Part 6
กองทัพลิชไทน์ได้จัดตั้งค่ายห่างจากหน้าผาสองเซลล์ (หกกิโลเมตร) มีค่ายทหารหลายร้อยหลังภายในพื้นที่มีรั้วล้อมรอบ และมีเต็นท์ที่หรูหราที่สุดอยู่ตรงกลาง
ด้านในมีการประชุมอยู่ตรงกลาง เจ้าหน้าที่และผู้บัญชาการแผนกต่างๆ ยืนเรียงแถวทั้งสองด้าน ที่ด้านหลังของห้อง ไวน์นั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่กำลังฟังรายงานความเสียหายจากพนักงานด้วยสีหน้าโกรธเกรี๊ยว
“…ผู้บัญชาการหกนาย ทหารราบแปดร้อยสิบสองนาย บาดเจ็บสองร้อยเก้าสิบเก้าคน นั่นคือทั้งหมด.”
หลังจากเสร็จสิ้นรายงานหัวหน้าเสนาธิการก็กลับไปที่แถว ทหารห้าร้อยคนที่พวกเขาส่งไปเพื่อกวาดล้างศัตรูกลับถูกกวาดล้างเสียเอง และยังเสียหายหนักกว่านั้นมาก
“ทหารเกือบพันนายเสียชีวิตกับศัตรูที่มีกองกำลังไม่ถึงร้อยนายเนี่ยนะ!?”
ไวน์โยนแก้วไวน์ลงบนพื้น และแก้วก็แตกดังเพล้ง
“เอายังไงดีล่ะพี่ชาย ? พวกเราสูญเสียทหารหนึ่งพันนายโดยเปล่าประโยชน์แถมยังจับเจ้าหญิงไม่ได้ด้วย?”
หัวหน้าเสนาธิการก้าวไปข้างหน้า
“แต่ก็เป็นเพราะมีสิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้น คงเห็นกันใช่ไหม นั่นไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่ามนุษย์แล้ว!”
แน่นอนว่าทั้งกองทัพกลัวชายชุดดำเพียงคนเดียว ทันใดนั้นเขาโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้และไล่สังหารหมู่ฝั่งเขาอยู่ฝ่ายเดียว
แต่――.
“หือออ พวกแกจะบอกว่าชายเพียงคนเดียวไล่ฆ่าทหารหนึ่งพันนายเนี่ยนะ ถ้าเป็นแบบหัวตรูหลุดจากบ่าไปนานล่ะ”
ไม่สามารถซ่อนความหงุดหงิดได้ไวน์เตะกว้างอี้ออกไป เก้าอี้ชนกับโต๊ะและพังลง เขายังไม่พอใจคว้าผู้บัญชาการมาหนึ่งคน
“…เขามีพลังการรบสูงมากแต่ใครคือคนที่ยอมให้มันทำอะไรก็ได้ตามต้องการ พวกแกเป็นผู้บัญชาการไม่ใช่เรอะ!”
“…หลังจากเห็นท่าทางเหล่านั้นแล้วมันก็ปลูกฝังความกลัวในตัวเรา!”
“น่าสมเพชมาก พวกแกยังเป็นทหารของราชอาณาจักรลิชไทน์อยู่รึเปล่า!”
เขาผลักผู้บัญชาการออกไปแล้วจ้องมองใบหน้าคนของเขาในเต็นท์
“ทันทีที่รุ่งสางพวกเราจะบุกเต็มกำลัง ไม่อนุญาติให้ถอยทัพ ใครก็ตามที่หนีทัพ ตรูจะกุดหัวพวกมึงให้หมด.”
มันควรจะเป็นการต่อสู้ที่ง่ายดาย โดยปกติแล้วมันควรจะจบในเวลาไม่ถึงชั่วโมง นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่ได้เตรียมตัวสำหรับการรบกลางดึก และจบลงด้วยการให้ศัตรูได้พักเช่นนี้
“ไม่มีแต่ทั้งนั้น การประชุมจบลงแล้ว แต่งตั้งผู้บัญชาการใหม่ทันที ไม่มีเวลาให้พวกแกพัก คิดไอเดียดีๆก่อนรุ่งสาง มิฉะนั้นพวกมึงเตรียมตัวเป็นทาสได้เลย.” (T/N: ใช้คำรุนแรงไปไหมอ่า ถ้ารุนแรงเกินไปบอกได้นะ เพราะแปลให้เขาถึงอารมณ์)
ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาตบไหล่ซ้ายด้วยมือขวาคุกเข่าข้างหนึ่งและเอ่ยปาก
“ตามที่ท่านต้องการ.”
