนาดนี้กันนะ เพราะเป็นเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิเหรอ?)

 

ขณะที่กำลังคิดอะไรโง่ๆ ทริสที่เฝ้ามองดูก็เข้ามาใกล้ แน่นอนว่าจ้องมองฮิโระเขม็งเลยล่ะ

 

“เจ้าหญิงมาหยุดพักกันสักครู่เถอะครับหลังจากพวกเรามุ่งไปข้างหน้าได้สักพัก.”

 

“อืม ฉันเองก็อยากรู้สถานการณ์ที่ลิงซ์ด้วยและเซอร์เบอรัสเองก็ดูจะลำบากลำบนมากในตอนนี้ แถมยังอยากให้ม้าได้พัก.”

 

เซอร์เบอรัสที่วิ่งเคียงข้างพวกเขากำลังวิ่งในขณะที่ลิ้นห้อย

 

“ถ้างั้นจะส่งหน่วยสอดแนมไปสักสองสามคน มันยังไม่สายเกินไปที่จะเข้าไปในเมืองเมื่อเราได้รับรายงาน.”

 

เดิมทีพวกเราควรมุ่งหน้าไปยังป้อมปราการเบิร์กทันที แต่มันเกิดเหตุการณ์มากมายที่คาดไม่ถึงจนทำให้ต้องชะลอการเดินทางลง

 

“ถ้างั้นเรามาหยุดพักกันเถอะถัดไปสองเซลล์นี้ ฮิโระ”

 

“แต่ชั้นคิดว่าพวกเราควรพักเลยในตอนนี้.”

 

ไม่ใช่เพราะว่าเขาเหนื่อยหรือเพราะอะไร เพียงเพราะเขาเจ็บก้นมากๆ เมื่อเทียบกับลิซที่ดูชิวๆ แม้ก้นของเธอจะดูนุ่มนิ่มกว่า…เอ่อนี่ชั้นคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย

 

“ลิซ! หยุดเดี๋ยวนี้เลย!”

 

พวกเขาตอบสนองกันในทันทีและม้าก็หยุดลง ทริสและทหารคนอื่นๆที่รู้สึกตัวช้าก็วิ่งผ่านไปนิดหน่อยก่อนจะหยุด

 

“เป็นอะไรไป? กัดลิ้นตัวเองรึไง?”

 

“ไม่ใช่แบบนั้น ! ตรงนั้นมีเด็กถูกทำร้ายอยู่!”

 

เขาพูดด้วยความร้อนรน

 

“แบบนั้นก็แย่น่ะสิ อยู่ตรงไหน แล้วใครทำร้ายเด็ก?”

 

ลิซค่อยๆมองไปรอบๆพื้นที่ด้วยความตื่นตระหนก

 

“ตรงนั้นไง!”

 

เมื่อเห็นปลายนิ้วของฮิโระชี้ความตึงเครียดของลิซก็คลี่คลายลง

 

“นั่นไม่ใช่เด็กแล้วนะ.”

 

“เอ๋ แต่พวกมันดูเหมือนมนุษย์นะ แต่…”

 

นี่ชั้นเข้าใจอะไรผิดไปเหรอ? เขาขยี้เปลือกตาซ้ำๆ แต่จากมุมตาของเขาเหมือนกับเด็กกำลังถูกร้ายด้วยนกสายพันธุ์หนึ่งที่ใหญ่กว่าสองเท่า

 

“ทริส! ฉันคิดว่ามันอาจจะเร็วไปหน่อย แต่มาพักก่อนเถอะ”

 

“ฮ่ะ!!”

 

ลิซลงจากม้าก่อนยื่นมือมาทางฮิโระ

 

“จะบอกให้รู้นะฮิโระตัวที่ดูเหมือนนกนั่นคือ เกลเด็ม(Geldem) และตัวที่เหมือนกับเด็กคือก็อบลิน.”

 

ด้วยความช่วยเหลือจากลิซเขาก็ลงจากม้าได้ ฮิโระมองไปทางก็อบลิน แม้ว่าเมื่อหนึ่งพันปีก่อนจะมีมอนสเตอร์อยู่บ้างแต่ก็ไม่เคยเห็นมอนสเตอร์แบบนั้น

 

เขาเล็กๆที่งอกขึ้นบนศีรษะ ดวงตากลมสีผิวและใบหน้าที่เหมือนกับเด็ก มีสีเขียวสวมใส่เสื้อผ้าชิ้นเดียวและในมือถือกิ่งไม้สู้กับเกลเด็ม

 

“พวกเราควรไปช่วยมันดีไหม? พอเห็นแบบนั้นแล้วชั้นรู้สึกแย่น่ะ.”

