อาหารมื้อค่ำยอดเยี่ยมมาก ทั้งหรูหราและหลากชนิดกว่าปกติราวกับว่าลูซิโอได้กำชับหัวหน้าห้องเครื่องไว้ แพทริเซียย่อมรู้เรื่องนั้นดีจึงอารมณ์ดีตลอดมื้ออาหาร
ทว่า จนถึงตอนกินทิรามิสุเป็นของหวานตบท้ายนางก็ยังไม่เห็นทีท่าว่าลูซิโอจะเตรียมพิเศษๆ อะไรไว้ให้ กระทั่งทิรามิสุพร่องไปจนหมด สุดท้ายแพทริเซียก็รู้สึกกระดากอายขึ้นมา นางอายที่ดูเหมือนตนจะตื่นเต้นไปเองคนเดียว
‘แค่ได้กินอาหารด้วยกันสองต่อสองเช่นนี้ก็น่าดีใจและมีความสุขมากพอแล้วแท้ๆ’
ดูเหมือนข้าจะคาดหวังมากเกินไป
แพทริเซียทิ้งความคาดหวังไร้สาระไปและคิดว่าตนควรจะจดจ่ออยู่กับช่วงเวลานี้พลางมองลูซิโอด้วยแววตาอ่อนโยน เมื่อลูซิโอรู้สึกถึงสายตานั้นเขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“ไยจึงมองเช่นนั้นเล่า ริซซี่”
“มองเฉยๆ เพคะ” แพทริเซียยิ้มน้อยๆ “หม่อมฉันกำลังสงสัยว่าเหตุพระองค์ถึงได้ดูหนุ่มนัก พระพักตร์ยังเหมือนตอนที่แต่งงานกันไม่เปลี่ยนเลยเพคะ”
“โห ผ่านมายี่สิบปีแล้ว เปลือกถั่วที่บังตา[1]เจ้าไว้ยังไม่หลุดออกไปอีกหรือนี่”
“คงไม่ได้อยากให้มันหลุดออกไปหรอกใช่ไหมเพคะ”
“ไม่มีทาง ที่ข้าอยากให้หลุดเป็นอย่างอื่นมากกว่า”
“ฝ่าบาท!”
แพทริเซียขึ้นเสียงเบาๆ ด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ ลูซิโอเห็นปฏิกิริยานั้นก็หัวเราะเบาๆ ออกมาอีกครั้ง แม้เวลาจะล่วงเลยมายี่สิบปีแล้วแต่พวกเขาสองสามีภรรยาก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลย ภรรยาของเขายังคงไร้เดียงสาเหมือนสาวรุ่น และสามีของนางก็ยังคงเฝ้ามองแต่นางเพียงผู้เดียวราวกับดอกทานตะวันเฝ้ามองดวงอาทิตย์
“ว่าอย่างไร ริซซี่? คืนนี้จะนอนที่นี่หรือไม่”
“ถ้าหม่อมฉันปฏิเสธจะเป็นอย่างไรหรือเพคะ”
“สามีของเจ้าคงจะปวดใจมาก”
“ตายจริง เช่นนั้นหม่อมฉันก็ปฏิเสธไม่ได้น่ะสิเพคะ”
แพทริเซียหัวเราะคิกคัก ในขณะที่ลูซิโอยิ้มน้อยๆ และมองไปที่นาง ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง นางยังคงมองลูซิโอพร้อมคลี่ยิ้มจางๆ ขณะที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาหานาง
‘น่าแปลกจัง’
ทุกย่างก้าวที่ร่นระยะทางเข้ามานั้นทำให้หัวใจของแพทริเซียเต้นตึกตัก พวกเขาร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมากว่ายี่สิบปีแล้ว แต่บางครั้งนางก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนยังรู้สึกใจเต้นกับอีกฝ่ายอยู่อีก ทั้งที่เขาเป็นผู้ชายที่นางได้เจอจนแทบจะเบื่อหน้าแล้วแท้ๆ
“ฝ่าบาท”
แพทริเซียเอ่ยเรียกลูซิโอเสียงแผ่วหลังจากที่เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าแล้วคุกเข่าลงข้างหนึ่ง เขาเงยหน้าขึ้นมามองนางด้วยแววตาอ่อนโยนราวกับมีเรื่องจะพูด
“ตื่นเต้นเพคะ” แพทริเซียว่า
“อะไรหรือ”
“เห็นฝ่าบาทแล้วก็ตื่นเต้นขึ้นมา” แพทริเซียเองก็ไม่รู้ว่าทำไม “พวกเราอยู่ด้วยกันมานานจนน่าจะเบื่อกันได้แล้วแท้ๆ แต่เหตุใดหม่อมฉันจึงเป็นเช่นนี้เล่าเพคะ หม่อมฉันไม่เข้าใจ”
“แล้วเจ้าไม่ชอบหรือ”
“ไม่ใช่แน่นอนเพคะ”
“เช่นนั้นก็ช่างเถิด” เขาลูบแก้มนางอย่างอ่อนโยน “สิ่งที่สำคัญคือความรู้สึกของเจ้าหาใช่เหตุผล การที่เจ้ามองข้าแล้วรู้สึกตื่นเต้นนั่นแหละที่สำคัญ มิใช่การหาเหตุผลว่าทำไมเจ้าถึงตื่นเต้น”
“ฝ่าบาทก็ทรงเป็นเหมือนกันหรือเพคะ”
“แน่นอนสิ”
“แม้พระองค์จะทรงรู้จักหม่อมฉันดีอยู่แล้วน่ะหรือเพคะ”
“ข้าคิดว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่ข้าไม่รู้นะ”
“ทรงเห็นหน้าหม่อมฉันจนเบื่อแล้วมิใช่หรือเพคะ”
“ข้ามิใช่ผู้ชายโลเลที่จะเบื่อได้กระทั่งภรรยา” ลูซิโอยิ้มอย่างอ่อนโยนและช่วยปัดผมที่ปรกลงมาไปด้านหลังให้แพทริเซีย “อีกทั้งในสายตาข้า เจ้างดงามเกินกว่าที่จะเบื่อในเร็ววัน”
“ขอบพระทัยที่เห็นหม่อมฉันเป็นเช่นนั้นเพคะ”
“อะไรกัน ต่างคนต่างก็ใจเต้นแท้ๆ พูดเช่นนั้นได้ที่ไหน” ลูซิโอค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วจุมพิตที่เรือนผมของนางก่อนจะกระซิบ “ยังอีกนานกว่าข้าจะเบื่อ ไม่ต้องห่วง”
“เมื่อไรหรือเพคะ”
“หลังตายไปแล้วสักพันปี?”
“ตายจริง” แพทริเซียยิ้มอย่างชอบใจ “ชาติหน้าก็จะอยู่กับหม่อมฉันหรือเพคะ”
“ข้าไม่เชื่อเรื่องแบบนั้น” ลูซิโอยิ้มน้อยๆ “แต่หากมันมีอยู่จริง ถึงตอนนั้นข้าก็อยากจะลองเป็นพ่อของเจ้าดู ไม่ใช่สามี”
“พ่อหรือคะ”
“ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกอย่างไรเล่า ถึงตอนนั้นข้าอยากรักเจ้าให้มากกว่านี้”
“เช่นนั้นหม่อมฉันก็อยากเกิดเป็นพระราชมารดาของพระองค์เพคะ”
“เราเป็นพร้อมกันไม่ได้สิ ข้าพูดก่อน ดังนั้นต้องเริ่มที่ข้าเป็นพ่อของเจ้าในชาติต่อไป”
“ได้อย่างไรเล่าเพคะ! ไม่ยุติธรรมเลย”
แพทริเซียหัวเราะคิกคักพลางตีลูซิโอเบาๆ เขายอมรับฝ่ามือนั้นด้วยความเต็มใจโดยไม่ละทิ้งรอยยิ้มบนใบหน้า
เรื่องนี้อาจฟังดูเสียสติ แต่เขาชอบแม้กระทั่งตอนที่นางตีเขาเช่นนี้ เพราะนั่นเป็นหลักฐานที่สมบูรณ์ที่สุดว่านางยังคงแข็งแรงดีอยู่
“เอาล่ะ ริซซี่ อยู่คนเดียวสักพักนะ”
“จะเสด็จไปไหนหรือเพคะ”
“ข้ามีงานด่วนต้องไปจัดการ ลืมเสียสนิทเลย”
“อา…”
แพทริเซียเกือบจะแสดงท่าทีน้อยใจออกไป แต่สุดท้ายนางก็รีบพยักหน้าแล้วยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ย
“ไม่ต้องรีบนะเพคะ หม่อมฉันจะทานทิรามิสุรอ”
“กินให้เต็มที่ หมู่นี้เจ้าดูผอมไปมาก”
“ปะ เปล่าเสียหน่อยเพคะ”
แพทริเซียเขินอายจนหน้าแดง ลูซิโอเห็นดังนั้นก็เผลอยิ้มออกมา บางทีอีกยี่สิบปี ไม่สิ ต่อให้ผ่านไปอีกสี่สิบปีนางก็จะยังคงน่ารักเช่นนี้อยู่กระมัง ลูซิโอคิดเช่นนั้นแล้วค่อยๆ ปลีกตัวออกไป แพทริเซียที่ถูกทิ้งไว้คนเดียวไหว้วานให้นางกำนัลนำทิรามิสุมาให้อีกที่ ระหว่างรอนางก็มองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าเหม่อลอย และมองบนโต๊ะอาหารอย่างไม่ตั้งใจ สายตาของนางไปหยุดอยู่ตรงที่นั่งของลูซิโอ ขณะที่มองดูอย่างไม่คิดอะไร ทันใดนั้นนางก็จับสังเกตได้เรื่องหนึ่งจึงเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
‘ปกติเขาทานน้อยเช่นนี้หรือ’
หากเทียบกับปริมาณที่เขากินในยามปกติแล้วตอนนี้มีอาหารเหลืออยู่บนจานมากเกินไป ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่านะ สีหน้าของแพทริเซียพลันเป็นกังวัล เมื่อครู่สีหน้าของเขาก็ดูปกติดี หรือว่าท้องไส้จะปั่นป่วน…
“ริซซี่”
ตอนนั้นเองนางก็ได้ยินเสียงของลูซิโอ แพทริเซียรีบหันหลังไปมองและพบว่าเขายืนยิ้มอยู่ริมประตู นางจึงเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยสีหน้าทึ่มทื่อ
“โอ๊ะ…มาแล้วหรือเพคะ”
“งานเสร็จเร็วน่ะ” เขายิ้มอย่างอ่อนโยน “ทำอะไรอยู่ตรงนั้นหรือ”
“โอ๊ะ…” แพทริเซียอุทานซ้ำอีกครั้งก่อนจะเอ่ยถาม “ฝ่าบาทประชวรตรงไหนหรือเปล่าเพคะ”
“หืม?”
“หม่อมฉันกำลังคิดว่าพระองค์ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
“เหตุใดจู่ๆ จึงคิดเช่นนั้นเล่า”
“เห็นฝ่าบาทเหลืออาหารไว้มากกว่าปกติ หม่อมฉันจึงเป็นห่วงน่ะสิเพคะ”
“อ้อ” เขาทำสีหน้าแปลกๆ แต่ก็พูดให้นางสบายใจ “ไม่เป็นไร ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก ข้าแค่…”
“แค่…?”
“มีเรื่องให้ตื่นเต้นนิดหน่อย”
“ทรงมีเรื่องอันใดที่ทำให้ตื่นเต้นด้วยหรือเพคะ”
“แน่สิ ข้าก็คนนะ”
ลูซิโอยิ้มน้อยๆ แล้วเดินมาหาแพทริเซียก่อนจะคว้ามือของนางไปจับไว้แน่น การกระทำปุบปับของเขาทำให้นางมึนงง ระหว่างนั้นเขาก็กระซิบข้างหู
“ไปเดินเล่นกันหน่อยไหม”
***
พวกเขาไม่ได้ออกมาเดินเล่นด้วยกันตอนกลางคืนสองต่อสองมานานแล้ว ตอนยังอยู่ในช่วงวัยยี่สิบ แพทริเซียรู้สึกเหมือนได้เดินเล่นบ่อยๆ แต่ไม่รู้ทำไมยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งยุ่งตัวเป็นเกลียว ทั้งที่ความสามารถในการจัดการงานของนางน่าจะเพิ่มขึ้นแท้ๆ แพทริเซียคิดว่ามันช่างเป็นเรื่องที่น่าพิศวง ขณะนั้นเองนางก็รู้สึกได้ถึงไออุ่นที่ส่งผ่านมาทางมือที่กอบกุมกันไว้ ราวกับความอบอุ่นนั้นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง
“ไม่หนาวไปหน่อยหรือ”
“หนาวหรือเพคะ”
“ไม่ใช่ ข้าหมายถึงเจ้า”
“ชุดเดรสตัวนี้ผ้าหน้าเพคะ หม่อมฉันไม่เป็นไร”
ทว่า ลูซิโอก็ยังคงถอดเสื้อคลุมมาคลุมให้แพทริเซียอยู่ดีโดยไม่สนใจว่านางจะว่าอย่างไร
“ขืนทำแบบนี้ฝ่าบาทจะประชวรไข้หวัดเอาได้นะเพคะ” นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าแข็งแรงดี ไม่เป็นไร”
“ข้ออ้าง หม่อมฉันไม่เป็นไรจริงๆ เพคะ”
“อีกประเดี๋ยวก็จะถึงงานวันเกิดของเจ้าแล้ว คงไม่มีอะไรน่าเศร้าไปกว่าการป่วยในวันเกิดอีกแล้วล่ะ”
ลูซิโอจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผากของแพทริเซียพลางกระซิบ “หรือถ้าเป็นห่วงถึงขนาดนั้นก็จับมือข้าไปเรื่อยๆ สิ”
“อุ่นหรือเพคะ”
“อืม อุ่นมาก”
“ใจหม่อมฉันอยากจะจับทั้งสองมือเลยเพคะ”
“แบบนั้นไม่ได้สิ”
นางคิดว่าเขาต้องเห็นด้วยแน่นอนอยู่แล้วเสียอีก แต่กลับผิดคาด แพทริเซียเบิกตากว้างพลางถาม
“ทำไมล่ะเพคะ”
“พวกเราไม่ได้อยู่กันแค่สองคนเสียหน่อย”
พูดจบ ลูซิโอก็ปล่อยมือแพทริเซีย เมื่อความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาทางฝ่ามือหายไปอย่างกะทันหัน ความหนาวเย็นจึงเข้ามาแทนที่ นางมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย
“เหตุใด…”
ตอนนั้นเอง ใครคนหนึ่งก็โผล่พรวดออกมาจากทางด้านหลัง ไม่สิ พูดให้ถูกคือกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งต่างหาก เมื่อหันไปมองแพทริเซียก็หลุดพูดเสียงดัง
“พวกเจ้า…!”
พวกเขาคือดีแลนและสามแฝด คงเพราะซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ เสื้อผ้าของพวกเขาจึงมีใบไม้ติดอยู่เต็มไปหมด เรเซียยิ้มกว้างและตะโกนเสียงดัง
“หนึ่ง สอง สาม สี่!”
“Happy birthday to you, Happy birthday to you, Happy birthday, Happy birthday, Happy birthday to Mommy~!”
“เย้!”
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากทำเอาแพทริเซียตั้งสติไม่ทัน นี่มัน…งานเลี้ยงวันเกิดแบบไม่ทันตั้งตัว…อะไรทำนองนั้นหรือ? นางพึมพำออกมาด้วยสีหน้างุนงง
“นี่มัน…”
“ท่านแม่เป่าเทียนสิคะ เร็วเข้า!”
“เดี๋ยวจะเที่ยงคืนแล้วนะคะ!”
“หา? เอ่อ จ้ะ…”
แพทริเซียเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าดีแลนอย่างงงๆ ก่อนจะเป่าลมอย่างแรงใส่เทียนที่ถูกปักไว้เต็มหน้าเค้ก เทียนทั้งหมดดับสนิทภายในครั้งเดียว จากนั้นพวกเด็กๆ ก็โห่ร้องออกมาอีกครั้งด้วยความยินดี
“เย้!”
“สุขสันต์วันเกิดพ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่”
“ท่านแม่”
น้องเล็กเรย์เนก้าวออกมาข้างหน้าก่อนจะยื่นอะไรบางอย่างให้แพทริเซีย แพทริเซียรับสิ่งนั้นมาด้วยความสงสัย
“เข็มกลัดรูปดอกกุหลาบที่ทำจากกระดาษค่ะ” เรย์เนพูดอย่างเอียงอาย
เรย์เนรู้ว่าแพทริเซียชอบดอกกุหลาบ แต่จะใช้ดอกไม้สด ไม่นานก็คงร่วงโรย หรือจะหาอัญมณีมาเจียระไนเป็นรูปดอกกุหลาบก็เกินกำลัง สุดท้ายเรย์เนจึงเลือกใช้กระดาษสีแดงสดสวย แพทริเซียยิ้มกว้างพลางลูบหัวเรย์เน
“ขอบใจมากจ้ะ เรย์เน กลัดให้แม่หน่อยได้ไหม”
“ได้ค่ะ”
เรย์เนยิ้มเขินๆ แล้วใช้มือเล็กๆ ช่วยกลัดเข็มกลัดที่นางทำเองไว้บริเวณหน้าอกของแพทริเซีย คนต่อไปคือลูกคนที่สาม เรเซีย
“ท่านแม่ ของข้าเป็นผ้าเช็ดหน้าค่ะ ข้าปักลายเอง”
ตอนนี้แพทริเซียตกใจมากจริงๆ เรเซีย ลูกสาวที่โลดโผนโจนทะยานเหมือนเด็กผู้ชายที่สุดปักลายผ้าให้หรือนี่! นางเป็นเด็กที่ชอบฝึกดาบมากกว่าเย็บปักถักร้อย แต่นางกลับยอมปักผ้าเพื่อตน แพทริเซียรู้สึกตื้นตันใจขึ้นมา แม้ว่าผลลัพธ์จะค่อนข้างเละเทะ แต่ตอนนี้แพทริเซียกลับรู้สึกว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนี้งดงามและสำคัญยิ่งกว่าผ้าเช็ดหน้าผืนไหนๆ แพทริเซียจุมพิตที่แก้มของเรเซียและกระซิบคำขอบคุณ
คราวนี้ถึงคิวของเรจิเน ลูกสาวคนโต สิ่งที่นางยื่นมาให้เป็นสมุดเล่มบางแต่ตอนนี้มันมืดมากจนมองไม่เห็นเนื้อหาข้างใน แพทริเซียจึงเอ่ยถาม
“นี่สมุดอะไรหรือ เรจิเน”
“สมุดรวมคำกลอนที่ข้าเขียนให้ท่านแม่ค่ะ”
“ในนั้นมีแต่คำสรรเสริญเยินยอท่านแม่ค่ะ”
“ให้ตายเถอะ เรเซีย นี่เจ้าแอบดูสมุดของข้ารึ”
“ของท่านพี่ได้อย่างไร ต้องเป็นของท่านแม่สิ!”
“ก่อนจะให้ท่านแม่มันก็ต้องเป็นของข้าสิ! เจ้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร”
“เอาล่ะ เด็กๆ อย่าทะเลาะกันจ้ะ เดี๋ยวแม่จะเอาไปอ่านที่ห้องนะ”
“ท่านแม่ต้องอ่านคนเดียวนะคะ เข้าใจใช่ไหมคะ อย่าให้ท่านพ่ออ่านด้วยนะคะ”
“เข้าใจแล้วจ้ะ เรจิเน”
แต่เป็นไปได้สูงว่าลูซิโอจะได้อ่านด้วย แพทริเซียคลี่ยิ้มพลางหันไปมองที่คนสุดท้าย ดีแลน ลูกชายคนโต เขายิ้มละมุนพร้อมกับยื่นบางสิ่งให้แพทริเซีย ลองจับดูแล้วมีสาย น่าจะเป็นสร้อย
“ลูกทำเองพ่ะย่ะค่ะ” ดีแลนพูดอย่างเก้อเขิน
“นี่เหมือนจะเป็นไม้ เจ้าแกะสลักเองหรือ”
“ไม่ยากหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านพี่โดนมีดบาดไปหลายแผลเลยค่ะ!”
“เงียบน่า เรจิเน”
ดีแลนกระแอมไอและรีบปิดปากเรจิเน แพทริเซียได้ยินดังนั้นใจหนึ่งก็ดีใจ แต่อีกใจก็ไม่สบายใจ ถึงกระนั้นนางก็รับรู้ได้ถึงความตั้งใจของดีแลนจึงเผยยิ้มออกมาในที่สุด
และสุดท้าย…
“ริซซี่”
ลูซิโอมายืนอยู่ตรงหน้านางพร้อมรอยยิ้มที่อ่อนโยนเป็นที่สุด หัวใจของแพทริเซียเริ่มเต้นแรง
“รู้ใช่ไหมคะ ว่าของขวัญที่มีค่าที่สุดสำหรับข้าคือฝ่าบาทและลูกๆ” นางกล่าว
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่ถ้าข้าจะไม่ให้อะไรเลยก็เสียหน้าแย่น่ะสิ”
เขารับกล่องใบหนึ่งจากดีแลนแล้วยื่นให้แพทริเซีย เมื่อเปิดดูก็พบเทียนหอมเล่มหนึ่ง
“นี่อะไรหรือคะ” นางถาม
“เทียนหอมทำมือกลิ่นกุหลาบที่เจ้าชอบ”
“จุดตอนนอนคงจะดีไม่น้อย”
แพทริเซียยิ้มหวานและตั้งใจจะกล่าวขอบคุณ แต่ลูซิโอกลับเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
“แด่รักนิรันดร์”
“คะ?”
“ว่ากันว่าการให้เทียนหอมเป็นของขวัญคือการอธิษฐานให้ความรักคงอยู่ชั่วนิรันดร์”
เทียนหอมนั้น เมื่อถูกจุดแล้วก็จะละลายหายไป แต่เขาปรารถนาให้รักนี้คงอยู่ชั่วนิรันดร์ ต่อให้เทียนหอมทุกเล่มบนโลกนี้ละลายไปจนหมด เขาก็หวังว่าความรักของเขาจะยังคงอยู่ ลูซิโอเก็บรักษาความรู้สึกนั้นไว้และสารภาพออกไป
“ข้าจะรักท่านชั่วนิรันดร์ จักรพรรดินีของข้า”
“…”
“ท่านจะรับคำสาบานของข้าไว้ได้หรือไม่”
“ได้…สิคะ”
ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของแพทริเซีย ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนนางจึงคิดว่าคงไม่มีใครเห็น แต่ลูซิโอก็เห็นเข้าจนได้ และช่วยเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน สัมผัสของเขาทำให้นางรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลออกมามากกว่าเดิม
ความสุขในตอนนี้เป็นความฝันหรือความจริงกันนะ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ จุ๊บจุ๊บกันเลยค่ะ จุ๊บจุ๊บ!”
ครั้นได้ยินเรเซียตะโกนเสียงดัง เด็กๆ ที่เหลือก็เริ่มตะโกนขึ้นบ้างคล้ายกับเป็นพลุสัญญาณ
“จุ๊บเลยค่ะ!”
“จุ๊บจุ๊บ!”
แพทริเซียมีสีหน้าลำบากใจกับคำขอของลูกๆ แต่ลูซิโอกลับยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้านพลางกระซิบบอก
“คำขอที่เร่าร้อนเช่นนี้ หากไม่รับไว้ก็ดูจะเป็นการเสียมารยาทนะ”
“ฮ่ะฮ่าฮ่า”
อา ไม่รู้ด้วยแล้ว
สุดท้ายแพทริเซียก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาและประคองใบหน้าของลูซิโอไว้ ความรักที่มิอาจเก็บซ่อนฉายชัดอยู่ในแววตาที่นางมองเขา นางจูบเขาทันที ในขณะเดียวกันบนใบหน้าของนางก็ประดับด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขที่ปิดไม่มิด
“ว้าว!”
เมื่อได้ยินเสียงโห่ร้องของลูกๆ ที่ยังไร้เดียงสา แพทริเซียก็นึกถึงเรื่องเทียนหอม
ข้าเองก็หวังให้มันเป็นเช่นนั้น และเพื่อทำให้ความปรารถนานั้นเป็นจริง ข้าจะรักเขาให้ดีที่สุด ทั้งในตอนนี้และในอนาคต
“ข้ารักท่าน ฝ่าบาท”
“ดังเช่นที่ข้าพูดอยู่เสมอ ข้ารักเจ้ามากกว่า”
แด่รักนิรันดร์
[ภาคแยก 8] Happy Birthday, Mommy. (จบบริบูรณ์)
“ใกล้จะถึงวันเกิดเจ้าแล้วใช่หรือไม่”
ได้ยินดังนั้นแพทริเซียก็ยิ้มน้อยๆ พลางถาม
“เหตุใดจู่ๆ ตรัสถึงเรื่องนั้นหรือเพคะ”
“ไม่มีอะไรที่อยากได้หรือ”
“เห็นแบบนี้หม่อมฉันก็เป็นจักรพรรดินีนะเพคะ พวกของนอกกายหม่อมฉันมีหมดแล้วเพคะ”
ครู่ต่อมาแพทริเซียก็พูดต่อพร้อมรอยยิ้มเอียงอาย “เพราะฉะนั้น สิ่งที่หม่อมฉันคาดหวังจากฝ่าบาทคงมีเพียงสิ่งที่เป็นนามธรรมเท่านั้น เช่นความรักของพระองค์ การให้เกียรติกันในฐานะคู่ชีวิต อะไรทำนองนี้เพคะ”
“แย่จริง”
ลูซิโอถามด้วยน้ำเสียงตกใจเล็กน้อย “เราพยายามให้เกียรติเจ้าและรักเพียงแต่เจ้ามาทั้งชีวิตแล้ว… หรือเจ้ารู้สึกว่ายังไม่พอ?”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเพคะ”
แพทริเซียรู้ถึงความจริงใจของสามีดีกว่าใคร เพราะตั้งแต่ที่ทั้งคู่กลายเป็น ‘สามีภรรยากันจริงๆ’ เขาก็ไม่เคยทำให้นางเสียใจเลยสักครั้ง ใช่ว่าแพทริเซียจะไม่รู้ว่าการรักษาความประพฤติเช่นนั้นไว้ชั่วชีวิตมิใช่เรื่องง่าย แพทริเซียจึงรู้สึกขอบคุณเขาเสมอ และตัวนางเองก็พยายามจะเป็นภรรยาที่ซื่อสัตย์และภักดีของเขาเช่นกัน
“ฝ่าบาททรงเป็นสามีที่ดีเพคะ พระองค์ทรงรักและห่วงใยหม่อมฉันไม่แปรเปลี่ยนเลยมิใช่หรือ”
“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว แต่เราไม่ได้ทำเพราะเราเป็นคนดีหรอกนะ”
“ในประวัติศาสตร์มีจักรพรรดิที่มิอาจทำเช่นนั้นได้อยู่ถมไปนี่เพคะ”
พูดจบ แพทริเซียก็กุมมือลูซิโอเบาๆ ไม่ทันไรทั้งคู่ก็แต่งงานกันมากว่ายี่สิบปีแล้ว แต่ก็ยังคงสร้างบรรยากาศกระชุ่มกระชวยเหมือนเพิ่งรักกันใหม่ๆ เช่นนี้อยู่เนืองๆ
“คงไม่มีจักรพรรดิพระองค์ใดในประวัติศาสตร์ที่ทรงปฏิบัติต่อจักรพรรดินีได้ดีเท่าฝ่าบาทอีกแล้วเพคะ หม่อมฉันรับรองได้” แพทริเซียพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“ได้ยินเจ้าพูดแบบนี้ช่างเป็นเกียรติจริงๆ หวังว่าดีแลนจะทำลายสถิตินั้นได้นะ”
“ฮ่าๆ”
สีหน้าของแพทริเซียพลันสดใสขึ้นเมื่อจู่ๆ เขาก็พูดถึงลูกๆ
“ไม่รู้ว่าหม่อมฉันคลอดลูกชายอย่างดีแลนออกมาได้อย่างไรนะเพคะ นานวันยิ่งรูปงาม เฉลียวฉลาด ทั้งยังใช้ดาบเก่ง… เหมือนฝ่าบาททุกกระเบียดนิ้วเลยเพคะ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเบิกบาน
“พูดอะไรน่ะ ริซซี่ ดีลเหมือนเจ้าทุกกระเบียดนิ้วต่างหาก ทั้งหน้าตา ความฉลาด พละกำลัง ทั้งหมดเลย”
พูดจบ ลูซิโอก็ถามแพทริเซียด้วยสีหน้าหึงหวง “เจ้าคงไม่ได้ชอบดีแลนมากกว่าข้าใช่ไหม”
“ฝ่าบาทนี่ล่ะก็ คราวนี้หึงแม้กระทั่งดีลหรือเพคะ”
กู่ไม่กลับจริงๆ
เห็นแพทริเซียหัวเราะ ลูซิโอก็ตอบอย่างจริงจัง “ตอนเด็กๆ ที่เขาบอกว่าโตมาจะแต่งงานกับเจ้า ข้าถึงกับใจเสียเลยนะ ต่อให้เป็นลูกชายที่ข้ารักก็แย่งจักรพรรดินีของข้าไปไม่ได้หรอก”
“เดิมทีเด็กวัยนั้นก็พูดแบบนั้นกันทั้งนั้นเพคะ พระองค์ก็ทรงทราบ”
“พวกแฝดไม่ได้พูดนี่”
ลูซิโอพูดต่อด้วยน้ำเสียงห่อเหี่ยว “ทั้งสามคนไม่เห็นพูดเลยว่าโตมาจะแต่งงานกับพ่อ”
พูดให้ถูกก็คือลูกสาวทั้งสามคนล้วนบอกว่าโตขึ้นจะแต่งงานกับท่านแม่ แพทริเซียไม่สามารถลืมสีหน้าของลูซิโอในตอนนั้นได้เลย ลูกชายก็แล้วไปเถอะ ไม่นึกเลยว่ากระทั่งลูกสาวก็อยากแต่งงานกับแม่ด้วย! ชีวิตของลูซิโอในตอนนั้นคล้ายตกอยู่ในสภาวะวิกฤต
“อย่างไรผู้ชนะก็คือข้า เพราะเจ้าเป็นภรรยาตัวจริงหนึ่งคนเดียวของข้า”
“ฮ่ะฮ่าฮ่า”
แพทริเซียมองลูซิโอที่พูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจพลางหัวเราะ บางครั้งเขาก็แสดงมุมน่ารักๆ เช่นนี้ออกมาและทำให้แพทริเซียอารมณ์ดีได้เสมอ นางมองลูซิโอด้วยสายตารักใคร่และกล่าว
“หม่อมฉันก็มีแค่ฝ่าบาทเพคะ”
“หมู่นี้ดูเหมือนเจ้าจะชอบดีแลนหรือไม่ก็สามแฝดมากกว่าข้าเสียอีก”
“ฝ่าบาทนี่ล่ะก็! จะทำตัวเป็นเด็กเช่นนี้อยู่เรื่อยหรือเพคะ พวกเขายังเด็ก หม่อมฉันย่อมต้องมอบความรักให้พวกเขาอยู่แล้ว”
“ข้ารู้สึกว่าความรักที่เจ้ามอบให้ข้ามันลดน้อยถอยลงทุกที ข้าทุกข์ใจยิ่ง”
“โธ่ ฝ่าบาทของหม่อมฉัน”
แพทริเซียหยุดเดินและหันไปสบตากับลูซิโอ นางชอบดวงตาของเขา ดวงตาที่ดูราวกับห้วงลึกที่พร้อมจะดูดกลืนนางเข้าไปในนั้น นางกุมแก้มของลูซิโอด้วยมือขวาแล้วกระซิบ
“หมู่นี้หม่อมฉันละเลยฝ่าบาทมากเกินไปหรือเพคะ ปกติไม่เห็นออดอ้อนเป็นเด็กถึงเพียงนี้”
“เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้หญิงที่รัก ผู้ชายก็กลายเป็นเด็กทั้งนั้นแหละ”
“แต่บนเตียงไม่ได้เป็นนี่เพคะ”
“เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้ว”
ลูซิโอก้มลงประทับจูบที่หน้าผากของแพทริเซียเบาๆ แพทริเซียค่อยๆ หลับตาลงเพื่อซึมซับช่วงเวลานั้นพลางคลี่ยิ้ม นางรู้สึกมีความสุขอย่างมากกับความหวานเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
“จริงสิ พรุ่งนี้เย็นเจ้าว่างหรือไม่”
“ตอนเย็นหรือเพคะ”
“อืม ข้ากำลังคิดว่านานแล้วที่ไม่ได้ทานมื้อค่ำกับเจ้า วันมะรืนเป็นวันเกิดเจ้าก็จริงแต่วันนั้นมีงานเลี้ยง เราคงหาเวลาอยู่ด้วยกันได้ยาก น่าจะถือโอกาสนี้เสียเลย”
อย่างไรวันนั้นก็มีงานเลี้ยง เช่นนั้นคงต้องเป็นอย่างที่เขาว่า แพทริเซียพยักหน้าอย่างยินดี
“ได้เพคะ หม่อมฉันคาดหวังได้ไหมเพคะ”
“ไม่รู้สิ”
ลูซิโอตอบด้วยรอยยิ้มแปลกๆ ก่อนจะจุมพิตที่ปลายจมูกของนาง
“บอกก่อนก็ไม่สนุกสิ”
“เตรียมอะไรไว้จริงๆ สินะเพคะ”
“ความลับ”
เขายกยิ้มมุมปากแล้วเลื่อนริมฝีปากลงมาด้านล่างอีกนิดก่อนจะประทับจูบลงบนริมฝีปากของนาง จูบที่ต่อเนื่องกันทำให้แพทริเซียอารมณ์ดีและคลี่ยิ้มออกมา
***
เย็นวันต่อมา เหล่านางกำนัลตำหนักจักรพรรดินีถกเถียงกันอย่างจริงจังเรื่อง ‘สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังมื้อค่ำ’
“น่าจะทรงมอบอัญมณีเลอค่าให้ระหว่างเสวยขนมหวานกระมัง”
“ยังมีอัญมณีใดที่พระจักรพรรดินีทรงยังมิได้ครอบครองอีกหรือ ข้าว่าน่าจะเป็นของที่พิเศษกว่านั้นนะ”
“มีของอะไรที่พิเศษกว่าอัญมณีด้วยหรือ? ฉลองพระองค์?”
“นั่นก็ทรงมีอยู่เยอะแล้ว”
“เช่นนั้นเป็นอะไรกันแน่”
“เหตุใดจึงเสียงดังเอะอะเช่นนี้เล่า”
ทันใดนั้นก็มีน้ำเสียงแข็งกระด้างดังแทรกขึ้นมา เหล่านางกำนัลไม่มีทางไม่รู้จักเสียงนี้ เมื่อได้ยินดังนั้นพวกนางก็รีบรักษากิริยาทันที ราฟาเอลาซึ่งตอนนี้มีศักดิ์เป็นเคาน์เตสลาสเซลส์เตือนให้พวกนางระวังกิริยาด้วยน้ำเสียงเข้มงวด
“ข้าบอกกี่ครั้งแล้วคะว่าฝ่าบาทไม่โปรดความอึกทึกวุ่นวาย แล้วนี่ยังมาพูดคุยเรื่องไร้สาระกันหน้าห้องของพระองค์อีก”
“ขออภัยค่ะ เคาน์เตส”
“ต่อไปพวกเราจะระวังค่ะ”
ได้ยินเหล่านางกำนัลรีบขออภัย ราฟาเอลาก็มองพวกนางด้วยสายตาคมปลาบอีกทีหนึ่งก่อนจะปรับสีหน้าเป็นปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วเคาะประตูห้องแพทริเซีย
“ฝ่าบาท ราฟาเอลาเพคะ” นางพูดอย่างอ่อนน้อม
“เข้ามาสิ”
เมื่อประตูเปิด ราฟาเอลาก็ก้าวเดินอย่างมั่นคงเข้าไปในห้อง ราฟาเอลารับตำแหน่งหัวหน้านางกำนัลต่อจากมีร์ยาซึ่งกลายไปเป็นแม่นมของดีแลน เมื่ออายุค่อยๆ เพิ่มขึ้น ความขี้เล่นไร้เดียงสาในวัยเยาว์ก็แทบจะหายไปหมดแล้ว
“ถวายบังคมฝ่าบาท จันทราแห่งจักรวรรดิ”
“เอล่า เจ้าเป็นเพื่อนสนิทของข้านะ บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตรองขนาดนี้”
แม้แพทริเซียจะพูดด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจ แต่ราฟาเอลาก็ยังขีดเส้นแบ่งอย่างชัดเจนว่านางทำเช่นนั้นไม่ได้
“ตอนนั้นหม่อมฉันเพิ่งเข้าวังยังไม่รู้ความจึงทำตัวเสียมารยาท มาจนถึงตอนนี้หม่อมฉันก็มีอายุพอสมควรแล้วเพคะ ตอนนี้หม่อมฉันจินตนาการไม่ออกด้วยซ้ำว่าจะทำตัวไม่สุภาพเช่นนั้นกับฝ่าบาทได้อย่างไร”
“ถึงกระนั้นบางทีข้าก็คิดถึงเอล่าในสมัยก่อนเหมือนกันนะ”
“หม่อมฉันเพียงแต่ให้ความเคารพฝ่าบาทมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นตอนนั้น หรือตอนนี้ หม่อมฉันก็ยังคงเป็นหม่อมฉันคนเดิมเพคะ” ราฟาเอลายิ้มและพูดต่อ “พวกนางกำนัลพูดถึงเรื่องที่พระองค์จะไปเสวยพระกระยาหารค่ำกับพระจักรพรรดิกันหนาหูทีเดียว ทุกคนต่างให้ความสนใจว่าพระองค์จะได้รับสิ่งใดเป็นของขวัญวันคล้ายวันพระราชสมภพ”
“ที่จริงข้าก็เดาไม่ออกเหมือนกัน เอล่า เจ้าก็รู้ว่าตอนนี้ข้าไม่ต้องการอะไรแล้ว อัญมณี เสื้อผ้า เงินทอง… ไม่ว่าข้าต้องการสิ่งใด ข้าก็ได้รับมาทั้งหมด”
“หม่อมฉันไม่คิดว่าองค์จักรพรรดิจะพระราชทานของขวัญที่เดาออกง่ายนะเพคะ”
ราฟาเอลายิ้มน้อยๆ พลางเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังแพทริเซีย จากนั้นก็เริ่มจัดแต่งผมให้ด้วยสัมผัสที่นุ่มนวล สัมผัสจากมือของราฟาเอลาทำให้แพทริเซียรู้สึกดีจนง่วงขึ้นมา
“พระจักรพรรดิทรงปฏิบัติกับพระองค์อย่างดีเกินคาดมาเสมอ คราวนี้ก็ลองคาดหวังดูสักหน่อยดีหรือไม่เพคะ”
“ตัวเขาเองก็เป็นของขวัญที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับข้าอยู่แล้วนะ”
“เฮ้อ จริงๆ เลย แต่งงานกันมาเป็นยี่สิบปีแล้ว เหตุใดยังหวานกันอยู่อีกนะ น่าอิจฉายิ่ง”
“ได้ยินว่าเคานต์ลาสเซลส์ก็หวานกับเจ้าจนน่าขนลุกเลยมิใช่หรือ หรือข้าได้ยินมาผิด?”
“อย่าได้ตรัสถึงเลยเพคะ ฝ่าบาท เขาอ่อนโยนก็จริงแต่บางครั้งหม่อมฉันก็รู้สึกเหมือนเลี้ยงลูกสองคน”
ราฟาเอลาเบะปากบ่นแต่ครู่ต่อมานางก็กลับคำ
“แต่ก็…ในสายตาของหม่อมฉันก็มองว่านั่นเป็นของขวัญที่วิเศษที่สุดอย่างที่พระองค์ว่านั่นแหละเพคะ”
“ฮ่าๆ”
ได้ฟังดังนั้นแพทริเซียก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว พวกนางพูดคุยหยอกล้อกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่นางกำนัลคนอื่นๆ จะเริ่มทยอยกันเข้ามาช่วยแพทริเซียเตรียมตัว เครื่องแต่งกายของนางในวันนี้เป็นชุดเดรสสีทองหรูหราเข้าคู่กับสร้อยเพชรที่ส่องประกายระยิบระยับ แม้แพทริเซียจะรู้สึกว่ามันเกินไปหน่อย แต่นางกำนัลกลับยืนกรานเสียงเข้มว่า ‘นานๆ จะได้เสวยพระกระยาหารค่ำร่วมกับพระจักรพรรดิทั้งที ต้องแต่งแบบนี้แหละเพคะ’ สุดท้ายแพทริเซียก็ต้องทำตามที่พวกนางว่า
“ฝ่าบาท พระจักรพรรดิเสด็จเพคะ”
ตอนนั้นเองเสียงของนางกำนัลก็ดังมาจากด้านนอก ให้ตายเถอะ รอสักประเดี๋ยวไม่ได้หรือไร ต้องมาหาถึงนี่เชียวหรือ แพทริเซียกะพริบตาปริบๆ ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะตอบออกไป
“เชิญเสด็จ”
ไม่นานประตูก็เปิดออกเผยให้เห็นลูซิโอที่อยู่ในชุดเครื่องแบบเต็มยศสีกรมท่า ราฟาเอลาพาเหล่านางกำนัลออกไปอย่างรู้งาน ครั้นเห็นรูปลักษณ์ทรงเสน่ห์ไม่แปรเปลี่ยนของเขา แพทริเซียก็คลี่ยิ้มโดยอัตโนมัติและกล่าวออกมาจากใจ
“วันนี้ทรงพระสิริโฉมมากเพคะ แม้ปกติจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้วก็เถอะ”
“อาจจะฟังดูซ้ำซากจำเจ แต่วันนี้เจ้างดงามเหมือนเทพีที่ลงมาจากสวรรค์เลย”
“ซ้ำซากจำเจจริงๆ ด้วยเพคะ”
แพทริเซียหัวเราะเบาๆ และเข้าไปหาลูซิโอ นางจัดแจงเสื้อที่ยับยู่เล็กน้อยของเขาให้เข้าที่และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“หม่อมฉันกำลังจะออกไปพอดี ทรงคิดถึงหม่อมฉันมากขนาดนั้นเชียวหรือเพคะ”
“ต่อให้พบหน้าเจ้าแล้วก็ยังไม่พอ ตอนที่ไม่ได้พบหน้ายิ่งแล้วใหญ่ ถ้าไม่ขัดต่อกฎมณเฑียรบาล เราคงสั่งปิดตายตำหนักจักรพรรดินีเสียเดี๋ยวนี้เพื่อให้เจ้าอยู่แต่ในห้องของเราเท่านั้น”
แพทริเซียรู้ว่าเขาพูดออกมาจากใจจึงคลี่ยิ้มอย่างไม่รังเกียจ นางรักความอยากเป็นเจ้าของ อยากครอบครองไว้เพียงผู้เดียว และความรักของเขาซึ่งเป็นพื้นฐานของทุกสิ่งอย่างที่ว่ามานี้ และหากจะกล่าวตามจริง แพทริเซียเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน แพทริเซียเขย่งเท้าขึ้นเบาๆ เอามือคล้องคอลูซิโอไว้และมอบจุมพิตให้เขา การจูบในยามที่ไม่มีใครเห็นยังคงหอมหวานดังเช่นทุกครั้ง
“ฮา…”
ผ่านไปครู่ใหญ่ นางจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นสบตากับดวงตาสีนิลของอีกฝ่าย แพทริเซียมองใบหน้าขึ้นสีระเรื่อของลูซิโอด้วยแววตารักใคร่ก่อนจะประทับจูบเบาๆ ลงบนส่วนที่แดงที่สุด
“ที่จริงหม่อมฉันอยากทำมากกว่านี้…แต่ขืนทำเช่นนั้นอาหารคงจะชืดเสียหมด จริงไหมเพคะ” นางกระซิบข้างหูเขา
“กลางคืนยาวนานกว่าหัวค่ำ และเช้ามืดยาวนานกว่ากลางคืน ริซซี่”
ลูซิโอหัวเราะเสียงแผ่วแล้วจูบริมฝีปากของแพทริเซียเบาๆ
“ตอนนี้เราคงต้องเก็บไว้ครั้งหน้า”
ภาคแยก 8 : Happy Birthday, Mommy.
(สุขสันต์วันเกิดท่านแม่)
“อะไรดีนะ”
เรจิเนนั่งเท้าคางพึมพำด้วยสีหน้าจริงจัง ได้ยินดังนั้น เรเซียที่อยู่ด้านข้างก็รีบพูดแทรก
“ท่านแม่ชอบอัญมณีที่สุด! คราวก่อนท่านพ่อให้แหวนประดับอัญมณีเป็นของขวัญแล้วท่านแม่ดีใจมากเลย”
“แต่อัญมณีมันแพงเกินไป ลำพังพวกเราหาเองไม่ได้หรอก” เรจิเนส่ายหน้าหวือ “แล้วถ้าไปไหว้วานมีร์ยา ไม่นานท่านแม่ต้องรู้แน่”
“ใช่ๆ! มีร์ยาเล่าเรื่องตอนที่อยู่กับพวกเราให้ท่านแม่ฟังหมดเลย”
“ว่าแต่นอกจากอัญมณีแล้วท่านแม่ชอบอะไรอีกนะ” เรย์เนที่นิ่งเงียบมาตลอดเอ่ยแทรกขึ้นมา
เรเซียกับเรจิเนได้ยินดังนั้นก็ปิดปากเงียบโดยพลัน ไม่รู้เลย เรจิเนหน้าเจื่อน
“ไม่รู้อะ…ท่านแม่ชอบอะไรนะ”
“ลองแกล้งถามดูดีหรือไม่”
“จะบ้าหรือ! นี่เป็นของขวัญที่จะทำให้ท่านแม่ประหลาดใจนะ จะถามได้อย่างไร! คิดจะป่าวประกาศให้รู้กันทั่วเลยหรือ”
“ข้าไม่ได้บ้า! ตัวเองบ้ากว่าแท้ๆ”
“ตัวเอง? เจ้านี่ชอบทำตัวไม่สุภาพกับพี่สาวนักนะ”
“เอ๋! เกิดก่อนแค่สามนาทีก็เป็นพี่แล้วหรือ ข้านี่หมดคำจะพูดเลย”
“ท่านพี่ทั้งสอง อย่าทะเลาะกันสิ!”
ห้องที่เคยเงียบสงบกลับวุ่นวายขึ้นในชั่วพริบตา เรจิเนกับเรเซียเริ่มโต้เถียงกันเสียงดังเรื่อง ‘พี่ที่เกิดก่อนสามนาทีนับว่าเป็นพี่หรือไม่’ (แม้ความจริงแล้วจะดูเป็นการยืนกรานอยู่ฝ่ายเดียวมากกว่า) เรย์เนถอนหายใจพลางเอามือปิดหู
เรจิเน เรเซีย และเรย์เน เป็นแฝดสาม ดีแลนที่ร่ำร้องอยากมีน้องใจจะขาด ในที่สุดก็ได้น้องสาวมาทีเดียวถึงสามคน แต่ในตอนนั้นก็ทำเอาแพทริเซียเกือบตาย หลังจากนั้นลูซิโอจึงคุมกำเนิดอย่างเคร่งครัดจนแทบจะเรียกได้ว่ามากเกินไป
ราวกับเป็นรางวัลตอบแทนความเจ็บปวดทรมานตอนคลอด เจ้าหญิงทั้งสามมีรูปโฉมเหมือนมารดาไม่มีผิดทั้งดวงตาสีดำและเรือนผมสีน้ำเงินแกมเขียว ด้วยเหตุนั้นตอนที่เจ้าหญิงทั้งสามเกิดลูซิโอจึงดีใจอย่างสุดซึ้ง บอกว่าได้ลูกสาวที่เหมือนภรรยาสุดที่รักราวกับโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกันถึงสามคน
ทว่า ทั้งสามกลับมีบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันไป คนแรก เรจิเน นางสมบูรณ์แบบมาก ในบรรดาเจ้าหญิงทั้งสามนางฉลาดหลักแหลมที่สุด และถูกเรียกว่าอัจฉริยะมาตั้งแต่เกิด คนที่สอง เรเซีย กล้าหาญ ไม่ชอบอยู่นิ่ง ชื่นชอบการฝึกดาบมากกว่าการเย็บปักถักร้อย และคนสุดท้าย คนที่สาม เรย์เน นางเป็นลูกสาวที่เหมือนแพทริเซียมากที่สุดแม้กระทั่งอุปนิสัย นางเป็นผู้ใหญ่กว่าเด็กในวัยเดียวกัน สุขุม และเงียบขรึม
ตอนนั้นเอง ใครคนหนึ่งก็เปิดประตูเข้ามา
“เจ้าหญิงทั้งหลาย ไฉนจึงเอะอะเสียงดังกันขนาดนี้”
ดีแลนนั่นเอง ปีนี้เขาอายุสิบหกปีแล้วจึงมีรูปร่างสูงใหญ่ไม่แพ้ผู้ใหญ่ มีรูปโฉมสง่างามที่ได้มาจากบิดามารดาอย่างละครึ่ง ครั้นเห็นดีแลนเดินเข้ามาในห้องพร้อมรอยยิ้ม สองศรีพี่น้องที่ทุ่มเถียงกันอยู่เมื่อครู่ก็ยิ้มกว้างต้อนรับพี่ชายราวกับไม่เคยทะเลาะกันมาก่อน
“ท่านพี่!”
“ท่านพี่ดีแลน!”
เมื่อเห็นเรจิเนและเรเซียวิ่งเตาะแตะอ้าแขนสองข้างเข้ามาหา ดีแลนก็หลุดยิ้มออกมา น่ารักกันจริงๆ เขาอ้าแขนกว้างแล้วโอบกอดทั้งคู่พร้อมกันพลางถามด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มน่าฟัง
“ทะเลาะกันอยู่หรือ”
ได้ยินดังนั้น เด็กสองคนที่เพิ่งจะสงบลงก็ตะเบ็งเสียงแข่งกันอีกครั้ง
“ท่านพี่ ฟังข้าหน่อย เรเซียถามข้าว่าเกิดก่อนสามนาทีนับเป็นพี่ได้ด้วยหรือ แล้วทำเหมือนข้าไม่ใช่พี่สาวของนาง! ข้าจะฟ้องท่านแม่!”
“ท่านพี่ ลองคิดง่ายๆ นะ เรจิเนกำลังดันทุรัง นางเกิดก่อนแค่สามนาทีเอง ไม่ใช่สามปีหรือสามชั่วโมงเสียหน่อย แล้วยังอยากจะเป็นพี่อีกหรือ นางไม่เคยทำอะไรให้ข้าเสียหน่อย!”
“ข้าไม่ได้ทำอะไรให้เจ้าตรงไหน?!”
“เมื่อวานเจ้าแย่งตุ๊กตาของข้าไปด้วย!”
“อันนั้นเดิมทีมันก็เป็นของข้าอยู่แล้ว!”
“อันนั้นท่านแม่ให้ข้าต่างหาก”
“ไม่ใช่! อันนั้นท่านแม่ให้ข้าเป็นของขวัญวันเกิด!”
“เราเกิดวันเดียวกันเถอะ?!”
“เอ๊ะ ก็ข้าบอกว่าท่านแม่ให้ข้า?!”
“อย่าดันทุรังไปหน่อยเลย!”
