Part 4
ฮิโระนั่งอยู่คนเดียวตรงก้อนหินและจ้องมองพื้น สิ่งเดียวที่เข้ามาในใจเขาคือความหงุดหงิดในเรื่องที่เขาไร้พลัง
ทำไมชั้นต้องถูกส่งมายังโลกแห่งนี้? ทำไมชั้นถึงไร้ซึ่งพลัง? เพียงแค่อ่านการเคลื่อนไหวของศัตรูออกมันไม่ช่วยอะไรในสงครามหรอก
(ชั้นมาที่นี่เพื่ออะไรกันแน่…?)
เขาโดนสั่งว่าให้กลับประเทศบัลม์ไป แต่เขาไม่อยากจะกลับไป อาจเป็นเพราะเขาอยากจะไปอยู่เคียงข้างเธอมากกว่า
รอยยิ้มเศร้าๆของเธอปรากฏขึ้นในใจเขา เขาอยากจะสู้ร่วมไปพร้อมกับเธอ แม้ว่าจะเป็นศึกที่ไม่มีวันชนะ แต่เขาก็ไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณเธอ
(แต่ ถึงแม้ชั้นจะไปในสนามรบ ชั้นจะช่วยเธอได้จริงๆเหรอ.)
ไม่เป็นไรหรอก แต่ลิซที่พยายามปกป้องฮิโระ อาจจะได้รับบาดเจ็บได้
หลังจากส่ายหัวอยู่หลายครั้ง ฮิโระเงยหน้ามองท้องฟ้า แสงแดดจ้าส่องลงมาบนพื้นดินที่แห้งแล้ง สายลมอันแสนร้อนทำให้เกิดความระคายเคืองและทำให้รู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก
(…ชั้นควรจะทำอะไร?)
เขาลุกขึ้นจากก้อนหินหันกลับมาดูเศษซากตรงนั้น และเธออยู่ปลายทางข้างหน้านี้ ถึงแม้ว่าตอนนี้การต่อสู้จะเริ่มขึ้นแล้ว ทหารสามพันนายปะทะสองร้อยนายมันช่างสิ้นหวัง
แต่ว่าลิซนั้นเข้มแข็ง แม้แต่เขาที่ไม่ได้รับการฝึกฝนยังรู้ได้เลย เขาทำได้แต่อวยพรให้เธอไปพบกับมาร์เกรฟกรินด้าได้อย่างปลอดภัย ฮิโระวิงวอนต่อราชันภูติ
“…ไปดีกว่า.”
เขาหลับตาราวกับจะทิ้งความรักที่ไม่สมหวังและพยายามจากไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามเขาก็หยุดชะงักทันที
(…อะไรกัน? คนงั้นเหรอ?)
ได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนมาก แต่เป็นเสียงที่พัดมาตามลม เขาซ่อนตัวอยู่หลังก้อนหิน แล้วเขาก็เห็นกลุ่มคนที่คุ้นเคยมาจากพื้นที่แห่งนั้น
“ทางนี้แน่นะ?”
“ใช่ที่นี่แหละ บริเวณนี้อยู่ใกล้ประเทศบัลม์ ถ้าเราตามแนวชายแดนต่อไป ก็น่าจะตามหลังองค์หญิงลำดับที่หกได้.”
“มีหมู่บ้านแถวนี้ไหม?”
“โปรดอดใจรอสักครู่.”
“พวกเราเลือกที่จะต่อกรกับจักรวรรดิ มันไร้ค่าสำหรับฉันเว้นแต่ว่าจะได้ทาสสักสามคน.”
แม้ว่าจะไม่สามารถนับจำนวนได้ แต่ก็มีทหารจำนวนมากออกมาจากเงามืด พวกเขาเป็นทหารของราชอาณาจักรลิชไทน์ มีร่างกายที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เผยให้เห็นผิวสีน้ำตาล พวกเขาเดินมาตามเส้นทางที่ฮิโระเดินผ่านมา
“หลังจากจับตัวองค์หญิงลำดับที่หกแล้ว ที่เหลือก็เผาหมู่บ้านโดยรอบแม่งให้เกลี้ยง เพื่อความสนุกดีปะ.”
“องค์หญิงลำดับที่หกเหรอวะ…..จะมีใครโกรธไหมถ้าข้าอยากจะเปิดซิงนางก่อน?”