 

แม้จะมองจากระยะไกลว่าดูสิ้นหวังมากแค่ไหน เมื่อมันตัวเล็กขนาดนั้น มันสู้กับนกตัวนั้นไม่ได้หรอก ฮิโระมองด้วยความกังวลและตัดสินใจจะไปช่วย ลิซคว้าไหล่เขาไว้

 

“หากเข้าใกล้มันเกินไป เดี๋ยวก็โดนลูกหลงไปด้วยหรอก ดังนั้นไม่ต้องกังวลหรอกนะ”

 

“ถ้างั้นแบบนั้นชั้นก็ต้องยิ่งไปช่วยสิ.”

 

“ไม่หรอก เดี๋ยวก็รู้ผลแล้วล่ะรอดูได้เลย.”

 

จากนั้นลิซก็นั่งลงโดยคุกเข่ากับพื้น ทริสสั่งทหารว่า “ไปตรวจสอบที่เมืองหน่อย”

 

ม้าสองตัวขี่ผ่านถิ่นทุรกันดารที่เต็มไปด้วยฝุ่นและหญ้าอันเบาบาง ฮิโระมองไปยังก็อบลินที่กำลังถูกโจมตี แต่ทันทีที่เห็นใบหน้ามันชัดๆเขาก็หน้าซีด

 

ก็อบลินจำนวนมากโผล่มาจากพื้นดินอย่างรวดเร็ว ก็อบลินตัวหนึ่งไต่ขึ้นไปอีกตัวหนึ่ง จากนั้นก็อบลินอีกตัวก็กระโดดขึ้นไปบนหลังเกลเด็มและฟาดมันด้วยกิ่งไม้

 

“อะไรกันล่ะนั่น…”

 

“ก็อบลินนั้นเป็นภูติแห่งดิน เห็นได้ชัดเลยว่าราชันภูติโกรธมากที่พวกนั้นทำตัวเป็นภัยต่อราชันภูติก็เลยถูกส่งมายังอเลเทีย พวกมันเข้ากันได้ดีกับดวาร์ฟ และส่วนใหญ่ก็จะเห็นมันในการช่วยตีเหล็ก.”

 

ภาพที่พวกนั้นยืนหยัดต่อสู้กับศัตรูที่ใหญ่กว่าตัวเองถึงสองเท่านั้นน่าประทับใจ และกำลังจัดการศัตรูด้วยความรวดเร็ว แต่ว่าก็ทำอะไรไม่ได้มากเพราะอาวุธเป็นเพียงกิ่งไม้

 

ยังไงก็ตาม ก็อบลินนั้นดูน่ารักสำหรับฮิโระ

 

“ถ้ากระโดดเข้าไปช่วยพวกนั้นอาจจะโดนทั้งก็อบลินและเกลเด็มโจมตี.”

 

“…ดีที่ชั้นไม่ไปนะเนี่ย เพราะมันดูน่ารำคาญน่าดู”

 

“ฟุฟุก็ใช่ แต่ก็อบลินนั้นน่ากลัวหากมันหยุดใช้กิ่งไม้.”

 

“ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ?”

 

“อืม จะให้พูดยังไงดีล่ะ ทริสเกือบตายเพราะพวกมันเลยนะ บางคนถึงกับเรียกการโจมตีเหล่านั้นของก็อบลินว่า “อุกกาบาตแห่งความตาย” เพราะเป็นอดีตภูติ”

 

แรงระเบิดอันรุนแรงที่มากพอจะพรากชีวิตของทริสช่างน่ากลัว เมื่อเขารู้สึกแบบนั้นก็รู้สึกว่าความหนาวเย็นไหลไปทั่วสันหลัง

 

ในขณะที่เกลเด็มพยายามอดทนต่อสู้ แต่สุดท้ายเกลเด็มก็ทนไม่ไหวต่อความน่ารำคาญก็เลยบินหนีขึ้นฟ้าไปแล้ว

 

“อย่างไรก็ตาม ก็อบลินมีแต่ตัวเมียนะ.”

 

เขาได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ แต่ทหารที่ไปตรวจสอบเมืองก็กลับมาทันเวลา พวกเขามาพร้อมกับชายตัวเล็กๆแต่งตัวเรียบดูเป็นผู้ใหญ่

 

ชายคนนั้นรีบลงจากม้าและวางมือลงบนอกคุกเข่าข้างหนึ่งไม่สนใจว่าสภาพแวดล้อมจะสกปรกแค่ไหน

 

“ฝ่าบาท เซเลีย เอสทรีย่า ยินดีที่ได้พบกันเป็นครั้งแรก กระผมมีนามว่า เคิร์ต ฟอน เทอร์เมียร์ ปัจจุบันรับผิดชอบเป็นรองผู้บัญชาการของมาร์เกรฟกรินด้า ในตอนที่เขาไม่อยู่ครับ.”