‘วุ่นวายจริงๆ’
ดีแลนคิดขณะมองหนูน้อยทั้งสองทะเลาะกัน ถ้าทะเล่อทะล่าเข้าไปขวางตอนนี้อาจถูกทั้งสองคนเกลียดเอาได้ ดีแลนเหลือบมองเรย์เนที่กำลังเล่นตุ๊กตาอย่างเงียบๆ อยู่ที่มุมห้อง นางทำสิ่งที่นางอยากทำไปเงียบๆ ราวกับเรื่องวุ่นวายทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนาง
บางครั้งเด็กคนนั้นก็ดูเป็นผู้ใหญ่ยิ่งกว่าข้าเสียอีกนะเนี่ย
ดีแลนเผลอยิ้มออกมา
“ของข้า!”
“ก็บอกว่าของข้า!”
“เอาล่ะๆ เจ้าหญิงทั้งสอง ตอนนี้เลิกทะเลาะกัน…”
“นี่ท่านพี่เข้าข้างเรเซียอย่างนั้นหรือ”
“เปล่านะ เรจิเน ไม่ใช่อย่างนั้น…”
“ข้าเกลียดท่านพี่แล้ว!”
“ข้าก็เกลียดท่านพี่!”
…ทำตัวเหมือนกันอย่างกับลอกเลียนกันมา กลัวคนไม่รู้ว่าเป็นฝาแฝดกันกระมัง ดีแลนกุมขมับอย่างปวดเศียรเวียนเกล้าก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้งอย่างใจเย็น
“เอาล่ะๆ เรจิเน เรเซีย เสด็จแม่บอกแล้วมิใช่หรือว่าถ้าทะเลาะกันอีกครั้งท่านจะโกรธมาก เป็นพี่น้องกันก็ต้องรักกันสิ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเจ้ายังเป็นฝาแฝดกันด้วย”
“…”
“…”
เมื่อดีแลนยกแพทริเซียขึ้นมาอ้าง สองสาวที่เถียงกันคอเป็นเอ็นเมื่อครู่ก็หุบปากฉับ ตอนนั้นดีแลนจึงรู้สึกว่าได้พักหายใจหายคอบ้างและกล่าวกับน้องสาวตัวน้อยทั้งสอง
“รีบคืนดีกันเร็วเข้า เสด็จแม่จะได้ดีใจด้วย”
“…”
“…”
ทว่า ทั้งสองคนกลับเอาแต่จ้องกันไปกันมาโดยไม่พูดอะไร ไม่มีใครยอมพูดก่อน สุดท้ายดีแลนก็ถอนหายใจและพูดด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวดขึ้นเล็กน้อย
“ไปหาท่านแม่ไหม”
“…ไม่”
“…ไม่”
ทั้งคู่ตอบพร้อมกัน เข้ากันได้ดีขนาดนี้ไม่รู้จะทะเลาะกันไปทำไม พอกันทั้งคู่ ดีแลนหัวเราะเจื่อนๆ และแล้วคนที่เป็นฝ่ายเปิดปากก่อนก็คือพี่ใหญ่ที่เกิดก่อนสามนาทีอย่างเรจิเน
“ข้าผิดเอง เรเซีย ข้าขอโทษ”
“ไม่หรอก ท่านพี่…ข้าผิดเอง”
“เอาล่ะ กอดกันเสีย”
สิ้นเสียงดีแลน ทั้งสองก็มีท่าทีเอียงอายก่อนจะกอดกันในที่สุด จู่ๆ ดีแลนก็คิดขึ้นมาว่าทั้งสองเป็นฝาแฝดกัน บางทีคงรู้สึกเหมือนกำลังกอดตัวเองก็เป็นได้
หลังจากคืนดีกันแล้ว ดีแลนก็เลิกทำหน้าดุและกลับมาเป็นพี่ชายผู้แสนใจดีอีกครั้ง เขามองเรจิเน เรเซีย และเรย์เนด้วยแววตารักใคร่เอ็นดูพลางถาม
“ทุกคนทำอะไรกันอยู่หรือ”
“ใกล้จะถึงวันเกิดของท่านแม่แล้วนะ ท่านพี่”
สิ้นเสียงตอบของเรจิเน เรเซียก็พูดเสริมทันที
“เรากำลังปรึกษากันว่าจะให้อะไรเป็นของขวัญวันเกิดท่านแม่ดี ใช่ไหมเรย์เน”
“อืม แต่อัญมณีก็แพงเกินไป แล้วก็ไม่รู้ว่าท่านแม่ชอบอะไร ถ้าถามออกไปคนในวังก็จะรู้กันหมดว่าเรากำลังเตรียมของขวัญวันเกิดให้ท่านแม่อยู่”
“อย่างนี้นี่เอง” ดีแลนพยักหน้าเบาๆ
“ท่านพี่อยู่มานานกว่าพวกเรานี่นา” เรจิเนถาม
“ก็ใช่น่ะสิ?”
อยู่มานานกว่าประมาณเก้าปีได้กระมัง ดีแลนพยักหน้าอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นท่านพี่ก็ต้องรู้ดีกว่าเราสิ? ท่านพี่ ท่านแม่ชอบอะไรหรือ”
“อืม…”
ที่จริงดีแลนเองก็ไม่ค่อยรู้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนเป็นลูกอกตัญญูและรู้สึกผิดต่อมารดาของตนขึ้นมา
“’โทษที ที่จริงข้าก็ไม่ค่อยรู้” เขาตอบด้วยสีหน้าเก้อเขิน
“ท่านพี่ไม่รู้ได้อย่างไร!”
เรเซียตำหนิพี่ชายด้วยสีหน้า ‘เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร’ ในตอนนั้นดีแลนอยากจะมุดรูหนีไปเสียให้รู้แล้วรู้รอดจริงๆ อยู่มาตั้งสิบหกปีแต่กลับมาไม่รู้ว่าเสด็จแม่ชอบอะไรอย่างนั้นหรือนี่! ดูเหมือนเขาจะใช้ชีวิตอย่างสูญเปล่าจริงๆ
ดีแลนกระแอมไอพลางกล่าว “ขอโทษนะ พี่ผิดไปแล้ว”
“ทำอย่างไรดีล่ะ ไม่มีใครรู้เลยว่าท่านแม่ชอบอะไร!”
“ไม่หรอก พวกเราอาจจะคิดมากไปก็ได้”
เรจิเนพูดอย่างจริงจัง “ถึงอย่างไรท่านพ่อก็สรรหาของขวัญแพงๆ มาให้มากมายก่ายกองอยู่แล้ว ส่วนพวกเราก็ให้ของที่ตั้งใจทำเองกันเถอะ ท่านพี่ ท่านพี่ก็จะเอาด้วยใช่ไหม”
“หะ หืม? แน่นอน ต้องเอาด้วยอยู่แล้ว”
ดีแลนเผลอพยักหน้าโดยไม่ได้ตั้งใจ เรจิเนได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจ
“ดีเลย! ถ้าอย่างนั้น อืม…พวกเรามาค่อยๆ กันคิดดีกว่าว่าท่านแม่ชอบอะไร”
“ท่านแม่ชอบของหวาน! ท่านพ่อทำขนมหวานให้ท่านแม่ทุกวันเลยมิใช่หรือ”
“ถ้าอย่างนั้นของหวานก็ไม่ได้! ท่านแม่กินของที่ท่านพ่อทำให้อยู่ทุกวันแล้วจะชอบของที่พวกเราทำให้หรือ”
ความจริงแล้วหากเป็นของที่ลูกๆ ทำให้ ต่อให้แย่จนกินไม่ได้ แพทริเซียก็คงยิ้มกว้างและยอมกินเป็นแน่ แต่เด็กๆ ที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาคงไม่มีทางคิดไปถึงเรื่องนั้น
“ถ้าอย่างนั้นท่านแม่ชอบอะไรล่ะ”
“อืม…ถ้าอย่างนั้นเด็ดดอกไม้ในสวนมาทำเป็นช่อดอกไม้กันเถอะ!”
“เรย์เน เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าตอนที่เจ้าทำเช่นนั้นถูกท่านแม่ดุตั้งเท่าไร ขืนไปเด็ดดอกไม้มาทำช่อดอกไม้ แทนที่จะได้รับคำชม ท่านแม่ต้องดุเรายกใหญ่แน่ๆ”
“ยากเกินไปแล้ว!”
เป็นเรื่องที่ยากจริงๆ ทั้งสี่ครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียดอยู่ครู่ใหญ่ว่า ‘สรุปแล้วควรให้อะไรเป็นของขวัญวันเกิด ท่านแม่ถึงจะชอบที่สุด’ ผ่านไปนานพอสมควรเรจิเนก็เอ่ยขึ้น
“ข้าคิดออกอยู่เรื่องเดียว”
“เรื่องเดียว?”
“อะไรล่ะ”
“รีบบอกมาสิ ท่านพี่เรจิเน”
ทั้งสามคนเร่งเร้าเรจิเน แต่นางกลับทำสีหน้าลำบากใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า เรเซียเห็นดังนั้นก็รู้สึกอึดอัดจนต้องถาม
“เป็นอะไรไป”
“มันธรรมดาเกินไป ท่านแม่ต้องไม่ชอบแน่ๆ”
“ตอนนี้ใช่เวลามาคิดเรื่องนั้นไหม สัปดาห์หน้าก็เป็นวันเกิดท่านแม่แล้วนะ!”
“เรจิเน ไม่เป็นไรหรอก ลองบอกมาเถอะ”
ดีแลนให้กำลังใจเรจิเนด้วยน้ำเสียงอบอุ่น เรจิเนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ เอ่ยปาก
“ข้าคิดว่า…”
***
วันนั้นแดดดีเป็นพิเศษ แพทริเซียจึงออกมาเดินเล่นในรอบหลายวัน ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือตอนนี้งานของฝ่ายในก็ยังคงล้นมือ หมู่นี้นางก็ยุ่งอยู่กับเรื่องงานจนไม่มีเวลาแม้แต่จะออกมาเดินเล่นให้สบายใจ
ขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่นั้น จู่ๆ แพทริเซียก็รู้สึกว่าสวนดอกไม้ตำหนักจักรพรรดินีปลูกดอกกุหลาบไว้เยอะเป็นพิเศษจึงเผยสีหน้าสงสัย จริงอยู่ที่นางชอบดอกกุหลาบ แต่ก็ไม่เคยสั่งให้ปลูกดอกกุหลาบมากเป็นพิเศษ เพราะต่อให้ทำเช่นนั้นก็ใช่ว่าดอกกุหลาบจะออกดอกได้มากกว่าดอกไม้ชนิดอื่น แปลกนัก
“จักรพรรดินี”
ตอนนั้นเองแพทริเซียก็ได้ยินเสียงที่นางชอบมากที่สุด นางรับรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใครจึงคลี่ยิ้มบางๆ และค่อยๆ หันกลับไป เมื่อได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย รอยยิ้มที่ริมฝีปากจึงเด่นชัดยิ่งขึ้น
“ฝ่าบาท”
“ดูเหมือนเราไม่ได้เจอกันในสวนมานานแล้ว”
“ที่ผ่านมาหม่อมฉันก็ไม่ค่อยได้มาเดินเล่นเพคะ”
ลูซิโอเดินเนิบๆ มาทางแพทริเซีย แม้กระทั่งภาพนั้นก็ทำให้แพทริเซียใจเต้นแรง แม้อายุจะเข้าเลขสี่แล้ว แต่เขาก็ยังคงเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์เหมือนเคย ใครเห็นคงนึกว่าเขาเพิ่งจะสามสิบเท่านั้น แพทริเซียยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวกับอีกฝ่าย
“เสด็จมาที่นี่ด้วยเรื่องอันใดหรือเพคะ”
“เราไปหาเจ้าที่ตำหนัก แต่นางกำนัลบอกว่าเจ้าออกมาเดินเล่น เราจึงตามมาที่นี่”
“หม่อมฉันกำลังจะกลับพอดี ฝ่าบาทคงจะเหนื่อย ไยไม่เข้าไปรอด้านใน…”
“เราอยากพบหน้าเจ้าเร็วขึ้นสักนิด”
เขายิ้มพรายแล้วค่อยๆ สอดนิ้วเข้ามาประสานกับนิ้วของนาง สัมผัสนั้นนุ่มละมุนเหลือเกิน และการกระทำนั้นก็ชวนให้ใจเต้นอย่างมาก แพทริเซียจึงเผลอคลี่ยิ้มราวกับสาวแรกรุ่น ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เพิ่งแต่งงาน หรือตอนนี้ที่มีลูกถึงสี่คนแล้ว เขาก็ยังคงเป็นผู้ชายที่อ่อนโยนไม่เปลี่ยนแปลง
ภาคแยก 7 : Oh, My Sun.
(โอ้! องค์สุริยันของข้า)
ช่วงนี้ลูซิโอรู้สึกไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย
“ข้าจะนอนกับท่านแม่!”
สาเหตุก็เกิดมาจากดีแลน ลูกชายวัยเจ็ดขวบของเขา ดีแลนซึ่งสามารถนอนคนเดียวได้อย่างไร้ปัญหามาโดยตลอด หมู่นี้กลับเอาแต่ดื้อแพ่งจะนอนกับแม่ของเขาให้ได้
“ดีล ทำไมถึงอยากนอนกับแม่ล่ะ ปกติเจ้าก็นอนคนเดียวได้มิใช่หรือ” แพทริเซียเอ่ยถามด้วยสีหน้าลำบากใจ
“ท่านแม่ ท่านไม่รู้จริงๆ หรือครับ”
ดีแลนถามกลับตาโต ดวงตาของเขาสุกใสเหมือนพ่อของเขา ครั้นเห็นแพทริเซียพยักหน้าเบาๆ เขาก็ตอบกลับราวกับมันเป็นเรื่องปกติทั่วไป
“เพราะข้าชอบท่านแม่น่ะสิครับ! ดีแลนชอบท่านแม่ที่สุดในโลก”
ลูซิโอได้ฟังดังนั้นก็คล้ายได้รับความสะเทือนใจอีกครั้ง เขารีบเอ่ยถามโดยไว
“ดีแลน นี่เจ้ามองไม่เห็นพ่อคนนี้อย่างนั้นหรือ”
“ท่านพ่อข้าก็ชอบครับ” ดีแลนตอบอย่างเฉยเมยและพูดเสริม “แต่ชอบท่านแม่มากกว่า”
“…”
ลูซิโอหุบปากฉับอย่างหมดคำจะพูด ในขณะที่แพทริเซียทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยิ้มเจื่อนแล้วถามลูกชาย
“ดีแลน รักพวกเราเท่าๆ กันเถอะนะ ไม่อย่างนั้นท่านพ่อของเจ้าต้องเสียใจเป็นแน่”
“แต่ข้าชอบท่านแม่มากกว่าจริงๆ นะครับ”
ดีแลนว่าพลางทำแก้มตุ่ย แพทริเซียไม่รู้จะทำอย่างไรกับความดื้อรั้นของลูกชายจึงหันไปมองลูซิโอที่อยู่ด้านข้าง สีหน้าของลูซิโอในตอนนี้คล้ายว่าวิญญาณได้หลุดออกจากร่างไปแล้ว นี่ข้าเลี้ยงเจ้ามาอย่างไรกันนี่!
“ดีแลน ทำไมเจ้าถึงชอบแม่มากกว่าพ่อเล่า”
“อืม…” ดีแลนครุ่นคิดอย่างจริงจังก่อนจะตอบอย่างหนักแน่น “ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษครับ ข้าแค่ชอบท่านแม่มากกว่าท่านพ่อเฉยๆ”
นี่เป็นการโจมตีระลอกที่สาม ลูซิโอคิดว่าขืนถามอะไรไปมากกว่านี้คงมีแต่จะเจ็บช้ำเปล่าๆ จึงไม่เปิดปากพูดอะไรอีก แพทริเซียไม่รู้จะทำอย่างไรกับความตรงไปตรงมาของลูกชาย ขณะเดียวกันภายในใจก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้น สมแล้วที่เป็นลูกชายข้า!
“เอาเป็นว่าวันนี้ข้าจะนอนกับท่านแม่ เชิญท่านพ่อนอนคนเดียวนะครับ”
ลูซิโอมีสีหน้าคล้ายได้ยินเรื่องเหลวไหล แม้สถานการณ์จะไปกันใหญ่ขึ้นทุกทีแต่แพทริเซียก็แอบหัวเราะออกมาเบาๆ
ครู่ต่อมาลูซิโอก็รู้สึกว่าจะปล่อยให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาดจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“ไม่ได้ ดีล”
“ทำไมล่ะครับ”
“แม่ของเจ้าต้องนอนกับพ่อ”
“ทำไมล่ะครับ”
“เพราะแม่ของเจ้าแต่งงานกับพ่อแล้ว นางจึงต้องนอนกับคนที่แต่งงานด้วยเท่านั้น”
ได้ยินดังนั้น ดีแลนก็เสนอทางแก้ด้วยน้ำเสียงสบายๆ ราวกับจะบอกว่าไม่เห็นจะยากตรงไหน
“เช่นนั้นข้าก็จะแต่งงานกับท่านแม่ด้วย!”
เจ้าเด็กนี่? ลูซิโอมองค้อนดีแลนด้วยสายตาคมปลาบ แค่ที่ช่วงนี้ดีแลนยึดแพทริเซียไว้คนเดียวก็ทำให้เขาทรมานใจเพราะความอิจฉามากพออยู่แล้ว ข้อเสนอคราวนี้ย่อมไม่ต่างอะไรกับการราดน้ำมันลงบนกองไฟ
ลูซิโอปฏิเสธด้วยน้ำเสียงแข็ง
“นั่นก็ไม่ได้”
“ทำไมล่ะครับ”
“เพราะนางแต่งงานกับพ่อแล้ว”
“แต่งงานกับข้าอีกก็ได้นี่ครับ!”
ขืนทำเช่นนั้นแผนผังตระกูลได้พันกันยุ่งแน่ เจ้าลูกชาย ทว่าคำพูดนั้นเขาไม่สามารถพูดออกไปต่อหน้าลูกได้จึงได้แต่กลืนมันลงไป คราวนี้ลูซิโอค่อยๆ อธิบายด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลขึ้นเล็กน้อย
“เราต้องแต่งงานกับคนเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นเป็นสิ่งที่ควรทำ”
“ทำไมล่ะครับ”
“ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายจะเสียใจ”
“แต่ข้าไม่เห็นจะเสียใจเลยที่ท่านแม่แต่งงานกับท่านพ่อแล้ว”
“…แต่พ่อคงเสียใจถ้าแม่ของเจ้าจะแต่งงานกับเจ้า”
“นั่นก็ไม่เกี่ยวกับข้านี่ครับ!”
เจ้าเด็กนี่? ความเหลวไหลของลูกชายทำให้สีหน้าของลูซิโอเคร่งเครียดขึ้นทุกที แพทริเซียซึ่งฟังอยู่เงียบๆ เห็นดังนั้นก็รู้สึกว่าคงจะได้เวลาไกลเกลี่ยแล้วจึงรีบเอ่ยแทรก
“เอาล่ะ ดีแลน ได้เวลานอนแล้ว เด็กดีต้องเข้านอนแต่หัวค่ำจะได้ตัวสูงๆ บอกไว้ก่อนเลยนะว่าแม่ชอบคนตัวสูง”
ลูซิโอได้ยินดังนั้นก็ยักไหล่โดยไม่รู้ตัว แน่นอนว่าเขาเป็นคนที่มีร่างกายสูงใหญ่ แพทริเซียปรายตามองท่าทีนั้นก่อนจะหัวเราะแล้วพูดกับลูกต่อ
“เข้านอนเร็วๆ แล้วพรุ่งนี้จะได้รีบตื่นมาเจอแม่ ดีหรือไม่”
“ข้าจะนอนกับท่านแม่ครับ”
“แม่จะนอนกับพ่อ ดีล”
“ไม่เอา! ข้าจะนอนกับท่านแม่ ข้าไม่อยากนอนคนเดียว!”
และแล้วดีแลนก็เริ่มงอแง แพทริเซียมองดีแลนทีลูซิโอทีด้วยสีหน้าลำบากใจ ทันใดนั้นนางก็มองลูซิโอราวกับจะบอกว่าช่วยไม่ได้จริงๆ ลูซิโอเห็นสายตานั้นก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ริซซี่ นี่เจ้า…คงไม่ได้คิดจะทิ้งข้าหรอกนะ?
“แค่วันนี้นะ ดีล”
ไม่นะ ริซซี่! ลูซิโอร้องคร่ำครวญในใจ ครั้นได้ยินคำพูดของแพทริเซีย ดีแลนก็หยุดร่ำร้องและมองแพทริเซียตาเป็นประกาย
“จริงนะครับ ท่านแม่ นอนด้วยกันนะ?”
“จ้ะ นอนด้วยกัน”
แพทริเซียจุมพิตที่หน้าผากนูนของลูกชายก่อนจะจัดหมอนให้ดีแลน จากนั้นดีแลนก็ล้มตัวลงนอนประจำที่ในขณะที่ลูซิโอยังคงทำหน้ามุ่ย แพทริเซียเห็นดังนั้นก็เรียกอีกฝ่าย
“ฝ่าบาทก็มานอนข้างๆ ดีแลนสิเพคะ”
“เตียงแคบเกินไป วันนี้ข้าคงต้องไปนอนที่ตำหนักกลางแล้ว”
ทำเป็นน้อยใจไปได้ แพทริเซียหัวเราะคิกคักในใจก่อนจะเรียกเขาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“เร็วสิเพคะ ฝ่าบาท”
“…”
ลูซิโอไม่อาจขัดขืนแพทริเซียได้ เขาถอนหายใจแล้วนอนลงข้างดีแลน ที่ลูซิโอบอกว่าเตียง ‘แคบเกินไป’ นั้นเป็นเรื่องโกหก เตียงของแพทริเซียกว้างพอที่จะนอนได้อีกคนอย่างสบาย
“เอาล่ะ ดีแลน พอใจแล้วใช่ไหม รีบนอนเสีย”
“ท่านแม่ คือว่า…”
“หืม?”
“ข้ามีเรื่องอยากถามครับ”
“อะไรหรือ”
แพทริเซียถามอย่างไม่คิดอะไร แต่ครั้นได้ยินคำถามของลูกชายนางก็แทบสำลัก
“เด็กเกิดมาได้อย่างไรหรือครับ”
“…หา?”
ครู่ต่อมาแพทริเซียถึงตั้งสติได้และถามกลับ ดีแลนยังคงมองแพทริเซียอย่างใจจดใจจ่อด้วยสีหน้าใสซื่อและถามซ้ำ
“เด็กเกิดมาได้อย่างไรหรือครับ”
“ทำไมจู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้เล่า ดีแลน”
“จู่ๆ ข้าก็สงสัยขึ้นมาน่ะครับ ข้าสงสัยมากจริงๆ ว่าตัวเองมาจากไหน”
“…”
แต่แทนที่จะตอบ แพทริเซียกลับมองไปที่สามีซึ่งเอาแต่จ้องมองตนจากด้านหลังของดีแลน ทำอย่างไรดีล่ะ สีหน้าของลูซิโอในตอนนี้ก็ดูไม่จืดเช่นกัน แพทริเซียครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จะให้ตอบตามจริง ลูกชายของนางก็ยังเด็กเกินไปทั้งยังไร้เดียงสา แต่จะให้บอกว่า ‘สวรรค์ประทานมาให้’ ก็ไม่ถูกต้อง อา ตอนเด็กๆ ข้าเคยถามอะไรแบบนี้กับท่านพ่อท่านแม่ไหมนะ แพทริเซียกลุ้มใจอย่างมาก
“ท่านแม่? ทำไมไม่ตอบล่ะครับ”
“หืม? เอ่อ เรื่องนั้น…”
ขณะที่แพทริเซียอ้ำๆ อึ้งๆ คิดหาคำตอบ เสียงของลูซิโอก็ดังแทรกขึ้นมา
“พ่อจะบอกให้นะ ดีล เด็กน่ะนะ เกิดจากการที่พ่อกับแม่…”
“ฝ่าบาท!”
“…นอนจับมือกัน”
ลูซิโอพูดออกมาหน้าตาเฉยทำเอาแพทริเซียตกใจปรามเขาเก้อ ครั้นได้ยินคำตอบของลูซิโอ สีหน้าของแพทริเซียก็พลันมึนงง คำพูดนั้นไม่ได้ผิดเสียทีเดียว ตอนนั้นก็จับมือ… เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน ตอนนี้ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ตรงนั้นเสียหน่อย
“แค่จับมือก็มีเด็กเกิดขึ้นมาแล้วหรือครับ”
อีกด้านหนึ่ง ดีแลนซึ่งได้รับความรู้ใหม่ถึงกับตาเป็นประกายและกระหายใคร่รู้ขึ้นมา แพทริเซียเห็นดังนั้นก็รู้สึกผิดในใจ อา ดีแลน ยกโทษให้แม่ที่ยังไม่สามารถบอกความจริงกับเจ้าได้ด้วยเถอะนะ
“ถ้าอย่างนั้นท่านพ่อครับ ตอนนี้ก็ทำให้เด็กเกิดมาได้ใช่ไหมครับ”
“แน่นอนสิ”
“เช่นนั้นท่านพ่อรีบจับมือท่านแม่เร็วเข้า! มีน้องให้ข้านะครับ น้อง!”
“ขอโทษนะ ดีแลน” รอยยิ้มของลูซิโอดูชั่วร้ายชอบกล “น่าเสียดายที่ตอนนี้พ่อมีน้องให้เจ้าไม่ได้”
“ทำไมล่ะครับ”
“เมื่อวานแม่ของเจ้ามีรอบ… ไม่สิ มันมีเงื่อนไขสำคัญอยู่ และตอนนี้เงื่อนไขนั้นยังไม่สมบูรณ์”
“เงื่อนไขอะไรหรือครับ”
ลูซิโอมองดวงตาสุกใสของลูกชายแล้วพูดเสียงหวาน “ต้องอยู่กันแค่สองคน”
“แค่สองคนหรือครับ”
“อืม แค่พ่อกับแม่สองคน”
“เช่นนั้นข้าจะไปข้างนอกสักประเดี๋ยวแล้วค่อยกลับมา!”
“ยังมีอีกเรื่อง ดีแลน พ่อกับแม่ต้องจับมือกันนานๆ นานมากๆ อาศัยแค่ช่วงที่เจ้าออกไปข้างนอกไม่พอหรอก”
“โหย~”
พูดง่ายๆ ก็คือเจ้ารีบกลับไปนอนที่ห้องของเจ้าได้แล้ว แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันที่ ‘นอนจับมือกัน’ แล้วแทบไม่มีโอกาสที่จะมีน้อง แต่ความสัมพันธ์ของสามีภรรยามิได้มุ่งเน้นไปที่เรื่องลูกอย่างเดียวเสียหน่อย
“เพราะฉะนั้นจงเลือกมา ดีล ถ้าอยากมีน้องเจ้าก็ต้องนอนคนเดียว” ลูซิโอยังคงพูดกับลูกชายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
สิ้นเสียงของลูซิโอ ดีแลนก็มีท่าทีคิดหนัก นี่เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญอย่างยิ่งยวดว่าเขาจะตัดใจจากน้อง หรือตัดใจจากการนอนกับท่านแม่! หลังจากครุ่นคิดพิจารณาอยู่ครู่ใหญ่ ดีแลนก็พูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง
“ข้าตัดสินใจได้แล้วครับ ท่านพ่อ”
“อย่างนั้นหรือ”
“ครับ ข้าอยากมีน้อง”
พูดจบ ดีแลนก็หยิบหมอนของตัวเองแล้วลุกจากเตียงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แพทริเซียเห็นการกระทำของลูกชายก็เอ่ยถาม
“จะไปแล้วหรือ ดีล?”
“ครับ ท่านแม่ วันนี้ข้าจะนอนกับมีร์ยา”
หลังจากแพทริเซียคลอดดีแลน มีร์ยาก็ออกจากตำแหน่งหัวหน้านางกำนัลแห่งตำหนักจักรพรรดินี แล้วไปทำหน้าที่เป็นแม่นมของดีแลน แพทริเซียพยายามเก็บซ่อนสีหน้ายินดีแล้วเรียกหามีร์ยา ไม่นานมีร์ยาก็เข้ามาแล้วพาดีแลนกลับห้องไป ในที่สุดในห้องก็เหลือกันแค่สองคน แพทริเซียหัวเราะคิกคักพลางกล่าว
“ได้ยินที่ดีลพูดไหมเพคะ ฝ่าบาท อา ทำไมถึงน่ารักขนาดนี้! เขาน่ารักเสียจนบางทีหม่อมฉันก็สงสัยว่าเขาเป็นลูกชายของหม่อมฉันจริงๆ หรือไม่”
“เขาถึงได้เหมือนเจ้าอย่างไรเล่า ความน่ารักของดีลล้วนเหมือนเจ้าทั้งนั้น”
“ฝ่าบาทนี่ล่ะก็”
แพทริเซียหัวเราะชอบใจแล้วขยับเข้าไปชิดลูซิโอ เมื่อสายตาอยู่ในระดับเดียวกัน นางก็มองลูซิโอด้วยแววตาอ่อนหวานและกล่าว
“แล้วถ้าวันนี้ไม่มีน้อง คราวหน้าจะแก้ตัวอย่างไรเพคะ”
“ก็บอกไปว่าแค่ครั้งเดียวไม่พอ ต้องนอนจับมือกันสัก…อืม…สิบครั้ง”
“ตายจริง”
แพทริเซียหัวเราะกับคำพูดของอีกฝ่าย ลูซิโอจ้องภาพนั้นเขม็งแล้วประทับจูบลงบนกลีบปากนิ่มอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แพทริเซียในตอนนี้ไม่ตกใจกับการจู่โจมจูบอย่างกะทันหันของเขาอีกแล้ว กลับกันนางจูบตอบอย่างช่ำชอง ลูซิโอเห็นดังนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าใจอย่างประหลาด
“เดี๋ยวนี้ไม่ตกใจแล้วสินะ ระหว่างเราไม่เหลือความตื่นเต้นแล้วอย่างนั้นหรือ”
“ตอนนี้หม่อมฉันก็มีอายุแล้วนะเพคะ ฝ่าบาท”
แพทริเซียใช้สองมือรั้งลำคอของเขาลงมาโอบกอดพลางกระซิบ
“หม่อมฉันเพียงแต่ไม่แสดงออกเท่านั้น ไม่รู้หรือว่าในเวลาแบบนี้หม่อมฉันตื่นเต้นแค่ไหน”
“ไม่รู้สิ…ข้าพิสูจน์ไม่ได้เสียหน่อย”
“เช่นนั้นก็พิสูจน์เสียตอนนี้สิเพคะ”
แพทริเซียกระซิบข้างหูลูซิโอด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะลดมือลงจากลำคอแกร่ง แล้วเลื่อนมาแกะกระดุมชุดนอนของอีกฝ่ายเสียงดังเปาะแปะ ฟังดูน่ารักยิ่ง มือเรียวแหวกสาบเสื้อออกสองข้างเผยให้เห็นผิวเปลือยของลูซิโอ หญิงสาวจุมพิตบริเวณหน้าอกของเขาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุน
“ดีแลนก็ไปแล้ว…เช่นนั้นเริ่มกันเลยไหมเพคะ”
ค่ำคืนที่อยู่กันสองต่อสองเป็นเวลาของการนอนจับมือกัน
[ภาคแยก 7] Oh, My Sun. (จบบริบูรณ์)
ภาคแยก 6 : Before the sun rises.
(ก่อนย่ำรุ่ง)
“นี่ต้องมีปัญหาอะไรสักอย่างแน่ๆ”
แพทริเซียพูดอย่างจริงจังพร้อมส่ายหน้า มีร์ยาที่ฟังอยู่ก็ยิ้มเจื่อนๆ และพูดเสริม
“เห็นได้ชัดว่าองค์จักรพรรดิทรงคำนึงถึงพระองค์มิใช่หรือเพคะ”
“แต่นี่มันมากเกินไป มีร์ยา ไม่น่าเชื่อว่าฤดูหนาวปีนี้จะมีสตรอว์เบอร์รีมากมายขนาดนี้”
แพทริเซียมองผลไม้ตระกูลเบอร์รีหลากชนิดที่กองพะเนินอยู่ตรงหน้าก่อนจะส่ายศีรษะอีกครั้ง ทั้งสตรอว์เบอร์รี บลูเบอร์รี ราสเบอร์รี แบล็กเคอร์แรนต์ อโรเนีย และอื่นๆ… นี่เขาไปหาสตรอว์เบอร์รีมากมายขนาดนี้มาจากที่ไหนและได้อย่างไรในฤดูหนาวที่หนาวเหน็บเช่นนี้ แพทริเซียพึมพำด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
“ตั้งแต่เกิดมาข้าเพิ่งเคยเห็นผลไม้ตระกูลเบอร์รีเยอะขนาดนี้เป็นครั้งแรก”
เรื่องทั้งหมดเริ่มมาจากตรงนี้
เมื่อแพทริเซียตั้งครรภ์ได้ราวสี่เดือน จู่ๆ นางก็อยากกินอาหารหลากชนิดมากขึ้น เมื่อคนที่ไม่ค่อยชอบกินอาหารอย่างนางร้องขออาหารที่มากขึ้น มีร์ยาก็รู้สึกยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่งจึงสั่งหัวหน้าห้องเครื่องให้เตรียมอาหารไว้ตลอด ลูซิโอบังเอิญได้รู้เรื่องนี้เข้า ทั้งยังรู้มาอีกว่าช่วงนี้แพทริเซียกำลังตามหาสตอว์เบอร์รีจำนวนมาก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็ส่งผลไม้ตระกูลเบอร์รีมาที่ตำหนักจักรพรรดินีตลอด แล้วผลลัพธ์ก็ออกมาเป็นเช่นนี้
แพทริเซียส่ายหน้าหวือ
“ต่อให้ข้าอยากกินสตรอว์เบอร์รีมากแค่ไหน แต่นี่มันไม่ใช่แล้ว”
“เช่นนั้นเจ้าอยากกินอะไรอีกหรือไม่”
ทันใดนั้นน้ำเสียงคุ้นหูก็ดังแทรกขึ้นมา แพทริเซียหันขวับไปมองและพบว่าลูซิโอยืนอยู่หน้าประตู แต่มีปัญหาอยู่เล็กน้อยนั่นคือเขาถืออะไรก็ไม่รู้มาเต็มสองมืออีกแล้ว คราวนี้อะไรอีกล่ะ
แพทริเซียเบิกตากว้างขึ้นเพื่อเพ่งมองว่าสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่ ให้ตายเถอะ นั่นมันทาร์ตสตรอว์เบอร์รี
“ฝ่าบาท ขืนเป็นแบบนี้ผิวของหม่อมฉันได้กลายเป็นสีแดงแน่เพคะ”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า”
เขายิ้มพรายและเดินเข้ามาหา กลิ่นหอมหวานของสตรอว์เบอร์รีที่ลอยมาเตะจมูกทำให้รู้ว่าทาร์ตนี้น่าจะเพิ่งอบเสร็จใหม่ๆ สีหน้าของแพทริเซียผ่อนคลายลงโดยไม่รู้ตัว นานวันฝีมือของผู้ชายคนนี้ยิ่งสูงขึ้นทุกที
“เอาล่ะ นี่คือทาร์ตที่เราอบมาเป็นพิเศษวันนี้ หวังว่าเจ้าจะชอบ”
“ชอบสิเพคะ ฝีพระหัตถ์ของฝ่าบาทหม่อมฉันย่อมรู้ดีกว่าใคร”
ลูซิโอตัดแบ่งทาร์ตออกเป็นชิ้นๆ อย่างเอาใจใส่ก่อนจะยื่นให้แพทริเซีย ครั้นรับมาแล้วเห็นสตรอว์เบอร์รีที่เรียงตัวอัดแน่นอยู่บนนั้น แพทริเซียก็เผยสีหน้าลำบากใจ
“ใส่สตรอว์เบอร์รีมากไปแล้วเพคะ”
“ต้องกินมากๆ สิถึงจะดีต่อร่างกาย”
“เสวยด้วยกันสิเพคะ”
“แค่ดูเจ้ากินเราก็อิ่มแล้ว”
“หม่อมฉันกินคนเดียวไม่ไหวเพคะ ฝ่าบาท มาเถอะเพคะ”
เมื่อถูกแพทริเซียเร่งเร้า ลูซิโอจึงต้องนั่งลงข้างๆ อีกฝ่ายอย่างเสียไม่ได้ มีร์ยาปลีกตัวออกไปอย่างรู้งาน แพทริเซียกัดทาร์ตเข้าไปคำหนึ่ง น้ำที่ระเบิดตัวออกมาจากสตรอว์เบอร์รีช่างหวานล้ำจนแพทริเซียเผลอยิ้มออกมา
“อร่อยเพคะ”
“กินนี่หมดแล้วก็กินผลไม้ที่กองอยู่ตรงนั้นให้หมดด้วยนะ เราตั้งใจเลือกมาแต่ของชั้นดีทั้งนั้น น่าจะถูกปากเจ้า”
“ขืนกินหมดนั่นก็อ้วนพอดี” แพทริเซียพูดด้วยสีหน้าหม่นลงเล็กน้อย “หมู่นี้ร่างกายของหม่อมฉันบวมขึ้นเพคะ คงต้องยั้งปากบ้างแล้ว”
“พูดอะไรน่ะ คนท้องก็ต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ก่อนหน้านี้เจ้าแพ้ท้องจนกินอะไรไม่ค่อยได้อยู่ตั้งนาน”
“รับสั่งมาตามตรงเถอะเพคะ ฝ่าบาท” แพทริเซียจ้องหน้าลูซิโอและถามด้วยสีหน้าจริงจัง “หม่อมฉันดูอ้วนขึ้นใช่ไหมเพคะ ดูแย่มากเลยใช่ไหมเพคะ”
“ริซซี่”
ลูซิโอเรียกแพทริเซียด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม นางยังคงจ้องมองเขา เขาจึงกุมมือทั้งสองข้างของนางไว้แน่น แพทริเซียเลื่อนสายตาไปมองด้านล่างครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองเขาอีกครั้ง
“ในสายตาข้าเจ้างดงามที่สุดในโลก”
“โป้ปดเก่งนะเพคะ”
“พูดจริงๆ”
ลูซิโอยิ้มบางๆ พลางเลื่อนมืออีกข้างที่ไม่ได้จับมือแพทริเซียไปยังท้องน้อยของนางที่เริ่มนูนขึ้นบ้างแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ใหญ่จนเห็นได้ชัดว่าตั้งท้อง เขาลูบหน้าท้องของนางเบาๆ
“เจ้าคือคนที่ข้ารักที่สุดในโลก เพียงเท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เจ้าเป็นคนที่งดงามที่สุดในสายตาข้า ตอนนี้เจ้ายังมีลูกให้ข้าแล้วด้วย”
“…”
“ต่อให้เจ้าอ้วนขึ้นสักหน่อยก็ไม่มีทางที่ข้าจะมองว่าเจ้าไม่สวย ริซซี่ ตอนนี้ข้าอยากให้เจ้าอ้วนกว่านี้ด้วยซ้ำเพราะตอนนี้เจ้าผอมมาก”
“ให้อ้วนกว่านี้อีกหรือเพคะ ถึงตอนนั้นอาจจะกลายเป็นตัวตลกไปจริงๆ ก็ได้”
เห็นแพทริเซียถอนหายใจออกมา ลูซิโอก็ส่ายศีรษะพลางปลอบโยนอย่างนุ่มนวล
“ไม่มีทาง ใครที่ทำเช่นนั้นข้าจะสั่งประหารโทษฐานหมิ่นเชื้อพระวงศ์ทันที”
“ฝ่าบาท ลูกฟังอยู่นะเพคะ”
“อ๊ะ จริงด้วย”
สิ้นเสียงตำหนิของแพทริเซีย ลูซิโอก็สะดุ้งโหยงรีบปิดปาก ลูกกำลังเติบโตอยู่ในท้องแท้ๆ แต่ข้ากลับพูดจาหยาบคายเช่นนี้ออกไป! ลูซิโอรีบยื่นหน้าเข้าไปใกล้หน้าท้องของแพทริเซียทันที
“ลูกพ่อ ลืมที่พ่อพูดเมื่อครู่ไปเสีย เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจแล้วฮะ ท่านพ่อ”
แพทริเซียตอบแทนด้วยน้ำเสียงน่ารัก ลูซิโอได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นพลางยิ้มกว้าง
“ใครบอกให้เจ้าทำตัวน่ารักไม่เปลี่ยนเช่นนี้กัน หืม?” เขาพูดกับนางด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“มีแต่ฝ่าบาทกระมังเพคะที่คิดเช่นนั้น”
“ควรจะต้องเป็นเช่นนั้น แค่คิดว่ามีตัวผ…ไม่สิ คนอื่นคิดเช่นเดียวกันกับข้าก็สยองแล้ว”
ลูซิโอจุมพิตหน้าผากของแพทริเซียอย่างอ่อนโยนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ขณะที่แพทริเซียเผยยิ้มตาม ริมฝีปากของเขาก็ค่อยๆ เลื่อนลงมาที่สันจมูก ปลายจมูก และไปหยุดอยู่ที่ริมฝีปากครู่หนึ่งก่อนจะย้ายไปที่ไหปลาร้า หน้าอก แล้วก็…
“อา”
เขาเลื่อนริมฝีปากลงไปอีกก่อนจะถามด้วยสีหน้าแดงระเรื่อ
“ไม่ได้สินะ?”
“ไม่เป็นไรเพคะ ฝ่าบาท ทำต่อเถอะเพคะ…” แพทริเซียพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “หมอหลวงบอกว่าถ้าไม่หักโหมจนเกินไป นั่นกลับเป็นเรื่องที่ดีเสียอีก”
“จริงหรือ”
“ถ้าไม่ ‘หักโหม’ จนเกินไปนะเพคะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว ริซซี่ เดี๋ยวข้าปรับให้เหมาะสมเอง”
“แต่นี่ยังกลางวันอยู่เลย…”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”
เดี๋ยวตะวันก็ตกแล้ว
สิ้นเสียงกระซิบของลูซิโอ เขาก็ค่อยๆ ถอดชุดเดรสที่อยู่บนร่างของนางออก หญิงสาวหัวเราะเบาๆ ด้วยรู้สึกจั๊กจี้และกระซิบเสียงค่อย
ลูกแม่ นอนหลับสักประเดี๋ยวนะลูก เข้าใจไหม?
***
“ร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง ไม่เป็นไรใช่ไหม” ลูซิโอถามพลางนวดหน้าท้องให้แพทริเซียเบาๆ
“ดีมากเพคะ” แพทริเซียซึ่งนอนเหยียดแขนเหยียดขาอยู่บนเตียงตอบด้วยสีหน้าพึงพอใจ
“ไม่เจ็บตรงไหนนะ?”
“ไม่เป็นไรเลยเพคะ”
“ข้ากังวลเล็กน้อย แต่หากเจ้าว่าอย่างนั้นก็โล่งอก”
“หมอหลวงก็บอกว่าไม่เป็นไรนี่เพคะ ฝ่าบาทขี้กังวลเกินไปแล้ว”
“สำหรับข้าเจ้าก็เหมือนลูกแก้ว ลูกแก้วอาจแตกได้ทุกเมื่อจึงต้องดูแลประคบประหงมอย่างดี…”
แพทริเซียฟังเสียงลูซิโอกระซิบแผ่วเบาพลางหาวด้วยสีหน้าเหม่อลอย ครู่ต่อมานางก็เรียกลูซิโออย่างอ่อนแรง
“ฝ่าบาท”
“หืม?”
“หม่อมฉันอยากกินสตรอว์เบอร์รีเพคะ”
ได้ยินดังนั้นลูซิโอก็หัวเราะในใจ ที่เขานำเข้าสตรอว์เบอร์รีมากองไว้เป็นภูเขาเลากานับเป็นเรื่องที่เขาทำได้ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในรอบปีจริงๆ ด้วย
“รอเดี๋ยวนะ”
เขาบอกอีกฝ่ายก่อนจะลุกจากเตียงแล้วเดินไปยังโต๊ะที่มีผลไม้ตระกูลเบอร์รีกองพะเนินอยู่ เขาหยิบสตรอว์เบอร์รีใส่จานจนเต็ม ทั้งยังหยิบราสเบอร์รีและอโรเนียที่อยู่ข้างๆ มาเผื่อด้วย ครั้นหยิบใส่จานจนแทบจะล้น เขาก็เดินกลับไปที่เตียงอีกครั้งและถามแพทริเซียด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นชอบกล
“ถ้าขยับตัวไม่สะดวก ให้ข้าป้อนดีหรือไม่”
“จริงหรือเพคะ”
“จริงสิ”
เขารีบยื่นมือไปที่จานแล้วเลือกหยิบสตรอว์เบอร์รีลูกงามที่มีผลแดงที่สุดมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“อ้าปากหน่อย”
แพทริเซียทำตามอย่างว่าง่าย จากนั้นสตรอว์เบอร์รีจากมือของเขาก็เข้าไปอยู่ในปากของนางอย่างราบรื่น แพทริเซียลิ้มรสชาติหอมหวานของสตรอว์เบอร์รีที่กระจายตัวอยู่ในปากแล้วยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ช่างหอมหวานยิ่ง
“ฝ่าบาทก็เสวยสักลูกสิเพคะ”
“แค่ให้เจ้ากินก็จะไม่พอแล้ว”
“มากขนาดนี้น่ะหรือเพคะ”
“ไม่เป็นไร ข้าไม่ค่อยชอบสตรอว์เบอร์รี”
โกหก เขาชอบสตรอวเบอร์รีมาก แต่เขาเลือกที่จะโกหกเพราะสตรอวเบอร์รีไม่ได้หาง่ายถึงขนาดมีให้แบ่งกินกับคนท้องได้อย่างเหลือเฟือ และเขาต้องพูดออกไปเช่นนั้นนางถึงจะสบายใจ ลูซิโอป้อนสตรอวเบอร์รีที่อยู่ในจานเข้าปากแพทริเซียอีกลูก
“จริงสิ ข้าอ่านเจอในหนังสือว่าเด็กในท้องชอบฟังเสียงของพ่อมาก”
“อย่างนั้นหรือเพคะ”
“อืม ดังนั้นต่อไปข้าจะชวนลูกคุยบ่อยๆ”
ลูซิโอโน้มตัวเข้าไปใกล้ท้องของแพทริเซียราวกับจะยืนยันว่าเขาจะทำจริงๆ และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ลูกพ่อ เจ้าเป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิง หืม?”
“ฝ่าบาทนี่ล่ะก็” แพทริเซียหัวเราะ “เรื่องนั้นจะรู้ได้อย่างไรเล่าเพคะ หมอหลวงยังพูดไม่ตรงกันเลย”
“เขาว่าอย่างไรกันบ้าง”
“บ้างก็ว่าเป็นเจ้าหญิง บ้างก็ว่าเป็นเจ้าชาย… แต่หม่อมฉันไม่เชื่อใครทั้งนั้นเพคะ พระองค์อยากได้เพศไหนเป็นพิเศษหรือไม่”
“ไม่หรอก ขอเพียงคลอดออกมาอย่างปลอดภัย จะเป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิงข้าก็ไม่เกี่ยง อย่างไรเขาก็ต้องได้ครองบัลลังก์ต่อจากข้าแน่นอน”
ลูซิโอยิ้มพรายก่อนจะพูดเสริม “แต่ข้าสงสัยจริงๆ ว่าเขาจะเหมือนเจ้าหรือเหมือนข้า ถ้าเป็นเจ้าหญิงจะงดงามแค่ไหน และถ้าเป็นเจ้าชายจะรูปงามเพียงใด ข้าสงสัยจนจะบ้าอยู่แล้ว”
“ยังเลือกเวลาอีกตั้งหลายเดือน พระองค์คิดจะรอต่อไปอย่างไรเพคะ”
“ลูกกำลังเติบโตอย่างตั้งใจอยู่ตรงหน้าข้าเช่นนี้ แม้แต่ช่วงเวลาที่ต้องรอคอยก็ต้องมีความสุขมากแน่ๆ”
“อ่อนโยนจัง”
“ไม่ชอบหรือ”
“ย่อมมิใช่”
แพทริเซียหัวเราะเบาๆ แล้ววางมือลงบนหน้าท้องอย่างเคยชิน นางวาดนิ้วเป็นวงกลมแล้วลูบเบาๆ ลูซิโอมองการกระทำนั้นเงียบๆ ก่อนจะเปิดปากขึ้นมาอีกครั้ง
“พรุ่งนี้ออกไปเดินเล่นด้วยกันดีหรือไม่ ว่ากันว่าถ้าได้ออกกำลังพอประมาณจะดีต่อทั้งแม่และเด็กในท้องนะ”
“ได้เพคะ”
“ริซซี่”
ลูซิโอเอ่ยเรียก ขณะนั้นแพทริเซียยังคงไม่ละสายตาจากหน้าท้องของตนแต่ก็ขานรับ
“เพคะ ฝ่าบาท?”
ทันใดนั้น ลูซิโอก้มลงมาจุมพิตที่ริมฝีปากทำเอาแพทริเซียตกใจตาโต จากนั้นลูซิโอก็ผละออกไป เขาเผยยิ้มพลางกล่าว
“ข้าจะทำให้ดีที่สุด”
“ฝ่าบาท…”
“ข้าไม่รู้ว่าข้ามีคุณสมบัติดีพอที่จะ…เป็นสามีที่ดี เป็นพ่อที่ดีได้หรือไม่…”
เสียงของเขาค่อยๆ สั่นทีละน้อย ขณะที่แพทริเซียกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
“แต่ข้าจะรักเจ้าให้มากที่สุด รักเจ้าและลูกของเรา”
“…ขอบพระทัยเพคะ”
แพทริเซียรู้สึกว่าน้ำตากำลังจะไหลแต่นางก็พยายามคลี่ยิ้มกว้าง ลูซิโอเห็นดังนั้นก็จุมพิตลงบนเปลือกตาทั้งสองข้างของอีกฝ่าย
สุดท้ายแพทริเซียก็ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาหยดหนึ่งอย่างสุดกลั้น
ลูกคนสำคัญที่เติบโตอยู่ในท้องและสามีอันเป็นที่รักที่คอยอยู่เคียงข้าง
คงไม่มีความสุขใดยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว
[ภาคแยก 6] Before the sun rises. (จบบริบูรณ์)
ไอชาเห็นดังนั้นก็กังวลขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
อะไรกัน? หรือฝ่าบาทไม่โปรด?
ไอชาถามแพทริเซียอย่างร้อนใจ “ฝ่าบาท ไม่โปรดของขวัญของหม่อมฉันหรือเพคะ…?”
“เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น…”
แพทริเซียวางช็อกโกแลตลงด้วยสีหน้าสับสน และพูดต่ออย่างคลื่นไส้
“จู่ๆ เราก็ได้กลิ่นหวานๆ จากช็อกโกแลต…”
“…เพคะ?” ไอชาเผลอถามกลับอย่างสับสน
แพทริเซียตอบอย่างอายๆ ถ้าช็อกโกแลตไม่มีกลิ่นหวานๆ แล้วจะให้มีกลิ่นขมๆ หรือไร หญิงสาวปิดกล่องช็อกโกแลตด้วยสีหน้าที่ซีดลงเล็กน้อย
“ขอโทษจริงๆ น่าจะเป็นเพราะช่วงนี้ท้องไส้เราไม่ค่อยดี ไว้เราจะเก็บไว้กินทีหลังนะ”
“เพคะ ฝ่าบาท แต่หากไม่โปรด…”
“เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น ตอนนี้แค่เราไม่ค่อยสบายเท่านั้น”
แพทริเซียรีบพูดเสริมด้วยกลัวว่าไอชาจะเจ็บช้ำน้ำใจ ช่วงนี้อาการของนางไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่คิดว่ากระทั่งกลิ่นช็อกโกแลตก็ทำให้นางรู้สึกพะอืดพะอมได้ อย่างไรก็คงต้องตามมาหลวงมาตรวจเสียหน่อยแล้ว
“…เมื่อครู่ท่านว่าอะไรนะ”
แพทริเซียถามด้วยน้ำเสียงตกใจ แต่หมอหลวงกลับตอบด้วยรอยยิ้ม
“ขอแสดงความยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท พระองค์ทรงพระครรภ์พ่ะย่ะค่ะ”
“พระเจ้า…”
แพทริเซียเอามือปิดปากอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ตั้งครรภ์… ถ้าอย่างนั้น…
‘ข้าตั้งท้องลูกของเขาอย่างนั้นหรือ’
เมื่อคิดได้ดังนั้น ขอบตาของแพทริเซียก็เปียกชื้นไปด้วยน้ำตา
นางมีลูกแล้วจริงๆ!