หลังจากนั้นไม่นานผู้ส่งสารก็วิ่งเข้ามาในเต็นท์ด้วยสีหน้าแตกตื่น
“ศัตรูบุกครับ ! ไม่ทราบจำนวนแน่ชัด และตอนนี้พวกเรากำลังถูกโจมตี”
ทุกคนต่างตะลึง มันไม่สมเหตุสมผลเลย ศัตรูที่เกือบจะถูกกกวาดล้างเป็นฝ่ายบุกเสียเอง
“…เมื่อกี้ว่ายังไงนะ?”
“ขอทวนอีกครั้ง พวกเรากำลังถูกบุกโจมตี ไม่ทราบจำนวนแน่ชัด !”
“ไร้สาระ ศัตรูมันเกือบจะตายหมดแล้วนะ.”
ไวน์รีบออกจากเต็นท์ของเขา เจ้าหน้าที่ต่างๆก็ตามออกมาดู มีเสียงตะโกนเสียงกรีดร้อง เสียงเกือกม้าดังก้องไปทั่ว และทหารที่กำลังพักผ่อนก็ตื่นตระหนก
“หมายความว่ายังไงวะ กำลังเสริมทัพศัตรูมาถึงแล้วงั้นเรอะ!”
ศัตรูที่เหลือควรจะมีแค่หน่วยทหารราบและนักธนูเป็นหลัก ถ้ามีเสียงอื่นก็แสดงว่ามีกำลังเสริม แต่เป็นไปไม่ได้
“ไม่มีทาง สหายของข้าแพ้งั้นเหรอ?”
จากนั้นเขาก็คิด
“ไม่มันไม่ใช่แบบนั้น”
ไวน์รีบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว กองกำลังหลักหนึ่งมื่นสองพันนายควรโจมตีป้อมปราการเบิร์ก ศัตรูไม่น่าจะมีกำลังเสริมยกเว้นฝั่งนี้จะแพ้
“ได้ยินมาว่าอีกฝ่ายเป็น”สตรีแห่งสงคราม” แต่…”
มันผ่านมาแค่สองวันเท่านั้นก่อนที่เขาจะบุกมาจับเจ้าหญิง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามก็ไม่สามารถโค่นล้มกองทัพหลักหมื่นคนได้เพียงในสองวันหรอก แต่ถ้าไม่ใช่กำลังเสริมแล้วมันคืออะไร คิดเข้าสิ
ขณะที่กำลังสับสนกันอยู่ เจ้าหน้าที่แต่ละคนต่างสั่งการ
“กลับไปที่หน่วยของพวกแกทั้งหมด รวมตัวตั้งขบวนทัพจนกว่าเรื่องราวจะจบลง.”
“ฮ่ะ!”
ผู้บัญชาการแต่ละคนต่างหนีหัวซุกหัวซุน แต่ก็ล้มลงกับพื้นเพราะมีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับหอกในมือ
“ขอบคุณพระเจ้า กำลังกังวลอยู่เลยว่าถ้าไม่มีประชุมกลยุทธ์จะทำยังไงดีเนี่ย ฮะฮะฮ่า.”
เมื่อเห็นชายหนุ่มคนนั้นถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ฮี้้้้้้!”
หนึ่งในผู้บัญชาการกรีดร้องและล้มลงกับพื้น ชายหนุ่มคนนั้นโยนหอกเก่าๆทิ้ง หยิบดาบจากผู้บัญชาการที่ตายไปแล้วขึ้นมา
“อืม ได้รับการดูแลอย่างดีเลยนี่ มันแสดงให้เห็นเลยนะว่าได้รับการอบรมสั่งสอนมาดี.”