 

ลิซลุกขึ้นยืนเอามือทาบอกและตอบกลับ

 

“ดิฉันมีนามว่า เซเลีย เอสทรีย่า อลิซาเบธ ฟอน แกรนท์ เป็นจักรพรรดนีที่ได้รับประทานยศนายพล.”

 

เนื่องจากเธอเป็นเจ้าหญิงลำดับที่หก ใบหน้าที่สง่างามของเธอจึงเป็นที่ชื่นชม

 

“ถ้างั้นคุณก็เป็นคนรักษาการแทนสินะคะ ท่านลุงของดิฉันไปไหนเหรอคะ?”

 

“มาร์เกรฟกรินด้าได้เดินทางไปที่ป้อมเบิร์กเมื่อสี่วันก่อน ราชอาณาจักรลิชไทน์บุกโจมตีด้วยการข้ามพรมแดน ตามที่รายงานมีทหารมากถึงหนึ่งหมื่นสองพันนาย ต้องขอบคุณ “เทพธิดาแห่งสงคราม” ทำให้สถานการณ์ของทางเราไม่ย่ำแย่มากนัก.”

 

เทอร์เมียร์ยื่นซองจดหมายให้เธอ

 

“ท่านบอกว่าถ้าหลานสาวของข้าแวะมาที่ลิงซ์ ให้เอาจดหมายซองนี้ให้”

 

ลิซหยิบมันขึ้นมาและฉีกขึ้ผึ้งปิดผนึกและมองแผ่นกระดาษ เธอพยักหน้าขณะที่เธอกัดริมฝีปากหลายต่อหลายครั้งและเรียกทริส

 

“…ทริส!”

 

“ฮ่ะ!”

 

ทหารราบเกราะหนักหกนายรวมถึงทริส คุกเข่าลงทันที

 

“พวกเราจะมุ่งหน้าไปยังป้อมปราการเบิร์ก แต่ก่อนหน้านั้นพวกเราจะแวะพักเติมเสบียงที่ลิงซ์ก่อน.”

 

หลังจากผ่านศึกมาสองสามครั้ง พวกเขาที่อดหลับอดนอนกันมาขนาดนี้ ต้องการพักผ่อน

 

“ฮิโระนายอยากอ่านด้วยไหม?”

 

“เอ่อมันจ่าหน้าถึงเธอนะให้ชั้นอ่านจะดีเหรอ?”

 

เขามองไปทางลิซด้วยท่าทางตกใจเล็กน้อย มันเป็นจดหมายจ่าหน้าระบุบุคคลมันไม่ควรจะให้คนอื่นได้อ่าน

 

อย่างน้อยนั่นก็คือตามมารยาท

 

แต่ลิซพยักหน้าเบาๆยื่นจดหมายให้ฮิโระ เนื้อหาในจดหมายมีใจความว่า――.

 

ถึงอลิซาเบธหลานรักของข้า

 

ข้าดีใจเหลือเกินที่เจ้าเดินทางมาที่ลิงซ์ได้อย่างปลอดภัย

 

ไว้เมื่อเราได้พบกันมาพูดคุยกันให้เยอะๆเลยนะหลาน

 

ข้าจะรอหลานสาวแสนน่ารักของข้าอยู่ที่ป้อมปราการเบิร์ก

 

“ผู้รักษาการณ์แทนเทอร์เมียร์ ไม่ทราบว่ากองกำลังทางฝั่งป้อมเบิร์กมีเท่าไรคะ?”

 

“…กองทัพจักรวรรดิที่สามทั้งหมดนำโดย “เทพธิดาแห่งสงคราม” มีประมาณสามพันนายครับ.”

 

“จำนวนต่างกันมากเกินไปอีกแล้วสินะ.”

 

กองทัพขนาดหนึ่งหมื่นสองพันนายปะทะกองทัพจักรวรรดิสามพันนาย ดังนั้นไม่แปลกใจเลยที่ลิซจะหงุดหงิดเช่นนั้น เมื่อคิดดูแล้ว ฮิโระในตอนนี้ไม่มีสังกัดอยู่กับฝ่ายไหน ถ้าจะให้พูดก็คือสามัญชนธรรมดาทั่วไป ถ้าเขาไม่ได้พบกับลิซ เขาคงหลงทางไปตามถนน หากแผนการที่เขาสร้างขึ้นถูกปฏิเสธ ทุกอย่างก็ตบ

 

ถึงแม้เขาจะเป็นวีรบุรุษเมื่อหนึ่งพันปีก่อน และแม้ว่าเขาจะพูดแบบนั้นก็คงไม่มีใครเชื่อ