ตอนที่หมอหลวงวินิจฉัยว่านางไม่ได้เป็นหมันนางก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และไม่คิดว่าจะได้ตั้งครรภ์เช่นนี้
“นะ นานแค่ไหนแล้ว” แพทริเซียถามเสียงสั่น
“ทรงหมายถึง…?”
“ลูกของเรา อายุเท่าไรแล้ว”
“อ้อ ยังไม่มากพ่ะย่ะค่ะ ตามความเห็นของกระหม่อมคิดว่าน่าจะประมาณหนึ่งเดือน”
“อา…”
หนึ่งเดือนก็พอดีกับช่วงที่นางรู้ว่าตนไม่ได้เป็นหมันพอดี เช่นนั้นหรือว่าจะเป็นคืนนั้น…
‘จะว่าไปตอนนั้นก็ฝืนตัวเองอยู่เหมือนกัน’
“อย่างไรกระหม่อมก็ขอแสดงความยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ได้ยินว่าที่ผ่านมาทรงเป็นทุกข์กับเรื่องพระทายาทไม่น้อย”
“ฮ่าๆ…ขอบใจมาก ลอร์ด”
“จะให้กระหม่อมกราบทูลพระจักรพรรดิ หรือว่าพระองค์จะ…”
“เย็นนี้เรามีนัดทานมื้อค่ำกับฝ่าบาทพอดี เดี๋ยวเราเป็นคนกราบทูลเอง”
ครู่ต่อมาแพทริเซียก็ส่งหมอหลวงกลับไปแล้วหันไปมองมีร์ยาที่อยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจอย่างเห็นได้ชัด อีกฝ่ายกำลังร้องไห้ แพทริเซียเห็นดังนั้นก็รู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลตามไปด้วยจึงเผลอกะพริบตาโดยไม่รู้ตัว
“มีร์ยา ข้า…”
“ฝ่าบาท ขอแสดงความยินดีด้วยจริงๆ เพคะ” มีร์ยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื้นตัน “ที่ผ่านมาทรงเป็นทุกข์เพราะเรื่องพระทายาทมามากเหลือเกิน…จากนี้ไปจะมีแต่เรื่องดีๆ เข้ามาแล้วนะเพคะ”
“ยังไม่รู้เลยว่าจะเป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิง”
“หากเป็นเจ้าชายก็จะทรงเป็นมกุฎราชกุมาร[1] หากเป็นเจ้าหญิงก็จะทรงเป็นมกุฎราชกุมารี[2]เพคะ ต่อให้ทรงมีพระประสูติการพระธิดาเพียงพระองค์เดียว เจ้าหญิงพระองค์นั้นก็จะได้เป็นจักรพรรดินี[3]”
เด็กยังไม่ทันเกิดก็พูดเรื่องตำแหน่งเสียแล้ว ยังเร็วเกินไปจริงๆ
แพทริเซียยิ้มน้อยๆ พลางส่ายศีรษะ เหนือสิ่งอื่นใด ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งแค่นางได้อุ้มท้องลูกของผู้ชายที่นางรัก เท่านั้นนางก็พอใจมากแล้ว
“ตอนนี้ข้าเพียงแต่ดีใจที่จะได้เป็นแม่คนเท่านั้น”
“แน่นอนอยู่แล้วเพคะ ฝ่าบาท” มีร์ยายิ้มน้อยๆ แล้วปาดน้ำตา “เรื่องอื่นล้วนเป็นเรื่องรอง เรื่องนี้ต่างหากที่น่ายินดีที่สุด”
“เหลือเวลาอีกเท่าไรกว่าจะถึงเวลานัดทานมื้อค่ำที่ตำหนักกลาง”
“ราวๆ หนึ่งชั่วโมงเพคะ ฝ่าบาท”
แย่จริง ข้าจะรอจนถึงเวลานั้นได้อย่างไร
ที่จริงการไปก่อนเวลาก็ไม่ใช่ปัญหา ลูซิโออาจจะยิ่งดีใจเสียด้วยซ้ำ แต่แพทริเซียเป็นกังวลว่านางจะไปรบกวนเวลาทำงานของเขาหรือไม่ มีร์ยามองออกว่าแพทริเซียรู้สึกอย่างไรจึงกล่าวสนับสนุน
“ฝ่าบาท เป็นเรื่องอื่นก็ช่างเถิด แต่ไม่มีวันใดน่ายินดีไปกว่าวันนี้แล้วนะเพคะ รีบไปกราบทูลพระจักรพรรดิไม่ดีกว่าหรือ”
“เจ้าก็คิดเช่นนั้นหรือ”
“แน่นอนสิเพคะ ฝ่าบาท”
“ได้ ถ้าอย่างนั้น…”
แพทริเซียออกคำสั่งด้วยสีหน้าที่ฉายแววตื่นเต้น
“ช่วยข้าเตรียมตัวทีสิ มีร์ยา”
***
การมาเยือนที่คาดไม่ถึงทำให้ลูซิโอตกใจมากจริงๆ เขาปรารถนาให้นางมาถึงก่อนเวลานัดมาตลอด แต่ด้วยเรื่องงานแพทริเซียจึงไม่เคยมาก่อนเวลานัดเลย
เขาลุกพรวดขึ้นจากที่นั่งแล้วเข้าไปต้อนรับแพทริเซีย
“พระอาทิตย์คงจะขึ้นทางทิศตะวันตก เป็นครั้งแรกเลยที่เจ้ามาก่อนเวลาเช่นนี้”
“ตรัสเช่นนี้หม่อมฉันก็กลายเป็นจักรพรรดินีที่ไร้หัวจิตหัวใจสิเพคะ”
“เจ้าใจร้ายกับเราเสมอนั่นแหละ เจ้าไม่มีทางรู้หรอกว่าเราต้องการความรักความสนใจจากเจ้ามากแค่ไหน”
“หม่อมฉันคิดว่าตัวเองดูแลฝ่าบาทอย่างดีที่สุดแล้วเสียอีก ดูเหมือนจะไม่ใช่สินะเพคะ?”
“จักรพรรดินีอาจจะคิดเช่นนั้น แต่พอดีเราเป็นคนโลภมากน่ะ”
ลูซิโอจุมพิตที่หน้าผากของแพทริเซียอย่างอ่อนโยนแล้วถาม “ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ จู่ๆ ก็ทำอะไรผิดปกติเช่นนี้เราตกใจนะ”
“หากถามว่า…เกิดอะไรขึ้น” แพทริเซียหัวเราะเบาๆ “ก็มีอยู่เรื่องหนึ่งเพคะ แต่ตอนนี้ยังบอกไม่ได้”
“เป็นความลับอย่างนั้นหรือ”
“ก็…ทำนองนั้นเพคะ”
ครั้นเห็นแพทริเซียทำสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องอีกครั้ง ลูซิโอก็คล้ายโมโหที่ถูกกระเซ้าเย้าแหย่จึงพรมจูบหญิงสาวทั่วร่างราวกับจะแกล้ง ทำเอาแพทริเซียหัวเราะคิกคักด้วยความจั๊กจี้
ครู่ต่อมาลูซิโอก็เอ่ยถาม
“ไหนๆ ก็มาก่อนเวลาแล้ว เราทานมื้อค่ำกันเร็วหน่อยดีหรือไม่”
“ก็ไม่เลวนะเพคะ”
“ไม่มีงานอื่นแล้วหรือ? ว่างจนถึงพรุ่งนี้เช้าเลยหรือไม่?”
“ถ้าหม่อมฉันว่างแล้วจะทำไมหรือเพคะ”
“ก็จะรั้งไว้จนถึงมื้อเช้าของพรุ่งนี้เลยน่ะสิ”
“บนเตียงหรือเพคะ”
ครั้นได้ยินคำถามของแพทริเซีย ลูซิโอก็พลันทำสีหน้าทึ่มทื่อก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ
“เรายังไม่ได้พูดถึงขนาดนั้นเสียหน่อย เจ้าคงคาดหวังอยู่กระมัง”
“ก็…”
ถึงจะคาดหวังแต่ก็ทำไม่ได้ไประยะหนึ่ง
แพทริเซียยิ้มอย่างเสียดาย “บนเตียงหม่อมฉันจะนอนอย่างเดียวเพคะ”
“เจ้านี่ชอบพูดให้เราช้ำใจอยู่เรื่อย”
จริงหรือ อีกเดี๋ยวท่านคงไม่คิดแบบนั้น
ในเมื่อแพทริเซียมาก่อนเวลา ทั้งสองจึงเริ่มกินมื้อค่ำเร็วกว่ากำหนด
ขณะกินพุดดิ้งที่อัดแน่นไปด้วยองุ่นเขียว แพทริเซียก็ครุ่นคิดไปด้วยว่าตนควรจะบอกเรื่องนั้นตอนไหนจึงจะทำให้ผู้ชายคนนี้ตกตะลึงได้มากที่สุด
บอกตอนนี้เลยดีไหม? หรือควรรอให้ถึงช่วงเวลาที่เหมาะเจาะกว่านี้?
ขณะที่แพทริเซียกำลังครุ่นคิดอย่างเอาจริงเอาจัง ลูซิโอก็เอ่ยถามขึ้น
“วันนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง”
น้ำเสียงอ่อนโยนของเขาทำให้ริมฝีปากของแพทริเซียปรากฏรอยยิ้มบางๆ วันนี้หรือ…ตอนแรกก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าใด แต่สุดท้ายแล้วดีมาก ข้าได้นั่งมองท่านที่อยู่ตรงหน้า และท่านเองก็มองมาที่ข้าเช่นกัน แล้วก็…
“ดีเพคะ”
วันนี้ข้าได้ยินว่าข้ากับท่านกำลังจะมีลูกด้วยกัน แพทริเซียเผยยิ้มและพูดต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“หม่อมฉันได้ยินข่าวดีมาเพคะ”
“หืม? ข่าวดีอะไรหรือ”
“สงสัยหรือเพคะ”
“แน่นอนสิ หากเป็นข่าวดีสำหรับจักรพรรดินีของเรา นั่นย่อมต้องเป็นข่าวดีสำหรับเราด้วย”
ได้ฟังดังนั้นแพทริเซียก็ยิ้มอย่างปีติยินดี ท่านคงไม่รู้ว่าหากท่านได้ฟังเรื่องนี้ ท่านจะดีใจมากแค่ไหน เพราะเขาก็ปรารถนาที่จะมีลูกไม่น้อยไปกว่านาง
“ฝ่าบาท” หญิงสาวเรียกอีกฝ่ายเสียงสั่น
“หืม?”
“ขอแสดงความยินดีด้วยเพคะ”
“เราหรือ?”
เขาเอียงคออย่างสงสัย แพทริเซียรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลขณะที่พูดต่อ
“ได้ยินว่าปีหน้าพระองค์จะได้เป็นพ่อคนแล้วนะเพคะ”
“…”
ทันใดนั้นลูซิโอก็นั่งตัวแข็งทื่อไม่พูดไม่จา แพทริเซียมองอีกฝ่ายแล้วพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“หม่อมฉันตั้งครรภ์แล้วเพคะ”
พูดจบ แพทริเซียก็จ้องมองลูซิโออีกครั้ง เขายังคงนั่งตัวแข็งทื่อซึ่งนั่นทำให้มุมหนึ่งในใจของแพทริเซียเกิดความรู้สึกวุ่นวายใจเล็กๆ ขึ้น หรือว่า…เขาไม่รู้สึกดีใจเหมือนกับข้า?
“เรื่อง…นั้น”
ผ่านไปครู่ใหญ่ลูซิโอจึงยอมเปิดปาก แพทริเซียรู้สึกประหม่าโดยไม่รู้ตัว
“เป็นความจริงหรือ”
“จริงเพคะ”
ในที่สุดแพทริเซียก็ต้องถามออกไปด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “หรือว่า…พระองค์ไม่ดีใจ?”
“หา?”
“สีพระพักตร์ของพระองค์ดูไม่ยินดีเลย”
ได้ยินดังนั้น ลูซิโอก็ค่อยๆ ลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินเข้าไปหาแพทริเซีย แพทริเซียเงยหน้ามองลูซิโอพลางปิดปากแน่น
ทันใดนั้นลูซิโอก็เรียกหญิงสาวด้วยชื่อเล่น
“ริซซี่”
“เพคะ”
พร้อมกันนั้น เขากอดแพทริเซียไว้แน่น การกระทำปุบปับของเขาทำให้แพทริเซียตกใจกะพริบตาปริบๆ ลูซิโอฝังหน้าลงที่กับของนางพลางกล่าวราวกับกระซิบ
“เจ้าเดาไม่ออกหรอกว่า”
“…”
“ตอนนี้ข้าดีใจมากแค่ไหน”
“แต่หม่อมฉันไม่สบายใจเลยเพคะ เพราะสีพระพักตร์ของพระองค์ดูไม่เป็นเช่นนั้น”
“ข้าขอโทษ” เขารีบขอโทษและพูดต่อทันที “ข้าดีใจจนตกใจน่ะ ต้องใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะรู้ว่านี่เป็นความฝันหรือความจริงกันแน่”
“…”
“ตัวเจ้าอุ่นเช่นนี้ คงไม่ได้ฝันไปสินะ”
“นี่เรื่องจริงเพคะ ฝ่าบาท”
แพทริเซียดึงมือของลูซิโอมาวางเอาไว้บนท้องน้อยของตน
“ในนี้มีลูกของเราอยู่เพคะ”
“จริงๆ นะ…”
ลูซิโอลูบหน้าท้องของแพทริเซียเบาๆ พลางพึมพำ “ข้ามีความสุขจนไม่อยากจะเชื่อเลยล่ะ ริซซี่”
คราวนี้ลูซิโอขยับเข้าไปใกล้แพทริเซียยิ่งขึ้นและมองดูหน้าท้องของนางราวกับมองสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาก้มลงจูบที่หน้าท้องนั้นอย่างนุ่มนวลก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองใบหน้างดงาม ครั้นเห็นรอบดวงตาของเขาเปียกชื้น แพทริเซียจึงรู้สึกวางใจ
นางยิ้มทั้งน้ำตา
“ขอบคุณนะ ริซซี่” เสียงของลูซิโอเริ่มเจือด้วยความสะอื้น “ตอนนี้ข้าไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ข้ามีเจ้าที่ข้ารัก และมีลูกกับเจ้า… ข้ายังจะต้องการความสุขที่มากกว่านี้ได้อย่างไร”
“หม่อมฉันก็ดีใจมากเพคะ”
แพทริเซียกล่าวเบาๆ พลางเฝ้ามองลูซิโออยู่อย่างนั้น นางสงสัยเหลือเกินว่าลูกที่จะได้รับสืบทอดดวงตาสีดำกระจ่างใสนั้นมาจะมีหน้าตาอย่างไร ดวงตาสีนิลที่มีเสน่ห์คู่นี้มองแต่นางเพียงผู้เดียว นางอยากพบลูกที่จะมีดวงตาเหมือนกันนี้เร็วๆ ตอนนั้นเองลูซิโอก็หันมาหา แพทริเซียหลับตาลงโดยอัตโนมัติแล้วจูบแสนหวานก็มาเยี่ยมเยียน
‘นี่ไม่ใช่ความฝันจริงๆ ใช่ไหม’
นางสัมผัสได้อย่างชัดเจน ทั้งริมฝีปากของเขาที่จูบนาง ทั้งสัมผัสอบอุ่นของเขาที่โอบรอบตัวนาง นี่ต้องเป็นความจริงไม่ผิดแน่ แต่แพทริเซียก็ยังคงไม่สบายใจ
กลัวว่าทั้งหมดนี้จะเป็นแค่ฝันไป
กลัวว่าเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วจะพบว่ามันเป็นเพียงภาพมายาที่ทำให้นางโศกเศร้า
ทว่า หากเป็นเช่นนั้น…
‘ข้าหวังว่าข้าจะไม่ตื่นขึ้น’
ตอนนี้นางมีความสุขเสียจนไม่สนใจอีกแล้วว่ามันจะเป็นภาพมายาหรือความเป็นจริง
[ภาคแยก 5] Finally. (จบบริบูรณ์)
[1] มกุฎราชกุมาร คือ ตำแหน่งรัชทายาทสืบบัลลังก์ที่เป็นบุรุษ
[2] มกุฎราชกุมารี คือ ตำแหน่งรัชทายาทสืบบัลลังก์ที่เป็นสตรี
[3] จักรพรรดินีในที่นี้หมายถึงจักรพรรดิที่เป็นสตรี ไม่ใช่อัครมเหสีของจักรพรรดิ ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Empress เหมือนกัน แต่ในภาษาเกาหลีจะเรียกจักรพรรดิที่เป็นสตรีว่า 여제 (ยอ-เจ) ในขณะที่เรียกจักรพรรดินีที่เป็นอัครมเหสีของจักรพรรดิว่า 황후 (ฮวัง-ฮู)
ภาคแยก 5 : Finally.
(ในที่สุด)
เช้ามืดอันเงียบสงัดที่ทุกคนกำลังหลับใหล
แพทริเซียที่กำลังหลับลึกเริ่มพลิกตัว นางรู้สึกร้อนบริเวณคอจึงพลิกตัวอยู่สองสามทีก่อนจะร้องครางออกมาโดยไม่รู้ตัว
“อืมม…”
ความรู้สึกร้อนที่เริ่มจากบริเวณคอเริ่มกระจายไปทั่วตัว แพทริเซียยังคงนอนหลับตาต่อไปเพื่อกลับเข้าสู่ห้วงนิทรา แต่ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหวกับความรู้สึกแปลกประหลาดที่ลุกลามไปทั่วร่างจึงต้องลืมตาขึ้น
สิ่งแรกที่แพทริเซียทำหลังจากลืมตาคือสำรวจร่างกายของตน นางชันตัวขึ้นและไล่สายตามองลงไปจนกระทั่ง…
“อา”
“…”
จนกระทั่ง…
“ตื่นแล้วหรือ”
พบลูซิโอ
แพทริเซียเอ่ยถามลูซิโอที่วุ่นวายอยู่แถวๆ หน้าอกของตนด้วยเสียงแหบพร่า
“ทำอะไร…อยู่ตรงนั้นคะ”
“แย่จริง”
สีหน้าของเขาแดงระเรื่ออย่างเก้อเขิน จากนั้นเขาก็ตอบคำถามของแพทริเซีย
“ขอโทษนะ ข้านอนดูเจ้าตอนหลับแล้วรู้สึกว่าน่ารักมาก…”
ก็เลยทนไม่ไหว
ครั้นได้ยินคำพูดประโยคหลังของลูซิโอแพทริเซียก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี เขานี่เอาไม่อยู่กู่ไม่กลับแล้วจริงๆ ให้ตายเถอะ เพิ่งจะนอนพักได้ไม่เท่าไรแท้ๆ นี่จะเริ่มอีกแล้วหรือ
“ข้าแค่จูบเอง”
ลูซิโอพูดเสริมหวังจะแก้ตัว แพทริเซียทำสีหน้าไม่เชื่อแต่ริมฝีปากกลับคลี่ยิ้ม เขาชอบนางมากเหลือเกิน ชอบทั้งกลางวันและกลางคืนไม่แปรเปลี่ยน แพทริเซียหัวเราะอย่างมีเสน่ห์พลางรวบผมสีน้ำเงินอมเขียวมาพาดไว้ด้านหนึ่ง ตะวันทอแสงเผยให้เห็นไหล่ขาวเนียน
“ไม่เหนื่อยบ้างหรือคะ”
“ไม่ค่อยนะ…?”
ช่างเป็นบุรุษที่มีพละกำลังล้นเหลือจริงๆ แพทริเซียชื่นชมในใจแล้วจุมพิตเบาๆ ที่ปากของลูซิโอตามความเคยชิน ขณะที่ค่อยๆ ผละออก ทันใดนั้นนางก็สบตากับลูซิโอ แสงสลัวยามรุ่งสางสะท้อนในดวงตาของเขาและเปล่งประกายงดงาม
‘สวยจัง’
จู่ๆ นางก็อยากจุมพิตที่ดวงตาสีนิลคู่สวยนั้น แพทริเซียเผยอปากเล็กน้อยและค่อยๆ โน้มตัวเข้าไปหาลูซิโอ ถ้าเข้าไปใกล้อีกนิด ริมฝีปากของข้าอาจได้สัมผัสกับดวงตาของเขา แต่ทันใดนั้นริมฝีปากที่เผยอออกเล็กน้อยของนางก็ถูกบางสิ่งที่นุ่มหยุ่นรุกล้ำ แพทริเซียตกใจกับเหตุการณ์เหนือคาดจนเผลอทิ้งตัวไปด้านหน้า
“อ๊ะ…!”
เมื่อปากอ้ากว้างด้วยความตกใจ อีกฝ่ายก็สบโอกาสรุกคืบเข้ามาอย่างรุนแรง แม้จะเป็นท่าทางที่ยากต่อการจูบ แต่ลูซิโอก็ทำสำเร็จจนได้
แพทริเซียส่งเสียงหอบกระเส่าอย่างไรเรี่ยวแรง
“ฮา…”
“ถ้าเจ้าเหนื่อยให้ข้าอยู่ด้านบนไหม”
“เรื่องแบบนั้น…อื้อ!”
เสียงครางสั้นๆ ดังผ่านหูของลูซิโอ ทันใดนั้นเขาก็ขยับตัวเร็วขึ้นราวกับถูกกระตุ้น แพทริเซียพยายามรวบรวมสติที่หลุดลอยและเรียกอีกฝ่าย
“ลู..ซิโอ”
“เจ้าเรียกชื่อข้าเช่นนี้” เขากระซิบเสียงทุ้มต่ำ “รู้สึกดีชะมัด”
“อ๊ะ!”
ทั้งสองสลับตำแหน่งกันในเสี้ยววินาที แพทริเซียเบิกตากว้างด้วยความตกใจในขณะที่ลูซิโอมองนางอย่างรักใคร่เป็นที่สุดก่อนจะเริ่มจูบอีกครั้ง แต่สองริมฝีปากประกบกันได้ไม่นาน ลูซิโอก็ค่อยๆ ลากริมฝีปากลงต่ำ
“อา…จะทำอีกจริงๆ หรือคะ”
“ไม่เป็นไร ทุกคนหลับอยู่”
“น่าจะตื่นกันบ้างแล้วนะคะ”
“ข้าจะทำเบาๆ…นะ?”
“แต่ข้าไม่มั่นใจเลยว่าจะเบาได้”
ได้ยินดังนั้น ลูซิโอที่กำลังวุ่นวายอยู่แถวๆ กระดูกไหปลาร้าก็ชะงักไป ตอนนั้นเองแพทริเซียจึงได้พักหายใจพลางคิดว่า ‘ทีนี้คงจะหยุดแล้วกระมัง’ แต่นางคิดผิด
ลูซิโอขยับขึ้นมาอยู่ในระดับสายตาเดียวกันอีกครั้ง แพทริเซียมองอีกฝ่ายด้วยแววตาสงสัย ทันใดนั้นเขาก็เลื่อนมือลงไปด้านล่าง ไม่นานแพทริเซียก็หลุดเสียงร้องออกมา
“อ๊ะ…อุ๊บ!”
เสียงของแพทริเซียถูกริมฝีปากของลูซิโอกลืนหายไปในเสี้ยววินาที
ไม่ว่าจะมีเสียงอะไรเกิดขึ้นในปากลูซิโอก็ไม่สนใจ
เขาครอบครองริมฝีปากของแพทริเซียจนไม่เหลือช่องว่าง ครู่หนึ่งหลังจากนั้นเขาก็หยุดการกระทำทุกอย่างแล้วผละออก แพทริเซียมองอีกฝ่ายอย่างงุนงง ลูซิโอจึงยิ้มให้บางๆ แล้วกระซิบที่ข้างหูของคนรัก
“เป็นอย่างไร? ทำแบบนี้ก็ได้แล้วใช่ไหม”
อ่า ถูกเกลี้ยกล่อมโดยสมบูรณ์เสียแล้วสิ
***
ต้องเป็นเพราะเรื่องเมื่อตอนเช้ามืดเป็นแน่
แพทริเซียยกมือขวาขึ้นกุมศีรษะที่ปวดตุบๆ เมื่อเช้านางรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว สุดท้ายนางก็ปวดหัวข้างเดียวอย่างรุนแรงมาจนถึงช่วงสาย แพทริเซียพยายามอดทนต่ออาการปวดเพื่อทำงาน แต่ยังไม่ทันพ้นเที่ยง สุดท้ายนางก็ต้องเรียกหามีร์ยา
“ฝ่าบาท ทรงเรียกหาหม่อมฉันหรือเพคะ”
“ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย…”
แพทริเซียเค้นเสียงพูดต่อ “วันนี้มีกำหนดการอะไรหรือไม่”
“บ่ายสองวันนี้มีนัดดื่มชากับเลดี้ไอชาเพื่อหารือแผนการจัดเตรียมงานเลี้ยง ตอนหกโมงมีนัดเสวยพระกระยาหารกับฝ่าบาทเพคะ กำหนดการที่เป็นงานส่วนนอกมีเพียงเท่านั้น ส่วนงานภายในที่ต้องจัดการก็มีเท่าที่หม่อมฉันนำเอกสารมาให้เพคะ”
“เฮ้อ…”
ทำไมนัดดื่มชาที่มีนานทีปีหนจะต้องมาตรงกับวันนี้ด้วยนะ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าอ้างว่าไม่สบายแล้วยกเลิกนัดกินมื้อค่ำกับลูซิโอ เขาคงจะมาเฝ้าถามว่าไม่สบายตรงไหนและทำเป็นเรื่องใหญ่อีกเป็นแน่ แค่อาการปวดหัวเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ต้องพักสักครู่จึงจะดีที่สุด แพทริเซียครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เลื่อนนัดดื่มชากับเลดี้ไอชาออกไปสักหนึ่งชั่วโมง ส่วนนัดทานมื้อค่ำกับฝ่าบาทให้เป็นไปตามนั้น งานเอกสาร…คงไม่เสร็จภายในวันนี้ เลื่อนไปเป็นพรุ่งนี้ได้หรือไม่”
“เพคะ ฝ่าบาท โชคดีที่ไม่ใช่เรื่องด่วน”
เท่านี้ก็โล่งอก แพทริเซียยิ้มบางๆ พลางซวนเซลุกจากที่นั่ง มีร์ยาเห็นดังนั้นก็ตกใจรีบวิ่งเข้าประคอง
“ฝ่าบาท!”
“ไม่ต้องเอะอะไป ข้าไม่เป็นไร”
แพทริเซียว่าพลางยิ้มน้อยๆ ให้มีร์ยาสบายใจ แต่ดูเหมือนมีร์ยาจะไม่เชื่อ
“หม่อมฉันจะไปตามหมอหลวงเพคะ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“แค่ปวดหัวนิดหน่อยเท่านั้น ฝืนตัวเองมากไปก็แบบนี้แหละ” แพทริเซียอธิบายอาการของตนอย่างนุ่มนวล และพูดต่อ “ได้นอนสักหน่อยก็น่าจะดีขึ้นแล้ว มีร์ยา ไม่ต้องเอะอะไปหรอก”
“หม่อมฉันอยากให้ฝ่าบาทให้ความสำคัญกับพระวรกายให้มากกว่านี้นะเพคะ”
“ไม่ต้องห่วง ในยามค่ำคืนพระจักรพรรดิก็ทรงให้ความสำคัญกับเรื่องนั้นอย่างเพียงพอแล้วล่ะ”
“ฝะ ฝ่าบาท!”
การโต้กลับของแพทริเซียทำเอามีร์ยาหน้าแดง แม้จะไม่ค่อยสบายแต่แพทริเซียก็เผยยิ้มบางๆ พลางตบหลังมีร์ยาเบาๆ สุดท้ายมีร์ยาก็ประคองแพทริเซียมาถึงเตียง แพทริเซียบอกมีร์ยาว่านางจะไม่รับอาหารกลางวันและให้มาปลุกตอนบ่าย 2 โมงก่อนจะผล็อยหลับไป
แพทริเซียนอนไปได้สองชั่วโมงก็ตื่นขึ้น และใช้เวลาเตรียมตัวอีกหนึ่งชั่วโมงเพื่อออกไปต้อนรับเลดี้ไอชา แพทริเซียเตรียมชาแดงจากเมืองแคนดีที่อีกฝ่ายโปรดปรานไว้ให้และมานั่งที่โต๊ะรับรองด้วยสีหน้าที่ดีขึ้นมากกว่าเมื่อครู่
ไม่นานไอชาก็เข้ามา
“ถวายบังคมพระจักรพรรดินี จันทราผู้งดงามแห่งจักรวรรดิ ขอมาวินอสจงมีแต่ความรุ่งเรือง”
ไอชาทำความเคารพอย่างสง่างาม เห็นดังนั้นแพทริเซียก็เผยยิ้มต้อนรับและเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลงด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“นั่งก่อนสิ เลดี้ไอชา ต้องขอโทษด้วยที่เปลี่ยนเวลานัดกะทันหัน”
“หามิได้เพคะ ฝ่าบาท” ไอชาตอบอย่างนอบน้อม “ได้ยินจากมาร์เชอเนสพรินสกีว่าพระวรกายของฝ่าบาทไม่สู้ดีนัก ที่จริงเรื่องนั้นทำให้หม่อมฉันกังวลใจทีเดียว คิดว่าควรจะยกเลือกนัดวันนี้ไปก่อน…”
“ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว ได้นอนงีบหนึ่ง ดีขึ้นมากทีเดียว”
“โล่งอกไปทีนะเพคะ ฝ่าบาท เช่นนั้นเข้าเรื่องกันเลยดีไหมเพคะ…”
ไอชายิ้มบางๆ แล้วเปลี่ยนหัวข้อเข้าธุระของตนทันที สภาพร่างกายของแพทริเซียดีขึ้นกว่าเมื่อครู่จึงสามารถสนทนาโต้ตอบกับอีกฝ่ายได้อย่างลื่นไหลมิได้ลำบากอะไร ผ่านไปราวสองชั่วโมง การสนทนาของทั้งคู่ก็ใกล้จะสิ้นสุดลงเต็มที เมื่อใกล้จะหมดเรื่องให้พูดคุย ไอชาก็เปลี่ยนหัวข้อไปคุยเรื่องที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว
“หม่อมฉันได้ยินข่าวแล้วนะเพคะ ฝ่าบาท”
จู่ๆ ไอชาก็กล่าวขึ้นโดยไม่มีหัวมีท้าย แพทริเซียจึงมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าสงสัย
“เรื่องที่ทรงไม่ได้เป็นหมัน” ไอชายิ้มพรายพลางตอบ
“อ้อ”
แพทริเซียเผลอยิ้มออกมา ไอชาเองก็คอยสังเกตสีหน้าของแพทริเซียอย่างระมัดระวัง แม้สุดท้ายแล้วจะเป็นไปในทางที่ดีก็ตาม แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นหัวข้อที่ละเอียดอ่อน สิ่งที่สำคัญที่สุดย่อมต้องเป็นสีหน้าของผู้ฟังอย่างแพทริเซีย เมื่อไอชาเห็นว่าแพทริเซียรับฟังโดยไม่มีท่าทีไม่พอใจ นางจึงเริ่มต่อบทสนทนาอีกครั้ง
“ความรักใคร่กลมเกลียวของทั้งสองพระองค์โด่งดังทั่วเมืองหลวง ดังนั้น ตอนที่พระจักรพรรดิประกาศจะแต่งตั้งพระสนมเพียงเพราะปัญหาเรื่องรัชทายาท หม่อมฉันรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ เพคะ”
“เราก็ดีใจเช่นกันที่ทุกอย่างจบลงด้วยดี” แพทริเซียตอบด้วยรอยยิ้ม
เรื่องที่แพทริเซียไม่ได้เป็นหมันได้รับการรับรองจากหมอหลวงทุกคนในพระราชวัง ดังนั้น คนที่ต้องพะวักพะวนใจย่อมต้องเป็นพิทูเนียที่ยังไม่ทันได้รับการแต่งตั้งเป็นสนมก็ประพฤติตัวล่วงเกินจักรพรรดินีในงานเลี้ยงเมื่อไม่นานมานี้ อีกทั้งลูซิโอยังประกาศไม่รับสนมโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น ส่วนเหล่าขุนนางก็พูดอะไรไม่ได้เพราะเดิมทีที่ประกาศรับสนมก็เนื่องมาจากปัญหาเรื่องรัชทายาท
“ได้ยินว่าช่วงนี้เลดี้เบลินซ์เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านเพคะ และด้วยเรื่องที่นางเคยล่วงเกินฝ่าบาท ผู้ที่เคยจะมาสู่ขอก็พากันหลบลี้หนีหน้าด้วยเกรงว่าจะพลอยถูกฝ่าบาทไม่พอพระทัยไปด้วย”
“เราก็มิได้ไม่พอใจนางถึงขนาดนั้น…แค่รู้สึกว่าคำพูดของนางมันเกินไปหน่อย”
“อย่างไรก็เป็นเรื่องที่ดีต่อฝ่าบาทนะเพคะ เพราะเรื่องนี้ พระราชอำนาจของฝ่าบาทจึงเพิ่มขึ้นอีกขั้นมิใช่หรือ”
แพทริเซียยิ้มละมุนแทนคำตอบ ไอชามองรอยยิ้มนั้นเงียบๆ ก่อนจะร้อง ‘อ้อ’ ขึ้นมาราวนึกอะไรได้
“เกือบลืมไปเลยว่าหม่อมฉันมีของมาถวายฝ่าบาทเพคะ”
“ให้เราหรือ”
จากนั้นนางกำนัลก็นำกล่องของขวัญใบหนึ่งมาวางตรงหน้าแพทริเซียที่มีสีหน้าฉงน
“ได้ยินว่าหมู่นี้ฝ่าบาทเสวยอะไรก็ไม่ถูกปาก ทรงถามหาแต่ขนมหวาน หม่อมฉันจึงคิดว่าน่าจะโปรดสิ่งนี้…” เลดี้ไอชาอธิบาย
เมื่อเปิดกล่องออก ช็อกโกแลตหลายแบบหลากสีก็ปรากฏต่อสายตา เมื่อเห็นขนมหวานที่ตนชอบที่สุด แพทริเซียก็เผยยิ้มแล้วหยิบช็อกโกแลตก้อนกลมที่อยู่ใกล้มือที่สุดขึ้นมา
“ขอบใจมาก เรากำลังกังวลอยู่ทีเดียวที่ช่วงนี้ไม่ค่อยอยากอาหาร…”
“พระองค์ทรงงานหนักเกินไปน่ะสิเพคะ ฝ่าบาท อีกหน่อยยังต้องมีพระประสูติการองค์รัชทายาท ดังนั้น โปรดถนอมพระวรกายด้วยเถิดเพคะ”
“นั่นสินะ”
แพทริเซียยิ้มกว้างก่อนจะลิ้มรสช็อกโกแลต
“อ๊ะ…”
ทันใดนั้นแพทริเซียก็นิ่วหน้าเล็กน้อย
แพทริเซียเดินไปตามทางที่มุ่งหน้าสู่ตำหนักกลาง นางคิดถึงลูซิโอเหลือเกิน และนางต้องได้พบหน้าเขาเดี๋ยวนี้เท่านั้น แม้ตอนแรกนางจะพยายามก้าวเดินอย่างเยือกเย็น ทว่า…
รู้ตัวอีกที แพทริเซียก็พบว่าตัวเองกำลังวิ่ง
ปกติแล้วแพทริเซียเป็นคนให้ความสำคัญกับความสง่างามและความสุขุม แต่เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ นางกำนัลที่ตามหลังมาจึงงงกันเป็นแถบและพลอยวิ่งตามไปด้วย
“ฝ่าบาท…ฝ่าบาทอยู่ข้างในหรือไม่”
หัวหน้านางกำนัลตำหนักกลางก็ดูจะตกใจไม่แพ้กัน นี่เป็นครั้งแรกที่จักรพรรดินีผู้ซึ่งสง่างามอยู่เสมอปรากฏตัวในสภาพไม่เรียบร้อยเช่นนี้
แม้จะตกใจ แต่นางก็ตอบอย่างนอบน้อม “เพคะ ฝ่าบาท พระจักรพรรดิกำลังทรงงานอยู่ด้านในเพคะ”
“เราต้องพบฝ่าบาท รีบกราบทูลเร็วเข้า”
“เพคะ ฝ่าบาท”
หัวหน้านางกำนัลปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติก่อนจะพูดด้วยเสียงอันดัง
“ฝ่าบาท พระจักรพรรดินีเสด็จเพคะ”
“รีบให้นางเข้ามา”
“เชิญเสด็จเพคะ”
ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก แพทริเซียกำชับอย่างหนักแน่นห้ามใครเข้าไปข้างในเด็ดขาด ก่อนจะยกชายชุดเดรสแล้วก้าวฉับๆ เข้าไปในห้องอย่างตื่นเต้นดีใจ นี่เป็นครั้งแรกที่นางมีท่าทีกระตือรือร้นขนาดนี้ คล้อยหลังแพทริเซียที่วิ่งเข้าไปในห้อง หัวหน้านางกำนัลตำหนักกลางก็หันไปมองเหล่านางกำนัลของแพทริเซียด้วยสีหน้าสงสัยเพื่อขอคำอธิบาย แต่นางกำนัลเหล่านั้นก็ได้แต่ส่ายหน้า เพราะพวกนางเองก็ไม่รู้ที่มาที่ไปเช่นกัน
“ฝ่าบาท”
แพทริเซียเอ่ยเรียกลูซิโอที่กำลังอ่านเอกสารอยู่ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ลูซิโอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร เมื่อเห็นว่าเป็นแพทริเซีย เขาก็ยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ
“ไหนเมื่อครู่บอกให้เราไปหา ไม่ทันไรก็ทนไม่ไหวจนต้องมาหาเราก่อนเลยหรือ”
“ฮึก…”
เพียงได้ยินคำพูดนั้น สุดท้ายแพทริเซียก็ปล่อยโฮออกมา เห็นดังนั้นลูซิโอที่เป็นฝ่ายพูดกระเซ้าเย้าแหย่ย่อมต้องตกใจเป็นธรรมดา เขาลุกพรวดขึ้นจากที่นั่งแล้วรีบวิ่งมาหาแพทริเซีย
“ริซซี่ เป็นอะไรไป”
ลูซิโอตกใจมากจนเรียกชื่อเล่นของอีกฝ่ายออกมา แต่แพทริเซียก็ไม่ได้รับรู้เรื่องนั้นและยังคงร้องไห้ต่อไป
“ฮึกฮือ ฝ่าบาท…”
“เกิดอะไรขึ้น หืม?”
ลูซิโอปลอบโยนแพทริเซียด้วยสีหน้าสับสนอย่างมาก สำหรับเขาแล้วนี่เป็นสถานการณ์ที่ชวนสับสนจริงๆ จักรพรรดินีที่มักจะยิ้มน้อยๆ และมอบจุมพิตให้เขา จู่ๆ ก็ร้องไห้ออกมาเช่นนี้! กระทั่งในยามปกตินางก็เป็นคนไม่ค่อยร้องไห้ การที่คนอย่างนางร้องไห้ออกมานั่นหมายความว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่ที่ร้ายแรงจริงๆ
สีหน้าของลูซิโอดูเศร้าหมองเพราะความเป็นห่วง
“ริซซี่ ไยเจ้าจึงร้องไห้ ไหนบอกข้าซิ”
แต่ที่สุดแล้วแพทริเซียก็เอาแต่สะอึกสะอื้นไม่ตอบอะไร แปลกมาก แปลกที่ไม่มีคำพูดใดออกมา แค่นางได้เห็นหน้าเขา ได้เห็นว่าเขายิ้มให้ น้ำตาของนางก็พรั่งพรูออกมา แน่นอนว่าที่แพทริเซียร้องไห้อยู่ตอนนี้ไม่ใช่เพราะเสียใจแต่เป็นเพราะดีใจ ทว่า ลูซิโอไม่มีทางรู้เรื่องนั้น เขาพูดกับแพทริเซียด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“เจ้าไปทำอะไรผิดมาหรือ? ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ข้าจะยกโทษให้ทุกอย่าง หรือเกิดอุบัติเหตุขึ้น? ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ในฐานะจักรพรรดิแห่งมาวินอส ข้าจะจัดการให้เจ้าเอง หรือหากเป็นเพราะเรื่องสนม… ”
“ฝ่าบาท”
ในที่สุดแพทริเซียก็หยุดร้องไห้และเงยหน้าขึ้น ใบหน้าของนางเปียกชื้นด้วยน้ำตา ลูซิโอเห็นดังนั้นก็รู้สึกถึงโทสะที่พลุ่งพล่านอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ
ใครมันบังอาจทำให้ใบหน้าจักรพรรดินีของข้าต้องมีรอยน้ำตาเช่นนี้
ไม่ว่าจะเกิดจากอะไร หรือเพราะใคร เห็นทีเขาจะยกโทษให้ไม่ได้
“ใช่แล้ว ริซซี่ ไม่ร้องนะ ไหนค่อยๆ เล่ามาซิ”
ลูซิโอกักเก็บความโกรธนั้นไว้เพียงในใจ สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการปลอบแพทริเซีย ลูซิโอปลอบโยนแพทริเซียด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับปลอบเด็กเล็ก แพทริเซียเห็นท่าทีของอีกฝ่าย น้ำตาก็มาคลออีกครั้ง แต่นางก็พยายามกลั้นไว้อย่างสุดความสามารถแล้วค่อยๆ เปิดปาก
“ฝ่าบาท หม่อมฉัน…”
“ว่าอย่างไร ริซซี่”
“หม่อมฉันไม่ได้เป็นหมันเพคะ”
“อืมๆ อย่างนี้นี่…”
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ลูซิโอก็ตั้งใจบอกว่าไม่เป็นไร ดังนั้นลูซิโอจึงตอบออกไปโดยไม่ทันคิด แต่สักพักเขาก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติจึงค่อยๆ เงียบเสียง ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ถามขึ้นมาอีกครั้งด้วยสีหน้ามึนงง
“…เจ้าว่าอะไรนะ”
“หม่อมฉัน” แพทริเซียกลืนน้ำลายและพูดออกมาอีกครั้ง “ไม่ได้เป็นหมันเพคะ ฝ่าบาท”
“นั่น…หมายความว่าอย่างไร”
“ตามที่กราบทูล หม่อมฉันไม่เคยเป็นหมันเพคะ”
ลูซิโอดึงแพทริเซียเข้ามากอดแนบอกก่อนที่นางจะพูดจบประโยค หญิงสาวอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่มอย่างสงบ นางรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนรุนแรงที่อกซึ่งแนบชิดอยู่กับอกของลูซิโอ นั่นเป็นเสียงการเต้นของหัวใจของเขา ดูเหมือนเขาจะตื่นเต้นมากเสียจนแรงสั่นสะเทือนส่งมาถึงอกของแพทริเซีย ทำให้อกของนางสั่นไปด้วย
แพทริเซียปล่อยให้น้ำอุ่นๆ ไหลออกจากตาและเรียกอีกฝ่าย
“ฝ่าบาท…”
“ริซซี่ นั่น…เป็นเรื่องจริงหรือ”
“เป็นเรื่องจริงเพคะ ฝ่าบาท” น้ำตาพรั่งพรูออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของแพทริเซีย “เป็นเรื่องจริงที่ไม่มีคำโป้ปดแม้ครึ่งคำ หม่อมฉันเองก็…สามารถให้กำเนิดลูกของฝ่าบาทได้เพคะ”
“อา!”
ลูซิโอร้องอุทานออกมาแล้วกระชับอ้อมแขนกอดรัดแพทริเซียแน่นขึ้น สาบานได้เลยว่านี่เป็นคำพูดที่เขาได้ยินแล้วรู้สึกดีใจที่สุดในรอบปี ดวงตาของลูซิโอแดงก่ำโดยไม่รู้ตัว เขาค่อยๆ ดันตัวแพทริเซียออกจากอกแล้วสบตากับนาง
“เรื่องเป็นอย่างไรมาอย่างไรกันแน่ ริซซี่”
“เรื่องมันยาวเพคะ”
แพทริเซียยิ้มบางๆ แล้วพาเขาไปที่เตียง ทั้งคู่นั่งลงเคียงข้างกันที่ขอบเตียง แพทริเซียครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าควรจะเริ่มเล่าจากตรงไหน จากนั้นนางก็เริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดจากตอนที่ได้พบกับชายชราไปจนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ครั้นเล่าจนจบแล้วนางก็ยังคงไม่เผยสีหน้าเหนื่อยล้าให้เห็นและพูดกับลูซิโอต่ออย่างตื่นเต้นดีใจ
“…ด้วยเหตุนั้น หม่อมฉันจึงไม่เคยเป็นหมันเพคะ”
“…”
ทว่า สีหน้าของลูซิโอกลับเศร้าหมอง แพทริเซียเห็นดังนั้นก็รู้สึกถึงลางร้ายที่โฉบผ่านหน้า
“ฝ่าบาท”
หรือว่า…เขาไม่ยินดีที่ข้ามีลูกได้?
“ไม่…ดีใจหรือเพคะ”
“ริซซี่”
เขาเอ่ยปากด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจนแพทริเซียพลอยมีสีหน้าเคร่งเครียดตามไปด้วย นางรอฟังคำพูดต่อไปของลูซิโอด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“เจ้าคงคิดไม่ถึงหรอกว่าตอนนี้ข้าดีใจมากแค่ไหน”
“แต่เหตุใดสีพระพักตร์ถึง…”
“และเจ้าก็คงคิดไม่ถึงหรอกว่าข้ารู้สึกผิดต่อเจ้ามากแค่ไหน”
“…”
ทันใดนั้นแพทริเซียก็พูดอะไรไม่ออก ลูซิโอเปิดปากอย่างละล้าละลัง
“สุดท้ายแล้ว…ดูเหมือนว่าความโชคร้ายที่เจ้าประสบมาทั้งหมดล้วนเป็นเพราะข้า…”
“ฝ่าบาท”
แพทริเซียเรียกลูซิโอด้วยน้ำเสียงกระจ่างใส เขาเงยหน้าขึ้นมองแพทริเซีย ในขณะเดียวกันแพทริเซียก็กะพริบตาที่เปียกชื้นด้วยน้ำตาอีกครั้งและจ้องมองลูซิโอ
“หม่อมฉันมีเรื่องจะกราบทูลอีกเรื่องเพคะ”
“…”
“ว่าสุดท้ายแล้วเรื่องนั้นก็ทำให้หม่อมฉันได้แต่งงานกับฝ่าบาท และมีความสุขเช่นนี้อย่างไรเล่าเพคะ”
“เท่านั้นยังไม่พอ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงร้าวราน “แม้จะจบลงด้วยดี แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าเจ้าต้องพบกับความเจ็บปวดมากมายกว่าจะมีวันนี้”
“แต่หากฝ่าบาทต้องทุกข์ทรมานเพราะเรื่องนั้น หม่อมฉันจะเสียใจยิ่งกว่านะเพคะ” นางมองเขาด้วยความรักและกระซิบ “ทรงต้องการให้หม่อมฉันเสียใจยิ่งกว่านี้หรือเพคะ ฝ่าบาท”
ลูซิโอส่ายศีรษะเงียบๆ แพทริเซียเห็นดังนั้นจึงเผยยิ้มบาง
“พระองค์เดาไม่ถูกหรอกเพคะว่าตอนนี้หม่อมฉันมีความสุขมากแค่ไหน”
หญิงสาวค่อยๆ ยกมือขึ้นกุมแก้มขวาของเขาเอาไว้
“เพราะฉะนั้น ฝ่าบาท ช่วยกอดหม่อมฉันแทนการตำหนิตัวเองเถิดเพคะ”
จากนั้นก็ยกมืออีกข้างขึ้นกุมแก้มซ้ายของเขา
“หม่อมฉันอยากคลอดลูกของฝ่าบาทเพคะ”
พูดจบ แพทริเซียก็มอบจุมพิตให้เขาทันที
รสจูบในตอนแรกเป็นรสเค็ม
เพราะทั้งสองต่างร้องไห้อย่างหนัก แต่แล้วจูบนั้นก็ค่อยๆ ร้อนแรงยิ่งขึ้นจนรสเค็มเปลี่ยนเป็นรสหวานล้ำ หญิงสาวส่งเสียงราวกับสะอื้นและล้มตัวลงบนเตียงพร้อมกับเขา จากนั้นทั้งสองก็ครอบครองริมฝีปากของกันและกันอย่างดุเดือด และเริ่มเปลื้องผ้าให้กันโดยไม่ต้องมีใครเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
แพทริเซียรักษาคำพูดที่ตนพูดไว้อย่างซื่อตรง คืนวันนั้นนางอยู่ในอ้อมกอดของลูซิโอตลอดทั้งคืนจนกระทั่งรุ่งสางของวันถัดมา เมื่อดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลอยพ้นขอบฟ้านางจึงนอนหมดแรงอยู่ในอ้อมอกของเขา แต่น่าแปลกที่นางไม่รู้สึกง่วงเลย ลูซิโอเองก็เช่นกัน แทนที่จะนอนเขากลับพรมจูบตามร่างกายที่แดงระเรื่อของแพทริเซียที่อยู่ในอ้อมแขนและชวนคุยตลอด ทั้งยังดึงเข้าสู่หัวข้อการวางแผนครอบครัวอย่างเป็นธรรมชาติ
“เจ้าอยากมีลูกสักกี่คน”
อา ข้ายังไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย
จู่ๆ แพทริเซียก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา แต่เมื่อคิดว่าต่อไปนางจะคิดถึงเรื่องนี้สักกี่ครั้งก็ได้ หญิงสาวก็อารมณ์ดีอย่างหาที่สุดมิได้ แพทริเซียนอนตะแคงหนุนอกแกร่งของลูซิโอพลางใช้นิ้วเรียวขาวของตนเขี่ยหน้าอกเขาเบาๆ และพึมพำ
“ข้ากำลังคิดอยู่ค่ะ ท่านล่ะคะ”
“ที่จริงข้าเองก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยเหมือนกัน”
“อะไรกันคะ”
แพทริเซียหัวเราะคิกคัก ลูซิโอมองภาพนั้นอย่างเบิกบานก่อนจะประทับจูบลงบนหน้าผากราบเรียบของนางแล้วตอบ
“สัก…สิบคน?”
“…ท่านคิดจะฆ่าข้าใช่ไหมคะ”
แพทริเซียถามกลับไปอย่างตะลึง ลูซิโอจึงถามกลับมาอย่างไม่เข้าใจ
“มากไปหรือ?”