เมื่อชายหนุ่มตวัดดาบไปด้านข้าง ทำให้ทั่วทั้งสนามรบต้องหวาดหวั่น ความกลัวที่ถูกปลูกฝังลงในจิตใจทำให้ใบหน้าของทุกคนต่างตัวสั่นและถอยหลังกันหมด
“ชั้นปล่อยพวกแกไปไม่ได้เสียด้วยสิ ถ้าชั้นปล่อยพวกแกไป เธอและเขาคนนั้นคงไม่มีความสุข”
ชายหนุ่มคนนั้นถือดาบในแนวนอนและขว้างมันออกมา เกิดเสียงคลื่นกระแทกอย่างรุนแรง มันแทงเข้าคิ้วของผู้บัญชาการที่หลั่งน้ำตาออกมา เลือดกระเซ็นไปทั่ว เมื่อได้เห็นสิ่งนี้ทุกคนต่างกรีดร้อง
“ก็บอกไปแล้วไง ใครจะยอมให้หนีหลังจากทำไว้แสบขนาดนั้น”
ชายหนุ่มคนนั้นไม่ปล่อยให้หนี พวกเขาทุกคนต่างอ้อนวอนขอให้แคล้วคลาดปลอดภัย
“บ้าเอ้ย!”
สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงสัตว์ประหลาดเขารีบหนีเข้าไปในเต็นท์ ชายหนุ่มหยิบดาบขึ้นมาและไล่ตามเขาไป
“คุคุ ก็ไม่รู้หรอกนะว่าแกเป็นใคร แต่แกก็เหมือนเด็กน้อยเมื่ออยู่ต่อดาบเล่มนี้.”
ไวน์ฉีกยิ้มถือดาบที่ประดับไปด้วยอัญมณี
“ดาบภูติงั้นเหรอ?”
เขายักไหล่และฟาดฟันดาบธรรมดาที่ถืออยู่ไปยังพื้นที่โดยรอบ
“…ทำบ้าอะไรของแก?”
ไวน์เลิกคิ้วด้วยความที่ไม่อยากจะเชื่อว่าจู่ๆก็ทำตัวแปลกๆ เด็กชายหันกลับมาและถือดาบที่เปลี่ยนรูปลักษณ์จนไม่เหลือชิ้นดี
“รู้ไหมชั้นน่ะเรียนมาจากพี่ชายในสายเลือดของชั้นว่าผู้คนน่ะโหดเหี้ยมได้เพราะมีเหตุผลรองรับ และชั้นก็เชื่อเรื่องนั้นสนิทใจเลยล่ะ.”
“พูดบ้าอะไรของแก?”
“ชั้นมีคำถามสองสามคำถามอยากจะถาม และต้องการให้นายตอบชั้นหน่อย.”
“ข้าถามว่าแกกำลังพูดอะไรวะ?”
ไวน์ตะโกนออกมาขณะมึนงงกับท่าทางของชายตรงหน้า
“ก็อยากจะเริ่มจากนิ้วก่อนหรอกนะ แต่เนื่องจากเวลาไม่มากพอ งั้นขอเริ่มจากแขนเลยละกัน.”
ชายหนุ่มหายไปจากสายตาของเขา จากนั้นที่รู้สึกตัวก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าและพบว่าแขนของเขาขาดไปแล้ว
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกก!”
“คำถามคือ แกคือคนที่ฆ่าคุณดิออสใช่ไหม?”
“อ๊ากกกกกกกกกกกก!?”
เขาถูกเตะเข้าที่ใบหน้าและร่างก็ปลิวไป
“อ๊ากใครก็ได้ช่วยตรูด้วย—————!”
ไวน์ปล่อยดาบภูติของเขาและวางมือลงบนแขนที่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรง
“ต่อไปเป็นข้อเท้าดีไหม หวังว่าแกจะตอบคำถามชั้นก่อนที่จะตาย”
ไวน์เงยหน้าขึ้นและไม่มีอะไรอยู่ในสายตาเขา สิ่งมีชีวิตที่ไร้ซึ่งมนุษย์ธรรมและเย็นชา มันไม่ใช่คนด้วยซ้ำ เหล่าทหารต่างพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สิ่งที่พวกเขาพึมพำเป็นเสียงเดียวกัน―”ความสิ้นหวังที่ไม่รู้จบ”.