 

(ลิซอาจจะเชื่อชั้นแต่ว่า…)

 

อย่างไรก็ตามเขาวางแผนที่จะเงียบไว้ก่อนจนกว่าจะเข้าใจสถานการณ์รบโดยรวม เมื่อถึงเวลาค่อยเปิดเผยก็ไม่สาย  

 

เมื่อฮิโระแหงนหน้ามองท้องฟ้ามันยังคงแจ่มใสราวกับเป็นวันธรรมดาทั่วไป

 

เมืองชายแดนลิงซ์ ซึ่งเป็นเมืองแปลกๆที่ตั้งอยู่ในทะเลทราย ถูกแบ่งออกเป็นเขตทางตอนเหนือและตอนใต้ เขตใต้อยู่ในทะเลทรายและมีทางเข้าเมืองอยู่ที่นั่นโดยปกติแล้วจะคึกคักไปด้วยเหล่าพ่อค้า แต่เนื่องจากอยู่ในสภาวะสงครามเลยไม่มีใครออกมาทำธุรกิจ

 

ทางตอนเหนือของเมืองคือเขตสำหรับขุนนาง ตอนนี้มีแต่ขุนนางหนีออกจากเมืองจึงกลายเป็นเหมือนเมืองร้าง

 

จากนั้นถนนเส้นนี้จะพาไปสู่ดินแดนของมาร์เกรฟกรินด้า บนชั้นหนึ่งของคฤหาสน์มีห้องอาบน้ำที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ของเมืองและจักรวรรดิ

 

ห้องจตุรัสที่เต็มไปด้วยชั้นหนังสือทั้งสี่ด้าน มีทั้งหนังสือเก่าและใหม่ หนังสือที่ถูกหยิบอ่านแล้วก็กองไว้บนพื้น ตรงกลางของห้องมีโต๊ะทอดยาวและไม่มีการตกแต่งที่หรูหรามากนัก

 

ข้างใต้มีเซอร์เบอรัสที่ซ่อนตัวอยู่ ซึ่งตอนนี้ไม่ใช่หมาป่าขาวขนงาม แต่กลายเป็นหมาน้อยเปียกน้ำไปเสียงแล้ววิ่งรอบโต๊ะห้องสมุดและข้างโต๊ะมีชายหนุ่มผมดำที่กำลังยืนอ่านหนังสือ ฮิโระนั่นเอง

 

“เอ่อ นี่มันค่อนข้างน่าอายเลยนะ”

 

ฮิโระวางหนังสือที่กำลังอ่านไว้บนโต๊ะและกุมขมับ รู้สึกถึงโรคป่วย ม.สอง หรือที่เรียกกันว่าจูนิเบียวเขียนไว้เต็มประวัตศาตร์อันดำมืดของเขา

 

หนังสือทุกเล่มกล่าวถึงจักรพรรดิองค์แรกอย่างดิบดี แต่พอกล่าวชื่อถึงเขาที่เป็นจักรพรรดิลำดับที่สอง สำหรับฮิโระมันเพิ่งผ่านไปสามปี แต่สำหรับที่นี่มันผ่านไปพันปีแล้ว ผ่านไปสามปีก็กลายเป็นพระเจ้าของโลกใบนี้ไปเสียแล้ว แค่คิดถึงมันก็ปวดหัวแล้ว

 

“แต่มันน่าแปลก…”

 

สามปีก่อนเขาอายุสิบสามปี เขาน่าจะกลับโลกปัจจุบันไปในช่วงนั้น แต่ว่าในตำนานเขียนไว้ว่าฮิโระใช้ชีวิตตามปกติในฐานะจักรพรรดิองค์ที่สอง

 

(แล้วไอ้บ้าชวาร์ตชนี่มันใครวะ?)

 

ความคิดของฮิโระมีความเป็นไปได้ที่ว่าอาจจะเป็นหมอนั่น แต่เขาส่ายหัวทันที

 

――มันผ่านมาพันปีแล้วนะ ไม่ว่าจะพูดอะไรในตอนนี้ มันก็เปลี่ยนประวัติศาสตร์ไม่ได้

 

ในขณะที่พยายามจะเปลี่ยนอารมณ์อันบูดบึ้ง เขาจึงเหลือบมองไปนอกหน้าต่าง พระอาทิตย์กำลังตกดิน

 

เมื่อแสงส่องเข้ามาในห้องทางหน้าต่าง เขาก็หยิบไพ่ใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเครื่องแบบ จักรพรรดิองค์ที่หนึ่ง อัลทิอุส ได้มอบสิ่งนี้ให้เขาก่อนเขาจะกลับโลกปัจจุบัน