“จะให้ข้าอุ้มท้องติดต่อกันสิบปีเลยหรือคะ พระเจ้าช่วย ฝ่าบาท ท่านคิดว่ามันเป็นไปได้หรือคะ”
“ได้ยินเจ้าพูดแบบนี้แล้วก็เหมือนจะเป็นไม่ได้”
แต่ครู่หนึ่งให้หลังลูซิโอก็ถามออกมาเช่นนี้ “แต่ถ้าคลอดลูกแฝดก็จะลดลงมาเหลือห้าปีมิใช่หรือ”
“…ฝ่าบาท”
“รู้แล้วๆ ข้าล้อเล่นน่ะ ริซซี่”
เขายิ้มบางๆ และจุมพิตที่กลีบปากของคนรักอย่างหยอกเย้า แพทริเซียหรี่ตาลงข้างหนึ่งรับจุมพิตนั้นและหัวเราะออกมาเบาๆ ลูซิโอมองแพทริเซียด้วยแววตารักใคร่และกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดายอย่างสุดซึ้ง
“ถ้าข้าคลอดลูกได้ด้วยก็คงจะดี”
“ทำไมหรือคะ”
“หากเป็นเช่นนั้น ต่อให้เจ้าเป็นหมันจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องรับสนม และเจ้าก็จะได้ไม่ต้องเศร้าเสียใจกับเรื่องที่ไม่ใช่ความผิดของเจ้าด้วย”
“…แต่เรื่องก็จบลงด้วยดีแล้วนี่คะ”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ” ลูซิโอจูบแก้มแพทริเซียเบาๆ และพูดเสริม “ยังมีอีกหนึ่งสาเหตุ ข้าไม่อยากให้เจ้าเจ็บปวดตอนคลอด”
“เรื่องนั้นอันที่จริงข้าเองก็กลัวอยู่เหมือนกันค่ะ”
“หากข้าแบ่งเบาความเจ็บปวดตอนคลอดลูกได้คงจะดีไม่น้อย”
เขาพึมพำอย่างเป็นทุกข์พลางลูบหน้าท้องแบนราบของแพทริเซียที่ยังไม่มีสิ่งใดเติบโตอยู่ในนั้น ความรู้สึกนั้นช่างแปลกประหลาดจนทำให้แพทริเซียเหม่อลอยไปครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ยปาก
“ท่านก็ช่วยแบ่งเบาความทรมานของการเลี้ยงลูกแทนก็แล้วกันค่ะ”
“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว”
ลูซิโอหัวเราะเบาๆ แล้วจู่ๆ ก็เริ่มจูบแพทริเซียอย่างร้อนแรง ทำให้แพทริเซียซึ่งคิดว่าศึกวันนี้สิ้นสุดลงแล้วอดตกใจไม่ได้
“อา…ฝ่าบาท ยังไม่จบ…อีกหรือคะ” นางถามเสียงแผ่ว
“เจ้าบอกว่าจะอยู่กับข้าจนถึงเช้ามิใช่หรือ”
“ตอนนี้ก็…ฮืม เช้าแล้วนะคะ”
“เช้าคือจนถึงเที่ยงของวันนี้”
ลูซิโอแก้คำพูดของแพทริเซียหน้าตาเฉย เขายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แล้วขบกัดริมฝีปากของนางอย่างเร่าร้อน แพทริเซียยอมรับริมฝีปากที่ทาบทับลงมาจนไม่เหลือช่องว่างและมีลางสังหรณ์ว่า
ผู้ชายคนนี้ไม่คิดจะหยุดจนกว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นกลางท้องฟ้าสินะ
[ภาคแยก 4] Bless his cotton socks! (จบบริบูรณ์)
ถ้วยชายังคงสั่นไหวอย่างต่อเนื่อง แพทริเซียหอบหายใจแรงพลางพึมพำในใจ
อา ขืนเป็นแบบนี้ชาได้หกหมดแน่
แพทริเซียค่อยๆ ขยับมือขณะที่ยังคงหลับตาและประกบปากกับลูซิโอ ถ้วยชาถ้วยนี้ทำให้นางไม่สามารถจดจ่ออยู่กับจูบของลูซิโอได้ แพทริเซียขยับมือสองสามที ในที่สุดนางก็วางถ้วยชาลงบนโต๊ะได้โดยสวัสดิภาพ เมื่อสองมือเป็นอิสระ หญิงสาวจึงใช้มันประคองใบหน้าของลูซิโอไว้ จากนั้นจูบของลูซิโอก็รุนแรงขึ้นราวกับถูกการกระทำนั้นของแพทริเซียกระตุ้น
“อะอือ ฝ่า…”
“ฝ่าบาทเพคะ”
เสียงของมีร์ยาดังมาจากด้านนอก ลูซิโอไม่สนใจเสียงนั้นและยังคงจูบแพทริเซียต่อไป แต่แพทริเซียที่แม้จะหายใจหอบถี่ก็ยังคงตอบรับด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติมากที่สุด
“มะ มีเรื่องอะไร”
“หม่อมฉันพาชายชราที่รับสั่งถึงเมื่อครู่มาแล้วเพคะ”
แย่จริง ทำเสียบรรยากาศเสียแล้ว
แพทริเซียขมวดคิ้วพลางผละใบหน้าออกจากลูซิโอ สีหน้าของลูซิโอตอนนี้เต็มไปด้วยความเสียดาย
“ไม่รู้มาก่อนเลยว่ามาร์เชอเนสพรินสกีจะไม่รู้เวล่ำเวลาขนาดนี้” ลูซิโอบ่นกระปอดกระแปด
“หม่อมฉันก็เพิ่งรู้วันนี้เหมือนกันเพคะ ฝ่าบาท”
แพทริเซียว่าพลางหอบหายใจ จังหวะการหายใจของนางถี่กว่าตอนแรกมาก หากเปิดประตูออกไปทั้งอย่างนี้คงไม่ต่างอะไรกับการป่าวประกาศให้ภายนอกรู้ว่าภายในห้องเกิดอะไรขึ้น แพทริเซียสูดหายใจเข้าลึกๆ สองสามทีเพื่อปรับลมหายใจให้เป็นปกติก่อนจะจุมพิตเบาๆ ที่ริมฝีปากของลูซิโอด้วยความเสียดาย
“พาเขาไปที่ห้องรับรอง มีร์ยา” แพทริเซียกล่าวพลางจัดเสื้อผ้าที่ยับยู่ให้เข้าที่
พูดจบ แพทริเซียก็จูบที่ปลายจมูกของลูซิโอแล้วเอ่ยเสียงกระซิบ
“อีกเดี๋ยวค่อยเสด็จมาใหม่นะเพคะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
ลูซิโอยิ้มพรายแล้วจุมพิตที่หน้าผากของแพทริเซีย หญิงสาวจึงเผยยิ้มอย่างอารมณ์ดี
***
ชายชราอยู่ในสภาพสะอาดสะอ้านจนไม่น่าเชื่อว่าตอนพบกันครั้งแรกเขาจะอยู่ในสภาพนั้น แต่บางทีอาจเป็นพวกข้ารับใช้ที่สั่งให้เขาอาบน้ำล้างตัวเพื่อเข้าวัง แพทริเซียเดินเข้าไปในห้องรับรองพร้อมด้วยรอยยิ้มงดงามบนใบหน้า ชายชราเห็นดังนั้นก็รีบลุกขึ้นจากที่นั่ง แพทริเซียโบกมือเป็นเชิงว่าไม่เป็นไรโดยที่ใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้ม แพทริเซียนั่งลงตรงข้ามชายชราก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“เราเป็นฝ่ายบอกว่าจะส่งคนไปหาแท้ๆ แต่กลับติดต่อไปช้าถึงเพียงนี้ ต้องขออภัยจริงๆ”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท พระองค์มีราชกิจรัดตัว กระหม่อมจึงคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าคงมิอาจเรียกหากระหม่อมได้ในเร็ววัน”
“เช่นนั้นเราขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน” แพทริเซียถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ท่านเป็นใคร รู้จักเราได้อย่างไร”
“ฝ่าบาท…” ชายชราลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็เปิดปากด้วยสีหน้าแน่วแน่ “พระองค์จำกระหม่อมได้หรือไม่”
แพทริเซียส่ายศีรษะช้าๆ “ขอโทษจริงๆ หากเราจำได้เราคงนึกออกทันทีที่เห็น อีกทั้งเราก็จำหน้าคนไม่เก่งเท่าใดนัก”
“มิได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเข้าใจ” ชายชราพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “เป็นไปได้ที่ฝ่าบาทจะจำกระหม่อมไม่ได้ เพราะตอนที่เจอกัน…เวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ตึงเครียด”
“หมายความว่าอย่างไร”
“ตอนคัดเลือกควิเนส กระหม่อมเป็นผู้ตรวจพระวรกายให้ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ”
ตอนนั้นเองแพทริเซียจึงรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยพบอีกฝ่ายมาก่อนจริงๆ หญิงสาวถามกลับทันที
“ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่เหตุใดผู้ที่เคยเป็นถึงหมอหลวงอย่างท่านถึงไปอยู่ในสลัมได้เล่า”
สิ้นคำถามของแพทริเซีย ชายชราก็ค่อยๆ หลับตาลง สีหน้าของเขาดูกระวนกระวายใจอย่างประหลาด ทำให้แพทริเซียรู้สึกหวั่นเกรงขึ้นมา เหตุใดเขาจึงมีสีหน้าเช่นนั้น?
“เพราะกระหม่อมทำความผิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ความผิดหรือ”
“ก่อนจะเข้ามาเป็นหมอหลวง กระหม่อมเคยเป็นหมอประจำตระกูลดยุกวาเซียร์พ่ะย่ะค่ะ”
“แล้ว?”
แพทริเซียจ้องมองชายชราด้วยสีหน้างุนงง ชายชราเห็นสายตานั้นก็รู้สึกทนไม่ได้จึงสารภาพออกมาด้วยความทรมานใจ
“กระหม่อมสังเวยชีวิตของฝ่าบาทเพื่อช่วยคุณหนูทริชาพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร”
“ฝ่าบาท…” คำพูดต่อมาของชายชราช่างน่าตกตะลึง “ไม่ได้เป็นหมันพ่ะย่ะค่ะ”
เขาเคยเป็นเด็กกำพร้ามาก่อน และได้ดยุกวาเซียร์รุ่นก่อนช่วยไว้จนกระทั่งได้กลายเป็นหมอประจำตระกูล วันหนึ่งเมื่อตำแหน่งหมอหลวงว่างลง ดยุกวาเซียร์คนปัจจุบันจึงแนะนำให้เขาเข้ามารับตำแหน่งนี้ เขาจึงกลายเป็นหมอหลวงในที่สุด สำหรับคนที่เคยมีชีวิตน่าสมเพชอย่างเขา ดยุกวาเซียร์เป็นผู้มีพระคุณที่เขาจะไม่มีวันทรยศเป็นอันขาด
ทว่า หลังจากนั้นไม่นานจักรพรรดิองค์ก่อนก็เสด็จสวรรคตและลูซิโอก็ได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิ และต่อมาไม่นานโรสมอนด์ก็เข้ามาเป็นอนุภรรยาของลูซิโอ นางเป็นคนละโมบโลภมาก และกระหายอยากจะเป็นจักรพรรดินี แต่ตอนนั้นนางยังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ ดังนั้น นางจึงต้องการหุ่นเชิดที่จะมารักษาตำแหน่งจักรพรรดินีไว้จนกว่านางจะได้ตำแหน่งนั้นมาครอบครอง
หุ่นเชิดจะเป็นภัยต่อเจ้านายมิได้ และสำหรับโรสมอนด์ จักรพรรดินีที่เป็นภัยต่อนางคือสตรีที่ ‘สามารถให้กำเนิดทายาทได้ทุกเมื่อ’ เพราะหากจักรพรรดินีเกิดมีโอรสขึ้นมา แผนการที่จะกำจัดอีกฝ่ายเมื่อตนมีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นจักรพรรดินีก็จะล้มเหลวไม่เป็นท่า ท้ายที่สุด ในการคัดเลือกควิเนสรอบสุดท้ายโรสมอนด์จึงสุ่มเลือกหมอหลวงมาห้าคนและออกคำสั่ง
“เรื่องอื่นไม่สำคัญ ตรวจแค่ความสามารถในการมีลูกก็พอ”
ตอนแรกหมอหลวงทั้งห้าคนไม่ได้เอะใจกับคำสั่งนั้น เพราะหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของจักรพรรดินีย่อมเป็น ‘การให้กำเนิดทายาทของจักรพรรดิ’
ผู้ที่เขาได้รับมอบหมายให้ตรวจร่างกายคือเลดี้แพทริเซีย เขาตรวจความสามารถในการมีบุตรของนางอย่างละเอียดตามคำสั่ง และผลที่ได้ก็คือปกติดีทุกอย่าง ขณะที่เขากำลังจะไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิเพื่อรายงานผล เขาก็บังเอิญได้ยินโรสมอนด์คุยกับใครบางคนเข้า
“หากทุกคนมีลูกได้จะทำอย่างไรดีคะ ท่านโรสมอนด์”
“หากเป็นเช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้ คงต้องให้เลดี้วาเซียร์เป็นจักรพรรดินี”
“ทำไมล่ะคะ ยิ่งครอบครัวของนางมีอำนาจมากเท่าไรก็ยิ่งปลดออกจากตำแหน่งได้ยากขึ้นมิใช่หรือคะ”
“ถึงกระนั้นเลดี้วาเซียร์ก็ต้องได้เป็นจักรพรรดินี ตอนนี้มีข่าวลือว่าข้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการคัดเลือกจักรพรรดินีแพร่สะพัดทั้งในและนอกเมืองหลวง มีแต่ต้องให้นางเป็นจักรพรรดินีเพื่อสยบข่าวลือพวกนั้น”
จากนั้นครู่หนึ่งโรสมอนด์ก็พูดกลั้วหัวเราะ “อย่าห่วงไปเลย คลารา ต่อให้เลดี้วาเซียร์ได้เป็นจักรพรรดินี แต่ถ้าฝ่าบาทไม่ไปหานาง การตั้งครรภ์ก็เป็นเรื่องที่ไกลตัว อีกอย่างข้าก็มั่นใจ”
“มั่นใจอะไรหรือคะ”
“มั่นใจว่าจะโค่นนางลงจากบัลลังก์ได้”
ฟังมาถึงตรงนี้เขาก็ได้รู้เรื่องราวทั้งหมด สิ่งสำคัญไม่ใช่ ‘ผู้ที่ให้กำเนิดได้’ แต่เป็น ‘ผู้ที่ให้กำเนิดไม่ได้’ ต่างหาก และหากทุกคนเป็น ‘ผู้ที่ให้กำเนิดได้’ ท่านหญิงแห่งตระกูลวาเซียร์ที่เขารักและเทิดทูนก็จะตกเป็นเหยื่อของโรสมอนด์
เขาจะปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด!
ในท้ายที่สุด เขาก็รายงานโรสมอนด์ด้วยคำโกหก
“เลดี้แพทริเซีย…เป็นหมันขอรับ”
เขายังจำรอยยิ้มของโรสมอนด์ในตอนนั้นได้เป็นอย่างดี และแล้วแพทริเซียก็กลายเป็นจักรพรรดินี แม้โรสมอนด์ที่คอยตามรังควานนางจะตายไปแล้ว แต่แพทริเซียก็ยังคงถูกเข้าใจผิดว่าเป็นจักรพรรดินีที่ไม่สามารถมีลูกได้และต้องเอ่ยปากขอให้สามีที่นางรักรับภรรยาคนที่สอง
“ได้อย่างไร…”
ครั้นได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ร่างกายของแพทริเซียก็เริ่มสั่นเทา ท้ายที่สุดแล้วล้วนเป็นเพราะคำโกหกของเขา นางจึงได้ครอบครองมงกุฎจักรพรรดินีในตอนนี้ ชายชราลุกจากที่นั่งแล้วมาคุกเข่าหมอบกราบต่อหน้าแพทริเซีย
“กระหม่อมกลัวว่าความจะแตกจึงหนีไปซ่อนตัวที่โซเบโทพ่ะย่ะค่ะ อย่างน้อยก็คงไม่มีใครคาดคิดว่าอดีตหมอหลวงอย่างกระหม่อมจะไปอยู่ที่นั่น”
“ท่านสังเวยชีวิตเราผู้ไร้ซึ่งความผิดเพื่อช่วยเลดี้จากตระกูลของท่านอย่างนั้นรึ”
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” คำขอโทษของเขามาพร้อมกับหยาดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่า “กระหม่อมมีโทษสมควรตาย ต่อให้พระองค์ประหารกระหม่อมตอนนี้ กระหม่อมก็จะยอมรับแต่โดยดีพ่ะย่ะค่ะ”
“…”
แพทริเซียมองชายชราด้วยสายตาเย็นชา สุดท้ายเรื่องทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้หรอกหรือ เพราะเรื่องราวเบื้องหลังที่ข้าไม่เคยรู้ ข้าจึงถูกตราหน้าว่าเป็นหมัน จนกระทั่งต้องตัดสินใจให้ชายอันเป็นที่รักรับภรรยาอีกคน และแล้วก็ได้มารู้ทีหลังว่าข้าไม่ได้เป็นหมัน
เฮ้อ… นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
แพทริเซียเงยหน้าขึ้นเพื่อไม่ให้ชายชราเห็นดวงตาที่แดงขึ้น นางรู้สึกเหมือนน้ำตาพร้อมจะไหลออกมาเต็มที
เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่แพทริเซียจะรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างที่สุด เรื่องที่ตนมีลูกไม่ได้ทำให้แพทริเซียต้องเศร้าโศกเสียใจ เสียน้ำตา และเจ็บปวดทรมานมาเนิ่นนานเหลือเกิน เมื่อคิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้น สุดท้ายแพทริเซียก็ปล่อยให้น้ำตาหยดหนึ่งไหลอาบแก้มอย่างสุดกลั้น
หญิงสาวเค้นเสียงกล่าว “สิ่งที่ท่านทำกับเราช่างโหดร้ายเหลือเกิน เราต้องกลายมาเป็นจักรพรรดินีทั้งที่ไม่ต้องการก็เพราะเรื่องนั้น ท่านคงคิดไม่ถึงหรอกว่าเราต้องทรมานแค่ไหนเพราะหญิงชั่วคนนั้น และต้องร้องไห้คร่ำครวญเพียงใดที่ถูกตราหน้าว่าเป็นหมัน”
“…”
ชายชราไม่พูดอะไร อาจเป็นเพราะเขามิบังอาจกล่าวคำว่า ‘ขอโทษ’ แพทริเซียทอดสายตาลงไปมองชายชราและกล่าวอย่างเนิบช้า
“แต่ถึงกระนั้น…ก็ขอบคุณที่ท่านมาบอกเรา”
“…อะไรนะพ่ะย่ะค่ะ”
“แม้จะสายเกินไป…แต่ก็ขอบคุณที่อย่างน้อยท่านก็มาบอกเราในตอนนี้”
“ฝ่าบาท กระหม่อม…”
“หากท่านไม่มาบอกเรา เราคงต้องทนดูสามีที่รักไปกอดผู้หญิงคนอื่น และต้องทนเห็นนางมีลูกชาย”
“…”
“ขอบคุณที่ทำให้เราไม่ต้องเห็นภาพนั้น”
พูดจบแพทริเซียก็เรียกหามีร์ยาทันที “มีร์ยา”
“เพคะ ฝ่าบาท”
“เข้ามาที”
มีร์ยาเข้ามาในห้องรับรองทันที ทันใดนั้นนางก็ต้องตกใจกับร่องรอยการร้องไห้ที่อยู่บนใบหน้าของแพทริเซีย แต่แพทริเซียไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะทำหน้าอย่างไรและออกคำสั่งเสียงค่อย
“ช่วยหาบ้านดีๆ ให้คนผู้นี้อยู่ที ที่ไม่ใช่ในโซเบโท เขาเป็นคนมีความสามารถ ดังนั้นไม่ต้องมอบทรัพย์สินเงินทองให้มากเกินไป”
“เพคะ ฝ่าบาท”
“แล้ว…หลังจากนี้ข้าต้องทำอะไรบ้าง”
“อีกสองชั่วโมงเคาน์เตสคราวาขอเข้าเฝ้าด้วยเรื่องการขึ้นค่าแรงของนางกำนัลเพคะ ในส่วนของตอนเย็น…”
“ยกเลิกให้หมด”
“เพคะ?”
มีร์ยาตกใจกับคำสั่งที่ไม่คาดคิด แพทริเซียเป็นคนที่ให้ความสำคัญเรื่องการนัดหมายและกำหนดการมากที่สุด นี่เป็นครั้งแรกที่คนอย่างนางยกเลิกทุกอย่างอย่างกะทันหันเช่นนี้
มีร์ยาเอ่ยถามอย่างสับสน “เกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ”
“ข้าจะใช้เวลาที่ตำหนักกลางตั้งแต่ตอนนี้จนถึงพรุ่งนี้เช้า” แพทริเซียพูดด้วยน้ำเสียงอึดอัดใจ จากนั้นก็พูดเสริมทันที “อ้อ แล้วก็ทิ้งรายชื่อว่าที่สนมพวกนั้นด้วยนะ ไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว”
พิทูเนียกำลังพูดอย่างสนุกปาก ครั้นเห็นว่าเจ้าของเสียงที่พูดแทรกขึ้นมาคือจักรพรรดิลูซิโอ นางก็ยิ้มพรายราวกับมองไม่เห็นสีหน้าโกรธขึ้งของเขา
“ถวายบังคมฝ่าบาท” พิทูเนียทักทายเสียงใส
“จักรพรรดินี ดูเหมือนเลดี้ผู้นี้กำลังเสียมารยาทกับเจ้าอยู่นะ”
ลูซิโอเมินพิทูเนียผู้แสนสดใสแล้วหันไปพูดกับแพทริเซีย พิทูเนียเห็นดังนั้นก็นิ่วหน้าไม่พอใจ ในขณะที่แพทริเซียซึ่งเฝ้ามองอีกฝ่ายมาตั้งแต่ต้นได้แต่ถอนหายใจในใจ
ข้าต้องตาถั่วจนมองคนไม่ออกแล้วเป็นแน่ มัวแต่ดูพื้นฐานครอบครัวจนเลือกสตรีพรรค์นี้มาเป็นพระสนมหรือนี่
แพทริเซียตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย “ไม่รู้สิเพคะ ดูเหมือนเลดี้พิทูเนียไม่คิดว่าการกระทำของตนเป็นการเสียมารยาท… พูดไปอาจกลายเป็นที่ขบขันเสียเปล่าๆ”
“ใครบังอาจเห็นจักรพรรดินีของจักรวรรดิเป็นตัวตลก บอกเรามา ไม่ต้องกังวล”
“มาร์เชอเนสพรินสกี เจ้าพูดเถอะ”
“หม่อมฉันขอกราบทูลตามจริง เลดี้เบลินซ์ ‘ว่าที่พระสนม’ ได้บอกกับพระจักรพรรดินีว่าตนมีความสามารถในการตั้งครรภ์ดีเยี่ยม ไม่ต้องห่วงว่าตนจะเป็นหมันเพคะ หม่อมฉันเห็นว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัวของฝ่าบาท คำพูดของเลดี้จึงนับว่าเสียมารยาทอย่างร้ายแรงจึงได้กล่าวตักเตือน ทว่า เลดี้กลับเห็นว่าชีวิตส่วนตัวของฝ่าบาทเกี่ยวพันถึงความอยู่รอดของจักรวรรดิ และยืนกรานว่าตนไม่ได้พูดอะไรผิด ทั้งยังกล่าวว่าสตรีที่เป็นหมันนับว่าขาดคุณสมบัติของการเป็นจักรพรรดินีเพคะ”
มีร์ยาเรียบเรียงเหตุการณ์แล้วรายงานต่อลูซิโออย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ลูซิโอได้ฟังดังนั้นสีหน้าก็ดำทะมึนไปครึ่งแถบ ตอนนั้นเองพิทูเนียถึงได้รับรู้ถึงความตึงเครียดของสถานการณ์ นางจึงรีบหาทางกู้หน้า
“ฝะ ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้พูดจาเสียมารยาทถึงขนาดนั้นนะเพคะ”
“เช่นนั้นเจ้าจะบอกว่ามาร์เชอเนสพรินสกีกุเรื่องขึ้นมาอย่างนั้นรึ”
“มะ มิได้…”
“เจ้านี่ช่างไร้มารยาทสิ้นดี เลดี้เบลินซ์” ลูซิโอระเบิดโทสะออกมาด้วยสีหน้าดุดัน “เรื่องลูกย่อมเป็นเรื่องของ ‘เราสองสามีภรรยา’ มิใช่ปัญหาที่บุคคลที่สามจะมาสอดปาก หรือต่อให้สอดปากได้ เจ้ากล้าดีอย่างไรมาทำตัวล่วงเกินจักรพรรดินีพูดจาส่งเดชเรื่องคุณสมบัติ! เราสงสัยจริงๆ ว่าเจ้ามาจากตระกูลชนชั้นสูงจริงหรือไม่ มาร์ควิสเบลินซ์อบรมสั่งสอนเจ้ามาเช่นนี้หรือ”
“ไม่ใช่นะเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันเพียงแค่…”
“เราไม่อยากฟังคำแก้ตัว เลดี้เบลินซ์ หากรู้ว่าเจ้าเป็นคนไร้มารยาทถึงเพียงนี้ เราคงไม่ยอมรับคำขอของจักรพรรดินีตั้งแต่แรก”
ดูเหมือนว่าเขาจะโกรธแล้วจริงๆ ลูซิโอจึงกล่าวออกมาเสียงดัง แน่นอนว่านั่นทำให้สายตาทุกคู่หันมาจับจ้องทางนี้ แพทริเซียจึงรู้สึกกระดากอายขึ้นมา แต่ไฟโทสะของลูซิโอก็ยังคงลุกโชนต่อไป
“อีกอย่าง เจ้ากำลังจะได้เป็นสนมมิใช่รึ เช่นนั้นเราคิดว่าแม้เจ้าจะไม่ให้เกียรติหรือให้ความเคารพจักรพรรดินีในฐานะข้าราชบริพาร แต่อย่างน้อยเจ้าก็ไม่ควรกล่าววาจาไร้มารยาทให้นางต้องขุ่นเคืองใจเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่กำลังจะกลายเป็นสมาชิกของราชวงศ์กลับนำเรื่องในรั้วในวังมาพูดในที่สาธารณะเช่นนี้ได้หรือ”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันผิดไปแล้ว โปรดระงับโทสะด้วยเถิดเพคะ”
ในที่สุดพิทูเนียก็เข้าใจสถานการณ์รีบหมอบลงแทบเท้าของลูซิโอ แต่ถึงกระนั้นก็ดูเหมือนว่าความโกรธของลูซิโอไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย เขาเมินพิทูเนียและหันไปถามแพทริเซีย
“จักรพรรดินี ไม่เป็นไรใช่ไหม”
“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ ฝ่าบาท”
“เจ้าไม่ขุ่นเคืองใจหรือ”
“…จะตอบว่าไม่ก็คงเป็นการโกหกเพคะ”
แพทริเซียมองพิทูเนียที่หมอบอยู่แทบเท้าลูซิโอด้วยสายตาเย็นชา แต่เพียงครู่เดียวก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้มีสายตาจับจ้องอยู่มากมาย นางจึงปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ลูซิโอแล้วกระซิบเสียงค่อย
“ดำเนินงานต่อเถอะเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่อยากให้เสียบรรยากาศเพราะหม่อมฉันคนเดียว”
“…”
แม้แพทริเซียจะพูดเช่นนั้นแต่สีหน้าของลูซิโอก็ยังดูเคร่งเครียด
“ขออภัยที่เราทำให้เสียบรรยากาศโดยไม่ตั้งใจ เชิญทุกท่านสนุกกับงานต่อเถอะ”
สิ้นเสียงของลูซิโอ เหล่าชนชั้นสูงที่อยู่โดยรอบก็แยกย้ายกลับที่ของตัวเอง นักดนตรีที่หยุดมือไปครู่ก็เริ่มบรรเลงเพลงต่ออีกครั้ง แต่พิทูเนียยังคงหมอบตัวสั่นเทิ้มอยู่ข้างเท้าของลูซิโอ มิใช่เพราะนางกลัว แต่เพราะนางอับอายและรู้สึกเหมือนถูกเหยียดหยาม
กล้าดีอย่างไรมาดูหมิ่นข้าเช่นนี้!
พิทูเนียกัดริมฝีปากแน่น นางทั้งอับอายและขายหน้าจนอยากจะตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด ลูซิโอมองนางด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะเอ่ย
“เราคงต้องพิจารณาอีกครั้งว่าเลดี้มี ‘คุณสมบัติของการเป็นสนม’ หรือไม่”
พูดจบ เขาก็หมดความสนใจในตัวพิทูเนียอย่างสิ้นเชิง ลูซิโอเข้าไปหาแพทริเซียและเอ่ยถามด้วยความห่วงใย
“สีหน้าไม่ดีเลย ไม่พักสักหน่อยหรือ”
“จะให้หม่อมฉันไปพักด้วยเรื่องแค่นี้คงจะน่าขันเกินไปหน่อยกระมังเพคะ ฝ่าบาท” แพทริเซียยิ้มน้อยๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “หม่อมฉันไม่เป็นไรจริงๆ เพคะ ฝ่าบาท ที่จริงนางก็พูดถูก”
“ริซซี่…”
“ทรงเต้นรำกับหม่อมฉันสักเพลงได้ไหมเพคะ”
แพทริเซียยิ้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นพลางยื่นมือให้ลูซิโอ ลูซิโอมองมือนั้นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนแล้วคว้ามือตรงหน้ามาจับไว้
“เป็นเกียรติอย่างยิ่ง จักรพรรดินี”
งานเลี้ยงจบลงโดยสวัสดิภาพ แต่อารมณ์ของแพทริเซียยังไม่ค่อยสู้ดีนัก นางรู้สึกเจ็บใจกับเรื่องของพิทูเนียอย่างมาก นางไม่มั่นใจที่จะเผชิญหน้ากับพิทูเนียในฐานะสนม ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อคิดว่าพิทูเนียเป็นสนมที่จะต้องให้กำเนิดรัชทายาทในอนาคต แพทริเซียก็ยิ่งคิดว่าจะให้นางเข้ามาเป็นสนมไม่ได้เด็ดขาด โชคดีที่แพทริเซียมีเหตุผลเพียงพอที่จะปลดอีกฝ่ายและบางทีเรื่องนี้อาจช่วยยกระดับอำนาจของตนในฐานะจักรพรรดินีได้อีกด้วย เมื่อตัดสินใจได้แล้วแพทริเซียจึงหันไปสั่งมีร์ยา
“ข้าคงต้องคัดเลือกพระสนมใหม่ เจ้าช่วยนำรายชื่อผู้เข้ารับการคัดเลือกที่รวบรวมไว้คราวก่อนมาให้ข้าทีได้หรือไม่”
“ได้เพคะ ฝ่าบาท” มีร์ยาตอบอย่างนอบน้อมแล้วถามต่อทันที “จริงสิ ฝ่าบาทเพคะ แล้วเรื่องการช่วยเหลือราษฎรยากไร้คราวหน้าจะจัดการอย่างไรดีเพคะ ทรงวางแผนไว้บ้างหรือไม่”
“อ้อ เรื่องนั้นข้า…”
พูดมาถึงตรงนี้แพทริเซียก็พลันขมวดคิ้ว มีร์ยาเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ฝ่าบาท เป็นอะไรไปเพคะ ไม่สบายตรงไหนหรือ”
“ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น…” แพทริเซียยังคงขมวดคิ้วพลางตอบ “ข้าลืมไปเสียสนิทเลย”
“อะไรหรือเพคะ”
“ชายชราคนนั้น ข้าสัญญากับเขาไว้ว่ากลับถึงวังแล้วจะติดต่อไป…”
“หมายถึงที่โซเบโทเมื่อไม่นานมานี้หรือเพคะ”
“ใช่ๆ โซเบโท” แพทริเซียหันไปมองมีร์ยาก่อนจะออกคำสั่ง “ก่อนอื่นเจ้าช่วยพาชายชราคนนั้นมาที่วังที มีร์ยา เป็นไปได้ให้พามาภายในวันนี้เลย ข้าทำให้ผู้อาวุโสต้องรอนานเสียแล้วสิ”
“เพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันจะไปจัดการทันที”
“แย่จริง เวลาผ่านมานานขนาดนี้แล้วหรือนี่ ข้าลืมไปเสียสนิทเลย”
“นั่นเพราะหมู่นี้ฝ่าบาทยุ่งมากน่ะสิเพคะ เขาน่าจะเข้าใจ”
“ฝ่าบาท พระจักรพรรดิเสด็จเพคะ”
ตอนนั้นเองพวกนางก็ได้ยินเสียงนางกำนัลดังมาจากข้างนอก แพทริเซียหุบปากฉับก่อนจะเปิดปากพูดอีกครั้ง
“รีบเชิญเสด็จ”
“ฝ่าบาท เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัว”
คล้อยหลังมีร์ยา ลูซิโอก็เข้ามาในห้องทำงานของแพทริเซีย แพทริเซียยังคงต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้มเช่นเคย
“ฝ่าบาท เสด็จมาด้วยเรื่องอันใดหรือเพคะ”
“ใช่ว่าเราต้องมีธุระจึงจะมาหาเจ้าได้เสียหน่อย”
นั่นก็จริง แพทริเซียยิ้มบางๆ
“รับชาสักแก้วไหมเพคะ”
“เจ้าชงชาเป็นหรือ”
“ให้หม่อมฉันชงให้ได้หรือไม่เพคะ”
“เช่นนั้นย่อมเป็นเกียรติอย่างมาก”
ได้ยินลูซิโอพูดดังนั้น แพทริเซียก็เผลอยิ้มออกมา นางเดินไปจูบแก้มเขาเบาๆ ก่อนจะกระซิบ
“โปรดรอสักครู่นะเพคะ เมื่อไม่นานมานี้หม่อมฉันเพิ่งได้ใบชาดีๆ มาพอดี”
“เราจะตั้งตารอ”
ลูซิโอจูบที่ริมฝีปากของแพทริเซียทีหนึ่งเป็นการตอบรับ แพทริเซียก้าวเนิบๆ ไปยังตู้เก็บชาที่อยู่ในห้องทำงานด้วยสีหน้าที่ปิดรอยยิ้มไว้ไม่มิด ลูซิโอนั่งลงที่โต๊ะรับรองพลางมองไล่หลังไปด้วยความสุขใจ
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น แพทริเซียก็รินชาใส่ถ้วยชาแสนสวยของตนแล้วนำมาให้ลูซิโอ
“ลองเสวยดูสิเพคะ”
“กลิ่นหอมดีนะ”
ลูซิโอยกถ้วยชามาใกล้จมูกเพื่อดมกลิ่น จากนั้นเขาก็ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ชานี้ใสสะอาดเหมือนกับคนชง
“เพิ่งรู้ว่าเจ้ามีความสามารถด้านการชงชาด้วย” เขาว่า
“ก็หม่อมฉันไม่ค่อยมีโอกาสได้ชงชานี่เพคะ อีกอย่าง ถ้าไม่ใช่คนพิเศษหม่อมฉันก็ไม่ชงให้หรอก”
“หมายความว่าเราเป็นคนพิเศษหรือ”
“แน่นอนสิเพคะ ฝ่าบาท” แพทริเซียตอบคำถามทันที และพูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “พระองค์เป็นคนที่พิเศษที่สุดในโลกสำหรับหม่อมฉันเพคะ”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่ง เราเองก็เช่นกัน”
“หม่อมฉันรู้เพคะ”
แพทริเซียหัวเราะคิกคักก่อนจะก้มลงจิบชา ลูซิโอมองอีกฝ่ายเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยปาก
“เรื่องที่งานเลี้ยงคงทำให้เจ้าเจ็บช้ำน้ำใจไม่น้อย”
“….”
ครั้นได้ยินเรื่องที่ทำให้ไม่สบอารมณ์ ริมฝีปากของแพทริเซียก็แข็งทื่อ ลูซิโอเห็นปฏิกิริยานั้นจึงพูดต่อ
“ขอเพียงเจ้าอนุญาต เราก็อยากจะเลือกสนมใหม่ เรื่องอื่นจะเป็นอย่างไรเราไม่สนใจ แต่เราไม่อยากรับสนมที่ไม่เคารพเจ้าเข้ามา”
ได้ฟังดังนั้น แพทริเซียก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ลูซิโอมองปฏิกิริยานั้นอย่างฉงน แพทริเซียจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“ทำอย่างไรดีเล่าเพคะ ฝ่าบาท ที่จริงเมื่อครู่หม่อมฉันก็เพิ่งสั่งให้มาร์เชอเนสพรินสกีนำรายชื่อผู้เข้ารับการคัดเลือกสนมเมื่อคราวที่แล้วมาให้”
“ว่าแล้วเชียว พวกเรานี่เข้าใจกันดีจริงๆ”
“ทรงภาคภูมิใจกับเรื่องแปลกๆ นะเพคะ”
“ร่างกายของเราก็เข้ากันได้ดีมิใช่หรือ”
“เพคะ?”
บรรยากาศที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันทำให้แพทริเซียเบิกตากว้างอย่างทำอะไรไม่ถูก ระหว่างนั้นลูซิโอก็วางถ้วยชาลงแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง ทันใดนั้นเขาก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าแพทริเซียที่ยิ้มแหยก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกันแล้วครอบครองริมฝีปากของหญิงสาวโดยไม่เอ่ยคำพูดใด
“ฝ่า…”
มือข้างหนึ่งของแพทริเซียคว้าคอเสื้อของลูซิโอไว้ด้วยความตกใจ ส่วนอีกข้างกุมถ้วยชาที่ยังพร่องไปได้ไม่ถึงครึ่งไว้แน่น ร่างบางเอนกายไปด้านหลังตามแรงโถมรุนแรงที่ส่งผ่านมาทางริมฝีปาก
ถ้วยชาที่อยู่ที่มือขวาสั่นไหวตามแรง
น้ำชากระเพื่อมจนแทบจะกระฉอกออกมา แต่แพทริเซียกลับรู้สึกดีอย่างประหลาดกับสถานการณ์นี้ หญิงสาวเรียกลูซิโอด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิวกว่าเมื่อครู่
“ฝ่าบาท”
“เรียกชื่อข้า ริซซี่”
น้ำเสียงของเขาเย้ายวนยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ทำให้แพทริเซียเผลอหลับตาแน่น
เอดารีบเข้ามาในห้องพร้อมหอบเครื่องประดับสำหรับพิทูเนียมาเต็มสองมือ
“ขอโทษค่ะ คุณหนู”
เอดาซึ่งมีรูปร่างผอมบางรีบค้อมกายขอโทษ พิทูเนียเจ้าของเรือนผมสีม่วงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่มีพนักตำหนิเอดาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“พวกชั้นต่ำก็แบบนี้! ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าวันนี้มีงานเลี้ยงสำคัญ”
แน่นอนว่านับครั้งไม่ถ้วน พิทูเนียย้ำเรื่องนี้กับสาวใช้หลายต่อหลายครั้งมาตั้งแต่หนึ่งเดือนที่แล้วว่า ‘นี่เป็นงานแรกที่ข้าจะเข้าร่วมในฐานะว่าที่พระสนม ดังนั้น ข้าจะต้องสง่างามกว่าผู้ใดในโลกนี้’ อันที่จริงเอดาคิดว่าคนที่ควรจะ ‘สง่างามกว่าผู้ใดในโลกนี้’ ควรจะเป็นแพทริเซียซึ่งเป็นจักรพรรดินี มิใช่พิทูเนียที่กำลังจะเป็นสนม แต่หากพูดไป นางคงถูกพิทูเนียด่าทอและเฆี่ยนตีเป็นแน่ เอดาจึงเลือกที่จะปิดปากเงียบ
“เร็วสิ! วันนี้ข้าจะไปสายไม่ได้นะ”
“…”
“ทำไมไม่ตอบ”
“ค่ะ คุณหนู เข้าใจแล้วค่ะ”
เอดาตอบไปอย่างเสียไม่ได้ แต่พิทูเนียก็ยังมีท่าทีไม่พอใจเช่นเดิม นางบ่นพึมพำในใจว่า ‘ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรกับพวกชั้นต่ำพวกนี้แล้ว’ และเสยผมไปด้านหลังอย่างรำคาญใจ
***
อีกด้านหนึ่ง คนในตำหนักจักรพรรดินีก็กำลังวุ่นวายกับการเตรียมตัวมากกว่าวันไหนๆ งานวันนี้เป็นงานแรกที่พิทูเนียจะเข้าร่วมในฐานะว่าที่สนม เหล่านางกำนัลแห่งตำหนักจักรพรรดินีจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่ยอมให้บารมีของแพทริเซียต้องมัวหมองเด็ดขาด แพทริเซียไม่ได้รับรู้ถึงความคิดของพวกนาง แม้จะถูกจับแต่งองค์ทรงเครื่องมากกว่าปกติก็มิได้ห้ามปราม
“ฝ่าบาท…วันนี้ทรงพระสิริโฉมงดงามมากเพคะ”
มีร์ยาพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ราฟาเอลาที่อยู่ด้านข้างได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยสนับสนุน
“สวยจริงๆ นะ ฝ่าบาท”
“จะสวยแค่ไหนกันเชียว”
แพทริเซียพูดอย่างไม่ใส่ใจและลุกจากที่นั่งไปยืนอยู่หน้ากระจกแบบเต็มตัว เมื่อเห็นเงาสะท้อนของตัวเองนางก็หัวเราะเบาๆ
“แต่งกันสุดความสามารถเลยนะ”
“วันนี้ต้องตั้งใจหน่อยเพคะ ฝ่าบาท”
มีร์ยากระเซ้า แพทริเซียมองภาพสะท้อนของตัวเองที่ถูกตกแต่งอย่างงดงามด้วยสีหน้าคล้ายลำบากใจเล็กน้อย ตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่มีส่วนไหนที่ไม่อัญมณีประดับอยู่ แค่อัญมณีเม็ดเล็กๆ ที่ประดับอยู่บนมงกุฎก็น่าจะมีเกินหนึ่งพันเม็ดเข้าไปแล้ว ส่วนที่ประดับอยู่บนชุดเดรสก็น่าจะมีจำนวนมากกว่านั้นหลายสิบเท่า สมกับคำว่า ‘สวยจนแสบตา’ แม้แพทริเซียจะชอบของสวยๆ งามๆ แต่ก็ไม่ได้พึงใจกับความงามระดับนี้เท่าใดนักจึงถาม
“ไม่มากเกินไปหน่อยหรือ”
“วันนี้ต้องมากเกินไปแบบนี้แหละเพคะ ฝ่าบาท พระองค์ก็ทรงทราบว่าวันนี้เป็นวันอะไร”
“…”
ได้ยินมีร์ยาพูดดังนั้น แพทริเซียก็เงียบไป ทันใดนั้นเหล่านางกำนัลก็เข้ามาช่วยเปลี่ยนรองเท้าเป็นรองเท้าที่ประดับด้วยอัญมณีดุจเดียวกัน ขณะที่กำลังคิดว่าวันนี้ตนต้องเจ็บเท้าเป็นแน่ก็เอ่ยถามถึงลูซิโอไปด้วย
“ฝ่าบาทเสด็จไปที่งานหรือยัง”
“เห็นว่ายังนะ”
ตอนนั้นเองแพทริเซียก็ได้ยินเสียงที่ไม่เข้าพวก นางจึงหันไปมองที่ประตูและพบลูซิโอในชุดสูทหางยาวสีดำสง่างามยืนอยู่ตรงนั้น ริมฝีปากของแพทริเซียปรากฏรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว
“ฝ่าบาท”
“เขาบอกว่าจะไปสายหน่อย”
“ทำไมหรือเพคะ”
“เห็นบอกว่าจักรพรรดินีงดงามมากจนเขาตาบอด หรือหัวใจหยุดเต้นไปแล้วอะไรนี่แหละ”
“ฮ่าๆ”
แพทริเซียหัวเราะเบาๆ ให้กับความช่างพูดไม่เหมือนในยามปกติของเขา เหล่านางกำนัลปลีกตัวออกไปอย่างรู้งาน เมื่อเหลือกันอยู่สองคน ลูซิโอก็ไม่รีรอที่จะเดินเข้าไปจุมพิตที่หน้าผากของแพทริเซีย
“งดงามเหลือเกิน คิดจะทำให้ข้าหัวใจหยุดเต้นจริงๆ หรือไร”
“วันนี้ขี้โม้จังเลยนะเพคะ”
“ลองถามคนที่เดินผ่านไปผ่านมาดูก็ได้ แล้วเจ้าจะรู้เองว่าข้าไม่ได้พูดเกินจริงเลย”
ลูซิโอยกมือของแพทริเซียขึ้นมาจุมพิตที่หลังมือก่อนจะย้ายไปจุมพิตที่เปลือกตา ครั้นถูกพรมจูบเช่นนั้นแพทริเซียก็หัวเราะคิกคักพลางกล่าว
“พอเถอะเพคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
“ออกไปกันหมดแล้ว ใครจะมาเห็น”
ลูซิโอโอบเอวบางอย่างชำนาญก่อนจะหันหน้าไปมองนาฬิกาเพื่อดูเวลา ยังพอมีเวลา
“ยังมีเวลาอีกนิดหน่อย” เขาจึงกระซิบที่หูของแพทริเซีย
“…คงไม่ได้คิดจะใช้เวลาที่เหลือบนเตียงหรอกนะเพคะ”
“ใจข้าก็อยากทำเช่นนั้น”
ลูซิโอเชยคางของแพทริเซียขึ้น สายตาของทั้งคู่ประสานกัน แพทริเซียกลั้นขำไม่ไหวจึงหลุดหัวเราะออกมา ลูซิโอเห็นว่าท่าทางนั้นช่างดูน่ารักเหลือเกินจึงจูบนางอย่างไม่รีรอ
“อา…ฝ่าบาท”
“ไม่ต้องห่วง” เขารั้งร่างบางเข้ามาชิดแล้วกระซิบ “ข้าจะเหลือเวลาไว้ให้เจ้าเติมปาก”
“อือ…อืม ไม่ใช่อย่างนั้น…”
ริมฝีปากของลูซิโอเลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ แพทริเซียทำอะไรไม่ถูกจนเซแต่เพราะถูกกอดไว้อย่างแนบแน่นนางจึงไม่ได้ลื่นล้มหรือเกิดเรื่องไม่คาดฝัน แต่แพทริเซียก็ยังเบี่ยงตัวหนีพลางพึมพำ
“ฝ่าบาท มะ ไม่เอาตรงที่มองเห็นได้นะเพคะ”
“ข้ารู้”
ใจเขาอยากจะทิ้งรอยไว้ตรงที่ที่มองเห็นได้เท่านั้น เพื่อประกาศว่าผู้หญิงคนนี้คือจักรพรรดินีของเขา ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดจะมาแตะต้อง
‘แต่ข้าต้องเห็นแก่หน้าตาของริซซี่ด้วย’
ดังนั้น วันนี้พอแค่นี้
ลูซิโอจูบแรงๆ ที่ต้นคอของแพทริเซียก่อนจะค่อยๆ ผละออกไป
“เดี๋ยวใครมาเห็นเข้านะเพคะ ฝ่าบาท” แพทริเซียดุเขาทั้งหน้าขึ้นสี
“ก็เห็นไปสิ พวกเราเป็นสามีภรรยากันนี่”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…”
“เห็นแก่ชื่อเสียงของเจ้า นี่ข้าก็อดทนไว้มากแล้วนะ”
ลูซิโอจูบงับปลายจมูกของแพทริเซียเป็นการทิ้งท้ายแล้วกระซิบถาม
“ไม่ต้องการคนไปส่งหรือ”
“แล้วฝ่าบาทไปส่งหม่อมฉันได้ไหมเพคะ”
“แน่นอนสิ”
ด้วยความยินดี จักรพรรดินีของข้า
ลูซิโอยิ้มพรายและควงแขนแพทริเซีย
***
“พระจักรพรรดิและพระจักรพรรดินีเสด็จ”
ลูซิโอและแพทริเซียเข้ามาในงานพร้อมกับเสียงประกาศของข้ารับใช้ จากนั้นทุกคนก็เปิดทางให้ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ถึงสายที่มองมา แพทริเซียจึงเงี่ยหูฟังเสียกระซิบกระซาบเกี่ยวกับตัวเอง
“ได้ยินว่าพระจักรพรรดิจะแต่งตั้งพระสนม แต่ดูเหมือนทั้งสองพระองค์จะยังรักกันดีนะ”
“ไม่รู้หรอกหรือคะว่าพระจักรพรรดินีทรงเสนอให้รับพระสนมด้วยพระองค์เอง ปราดเปรื่องยิ่ง แต่พระจักรพรรดิทรงปฏิเสธเสียงแข็งทีเดียวค่ะ ทว่า สุดท้ายก็ต้องยอมเพราะเหล่าขุนนางเซ้าซี้ไม่เลิก”
“แต่ถ้าไม่แต่งตั้งพระสนมแล้วจะทำอย่างไรล่ะคะ ในเมื่อพระจักรพรรดินีเป็นหมัน!”
“ระวังคำพูดด้วยค่ะ! ข้าได้ยินมาว่าเพื่อพระจักรพรรดินีแล้ว พระจักรพรรดิถึงขั้นจะรับเชื้อพระวงศ์สายรองมาเป็นโอรสบุญธรรมเลยนะคะ”
“พระเจ้าช่วย!”
ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องทำนองนี้
จักรพรรดินีที่เป็นหมันเป็นฝ่ายบอกให้จักรพรรดิรับสนมด้วยตัวเอง ส่วนจักรพรรดิก็ปฏิเสธเพราะตั้งใจจะรับลูกบุญธรรม แต่เมื่อพวกขุนนางเซ้าซี้ไม่เลิก สุดท้ายก็ต้องทำตามความต้องการของจักรพรรดินีอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นทั้งสองก็ยังรักกันดี
‘ไม่สบอารมณ์เลย’
แม้จะเป็นเรื่องที่รู้กันอยู่แล้ว แต่เมื่อได้ยินกับหูก็รู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างประหลาด แค่ทุกคนรู้เรื่องที่นางเป็นหมันก็น่าหงุดหงิดมากพออยู่แล้ว แต่เมื่อมันกลายเป็นเรื่องซุบซิบนินทายิ่งน่าโมโห ตอนนั้นเองลูซิโอก็ปล่อยแขนที่ควงอยู่แล้วเลื่อนมือไปจับมือแพทริเซียไว้แน่น รอบข้างอื้ออึงด้วยเสียงฮือฮาของผู้คน
“ฝ่าบาท…” แพทริเซียเรียกด้วยน้ำเสียงตกใจเล็กน้อย
“อย่าไปสนใจเลย นะ?”
“…เพคะ”
แพทริเซียยิ้มเจื่อนๆ แม้เขาจะบอกว่าไม่ต้องสนใจแต่แพทริเซียจะทำเช่นนั้นได้อย่างไรในเมื่อคนพวกนั้นมานินทากันต่อหน้าแบบนี้ แต่แพทริเซียก็คิดว่าเพื่อลูซิโอแล้วตนไม่ควรแสดงอาการออกไป หญิงสาวจึงพยายามลืมมันไปเสีย
“ฝ่าบาท หม่อมฉันชื่อฟรานเซีย จากตระกูลอัลเลดเพคะ วันนี้ทรงพระสิริโฉมงดงามมากเพคะ!”