“ได้โปรดหยุดเถอะ ข้ายอมแพ้แล้ว พวกข้าแพ้แล้ว”
จิตใจแตกสลาย ไวน์ก้มหัวลงกับพื้น
“ทำไมล่ะหืม?”
“มีกฏสำหรับเชลยศึกภายใต้ข้อตกลงของทวิภาคีของพวกเรา การทำร้ายร่างกายและสังหารผู้ที่ยอมจำนน――.”
ไวน์อธิบาย แต่ชายหนุ่มไม่สนใจ
“ไม่รู้ ชั้นไม่ใช่ทหารของจักรวรรดิ แล้วรู้ไหม มันไม่ใช่เรื่องของชั้นด้วย.”
“…หืออออ?”
“ที่สำคัญกว่านั้นแกไม่ตอบคำถามของชั้น เวลาก็เหลือน้อยเต็มทน จะพูดไหมหรือต้องให้ตัดเท้าทิ้งก่อน?”
ชายหนุ่มเดินเข้ามาและพูดอย่างไม่แยแส
“อ๊ากกกกกกกกกกกกก!”
เด็กชายฝังดาบเข้าไปในขาของไวน์และหายใจออกอย่างช้าๆ
“――แกเป็นคนฆ่าคุณดิออสใช่ไหม?” จากนั้นเขาก็ปล่อยศัตรูหมดลมหายใจอยู่ในเต็นท์
เมื่อฮิโระก้าวออกจากเต็นท์ ท้องฟ้าทางทิศตะวันออกก็เริ่มสว่างขึ้นจางๆ ภายใต้สถานการณ์ปกติเขาควรจะยังไม่ตื่น แต่ตอนนี้เราอยู่ในสถานที่ทุรกันดารที่ภัยอันตรายจะมาเมื่อไรก็ได้
แถมตอนนี้เรายังอยู่ในถิ่นของศัตรู
ตอนนี้ไม่เพียงแค่บดขยี้แต่ยังทำลายล้างอย่างทารุณ ค่ายทหารฝั่งศัตรูถูกเปลวเพลิงเผาไหม้ ทหารหลายร้อยนายถูกเผาไหม้จนเกรียม และกลิ่นแปลกๆที่ทำให้จมูกปนเปื้อน สามารถเห็นม้าที่ไร้ซึ่งคนคุมบังเหียนกำลังวิ่งไปรอบๆ และตรงกลางฉากของนรกแห่งนี้มีชายหนุ่มผมดำ ฮิโระกำลังจ้องมองไปยังเต็นท์ที่พังทลาย
จากนั้นม้าก็วิ่งเข้ามาหาเขาหยุดตรงหน้าฮิโระ หญิงสาวที่ขี่มันกระโดดลงมาทำให้ผมของเธอปลิวไสว
“ฮิโระ”
หญิงสาวคนนั้นกระโจนเข้าหาเขาด้วยท่าทีร้อนรน ลิซตรวจสอบร่างกายของฮิโระในขณะที่สัมผัสส่วนต่างๆของเขา
“บาดเจ็บรึเปล่า? มีบาดแผลตรงไหนไหม?”
เมื่อเธอเริ่มสัมผัสใบหน้าของเขา ฮิโระก็ยิ้มอย่างขมขื่นแก้มของเขาย้อมเป็นสีแดง
“ชั้นไม่เป็นไรก็อย่างที่เห็น”
เขายกแขนขึ้นสองข้างและหมุนตัวไปรอบๆเพื่อพิสูจน์ว่าสบายดี ดวงตาของลิซก็หรี่ลงด้วยความโล่งอก
“ขอบคุณพระเจ้า——–ว่าแต่ทำไมถึงมาคนเดียวเนี่ย”
มือข้างหนึ่งบินผ่านอากาศด้วยความเร็วสูง
“อึกอ๊าาาาาาาา.”
เธอหยิกแก้มทั้งสองข้างของเขาด้วยมือข้างหนึ่ง
“ก็ช่วยไม่ได้นี่หน่า.”
“ฉันไม่รู้เลยนะว่านายกำลังพูดถึงอะไร ! แต่ฉันต้องการให้นายขอโทษฉันเดี๋ยวนี้ ณ ตอนนี้เลย!”