 

“อืมก็ดูเหมือนไพ่ภูติอยู่หรอกนะ…”

 

หนังสือเล่มนี้มีรายชื่อรูปภาพของไพ่ที่คล้ายกัน แต่มันไม่ธรรมดาเกินไปและไม่หนาขนาดนี้ เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไรและจะใช้มันยังไง

 

“ดูยังไงก็ไม่เหมือน “จักรพรรดิสวรรค์”เลยนะ…”

 

พรของราชันภูติเป็นเพียง “เอาต์เตอร์(Outer)” ทีมีเหนือขอบเขตของมนุษย์ เมื่อฮิโระมองไปยังพื้นที่ว่างเปล่าก็ได้ยินเสียงแตกและรอยแยกปรากฏขึ้น

 

ด้ามสีขาวโผล่ออกมาจากรอยแตกอย่างช้าๆ

 

เมื่อมองลงไปที่เอวที่แขวน “ดาบภูติจักรพรรดิสวรรค์” มันก็หายไปจนหมดสิ้น เมื่อเขาคว้ารอยแตกในอากาศแล้วดึงมันออกมาก็มีดาบภูติจักรพรรดิสวรรค์ปรากฏอยู่ในมือ

 

แล้วเขาก็นึกถึงสิ่งที่อัลทิอุสเคยพูดให้เขาฟัง

 

(…ดาบภูติน่ะมีความคิดเป็นของตัวเอง.)

 

เพราะแบบนั้น “ดาบภูติจักรพรรดิสวรรค์”จะปรากฏขึ้นระหว่างมิติของอเลเทียและโลกภูติ ทันทีที่เขาปล่อยมัน มันก็หายไปในอากาศ  

 

ความมืดมิดเริ่มคืบคลานมาในห้องอย่างเงียบๆ เสียงฝีเท้ากำลังเข้ามาใกล้และรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาไม่นานประตูก็เปิดออกอย่างรุนแรงและหญิงสาวผมสีแดงเพลิงก็เข้ามาด้วยท่าทางโกรธ

 

“เซอร์เบอรัส ฉันรู้นะว่าเธออยู่นี่!”

 

“บุฟุ!”

 

เมื่อหันมาหาเธอ ฮิโระก็ต้องตกใจเพราะเซอร์เบอรัสมาซ่อนตัวหลังฮิโระพร้อมกับหูแหลมๆ

 

“มานี่เลยเจ้าตัวดี อย่างน้อยก็มาล้างเท้าหน่อยเร็ว.”

 

ลิซพยายามจับเซอร์เบอรัส แต่หมาป่าตัวนี้ก็ไม่ยอมให้จับแต่โดยดี เมื่อมองเข้าไปในดวงตา มันก็จ้องลิซราวกับเป็นศัตรูตัวฉกาจและไม่ยอมขยับแม้แต่นิดเดียว

 

“หนอยยย ! ทำไมถึงได้เกลียดการอาบน้ำขนาดนี้กันนะ!”

 

“เอ่อ ขอโทษที่ขัดจังหวะนะลิซ แต่มีเวลาสักครู่ไหม?”

 

“ว่าไง ฉันกำลังยุ่งอยู่นะ?”

 

“ก็แบบทำไมเธอถึงไม่ใส่เสื้อผ้าก่อนจะเข้ามาในห้อง?”

 

“ก็จะพาเซอร์เบอรัสไปอาบน้ำน่ะสิ ถ้าฉันใส่ชุดเดี๋ยวมันก็เปียกพอดีนั่นเป็นเหตุผลที่ฉันเดินแก้ผ้าอยู่นี่ไง นอกจากนี้ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ฉันมีผ้าขนหนูอยู่นะ แค่นี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว”

 

“แต่รู้อะไรไหมทำแบบนี้มันไม่ดีเลยนะ.”

 

เป็นความจริงที่ผ้าขนหนูได้ปกปิดจุดสำคัญ แต่มันก็ยังยากสำหรับฮิโระ เขาพยายามไม่มองเธอเท่าที่ทำได้และมองหน้าลิซแทน

 

เฮ้อพูดแล้วก็ช่วยไม่ได้ แต่ครั้งนี้เขาไม่มีทางเลือก

 

“ท่านเซอร์เบอรัส กระผมขอร้องล่ะช่วยไปอาบน้ำทีเถอะ ไม่งั้นชั้นเลือดหมดตัวแหงๆ?”

 

เขาต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่ทริสจะบุกมาที่นี่ ตามที่คาดไว้ถ้าหากโดนเห็นคราวนี้เขาไร้ซึ่งข้อแก้ตัว

 

บังคับแขนของเขาจับตัวหมาป่าตัวนี้ที่พยายามส่ายหัวฮิโระยื่นมันให้กับลิซ

 

“นี่ อย่าคลั่งสิ เซอร์——–!”