“ถวายบังคมฝ่าบาท หม่อมฉันลอเรล จากตระกูลอิราเรลเพคะ”
แม้จะต้องอับอายกับคำนินทาและข่าวลือ แต่แพทริเซียก็ยังถูกห้อมล้อมด้วยผู้คน แพทริเซียรู้ดีกว่าใครว่านี่เป็นปกติของงานเลี้ยง นางไม่ได้แสดงอาการเบื่อหน่ายหรือไม่ชอบ และพยายามพูดคุยกับทุกคนอย่างอ่อนหวาน โชคดีที่คนที่เข้าหานางรู้จักรักษามารยาทไม่เอ่ยถามถึงว่าที่สนมพิทูเนีย
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
ตอนนั้นเองใครคนหนึ่งก็เข้ามาหาแพทริเซีย ใบหน้าที่ไม่คุ้นตาทำให้แพทริเซียเผยสีหน้าสงสัย อีกฝ่ายจึงเอ่ยถามด้วยสีหน้าตกใจเล็กน้อย
“ดูเหมือนจะยังไม่รู้จักหน้าตาของหม่อมฉันนะเพคะ”
“เจ้าเป็นใครหรือ”
“หม่อมฉันพิทูเนีย เมอรีล ลี เบลินซ์เพคะ ฝ่าบาท ได้ยินว่าทรงเลือกหม่อมฉันด้วยพระองค์เอง นึกว่าจะรู้จักหม่อมฉันอยู่แล้วเสียอีก”
พิทูเนีย นี่เป็นชื่อที่คุ้นเคย นางคือคนที่แพทริเซียคัดเลือกมาเป็นสนม
“…เรามิได้เลือกเจ้ามาเป็นสนมเพราะหน้าตา เลดี้พิทูเนีย ตอนเลือกเราไม่ได้ดูหน้าด้วยซ้ำ”
“อ้อ” พิทูเนียกล่าวด้วยสีหน้ากระดากอายเล็กน้อย “อย่างนั้นหรือเพคะ”
“มาถึงที่นี่คงลำบากไม่น้อย สนุกกับงานเถอะ”
“ลำบากอะไรกันเพคะ ฝ่าบาท ในฐานะ ‘ว่าที่พระสนม’ หม่อมฉันย่อมต้องมาร่วมงานเพคะ”
“…”
แม้คำพูดจะดูมีมารยาท แต่ท่าทางของนางหาได้เป็นเช่นนั้น
อา ดูเหมือนข้าจะเลือกได้ไม่ฉลาดเท่าไร
แพทริเซียถอนหายใจในใจ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายถูกกำหนดให้เป็นสนมแล้วไหนเลยจะกลับคำได้
“อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นเราขอให้สนุกกับงานวันนี้แล้วกัน” แพทริเซียพูดราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ขอบพระทัยเพคะ ฝ่าบาท”
พิทูเนียตอบพลางยิ้มน้อยๆ แต่ก่อนหันกายกลับไปนางก็คล้ายนึกอะไรขึ้นได้จึงเปิดปากพูดอีกครั้ง
“จริงสิ ฝ่าบาท ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องของหม่อมฉันนะเพคะ”
“หมายความว่าอย่างไร”
“หลังจากได้รับเลือกให้เป็นสนม หม่อมฉันก็เข้ารับการตรวจร่างกาย ได้ผลออกมาว่าหม่อมฉันมีความสามารถในการตั้งครรภ์ดีเยี่ยมเพคะ หม่อมฉันหมายถึงพระองค์ไม่ต้องเป็นกังวลว่าหม่อมฉันจะเป็นหมันนะเพคะ”
“…”
แพทริเซียตะลึงจนพูดไม่ออก ส่วนสีหน้าของมีร์ยาที่อยู่ด้านข้างถึงกับแข็งทื่อด้วยความเหลือเชื่อ ทันใดนั้นมีร์ยาก็ออกปากตำหนิพฤติกรรมของพิทูเนียด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
“เสียมารยาทนะคะ เลดี้พิทูเนีย”
“คะ? พูดเรื่องอะไรหรือคะ มาร์เชอเนสพรินสกี”
“ชีวิตส่วนตัวของฝ่าบาทนำมาพูดสนุกปากเช่นนี้ได้หรือคะ หากเลดี้เป็น ‘ว่าที่พระสนม’ จริงก็ควรแสดงกิริยามารยาทให้เหมาะสมกับตำแหน่งนั้นนะคะ”
“แต่เรื่องส่วนตัวของฝ่าบาทเกี่ยวพันถึงความมั่นคงของจักรวรรดินี่คะ ยิ่งไปกว่านั้น การที่จักรพรรดินีซึ่งเป็นอัครมเหสีของจักรพรรดิไม่สามารถทรงครรภ์ได้นั้นย่อมเป็นปัญหาใหญ่…”
“เจ้ากำลังจะบอกว่าเราไม่คู่ควรกับตำแหน่งนี้อย่างนั้นหรือ”
ในที่สุดแพทริเซียก็ต้องถามออกไปด้วยสีหน้าเครียดเขม็ง แต่พิทูเนียก็ตอบอย่างไม่ใส่ใจราวกับกำลังหลงผิดคิดว่าความคิดของตนถูกต้อง
“จะบอกว่าไม่คู่ควร…ก็ไม่รู้สิเพคะ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพระองค์ขาดคุณสมบัติ…”
“นี่เจ้ากำลังพูดอะไรของเจ้า”
ตอนนั้นเองน้ำเสียงโกรธขึ้งของคนผู้หนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมา
“ย่อมต้องรู้จักขอรับ”
น้ำเสียงของชายชราฟังดูสั่นเครืออย่างประหลาด แพทริเซียมองชายชราอย่างมึนงง ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นได้ว่าด้านหลังยังมีคนรออยู่อีกมากจึงรีบถาม
“ดูจากที่ท่านทำเหมือนว่ารู้จักเรา ท่านคงมีอะไรจะพูดกับเราใช่หรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูล”
“อย่างที่ท่านเห็นว่าตอนนี้คงไม่เหมาะ ไว้เราเรียกท่านมาพบทีหลังได้หรือไม่”
“ย่อมได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทน่าจะมีราชกิจรัดตัว แต่ขอเพียงเรียกหา ไม่ว่าเมื่อไรกระหม่อมจะรีบไปเข้าเฝ้าทันที”
“แล้วเราจะส่งคนไป”
ชายชราได้ยินดังนั้นก็ยิ้มบางๆ และออกจากแถวไปพร้อมกับถ้วยโจ๊ก แพทริเซียต้องรีบตักอาหารให้คนที่รออยู่ในแถวจึงไม่มีแม้กระทั่งเวลาให้มองเงาหลังของอีกฝ่าย
หลังเสร็จจากงานช่วยเหลือราษฎรและกลับมาถึงพระราชวัง แพทริเซียก็ต้องพบกับเรื่องที่ไม่ใคร่น่ายินดีนัก
“เอ่อ ฝ่าบาท…”
มีร์ยาเรียกแพทริเซียอย่างระมัดระวัง เห็นดังนั้นแพทริเซียจึงถามอย่างสงสัย
“มีอะไรหรือ”
“มี…เรื่องด่วนที่รอการอนุมัติจากฝ่าบาทเพคะ”
“ต้องการการอนุมัติจากข้า?”
ได้ยินแพทริเซียถามดังนั้น มีร์ยาก็หลับตาแน่นทีหนึ่งจึงตอบ
“เรื่องการคัดเลือกสนมเพคะ”
“…อ้อ”
แพทริเซียมีสีหน้าเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลับเป็นปกติในทันใดแล้วพยักหน้า
“เรื่องสำคัญทีเดียว ข้ารู้แล้วล่ะว่าฝ่าบาททรงมอบหมายเรื่องการคัดเลือกสนมให้ข้าตัดสินใจทั้งหมด”
ลูซิโอมอบหมายให้แพทริเซียคัดเลือกสนมโดยให้เหตุผลว่าเขาให้เกียรตินางซึ่งเป็นภรรยาหลวงของเขา เขาตั้งใจจะใช้การคัดเลือกสนมในครั้งนี้ช่วยสร้างอำนาจที่ถูกลิดรอนไปโดยไม่รู้ตัวให้กับแพทริเซียด้วย เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้รับสนมเข้ามาด้วยความเต็มใจอยู่แล้ว
แม้ว่าเรื่องนี้จะถือเป็นการให้เกียรติแพทริเซีย แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้แพทริเซียเจ็บปวดด้วยเช่นกัน
แพทริเซียถอนหายใจในใจและมองเอกสารที่มีร์ยาหอบอยู่เต็มสองมือ
“นั่นคือรายชื่อผู้เข้ารับการคัดเลือกหรือ”
“เพคะ ฝ่าบาท”
“วางไว้แล้วออกไปได้”
แพทริเซียให้ทุกคนออกไปจากห้อง ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นการแต่งภรรยาครั้งที่สองของสามีอันเป็นที่รัก ต่อให้แสร้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไร แต่ความจริงแล้วไม่มีทางเป็นเช่นนั้น และแพทริเซียไม่ต้องการเปิดเผยความรู้สึกในใจให้ใครรับรู้ เพราะไม่มีเรื่องใดน่าสมเพชไปมากกว่านี้อีกแล้ว
“เลดี้วาเลนติน เลดี้อนาโตเลีย เลดี้รัสติกา…”
แม้จะเคยคาดการณ์ไว้แล้ว แต่ทุกคนล้วนเป็นบุตรีจากตระกูลเก่าแก่ทั้งสิ้นจริงๆ แพทริเซียถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเริ่มมองหาสนมที่จะทำประโยชน์ให้ราชวงศ์ได้มากที่สุด อีกหน่อยเมื่อให้กำเนิดรัชทายาทแล้ว ตระกูลของสนมก็จะกลายเป็นครอบครัวของพระราชมารดา แพทริเซียจึงต้องพิจารณาตรงจุดนี้ด้วย
“ฝ่าบาท”
แพทริเซียนั่งดูเอกสารได้หนึ่งชั่วโมงก็ได้ยินเสียงนางกำนัลดังมาจากด้านนอก นางจึงตอบกลับเสียงต่ำ
“ข้าสั่งว่าไม่ให้ใครเข้ามามิใช่หรือ”
“ขอประทานอภัยเพคะ ฝ่าบาท แต่พระจักรพรรดิเสด็จมา…”
“…ฝ่าบาทหรือ”
แพทริเซียตกใจ คนที่นางไม่อยากพบที่สุดในตอนนี้กลับเป็นฝ่ายมาหานางเอง ขณะที่แพทริเซียกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรดี นางกำนัลก็เอ่ยเร่ง
“ให้ทำอย่างไรดีเพคะ ฝ่าบาท”
แพทริเซียจงใจหลบหน้าลูซิโอตั้งแต่วันนั้น เพราะนางบอกเขาว่านางไม่เป็นไร แต่ที่จริงแล้วนางเป็น ถึงกระนั้นนางก็ไม่อยากโยนความรับผิดชอบที่เกิดจากความผิดของตนไปให้เขา ฉะนั้นนางจึงเลือกที่จะไม่เจอเขา เพื่อที่อย่างน้อยนางก็จะไม่สามารถโกรธเกลียดเขาโดยไม่มีเหตุผลได้
แพทริเซียตั้งใจว่าเมื่อจัดการความรู้สึกของตัวเองได้ในระดับหนึ่งแล้วจะไปพบลูซิโออีกครั้ง…แต่นี่มันเร็วเกินไป ถึงกระนั้นจะให้ปิดประตูใส่หน้าจักรพรรดิที่มาหาถึงที่ก็ไม่ได้ มิเช่นนั้นคงเกิดข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์ระหองระแหงของพวกเขา และนั่นเป็นสิ่งที่แพทริเซียไม่ต้องการให้เกิดขึ้นมากที่สุด
‘ไม่สิ นอกเหนือจากเหตุผลพวกนี้แล้ว…’
ข้าคิดถึงเขา
เรื่องอื่นล้วนเป็นแค่ข้ออ้าง แพทริเซียแค่คิดถึงเขา นางไม่ได้พบลูซิโอมานานเกินไปแล้ว แม้นางจะผลักไสเขาเพราะความทะนงตน แต่ตอนนี้นางคิดถึงเขายิ่งกว่าใคร ดังนั้น นางจึงพยายามกลั้นน้ำตาที่เอ่อล้นขึ้นมาและตอบนางกำนัลอย่างตะกุกตะกัก
“ฝ่าบาท…เชิญฝ่าบาทเข้ามา”
“เพคะ ฝ่าบาท”
เมื่อได้พบลูซิโออีกครั้ง น้ำตาคงไหลออกมาเป็นอันดับแรก แพทริเซียพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกไว้อย่างเต็มที่ก่อนจะเตรียมตัวต้อนรับลูซิโอ ทันใดนั้นประตูก็เปิดและลูซิโอก็เดินเข้ามา เขามีอะไรติดไม้ติดมือมาด้วยเช่นเคย คราวนี้ดูจากขนาดแล้วน่าจะเป็นช็อกโกแลต แพทริเซียฝืนยิ้มต้อนรับอีกฝ่าย
“ฝ่าบาท มาแล้วหรือเพคะ”
“ริซซี่”
ลูซิโอเรียกชื่อเล่นของแพทริเซียอย่างอ่อนโยนและเดินเข้ามาหา
“ไม่เจอกันนานเลยนะ”
เขาว่าพลางสวมกอดแพทริเซียอย่างอบอุ่น แพทริเซียซบลูซิโออย่างอ่อนแรงและตอบเสียงค่อย
“เพคะ…ไม่ได้เจอพระองค์ตั้งนาน”
“ข้าคิดถึงเจ้า”
“…เช่นนั้นก็น่าจะเสด็จมาหาหม่อมฉันสิเพคะ”
“ข้ามาไม่ได้” เขาเค้นเสียงพูด “วันนี้ว่าจะไม่มาแต่ก็มา”
“ทำไมหรือเพคะ”
“ข้ารู้สึกผิด”
“…”
แพทริเซียไม่พูดอะไร แต่ลูซิโอยังคงพูดต่อ “ขอโทษนะ ข้าเคยบอกว่าจะปกป้องเจ้าแต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้”
“ฝ่าบาทกำลังปกป้องหม่อมฉันอยู่เพคะ ปกป้องอำนาจ เกียรติยศ และศักดิ์ศรีในฐานะจักรพรรดินีของหม่อมฉัน พระองค์ทรงปกป้องไว้ทั้งหมด”
“ขอโทษนะ”
เขาเป็นคนที่ไวต่อความรู้สึกจึงรู้ได้ทันทีว่าหญิงสาวกำลังโกหก แพทริเซียนิ่วหน้าและพูดต่อ
“…หม่อมฉันบอกแล้วมิใช่หรือเพคะว่าไม่เป็นไร”
“จะไม่เป็นไรได้อย่างไร”
ลูซิโอว่าพลางมองสำรวจแพทริเซียที่อยู่ในอ้อมกอด แม้สีหน้าของนางจะเรียบเฉยแต่เขารู้ดีว่าภายในนั้นเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา เขามองคนรักด้วยความสงสารและลูบใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา
“ช่วงที่ไม่ได้เจอกันเจ้าดูซูบไปนะ”
“ไม่ได้นานขนาดนั้นเสียหน่อยเพคะ”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ” ลูซิโอมอบอ้อมกอดอบอุ่นให้แพทริเซียอีกครั้ง “เหนื่อยใช่ไหม”
อา…ถ้าเขายังทำแบบนี้ ข้าก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว แพทริเซียกัดริมฝีปากอย่างแรงเพื่อกลั้นน้ำตา แต่ไม่นานนางก็เลิกล้มความตั้งใจราวกับรู้ว่ามันถึงที่สุดแล้ว น้ำใสๆ ค่อยๆ ไหลรินจากดวงตาของแพทริเซีย ลูซิโอรู้สึกได้ถึงความอุ่นชื้นที่หัวไหล่จึงรู้ว่าแพทริเซียกำลังร้องไห้ แต่เขาก็แสร้งทำเป็นไม่รู้
แพทริเซียสารภาพความในใจ “หม่อมฉันคิดถึงฝ่าบาทมากจริงๆ…แต่ฝ่าบาทไม่เสด็จมาหา หม่อมฉันจึงยิ่งทรมาน”
“อา…”
ลูซิโอไม่รู้เรื่องนั้นมาก่อน เขาจึงอุทานด้วยความตกใจ ชายหนุ่มกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
“ขอโทษนะ ริซซี่ ข้าไม่รู้จริงๆ…”
“หม่อมฉันรู้ว่าเหตุใดพระองค์จึงไม่เสด็จมา พระองค์คงรู้สึกผิดต่อหม่อมฉัน แต่นั่น…กลับยิ่งทำให้หม่อมฉันทรมานยิ่งขึ้น หม่อมฉันกลัวว่าพระองค์จะไม่รักหม่อมฉันแล้ว…”
“ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นเด็ดขาด ข้าเองก็…” ลูซิโอเอ่ยปากอย่างลำบาก “ข้าเองก็กลัว กลัวว่าเรื่องนี้จะทำให้เจ้าหมดรักข้า ทั้งยังรู้สึกผิดต่อเจ้า ข้าจึงไม่สามารถมาหาเจ้าได้ ข้ากลัวเหลือเกินว่าเจ้าจะปฏิเสธข้า”
“หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้น ฝ่าบาทก็รู้”
“นั่นสินะ ใช่แล้ว”
ลูซิโอค่อยๆ ดันแพทริเซียออกจากอกและเช็ดน้ำตาให้อย่างแผ่วเบา แพทริเซียเองก็ไม่ได้ปฏิเสธสัมผัสนั้น
“พวกเราไม่มีทางปฏิเสธกันและกันได้แท้ๆ” เขาว่า
ใช่แล้ว พวกเขายังไม่คุ้นชินกับความรัก
ลูซิโอพูดเสริม “ขอโทษนะ ทั้งที่ครุ่นคิดมากมาย แต่คำตอบที่ได้ก็ยังไม่ถูกต้อง”
“เป็นเพราะหม่อมฉันเองที่ไม่เชื่อใจพระองค์”
“ข้าขอโทษ”
เขาเอ่ยคำขอโทษอีกครั้งแต่สิ่งที่แพทริเซียอยากฟังไม่ใช่คำขอโทษ นางเบื่อที่จะฟังคำคำนั้นแล้ว หญิงสาวยิ้มทั้งน้ำตาและร้องขอ
“มอบจุมพิตให้หม่อมฉันแทนคำขอโทษได้ไหมเพคะ”
ลูซิโอได้ยินดังนั้นก็มองแพทริเซียอย่างรักใคร่และประทับจูบลงบนริมฝีปากนุ่มโดยไม่เอ่ยคำพูดใด เมื่อเวลาผ่านไปจูบอันแผ่วเบาในตอนแรกก็ค่อยๆ รุนแรงขึ้น
“ฮา…ฝ่าบาท” แพทริเซียหอบหายใจพลางเรียกอีกฝ่าย
“ไปที่เตียงกันไหม”
น้ำเสียงของลูซิโอที่กระซิบข้างหูช่างเย้ายวนยิ่ง ทำให้แพทริเซียยากจะห้ามใจ หญิงสาวยังไม่ทันพยักหน้าขาก็ก้าวไปที่เตียงแล้ว ในระหว่างนั้นจูบของทั้งคู่ก็ยังคงดำเนินต่อไป
อยากให้จูบนี้ดำเนินไปชั่วนิรันดร์
แพทริเซียอยากจูบกับเขาไปเรื่อยๆ ความรู้สึกในตอนนี้ราวกับว่าสิ่งที่แพทริเซียเก็บกักไว้ในช่วงที่ไม่ได้พบอีกฝ่ายกำลังระเบิดออกมาในคราวเดียว
“อ๊ะ…!”
แพทริเซียร้องเสียงหลงพร้อมกับทิ้งตัวลงบนเตียง แม้ทั้งสองกำลังง่วนอยู่กับการจูบ แต่ลูซิโอก็ประคองศีรษะของแพทริเซียไว้อย่างระมัดระวังด้วยกลัวว่านางจะบาดเจ็บ แพทริเซียหัวเราะเบาๆ และเริ่มปลดกระดุมเสื้อของเขา
“เมื่อครู่หม่อมฉันดูอย่างละเอียดแล้ว คิดว่าเลดี้พิทูเนียดูจะเหมาะสมนะเพคะ”
“…เหมาะสมอะไร?”
“สนมน่ะสิเพคะ”
ได้ยินดังนั้นสีหน้าของลูซิโอที่กำลังตบหลังปลอบแพทริเซียเบาๆ ก็พลันย่ำแย่
“ต้องพูดเรื่องนี้ตอนอยู่ด้วยกันสองคนด้วยหรือ” เขาถามเสียงแข็ง
“เดี๋ยวนางก็จะกลายมาเป็นสมาชิกของราชวงศ์แล้วนี่เพคะ แล้วการถวายรายงานแยกทีหลังก็น่าเบื่อด้วย…”
ได้ยินดังนั้น ลูซิโอก็จับแพทริเซียหันมาหาตน สายตาของแพทริเซียที่จับจ้องอยู่ด้านบนจึงย้ายมาที่ลูซิโอ
“ฟังให้ดี ริซซี่ ครอบครัวของข้ามีเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้น” ลูซิโอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“จริงหรือเพคะ”
“แน่นอนสิ”
เขาจุมพิตนางเบาๆ แล้วกระซิบ “บอกแล้วมิใช่หรือ ไม่ว่าเจ้าจะมีลูกได้หรือไม่ข้าก็ไม่สนใจ เจ้าจะเป็นจักรพรรดินีเพียงคนเดียวที่ข้ายอมรับตราบจนวันตาย”
“…”
แพทริเซียเพียงแต่ยิ้มโดยไม่เอ่ยคำพูดใด แน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ในขณะเดียวกันก็ช่างน่าเศร้า หากนางตั้งครรภ์ได้คงจะดีไม่น้อย ในหัวของแพทริเซียมีแต่ความคาดหวังที่ไร้ประโยชน์
***
เนื่องจากลูซิโอมอบอำนาจในการคัดเลือกสนมให้กับแพทริเซีย ตำแหน่งสนมที่ว่างอยู่จึงน่าจะตกเป็นของเลดี้พิทูเนีย บุตรีของมาร์ควิสเบลินซ์ซึ่งมีคุณสมบัติเหมาะสมตามคาด ในเมื่อตัดสินใจเลือกสนมได้แล้ว จะยืดเยื้อต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ แพทริเซียจึงประกาศออกไปทันทีว่าเลดี้พิทูเนียเป็นว่าที่สนม
งานแต่งงานจะถูกจัดขึ้นในอีกหกเดือนข้างหน้า ซึ่งนี่เป็นผลจากความตั้งใจอย่างแน่วแน่ของลูซิโอ เขาอ้างเหตุผลร้อยแปดเพื่อที่จะเลื่อนวันแต่งงานออกไปให้ไกลที่สุด ไม่มีทางที่แพทริเซียจะไม่รู้ว่าลูซิโอคิดอะไรอยู่ แต่การที่นางเป็นฝ่ายเลื่อนวันแต่งงานเข้ามาก่อนก็เป็นเรื่องที่เสแสร้งแกล้งทำไปอย่างนั้นเช่นกัน ดังนั้น เมื่อลูซิโอยืนกราน นางจึงทำตามโดยไม่คัดค้านอะไร
สองเดือนหลังจากพิทูเนียถูกเลือกเป็นว่าที่สนม ในวังก็จัดงานเลี้ยงโดยใช้วันคล้ายวันพระราชสมภพของอดีตจักรพรรดิผู้ล่วงลับเป็นข้ออ้าง แน่นอนว่าพิทูเนียย่อมต้องเข้าร่วมด้วย
“เอดา เร็วเข้าสิ! ถ้าข้าไปงานเลี้ยงสายขึ้นมาเจ้าจะรับผิดชอบไหวรึ”
พิทูเนียเรียกสาวใช้ประจำตัวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
ภาคแยก 4 : Bless his cotton socks!
(ขอพระเจ้าอำนวยพร)
ลูซิโอกำลังมุ่งหน้าไปยังที่แห่งหนึ่งด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงความโกรธออกมา แต่เมื่อใดที่เขาแสดงให้เห็นก็นับว่าน่ากลัวพอสมควร ทันใดนั้นฝีเท้าของเขาก็หยุดลง เขาเอ่ยถามนางกำนัลที่อยู่หน้าประตูเสียงค่อย
“จักรพรรดินีอยู่ข้างในหรือไม่”
ตอนนี้เขายืนอยู่หน้าห้องของแพทริเซียในตำหนักจักรพรรดินี ครั้นเห็นสีหน้าโกรธขึ้งของจักรพรรดิ นางกำนัลก็หวาดกลัวจนไม่กล้าตอบ ลูซิโอถอนหายใจยาวทีหนึ่งก่อนจะผ่อนคลายสีหน้า เดี๋ยวต้องเจอริซซี่แล้ว ทำสีหน้าแบบนี้คงไม่ดีนัก ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ต้องระมัดระวังท่าทีไม่ใช่อีกฝ่าย แต่เป็นเขาต่างหาก ลูซิโอเปลี่ยนสีหน้าเป็นอ่อนโยนในพริบตาแล้วเอ่ยถามนางกำนัลอีกครั้ง
“เราถามว่าจักรพรรดินีอยู่ข้างในหรือไม่”
“ยะ อยู่กับมาร์เชอเนสมีร์ยา พรินสกีเพคะ”
“อย่างนั้นหรือ”
ขณะกำลังจะเอ่ยปากว่า ‘แจ้งไปว่าเรามา’ ตามความเคยชิน ลูซิโอก็เปลี่ยนใจยั้งปากไว้แล้วถามนางกำนัล
“ตอนนี้จักรพรรดินีเป็นอย่างไรบ้าง”
“เพคะ?”
“เราหมายถึงอารมณ์ของนางเป็นอย่างไร นางรู้เรื่องในที่ประชุมขุนนางเมื่อเช้าหรือไม่”
เมื่อถามมาถึงตรงนี้ลูซิโอก็นึกเสียใจขึ้นมา ช่างเป็นคำถามที่สิ้นคิดนัก คนฉลาดอย่างนางไหนเลยจะไม่รู้ พวกนางกำนัลตำหนักจักรพรรดินีคงรายงานนางแล้ว ลูซิโอเผยสีหน้าประหม่า จากนั้นเขาก็ได้ยินคำตอบจากนางกำนัลซึ่งช่วยยืนยันความคิดของเขา
“พระจักรพรรดิทรงได้รับรายงานการประชุมขุนนางเสมอเพคะ ฝ่าบาท”
“เฮ้อ…”
ลูซิโอถอนหายใจ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าตนควรจะเข้าไปหรือไม่ ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็พลันเคร่งขรึมขึ้นราวกับตัดสินใจได้แล้ว
“บอกนางว่าเรามา” เขากล่าวกับนางกำนัล
“ฝ่าบาท พระจักรพรรดิเสด็จเพคะ”
ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงของแพทริเซียดังมาจากในห้องว่า ‘เชิญเสด็จ’ ลูซิโอสูดหายใจเข้าลึกๆ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินผ่านประตูเข้าไปด้วยท่าทีที่เป็นปกติที่สุด
เมื่อเข้าไปในห้อง สิ่งแรกที่เขาเห็นคือจักรพรรดินีแสนสวยของเขา ตามด้วยมีร์ยาที่อยู่ด้านข้างรวมถึงนางกำนัลคนอื่นๆ เมื่อแพทริเซียเห็นลูซิโอก็ค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียง
“ถวายบังคมฝ่าบาท สุริยันผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิ”
“ไม่สบายหรือ สีหน้าดูไม่ดีเลย”
“…ทุกคนออกไปก่อน”
สิ้นเสียงออกคำสั่งเบาๆ ของแพทริเซีย เหล่านางกำนัลก็ถอยกายออกไปทันที และแล้วในห้องก็เหลือเพียงพวกเขาสองคน ลูซิโอนั่งลงข้างแพทริเซียเงียบๆ มองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเป็นกังวล แพทริเซียเบนหน้าหนีเล็กน้อยราวกับสายตานั้นทำให้รู้สึกลำบากใจ
“เดี๋ยวหน้าหม่อมฉันก็ทะลุกันพอดีเพคะ ฝ่าบาท” แพทริเซียว่า
“…ได้ยินว่าเจ้ารู้เรื่องที่คุยกันในที่ประชุมขุนนางแล้ว”
“เพคะ” แพทริเซียตอบเสียงเรียบ “ที่ประชุมเสนอให้ฝ่าบาทรับสนมเพราะหม่อมฉันเป็นหมันใช่ไหมเพคะ”
“…เราจะผัดไปก่อน”
“ฝ่าบาท”
แพทริเซียยิ้มบางๆ และกุมมือทั้งสองข้างของลูซิโอไว้ ทำให้ร่างกายของลูซิโอสั่นเทาโดยไม่รู้ตัว
นั่นเป็นความรู้สึกผิด รู้สึกผิดที่เขาไม่สามารถปกป้องนางให้ถึงที่สุด และรู้สึกผิดที่เขาดึงคนรักมาจมปลักเช่นนี้
“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ”
“จักรพรรดินี เรา…”
“ฝ่าบาทรักหม่อมฉัน…ใช่ไหมเพคะ”
“…”
“ตอบหม่อมฉันหน่อยเถิดเพคะ ฝ่าบาท พระองค์ไม่รักหม่อมฉันหรือเพคะ”
“ได้อย่างไร” ลูซิโอตอบด้วยเสียงแหบพร่า “เราจะไม่รักเจ้าได้อย่างไร”
ได้ฟังดังนั้นสีหน้าของแพทริเซียจึงสดใสขึ้น
“เพียงพอแล้วเพคะ ฝ่าบาท แค่นั้นหม่อมฉันก็พอใจแล้ว”
ครู่หนึ่ง หญิงสาวก็พูดต่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “รับฟังความเห็นของเหล่าขุนนางเถิดเพคะ การรับสนมน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด”
“จักรพรรดินี!” เขาถามอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเจ็บปวด “แล้วเจ้ารักเราบ้างหรือไม่”
“ที่หม่อมฉันพูดแบบนี้ก็เพราะหม่อมฉันรักฝ่าบาทและรักจักรวรรดิที่พระองค์ปกครองอยู่นี้เพคะ ผู้สืบทอดบัลลังก์ต้องเป็นทายาทสายตรงเท่านั้น นั่นก็เพื่อตัวของพระองค์เองหรืออย่างน้อยก็เพื่อจักรวรรดิ หม่อมฉันไม่อยากเห็นเชื้อพระวงศ์สายรองขึ้นเป็นจักรพรรดิของจักรวรรดินี้เพคะ”
น้ำเสียงของแพทริเซียช่างสงบนิ่ง ฟังผ่านๆ คล้ายปราศจากความรู้สึกใดๆ ลูซิโอได้ยินดังนั้นก็อ้อนวอนอย่างปวดใจ
“อย่าทำเช่นนี้เลย ริซซี่”
“…”
น้อยครั้งที่เขาจะเรียกนางด้วยชื่อเล่น เพราะเขาปฏิบัติกับนางอย่างสุภาพเสมอภายใต้เหตุผลที่ว่าเขาให้เกียรตินาง ดังนั้น นอกจากตอนอยู่บนเตียง แพทริเซียก็แทบไม่ได้ยินเขาเรียกตนด้วยชื่อเล่นเลย
แพทริเซียตกใจเล็กน้อยและเอ่ยเรียกลูซิโอทั้งน้ำตาคลอ
“ฝ่าบาท”
“ริซซี่ ข้าไม่ต้องการ ข้า…ไม่อยากมีสนม”
เขามองแพทริเซียด้วยดวงตาแดงก่ำและออกแรงบีบมือที่จับกันไว้
“ต้องมีวิธีแน่ ข้าจะลองหาวิธีดู”
“…”
แพทริเซียไม่พูดอะไร เพราะนางรู้ดีที่สุดว่าไม่มีวิธีใดอีกแล้ว
นางเป็นหมัน ไม่ว่าจะทำอย่างไร ต้นอ่อนก็ไม่มีวันงอกเงยขึ้นมาบนผืนดินที่แห้งแล้ง เว้นแต่จะพลิกหน้าดินทั้งหมดเสียใหม่
แพทริเซียนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ยปากขอร้องด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า
“วันนี้เสด็จกลับไปก่อนเถิดเพคะ หม่อมฉันเพลียเหลือเกิน”
สุดท้ายลูซิโอก็จำต้องออกจากห้องและทิ้งให้แพทริเซียอยู่คนเดียว สีหน้าของเขาตอนออกจากห้องดูเศร้าหมองเหมือนท้องฟ้าที่ถูกบดบังด้วยเมฆฝน ทำเอาคนรอบข้างเห็นแล้วสงสารจับใจแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
‘ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า’
ลูซิโอคิดเช่นนั้น เขาโง่งมมองไม่เห็นความรักที่จริงใจตั้งแต่เนิ่นๆ ทำให้เขาต้องโชคร้าย และความผิดที่เขาเคยทำร้ายคนที่รักก็กลายเป็นบ่วงบาปที่คืนสนอง
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่และขอร้องมีร์ยา
“เราจะหาวิธีให้ได้ จนกว่าจะถึงตอนนั้นฝากเจ้าดูแลจักรพรรดินีให้ดีด้วย”
“เพคะ ฝ่าบาท”
ลูซิโอวางใจได้บ้างเล็กน้อยที่อย่างน้อยก็ยังมีมีร์ยา เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้งก่อนจะกลับตำหนักกลาง ส่วนมีร์ยาก็กลับเข้าไปในห้องทันที ทันใดนั้นนางก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็นหลังจากกลับเข้ามา
“ฝ่าบาท!”
แพทริเซียกำลังร้องไห้อย่างเงียบๆ ใช้มือปิดปากตัวเองไว้ราวกับกลัวว่าเสียงจะเล็ดลอดออกไป มีร์ยารีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความตกใจ
“ฝ่าบาท เป็นอะไรไปหรือเพคะ”
“ฮึก…มีร์ยา” แพทริเซียสะอื้นเบาๆ พลางถาม “ฝ่าบาทเสด็จกลับไปหรือยัง”
“เพคะ ฝ่าบาท พระจักรพรรดิตรัสว่าจะหาวิธีให้ได้ ขอพระองค์อย่าได้กังวล…”
“จะหาวิธีได้อย่างไร ในเมื่อปัญหามันอยู่ที่ข้าตั้งแต่แรก”
เมื่อรู้ว่าลูซิโอกลับไปแล้วแพทริเซียก็วางใจและเริ่มร้องไห้เสียงดังขึ้น มีร์ยาลูบหลังปลอบโยนแพทริเซียเบาๆ
“ฝ่าบาท อาจจะมีวิธีอยู่จริงๆ ก็ได้เพคะ รวมถึงวิธีรักษาด้วย”
“มีร์ยา หรือข้าไม่ควรรักฝ่าบาทตั้งแต่แรก”
“ฝ่าบาท ตรัสอะไรเช่นนั้นเล่าเพคะ”
มีร์ยาช่วยเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของแพทริเซียด้วยสีหน้าเจ็บปวดใจ ในขณะที่แพทริเซียยังคงส่งเสียงสะอึกสะอื้น
“ข้าทำใจไว้แล้วว่าสักวันต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น…แต่ข้าคงอ่อนแอเกินไปใช่หรือไม่” แพทริเซียว่า
“อ่อนแออะไรกันเพคะ ฝ่าบาท พระองค์ทรงเข้มแข็งมากเพคะ”
“ถึงเจ้าจะพูดอย่างนั้น แต่ตอนนี้ข้าทรมานเหลือเกิน มีร์ยา”
แพทริเซียสะอื้นถามมีร์ยา “ทำไมข้าถึงมีลูกไม่ได้ ข้าก็อยากคลอดลูกของฝ่าบาทเหมือนกันนะ…”
“ฝ่าบาท…”
“ข้าอยากมีลูกชายที่เหมือนกับฝ่าบาท และมีลูกสาวที่เหมือนกับข้า ข้าอยากทำเช่นนั้นเหลือเกิน”
มีร์ยามองแพทริเซียด้วยความเวทนา แม้แพทริเซียจะไม่แสดงออก แต่นางก็รู้ว่าแพทริเซียอยากจะมีลูกมาก ทุกครั้งหลังร่วมหอกับจักรพรรดิ นางจะคอยตรวจนับรอบเดือนว่ามาปกติหรือไม่ เห็นได้ชัดว่านางปรารถนาที่จะมีลูกที่เหมือนจักรพรรดิมากเพียงใด หากเป็นไปได้มีร์ยาก็อยากยกมดลูกของตนให้นางไปเสีย
***
แม้ลูซิโอจะยืนกรานเสียงแข็งว่าจะไม่รับสนมแต่เหล่าขุนนางก็เฝ้าทวงถามไม่เลิก แม้กระทั่งมาร์ควิสโกรเชสเตอร์ บิดาของแพทริเซียก็ยังสนับสนุน ลูซิโอจึงไม่อาจอ้างเพียงเหตุผลที่ว่าเขารักจักรพรรดินีเพื่อที่จะไม่รับสนมได้อีกต่อไป
สุดท้ายเขาก็จำต้องประกาศออกไปว่าเขาจะรับสนม
“…สุดท้ายก็กลายเป็นเช่นนี้สินะ”
หลังจากได้ยินข่าวนั้น แพทริเซียกลับนิ่งเฉยผิดคาด ราวกับที่นางร้องไห้เสียใจอยู่ในอ้อมแขนของมีร์ยาเมื่อไม่นานมานี้ไม่เคยเกิดขึ้นจริง เห็นดังนั้นมีร์ยาจึงเริ่มเป็นกังวล แม้ภายนอกจะทำเหมือนไม่เป็นไร แต่ภายในต้องแตกสลายไม่มีชิ้นดีเป็นแน่
มีร์ยาลอบถอนหายใจออกมา
“กำหนดการของวันนี้มีอะไรบ้างหรือ มีร์ยา”
“เสด็จเยี่ยมราษฎรในสลัมเพคะ”
“เช่นนั้นก็เตรียมตัวเถอะ”
แพทริเซียออกคำสั่งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนจะเริ่มอ่านเอกสารตามปกติ มีร์ยาและราฟาเอลามองท่าทีนั้นด้วยความกังวล
การปลอมตัวเยี่ยมราษฎรในสลัมเป็นกิจกรรมอาสาสมัครที่แพทริเซียทำอย่างลับๆ เป็นระยะหลังจากขึ้นเป็นจักรพรรดินี สถานที่ที่แพทริเซียมาเยือนในวันนี้คือ ‘โซเบโท’ สลัมชื่อดังที่ตั้งอยู่รอบนอกของเมืองหลวง ที่นั่นเต็มไปด้วยขอทานและคนยากไร้สมเป็นสลัม หลังจากมอบสิ่งของบรรเทาทุกข์ให้ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือแล้ว แพทริเซียและนางกำนัลก็นำธัญพืชที่เตรียมมาไปทำโจ๊กธัญพืชหม้อใหญ่และแจกจ่ายให้ชาวบ้านตามลำดับ แม้การแจกจ่ายอาหารนี้มีร์ยาจะขอร้องให้แพทริเซียใช้นางกำนัลไปทำ แต่แพทริเซียก็ยังคงลงมือทำด้วยตัวเองทุกครั้ง
“กินเยอะๆ นะ”
แพทริเซียตักโจ๊กให้กับเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่งด้วยตัวเองพลางยิ้มละไม หนุ่มน้อยหน้าตามอมแมมมองปราดเดียวก็รู้ว่าสกปรก แต่แพทริเซียก็ไม่รังเกียจที่จะยื่นมือไปลูบหัวกลมเล็กนั้น แม้จะรู้สึกถึงสายตาตกใจของนางกำนัลที่อยู่ด้านข้าง แต่แพทริเซียก็ไม่พูดอะไรและตักอาหารลงในถ้วยที่ว่างเปล่าของชาวบ้านคนต่อไป
ชาวบ้านคนถัดมาเป็นชายชราคนหนึ่ง มีแผ่นหลังโก่งโค้ง ศีรษะมีผมงอกประปราย แต่ดวงตาคู่นั้นกลับดูเฉียบคม ไม่รู้ทำไมแพทริเซียจึงรู้สึกว่าเคยพบคนผู้นี้มาก่อน พร้อมกันนั้นนางก็ยื่นถ้วยโจ๊กให้อีกฝ่าย
“ทานเยอะๆ นะคะ ท่านลุง”
“…ก่อนแต่งงาน ท่านใช้นามสกุล ‘โกรเชสเตอร์’ ใช่ไหมขอรับ”
ชายชรารับถ้วยพลางถาม แพทริเซียตกใจกับคำถามเล็กน้อยแต่ก็ตอบกลับด้วยสีหน้าปกติ
“ใช่ค่ะ”
“จักรพรรดินีแพทริเซีย”
“…”
“ใช่ไหมขอรับ”
หญิงสาวมองชายชราด้วยสีหน้าตกตะลึง คนที่รู้จักตัวตนของนางไม่มีทางมาอยู่ในที่แบบนี้ได้
แพทริเซียถามชายชราเสียงสั่น
“ท่านรู้จักเราหรือ”
“อะไรนะเพคะ”
จาเน็ตเผลอถามย้อนด้วยความตกใจ อลิซาชี้ไปที่ลูซิโอที่นอนอยู่ในเปลและพูดอีกครั้งอย่างเรียบเฉย
“ข้าบอกว่าข้าต้องการนำเด็กคนนี้ไปเลี้ยง”
“แต่ว่าฝ่าบาท เด็กคนนี้ยัง…”
“ถึงอย่างไรข้าก็จะรับเขาเป็นลูกบุญธรรมเมื่อเขาโตขึ้นอยู่แล้ว ข้าเพียงแต่ร่นระยะเวลาขึ้นมาเท่านั้น”
“แต่เขายังไม่หย่านมเลยนะเพคะ ฝ่าบาท”
“เจ้าเป็นคนให้นมเองหรือไร เห็นอยู่ชัดๆ ว่ามีแม่นม แล้วจะต้องมาเดือดร้อนอันใด”
ท่าทีเด็ดขาดของอลิซาทำให้จาเน็ตทำอะไรไม่ถูก นางเคยคาดการณ์ไว้แล้วว่าวันหนึ่งต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเพราะจักรพรรดินีไม่มีลูกชายแท้ๆ แต่ลูซิโอเพิ่งจะลืมตาดูโลกได้เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น นางยังกอดเขาไว้แนบอกได้ไม่ถึงหนึ่งเดือนด้วยซ้ำ!
“ฝ่าบาท มิใช่ว่าหม่อมฉันจะไม่ยกลูกชายของหม่อมฉันให้ แต่ขอให้เขาได้อยู่กับหม่อมฉันสักหนึ่งปีเถิดเพคะ”จาเน็ตอ้อนวอน
“ลูกชายของเจ้าอย่างนั้นรึ! ระวังปากด้วย” อลิซาพูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม “ใครเป็นลูกชายของเจ้ากัน”
“ฝ่าบาท…”
“เด็กคนนี้จะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นลูกชายของข้า ไม่ใช่ของเจ้า!”
จู่ๆ อลิซาก็ตะเบ็งเสียงดังลั่น จาเน็ตพลันหุบปากฉับ ไม่ใช่แค่จาเน็ต แต่ทุกคนในตำหนักต่างรู้ว่าอลิซาอ่อนไหวต่อเรื่องนี้อย่างมาก ครึ่งปีก่อน นางรู้สึกอึดอัดใจที่ตนไม่ตั้งครรภ์เสียทีจึงเข้ารับการตรวจร่างกาย และผลการตรวจก็ออกมาว่านางเป็นหมัน เพราะเรื่องนั้น หมอหลวงในวังกว่าครึ่งจึงล้มหายตายจาก หลังจากนั้นอุปนิสัยของอลิซาก็โหดร้ายยิ่งขึ้น ความจริงที่ว่านางไม่สามารถให้กำเนิดทายาทของชายอันเป็นที่รักได้ทำให้นางวิปลาส
หากนางให้กำเนิดเองไม่ได้ นางก็ต้องแย่งลูกของคนอื่นมา อลิซาออกคำสั่งกับนางกำนัลตำหนักจักรพรรดินีด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“นำเด็กคนนั้นไปที่ตำหนักจักรพรรดินีเดี๋ยวนี้”
“เพคะ ฝ่าบาท”
“ฝ่าบาท ได้โปรด…ไม่ได้นะเพคะ”
เมื่อตกอยู่ในยามคับขันที่ลูกที่เพิ่งคลอดกำลังจะถูกชิงตัวไป จาเน็ตจึงคุกเข่าอ้อนวอนอลิซา ทว่า อีกฝ่ายกลับแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและนำตัวเด็กออกจากห้องของจาเน็ตไป
จาเน็ตที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังร่ำไห้ออกมาด้วยความอาดูร อีกฝ่ายคือสตรีที่สูงส่งที่สุดในจักรวรรดิ นางไม่สามารถทำอะไรได้เลย
***
“เด็กโสโครก” อลิซามองลูซิโอที่นอนร้องอ้อแอ้อยู่ในเปลและพึมพำอย่างเย็นชา “สายเลือดของแม่เจ้าเป็นเช่นนั้น เจ้าเองก็คงไม่ต่างกัน”
เอาเข้าจริงเมื่อเห็นเด็กอยู่ตรงหน้า อลิซากลับรู้สึกสะอิดสะเอียน ขณะที่กำลังจะสั่งให้คนมานำเด็กออกไป นางกำนัลคนหนึ่งก็รีบร้อนเข้ามารายงาน
“ฝ่าบาท จักรพรรดิกำลังเสด็จมาทางนี้เพคะ”
“อะไรนะ?”
ได้ฟังดังนั้น สีหน้าที่เคยเย็นชาของอลิซาก็พลันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นางเรียกนางกำนัลทั้งหมดมาช่วยเปลี่ยนชุด ทำผมใหม่ และฉีดน้ำหอมจนฟุ้ง ทำเอาทั้งเด็กทั้งนางกำนัลพากันไอค่อกแค่ก แต่อลิซาก็ไม่แยแส นางจดจ่ออยู่กับการเตรียมตัวต้อนรับจักรพรรดิเท่านั้น
“พระจักรพรรดิเสด็จ”
และแล้วประตูก็เปิดออก ตามมาด้วยร่างของจักรพรรดิที่เดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียด อลิซาลุกขึ้นยืนด้วยใจสั่นไหว เวลานี้นางรู้สึกราวกับสาวน้อยที่หลงใหลในรักแรก แต่ในสายตาของจักรพรรดิซึ่งรู้จักตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย นางไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย
ทันทีที่เข้ามาในห้อง กลิ่นน้ำหอมฉุนกึกก็ทำให้เขารู้สึกอยากจะขย้อนออกมา ก่อนจะต้องผงะตกใจเมื่อหันไปเห็นลูกชายของตนที่มุมหนึ่ง เขาเอ่ยถามอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตา
“จักรพรรดินี”
“เพคะ ฝ่าบาท”
“ที่เราเห็นนั่นลูซิโอใช่หรือไม่”
“เพคะ ฝ่าบาท เป็นลูซิโอ”
“เจ้าปล่อยให้เด็กอยู่ในห้องที่ฉุนไปด้วยกลิ่นน้ำหอมเช่นนี้ ยังมีสติอยู่หรือไม่”
“…”
เมื่อถูกต่อว่าอย่างคาดไม่ถึง อลิซาก็ประดักประเดิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเรียกหานางกำนัล นางกำนัลอาวุโสคนหนึ่งจึงมาอุ้มเด็กออกไปตามคำสั่ง เมื่อในห้องเหลืออยู่เพียงสองคน จักรพรรดิก็เปิดปากพูดอีกครั้ง
“ได้ยินว่าเจ้าไปแย่งลูกมาจากบารอนเนสอีวัวร์”
อลิซารู้สึกตกใจที่ประโยคสั้นๆ นั้นทำร้ายความรู้สึกของนางได้ถึงสองเรื่องด้วยกัน
หนึ่ง นางอัดอั้นตันใจอย่างมากที่ผู้หญิงชั้นต่ำที่บังอาจมาเป็นอนุภรรยาของจักรพรรดิคนนั้นได้รับชื่อที่ไพเราะอย่าง ‘บารอนเนสอีวัวร์’
สอง นางมิได้ ‘แย่ง’ เด็กมา เด็กคนนี้เป็นของนางมาตั้งแต่แรก ลูกของจักรพรรดิทุกคนย่อมต้องเป็นลูกของจักรพรรดินีซึ่งเป็นภรรยาหลวง เด็กจะเกิดมาจากท้องใครล้วนไม่สำคัญ แต่นี่เขากลับบอกว่านาง ‘แย่ง’ มาอย่างนั้นหรือ
“ฝ่าบาท เขาเป็นลูกชายของหม่อมฉันเพคะ” นางโต้กลับไปทันที
“…”
“กฎหมายของจักรวรรดิก็บัญญัติไว้ชัดเจน อีกทั้งผู้หญิงคนนั้นก็เป็นแค่อนุของฝ่าบาท เลือดเนื้อเชื้อไขทุกคนของฝ่าบาทย่อมเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของภรรยาหลวงอย่างหม่อมฉันด้วยเช่นกัน หม่อมฉันพูดผิดหรือ”
“นี่เจ้ากำลังจะบอกว่าเจ้าจะเลี้ยงเด็กคนนี้เองรึ”
“ฝ่าบาททรงคิดว่าหม่อมฉันจะเลี้ยงเขาได้ไม่ดีหรือเพคะ”
“ถ้าให้พูดตรงๆ ก็ใช่”
“ฝ่าบาท!” อลิซาขึ้นเสียงตัดพ้อ “ช่างน่าน้อยใจนักที่พระองค์ไม่เชื่อใจหม่อมฉันถึงเพียงนี้ หม่อมฉันเสียใจมากเพคะ”
“แค่ดูจากพฤติกรรมในยามปกติของเจ้าก็พอจะคาดเดาได้แล้ว”
“หม่อมฉันมั่นใจว่าเลี้ยงได้เพคะ ฝ่าบาท”
“…”
จักรพรรดิมองอลิซาด้วยสีหน้าไม่พอใจ ต่อให้เป็นจักรพรรดิ แต่หากไม่มีเหตุผลที่ดีพอ เขาก็ไม่สามารถนำเด็กไปคืนให้แม่แท้ๆ ได้ อลิซาพูดถูกทุกอย่าง
หากอลิซาต้องการ ลูซิโอสามารถกลายเป็นลูกของนางได้ทุกเมื่อ หากนางมีบุตรชายที่คลอดมาด้วยตัวเองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่นางเป็นหมัน
จักรพรรดิถอนหายใจพลางกล่าว “เราจะแต่งตั้งเด็กคนนี้เป็นรัชทายาท”
“…”
ได้ฟังดังนั้นอลิซาก็ตระหนักได้ถึงความเป็นจริงว่านางไม่มีวันได้ให้กำเนิดรัชทายาทด้วยตัวเอง น้ำตาของอลิซาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่อลิซาก็ยังคงยืนยันคำเดิมโดยไม่ถอดใจ
“หม่อมฉันจะเลี้ยงเขาให้ดีเพคะ ฝ่าบาท”
“…”
จักรพรรดิจ้องอีกฝ่ายเขม็งก่อนจะหันหลังกลับออกไปอย่างไร้เยื่อใย ใช่แล้ว วันนี้ก็เช่นกัน เขาไม่ได้ที่นี่เพื่อมาหานาง เรื่องนี้ทำให้อลิซาปวดร้าวยิ่งกว่าเรื่องที่นางเป็นหมันเสียอีก จักรพรรดินีที่ไม่ได้รับความรักและไม่อาจให้กำเนิด อลิซารู้สึกว่าสภาพของตนช่างน่าเวทนาเหลือแสน หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งที่ขอบเตียง มือขยุ้มผ้าปูสีขาวแน่นพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น
***
หลังจากนั้นไม่นานตำแหน่งบารอนเนสอีวัวร์ของจาเน็ตก็ถูกยึดคืนไปด้วยเหตุผลสะเปะสะปะว่านางล่วงเกินจักรพรรดินี แม้จะมีพยานมากมายออกมาให้ปากคำ แต่พยานเหล่านั้นดูอย่างไรก็รู้ว่าจัดฉากขึ้นมา ทว่า จาเน็ตรู้ดีกว่าใครว่าต่อให้นางเปิดโปงเรื่องนี้ก็ไม่มีประโยชน์ นางปรับตัวให้เข้ากับทุกสถานการณ์ที่ต้องเผชิญเพราะอลิซาเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่และน่ากลัวเกินจะต่อต้าน
อลิซาขัดขวางทุกวิถีทางไม่ให้จาเน็ตและลูซิโอได้พบกัน จาเน็ตจึงไม่ได้พบลูกอีกเลยตั้งแต่เขาอายุได้หนึ่งเดือน นางเพียงแต่ได้ยินข่าวคราวของลูกบ้างเท่านั้น เรื่องที่ลูซิโอได้เป็นรัชทายาทนางก็ได้ฟังมาจากนางกำนัลคนอื่นเช่นกัน
จาเน็ตกลับมาเป็นนางกำนัลตำหนักกลางอีกครั้ง แต่ก็มีเพียงความรักของจักรพรรดิเท่านั้นที่ยังคงเหมือนเดิม อย่างน้อยเรื่องนี้ก็พอจะปลอบประโลมนางได้บ้าง
จาเน็ตคิดว่าในเมื่อถูกจักรพรรดินีแย่งลูกชายที่จะได้สืบทอดบัลลังก์ไปแล้ว เช่นนั้นก็ขอมีลูกสาวอีกสักคนก็แล้วกัน แต่หลังจากที่มีลูซิโอแล้วนางก็ไม่ได้ตั้งครรภ์อีก
มิหนำซ้ำช่วงเวลาที่จาเน็ตต้องอยู่คนเดียวยิ่งยาวนานกว่าเดิมเพราะจักรพรรดิต้องไปออกรบเพื่อขยายอาณาเขต เมื่อต้องทนใช้ชีวิตอยู่ในวังอย่างเปล่าเปลี่ยวไร้ความสำราญใดๆ ไปเรื่อยๆ จาเน็ตก็เริ่มรู้สึกกังขากับชีวิตในวัง นางอยากกลับบ้านเกิด สำหรับนางแล้วพระราชวังที่ไม่มีทั้งคนรักและลูกชายอันเป็นที่รักช่างเป็นสถานที่ที่โหดร้ายเหลือเกิน
‘กลับบ้านดีกว่า ที่นี่ไม่เหมาะกับข้าเอาเสียเลย’
น่าขันที่นางเพิ่งตระหนักได้เมื่อเวลาผ่านไปแล้วถึงยี่สิบปี นางตัดสินใจว่าเมื่อจักรพรรดิกลับมานางจะเดินทางกลับบ้านเกิดทันที
เมื่อสงครามสิ้นสุดลง นางได้รับข่าวว่าจักรพรรดิลั่นกลองแห่งชัยชนะและจะกลับมาถึงวังหลวงในอีกหนึ่งสัปดาห์ให้หลัง แค่หนึ่งสัปดาห์นางย่อมทนได้ อย่างไรนางก็ทนมาถึงยี่สิบปีแล้ว จาเน็ตคิดเช่นนั้นขณะเดินไปยังหอสมุด
“ดูนั่นสิ องค์รัชทายาทล่ะ”
คำพูดนั้นทำให้จาเน็ตชะงักฝีเท้า ใจของนางเต้นระรัว นางหันไปมองนางกำนัลที่เป็นต้นเสียงโดยอัตโนมัติ สายตาของเหล่านางกำนัลจดจ่อไปยังจุดเดียวกัน ครั้นมองตามสายตาเหล่านั้นไปนางก็เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินอยู่จริงๆ
เด็กคนนั้นมองเผินๆ ก็รู้ว่ารูปงาม เรือนผมและนัยน์ตาสีดำซึ่งถอดแบบมาจากบิดานั้นดูโดดเด่นเป็นที่สุด เขาใส่เครื่องแบบพอดีตัวเสริมให้ดูมีอำนาจสมเป็นรัชทายาท สีหน้าเรียบนิ่งไม่ปรากฏรอยยิ้ม และนี่เป็นครั้งแรกที่จาเน็ตได้เห็นลูกชายของตัวเองที่เติบโตขึ้นแล้ว
‘ลูกชายของข้า!’