แรงที่ส่งมาจากนิ้วเรียวยาวทำให้กรามของเขาส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ถ้ายังเป็นแบบนี้เขาคงอธิบายอะไรไม่ได้
“จากนี้ไปจะไปไหนต้องรายงานให้ฉันทราบ ฉันเองก็อยากสู้ไปพร้อมกับนายนะ.”
“ฟุย๊าาาา(เข้าใจแล้ว)”
เมื่อมองไปที่ฮิโระพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าลิซก็ปล่อยมือของเธอ ในขณะที่ฮิโระลูบแก้มที่ปวดของเขา ลิซก็พูดว่าลืมบางอย่าง
“พอมาคิดดูแล้ว ฮิโระพกดาบด้วยนี่ใช่ไหม”
“ดาบภูติจักรพรรดิสวรรค์”เน็บไว้ที่เข็มขัดของฮิโระ ลิซหมอบลงและจ้องมองมัน
“อุหวาาาา~ พอมาดูใกล้ๆแล้วเป็นดาบที่งามมากเลยนะ พอเทียบกับ “ดาบภูติจักรพรรดิเพลิง”ของฉันแล้วก็สวยพอๆกันเลย แ่ตอันนี้ดูยังไงก็สวยกว่าอยากได้อะ?”
ลิซดึง”ดาบภูติจักรพรรดิเพลิง”ของเธออกมาเปรียบเทียบกันราวกับประเมินความงามของดาบทั้งสอง เหงื่อไหลเยิ้มบนหน้าผากของฮิโระ จนไม่รู้ว่าเขาจะอธิบายยังไงดี
ไม่สิ——————-ไม่มีทางที่เขาจะอธิบายได้หรอกมันเป็นดาบที่หายไปในประวัติศาสตร์และมันเป็นดาบของวีรบุรุษเมื่อหนึ่งพันปีก่อน ไม่มีทางที่เขาจะพูดได้
เออออออออออออออออออออออ๋ ชั้นจ่ะ—————และหลังจากนั้นฮิโระก็ตัดสินใจที่จะโกหก
“ตอนที่แยกจากลิซ ชั้นพบมันอยู่ข้างถนนน่ะ.”
“เอ๋เจอมันเหรอ?”
“ใช่เพราะว่ามันสวยมากๆก็เลยหยิบติดตัวมาด้วย.”
“เหหห ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายจะพบเจ้านี่ในพื้นที่รกร้างใกล้กับประเทศของบัลม์.”
“อืมชั้นเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน!”
ใครๆก็รู้ว่านี่เป็นการโกหก แต่ดูเหมือนเธอจะเชื่อเขา เขาไม่แน่ใจว่าเธอเป็นคนใสซื่อหรือบ๊องดีล่ะ
ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังกล่าวประมาณ “แต่ฉันรู้สึกได้ถึงพลังของราชันภูติภายในดาบเล่มนี้ มันค่อนข้างพิเศษเลย ไม่ นี่อาจจะเป็นเพราะอิทธิพลอันแข็งแกร่งของราชันภูติ ดังนั้น” เธอคิดไปไกลใหญ่แล้ว
สำหรับฮิโระ ความจริงที่ว่าหน้าอกลิซอยู่ในสายตาของเขาซึ่งมันโผล่ออกมาระหว่างช่องว่างของชุดเกราะของเธอกำลังเป็นปัญหาต่อสุขภาพจิตของเขา เขาก็เริ่มบ่นในใจว่า “เฮ้อลำบากใจชะมัด”
หลังจากที่เธอตรวจสอบ “ดาบภูติจักรพรรดิสวรรค์” เธอก็ส่ายหน้าอกเธอไปมา ไม่ว่าเธอจะหุ่นเพรียวบางแค่ไหนแต่มันก็พอมีน้ำมีนวลอยู่บ้าง เหงื่อบนผิวขาวนุ่มของเธอกระตุ้นความอยากทางเพศเข้าไปอีก และร่างของเธอทำให้เขาอยากระบายความปรารถนาที่อัดอั้นไว้ในใจ
พอคิดว่านี่มันชักจะแย่แล้ว ลิซก็มองไปที่เงาขนาดใหญ่ทางด้านหลัง
“ไอ้หนู มุมแหล่มเลยใช่ไหมล่ะหืมมมมม!”