 

ทันใดนั้นผ้าเช็ดตัวของเธอก็หลุดออกเพราะเซอร์เบอรัสที่เอาแต่ใจ ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ทันสังเกตเห็นเพราะหันหลังให้ชั้นอยู่

 

“…..”‘

 

 

 

 

 

ฮิโระพูดอะไรไม่ออก ดวงตาของเขาเบิกกว้าง พลังที่พุ่งพล่านออกจากร่างกายเขาแบบไม่เคยรู้สึกมาก่อนแม้กระทั่งกับดาบภูติก็ตามรวมตัวกันที่น้องชายของเขา ในขณะเดียวกันใบหน้าของดวงตาของเขาก็แดงก่ำ

 

――ออกซิเจน

 

มันคือสิ่งสำคัญสำหรับมนุษย์ อาจกล่าวได้ว่าจำเป็นต่อการดำรงชีวิต

 

“ฟุเฮือก!”

 

ในที่สุดฮิโระที่ลืมหายใจก็รู้สึกตัว และประตูที่ถูกเปิดออกมาก็จ้องมองมาทางฮิโระ

 

――ทริสนั่นเอง

 

ใบหน้าของเขาไม่ใช่ความโกรธหรือเศร้า เมื่อทริสค่อยๆเข้าใกล้ฮิโระ ฮิโระตัดสินใจคุกเข่ายอมจำนน

 

“ได้โปรด ขอร้องล่ะไว้ชีวิตชั้นเถอะ.”

 

“ไอ้หนู ให้ข้าได้ถามเจ้าบางอย่าง.”

 

“ให้ชั้นทำอะไรก็ได้ชั้นยอมแล้ว ได้โปรดไว้ชีวิตช้านนนนนนนน.”

 

“ชีวิต?อะไรล่ะนั่น พูดแปลกๆมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ?”

 

“…หือ?”

 

“ฟังที่ข้าพูดอยู่รึเปล่าเนี่ย?”

 

ฮิโระมองต่ำลง เขาตระหนักได้ว่าเขาร้อนตัวไปเอง ทริสเข้ามาเพื่อมาถามคำถามกับเขาซึ่งมันไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เห็นลิซเปลือยกาย ถ้ามัวแต่ร้อนรนแบบนี้เขาอาจจะเผลอสารภาพออกไปได้

 

ฮิโระเงยหน้าขึ้นและยิ้มออกมา

 

“มีอะไรให้รับใช้ครับ?”

 

ทริสมองเห็นพฤติกรรมแปลกๆของฮิโระ แต่ก็คลำเคราในขณะที่คิดว่าจะพูดอะไร

 

“เอ่อ มีหลายอย่างเกิดขึ้นเมื่อวันก่อนใช่ไหมล่ะ ดังนั้นมันอาจจะดูมึนๆไปบ้าง”

 

อย่างที่คาดไว้ไม่ใช่เรื่องของลิซ เขาถอนหายใจและฟังที่ทริสพูด

 

“ข้าจะถามคำถามง่ายๆเลยนะ ไอ้หนู เอ็งเป็นตัวอะไรกันแน่?”

 

“หมายความว่ายังไงครับ…”

 

แสงแดดจางๆสะท้อนและส่องประกาย และคมดาบเย็นๆก็จ่อที่คอเขา

 

“ขึ้นอยู่กับคำตอบของแก แกอาจจะคอขาดก็ได้”

 

“…..”

 

ดูเหมือนว่าเขาจะเอาจริง

 

“ข้าเชื่อในตัวเจ้านะไอ้หนู ข้าเป็นหนี้ชีวิตเจ้าที่เจ้าช่วยข้าและองค์หญิงให้รอดมาได้ แต่ข้าก็ไม่สามารถเพิกเฉยต่อพลังที่เจ้ามีได้.”

 

“อืม นั่นสินะครับ.”

 

“ข้ายอมมือเปื้อนเลือดหากนั่นปกป้ององค์หญิงได้ ดังนั้นคิดให้รอบคอบ”

 

ฮิโระกลืนน้ำลาย

 

ชั้นคือจักรพรรดิลำดับที่สอง ถ้าเขาพูดแบบนั้น คอคงหลุดจากบ่า แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะบอกว่าตัวเองมาจากต่างโลกได้เช่นกัน

 

ขณะที่ฮิโระคิดว่าจะตอบสนองยังไง เซอร์เบอรัสก็เข้ามาในห้องด้วยความเร็วสูง ซึ่งตอนนี้อาบน้ำมาเรียบร้อย

 

“เอาล่ะฉันไปเปลี่ยนชุดมาแล้วเท่านี้ก็ไม่ยอมปล่อย———!”