“ข้าแน่ใจหัวแกหลุดออกจากบ่าแน่นอน.”
“แต่ถึงยังงั้นองค์หญิงเลยนะเว้ยคุ้มดีออก.”
ก๊ากฮ่าฮ่าฮ่า พวกมันหัวเราะเช่นนั้นทำให้ฮิโระรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก เขากระโดดออกมาจากหลังโขดหิน ศัตรูที่เห็นก็ต่างมีท่าทางเคร่งเครียด แต่พวกเขาก็ระมัดระวังตัวขึ้นในทันที ชายหนุ่มที่ปรากฏตรงหน้ายังขาสั่นไปด้วยความกลัว
“…เด็กหลงเหรอวะหือออ?”
“ผู้ชายเหรอวะ เซ็งวะ ถ้าเป็นผู้หญิงนี่แหล่มเลย.”
ทหารพวกนั้นต่างพูดจาหยาบคาย และพวกมันเอามือจับคางฮิโระและมองมาทางเขาด้วยสีหน้ากระวนกระวาย
“แต่ไอ้หมอนี่มันก็ดูดีไม่หยอกเลยนี่หว่า น่าจะขายได้ราคาดีเลย จับแม่งเลยดีไหม?”
“ไม่ มันมาขวางทางพวกเราฆ่าแม่งทิ้งเหอะ.”
คงจะลำบากถ้าโดนรายงานไปยังบัลม์ ทหารที่จริงจังคนนั้นชักดาบออกมา แต่ก็มีทหารที่ดูท่าทางอืดอาดห้ามเอาไว้
“เฮ้ย เฮ้ยเสียดายของวะ เดี๋ยวตรูเก็บไว้เอง.”
“อย่าทำให้เสียเวลานะโว้ย”
“เฮ้ยๆพวกแกจะตีกันเหรอวะ ถ้างั้นเดี๋ยวข้าวางเดิมพันนะโว้ย?”
ทันทีที่เสียงชื่นชมยินดีดังมาจากด้านหลัง
“ไม่มีอะไรให้พนันหรอกเว้ย.”
“ไอ้หมอนี่มันตายแล้ว ปล่อยแม่งไปเหอะวะ”
“อย่าใช้เวลานานนักล่ะ ไม่งั้นฝ่าบาทเอาแกตายแน่”
“หน่า หน่า ขอเล่นหน่อยเหอะ.”
ชายคนนั้นคว้าไหล่ฮิโระด้วยมือซ้าย เขาแทงหอกในมือขวาลงพื้นแล้วดึงเคียวออกมากดที่คอของฮิโระ
“กลัวจนไม่กล้าพูดเลยเหรอไงไอ้หนู? ไม่ต้องห่วงมันไม่ทรมานหรอก เดี๋ยวจะตัดคอแกให้แบบสวยๆเลย.”
แขนขวาของชายคนนั้นกางออก เขากำลังจะฟันมันด้วยระยะที่กว้างขวาง ร่างกายของฮิโระสั่นกลัวเล็กน้อย รอยยิ้มของชายคนนั้นกว้างขึ้นเมื่อจินตนาการถึงเสียงร้อง———-
“…ขอโทษนะ.”
ฮิโระพึมพำ
“ถ้าจะร้องขอชีวิตมันสายเกินไปแล้วไอ้หนู”
ชายคนนั้นแตะไหล่ของฮิโระราวกับจะปลอบโยนและพยายามเขย่าตัวฮิโระ
――แต่ว่าแขนนั่นก็ไม่ได้ขยับไปไหน ชายคนนั้นมองไปที่แขนของเขา ในที่สุดก็สังเกตเห็นว่ามันหายไปตั้งแต่ไหล่ขวา
“หาาาา? อะไรวะ??????? อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกห์”
เขาเอามืออีกข้างห้ามเลือด อย่างไรก็ตามเลือดนั้นไหลไม่หยุด
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกห์!?”