ตาแก่ที่มีแต่กล้ามเนื้อขี่ม้าเข้ามาใกล้ เขารู้สึกว่าความร้อนเย็นลงในทันที ในมือของเขามีดาบที่เปล่งประกายและส่องแสง เหตุผลที่เขาตัวสั่นขนาดนี้เพราะเขาระงับความปรารถนาที่จะฆ่าศัตรูอย่างสิ้นหวัง
“ไม่ใช่นะครับ.”
“เป็นอะไรไป? แกน่ะเป็นแบบนี้ตั้งแต่เจอเจ้าหญิงแล้ว ปกปิดไปก็ไม่มิดหรอกเผยธาตุแท้มาซะเถอะ แกทำให้เจ้าหญิงต้องคุกเข่าต่อหน้าแกเลยเหรอ!”
“เปล่านะเธอคุกเข่ามาดูดาบของชั้นต่างหาก ชั้นไม่ได้บังคับให้เธอคุกเข่านะl!”
“หุบปาก หนังหน้านั้นซ่อนสัตว์ร้ายหื่นกระหายเอาไว้ใช่ไหม เดี๋ยวข้าจะกระชากมันให้ดีไหม?”
“ก็บอกแล้วว่าอย่ามโนไปไกล ! ฟังกันก่อนสิ!”
ลิซลุกขึ้นยืนและหันไปมองทริส
“ทั้งสองคนนี่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์สงครามตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”
“หนอยยย……..เข้ากันได้งั้นเหรอครับ? ฝ่าบาทไม่ใช่――.”
“รีบๆบอกสถานการณ์มาได้แล้ว พวกเราอยู่ในถิ่นศัตรูนะ?”
“อึก ต้องขอบคุณไอ้หนูนี่ อย่างที่เห็น พวกเราชนะ.”
ฮิโระสั่งให้พวกเขารวบรวมม้าที่ถูกทิ้งไว้ระหว่างทาง ตามที่คาดไว้ เป็นไปไม่ได้ที่จะรวบรวมมันทั้งหมด ดังนั้นจึงนำมันมาประมาณหกสิบตัว แบ่งออกเป็นสามกลุ่ม และเปิดฉากโจมตีจากสามทิศ มีผู้นำไม่กี่คนที่ขี่ม้า
ส่วนที่เหลือไม่มีคนขี่ ดังนั้นบางครั้งพวกมันก็หนีไประหว่างทาง หากเป็นกลางวันก็คงจะโดนหัวเราะเยาะไปแล้ว แต่ถ้าเป็นในกลางคืนก็สามารถใช้เสียงของพวกมันปกปิดสถานการณ์ได้ ยิ่งเป็นถิ่นทุรกันดารเสียงฝีเท้าของม้ามันหนักมากจนทำให้ศัตรูกระส่ำกระส่าย
ศัตรูที่หมดแรงจากศึกในตอนกลางวัน ไม่คาดคิดหรอกว่าพวกเราจะบุกโจมตีในกลางดึก
“เหลือศัตรูเพียงไม่กี่นายที่หลบหนีจากการฆ่ากันเอง.”
ฮิโระให้ทหารราบสองสามคนแต่งตัวเป็นทหารฝ่ายศัตรูแล้วใช้ประโยชน์จากความสับสนแอบเข้าไปในแนวรบของศัตรูและสั่งให้พวกเขาบุกโจมตี ทหารที่ตื่นตระหนกเนื่องจากผู้บัญชาการไม่อยู่เพราะมีการประชุมกลยุทธ์
แน่นอนว่าไม่มีใครอยากตาย พวกเขาจะต้องหาทางรอดทุกวิถีทาง นั่นเป็นเหตุผลที่กองกำลังศัตรูอยู่ในสภาพที่ไม่เชื่อว่าฝ่ายเดียวกันจะฆ่ากันเอง เวลาที่เหลือฮิโระก็โจมตีเต็นท์หลักเพื่อไม่ให้เหล่าผู้บัญชาการไปคุมลูกน้องได้
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณสำหรับความพยายามนะคะ ได้โปรดระมัดระวังตัวด้วย มีความเป็นไปได้ที่หารของศัตรูจะซ่อนอยู่รอบๆ หาให้ทั่วทุกพื้นที่ หลังจากนั้นค่อยมารวมกลุ่มกันที่นี่ค่ะ.”