 

ลิซเข้ามาในห้องขณะบ่นพึมพำ――.

 

“ทริส กำลังทำบ้าอะไรเนี่ย”

 

เธอที่สังเกตเห็นทริสเล็งดาบไปที่คอของฮิโระ เธอกอดฮิโระและพามาหลบหลังเธอ จากนั้นเธอก็จ้องทริสตาเขม็ง

 

“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ!”

 

“ฝ่าบาท…”

 

“หุบปาก และวางดาบลงเดี๋ยวนี้”

 

เธอพูดด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว ทริสคุกเข่าลงข้างหนึ่งและวางดาบลง

 

“ทริส อธิบายสถานการณ์มาซะ.”

 

“ลิซถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องรู้ความจริง”

 

ฮิโระลุกขึ้นนั่งและยืนอยู่ระหว่างพวกเขา

 

“อะไรล่ะนั่น?”

 

“――เกี่ยวกับตัวตนของชั้นและชั้นแน่ใจว่าเธอจะต้องสงสัยเป็นแน่แท้.”

 

“ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร ฉันไม่สนใจเรื่องนั้นเท่าไร.”

 

เมื่อเห็นดวงตาของเธอที่เปี่ยมไปด้วยน้ำตา ฮิโระก็ลังเลเล็กน้อยก่อนจะลูบหัวเธอ ฮิโระหัวเราะคิกคักให้กับลิซที่งอแงเหมือนกับเด็กน้อย

 

“ไม่เป็นไรหรอกชั้นจะเล่าทุกอย่างให้ฟังเอง.”

 

“…ก็ได้ ถ้างั้นก็เล่ามาให้ฉันฟังที.”

 

“มันไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิดหรอกนะ――.”

 

หลังจากเคลียร์ลำคอ ฮิโระพูดขึ้น

 

“ชั้นคือทายาทของจักรพรรดิลำดับที่สอง.”

 

“…หือ?”

 

“…หาาาาาาาาาาาาาา?”

 

ถ้าจะให้บอกความจริงแบบเลี่ยงๆ ก็ต้องบอกว่ามันเป็นเรื่องราวเมื่อพันปีก่อน แต่พวกเขาต้องออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ ไม่มีเวลาที่จะมาอธิบายได้ภายในครึ่งวันเขาเลยอ้างตัวเองไปแบบนั้น

 

“ถ้าจะให้ชั้นพิสูจน์หลักฐาน ก็บอกได้เลยว่าสีผมและดวงตาของชั้นนี่แหละหลักฐาน.”

 

“…..”

 

“…..”

 

ฮิโระยังคงพูดต่อ ในขณะที่พวกเขากำลังเงียบ

 

“อย่างไรก็ตาม ชั้นคิดว่าชั้นได้รับอนุญาตให้เข้าไปในป่าอันฟาง เพราะมีสายเลือดของจักรพรรดิลำดับที่สอง.”

 

“…ฮิโระ นายรู้ไหมว่านั่นมันหมายความว่ายังไง?”

 

ฮิโระส่ายหัวไปที่ลิซขณะที่ถามด้วยสีหน้าจริงจัง

 

“เอ๋ หมายความว่ายังไงเหรอ?”

 

“ถ้าเรื่องที่ฮิโระบอกมาเป็นเรื่องจริง ฮิโระก็เป็นหนึ่งในทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์นะ.”

 

“ไม่จริงชั้นเป็นเพียงแค่ทายาทที่เหลืออยู่นะ.”

 

“แต่ก็เป็นถึงทายาทวีรบุรุษแห่งสงครามเลยนะ?”

 

“…อืม ก็ประมาณนั้น แต่ว่าt…”

 

“ถ้างั้นนายก็คงเป็นทายาทคนสุดท้ายของราชวงศ์แล้วล่ะ”

 

“ทำไม?”

 

“เพราะว่าจักรพรรดิลำดับที่หนึ่งได้ทิ้งคำขอสุดท้ายเอาไว้”

 

“คำขอสุดท้าย?”

 

“ใช่ แถมเป็นคำขอแปลกๆด้วย?”

 

ลิซมองไปที่ทริสที่นั่งเงียบๆ

 

“ถ้ามีใครที่อ้างตัวตนว่าเป็นทายาทของชวาร์ตช ให้แน่ใจว่าพาเขาคนนั้นไปที่วิหารราชันภูติ ถ้าเขาคนนั้นเป็นตัวจริง จงมอบสถานะที่เขาสมควรจะได้รับ ราชันภูติจะสาปแช่งผู้ที่ละเมิดคำขอสุดท้ายของข้า―.”