ชายคนนั้นดิ้นรนอย่างทรมาน มีชายหนุ่มคนหนึ่งมองลงมาด้วยความเย็นชา
――นั่นคือฮิโระ
ในมือของเขามีแขนที่ฉีกขาดอยู่ในมือเลือดหยดลงบนพื้นราวกับถูกดูดลงไป
“…อาาาา”
ฮิโระจำได้แล้ว
“…นั่นสินะ”
เสียงที่น่าขนลุกของบางสิ่งบางอย่างที่แตกสลายภายในตัวของฮิโระ มันจะไม่มีวันกลับเป็นเหมือนเดิม มันแหลกสลายไปอย่างสมบูรณ์
“ชั้นน่ะ…”
ความรู้สึกที่ว่าทำไมเขาถึงอยู่ที่นี่ เขาเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว จากนั้นฮิโระก็หยิบหอกที่ปักอยู่กับพื้น
“ไอ้เวรเอ้ยยยยยยยยยย!”
เขาแทงอกศัตรูที่เข้ามาใกล้ ขโมยดาบจากเอวศัตรูที่กำลังจะล้มลง
“โอร่า――!”
เขาตัดหัวศัตรูคนต่อไปที่พุ่งเข้ามา เขารู้สึกได้ถึงพลังที่แผ่กระจายไปทั่วร่างกายของเขา
“เกิดบ้าอะไรขึ้นวะ ล้อมมันเร็วเข้า”
เขาสังหารศัตรูอีกคนและคว้าหอกที่อยู่ทางด้านหลังฟาดไปด้านหน้าหัวของศัตรูลอยละล่องไปในอากาศอีกสามหัว กำแพงมนุษย์ที่ล้อมรอบเขาได้หายไปอย่างสมบูรณ์
ตอนนี้เขารู้สึกว่าหัวของเขาโล่งไปหมด เขารู้สึกได้ว่าร่างกายถูกปลดล็อค เขารู้สึกได้ว่าประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขาจะกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง
ชายหนุ่มคนนี้ เขาตระหนักได้ว่าตัวตนเดิมของเขากลับมาแล้ว ราวกับจะยืนยันความทรงจำที่กลับมาเขากำมือสองสามครั้ง
“…..”
ไม่มีอารมณ์ซ่อนอยู่ภายใต้แววตา มีเพียงแต่ความว่างเปล่าของขุมนรก
มันทั้งมืด
ทั้งลึก
และหนาวเหน็บ
――และแล้วม่านแห่งการสังหารหมู่ได้เริ่มต้นขึ้น
*****
(นี่ข้าทำอะไรผิดไป ข้าพลาดอะไรตรงไหน?)
หัวของชายคนนั้นเต็มไปด้วยคำพูดเหล่านั้น พื้นที่ว่างเปล่าเมื่อสักครู่ แต่ตอนนี้ไม่มีอยู่อีกแล้ว นั่นคือทั้งหมดที่เขาทำได้เพื่อหลบหนีศัตรูที่ไล่ล่ามาจากด้านหลัง
ชายคนนี้ชื่อคาเรลิส และเขาอายุสามสิบสี่ปีในปีนี้ เป็นหนึ่งในพนักงานราชการของราชอาณาจักรลิชไทน์
เขาเคยเป็นทาสมาก่อน และได้รับการปลดปล่อยเพราะความฉลาดหลักแหลมของเขา ในที่สุดก็ได้กลับมาใช้ชีวิตปกติ แต่เขาก็ได้พบสิ่งที่น่ารังเกียจบางอย่าง
นอกจากนี้ เพื่อนๆที่อยู่กับเขาหายไปไหนหมด?
(มีทหารตั้งห้าร้อยนาย เกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่?)
ทหารทั้งห้าร้อยนายถูกศัตรูคนเดียวสังหารโดยไม่มีดาบสักเล่ม หากนี่ไม่ใช่ความฝันก็คงเป็นสัตว์ประหลาดที่ทำได้ไม่ก็ตัวตนที่เหนือกว่านั้นคือภูติ
ทันใดนั้นชายคนนั้นก็หยุดหลังจากคิดได้เช่นนั้น
(…บางทีเจ้านั่นอาจจะเป็นภูติ?)
เขาหลบหลังหินหอบหายใจ หลังจากนี้เขาจะไปรายงานหัวหน้าของเขา จับตาดูสิ่งรอบข้างอย่างระมัดระวัง คาเรลิส ตัดสินใจจะปล่อยให้สมองโล่ง
(นั่นสินะ ถ้าไม่ใช่ภูติ ก็ไม่มีทางที่แด็กเนอร์จะตายผิดสภาพเช่นนี้.)