“ฮ่ะ!”
ทริสรับคำสั่งและวิ่งผ่านค่ายไปพร้อมกับม้าของเขา ลิซที่เห็นแบบนั้นก็หันไปหาฮิโระ
“เป็นอย่างไรบ้างฮิโระ?”
“…..”
ฮิโระชี้นิ้วโป่งไปที่เต็นที่กลายเป็นเถ้าถ่านอย่างเงียบๆ
“มันตายใช่ไหม?”
“อืม”
“ขอบคุณนะ…”
ความเงียบเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสองก่อนที่ลิซจะพูดด้วยท่าทางกังวล
“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันลึกๆในใจมันก็ดีที่คนที่ฆ่าดิออสตาย และส่วนหนึ่งฉันรู้สึกว่างเปล่ามาก ฉันไม่รู้จะทำยังไงกับความรู้สึกเหล่านี้…”
“สักวันหนึ่ง เธอต้องเข้าใจมันแน่นอน.”
เหมือนกับชั้น ฮิโระพึมพำเช่นนั้น
เธอใสซื่อเกินไป ไม่ว่าจะดีหรือร้าย บางครั้งมันก็เกิดผลลัพธ์อันเลวร้ายได้หากลิซอยู่ที่นั่น เธอคงยอมรับเจตจำนงของเขา เนื่องจากความผูกพันที่หนักหน่วงและหน้าที่ในฐานะเจ้าหญิงลำดับที่หก เธอไม่สามารถปล่อยตัวไปตามอารมณ์ได้
นั่นคือสิ่งที่ฮิโระคิด เขาจะไม่ถามถึงความรู้สึกของเธอ ผู้คนอาจจะเรียกมันว่าความเย่อหยิ่ง เธอไม่คิดเลยว่าคนสำคัญของเธอจะถูกฆ่าในสนามรบ
(เธอต้องฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความโชคร้ายนี้โดยเร็วที่สุด ไม่งั้นเธอจะเติบโตไม่ได้หรอกนะ.)
ท่ามกลางแสงแดดที่พร่าระยับจากท้องฟ้าทางทิศตะวันออก เสียงดังกึกก้องตัดผ่านอากาศ ฮิโระจ้องมองไปทิศทางของเสียงก็คือหญิงสาวที่เอามือตบแก้มตัวเอง
“โม่ววววววว กังวลไปให้มันได้อะไรขึ้นมา!”
ลิซซึ่งหลับตาและอดทนกับความเจ็บปวดพูดด้วยสีหน้าสดชื่น
“ฮิโระฉันจะมุ่งหน้าไปหาลุงของฉัน!”
ดอกไม้สีแดงดอกหนึ่งกำลังบานสะพรั่งในถิ่นทุรกันดาร มันมีค่าและสวยงามกว่าอัญมณีใดๆ
(ชั้นไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเธอสินะ ยังไงเธอก็เป็นลูกหลานของหมอนั่น.)
เขายิ้มอย่างขมขื่น แต่
“ก่อนอื่นให้ฉันได้ขอบคุณนายหน่อยนะ!”
เธอกระโจนเข้าหาฮิโระที่สับสน
“เอ๋ เอออออออออออออออออออ๋?”
“ฮิโระ นายทำให้ฉันมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ฉันจะไม่ลืมบุญคุณนี้เลย!”
สัมผัสที่แก้มของเขาเบาๆและเมื่อรู้ว่าอะไรสัมผัสแก้มเขา เธอก็ขยับออกห่าง
“เพราะงั้นต่อจากนี้ไปมาพยายามไปด้วยกันนะ!”
“เอ่อ ไว้ใจชั้นได้เลย.”
――อย่างที่คิด รอยยิ้มน่ะเหมาะกับเธอที่สุดแล้ว
T/N: จบกันแล้วสำหรับวันนี้ Chapter 3 เป็นยังไงบ้างครับสนุกไหมเอ่ย? ไม่รู้ว่าพิมพ์ผิดไปเยอะแค่ไหนฮ่าๆ ไว้เจอกัน Chapter 4 พรุ่งนี้ครับ