 

――อัลทิอุส นี่แกทำบ้าอะไรเนี่ย?

 

ถึงจะรู้ว่าเป็นพวกเจ้าเล่ห์ก็เถอะ แต่หมอนี่คงคาดการณ์เอาไว้แล้วแหงๆ บางทีอาจจะเพื่ออำนวยความสะดวกให้ฮิโระที่จะกลับมายังอเลเทียในอนาคต ถึงแบบนั้นมันก็น่ากลัวไปหน่อยไหมที่จะคิดว่าเขาจะอ้างตัวเองว่าเป็นทายาทเนี่ย

 

“เพราะงั้นนายเองก็จะได้สืบเชื้อสายราชวงศ์ ดีใจไหม?”

 

ลิซยิ้มออกมาและโอบแขนเขาไว้ ถ้าฮิโระไม่อ่อนไหวจนเกินไปก็คงคิดได้อย่างเดียวว่าเธอหลงรักเขา มันอาจจะไม่ใช่ความรักที่เกิดขึ้นจากสถานะทางสังคมที่แตกต่างกัน แต่เป็นในเชิงการเมือง

 

ฮิโระยิ้มเจื้อนๆกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดและขอความช่วยเหลือจากเซอร์เบอรัส

 

ราวกับว่าโกรธกับสิ่งที่เขาทำก่อนหน้านี้เซอร์เบอรัสเบือนหน้าหนีเขา

 

“…ฟุมุ สำหรับตอนนี้คงจะไม่เป็นไรสินะ.”

 

ด้วยสีหน้าที่ไม่มั่นใจทริสลุกขึ้นยืนราวกับไม่เห็นด้วย ไม่น่าแปลกใจเลยที่การบอกว่าเป็นทายาทของวีรบุรุษที่สูญหายไปเกือบหนึ่งพันปีจะน่าเชื่อถือได้

 

“แต่ว่าไม่ยักจะรู้เลยนะเนี่ยว่าฮิโระเป็นทายาทของจักรพรรดิลำดับที่สอง แอบเสียดายเล็กน้อยที่ไม่ใช่ภูติแหะ.”

 

เอ่อนี่จะเข้าใจผิดเรื่องนั้นอีกนานแค่ไหนกันครับเนี่ย

 

“อืม ช่วยอย่าบอกใครเรื่องที่ชั้นเป็นทายาทของจักรพรรดิลำดับที่สองจะได้ไหม?”

 

“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้วววววว ตอนนี้เราไม่มีเวลามาวุ่นกับเรื่องแบบนั้น…”

 

“อืมขอบคุณนะ”

 

แม้ว่าจะเต้าเรื่องไปเอง การโกหกไปทำให้สิ่งต่างๆซับซ้อนมากขึ้น นี่อาจจะหมายถึงพวกเจ้าเล่ห์ที่จมน้ำตายเพราะแผนของตัวเอง เขาถอนหายใจกับความจริงที่ว่าไม่มีใครรู้ว่าตัวเองมาจากต่างโลกก็ดีแค่ไหนแล้ว แต่ฮิโระก็นึกถึงอนาคตอันแสนวุ่นวายออกเลยล่ะ

 

 

T/N: ลงซะเย็นเลยพอดีไปสมัครงานมาครับ หวังว่าจะเข้าใจกันเด้อ

 

[LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก

[LN] เรื่องเล่าขานตำนานวีรบุรุษต่างโลก

Score 10
Status: Completed
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกขนานนามกันว่า “วีรบุรุษแห่งสงคราม.” ณ ต่างโลกที่ซึ่งถูกเรียกว่า อเลเทีย ชายหนุ่มที่ช่วยอาณาจักรที่กำลังจะล่มสลายโดยประเทศข้างเคียง ได้ทำการเข้ากอบกู้และก่อตั้งจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ขึ้นมาและทิ้งมันเอาไว้ให้กับคนรุ่นหลังและกลับโลกที่เขาจากมา เหลือทิ้งไว้ความทรงจำ สามปีผ่านไป ชายหนุ่มผู้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกๆวันก็ถูกเรียกกลับไปต่างโลกอีกครั้ง ยังไงก็ตามแต่ สิ่งที่รอเขาอยู่คือ อเลเทียในอีก 1,000 ปีข้างหน้าเสียแล้ว ชายหนุ่มที่เคยรุ่งโรจน์ได้กลายเป็น “เทพนิยาย”ที่ถูกเล่ากันเป็นตำนานในฐานะ “คู่หูราชาวีรบุรุษทมิฬ”

Options

not work with dark mode
Reset