มันทำให้เขาสั่นสะท้านเมื่อเห็นในตอนนั้น ก่อนที่พวกเขาจะเดินต่อไป ชายคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น และแขนของแด็กเนอร์ก็ถูกฉีกขาดขณะที่พยายามจะฆ่าเขา จากนั้นก็เกิดม่านการสังหารหมู่ ทุกคนที่เผชิญหน้ากับเขาถูกสังหาร และคนที่หนีก็ถูกตัดคอ
ชายหนุ่มคนนั้นแสดงสีหน้าไร้อารมณ์เพราะเขาฆ่าคนเหมือนผักปลา ความทรงจำที่เห็นใบหน้าของชายหนุ่มคนนั้น ร่างกายของเขาก็สั่นไปด้วยความกลัว
(มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่ มันควรจะเป็นเรื่องง่ายๆ ข้าก็แค่ต้องบุกโจมตีจากด้านหลังองค์หญิงลำดับที่หก!)
แม้อากาศจะร้อน แต่ร่างกายของเขาสั่นและฟันขบกันแน่น ไม่กล้าส่งเสียง ชายหนุ่มคนนั้นจะสังเกตเห็นเขา คาเรลิสกัดปากแน่น
มีเสียงแตกของหินและเสียงหินแตกกระจาย เมื่อคาเรลิสหลับตา ลมร้อนๆก็พัดผ่านแก้มของเขา ความกลัวนั่นทำให้เขาแทบเป็นบ้า
( ข้ายังไม่อยากตาย. ข้ายังไม่อยากตาย. ข้ายังไม่อยากตาย. ข้ายังไม่อยากตาย. ข้ายังไม่อยากตาย. ข้ายังไม่อยากตาย.)
แต่ความหวังก็ได้จางหายไป
“…ชั้นจะเสนอทางเลือกให้สองทาง จะให้ชั้นพรากชีวิตของแก หรือแกจะพรากชีวิตของชั้น.”
“ฮี้ ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย ข้าไม่รู้เลยว่าข้าทำอะไรลงไป แต่มันเป็นความผิดของข้าเอง ดังนั้นยกโทษให้ด้วย!”
ชายหนุ่มคนนั้นจ้องมองคาเรลิสซึ่งก้มศีรษะลงด้วยดวงตาเมินเฉย
“ได้โปรดล่ะ ทำไมข้าต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้? ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ! ข้าเสียเพื่อนไปหมดแล้ว อยากจะข้าทำอะไร——อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก!?”
คาเรลิสถูกจับคอเสื้อยกขึ้นมา หัวใจของคาเรลิสแตกสลาย ณ จุดนี้ เพราะเขาไม่รู้ว่าทำไมชายหนุ่มคนนั้นถึงได้มีแรงมากขนาดนี้
“ได้โปรดล่ะ ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลย อย่าฆ่าข้าเลย ข้ายังไม่อยากตาย!”
“ตอนนี้แกอาจจะยังไม่ได้ทำอะไร แต่หากชั้นปล่อยแกไปแกจะไปทำร้ายคนที่ชั้นแคร์ดังนั้นมันคงจะดีกว่าที่แกจะตายๆไปซะ.”
“อะไรล่ะนั่น เพราะแบบนั้นแกก็เลยสังหารหมู่พวกนั้นรึไง คิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้างั้นเหรอ?”
“ใช่ ชั้นคนนี้นี่แหละพระเจ้า แล้วก็เป็นบรรพบุรุษมึงด้วย.”
“อ๊อกแอ๊ก?!”
ดาบระยิบระยับฟาดผ่านหน้าอกของเขาและเลือดก็สะบัดกระจายไปทั่ว เมื่อจิตสำนึกของ คาเรลิสจางหายไป เขาก็นึกถึงวันเก่าๆ เป็นเรื่องราวที่ถูกเล่าขานสืบมาเป็นนิทานพื้นบ้าน
เมื่อพวกเขาเข้านอนดึก――.
――ความสิ้นหวังอันไร้ที่สิ้นสุดจะมาเอาตัวคุณไป
T/N: มีแอบใส่บทพูดเอามันส์นิดหน่อยเพื่อให้ถึงอารมณ์