นางรู้สึกตื้นตันใจ น้ำตาเอ่อล้นพร้อมจะไหลออกจากเบ้าตา น่าปลาบปลื้มใจยิ่ง ขอบใจจริงๆ ที่แม้จะไปจากอกแม่ แต่เจ้าก็ยังเติบโตขึ้นมาได้ดีเช่นนี้
ตอนนั้นเองจาเน็ตก็ได้สบตากับลูซิโอโดยบังเอิญ วินาทีนั้นจาเน็ตรีบหันหลังเดินหนีไปให้ไกลโดยไม่ต้องมีใครมาสั่ง ลูซิโอเห็นดังนั้นก็เอียงคอสงสัยทีหนึ่งก่อนจะหมดความสนใจและเดินต่อไปตามทางของเขา
จาเน็ตเดินไปได้ครู่ใหญ่ก็หยุดเดินแล้วหันกลับไปมอง แต่ลูซิโอก็เดินจากไปไกลจนนางมองไม่เห็นแล้ว ถึงกระนั้นก็ไม่เป็นไร อย่างไรนางก็ได้เห็นเขาครั้งหนึ่ง
โชคดีที่ได้พบเขาสักครั้งก่อนจะจากไป จาเน็ตคิดดังนั้นก่อนจะก้าวเดินต่ออย่างเนิบช้า
หนึ่งสัปดาห์ให้หลัง จักรพรรดิก็กลับมา เขามาหาจาเน็ตด้วยสีหน้ายินดี แต่จาเน็ตกลับบอกเขาว่านางจะออกจากวังและกลับบ้านเกิด จักรพรรดิดูตกใจมากกับสิ่งที่นางบอกกล่าวอย่างกะทันหัน แต่เขาก็ไม่ได้ถามเหตุผล ราวกับเขาได้คาดการณ์ไว้หมดแล้ว เขาเพียงแต่กล่าวด้วยสีหน้าเจ็บปวดว่าเขาเคารพการตัดสินใจของนางเท่านั้น
จักรพรรดิขอให้นางรอจนกว่าเขาจะจัดการให้นางได้กลับไปอยู่ที่บ้านเกิดอย่างสุขสบาย มาถึงขั้นนี้ หากจะปฏิเสธก็คงเป็นการเสียมารยาท จาเน็ตจึงตกลงที่จะรอ ด้วยเหตุนั้น จาเน็ตจึงเหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งเดือนก่อนจะได้กลับบ้าน จาเน็ตครุ่นคิดว่าระหว่างนี้นางจะทำอะไรดี ทันใดนั้นนางก็คิดถึงลูกชายที่เพิ่งเจอกันเมื่อไม่กี่วันก่อนขึ้นมา
นางอยากจะมอบของขวัญชิ้นสุดท้ายให้กับเขาแม้ตอนนี้นางจะยังให้ไม่ได้ก็ตาม จาเน็ตเริ่มถักเสื้อตั้งแต่วันนั้น นางไม่รู้ขนาดตัว ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับลูซิโอเลย แต่นางก็เริ่มถักจากขนาดที่กะด้วยสายตาจากที่เห็นเมื่อตอนนั้น นางหวังว่าเมื่อเขาโตเป็นผู้ใหญ่ เมื่อเขาได้เป็นจักรพรรดิเขาจะได้สวมเสื้อตัวนี้ จาเน็ตอดหลับอดนอนตั้งใจถักเสื้อ
จาเน็ตถักเสื้อเสร็จล่วงหน้าหนึ่งวันก่อนจะต้องจากไปพอดี โล่งอกที่ไม่สายเกินไป นางฝากเสื้อตัวนั้นไว้กับนางกำนัลอายุน้อยคนหนึ่งที่สนิทกัน และขอให้มอบให้ลูซิโอเมื่ออลิซาตายแล้วและเขายอมรับได้กับความจริงเรื่องชาติกำเนิด
คืนนั้นจาเน็ตเข้านอนเร็วกว่าปกติ ทันทีที่ล้มตัวลงนอนบนเตียงนางก็รู้สึกว่าความรู้สึกต่างๆ ประเดประดังเข้ามา นางใช้เตียงนี้มากว่ายี่สิบปีแล้ว จาเน็ตนอนอยู่ในห้องที่เก็บรวบรวมความทรงจำสมัยยังสาวไว้ทั้งหมด และหวนคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา
ตอนที่ได้พบจักรพรรดิครั้งแรก คืนแรกที่นางได้รับความเมตตาจากเขา ตอนที่นางรู้ว่าตนตั้งท้อง ตอนที่คลอดลูซิโอ… เมื่อได้ลองนึกย้อนถึงเรื่องราวตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาอย่างช้าๆ น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของนางโดยไม่รู้ตัว
‘ถึงกระนั้นข้าก็ไม่เสียใจเลย’
แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากแต่นางก็ไม่เสียใจ เพราะไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร ลูกชายของนางก็จะได้เป็นจักรพรรดิคนต่อไปของมาวินอส และนางก็รักจักรพรรดิด้วยใจจริง นางเพียงแต่เหนื่อยที่จะทนอยู่ในที่แห่งนี้ต่อไปเท่านั้น นางอยากใช้ชีวิตที่เหลืออย่างเงียบสงบที่บ้านเกิด จาเน็ตยิ้มบางๆ และหลับตาลง
วันนั้นคือหนึ่งวันก่อนวันเกิดปีที่สิบห้าของลูซิโอ
[ภาคแยก 3] A Wrong Encounter. (จบบริบูรณ์)
แม้จาเน็ตจะได้ยินข่าวนั้นแต่นางก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรเป็นพิเศษ แน่นอนอยู่แล้ว จักรพรรดิไม่มีทางแต่งตั้งหญิงสาวจากตระกูลปลายแถวอย่างนางเป็นจักรพรรดินีได้ อีกทั้งนั่นยังเป็นการฝ่าฝืนกฎมณเฑียรบาลของจักรวรรดิ แต่ก็ใช่ว่าจาเน็ตจะไม่รู้สึกอิจฉาจักรพรรดินีคนใหม่ แต่อิจฉาไปแล้วจะทำอะไรได้
อย่างไรเสียนางก็เป็นจักรพรรดินีไม่ได้ และตอนนี้นางก็ได้รับอะไรมามากมายเหลือเกินแล้ว
จักรพรรดิรู้สึกละอายที่ต้องขอให้จาเน็ตเข้าใจเขา แต่จาเน็ตก็ตอบเหมือนเดิมทุกครั้งว่านางไม่เป็นไร เขาจึงไม่สามารถต้านทานเสียงเรียกร้องของเหล่าขุนนางได้และต้องแต่งตั้งจักรพรรดินีอย่างเป็นทางการ ได้ยินว่าผู้ที่ได้รับเลือกมีนามว่าอลิซา เป็นน้องสาวของดยุกออสวินผู้ทรงอำนาจที่สุดในจักรวรรดิ
“ชื่อจาเน็ตหรือคะ”
วันหนึ่งจาเน็ตและอลิซาก็ได้พบกัน และอลิซาเป็นฝ่ายทักนางก่อน ความจริงแล้วจาเน็ตรู้สึกตกใจเล็กน้อย แม้จะคาดการณ์ไว้แล้วว่าจักรพรรดินีน่าจะรู้จักนาง แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาชวนคุยเช่นนี้
หญิงสาวรีบค้อมกายตอบกลับ “เพคะ ฝ่าบาท”
“ตามสบายเถอะค่ะ จาเน็ต ได้ยินว่าเจ้าเป็นนางกำนัลที่ฝ่าบาทโปรดปรานมากที่สุด”
“…”
จาเน็ตไม่รู้ว่าควรตอบรับอย่างไรจึงได้แต่ค้อมกายเหงื่อตกอยู่อย่างนั้น อลิซายิ้มอย่างอ่อนหวานแล้วช่วยประคองให้นางเงยหน้าขึ้น จาเน็ตมองอลิซาด้วยสีหน้ามึนงง ทันใดนั้นนางก็รู้สึกตัวแล้วค้อมกายลงอีกครั้ง
“หม่อมฉันมิบังอาจ…หม่อมฉันรู้ฐานะของตัวเองดีเพคะ ฝ่าบาท”
“…”
“หม่อมฉันหมายถึงหม่อมฉันไม่มีทางทำอะไรให้ระคายเบื้องพระยุคลบาทอย่างแน่นอนเพคะ”
“เราไม่ได้จะพูดถึงเรื่องนั้น…แต่ก็โล่งใจนะคะที่คนที่ฝ่าบาทรักใคร่เอ็นดูเป็นคนฉลาดเช่นนี้”
อลิซายิ้มพรายและพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “อย่างไรก็ดี ตอนนี้ผู้ที่คอยปรนนิบัติดูแลฝ่าบาทในวังหลวงก็มีแค่เรากับเจ้าสองคนเท่านั้น ดีต่อกันไว้เถอะนะคะ”
พูดจบ อลิซาก็เดินไปตามทางของนาง เหลือเพียงจาเน็ตยืนเหม่อมองแผ่นหลังของอลิซาอยู่คนเดียว
‘นึกว่าจะถูกตบเสียอีก’
เมื่อไล่เลียงดูแล้วจะพบว่าอนุภรรยาได้เข้าวังก่อนจักรพรรดินี หากจาเน็ตเป็นจักรพรรดินีคงรู้สึกหงุดหงิดกับสถานการณ์เช่นนี้เป็นแน่ แต่อลิซากลับมีปฏิกิริยาเช่นนี้หรือนี่ นางต้องมิใช่คนไม่ดีอย่างแน่นอน คิดได้ดังนั้นจาเน็ตก็เดินต่อไปตามทางของตัวเอง
***
ตอนที่จักรพรรดิพาจาเน็ตเข้าวังครั้งแรกเขาได้ให้สัญญาไว้สองประการ หนึ่งคือแม้ไม่สามารถแต่งตั้งนางเป็นจักรพรรดินีได้ แต่เขาจะทำให้นางได้อยู่อย่างสุขสบายกว่าตอนที่อยู่ตำหนักตากอากาศ และสองคือไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่ทอดทิ้งนาง
จาเน็ตไม่ใช่คนใสซื่อบริสุทธิ์จนไม่รู้ความเป็นจริงของโลก นางจึงเลือกที่จะเชื่อสัญญาข้อแรกแล้วฝังกลบสัญญาข้อที่สองไว้ในใจ แต่หลังจากอยู่ในวังมาเกือบห้าปี นางก็เริ่มคิดว่าบางทีนางอาจจะเชื่อสัญญาข้อที่สองได้ เพราะจักรพรรดิรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับนางอย่างซื่อสัตย์มาตลอด
“ท่านตั้งครรภ์ครับ”
ในที่สุด ช่วงเวลาห้าปีนั้นก็ออกดอกออกผล จาเน็ตตั้งครรภ์ลูกของจักรพรรดิ นางเอ่ยถามหมอหลวงด้วยสีหน้ายินดีปรีดาแสนบริสุทธิ์
“กี่เดือนแล้วหรือคะ”
“พอสมควรแล้วครับ น่าจะประมาณสองเดือนได้ ก่อนหน้านี้ท่านอาจไม่ได้สังเกตว่ารอบเดือนขาดไป”
นางไม่รู้เลย เดิมทีรอบเดือนของนางก็มาไม่ปกติอยู่แล้ว ทั้งยังไม่มีอาการแพ้ท้องใดๆ เด็กคนนี้สงบเสงี่ยมมาก จาเน็ตเผยยิ้มสดใสและเอ่ยขอบคุณหมอหลวง ก่อนจะลุกขึ้นเตรียมตัวจะไปตำหนักกลาง
‘ข้าท้องลูกของฝ่าบาทหรือนี่’
จากนางกำนัลต่ำต้อยในตำหนักตากอากาศที่โชคดีไปถูกตาต้องใจจักรพรรดิเข้าจนได้เข้ามาอยู่ในพระราชวัง และใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาห้าปีโดยได้รับความรักความเมตตามากมายสุดที่จะคณนา ในที่สุดนางก็มีโอกาสได้ตอบแทนสิ่งเหล่านั้นเสียที จาเน็ตมิอาจเก็บซ่อนสีหน้าปีติยินดีและก้าวเดินอย่างเร็วรี่ไปที่ตำหนักกลาง
“เลดี้อริส ฝ่าบาทประทับอยู่ข้าง…”
ตอนนั้นเองจาเน็ตก็หยุดพูดโดยอัตโนมัติเพราะได้พบกับคนคุ้นเคยเข้า หญิงสาวหยุดคิดเรื่องอื่นแล้วค้อมกายทำความเคารพอีกฝ่าย
“ถวายบังคมพระจักรพรรดินี จันทราและเกียรติภูมิแห่งจักรวรรดิ”
“…”
ทว่า อลิซากลับเอาแต่จ้องเขม็งโดยไม่พูดอะไร จาเน็ตนึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นจึงค่อยๆ ยกตัวขึ้น ตอนนั้นเองนางก็ได้ยินน้ำเสียงแหบพร่าดังมาจากด้านบน
“…เจ้าดูมีความสุขมากทีเดียว”
“เพคะ?”
“เจ้าดูมีความสุขมาก มีเรื่องอะไรดีๆ อย่างนั้นหรือ”
“ฝ่าบาท พระองค์ทรงหมายถึง…”
“ไม่ต้องมาเสแสร้ง!”
อลิซาตวาดอย่างโกรธเกรี้ยวทำเอาจาเน็ตตกตะลึง ในขณะเดียวกันนางก็เผลอเอามือกุมหน้าท้องที่ยังคงราบเรียบราวกับกลัวว่าลูกน้อยจะได้รับความกระทบกระเทือน
“ตลอดห้าปี! เจ้าได้ครอบครองความรักของฝ่าบาทไว้แต่เพียงผู้เดียว รู้สึกอย่างไรบ้างล่ะ? คงจะรู้สึกดีมากสินะ? ในขณะที่ข้าซึ่งเป็นภรรยาหลวงของพระองค์ต้องมาทนอยู่ในสภาพนี้!” อลิซายังคงตวาดอย่างดุดัน
“…”
ตลอดห้าปีที่ผ่านมา อลิซาได้ปรนนิบัติจักรพรรดิตามวันที่ระบุไว้ในกฎมณเฑียรบาลตามธรรมเนียมเท่านั้น จักรพรรดิไม่เคยไปหานางด้วยความตั้งใจของตัวเอง ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้เย็นชากับนางเสียทีเดียว เพราะถึงอย่างไรนางก็เป็นถึงน้องสาวเพียงคนเดียวของดยุกออสวินผู้ซึ่งมีอำนาจมากที่สุดในจักรวรรดิและเป็นถึงมารดาของจักรวรรดิ แต่การให้เกียรติแต่ไม่ให้ความรักอย่างไรก็นับว่าเป็นปัญหาใหญ่
จาเน็ตเองก็รู้เรื่องนั้นดี อย่างน้อยนางก็รู้ว่าจิตใจที่เคยอ่อนโยนของอลิซาเหนื่อยล้ากับความเฉยชาของสามีและค่อยๆ แตกสลายลงทุกที ทั้งยังได้ยินมาว่าไม่นานนี้มีนางกำนัลในตำหนักจักรพรรดินีถูกตบหน้า จาเน็ตตัดสินใจว่าตนควรเก็บเนื้อเก็บตัวสักหน่อยน่าจะดีกว่าจึงเอ่ยขึ้น
“ขอประทานอภัยเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่เคยคิดเช่นนั้นเลยจริงๆ”
“…”
“หากหม่อมฉันทำให้ขุ่นเคืองพระทัย หม่อมฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้เพคะ เช่นนั้น หม่อมฉันทูลลา…”
หากประกายของไฟโทสะนั้นมาถูกลูกในท้องของนางเข้าจะลำบากเอาได้ จาเน็ตลืมจุดประสงค์เดิมที่มาที่นี่ไปจนหมดสิ้นแล้วรีบออกจากตรงนั้นทันที
***
“จักรพรรดิเสด็จ”
ได้ยินดังนั้น จาเน็ตซึ่งกำลังพักผ่อนอยู่ในห้องพักก็ลุกพรวดขึ้นมา จักรพรรดิเข้ามาหานางด้วยรอยยิ้มเช่นเคย
“จาเน็ต”
“ฝ่าบาท มาแล้วหรือเพคะ”
“ได้ยินว่าเมื่อครู่เจ้าไปที่ตำหนักกลาง ไยจึงไม่เข้าไปเล่า”
“เอ่อ…”
จาเน็ตไม่กล้าเล่าถึงสถานการณ์นั้นจึงได้แต่อึกอักไม่ตอบคำ จู่ๆ จักรพรรดิก็เข้ามาลูบหน้าท้องของนางอย่างแผ่วเบา จาเน็ตจึงเอ่ยถามตะกุกตะกัก
“ฝะ ฝ่าบาท ทรงทำอะไรเพคะ”
“ได้ยินว่าเจ้าตั้งครรภ์แล้ว?”
“เอ่อ…”
ข่าวลือแพร่ออกไปแล้วหรือนี่… สีหน้าของจาเน็ตพลันเศร้าหมองลงทันใด แต่จักรพรรดิกลับไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้านั้น เขายังคงพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงเบิกบาน
“ขอบใจนะ จาเน็ต เจ้ามีลูกคนแรกให้ข้า ข้าดีใจเหลือเกิน”
“เอ่อ ฝ่าบาท…”
จาเน็ตเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงจริงจัง เมื่อนั้นจักรพรรดิจึงจับสังเกตอาการผิดปกติของนางได้และเอ่ยถามอย่างสงสัย
“จาเน็ต? เจ้ารู้สึกไม่ดีหรือ”
“เปล่าเพคะ ฝ่าบาท ไม่ใช่แบบนั้น…”
จาเน็ตลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปิดปากราวกับตัดสินใจได้แล้ว “ต่อไปเสด็จมาที่นี่ให้น้อยหน่อยจะเป็นการดีกว่าเพคะ”
“อะไรนะ”
“ตอนนี้หม่อมฉันตั้งครรภ์แล้วคงมิอาจปรนนิบัติฝ่าบาทได้เหมือนแต่ก่อน อีกทั้งยังมี…สายตาของผู้อื่น”
“…เพราะจักรพรรดินีหรือ”
“หามิได้เพคะ ไม่ใช่แบบนั้น…”
“เมื่อครู่ข้ารู้สึกได้ ดูเหมือนเจ้าไม่คิดจะบอกความจริงกับข้า เจ้ากลัวจักรพรรดินีมากกว่าข้าหรือ? นางข่มเหงรังแกเจ้าหรือ?”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันขอตอบด้วยความสัตย์จริงว่ามิได้เป็นเช่นนั้นเลยเพคะ”
จาเน็ตขีดเส้นแบ่งอย่างชัดเจน “หม่อมฉันเพียงแต่จะกราบทูลว่าระวังไว้ไม่เสียหาย ท่านผู้นั้นกำลังเป็นกังวลที่ฝ่าบาทไม่เสด็จไปหาที่ตำหนัก ไหนเรื่องความสัมพันธ์กับดยุกออสวิน…”
“…”
“แม้ว่าเด็กคนนี้จะเป็นลูกของฝ่าบาท แต่ในเมื่อมีแม่เป็นอนุ หม่อมฉันจึงปกป้องเขาได้ไม่มากนัก หวังว่า…พระองค์จะเข้าพระทัยความรู้สึกของหม่อมฉันนะเพคะ”
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว”
จักรพรรดิสวมกอดจาเน็ตพลางเอ่ย “ในเมื่อเจ้าตั้งครรภ์แล้วอีกไม่นานข้าจะมอบบรรดาศักดิ์ให้เจ้า หากเป็นเช่นนั้นต่อให้เป็นจักรพรรดินีก็จะมาดูแคลนเจ้ามิได้”
“…”
จาเน็ตอยู่ในอ้อมกอดของจักรพรรดิโดยไม่เอ่ยคำพูดใด
***
ไม่นาน ข่าวการตั้งครรภ์ของจาเน็ตก็แพร่สะพัดไปทั่ว และจักรพรรดิก็มอบบรรดาศักดิ์บารอนเนสให้นาง หลังจากกลายเป็นบารอนเนสอีวัวร์อย่างเป็นทางการ จาเน็ตก็คอยหลบหน้าจักรพรรดินีเท่าที่จะทำได้ นางคิดว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ดีต่อทั้งสองฝ่าย และการตัดสินใจนั้นก็มีส่วนที่ถูกอยู่มากจริงๆ
ผ่านไปเก้าเดือนเต็ม จาเน็ตให้กำเนิดลูกชาย สำหรับนางแล้วลูกจะเป็นชายหรือหญิงล้วนไม่สำคัญ แต่คนอื่นๆ ต่างคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด จักรพรรดิดีใจมากที่ลูกคนแรกเป็นลูกชายซึ่งสามารถสืบทอดบัลลังก์ต่อจากเขาได้ ในขณะที่จักรพรรดินีรู้สึกโกรธแค้นที่จาเน็ตให้กำเนิดรัชทายาทก่อนตน แม้ลูกของจาเน็ตจะเป็นศูนย์กลางของความรู้สึกที่ขัดแย้งของใครหลายคน แต่จาเน็ตกลับปิดหูปิดตาไม่รับรู้และตั้งอกตั้งใจเลี้ยงดูลูกอย่างสงบเท่านั้น
จักรพรรดิตั้งชื่อให้ลูกชายของนางว่า ‘ลูซิโอ’ ชื่อนั้นมีความหมายว่า ‘แสงสว่าง’ เพราะเขาพูดเป็นประจำตั้งแต่ตอนที่ลูกยังอยู่ในท้องว่าอยากให้เด็กคนนี้ทำให้โลกสว่างไสวราวกับแสงสว่าง
หลังจากนั้น ในแต่ละวันก็ผ่านไปอย่างปกติสุข แต่แล้วก็เกิดปัญหาขึ้น
“จักรพรรดินีเสด็จ”
จักรพรรดินีมาหาจาเน็ตในวันหนึ่งที่อากาศแจ่มใส แม้จะรู้สึกตกใจแต่จาเน็ตก็ตั้งใจว่าจะไม่แสดงอาการใดๆ หลังจากนั้นก็สั่งให้นางกำนัลเปิดประตู อลิซาเดินเข้ามาในห้อง นางดูน่ากลัวขึ้นกว่าตอนที่พบกันครั้งสุดท้าย จาเน็ตเริ่มทักทายด้วยการคำนับ
“ถวายบังคมพระจักรพรรดินี จันทราแห่งจักรวรรดิและผู้ปกครองฝ่ายใน”
ทว่า อลิซากลับมองไปรอบๆ ห้องของจาเน็ตโดยไม่สนใจการคำนับนั้น วินาทีนั้นจาเน็ตก็ยังคงคิดถึงแต่ลูซิโอ ลูกชายของนางเท่านั้น และแล้วจักรพรรดินีก็พบลูซิโอซึ่งนอนอยู่ในเปล จาเน็ตกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
‘นางคงไม่ได้คิดจะทำร้ายลูกข้าใช่ไหม’
ต่อให้เป็นจักรพรรดินีก็ไม่อาจทำร้ายเลือดเนื้อเชื้อไขของจักรพรรดิได้ตามอำเภอใจ สิ่งนี้เป็นการคุ้มครองความปลอดภัยขั้นต่ำที่สุดและเป็นสิ่งที่นางเชื่อมั่นโดยพื้นฐานมากที่สุด แต่อีกฝ่ายเป็นถึงน้องสาวของผู้ที่มีอิทธิพลมากที่สุด ทั้งยังเป็นจักรพรรดินี ไม่มีวินาทีไหนเลยที่จาเน็ตจะวางใจได้เต็มร้อย จาเน็ตได้แต่เลียริมฝีปากที่แห้งผากด้วยความกังวลใจ ทันใดนั้นจักรพรรดินีซึ่งกำลังมองดูลูซิโอด้วยสีหน้ายากจะคาดเดาก็เอ่ยปาก
“ข้าต้องการนำเด็กคนนี้ไปเลี้ยง”
จาเน็ตข่มใจที่เต้นรัว นางกำนัลไม่ควรรู้สึกเช่นนี้ นางคิดว่าตนควรจะไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุดจึงรีบถอดเสื้อคลุมของจักรพรรดิที่อยู่บนร่างของตนออกและนำกลับไปคลุมไว้บนบ่าของอีกฝ่ายก่อนจะรีบกล่าวลา
“ฝ่าบาท หากหม่อมฉันรบกวนเวลาพักผ่อนต้องขอประทานอภัยด้วยเพคะ เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัว…”
“เดี๋ยวก่อน”
จักรพรรดิหนุ่มเอ่ยรั้งจาเน็ตและคว้าข้อมือของนางไว้โดยไม่ตั้งใจ ในขณะที่จาเน็ตดูตกใจอย่างมาก นี่เป็นเรื่องที่นางไม่คาดคิดมาก่อนเลยแม้แต่น้อย จาเน็ตลืมฐานะของตนไปชั่วขณะและมองหน้าเขาหน้าตรงๆ
“ฝ่าบาท”
“เอ่อ…”
จักรพรรดิเองก็ดูตกใจเช่นกันด้วยคิดไม่ถึงว่าตนจะทำแบบนี้ แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาไม่คิดจะปล่อยมือที่จับอยู่ด้วยเช่นกัน จักรพรรดิค่อยๆ ผ่อนแรงที่จับข้อมือนั้นไว้ แต่มิได้ปล่อย
หญิงสาวกล่าวราวกับจะอ้อนวอน “ฝ่าบาท หม่อมฉันต้องไปแล้วเพคะ ขุนนางท่านอื่นอาจจะกำลังเรียกหาหม่อม…”
“หากเราต้องการตัวเจ้าเล่า?” จักรพรรดิกล่าวเสียงสั่น “ต่อให้เราต้องการตัวเจ้า เจ้าก็ยังจะไปอย่างนั้นหรือ?”
“…เพคะ?”
“คือ…”
จักรพรรดิต้องรีบคิดหาข้ออ้างโดยเร็วเพื่อรั้งจาเน็ตไว้ เขาทำเสียงอ้ำอึ้งพลางคิดหาข้อแก้ตัว ทันใดนั้นก็เอ่ยข้ออ้างแปลกๆ ออกไป
“นางกำนัลที่ประจำอยู่ในห้องเราเตี้ยเกินไป”
“เพคะ?”
แล้วเรื่องนั้นเกี่ยวกับอันใดกับการถวายการรับใช้เล่า…? จาเน็ตจะไม่เข้าใจสถานการณ์เลยแม้แต่น้อย นางจึงถามกลับอย่างมึนงง จักรพรรดิเห็นดังนั้นก็ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดมือ รีบชักแม่น้ำทั้งห้า[1]ทันที
“เจ้าก็เห็นว่าเราตัวสูงขนาดนี้ หากนางกำนัลตัวเตี้ยก็จะปรนนิบัติดูแลลำบาก”
“เช่นนั้นแล้ว…?”
“เจ้าตัวสูงมิใช่หรือ”
เป็นเช่นนั้นจริง จาเน็ตสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสองเซนติเมตร เรียกได้ว่าเป็นสตรีที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของจักรวรรดิ ครั้นจักรพรรดิเห็นหญิงสาวพยักหน้ารับ เขาก็อธิบายต่ออย่างเริงร่า
“ดังนั้นเจ้าต้องมาปรนนิบัติเรา”
“อะไรนะเพคะ?” จาเน็ตตกใจจนหน้าถอดสี “แต่หม่อมฉันได้รับมอบหมายให้ดูแลรับใช้ขุนนางที่ติดตามพระองค์แล้วนะเพคะ…”
“ถึงกระนั้น หากสุริยันแห่งจักรวรรดิอย่างเราออกคำสั่ง เรื่องพรรค์นั้นย่อมเปลี่ยนแปลงเมื่อใดก็ได้มิใช่หรือ”
นั่นก็จริง จาเน็ตพยักหน้าอย่างงงๆ จักรพรรดิเห็นดังนั้นก็ยิ้มอย่างพอใจและเอ่ยกับหญิงสาว
“ลมกลางคืนหนาวเย็นนัก เข้าไปข้างในกันเถอะ”
“เพคะ เช่นนั้นหม่อมฉัน…”
“ที่เราบอกเมื่อครู่เจ้าฟังหูซ้ายทะลุหูขวาไปแล้วหรือ” จักรพรรดิพูดกับจาเน็ตด้วยสีหน้าหมดคำจะพูด “เจ้าก็ต้องตามเรามาด้วยสิ”
“…เรื่องนั้นพระองค์พูดจริงหรือเพคะ”
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเราพูดเล่นหรือ”
ขณะถามกลับ จักรพรรดิก็ยิ้มอย่างสดใส จาเน็ตรู้สึกได้ถึงความมีชีวิตชีวาและความแข็งแกร่งของชายหนุ่ม ทันใดนั้นนางก็ถูกรอยยิ้มอันแสนบริสุทธิ์ของอีกฝ่ายทำให้รู้สึกหวิวๆ ขึ้นมา
‘ตอนนั้นข้าควรจะตั้งใจฟังสิ่งที่เอเวอรีพูดหรือเปล่านะ’
จู่ๆ ก็เกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นมา แต่ถึงอย่างไรก็ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะสายไปแล้ว วินาทีนั้นจาเน็ตกำลังวิ่งไปตามแรงฉุดที่ข้อมือจนถึงห้องของจักรพรรดิ
จักรพรรดิจูงมือจาเน็ตมาถึงห้องและให้นางกำนัลคนอื่นๆ ออกไป เหลือไว้เพียงจาเน็ตคนเดียว
ทว่า แม้จะมาถึงห้องของจักรพรรดิแล้ว จาเน็ตก็ยังเอาแต่ครุ่นคิดว่าจะอธิบายเรื่องนี้กับเคาน์เตสอะมอร์อย่างไรดี เรื่องที่ตัวนางไม่กล้าแม้แต่จะคิดได้เกิดขึ้นแล้วในตอนนี้ จาเน็ตกำลังสับสนอย่างมากเลยทีเดียว
จักรพรรดิสังเกตเห็นดังนั้นก็เอ่ยถาม “ดูเหมือนเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”
“เพคะ?”
หลังจากหลุดปากถามกลับด้วยความตกใจ ครู่หนึ่งจาเน็ตก็เอ่ยตอบเสียงค่อย “เปล่าเพคะ ไม่ใช่อย่างนั้น”
“อย่างนั้นหรือ แล้วเจ้า…”
ขณะที่พูดอยู่นั้นจักรพรรดิก็เริ่มถอดเสื้อผ้า การกระทำปุบปับนั้นทำให้จาเน็ตตกใจ แต่จะกรีดร้องออกมาก็ไม่ได้ จึงได้แต่หันหลังให้ตามสัญชาตญาณ จักรพรรดิเห็นปฏิกิริยาของจาเน็ตก็ถามอย่างสงสัย
“เหตุใดท่าทีของเจ้าจึงเป็นเช่นนั้นเล่า”
“เพคะ? เอ่อ…หม่อมฉันเพียงแต่…”
จาเน็ตตอบอย่างใจเย็น แม้จะยังรู้สึกได้ถึงหัวใจที่ยังเต้นตุบๆ ด้วยความตกใจ
“เอ่อ…หม่อมฉันคิดว่าร่างกายของผู้สูงศักดิ์มิอาจมองได้ตามอำเภอใจ…”
งานส่วนใหญ่ของจาเน็ตในตำหนักตากอากาศแห่งนี้มีแต่สิ่งที่ระเบียบพิธีการกำหนดไว้เท่านั้น ระหว่างที่จักรพรรดิหรือเหล่าชนชั้นสูงไม่ได้มาที่นี่ นางและข้ารับใช้คนอื่นๆ อย่างเอเวอรีก็มีหน้าที่จัดการดูแลห้องที่ว่างเปล่า ระหว่างที่มีผู้มาเยือน นางก็มีหน้าที่บริการอาหารว่าง หรือไม่ก็จัดการของมีค่าต่างๆ เรื่องช่วยอาบน้ำหรือช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าก็เคยทำอยู่บ้าง แต่ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นสตรีชนชั้นสูงทั้งสิ้น จึงเรียกได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นเรือนร่างของบุรุษที่เปลื้องผ้า
แน่นอนว่าจักรพรรดิไม่มีทางรู้เรื่องนี้ เขาจึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดจาเน็ตซึ่งเป็นถึงนางกำนัลถึงได้มีปฏิกิริยาอ่อนไหวกับเรื่องเช่นนี้เหลือเกิน
“การช่วยอาบน้ำมิใช่เรื่องพื้นฐานของการเป็นนางกำนัลหรอกหรือ”
“เอ่อ…หม่อมฉันเคยแต่ช่วยเลดี้อาบน้ำเท่านั้นเพคะ เรื่องเปลี่ยนเสื้อผ้าก็เช่นกัน… หากทรงเป็นกังวลว่าหม่อมฉันจะทำได้ไม่ดี เช่นนั้นทรงเรียกหานางกำนัลคนอื่น…”
“ไม่ล่ะ ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้น”
จักรพรรดิหยิบเสื้อคลุมตัวยาวขึ้นมาสวมเองและมีสีหน้าครุ่นคิด ทันใดนั้นเขาก็เสนอทางแก้ด้วยน้ำเสียงสดใส
“เช่นนั้นก็ไม่ยาก จะสตรีหรือบุรุษล้วนเป็นคนเหมือนกัน เจ้าทำอย่างที่เคยทำก็พอ”
“…”
“แล้วก็ตอนนี้เจ้าหันกลับมาได้แล้ว”
ได้ยินดังนั้นจาเน็ตจึงยอมหันกลับมา
“ฝ่าบาทจะให้หม่อมฉันช่วยพระองค์สรงน้ำเพียงคนเดียวหรือเพคะ” นางถาม
“เจ้าไม่พอใจหรือ? เจ้าทำไม่ได้หรือว่า…”
“…หามิได้เพคะ”
คนที่นางต้องช่วยอาบน้ำเพียงคนเดียวมิใช่ใครที่ไหนแต่เป็นถึงจักรพรรดิ นี่มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ แม้จะเป็นนางกำนัลของตำหนักตากอากาศในต่างเมือง แต่จาเน็ตรู้ดีกว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องตามประเพณี หญิงสาวมิอาจล่วงรู้เจตนาของจักรพรรดิได้เลย
แต่การทำตามคำสั่งของเขาเป็นชะตาของราษฎรทั้งจักรวรรดิ แน่นอนว่ารวมถึงจาเน็ตด้วย
จาเน็ตเข้าไปในห้องอาบน้ำอย่างเสียไม่ได้ ในอ่างอาบน้ำมีน้ำร้อนอยู่เต็มอ่าง ดูเหมือนเขาจะสั่งให้เตรียมไว้ก่อนจะออกไปข้างนอก ไม่นานจักรพรรดิก็ตามเข้ามาในชุดเสื้อคลุมผ้าไหมบางๆ ปกปิดร่างกาย เขาลงไปในอ่างอาบน้ำทั้งอย่างนั้นอย่างไม่ใส่ใจ
จาเน็ตที่เพิ่งเคยช่วยผู้ที่สูงศักดิ์ที่สุดในจักรวรรดิอาบน้ำเป็นครั้งแรกรู้สึกกังวลอย่างมากว่าหากตนทำอะไรผิดพลาดไปจะทำอย่างไรดี แต่นางก็พยายามทำใจให้สงบและคิดเสียว่าตนกำลังช่วยเลดี้คนหนึ่งอาบน้ำเท่านั้น หากมัวแต่ทำไปกังวลไปมีแต่จะยิ่งผิดพลาดไปกันใหญ่
“…”
“…”
ทั้งสองไม่ได้พูดคุยกัน และในห้องน้ำก็อยู่กันแค่สองคนจึงไม่แปลกที่ทั้งห้องจะตกอยู่ในความเงียบ แน่นอนว่าจาเน็ตกำลังตั้งใจทำหน้าที่ช่วยอาบน้ำอย่างเต็มที่จึงไม่มีเวลาไปสนใจความเงียบงันนั้น แต่จักรพรรดิมิใช่แบบนั้น เขาจ้องจาเน็ตเขม็งอยู่หลายต่อหลายครั้งคล้ายมีอะไรจะพูด แต่จาเน็ตก็ไม่ได้รู้สึกถึงแม้กระทั่งสายตาอันแน่วแน่นี้ จนกระทั่งการอาบน้ำใกล้จะเสร็จสิ้นนางจึงเพิ่งสังเกตเห็น
“ฝ่าบาท ตอนนี้เชิญเสด็จขึ้นจากอ่าง…”
วินาทีที่จาเน็ตผละจากท่าก้มโค้งโดยไม่ตั้งใจ นางก็สบเข้ากับดวงตาสีนิลของจักรพรรดิ ใบหน้าหลังการอาบน้ำของเขาดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่าตอนอยู่ใต้ท้องฟ้าในยามค่ำคืนอันหนาวเหน็บ ผิวพรรณผ่องแผ้วที่แดงระเรื่อเล็กน้อยนั้นเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าข่าวลือเกี่ยวกับรูปโฉมอันงดงามของเขานั้นมิได้โป้ปดแม้แต่น้อย
จาเน็ตเผลอกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว ในใจก็คิดว่า ‘บ้าไปแล้วแน่ๆ’ แต่ในฐานะนางกำนัลนางก็อดดีใจไม่ได้ที่ตนได้รับเกียรติให้ช่วยจักรพรรดิอาบน้ำแต่เพียงผู้เดียว แน่นอนว่านั่นเป็นใจจริงที่ซ่อนเร้นอยู่ในส่วนลึกของจิตใจแม้กระทั่งตัวนางเองก็มิอาจรู้
“…”
“…”
สายตาอันเหนียวแน่นนั้นมองตามนางตลอดจนจาเน็ตเริ่มทำตัวไม่ถูก
เหตุใดจึงจ้องข้าไม่วางตาเช่นนี้เล่า?
หญิงสาวอยากจะถามออกไป แต่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของเขาแล้วก็พบว่าช่างน่าแปลกที่นางรู้สึกว่าไม่สามารถถามออกไปได้ ขณะที่จาเน็ตทำอะไรไม่ถูก ได้แต่เผยอปาก จู่ๆ จักรพรรดิก็ยกแขนที่เปียกโชกขึ้นจากน้ำ ท่อนแขนแกร่งมีผ้าบางๆ แนบสนิทไม่เหลือช่องว่างปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงน้ำกระฉอก ขณะที่จาเน็ตยังคงจ้องมองอีกฝ่าย เขาก็ค่อยๆ เอื้อมมือมาจับผมที่หลุดลงมาด้านข้างนำไปทัดหูให้
“เจ้าดูตั้งใจมากทีเดียว”
“เอ่อ…” จาเน็ตตกใจหน้าแดงโดยไม่รู้ตัวพลางเอ่ยขออภัย “หากทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัย หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยด้วยเพคะ”
แต่แม้จะได้ฟังคำขอโทษแล้ว จักรพรรดิก็ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ จนกระทั่งความเงียบเริ่มก่อให้เกิดความวุ่นวายใจ จักรพรรดิจึงเอ่ยปาก
“เจ้าบอกว่าชื่อจาเน็ตใช่หรือไม่”
“ใช่แล้วเพคะ ฝ่าบาท”
คำพูดต่อมาของเขาทำให้นางตกตะลึงอย่างมาก
“ไม่อยากไปอยู่ที่วังบ้างหรือ”
“…เพคะ?”
วินาทีนั้นจาเน็ตนึกสงสัยว่าตนหูฝาดไปหรือไม่จึงถามกลับทันทีอย่างเสียมารยาท แต่เห็นสีหน้าของจักรพรรดิแล้วก็ดูเหมือนว่าตนไม่ได้เข้าใจผิดไป เขาหมายถึงการไปพระราชวังจริงๆ ในหัวของจาเน็ตคิดออกเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น หญิงสาวเอ่ยถามอีกครั้งด้วยสีหน้ามึนงง
“หม่อมฉันเข้าใจ…ถูกต้องใช่ไหมเพคะ ฝ่าบาท”
“ใช่”
“แต่คนอย่างหม่อมฉัน…เหตุใด…”
“ความเมตตาของจักรพรรดิไม่มีเหตุผล หัวใจของจักรพรรดิเองก็ไม่มีเหตุผลเช่นกัน”
“…”
“หากเจ้าไม่ต้องการ เราก็จะไม่บังคับ”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ในขณะที่จาเน็ตยังคงได้แต่เหม่อมองจักรพรรดิ เขายิ้มให้นางด้วยใบหน้าที่มีเสน่ห์อย่างหาที่สุดมิได้ และนั่นทำให้นางเผลอพยักหน้าตอบรับราวกับต้องมนตร์
วินาทีนั้น จาเน็ตไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษหรือลึกซึ้ง นางชอบจักรพรรดิที่อยู่ตรงหน้า เช่นเดียวกับที่จักรพรรดิชอบนาง
นางคิดเพียงเท่านั้น
นางไม่ได้คิดถึงสิ่งที่ตนเคยเตือนเอเวอรีด้วยซ้ำ ราวกับนางมั่นใจว่าคำเตือนนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนางแม้แต่น้อย
“ขอบใจนะ”
จักรพรรดิยิ้มอย่างงดงามให้อีกหนึ่งครั้งก่อนจะมอบจุมพิตให้จาเน็ต แม้จาเน็ตจะยังรู้สึกแปลกๆ แต่นางก็น้อมรับจุมพิตนั้นไว้ด้วยความเต็มใจ วินาทีนั้น นางได้สัมผัสกับความรักเป็นครั้งแรกและรู้สึกมีความสุขจากใจ
ในคืนนั้นจาเน็ตตัดสินใจร่วมเตียงกับจักรพรรดิ หลังจากนั้นนางก็ไม่ใช่นางกำนัลของตำหนักตากอากาศอีกต่อไป หลายคนแสดงความยินดีกับนางที่ได้รับความเมตตาจากจักรพรรดิ แต่หลายคนก็มองนางด้วยสายตาริษยา เดิมทีจาเน็ตก็ไม่ค่อยสนใจสายตาของคนอื่นอยู่แล้วจึงเมินเฉยต่อคนกลุ่มหลังและเตรียมตัวเข้าเมืองหลวงด้วยความตื่นเต้น
วันรุ่งขึ้น จาเน็ตเข้าวังพร้อมกับจักรพรรดิในฐานะนางกำนัลตำหนักกลางที่จักรพรรดิพักอยู่
นางกำนัลตำหนักกลางที่อยู่มาก่อนย่อมไม่ยินดีกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของจาเน็ต แต่ในเมื่อจักรพรรดิยังคงมอบให้ความรักให้กับนาง เหล่านางกำนัลตำหนักกลางที่ดูเบาและจงเกลียดจงชังจาเน็ตเพราะมีฐานะต่ำต้อยจึงมิอาจทำอะไรได้ตามอำเภอใจ
ถึงกระนั้นจาเน็ตก็ไม่เคยลืมฐานะของตัวเองและทำตัวยโสโอหัง นางเพียงแต่คอยช่วยเหลือจักรพรรดิอยู่ข้างๆ และทำหน้าที่ของตนเท่านั้น นั่นทำให้จักรพรรดิมอบความรักความหวงแหนให้กับนางอย่างไม่รู้เบื่อ
กระทั่งวันหนึ่ง ข่าวการแต่งตั้งจักรพรรดินีอย่างเป็นทางการก็แพร่สะพัดไปทั่วจักรวรรดิ
[1] ชักแม่น้ำทั้งห้า หมายถึง พูดจาหว่านล้อมยกเหตุผลต่างๆ เพื่อโน้มน้าวให้ได้สิ่งที่ประสงค์
ภาคแยก 3 : A Wrong Encounter.
(การพบพานที่ผิดพลาด)
“ได้ยินว่าพระจักรพรรดิที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ทรงมีพระสิริโฉมงดงามมาก”
แม้จะได้ยิน เอเวอรี เพื่อนร่วมงานของตนพูดเช่นนั้น แต่ จาเน็ต ก็ยังคงมีท่าทีเฉยเมย คล้ายกำลังคิดว่า จักรพรรดิคนใหม่มีรูปโฉมงดงามแล้วอย่างไร? เกี่ยวอันใดกับข้า? เอเวอรีเห็นปฏิกิริยาของจาเน็ตก็กล่าวอย่างอัดอั้นตันใจ
“เจ้านี่ช่างไม่มีความทะเยอทะยานเอาเสียเลย ลองถ้าได้ต้องพระทัยฝ่าบาทแล้วกลายเป็นอนุ ก็จะไม่ต้องมีชีวิตเป็นนางกำนัลอีกต่อไป!”
“ฝ่าบาทจะมาต้องพระทัยคนอย่างพวกเราได้อย่างไร ที่นี่หาใช่พระราชวังเสียหน่อย”
จาเน็ตและเอเวอรีต่างเป็นบุตรีจากตระกูลต่ำศักดิ์ และเป็นเพียงหนึ่งในนางกำนัลมากมายที่ประจำอยู่ที่ตำหนักตากอากาศ[1]เท่านั้น ตำหนักตากอากาศมักจะอยู่ในชนบทที่ห่างไกลจากเมืองหลวง ดังนั้น แทบไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่ทั้งสองคนจะได้พบจักรพรรดิ ไม่ต้องพูดถึงโอกาสที่จักรพรรดิจะมาถูกตาต้องใจพวกนาง
“ต่อให้โชคดีต้องพระทัยฝ่าบาท เจ้าคิดว่าพระจักรพรรดินีที่กำลังจะได้รับการแต่งตั้งจะยินดีกับการมีอยู่ของอนุอย่างนั้นหรือ ไม่ถูกกำจัดก็บุญแล้วน่ะสิไม่ว่า” จาเน็ตพูดเสริม
“เจ้านี่จริงๆ เลย เช่นนั้นอนุของจักรพรรดิองค์ก่อนๆ มิตายกันหมดหรือ” เอเวอรียิ้มพรายและพูดเสริม “หากจักรพรรดินีมิอาจให้กำเนิดรัชทายาทเล่า จักรพรรดิเองก็ไม่มีพี่น้องคนอื่น เพราะฉะนั้นบุตรที่เกิดจากอนุอาจได้สืบทอดบัลลังก์ก็เป็นได้”
“เอเวอรี ระวังคำพูดด้วย!”
จาเน็ตพูดอย่างตกตะลึง อีกฝ่ายช่างไม่รู้จักระมัดระวังเอาเสียเลย!
“หากใครมาได้ยินเข้า เจ้ากับข้ามีหวังได้ถูกโบยเป็นแน่ ช่วยระวังคำพูดคำจาด้วยเถอะ!”
“เจ้าระมัดระวังตัวเกินไปแล้ว”
เอเวอรีส่ายศีรษะเบาๆ แล้วลุกขึ้นยืน ตอนนี้ได้เวลาที่ต้องไปแล้ว
“อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้ฝ่าบาททรงออกตรวจตราตามพื้นที่ต่างๆ เย็นนี้จึงจะเสด็จมาที่นี่ ลองหาโอกาสดูสักครั้งก็ไม่เสียหาย”
“ตามใจเจ้าแล้วกัน ข้าไม่ห้าม”
จาเน็ตว่าพลางยักไหล่ จากนั้นครู่หนึ่งนางก็โอดครวญ “ว่าแต่ฝ่าบาทจะเสด็จมาเย็นนี้ เช่นนั้นตั้งแต่วันนี้ไปก็อดเข้านอนแต่หัวค่ำแล้วสิ”
“ปกติก็ได้นอนเวลานั้นมาตลอดแท้ๆ”
“นั่นก็จริง”
จาเน็ตตอบพลางยิ้มน้อยๆ แล้วลุกขึ้นเช่นกัน ในตำหนักตากอากาศกำลังเตรียมงานกันให้วุ่นตั้งแต่หลายสัปดาห์ก่อนเพื่อต้อนรับจักรพรรดิที่จะมาถึงในเย็นวันนี้ แน่นอนว่าสองคนนี้ก็มีส่วนร่วมด้วยเช่นกัน
“ฝ่าบาทเสด็จมาที่นี่เป็นครั้งแรก การเตรียมการจะผิดพลาดมิได้เด็ดขาด”
ภายใต้การกำกับดูแลของเคาน์เตสอะมอร์ เหล่าข้ารับใช้ทั้งชายและหญิงจึงทำงานกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและราบรื่น ตอนนี้มาถึงการตรวจงานครั้งสุดท้ายแล้ว หลังเสร็จสิ้นการเตรียมการในตำหนักตากอากาศ จาเน็ตและเอเวอรีก็ไปอาบน้ำล้างตัวให้สะอาดเอี่ยมและเปลี่ยนไปสวมชุดเดรสชุดใหม่ จาเน็ตคิดว่าอย่างน้อยการได้รับชุดใหม่ในรอบหลายเดือนก็นับเป็นเรื่องที่ดี
คณะขององค์จักรพรรดิมาถึงตำหนักตากอากาศตอนค่ำ แต่เนื่องจากเอเวอรีและจาเน็ตต้องคอยปรนนิบัติขุนนางคนอื่นๆ ที่ร่วมเดินทางมาด้วย จึงไม่มีโอกาสได้เห็นจักรพรรดิตัวเป็นๆ อีกทั้งงานปรนนิบัติจักรพรรดิเป็นงานสำหรับผู้ที่มีศักดิ์สูงกว่าพวกนาง เอเวอรีรู้สึกเสียดาย แต่สำหรับคนที่ไม่ได้สนใจจักรพรรดิมาตั้งแต่แรกอย่างจาเน็ตไม่ได้สนใจเรื่องนั้นแม้แต่น้อย
ครั้นเวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงคืน จาเน็ตก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า ไม่รู้ทำไมนางถึงรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว
‘ออกไปรับลมสักหน่อยดีไหมนะ’
จาเน็ตคิดดังนั้นก่อนจะออกไปยังสวนที่อยู่นอกตำหนักตากอากาศ สายลมตอนเที่ยงคืนแม้จะเย็นสบายแต่ก็นับว่าหนาวเย็น เวลาผ่านไปห้านาทีจาเน็ตก็หมุนตัวกลับด้วยคิดว่าควรจะรีบกลับเข้าไปข้างในหากไม่อยากเป็นหวัด ในตอนนั้นเองนางก็พบใครบางคน
“อ๊ะ…”
นางเพิ่งเคยพบเขาเป็นครั้งแรกแต่ก็รู้ได้ทันที ผู้ที่ผมสีดำราวกับท้องฟ้ายามเที่ยงคืนและอยู่ในชุดเต็มยศสีทองวิจิตรผู้นี้ย่อมต้องเป็น…
“พระจักรพรรดิ”
จาเน็ตหลุดปากเอ่ยขึ้น อีกฝ่ายได้ยินดังนั้นก็ค่อยๆ หันมามอง วินาทีนั้นหัวใจของจาเน็ตเต้นระรัว
‘ได้ยินว่าพระจักรพรรดิที่เพิ่งเสวยราชสมบัติทรงมีพระสิริโฉมงดงามมาก’
จู่ๆ จาเน็ตก็นึกถึงคำพูดของเอเวอรีขึ้นมา ตอนที่ได้ยินเอเวอรีบอกว่า ‘พระสิริโฉมงดงาม’ จาเน็ตยังไม่เชื่อเพราะเคยได้ยินข่าวลือว่าจักรพรรดิองค์ก่อนมีหน้าตาอัปลักษณ์ แต่นางลืมคิดไปว่าจักรพรรดินีองค์ก่อนได้ชื่อว่างดงามที่สุดในบรรดาจักรพรรดินีที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์
“เจ้าเป็นใคร”
เสียงทุ้มต่ำของเขาช่างมีเสน่ห์ จาเน็ตรีบร้อนค้อมกายเอ่ยตอบ
“หม่อมฉัน…เป็นเพียงนางกำนัลต่ำต้อยเพคะ ฝ่าบาท”
“เราถามชื่อของเจ้า”
“…จาเน็ตเพคะ”
“เป็นชื่อที่ไพเราะ”
จาเน็ตยังคงก้มหน้าอยู่ ในขณะที่หูได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นเรื่อยๆ หญิงสาวกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว จักรพรรดิกำลังเดินมาทางนี้ ว่าแต่ทำไมกัน? หรือจะเดินผ่านทางนี้เพื่อกลับเข้าข้างใน?
หญิงสาวกุมอกซ้ายตรงตำแหน่งของหัวใจที่กำลังเต้นรัวและรอให้เขาเดินผ่านไป แต่เสียงฝีเท้ากลับหยุดอยู่ตรงหน้านาง นางเผลอผละจากท่าค้อมตัว เมื่อเห็นว่าจักรพรรดิยังคงยืนอยู่ตรงหน้า นางก็ค้อมกายลงไปอีกครั้ง
“เงยหน้าขึ้นเถอะ” จักรพรรดิหัวเราะพลางกล่าว
“แต่ว่า…”
“นี่เป็นคำสั่ง เอาล่ะ เร็วเข้า”
สำหรับข้ารับใช้อย่างจาเน็ต คำสั่งของจักรพรรดิย่อมมาก่อนกฎระเบียบ นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีลมพัดมาจากข้างหลังทำเอาร่างบางหนาวสั่นโดยไม่รู้ตัว จักรพรรดิเห็นดังนั้นก็เอ่ยถาม
“หนาวหรือ”
“มะ ไม่เป็นไรเพคะ”
“ไม่เป็นไรที่ไหนกัน”
พูดจบ เขาก็ถอดเสื้อคลุมออก แล้วก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นอีกหนึ่งก้าวเพื่อนำมาคลุมให้จาเน็ต เมื่อรู้ว่าจักรพรรดิกำลังจะทำอะไร จาเน็ตก็สะดุ้งตกใจและกล่าวปฏิเสธ
“ฝ่าบาท หม่อมฉันมิบังอาจ…”
“การมีเมตตาต่อผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นสิ่งที่ผู้นำควรยึดถือและปฏิบัติ เจ้าไม่ต้องเกรงใจ”
“แต่ว่า…”
จาเน็ตมองจักรพรรดิด้วยแววตาสับสนแต่อีกฝ่ายก็ยังคงยืนกรานหนักแน่น ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ จาเน็ตจึงยืนนิ่งไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือของเขา
“เจ้าผอมบางนัก ผอมบางเกินไป” จักรพรรดิกล่าว
“มิใช่ว่าหม่อมฉันไม่กินนะเพคะ…นี่เป็นปกติเพคะ หม่อมฉันผอมเหมือนท่านแม่”
“อย่างนั้นหรือ”
จักรพรรดิยิ้มน้อยๆ และสบตากับจาเน็ต วินาทีนั้นจาเน็ตรู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นแรงว่าเมื่อครู่
‘เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เล่า’
การมีความรู้สึกเช่นนี้กับกษัตริย์ที่ตนรับใช้มิใช่เรื่องดีเอาเสียเลย
[1] พระตำหนักตากอากาศ หรือ พระราชนิเวศน์ คือ สถานที่ประทับของกษัตริย์ มีความสำคัญรองลงมาจากพระราชวัง มักสร้างขึ้นไว้สำหรับพักผ่อน หรือกษัตริย์เปลี่ยนสถานที่อยู่เป็นการชั่วคราว
“เฮ้อ…”
รอธซีขอให้ทุกคนออกไปจากห้องรับรองเจ้าบ่าวสักครู่หนึ่งและพยายามทำใจให้สงบ เมื่อไม่กี่วันก่อน หรือจนกระทั่งเมื่อวานเขาเฝ้าฝันถึงวันนี้มาตลอด แต่น่าแปลกที่เขาตื่นเต้นเหลือเกิน รอธซีค่อยๆ สูดหายใจเข้าลึกๆ และบอกตัวเองว่าเขาทำได้ เขาจะไม่ทำพลาด ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“ใครครับ”
“พ่อเอง โร”
เคานต์เบรดิงตันนั่นเอง รอธซียิ้มน้อยๆ พลางตอบรับ
“เชิญครับ ท่านพ่อ”
เคานต์เบรดิงตันเปิดประตูเดินเข้ามา เขาอยู่ในชุดที่เรียบง่ายกว่าปกติขณะเดินเนิบช้าเข้ามาหาบุตรชาย
“เจ้าดูตื่นเต้นนะ เมื่อวานยังดูมั่นอกมั่นใจอยู่เลย”
“ข้าน่ะหรือครับ”
“ใช่แล้ว เจ้าลูกชาย เมื่อวานยังทำหน้าเหมือนอยู่บนสวรรค์ มาวันนี้สีหน้าเช่นนั้นหายไปที่ใดเสียเล่า”
“พอเอาเข้าจริงข้าก็รู้สึกวุ่นวายใจขึ้นมาน่ะครับ ข้า…กังวลว่าจะทำได้ดีหรือไม่”
“เรื่องอันใด? ชีวิตแต่งงานน่ะหรือ?”
“ครับ ข้าไม่มั่นใจว่าข้าจะเป็นสามีที่ดีได้หรือไม่”
เห็นบุตรชายมีท่านี้กังวลเช่นนี้เคานต์เบรดิงตันก็ยิ้มกว้างแล้วตบหลังรอธซีเบาๆ
“อย่ากังวลไปเลย โร ตั้งแต่ที่เจ้ามีความคิดเช่นนั้นก็เท่ากับเจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอแล้ว” เคานต์เบรดิงตันมองบุตรชายด้วยสายตาเชื่อมั่น “เจ้าต้องเป็นสามีที่ดีและเป็นพ่อที่ดีได้แน่”
“ทำไมถึงมั่นใจขนาดนั้นล่ะครับ”
“เพราะเจ้าเป็นลูกของพ่อกับแม่ของเจ้าน่ะสิ พวกเราไม่ได้เก็บเจ้ามาเลี้ยงเสียหน่อย แล้วลูกไม้จะหล่นไปไกลต้นได้อย่างไร”
“ฮ่าๆ” นั่นก็จริง รอธซีหัวเราะเบาๆ “ขอบคุณครับ ท่านพ่อ”
“เรื่อง?”
“ที่เลี้ยงดูข้ามาอย่างดี ข้าดีใจที่มีท่านพ่อท่านแม่ผู้แสนดีเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ ข้าช่างเป็นคนที่โชคดีจริงๆ”
“ได้ยินลูกชายที่ถึงวัยแต่งงานพูดแบบนี้พ่อก็กระดากอายเหมือนกันนะ เจ้ารีบออกไปได้แล้ว จะปล่อยให้เจ้าสาวรอหรือไร”
“ครับ”
แม้จะคิ้วจะยังขมวดมุ่น แต่รอธซีก็คลี่ยิ้มออกมา รอยยิ้มนั้นบริสุทธิ์และสดใสเหมือนกับว่าที่เจ้าสาวของเขา
***
“เชิญเจ้าสาวเข้าสู่พิธี”
สิ้นเสียงนั้น รอธซีซึ่งยืนอยู่ทางขวาของแท่นพิธีก็รู้สึกว่าหัวใจที่พยายามทำให้สงบอย่างสุดความสามารถพลันเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาอีกครั้ง ตอนที่เข้ามาในสถานที่ประกอบพิธี เขายังไม่รู้สึกมากนักว่านี่คืองานแต่งงานของตัวเอง แต่ตอนนี้มาถึงช่วงเวลาที่เจ้าสาวจะปรากฏตัวแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะหันหลังไปมอง
วินาทีนั้นเขาถึงกับเผลอกลืนน้ำลาย เปโตรนิยานั้นงดงามอยู่เสมอ แต่วันนี้เขากล้าพูดเลยว่านางดูงดงามกว่าปกติถึงสองร้อยเท่า ไม่สิ งดงามที่สุดในโลกเลยทีเดียว นางอยู่ในชุดแต่งงานสีขาวดูราวกับนางฟ้าที่จำแลงกายลงมาเป็นมนุษย์ รอธซีคลี่ยิ้มกว้างโดยไม่รู้ตัว
ตอนนั้นเองสายตาของรอธซีและเปโตรนิยาก็ประสานกัน รอยยิ้มของรอธซีกว้างมากขึ้นเมื่อพบว่าทันทีที่อีกฝ่ายสบตากับเขา นางก็ยิ้มกว้างอย่างมิอาจเก็บซ่อน
เจ้าสาวของเขางดงามที่สุดในโลก
และแล้วเมื่อเปโตรนิยามายืนอยู่ทางด้านซ้ายของเขา รอธซีก็ยื่นมือไปกุมมือขวาของนางไว้ เปโตรนิยาแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและจับมือเขาตอบทำให้เกิดความรู้สึกกระชุ่มกระชวยราวกับเพิ่งคบกันใหม่ๆ ขึ้นมาอีกครั้ง แต่แน่นอนว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาในตอนนี้ก็หวานซึ้งและชวนให้ใจเต้นไม่แพ้กัน
ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธี การประกอบพิธีของดยุกวีเธอร์ฟอร์ดยาวนานเช่นเดียวกับผู้ประกอบพิธีท่านอื่น แม้ทั้งสองจะไม่ชอบเรื่องน่าเบื่อมากที่สุด แต่ก็มิอาจกล่าวกับดยุกได้ว่า ‘ยาวเกินไปแล้ว กล่าวให้กระชับได้ใจความเถิด’
โดยเฉพาะรอธซี เขาอยากจะให้พิธีนี้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด และอยากจะเข้าหอกับเจ้าสาวใจจะขาด แต่ในเมื่อมิอาจพูดออกไปตรงๆ ได้ เขาจึงตัดสินใจว่าจะอดทนจนถึงที่สุด
“…ด้วยเหตุนั้น เจ้าบ่าวสาบานหรือไม่ว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเจ้าสาว และรักเจ้าสาวไปจนแก่เฒ่า”
ในที่สุดก็มาถึงคำถามสุดท้ายก่อนเสร็จสิ้นพิธี รอธซีเอ่ยปากตอบอย่างสุขุมราวกับเตรียมคำตอบไว้นานแล้ว
“ข้าขอสาบานด้วยเกียรติของตระกูล ต่อให้เส้นผมนี้ขาวจนหมดศีรษะ ต่อให้ร่างกายนี้เน่าเปื่อยแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี ข้าจะรักเพียงเจ้าสาวคนเดียว”
จู่ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหล
เขาไม่คิดมาก่อนว่าจะมีวันที่ได้ยืนเคียงข้างเปโตรนิยาแล้วพูดอะไรแบบนี้ ทั้งที่มันเป็นคำถามที่เขาคิดและเฝ้าฝันถึงมานานแสนนานขนาดนั้น ชายหนุ่มเก็บซ่อนดวงตาที่คล้ายพร้อมจะหลั่งน้ำตาทุกเมื่อพลางยิ้มน้อยๆ
“…แล้วเจ้าสาวสาบานหรือไม่ว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเจ้าบ่าว และรักเจ้าบ่าวไปจนแก่เฒ่า”
“ข้าขอสาบานด้วยเกียรติของตระกูล ข้าจะซื่อสัตย์และปฏิบัติตัวตามทํานองคลองธรรมในฐานะภรรยาของเจ้าบ่าวไปชั่วชีวิต แม้นชีวีนี้ดับดิ้น ข้าจะรักเพียงเจ้าบ่าวคนเดียว”
พูดจบ เปโตรนิยาก็หันมามองรอธซีซึ่งอยู่ทางขวามือของตน ในขณะเดียวกันรอธซีก็หันไปมองเปโตรนิยาซึ่งอยู่ทางซ้ายมือของตนเช่นกัน ดวงตาของนางดูแดงเล็กน้อยราวกับมีความรู้สึกมากมายประเดประดังเข้ามา รอธซีเห็นดังนั้นก็ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาหยดหนึ่งอย่างสุดกลั้น แต่พร้อมกันนั้นเขาก็คลี่ยิ้มด้วยรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายก็รู้สึกเช่นเดียวกับเขา
มีความสุขยิ่ง
“ทั้งสองเป็นสามีภรรยากันแล้ว ขอทุกท่านโปรดอำนวยพรให้คู่แต่งงานใหม่เดินไปบนเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ”
สิ้นคำ เสียงปรบมือก็ดังขึ้นจากทั่วทุกสารทิศ ขณะเดินไปบนทางเดินระหว่างที่นั่งเปโตรนิยาและรอธซีได้ซึมซับเสียงปรบมือไว้ทั้งหมด
ทั้งสองหันมามองกันและกันโดยพร้อมเพรียง
น้ำตาเมื่อครู่หายไปหมดแล้ว เหลือไว้เพียงรอยยิ้มอันแสนเจิดจ้า รอธซีดูมีความสุขราวกับได้ครอบครองโลกทั้งใบ แน่นอนว่าเปโตรนิยาเองก็เช่นกัน
วันนี้เป็นวันที่มีแต่ความปีติยินดี รอธซียิ้มจนตาหยี เขาสามารถพูดได้เต็มปากว่าวันนี้เป็นวันที่เขามีความสุขมากที่สุดในชีวิต ชายหนุ่มมองเข้าไปในดวงตาของเจ้าสาวผู้น่ารักของเขาและตั้งใจแน่วแน่
‘ข้าจะทำให้ท่านมีความสุขให้ได้ ข้าจะทำให้ท่านพูดได้อย่างเต็มปากว่าท่านมีความสุขที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับข้า’
ข้ารักท่าน เจ้าสาวของข้า
[ภาคแยก 2] The Violet Rose. (จบบริบูรณ์)
“แค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นครับ นิล”
รอธซีพูดอย่างอ่อนโยนเพื่อให้เปโตรนิยาสบายใจ นางเชื่อใจเขาจึงทำตามอย่างว่าง่าย รอธซีสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ก่อนจะเริ่มเตรียมการขั้นสุดท้าย เขานำเทียนที่ซ่อนไว้ด้านหลังมาเรียงเป็นรูปหัวใจ ก่อนจะหยิบช่อดอกกุหลาบหนึ่งร้อยดอกมาถือไว้ ดูแล้วก็เป็นแค่การขอแต่งงานแบบดั้งเดิมและล้าสมัย แต่รอธซีคิดว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่เขาสามารถแสดงความรู้สึกทั้งหมดในหัวใจได้ดีที่สุดแล้ว เขาจ้องมองเปโตรนิยาด้วยสีหน้าประหม่า
ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เขาจะต้องแสดงความรู้สึกของตนออกไปให้ชัดเจน ว่าเขารักนางหมดหัวใจและอยากจะอยู่กับนางไปชั่วชีวิต เขามั่นใจว่าเขาจะรักและปกป้องนางไปตลอดชีวิต รอธซียังคงจ้องมองเปโตรนิยาด้วยสีหน้าประหม่า แต่ดูเหมือนเปโตรนิยาจะรู้สึกเบื่อหน่ายกับการรอคอยแล้วจึงเป็นฝ่ายเปิดปากถามออกมาก่อน
“โร ข้าลืมตาได้หรือยังคะ”
“อ๊ะ เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อนครับ!”
เขายังเตรียมใจไม่พร้อมเลย!
รอธซีผ่อนคลายใบหน้าที่ร้อนผ่าวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเรียกเปโตรนิยาด้วยน้ำเสียงที่ติดจะสั่นเล็กน้อย
“นิล ลืมตาได้แล้วครับ”
เปโตรนิยาได้ยินดังนั้นก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ทันใดนั้นสีหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ รอธซีเห็นดังนั้นก็หน้าแดงและเบือนหน้าหนีไปด้านข้าง
“รู้สึกเขินๆ เหมือนกันนะครับ”
“นี่มัน…”
“ข้าอยากทำอะไรที่โรแมนติกในตอนกลางวันอยู่เหมือนกัน แต่คิดว่าตอนกลางวันคงทำออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะแค่คิดว่าต้องมองตานิลแล้วเอ่ยคำว่ารักก็ไม่รู้ว่าหัวใจข้าจะเต้นรัวจนระเบิดออกมาหรือไม่”
เขาต้องสารภาพรักตอนกลางคืนเท่านั้น เพราะหัวใจของรอธซีอ่อนแอเกินกว่าจะมองหน้าอีกฝ่ายตรงๆ พร้อมกับสารภาพรักตอนกลางวันแสกๆ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความเขาไม่รักอีกฝ่ายมากพอ อย่างไรก็ดี ดูเหมือนหัวใจของเปโตรนิยาจะมีปฏิกิริยาบางอย่าง นางเรียกเขาด้วยน้ำเสียงตื้นตัน
“เอ่อ โร…”
อย่างน้อยจนถึงตอนนี้ทุกอย่างก็ยังดูราบรื่นดี ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้งก่อนจะเรียกคนตรงหน้า
“เลดี้เปโตรนิยา”
นานแล้วที่เขาไม่ได้เรียกนางด้วยชื่อเต็ม เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานางก็คือ ‘นิล’ ผู้แสนน่ารักของเขา เปโตรนิยาพยักหน้าและก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว รอธซีพยายามเผยความรู้สึกในใจอย่างสุขุม แม้จะยังไม่สามารถระงับอาการตื่นเต้นได้ แม้เขาจะฝึกซ้อมมาหลายครั้ง แต่เมื่อมีอีกฝ่ายมาอยู่ตรงหน้าย่อมต่างกันราวฟ้ากับเหว
รอธซีบอกความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา “ตระกูลของข้าอาจไม่สูงส่งเท่าตระกูลของท่าน และตัวข้าเองก็ไม่ใช่ผู้ชายที่มากความสามารถหรือดีพร้อมอันใด”
นี่คือเรื่องที่ติดอยู่ในใจของเขาเสมอมา เขาเป็นบุตรของเคานต์แต่นางเป็นบุตรีของมาร์ควิส เปโตรนิยาเป็นคนจิตใจดี นางอาจไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นมากนัก แต่ฝ่ายที่มีศักดิ์ต่ำกว่าย่อมเป็นฝ่ายที่คิดมากกว่าอยู่แล้ว นางเป็นคนมีเสน่ห์เหลือล้นและน่ารักมาก นางดีพอที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับผู้ชายคนอื่นที่ดีพร้อมกว่าเขา
“ถึงกระนั้น ข้าก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อทำให้เลดี้มีความสุข ข้าอยากเป็นผู้ชายที่ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับท่าน ปลอบโยนท่านในยามทุกข์ ยินดีกับท่านในยามสุข และอยู่เคียงข้างท่านไปชั่วนิรันดร์”
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังอยากไล่ตามหัวใจของตนอย่างเห็นแก่ตัว เพียงนึกภาพนางไปรักผู้ชายคนอื่น พูดคุยกับผู้ชายคนอื่น และหัวเราะกับผู้ชายคนอื่น ใจเขาก็อึดอัดและโศกเศร้าเหลือแสนแล้ว เขาอยากทำให้นางกลายเป็นของเขา อยากจะป่าวประกาศให้โลกนี้รับรู้ว่าไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร นางก็เป็นผู้หญิงของเขา
นี่คือความโลภของเขาใช่หรือไม่ แต่อย่างไรเขาก็ไม่สน เขาไม่อยากคิดถึงโลกเดิมที่ไม่มีนาง เพราะโลกหลังจากนี้ที่มีนางอยู่คือสรวงสวรรค์อันสมบูรณ์แบบสำหรับเขา
รอธซีไม่มั่นใจว่าเขาจะทำให้เปโตรนิยาสุขสบายได้อย่างแพทริเซีย น้องสาวของนางหรือไม่ เพราะต่อให้เขาพยายามมากแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถดูแลนางได้ทัดเทียมกับสตรีในราชวงศ์
แต่ถึงกระนั้นเขาก็มั่นใจว่าเขาสามารถทำให้นางเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลกได้ เขาอยากเช็ดน้ำตาให้นางในวันที่นางโศกเศร้า อยากหัวเราะไปกับนางในวันที่นางมีความสุข อยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ร่วมกับนางทุกเวลา มิให้ขาดไปแม้เสี้ยววินาที
“ท่านจะ…แต่งงานกับข้าได้หรือไม่”
รอธซีหยิบแหวนออกมาจากระเป๋าในเสื้อสูทและวางไว้บนช่อดอกกุหลาบก่อนจะถามเป็นครั้งสุดท้าย เสียงของเขาไม่สั่นแล้วแต่หัวใจของเขายังคงเต้นรัวไม่หยุดด้วยกลัวว่าจะถูกปฏิเสธ กลัวนางจะพูดว่าอยากใช้ชีวิตร่วมกับบุรุษอื่น เขาช้อนตามองหญิงสาวด้วยสายตาเว้าวอน
“ได้สิคะ”
นางตอบกลับในทันที นั่นทำให้เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง รอธซียิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เปโตรนิยามองเขาแล้วก้าวเร็วๆ เข้ามารับช่อดอกกุหลาบ ก่อนจะรีบสวมแหวนที่วางอยู่บนนั้นลงบนนิ้วนางข้างซ้ายและสวมกอดเขาด้วยสีหน้าปลื้มปิติ นางเอ่ยข้างหูด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม
“การได้พบกับท่านเป็นเรื่องที่โชคดีและมีค่าที่สุดในชีวิตของข้า ไม่มีเรื่องใดเทียบเทียม”
โอ้…พระเจ้า รอธซีขอสาบานเลยว่าวินาทีนี้เป็นช่วงเวลาที่เขามมีความสุขที่สุดในชีวิต ดวงตาของเขาถูกบดบังด้วยม่านน้ำตา รอธซีตอบคนรักด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“ขอบคุณที่ให้เกียรติผู้ชายอย่างข้าถึงเพียงนี้ครับ นิล”
“ท่านไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวและดูถูกตัวเองค่ะ ในจักรวรรดินี้ ไม่สิ ในโลกใบนี้ ท่านเป็นคนที่วิเศษที่สุดแล้ว ข้ารักท่านค่ะ โร ขอบคุณมากนะคะที่ขอข้าแต่งงาน” เปโตรนิยาร้องร่ำไห้สารภาพรัก
“ข้าสิต้องขอบคุณที่ท่านรับคำขอของข้า และข้ารักท่านมากกว่านะครับ นิล” รอธซีบอกรักกลับด้วยสีหน้าที่มีทั้งรอยยิ้มและน้ำตา
รอธซีสารภาพรักด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นราวกับว่าเรื่องนี้เท่านั้นที่เขายอมไม่ได้และมองเปโตรนิยาอย่างอ่อนโยน ฝ่ายเปโตรนิยาถูกมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักลึกซึ้งก็รู้สึกดีพลอยหัวเราะเสียงดังออกมาและเป็นฝ่ายมอบจุมพิตให้รอธซีก่อน
แน่นอนว่ารอธซีไม่หลบเลี่ยง เขารับจุมพิตด้วยความเต็มใจและมอบจูบที่เร่าร้อนให้กับนาง
เขาได้ยินเสียงระฆังและเสียงนกพิราบบิน ตอนนี้ เวลานี้ เขามั่นใจว่าตนเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก
ข่าวการขอแต่งงานของรอธซีเป็นที่โจษจันในหมู่ชนชั้นสูง ร่วมถึงข่าวที่คนทั้งคู่จะใช้ชีวิตร่วมกันที่คฤหาสน์มาร์ควิสโกรเชสเตอร์ด้วยเช่นกัน
“เมื่อพวกเราแต่งงานกันแล้ว ท่านพ่อท่านแม่ก็จะเหลือกันแค่สองคน จะไม่เป็นไรจริงๆ หรือคะ”
วันหนึ่งที่แสงแดดสดใส เปโตรนิยากับรอธซีอยู่ด้วยกันที่ระเบียงของคฤหาสน์เคานต์ ครั้นได้ยินเปโตรนิยาเอ่ยถามดังนั้น รอธซีก็ตอบราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่
“พวกท่านออกปากเองเลยนะครับว่าในเมื่อขอแต่งงานสำเร็จแล้วก็ออกไปอยู่ด้วยกันเสีย คนรักกันมากก็แบบนี้แหละครับ ถ้าอายุน้อยกว่านี้สักหน่อยคงมีลูกหลงไปแล้ว”
“ตายจริง”
เปโตรนิยาหัวเราะคิกคัก ความรักใคร่กลมเกลียวของสามีภรรยาเบรดิงตันมีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองหลวงมานานแล้วจริงๆ
“แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…ไม่เป็นไรแน่นะคะ”
“ข้าไม่ติดอะไรครับ นิลไม่ชอบหรือ”
“ข้าอยู่ที่ไหนก็ได้ค่ะ เพราะตอนนี้ท่านพ่อท่านแม่ของโรก็เป็นเหมือนท่านพ่อท่านแม่ของข้าแล้ว”
“ข้าก็เช่นกันครับ เพราะฉะนั้น…”
รอธซียิ้มพรายและโน้มตัวประทับจูบลงบนหน้าผากของเปโตรนิยาเบาๆ หญิงสาวหลับตาพริ้ม จากนั้นรอธซีก็ค่อยๆ ผละตัวออก
มีความสุขจัง
“เรื่องนั้นพักไว้เท่านี้ เรามาคิดเรื่องงานแต่งพรุ่งนี้ก่อนดีไหมครับ”
หลังจากที่เปโตรนิยาตกปากรับคำแต่งงานกับรอธซี งานแต่งงานก็ถูกกำหนดให้จัดขึ้นในอีกสามเดือนให้หลังทันที คนรอบตัวต่างปรามว่าเร็วเกินไป แต่รอธซีกับเปโตรนิยาก็ไม่สนใจ เพราะพวกเขาอยากรีบแต่งงานและใช้ชีวิตร่วมกันด้วยความรักอย่างเต็มเปี่ยมเสียที
“โร นิล ขอโทษที่ขัดจังหวะจ้ะ”
ตอนนั้นเองน้ำเสียงอ่อนโยนของใครคนหนึ่งก็แทรกขึ้นมา เจ้าของเสียงนั้นคือเคาน์เตสเบรดิงตันซึ่งจะกลายเป็นแม่สามีของเปโตรนิยาในวันพรุ่งนี้ นางเดินเข้ามาหาพวกเขาพร้อมกับรอยยิ้มรักใคร่เอ็นดู
“วอลเทอร์มาหาจ้ะ โร”
เจ้าวอลเทอร์ ไม่รู้จักเวล่ำเวลาเอาเสียเลย… คิ้วของรอธซีขมวดมุ่นอย่างชัดเจนและมองเปโตรนิยาราวกับจะบอกว่าไม่อยากไป เปโตรนิยาเห็นดังนั้นก็ยิ้มพรายพลางเอ่ย
“รีบไปเถอะค่ะ โร”
“จะไปแล้วหรือครับ นิล”
“ไม่ไปค่ะ ไม่ไปไหนทั้งนั้น” เปโตรนิยายิ้มน้อยๆ “ข้าจะอยู่เคียงท่านตลอดไป”
***
“ไม่รู้เวล่ำเวลาเลยนะ”
ครั้นมาถึงห้องรับรองรอธซีก็เปิดปากบ่นทันที วอลเทอร์ได้ยินดังนั้นก็โมโห
“เจ้าบ้านี่ ข้าอุตส่าห์เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้เลยนะ!”
“ถึงกระนั้นจะทำอะไรก็ต้องดูกาลเทศะด้วย! ตอนนี้ข้ากำลังมีช่วงเวลาดีๆ กับคนรักอยู่นะ”
“รู้สึกเหมือนถูกหักหลังเลยทีเดียว พอแต่งงานไปแล้ว เจ้าก็จะไม่มาเจอข้าแล้วกระมัง?”
“เจ้าหึงรึ ขนลุกน่า”
“พอแล้ว ข้าไม่เล่นกับเจ้าแล้ว ข้าต้องหาคู่ชีวิตเป็นของตัวเองบ้าง”
“ได้โปรดหาคู่ชีวิตจริงๆ เสียทีเถอะ จะได้ไม่ต้องมากวนใจข้า”
รอธซีกระเซ้าเย้าแหย่ติดตลกแล้วถามธุระ “แล้วเจ้ามาทำอะไร”
“อ้อ ข้ามีของจะให้น่ะ”
พูดจบวอลเทอร์ก็ล้วงของสิ่งหนึ่งออกมาแล้วยื่นให้รอธซี รอธซีรับมาด้วยสีหน้าสงสัย
“นี่อะไร”
“เปิดดูสิ”
สิ่งที่วอลเทอร์ให้มาคือคราแวต[1]สีแดง
“จู่ๆ เป็นอะไรไป ทำไมถึงให้คราแวต” รอธซีถาม
“อย่างไรเจ้าก็จะแต่งงานแล้ว ข้าคิดว่าควรให้ของขวัญเจ้าสักชิ้น หลังจากคิดๆ ดูแล้วก็เลือกของที่เรียบง่ายที่สุดมา” วอลเทอร์ตบบ่ารอธซีเบาๆ พลางกล่าว “พรุ่งนี้น่าจะยุ่ง ข้าคงไม่ได้มาพูดอะไรแบบนี้กับเจ้า ขอให้เจ้ามีความสุขแล้วกัน”
“มาพูดอะไรน่าอาย…”
แม้จะพูดออกไปเช่นนั้น แต่แท้จริงแล้วรอธซีประทับใจมาก อาจเพราะพวกเขาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก การที่เขาได้แต่งงานก่อนอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ชอบกล
“เอาเป็นว่าเจ้ากลับไปได้แล้ว ข้าต้องไปหานิลแล้ว” รอธซีว่า
“เจ้างั่ง! เจ้าจะเป็นแบบนี้ตั้งแต่ก่อนแต่งงานเลยหรือไร”
แม้จะพร่ำบ่น แต่วอลเทอร์ก็ยังยกยิ้มมุมปากและเดินออกจากห้องรับรองไปอย่างสง่าผ่าเผย ปัง สิ้นเสียงปิดประตู รอธซีก็จ้องมองคราแวตในมืออย่างเงียบงัน เห็นสิ่งนี้แล้วเขาก็คิดได้ว่าเขากำลังจะได้แต่งงานแล้วจริงๆ
-ก๊อกก๊อก
ครั้นได้ยินเสียงเคาะประตู รอธซีก็เอ่ยถามโดยอัตโนมัติ
“ครับ?”
“ข้าเองค่ะ โร”
“นิล” เขาหัวเราะเสียงใสและตอบ “เข้ามาสิครับ”
เปโตรนิยาแง้มประตูแล้วยื่นหน้าเข้ามา จากนั้นก็เดินมาพร้อมกับรอยยิ้ม
“สองคนคุยอะไรกันหรือคะ”
“เขาเอาคราแวตมาให้น่ะครับ”
รอธซียิ้มพลางโบกคราแวตที่ได้รับจากวอลเทอร์ให้เปโตรนิยาดู เปโตรนิยาจ้องสิ่งนั้นเขม็งแล้วก้าวเข้าไปใกล้รอธซี เขามองหญิงสาวด้วยสีหน้าสงสัย
“โร” เปโตรนิยาเรียกเสียงเบา
“ครับ? นีย่า”
“ข้ามีเรื่องอยากจะบอกค่ะ ที่จริงเก็บไว้พูดในวันพรุ่งนี้น่าจะดีกว่า แต่ข้าอยากจะพูดตอนนี้ให้ได้ค่ะ”
หญิงสาวยิ้มน้อยๆ แล้วสารภาพ “ขอบคุณจริงๆ นะคะที่ขอข้าแต่งงาน”
“นิล”
“โรทำให้ข้ารู้สึกว่าจากนี้ไปข้าจะได้มีความสุขเสียที ตอนนี้ข้าดีใจมากเหลือเกินค่ะ ท่านคงไม่เข้าใจความรู้สึกของข้าหรอก”
พูดจบ เปโตรนิยาก็เป็นฝ่ายมอบจูบให้เขาก่อน รอธซีไม่หลบเลี่ยงและรวบร่างบางมาไว้ในอ้อมกอด เขาจูบนางอย่างเร่าร้อนพลางคิดว่า
‘ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณท่านที่ยอมรับคำขอแต่งงานของข้า’
และนั่นคือจุมพิตแสนหวานในวันก่อนวันแต่งงานของพวกเขา
หมู่นี้รอธซีกำลังจดจ่ออยู่กับการทำขนม หากถามว่าทำไมจู่ๆ ถึงมาทำขนม เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะเขาบังเอิญได้รู้ว่าเปโตรนิยาชอบขนมหวานน่ะสิ ความเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มมาจากวันที่เปโตรนิยามาหาเขาที่บ้านและเขาก็บังเอิญได้รู้ว่านางชอบขนมหวานมาก
สำหรับเรื่องนี้ เคานต์เบรดิงตันไม่สามารถช่วยบุตรชายได้ เพราะเคาน์เตสเบรดิงตันไม่ค่อยชอบขนมหวาน คนที่เข้ามาเป็นตัวช่วยจึงเป็นพ่อครัวประจำตระกูลซึ่งเคยทำงานเป็นปาตีซีเยมาก่อน ด้วยเหตุนี้มือใหม่อย่างรอธซีจึงสามารถเรียนรู้การอบขนมจากอาจารย์คนเก่งได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
รอธซีเป็นนักเรียนที่ยอดเยี่ยม บางครั้งเขาก็วานให้คนนำขนมที่ตนทำไปส่งที่คฤหาสน์โกรเชสเตอร์ บางครั้งเขาก็ไปพบเปโตรนิยาและมอบให้ด้วยตัวเอง แน่นอนว่ารอธซีชอบอย่างหลังมากกว่า เพราะนั่นทำให้เขาหาเรื่องไปพบเปโตรนิยาได้บ่อยขึ้น
“หมู่นี้เราพบกันได้ยากขึ้นหรือเปล่าครับ”
วันนี้ก็เช่นกัน เขานำคุกกี้เนยสดที่เพิ่งอบเสร็จใหม่ๆ มาให้เปโตรนิยาที่คฤหาสน์โกรเชสเตอร์ ครั้นได้พบหน้าคนรัก รอธซีก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงแง่งอนเล็กน้อย ไม่รู้ว่าระยะนี้เปโตรนิยาทำอะไรอยู่จึงไม่สามารถเจอกันบ่อยๆ เหมือนเมื่อก่อนได้
‘ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปได้ลืมหน้ากันพอดี’
แน่นอนว่านั่นเป็นการกล่าวเกินจริง เพราะระยะห่างของการพบกันในแต่ละครั้งไม่ได้นานขนาดนั้น แต่เพราะรอธซีชอบเปโตรนิยามากเหลือเกินจึงรู้สึกว่าช่วงเวลาที่ไม่ได้พบหน้าอีกฝ่ายนั้นยาวนานกว่าปกติ เปโตรนิยาได้ยินรอธซีพูดดังนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
“ขอโทษนะคะ โร ช่วงนี้ข้ามีงานสำคัญ…”
เห็นได้ชัดว่าเป็นเช่นนั้น แม้รอธซีจะรู้สึกน้อยใจแต่มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะการทำความเข้าใจและปรับตัวให้เข้ากับตารางงานของอีกฝ่ายก็มีส่วนสำคัญในการรักษาความสัมพันธ์ แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าความน้อยใจนี้จะเก็บซ่อนไว้ได้ง่ายๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้ แต่…”
เหตุใดท่านถึงได้งดงามขนาดนี้เล่า นิล ข้าใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติไม่ได้เลย รอธซีก้มหน้าลงจุมพิตที่หน้าผากของเปโตรนิยาก่อนจะเอ่ยเบาๆ
“ช่วงนี้ข้าคิดถึงนิลมากจนไม่เป็นอันทำอะไรเลยครับ”
“ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ คำพูดแบบนั้นไปเรียนมาจากไหนคะ”
“ท่านพ่อท่านแม่บอกกันแบบนี้ตลอดเลยครับ”
นั่นเป็นเรื่องจริง โดยเฉพาะเคานต์เบรดิงตันที่โดดเด่นทางด้านนี้เป็นอย่างมาก บางครั้งรอธซีก็ได้รับการถ่ายทอดเคล็ดลับมาจากบิดาเช่นกัน เปโตรนิยาได้ฟังดังนั้นก็พูดอย่างอิจฉา
“ในอนาคตข้าเองก็อยากเป็นแบบนั้นบ้างจัง”
พระเจ้าช่วย กล่าวเช่นนี้ต่อหน้าข้าเลยหรือนี่! รอธซีถึงกับพูดเสียงดังด้วยความตกใจ
“ไม่ต้องห่วงนะครับ นีย่า” รอธซียิ้มหวานที่สุดในโลกพลางกระซิบกับเปโตรนิยา “ข้าก็เหมือนกับท่านพ่อและท่านแม่ ข้าสามารถพูดให้ฟังได้ทั้งวันเลย”
“นี่ท่านกำลังขอข้าแต่งงานหรือคะ”
จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เขาหัวเราะเบาๆ แม้เขาจะชอบโพล่งบอกรักนางตามอำเภอใจอยู่บ่อยครั้ง แต่เรื่องสำคัญอย่างการขอแต่งงานเขาไม่มีทางทำอย่างขอไปทีเช่นนี้เด็ดขาด
“ข้าไม่คิดจะของ่ายๆ แบบนี้แน่นอนครับ คาดหวังอยู่หรือครับ”
“อืม…ที่จริงก็นิดหน่อย”
“อ้าว แย่แล้วสิ แบบนี้ไม่ใช่การขอแต่งงานหรอกนะครับ นิล ตั้งตารอได้เลยครับ”
“ข้ายังไม่ได้บอกเลยนะคะว่าจะตกลง มั่นใจเกินไปหรือเปล่าคะ”
“ถ้าไม่ตกลง ข้าก็จะขอจนกว่านิลจะตกลงครับ”
เพราะข้าเป็นผู้ชายที่อดทนเก่ง
รอธซียิ้มบางๆ พลางสบตากับเปโตรนิยา ทั้งคู่จ้องตากันได้สิบวินาทีก่อนที่เปโตรนิยาจะเป็นฝ่ายหลบตาก่อนด้วยความเขินอาย
‘น่ารัก’
รอธซีอดไม่ได้ที่จะดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดอย่างเต็มรักและกระซิบข้างหู
“เพราะข้ารักนิลมากจริงๆ”
“…ขอบคุณนะคะ”
“ขอบคุณอะไรกันครับ” รอธซีส่ายหน้าราวกับจะบอกว่านางไม่จำเป็นต้องพูดเช่นนั้นเลย “ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณที่นิลรับรักข้า”
มีโอกาสมากแค่ไหนกันเชียวที่คนที่เรารักจะรักเราตอบ รอธซีคิดว่าการทำให้คนสองคนใจตรงกันเป็นเรื่องยาก และการทำเรื่องยากๆ นั้นสำเร็จก็เป็นดั่งปาฏิหาริย์
ชายหนุ่มมองคนรักด้วยสายตาอบอุ่นแล้วกระซิบ “รักนะครับ นิล”
กว่าเปโตรนิยาจะบอกเล่าถึงสาเหตุที่ทำให้นางไม่ค่อยมีเวลาว่างให้ฟังก็เป็นตอนที่เรื่องทุกอย่างใกล้จะจบอย่างบริบูรณ์แล้ว แม้รอธซีจะรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อยที่นางไม่ยอมเล่าเรื่องสำคัญขนาดนี้ให้ฟัง แต่เมื่อคิดว่านางอาจจะทำไปเพราะเป็นห่วงเขา ความเศร้าใจนั้นก็สลายหายไปราวกับเป็นเรื่องโกหก
อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญคือการที่เปโตรนิยามีเวลาว่างมากขึ้นหลังจากนั้น และนางก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับเขา นั่นเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งสำหรับรอธซี วันนี้รอธซีก็มาพบกับเปโตรนิยาเช่นเคย เขามองนางด้วยสายตารักใคร่ราวกับฟังเด็กน้อยเล่าเรื่อง
“แล้วข้าปฏิบัติกับนิลดีหรือเปล่าครับ” จู่ๆ เขาก็ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
ได้ยินรอธซีถามดังนั้น เปโตรนิยาที่เดินตามอยู่เงียบๆ ก็หัวเราะคิกคัก การหัวเราะอันแสนน่ารักนั้นทำให้รอธซีหัวเราะตามโดยไม่รู้ตัว หลังจากที่เรื่องต่างๆ จบลง รอยยิ้มของเปโตรนิยาก็ดูบริสุทธิ์สดใสยิ่งขึ้น แน่นอนว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ละเอียดอ่อนเกินบรรยาย แต่รอธซีก็รู้สึกได้ราวกับมีญาณทิพย์ นี่เป็นอีกเรื่องที่รอธซีรู้สึกโล่งใจมากจริงๆ
“ท่านมีคุณสมบัติของสามีที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้วค่ะ โร ต่อให้เป็นพระจักรพรรดิก็สู้ท่านไม่ได้หรอก จะขนมหวานหรือของขวัญ ท่านก็ให้ข้าทุกอย่างนี่คะ”
“โห กล้าเทียบข้ากับองค์จักรพรรดิเชียวหรือครับ ไม่รู้ข้าจะถูกจับฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือไม่”
แม้จะน่าอายอยู่บ้าง แต่รอธซีก็มั่นใจว่าเขาตั้งใจอย่างดีที่สุดในแบบของตัวเองแล้ว หากพูดถึงการมอบความรักให้กับคนรัก ในจักรวรรดินี้เขาก็น่าจะติดหนึ่งในห้าอันดับแรกได้สบาย เปโตรนิยาเองก็ยอมรับตรงจุดนั้น หญิงสาวจูบแก้มของเขาเบาๆ และกระซิบ
“ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอกค่ะ โรที่รัก ผู้ชายน่ารักน่าเอ็นดูอย่างท่านจะถูกจับได้อย่างไร”
นี่เป็นอีกเรื่องที่แตกต่างจากเมื่อก่อน นางเป็นฝ่ายแตะเนื้อต้องตัวเขาก่อนและแสดงความรักกับเขาก่อนมากขึ้น สำหรับรอธซีซึ่งเป็นคนรักของนางแล้วนี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่ายินดีมากจริงๆ เขายิ้มอย่างอ่อนโยนและจูบแก้มของนางตอบ
“เป็นเกียรติมากครับ นิล ที่ท่านคิดเช่นนั้น”
“ข้าพูดจริงๆ นะคะ โร”
“จริงสิ ข้ามีเรื่องจะบอกครับ”
“อะไรหรือคะ”
“สัปดาห์หน้าหลังเสร็จจากงานฉลองวันพระราชสมภพของจักรพรรดินีแล้ว…มาพบกันสักครู่ได้ไหมครับ พอดีมีเรื่องสำคัญ”
“ได้สิคะ โร”
เห็นเปโตรนิยาพยักหน้าตอบ รอยยิ้มบางๆ ก็แล่นผ่านริมฝีปากของรอธซี นางช่างเป็นหญิงสาวที่น่ารักและงดงามจนยากจะอดใจไหว นี่ข้าได้ยืนอยู่ตรงหน้าสตรีผู้นี้หรือนี่ เขาต้องเป็นคนที่โชคดีมากแน่ๆ รอธซีค้อมศีรษะลงอย่างเนิบช้า ประทับจูบแผ่วเบาบนหน้าผากของเปโตรนิยาแล้วกระซิบ
“ไม่มีสตรีคนใดในโลกน่ารักเหมือนนิลอีกแล้วครับ”
***
“วอลเทอร์ ข้าจะขอนางแต่งงาน”
หลังจากไม่ได้พบกันเสียนาน นี่คือประโยคแรกที่เขาเอ่ยขึ้น วอลเทอร์มองรอธซีอย่างมึนงงก่อนจะพูดอย่างสับสน
“เจ้าสองคนเพิ่งพบกันได้ไม่ถึงครึ่งปี รู้ใช่ไหม”
“รู้สิ”
“รู้รึ?”
น้ำเสียงของวอลเทอร์ฟังดูตกใจมากทีเดียว แต่รอธซีก็ตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ท่านพ่อท่านแม่ก็อนุญาตแล้ว”
“พระเจ้าช่วย”
“พวกท่านดูดีใจออก”
“ข้าไม่ได้บอกว่าเลดี้โกรเชสเตอร์เป็นคนไม่ดีหรือไม่เหมาะที่จะแต่งงานกับเจ้า แต่นี่มันไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือ โร”
“ความรักไม่ต้องการเวลา วอลเทอร์ ท่านพ่อของข้าได้พบท่านแม่เพียงหนึ่งสัปดาห์ก็ขอแต่งงานแล้ว”
“เรื่องนั้นเป็นตำนานเลยล่ะ ตอนนี้ก็ยังมีคนพูดถึงอยู่เนืองๆ ได้ยินว่าตอนนั้นเป็นที่โจษจันไปทั่วเลยทีเดียว”
หลังจากนั้นครู่หนึ่งวอลเทอร์ก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “ท่าทางลูกไม้จะหล่นไม่ไกลต้น แต่ถ้าเทียบกับท่านเคานต์ก็นับว่าเจ้าใช้เวลานานทีเดียว”
“เลดี้เองก็มีเรื่องที่ต้องจัดการข้าถึงได้ไม่รีบร้อน”
เขาเกือบจะขอนางแต่งงานตั้งแต่วันที่พบกันครั้งที่สองแล้ว รอธซีหวนคิดถึงเรื่องวันนั้นแล้วยิ้มพรายอย่างชอบใจ วอลเทอร์เห็นดังนั้นก็ทำหน้าเหมือนเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเข้าจึงเอ่ยถาม
“เจ้าส่งมาบัตรเชิญมาก็พอแล้ว ไยต้องมาพูดเรื่องขอแต่งงานกับข้าด้วยเล่า”
“ข้ากังวลน่ะสิ ถ้านางปฏิเสธจะทำอย่างไรดี”
“นี่ เรื่องแบบนั้นเคานต์เบรดิงตันเชี่ยวชาญดี ไยเจ้าถึงมองข้ามผู้เชี่ยวชาญแล้วมาถามหนุ่มโสดอย่างข้า?”
“ก็ข้าคิดว่าถามคนที่อายุเท่าๆ กันน่าจะได้คำตอบที่แน่ชัดกว่า ถ้าถูกปฏิเสธข้าควรขออีกครั้งหรือไม่”
รอธซีถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ความมุ่งมั่นอันแรงกล้าที่บอกว่าจะขอจนกว่าจะตกลงไม่รู้ว่าหายไปที่ใดแล้ว วอลเทอร์เห็นดังนั้นก็ถอนหายใจอย่างเวทนาพลางส่ายหน้า
“เดิมทีการขอแต่งงานหาใช่การถามความเห็นของอีกฝ่ายว่าคิดอย่างไร แต่เป็นหนึ่งในขั้นตอนของการแต่งงานที่เป็นการยืนยันการแต่งงานและเป็นการกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ดังนั้น ก่อนจะไปถึงขั้นนั้นย่อมต้องมีการตกลงกันมาก่อนแล้ว”
“ไม่ตื่นเต้นเลย”
“ถ้าถูกปฏิเสธขึ้นมาสถานการณ์จะกระอักกระอ่วนเอาน่ะสิ”
“นั่นก็จริง ข้าถึงได้ยิ่งกังวล”
“กังวลไปทำไม เลดี้ก็ชอบเจ้ามิใช่หรือ”
“ข้าแค่กังวลล่วงหน้า”
“และไม่มีอะไรจะทำด้วย” วอลเทอร์เดาะลิ้นทีหนึ่งก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าซับซ้อน “จะว่าไป เดี๋ยวเจ้าก็จะสร้างครอบครัวแล้ว ข้าเองก็รู้สึกว่าควรจะแต่งงานได้แล้วเหมือนกัน”
“จะบอกว่ายังเด็ก…ก็ไม่ได้แล้วล่ะสิ”
“จะตบหัวหรือลูบหลังก็เลือกเอาสักอย่างเถอะ”
วอลเทอร์ปรายตามองรอธซีเล็กน้อยก่อนจะพูดราวกับอ้อนวอน
“แนะนำผู้หญิงให้ข้าบ้างสิ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปข้าต้องเป็นโสดไปจนแก่ตายแน่ๆ”
“ท่านแม่ของเจ้าคงไม่ปล่อยให้เป็นเช่นนั้นหรอกกระมัง”
“เอ่อ รสนิยมในการเลือกผู้หญิงของท่านแม่กับข้านี่คนละขั้วเลย เข้ากันไม่ได้เลยสักนิด”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ให้ข้าเลือกภรรยาให้เจ้าไม่ตลกกว่าหรือไร”
“นั่นก็จริง” วอลเทอร์ตอบอย่างเนือยๆ ก่อนจะทึ้งหัวตัวเอง “เหตุใดข้าถึงไม่มีคนรักบ้าง!”
“รออีกหน่อยเถอะ ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนถูกลิขิตไว้หมดแล้ว เหมือนอย่างข้านี่ไง”
“ข้าเองถ้าได้เจอเลดี้ที่พึงใจ ข้าก็คงกระตือรือร้นที่จะแต่งงานเช่นกัน แต่จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่เจอเลดี้เช่นนั้นเลย เลดี้ที่จะมาสั่นคลอนหัวใจของข้า”
“สักวันคงปรากฏตัวออกมาเองนั่นแหละ”
“ได้โปรดปรากฏตัวก่อนข้าอายุสามสิบด้วยเถิด คู่ชีวิตของข้า”
วอลเทอร์ถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “อย่างไรข้าก็ขอแสดงความยินดีล่วงหน้า อีกไม่นานคงได้ยินข่าวการแต่งงานของเจ้า”
“ยังไม่ทันขอแต่งงานเลย”
“น่าจะได้แต่งอยู่แล้ว เจ้าสองคนเหมาะสมกันมาก เลดี้เองก็ดูชอบเจ้ามาก”
“ขอบใจ”
รอธซีฉีกยิ้มยิงฟันอย่างสบายใจแล้วพูดปลอบใจวอลเทอร์
“ให้ข้าแต่งก่อน แล้วข้าจะลองหาทางช่วยเจ้าดู”
***
และแล้วก็ถึงวันเกิดของสองพี่น้องโกรเชสเตอร์ รอธซีสวมสูทหางยาวทับด้วยเสื้อกั๊กสีเหลืองอันเป็นเสื้อนำโชคของเขา ทุกครั้งที่ได้พบกับเรื่องดีๆ เขามักจะสวมเสื้อตัวนี้อยู่เสมอ หวังว่าวันนี้โชคดีก็จะสถิตอยู่กับเขาเช่นเคย
เขาเริ่มต้นได้อย่างราบรื่น เขาได้เต้นรำจังหวะวอลซ์กับเปโตรนิยา ได้ดื่มค็อกเทลด้วยกันพลางสนทนาเรื่องต่างๆ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงคิดถึงการขอแต่งงานในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา ซึ่งนั่นก็แน่นอนอยู่แล้ว
ขณะที่บรรยากาศในงานเลี้ยงกำลังสนุกได้ที่ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจลงมือ รอธซีกระซิบข้างหูเปโตรนิยา
“ออกมาด้วยกันสักครู่ได้ไหมครับ”
“ได้สิคะ”
เปโตรนิยาเดินตามรอธซีออกมาโดยไม่ได้ถามอะไรเป็นพิเศษ เป้าหมายของเขาคือการขอแต่งงานโดยทำให้อีกฝ่ายประหลาดใจมากที่สุด เมื่อพวกเขาเดินไปจนถึงสวนดอกไม้ รอธซีก็เอ่ยเรียกเปโตรนิยา
“นิล”
“คะ? โร”
“ช่วยหลับตาสักครู่ได้ไหมครับ”
ในที่สุดก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว การขอแต่งงานที่ชวนให้ใจเต้นแรงของรอธซี
และแล้วก็มาถึงวันงานฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของจักรพรรดิ รอธซีสวมสูทหางยาวสีกรมท่า สีที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษ และขึ้นรถม้าคันเดียวกันกับสามีภรรยาเบรดิงตัน ระหว่างทางไปยังพระราชวังซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน เคาน์เตสเบรดิงตันเอ่ยถาม
“วันนี้ก็นัดกับเลดี้เปโตรนิยาไว้หรือ”
“คนเยอะขนาดนั้น ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าจะได้เจอกันหรือไม่ ได้แต่หวังว่าจะได้เจอครับ”
พูดจบ รอธซีก็ยิ้มกริ่มคล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ เคานต์เบรดิงตันเห็นดังนั้นก็เอ่ยถาม
“ยิ้มอะไรดูชอบกลนัก”
“กำลังดีใจน่ะครับ”
“หยุดไม่อยู่แล้วกระมัง แล้วเรื่องของขวัญคิดออกแล้วหรือ”
“ของขวัญ? ของขวัญอะไร”
เคาน์เตสเบรดิงตันไม่รู้ว่าทั้งคู่พูดเรื่องอะไรกันจึงเอ่ยถาม เคานต์เบรดิงตันได้ยินดังนั้นก็หัวเราะชอบใจแล้วอธิบายให้ภรรยาฟังอย่างอ่อนโยน
“ที่รัก โรของเรากำลังกลุ้มใจว่าจะมอบสิ่งใดให้เลดี้เปโตรนิยาเป็นของขวัญที่ระลึกในการคบกันดีน่ะ”
“อุ๊ย จริงหรือคะ เหตุใดเขาถึงได้เหมือนท่านขนาดนี้ สายเลือดหลอกกันไม่ได้จริงๆ”
สีหน้าของเคาน์เตสเบรดิงตันคล้ายกำลังหวนนึกถึงอดีต นางเผยยิ้มบางๆ
“ท่านก็แสนจะอบอุ่นมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วนะคะ โชคดีจริงๆ ที่โรเหมือนท่าน”
“ที่รัก ไยจึงพูดอะไรน่าเศร้าเช่นนั้นเล่า ที่เขาเป็นเด็กดีเช่นนี้ล้วนเป็นเพราะเขาเหมือนเจ้านั่นแหละ”
“อุ๊ย ท่านนี่ล่ะก็”
วันนี้บิดามารดาของเขาก็ยังคงพลอดรักกันหวานชื่นเช่นเคย รอธซีมองพวกเขาด้วยความสุขใจแล้วตอบคำถามเมื่อครู่
“ข้าก็เหมือนทั้งสองท่านนั่นแหละครับ แต่ไม่รู้ว่าเลดี้จะชอบหรือไม่”
ได้ยินบุตรชายตอบด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ เคานต์เบรดิงตันก็กล่าวให้กำลังใจอย่างอ่อนโยน
“อย่ากังวลไปเลย โร ขอเพียงเจ้ามีความจริงใจ ทุกอย่างย่อมต้องผ่านไปได้ด้วยดี”
***
สิ่งแรกที่รอธซีทำเมื่อมาถึงงานเลี้ยงย่อมเป็นการมองหาเปโตรนิยา แต่การจะมองหาสุภาพสตรีผมแดงคนหนึ่งในสถานที่จัดงานที่มีคนพลุกพล่านเช่นนี้มิใช่เรื่องง่าย เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ รอธซีก็เริ่มไม่สบายใจ หญิงสาวบอกว่าหายป่วยแล้วและจะมาพบเขาที่งานนี้ แต่เหตุใดเขาจึงไม่เห็นนางเลย หรือนางจะยังไม่หายดี?
ผลของการเพียรพยายามมองหาด้วยพลังแห่งรัก ไม่นานเขาก็พบเปโตรนิยากำลังคุยกับเลดี้คนหนึ่งอยู่ รอธซียิ้มกว้างให้กับความสำเร็จและรอนางสนทนาให้จบ จนกระทั่งเปโตรนิยาอยู่คนเดียว เขาจึงเดินค่อยๆ ก้าวเข้าไปหาอย่างเนิบช้า
“เปโตรนิ…”
ทว่า เสียงของรอธซีก็หยุดลงเพียงเท่านั้น จู่ๆ เปโตรนิยาก็รีบร้อนรีบวิ่งออกไป เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ? รอธซีมองตามทิศทางที่เปโตรนิยาวิ่งหายไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นางดูรีบร้อนผิดปกติ เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ใจเขาอยากจะพุ่งตัวไปถามนางเสียเดี๋ยวนี้แต่เขาก็ห้ามใจตัวเองไว้ก่อน เพราะเขายังมีเวลาอีกมาก
กว่ารอธซีจะพบเปโตรนิยาก็เป็นหลังจากที่พิธีมอบดอกไม้เสร็จสิ้นลงได้ครู่ใหญ่ หญิงสาวยืนพิงผนังพลางจิบค็อกเทลอยู่เพียงลำพัง ซึ่งนั่นเป็นหลังจากที่เรื่องวุ่นๆ ในพิธีมอบดอกไม้จบลงแล้ว
ท่าทางรีบร้อนของนางก่อนหน้านี้เป็นเพราะเรื่องนี้หรือเปล่านะ? แล้วนางมีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับเรื่องเมื่อครู่หรือไม่? รอธซีระงับความสงสัยที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในและค่อยๆ สาวเท้าไปทางเปโตรนิยา
“เปโตรนิยา”
ครั้นได้ยินเสียงเรียกของเขา นางจึงหันมา โชคดีที่สีหน้าของนางมิได้เศร้าหมองเท่าไรนัก ทว่าก็ดูกังวลอย่างประหลาด เขาพยายามเก็บซ่อนความกังวลที่อยู่ภายในอย่างสุดความสามารถพลางเผยยิ้มและเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย
“รอธซี”
“หาตั้งนานแน่ะครับ”
“ขอโทษค่ะ พอดีเรื่องด่วน”
“ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นนะครับ เกี่ยวกับพระจักรพรรดินีหรือครับ”
เปโตรนิยาพยักหน้าเงียบๆ รอธซีจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ เขาเห็นแล้วว่าในพิธีมอบดอกไม้เมื่อครู่เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น
“ข้ามิได้จะตำหนิ เพียงแต่เป็นห่วงเท่านั้นครับ” รอธซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“ข้ารู้ค่ะ โร”
…โร?
สีหน้าของรอธซีฉายแววงุนงง เขามองเปโตรนิยาและเห็นนางดูเขินอายเล็กน้อยขณะเอ่ยถาม
“เรียกว่าโรได้ไหมคะ”
แน่นอนสิ
นี่เป็นเรื่องที่เขาปรารถนาอย่างที่สุด การที่เปโตรนิยาเรียกเขาด้วยชื่อเล่นนั่นหมายความว่านางเปิดใจให้เขาอย่างสมบูรณ์แล้ว ตอนนี้เขามีความสำคัญกับนางมากขึ้นแล้ว รอธซีรู้ เขายิ้มออกมาอย่างตื่นเต้นและตอบด้วยความยินดี
“ได้สิครับ นีย่า ข้ายินดียิ่ง”
ในที่สุดเขาก็สามารถเรียกนางด้วยชื่อเล่นได้แล้ว รอธซีเอ่ยถามด้วยสีหน้าตื้นตัน
“ข้าอยากเต้นรำกับเลดี้ครับ”
“เอ่อ…จะว่าไปแล้วนี่เป็นครั้งแรกเลยนะคะ”
“ครับ ครั้งแรก แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ ต่อไปเรายังมีเวลาอีกมาก”
หากท่านยินดี นีย่า ข้าอยากจะใช้เวลาร่วมกับท่านไปอีกนานแสนนาน
ตราบใดที่ท่านยังไม่เบื่อข้า ข้าก็ปรารถนาที่จะอยู่เคียงข้างท่าน อยู่กับท่านตราบนานเท่านาน และกลายเป็นความทรงจำอันมีค่าที่มิอาจลืมเลือนของกันและกัน
“ใช่ค่ะ เรายังมีเวลาอีกมาก”
ข้าจะเป็นคนคนนั้นในชีวิตท่านได้หรือไม่
“เช่นนั้น ไปกันเลยไหมครับ”
“ได้ค่ะ”
นางยิ้มและจับมือของชายหนุ่มอย่างแผ่วเบา ทันทีที่มือของรอธซีสัมผัสกับมือของเปโตรนิยาเขาก็รู้สึกใจเต้นราวกับเป็นเด็กหนุ่มที่เพิ่งเริ่มสนใจเพศตรงข้าม ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ และดึงร่างบางเข้ามาชิดอย่างนุ่มนวล
ทันใดนั้นดนตรีจังหวะวอลซ์ก็เริ่มบรรเลง รอธซีโอบเอวเปโตรนิยาอย่างเป็นธรรมชาติ เอวของนางบางมาก มากเสียจนเขาอยากจะดุนางว่าเหตุใดจึงผอมบางถึงเพียงนี้
“ผอมมากไปแล้วครับ” เขากระซิบข้างหูหญิงสาวอย่างเป็นทุกข์
“ผอมไปหรือคะ”
รัดคอร์เซ็ต[1]แน่นไปหรือเปล่านะ หญิงสาวบ่นพึมพำ รอธซีได้ยินดังนั้นก็คิดในใจ ไม่รอดคอร์เซ็ตน่าจะดีกว่า ต่อให้ไม่มีของแบบนั้นท่านก็สวยและมีเสน่ห์มากพออยู่แล้ว
“รัดคอร์เซ็ตแน่นเกินไปไม่ดีต่อสุขภาพนะครับ” เขากระซิบแผ่วเบา
“แต่ใครๆ เขาก็ทำกันนะคะ”
“นีย่า ท่านเป็นคนพิเศษ” เขาให้นางหมุนไปด้านข้างแล้วพูดต่อให้จบ “ต่อให้ไม่สวมสิ่งนั้น ท่านก็งดงามยิ่งกว่าใครในสายตาข้า”
ใบหน้าของหญิงสาวพลันขึ้นสีระเรื่อในขณะที่รอธซีเพียงแต่เผยยิ้ม เขามั่นใจว่าสิ่งที่พูดออกไปเป็นความจริงทุกประการ ไม่มีคำโกหกปนอยู่แม้แต่น้อย
“ความสะดวกสบายของท่านคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับข้าครับ” เขาพูดเสริม
“แต่งงานไปท่านต้องเป็นสามีที่อบอุ่นมากแน่ๆ ค่ะ”
“ท่านกำลังขอข้าแต่งงานหรือครับ”
“ไม่ใช่แบบนั้นเสียหน่อย”
“โล่งอกไปทีครับ”
รอธซีรั้งร่างบางเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น วินาทีนั้นราวกับปลายจมูกของทั้งคู่จะสัมผัสกัน ระยะห่างที่ได้ยินเสียงลมหายใจของหญิงสาวอย่างชัดเจนทำให้รอธซีเผลอกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่ฝ่ายหญิงเองก็หายใจแรงขึ้นคล้ายจะประหม่า รอธซีรู้สึกว่าสถานการณ์นี้อันตรายมากจึงก้าวถอยหลัง
‘อันตราย’
อย่างไรนี่ก็เป็นที่สาธารณะ รอธซีห้ามใจตัวเองและรีบเปลี่ยนเรื่อง เขามีเรื่องจะบอกเปโตรนิยา
“นีย่า”
“คะ?”
“ข้ามีของจะให้ครับ”
“ของหรือคะ?”
หญิงสาวมีสีหน้าใสซื่อราวกับเด็กน้อย ท่าทีนั้นแสนจะน่ารักน่าเอ็นดูจนรอธซีต้องกลืนน้ำลายอีกครั้ง หมู่นี้ช่างแปลกนัก เขาคิดในใจขณะที่เผยยิ้มน้อยๆ พลางตอบ
“ครับ ข้ามีของจะให้”
“คาดหวังได้ไหมคะ”
“ไม่แน่ใจครับ ตัวข้าคิดว่ามันมีความหมายลึกซึ้ง…แต่หากทำให้ท่านผิดหวังจะทำอย่างไรดีเล่า”
“ไม่หรอกค่ะ”
พูดจบ เปโตรนิยาก็หัวเราะเสียงใส รอธซีคิดว่ารอยยิ้มนั้นดูราวกับรอยยิ้มของนางฟ้า ใบหน้าของนางมีทั้งความบริสุทธิ์และความร้ายกาจ มีทั้งแสงสว่างและความมืด เป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์หาใดเปรียบ และเสน่ห์นั้นก็รุนแรงเกินไปสำหรับเขา
“ขอบคุณครับ” รอธซีกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
หวังเป็นอย่างยิ่งว่านางจะถูกใจ ชายหนุ่มกังวลอยู่ในใจเงียบๆ
หลังจากเต้นต่อไปอีกสองเพลง รอธซีก็พาเปโตรนิยาไปยังสวนดอกไม้ที่ไร้ผู้คน สีหน้าของเปโตรนิยามีทั้งความประหม่าและความตื่นเต้นดีใจ ซึ่งสีหน้านั้นทำให้รอธซีกระสับกระส่าย
‘ถ้านางไม่ชอบของขวัญที่เราเตรียมมาให้จะทำอย่างไรดี’
นางเป็นผู้หญิงจิตใจดี ต่อให้นางไม่ชอบ นางก็จะพยายามยิ้มอย่างงดงามที่สุดและกล่าวว่า ‘ขอบคุณจริงๆ ค่ะ โร’ รอธซีได้แต่หวังว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น เขาพาหญิงสาวไปนั่งที่ม้านั่งในสวนมืดๆ เปโตรนิยาหัวเราะออกมาเบาๆ และเอ่ยถาม
“ทำแบบนี้ข้ายิ่งคาดหวังนะคะ”
“ในขณะที่ข้ากังวลใจยิ่งเพราะไม่รู้ว่าท่านจะชอบหรือไม่”
“ท่านเป็นผู้ชายที่วิเศษ ของขวัญของท่านก็ต้องวิเศษมากแน่ๆ ค่ะ”
รอธซีได้ยินดังนั้นก็หลุดยิ้มออกมา เขาสบตากับเปโตรนิยาพลางกระซิบ
“หลับตาลงสักครู่ได้ไหมครับ”
“ได้ค่ะ”
เปโตรนิยาหัวเราะเสียงใสก่อนจะหลับตาแน่น ภาพนั้นช่างน่ารักเสียจนรอธซีเหม่อมองอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็ทำสีหน้า ‘เอาล่ะ’ แล้วไปหยิบของขวัญที่เตรียมไว้ ครู่หนึ่งหลังจากนั้นเปโตรนิยาก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ข้าลืมตาได้หรือยังคะ โร”
“อืม ก่อนหน้านั้น…” รอธซีเอ่ยถามเสียงหวาน “ตอนนี้รู้สึกถึงอะไรบ้างครับ”
“อืม…กลิ่นหอมๆ…ดอกไม้หรือคะ”
“ทีนี้ลืมตาได้แล้วครับ”
หญิงสาวค่อยๆ ลืมตาขึ้น ครั้นเห็นของขวัญที่อยู่ตรงหน้าก็เผยยิ้มกว้างพลางถาม
“ดอกไม้หรือคะ”
“ชอบไหมครับ”
“ข้าชอบดอกไม้ค่ะ ขอบคุณมากจริงๆ”
เปโตรนิยาชอบมากจริงๆ จึงถาม “อา สวยจัง ว่าแต่นี่ดอกอะไรหรือคะ ไม่เคยเห็นเลย”
“ดอกไม้นี้ไม่มีในมาวินอสครับ”
“โห จริงหรือคะ เช่นนั้นคงหายากมากทีเดียว”
“ดอกไม้นี้เรียกว่าดอกผีเสื้อราตรีครับ”
รอธซีนั่งคุกเข่าอยู่ข้างขาของเปโตรนิยาและเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาว
“รู้ไหมครับว่าภาษาดอกไม้ของมันคืออะไร” เขาถาม
“ไม่รู้…สิคะ”
“ข้าจะไม่ทอดทิ้งท่าน”
“…”
“นิล ข้า…” รอธซีรู้สึกเหมือนลำคอแห้งผาก เขากลืนน้ำลายและพูดต่อ “ข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องเจ็บปวดอย่างเด็ดขาด”
“…โร”
“ข้าขอสาบานครับ นิล ข้า…”
“โรคะ”
เปโตรนิยาเอ่ยขัดเสียงค่อย ทว่าริมฝีปากของนางกลับปรากฏรอยยิ้ม รอธซีมองหญิงสาวด้วยดวงตาที่คล้ายจะแดงขึ้นเล็กน้อย
เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความสัมพันธ์ในครั้งนี้จะไม่สร้างบาดแผลให้กับนาง เขาปรารถนาให้นางพบแต่ความสุขในระหว่างที่อยู่กับเขา อย่างน้อยๆ ก็หวังว่าตนจะไม่ทำให้นางต้องเจ็บปวด นั่นคือทั้งหมดที่รอธซีต้องการในตอนนี้ เขาพูดต่อให้จบด้วยสีหน้าที่คล้ายจะร่ำไห้ออกมา
“ข้ารักท่าน นิล”
“…”
“ข้าจะไม่ทำให้คนที่ข้ารักต้องเจ็บปวดเด็ดขาด ข้าสาบาน”
“ค่ะ โร ข้าเชื่อ…” เปโตรนิยาตอบเสียงสั่น “ข้าจะไม่เชื่อท่านได้อย่างไร”
“ดูเหมือนท่านจะไม่ค่อยสบายใจ นั่นทำให้ข้ากลัว ข้าหวังว่าท่านจะไม่ต้องกังวลเรื่องใดๆ เมื่ออยู่กับข้า”
“ท่านไม่รู้หรือคะ โร? ตอนนี้ท่านก็เป็นผู้ชายที่วิเศษเกินไปสำหรับข้าแล้ว”
“ใครบอกกันเล่า” เขาเผยยิ้มพลางเอ่ยกระซิบ “ท่านไม่รู้หรอกว่าข้ารู้สึกโชคดีแค่ไหนที่ได้พบกับท่านและได้รักท่าน”
“ใครสอนให้ท่านพูดแต่คำหวานซึ้งเช่นนี้คะ”
หญิงสาวค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้และประทับจูบลงบนหน้าผากของเขา ครั้นนางผละออกไป รอธซีก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปจุมพิตใต้ริมฝีปากของนาง
จุมพิตนั้นค่อยๆ ขยับสูงขึ้นจนกระทั่งเขาได้ครอบครองริมฝีปากบางสีแดงสดของเปโตรนิยาทั้งหมด รอธซีก็รู้สึกราวกับเขาได้ครอบครองโลกทั้งใบ เขาจูบนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า…จูบแล้วจูบเล่า
รอธซีอยากจะหยุดเวลานี้ไว้ชั่วนิรันดร์ อยากให้วินาทีนี้มีเพียงพวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันและใช้เวลาร่วมกัน
ชายหนุ่มสารภาพรักด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ข้ารักท่านมากจริงๆ นิล”
พระเจ้ารับฟังคำอธิษฐานของเขา ในค่ำคืนอันมืดมิดไร้ผู้คน ทั้งสองจุมพิตกันเนิ่นนานราวกับว่าในจักรวาลนี้มีเพียงพวกเขาสองคน
[1] คอร์เซ็ต (Corset) ชุดชั้นในของสตรีที่สวมเพื่อให้สะโพกและหน้าอกเข้าทรง
“ไม่คิดว่ามันมากไปหน่อยหรือ”
เคาน์เตสเบรดิงตันถามจากใจจริง แต่รอธซีเองก็ตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ข้าเรียนมาว่าตอนป่วยต้องพักผ่อนและผ่อนคลายให้มากที่สุดครับ ท่านแม่”
“ใช่แล้วล่ะ…”
เคาน์เตสเบรดิงตันมองบุตรชายด้วยสายตาประหลาด เมื่อไม่กี่วันก่อนเขายังย้ำหนักย้ำหนาว่า ‘ไม่คิดจะแต่งงาน’ นางจึงคิดว่าจะเคารพการตัดสินใจของลูกให้มากที่สุด และจะสนับสนุนให้ลูกได้ใช้ชีวิตดั่งใจปรารถนา ทว่า…
“นี่ใช่ลูกข้าจริงๆ หรือนี่”
กลับมีตัวแปรเช่นนี้โผล่มา
เคาน์เตสเบรดิงตันเพิ่งเคยเห็นบุตรชายเป็นแบบนี้ครั้งแรกในชีวิต นางจึงไม่อาจเก็บซ่อนความรู้สึกงงงันไว้ได้ แน่นอนว่าบุตรชายของนางจิตใจดีและอ่อนโยนยิ่งกว่าใคร เป็นไปตามมาตรฐานของสุภาพบุรุษ แต่ด้วยความที่เขาไม่นำด้านดีๆ เหล่านั้นไปใช้กับเพศตรงข้ามจึงทำให้นางรู้สึกอึดอัดใจเป็นที่สุด
แต่จู่ๆ เขากลับกลายเป็นเช่นนี้ แน่นอนว่าเคาน์เตสเบรดิงตันมิได้เห็นเป็นเรื่องไม่ดี นางเพียงแต่ทำตัวไม่ถูกเพราะบุตรชายเปลี่ยนไปแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือเท่านั้น
“หวังว่าเลดี้โกรเชสเตอร์จะไม่รู้สึกลำบากใจ”
“นั่นสิครับ” รอธซีเพิ่งตระหนักถึงเรื่องนั้นได้ก็โอดครวญ “ถ้านางลำบากใจจะทำอย่างไรดี”
“เจ้าก็คอยดูท่าทีของนางแล้วค่อยๆ ปรับไปแล้วกัน แต่ด้วยความจริงใจของเจ้า หากนางมิได้เกลียดเจ้า นางก็คงไม่ถึงขั้นลำบากใจหรอก”
“จริงหรือครับ”
ได้ฟังดังนั้นรอธซีก็คล้ายปล่อยวางความกังวลอันใหญ่หลวงได้แล้ว สีหน้าจึงดูผ่อนคลายขึ้น เขาจุมพิตที่แก้มข้างซ้ายของเคาน์เตสเบรดิงตันเบาๆ และกระซิบ
“ข้าจะรีบไปรีบมานะครับ ท่านแม่”
“โอ้โห…”
เปโตรนิยาอดอุทานออกมาไม่ได้เมื่อเห็นข้าวของมากมายที่รอธซีขนมา ทั้งช่อดอกไม้หลากสีสันที่มีกลิ่นหอมช่วยให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย ใบชาหายากจากประเทศทางตะวันออกที่เพิ่งส่งมาที่ตระกูลเบรดิงตัน ขนมเจลลี่จากต่างประเทศที่ดีต่อการฟื้นฟูอาการอ่อนเพลีย และอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งหมดเป็นของล้ำค่า มิได้พบเห็นได้ทั่วไป
“อาการของข้าไม่ได้น่าเป็นห่วงถึงขนาดนั้น…” เปโตรนิยากล่าวด้วยน้ำเสียงตะลึงงัน
“ไข้หวัดไม่ว่าจะหนักหรือเบาหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องก็ทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายได้นะครับ เปโตรนิยา”
รอธซีพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและป้อนเจลลี่ชิ้นหนึ่งให้ถึงปาก เปโตรนิยาอ้าปากงับเจลลี่ชิ้นนั้นโดยไม่รู้ตัว หอมหวานยิ่ง
“อร่อยจังค่ะ”
“โล่งอกไปทีนะครับ”
รอธซีได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มอย่างมีความสุขเป็นที่สุด อา คุ้มแล้วที่ตั้งอกตั้งใจเตรียมมา ปฏิกิริยาของฝ่ายชายทำให้เปโตรนิยาหน้าแดงระเรื่อโดยไม่รู้ตัวพลางคิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนที่กระตือรือร้นกับการแสดงออกจริงๆ
“อาการแย่มากไหมครับ”
รอธซีคิดว่าอาการป่วยของเปโตรนิยาเป็นความผิดของเขา ถ้าตอนนั้นเขาพานางไปหลบฝนเร็วกว่านี้ นางก็คงไม่ต้องมานอนซมอยู่บนเตียงแบบนี้ เปโตรนิยาเห็นรอธซีทำหน้านิ่วคิ้วขมวดก็เอ่ยตอบ
“ไม่เลยค่ะ สบายมาก”
พูดจบเปโตรนิยาก็ไอออกมา นางถึงกับหน้าแดงอย่างขวยเขิน รีบเอ่ยแก้ตัว
“จู่ๆ ฝุ่นก็เข้าคอน่ะค่ะ”
“เอาเป็นว่าสิ่งสำคัญคือต้องพักผ่อนเยอะๆ นะครับ เปโตรนิยา”
“จะอยู่ต่อไหมคะ รอธซี”
“เอ่อ…” รอธซีลังเลเล็กน้อยแล้วถามกลับ “อยู่ต่อได้หรือครับ”
คำถามของรอธซีทำให้เปโตรนิยาหน้าแดงเถือก รอธซีเห็นดังนั้นก็นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายหน้าแดงเพราะเขินอายหรือเพราะพิษไข้กันแน่
“…อยู่ต่อเถอะค่ะ”
จะอะไรก็ช่างเถอะ เพราะสิ่งที่สำคัญคือตอนนี้ข้าอยู่ตรงนี้…ข้างๆ นาง
“…รอธซี”
รอธซีได้ยินเสียงใครบางคนเรียกเขาเบาๆ เป็นเสียงที่คุ้นหูและเป็นเสียงที่เขาชอบมาก เขายิ้มกว้างในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่นและเอ่ยเรียกชื่อของหญิงสาว
“…นิล”
รอธซีพึมพำและค่อยๆ ลืมตาขึ้น หลังจากกะพริบตาสองสามครั้ง ภาพของสาวงามก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
เป็นเปโตรนิยา เขายิ้มออกมา
“ตื่นแล้วหรือคะ”
รอธซีค่อยๆ ลุกขึ้น ดูเหมือนว่าเขาจะลืมเสียสนิทว่าตนมาเฝ้าไข้ (แน่นอนว่าชายหญิงไม่ควรอยู่ด้วยกันตามลำพัง เขาจึงไปขออนุญาตมาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์ก่อนแล้ว) และเผลอหลับไป
“อาการ…เป็นอย่างไรบ้างครับ” รอธซีถามด้วยเสียงแหบเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรค่ะ” เปโตรนิยาตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ขอโทษนะคะที่ข้าทำให้ท่านนอนไม่สบาย”
“โอ้ ไม่เลยครับ ไม่เลย ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอนครับ เปโตรนิยา” รอธซีโบกไม้โบกมือพัลวันพลางปฏิเสธ “ไม่ได้ไม่สบายตัวเลยครับ นอนสบายมาก…ไม่สิ ที่จริงก็มีปัญหาอยู่นิดหน่อย…”
“ฮ่ะฮ่าฮ่า”
เห็นท่าทีสับสนอย่างหาได้ยากของอีกฝ่าย เปโตรนิยาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างลืมตัว รอธซีมองนางหัวเราะอย่างเหม่อลอยพลันหน้าแดง
“เหมือนคนทึ่มใช่ไหมครับ”
“ฮ่าๆ ไม่ค่ะๆ” เปโตรนิยารีบกลืนเสียงหัวเราะลงไปและพยายามทำทีเป็นสงบเยือกเย็นพลางกล่าว “ข้าไม่ได้หัวเราะเพราะท่านเหมือนคนทึ่มค่ะ เพียงแต่…”
คราวนี้กลับเป็นเปโตรนิยาที่หน้าแดง
“น่ารักดีค่ะ”
“…”
“เอ่อ ไม่ชอบให้พูดแบบนี้หรือเปล่าคะ”
“โอ้ เปล่าครับๆ” รอธซีรีบส่ายหน้า “ชอบครับ ชอบมากๆ”
“ถึง…ขนาดนั้นเลยหรือคะ”
“หากเป็นคำพูดของเลดี้ ข้าจะไม่ชอบได้หรือครับ”
“…ข้าคิดมาตั้งนานแล้ว ท่านนี่พูดจาเอาอกเอาใจแบบนี้คล่องปากจังเลยนะคะ”
เปโตรนิยาถามด้วยน้ำเสียงสับสน “ไปเรียนมาจากที่ไหนหรือเปล่าคะ”
“เปล่านะครับ ไม่เคยคิดจะเรียนเลยด้วย”
รอธซีครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกไป “อาจจะเป็นพันธุกรรม หรือไม่ก็เรียนรู้มาอย่างที่เลดี้ว่าก็ได้ครับ เพราะท่านพ่อท่านแม่ของข้าอาการหนักกว่านี้มาก”
อีกอย่างข้าไม่ได้ใช้คำพูดแบบนั้นเสียหน่อย… รอธซีบ่นอุบและถามเปโตรนิยา
“ว่าแต่รู้สึกดีขึ้นไหมครับ”
“ได้นอนไปงีบหนึ่งก็ไม่เป็นไรแล้วล่ะค่ะ” เปโตรนิยาบิดขี้เกียจแล้วถาม “ลอร์ดน่าจะไม่ค่อยสบายตัวนะคะ…นอนขดตัวเช่นนั้น”
“บอกแล้วมิใช่หรือครับว่าข้าไม่เป็นไร”
“เอ่อ ลอร์ดคะ…” เปโตรนิยาเอ่ยเรียกเสียงค่อย
“ครับ เปโตรนิยา” รอธซีตอบทันที
“ใกล้จะถึงวันคล้ายวันพระราชสมภพขององค์จักรพรรดิแล้ว ในวังคงมีการจัดงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ ในวันนั้น…”
“…”
“ช่วยไปเป็นเพื่อนข้าได้ไหมคะ”
“แน่นอนสิครับ”
รอธซีตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง แน่นอน แน่นอนอยู่แล้ว เพราะเขาหลงรักนางไปแล้ว
“ข้าอยู่ข้างๆ ท่านได้ตั้งแต่เริ่มงานจนกระทั่งจบงานเลยครับ” เขาพูดเสริม
“…”
“จะอนุญาตไหมครับ”
“ถ้าลอร์ดไม่เบื่อเสียก่อน…ข้าก็ไม่ว่าอะไรค่ะ”
“ขอบคุณสำหรับคำอนุญาตครับ เลดี้ แล้วก็…ขอบคุณที่ชวนข้า”
“ดีใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ด้วยหรือคะ”
“เรื่องเล็กน้อยอะไรกันครับ” รอธซีส่ายศีรษะและเอ่ยแย้ง “ทุกคำพูดของเลดี้เป็น ‘เรื่องใหญ่’ สำหรับข้าครับ”
“…คำพูดแบบนี้ก็เรียนมาหรือคะ”
“นี่เป็นคำพูดจากใจจริงครับ” รอธซีตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง “คำสารภาพที่จริงใจโดยทั่วไปก็ดูคล้ายกับบทละครอยู่แล้วครับ เลดี้ฟังแล้วรู้สึกแบบนั้นไหมครับ”
“ถ้าอย่างนั้นข้าคือนางเอกในละครเรื่องนั้นหรือคะ”
“ท่านเป็นนางเอกในชีวิตของข้าครับ”
“…เขินๆ เหมือนกันนะคะ”
“แต่ก็ชอบนี่ครับ” รอธซียิ้มอย่างสดใส “ใช่ไหมครับ”
บ้าจริงที่มันเป็นเช่นนั้น เปโตรนิยาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
***
รอธซีกลับมาถึงบ้านแล้ว เขาตั้งใจว่าจะให้ของขวัญเปโตรนิยาหนึ่งชิ้นเป็นที่ระลึกในการคบหากันของพวกเขา
‘นางจะชอบอะไรนะ’
เรื่องนั้นสำคัญที่สุดแต่เขากลับไม่ได้ถามเปโตรนิยา ขณะที่รอธซีกำลังนอนคิดหนักอยู่บนเตียง ใครคนหนึ่งก็มาเคาะประตูห้อง
“ใครครับ” เขาถามออกไป
“พ่อเอง โร”
“ท่านพ่อ?”
รอธซีลุกพรวดขึ้นจากเตียงไปเปิดประตู หลังบานประตูคือใบหน้าที่เขาคุ้นเคย รอธซีหัวเราะออกมาดังลั่นโดยไม่รู้ตัวด้วยความยินดี
“ท่านพ่อ!”
“สบายดีไหม โร”
เคานต์เบรดิงตันยิ้มอบอุ่นและสวมกอดบุตรชายด้วยอ้อมกอดอันกว้างใหญ่ เคานต์เบรดิงตันออกเดินทางไปเยี่ยมเยือนหัวเมืองเมื่อหลายวันก่อน ดูเหมือนว่าเพิ่งกลับมาถึง
“ได้กลับแล้วหรือครับ กลับมาเร็วเหมือนกันนะครับ” รอธซีถาม
“ใช่แล้ว ได้กลับเร็วน่ะ” เคานต์เบรดิงตันหัวเราะอ้าปากกว้างพลางกล่าว “หันไปทางใดก็เห็นแต่หน้าแม่เจ้า! พ่อเร่งคนขับรถม้าสุดพลังเลยล่ะ”
สมกับเป็นคำพูดของสามีภรรยาที่รักใคร่ปรองดองกัน รอธซีหัวเราะพลางกล่าว
“แต่ท่านแม่ไม่ค่อยพูดถึงท่านพ่อเลยนะครับ”
“แม่ของเจ้าเดิมทีก็ขี้อายอยู่แล้ว ตอนคบกันก็แบบนี้” เคานต์เบรดิงตันยิ้มน้อยๆ แล้วถามลูกชาย “พ่อเข้าไปได้หรือไม่ ดูเหมือนจะต้องคุยกันยาว”
“ได้สิครับ ข้าชงชาให้ไหมครับ”
“ลำบากเปล่าๆ ไม่เป็นไร ไปนั่งตรงนั้นกันดีกว่า”
พ่อลูกนั่งด้วยกันที่โต๊ะรับแขก ทั้งสองมีรูปลักษณ์ที่คล้ายกันมากราวกับโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน ไม่มีความผิดพลาดทางพันธุกรรมให้เห็น เคานต์เบรดิงตันผู้ครอบครองเสน่ห์ที่ดูภูมิฐานเอ่ยปากถามรอธซี
“ได้ยินว่าช่วงนี้เจ้าคบหากับเลดี้คนหนึ่งอยู่”
“ท่านแม่คงบอกแล้วสินะครับ”
“ใช่ เป็นบุตรีของมาร์ควิสโกรเชสเตอร์หรือ”
“ครับ”
“ฟังว่าเป็นหญิงสาวที่ร่าเริงและอ่อนหวาน พี่สาวฝาแฝดของจักรพรรดินีใช่หรือไม่”
“ครับ ใช่แล้วครับ”
“เห็นแม่เจ้าบอกว่าเจ้าดื้อจะไม่แต่งงาน… เจ้าคงเหมือนพ่อสินะ”
“ทำไมหรือครับ”
“พ่อก็เคยเป็นเช่นนั้น แม่เจ้าไม่ได้เล่าให้ฟังหรือ”
“อ้อ เล่าแล้วครับ ตอนที่ข้าบอกท่านแม่ว่าจะไม่แต่งงาน” รอธซีหัวเราะเจื่อนๆ “สงสัยข้าจะเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น”
“ก็คงจะใช่ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกระทั่งเรื่องนี้นะ” เคานต์เบรดิงตันหัวเราะแห้งๆ และถามรอธซี “ว่าแต่สีหน้าเจ้าดูหม่นหมองยิ่ง ไปกันได้ไม่ดีหรือ”
“เปล่าครับ ไม่ใช่แบบนั้น…”
รอธซีเล่าความกังวลใจให้บิดาฟังด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เราเริ่มคบหากันเมื่อหลายวันก่อน และข้าก็อยากให้ของขวัญนางเป็นที่ระลึก”
ข้าน่าจะถามนางเสียหน่อย… รอธซีนึกเสียใจก่อนจะเอ่ยถามความเห็น
“ท่านพ่อคิดว่าอย่างไรครับ ข้าทำตัวมากเรื่องเกินไปหรือไม่”
“ไม่หรอก เดิมทีการให้ของขวัญแม้จะให้เยอะแค่ไหนก็ไม่ถือว่ามากไปหรอก ยิ่งไปกว่านั้นครั้งแรกย่อมสำคัญสำหรับทุกคน”
เคานต์เบรดิงตันยิ้มอ่อนโยนและพูดต่อ “ถ้าคิดไม่ตก เจ้าก็ให้ของที่ ‘ไม่ว่าใครได้รับก็ดีใจ’ สิ แต่ว่าของที่ดี ‘ที่สุด’ ย่อมเป็น ‘ของขวัญที่คนผู้นั้นต้องการเป็นพิเศษ’ หรือไม่ก็ ‘ของขวัญที่คนผู้นั้นชอบเป็นพิเศษ’ ”
“พูดเหมือนไม่ใช่เรื่องยากเลยนะครับ”
“พ่อก็ไม่คิดว่ายาก เจ้าซื่อบื้อเองต่างหาก โร”
เคานต์เบรดิงตันกล่าวด้วยรอยยิ้มละมุนแล้วให้คำแนะนำอย่างสุขุม
“ไม่ใช่เรื่องยากหรอก ก่อนจะคบกันพวกเจ้าก็ได้ใช้เวลาร่วมกันอยู่บ้างมิใช่หรือ ลองคิดทบทวนถึงช่วงเวลาเหล่านั้นให้ดี ว่าตอนนั้นเจ้าอยากทำสิ่งใดให้นาง ตอนนั้นเจ้าอยากมอบสิ่งใดให้นางเป็นของขวัญ”
“…”
“ถ้าพูดขนาดนี้แล้วยังไม่รู้อีกเจ้าก็ขาดคุณสมบัติแล้ว”
“เกินไปแล้วนะครับ ท่านพ่อ!”
“สตรีนั้นละเอียดอ่อนกว่าที่เจ้าคิด หากเป็นของขวัญที่เจ้ามอบให้จากใจจริง นางจะดีใจแค่ไหน เจ้าลองคิดดูให้ดี”
พูดจบเคานต์เบรดิงตันก็ลุกขึ้น
“จะไปแล้วหรือครับ” รอธซีถาม
“ต้องไปหาแม่เจ้าน่ะสิ”
“เอาเป็นว่า…ข้าทราบแล้วว่าทั้งสองท่านรักกันดี น่าอิจฉานะครับ”
“อย่ากังวลไปเลย โร หากเจ้าเหมือนข้า อีกหน่อยเจ้าย่อมต้องมีชีวิตแบบนี้แน่นอน”
เคานต์เบรดิงตันหัวเราะอย่างขบขันทิ้งท้ายแล้วออกจากห้องไป รอธซีทิ้งตัวนอนลงบนเตียง เขาคิดทบทวนถึงคำแนะนำของบิดาอยู่ครู่ใหญ่ ทันใดนั้นเขาก็ผุดลุกขึ้นราวกับนึกอะไรออก
เขาคิดออกแล้ว คิดออกเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น
“ทำไมไม่ติดต่อมานะ”
รอธซีครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่บนเตียงในเช้าวันว่างวันหนึ่ง เขาจำได้แม่นว่าเปโตรนิยาบอกว่าจะเป็นฝ่ายติดต่อมาก่อน ไม่ได้บอกว่าจะรอให้เขาติดต่อไป
“ข้าได้ยินไม่ผิดใช่ไหม”
แต่ถึงนางจะพูดแบบนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการติดต่อมาเลย นี่ผ่านมากี่วันแล้วนะ หนึ่งวัน สองวัน สามวัน… รอธซีนับวันคืนอยู่ครู่หนึ่งก็คิดได้ว่ามันไร้ประโยชน์จึงเลิกนับ ขืนเป็นแบบนี้เขาต้องมีอาการซึมเศร้าเป็นแน่ ชายหนุ่มเอนตัวลงนอนบนเตียงที่ปูด้วยผ้าสีขาวและพึมพำอย่างเศร้าหมอง
“ไม่ใช่ว่าลืมข้าไปแล้วหรอกนะ”
เขาคิดถึงข้อสันนิษฐานมากมายในหัว นางอาจจะยุ่งมาก หรือไม่ก็อาจจะมีผู้ชายคนอื่นไปแล้ว คิดมาถึงตรงนี้ รอธซีก็ตะโกนดังลั่นอย่างลืมตัวพร้อมกับผุดลุกขึ้นนั่ง
“ไม่นะ!”
ไม่หรอก เป็นไปไม่ได้ นางมิใช่คนที่จะเมินเฉยใส่ผู้อื่นเช่นนั้น เขาคิดว่าตัวเองแค่ตีตนก่อนไข้และพยายามลบความกังวลในหัวออกไปให้หมด ในความสัมพันธ์ของคนสองคนความเชื่อใจและความไว้วางใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด! รอธซีทำใจให้สงบและปลอบใจตัวเองอย่างสุขุมว่าให้รอต่อไปอีกหน่อย
-ก๊อกก๊อก
ตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตู รอธซีถามออกไปด้วยน้ำเสียงเจือความสงสัย
“ใครครับ”
“พ่อบ้านขอรับ คุณชาย”
“เชิญครับ”
พ่อบ้านเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเขินอายเล็กน้อย
“มีเรื่องอะไรหรือครับ” รอธซีถาม
“มีสิขอรับ”
น้ำเสียงของพ่อบ้านฟังดูตื่นเต้นชอบกล รอธซีได้ยินดังนั้นก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น
“ท่าทางจะเป็นเรื่องดีสินะครับ” เขาถามต่อ
“ขอรับ ดีมากทีเดียว” พ่อบ้านตอบด้วยสีหน้าชื่นบาน “ตระกูลโกรเชสเตอร์ติดต่อมาขอรับ”
“อย่างนั้นหรือครับ ตระกูลโกรเชสเตอร์…หา? อะไรนะครับ?”
รอธซีพลันเบิกตากว้าง พ่อบ้านเห็นดังนั้นก็หัวเราะและอธิบายเพิ่มเติม
“อีกสักครู่บุตรีของมาร์ควิสโกรเชสเตอร์จะมาที่นี่ขอรับ คุณชาย ท่านน่าจะต้องเตรียมตัวได้แล้วกระมัง”
“โอ้ พระเจ้าช่วย!”
เลดี้ยังไม่ทอดทิ้งข้าจริงๆ ด้วย! รอธซียินดีเหลือแสน ทันใดนั้นเขาก็รีบลุกขึ้น ตอนนี้ไม่ใช่เวลามามัวดีใจแล้ว สำหรับเดตแรกเขาต้องเตรียมตัวให้พร้อมสรรพ!
***
“ไม่พบกันนานนะคะ ลอร์ด”
รอธซีเตรียมตัวอย่างสมบูรณ์พูนพร้อมแล้วมานั่งรอที่ห้องรับรอง สิบนาทีต่อมาในที่สุดเปโตรนิยาก็มาถึง หลังจากไม่ได้เจอกันมาระยะหนึ่งหญิงสาวดูงดงามขึ้นอย่างน่าประหลาด หัวใจของรอธซีถึงกับเต้นไม่เป็นส่ำ
“ข้าชะเง้อคอรอจนคอแทบหลุดแล้วครับ นั่งก่อนสิครับ”
พูดจบรอธซีก็ลุกจากที่นั่งไปเตรียมชาที่เขาลงมือต้มด้วยตัวเองเมื่อครู่ ในจักรวรรดิมาวินอสโดยทั่วไปถือว่าการชงชาเป็นงานของสตรี แต่สามีภรรยาเบรดิงตันสอนธรรมเนียมการชงและดื่มชาภายใต้คำกล่าวที่ว่า ‘บุรุษที่ได้รับการศึกษาควรจะรู้วิธีชงชา’
รอธซีส่งชาคีมุน[1]ให้เปโตรนิยาถ้วยหนึ่ง หญิงสาวค่อยๆ จิบอย่างระมัดระวัง เดิมทีรอธซีไม่เคยกังขาในฝีมือการชงชาของตนมาก่อน แต่วินาทีนั้นเขาเกิดไม่มั่นใจขึ้นมา ข้าจะชงได้ดีไหมนะ…?
“ฝีมือการชงชาของตระกูลเบรดิงตันยอดเยี่ยมจริงๆ ค่ะ”
เฮ้อ โชคดีที่เป็นคำชม ดูจากสีหน้าที่สดใสนั้นแล้ว นางคงไม่ได้โกหก
“ข้าไม่เคยดื่มชาที่รสชาติดีขนาดนี้มาก่อนเลย”
ได้ยินเปโตรนิยาชื่นชมไม่ขาดปาก รอธซีก็มิอาจเก็บซ่อนความภาคภูมิใจไว้ได้จึงพูดออกไป
“ขอบคุณสำหรับคำชมครับ เลดี้เปโตรนิยา ข้าไม่ได้ชงชามานานแล้วจึงกังวลอยู่บ้างเหมือนกัน ได้ยินเช่นนั้นก็โล่งใจครับ”
“…คะ?”
เปโตรนิยาได้ยินว่ารอธซีชงชาด้วยตัวเองก็ตกตะลึงอย่างมาก นี่เป็นปฏิกิริยาที่เข้าใจได้ เพราะบุรุษชงชาหาใช่สิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป
เดี๋ยวนะ หรือนางจะไม่ชอบผู้ชายที่ชงชาเป็น… คงไม่ใช่กระมัง?
แม้จะเป็นความกังวลที่ไร้ประโยชน์ แต่บุรุษที่ตกอยู่ในห้วงความรักมักกลายเป็นคนโง่งมเพียงเพราะเรื่องหยุมหยิมเรื่องเดียว
“เอ่อ ข้า…ตกใจเพราะไม่คิดว่าลอร์ดจะเป็นคนชงเองน่ะค่ะ คือ…ข้าไม่เคยพบผู้ชายที่ชงชาเป็นมาก่อนเลย”
“ครับ ข้าคงเป็นกรณีที่หาได้ยากน่ะครับ”
รอธซียิ้มน้อยๆ อย่างเห็นด้วยก่อนจะรินชาเติมลงถ้วยชาที่ว่างเปล่าของเปโตรนิยา ความปลื้มปิติปรากฏชัดบนใบหน้าของเขา
“ได้รับคำชมจากเลดี้เช่นนี้ข้าก็ดีใจที่สุดแล้วครับ เป็นเกียรติมากครับ”
“…จะว่าไปแล้ว ขออภัยด้วยนะคะที่ติดต่อมาช้า ช่วงนี้ข้า…ยุ่งมากเลยค่ะ หากท่านสนใจเรื่องในรั้วในวังคงจะรู้ว่าเมื่อไม่นานมานี้…”
“ครับ ข้ารู้ ข้าพยายามจะไม่สนใจเรื่องการเมืองหรือราชวงศ์ แต่เรื่องการแต่งตั้งสนมอย่างเป็นทางการนั้นอย่างไรก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว”
รอธซีพูดถึงตรงนี้ก็ลดเสียงลงและกล่าวเสียงเบา “คงเป็นห่วงฝ่าบาทสินะครับ”
“เด็กคนนั้นทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรแต่นางต้องเจ็บช้ำน้ำใจไม่น้อยเป็นแน่ค่ะ”
เปโตรนิยากล่าวเสียงค่อยด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “ข้าควรจะเป็นจักรพรรดินีเสียเอง…”
“ครับ?”
“ไม่มีอะไรค่ะ”
เมื่อเปโตรนิยาไม่พูด รอธซีก็ไม่สามารถถามอะไรต่อได้ ทว่า เขาได้ยินอย่างชัดเจน นางกล่าวว่า ‘ตนควรจะเป็นจักรพรรดินีแทนน้องสาว’
สำหรับเขาแล้วนั่นเป็นเรื่องสยองขวัญที่ไม่อยากแม้แต่จะคิด หากเปโตรนิยาเปลี่ยนความคิดนั้นให้กลายเป็นจริง ตอนนี้เขาอาจนอนซมอยู่บนเตียงเพราะไข้ใจก็เป็นได้ แต่หากอีกฝ่ายเป็นจักรพรรดินีจริงๆ พวกเขาย่อมไม่มีโอกาสได้พบกันอยู่แล้ว
“ข้าเข้าใจครับ ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องสำคัญ เลดี้ซึ่งคอยอยู่ข้างพระวรกายของฝ่าบาทย่อมต้องยุ่งเป็นธรรมดา”
“ขอบคุณที่เข้าใจนะคะ ลอร์ด หมู่นี้ข้าเหนื่อยทั้งกายและใจเลยค่ะ”
“แย่จริง เช่นนั้นน่าจะเลื่อนการเดตของเราออกไปก่อนนะครับ”
“ที่ข้ามาที่นี่ก็เพราะคิดว่าไม่อาจจะเลื่อนออกไปได้อีกแล้วค่ะ อย่างไรสัญญาก็ต้องเป็นสัญญา…ข้าคิดว่าข้าต้องรักษาสัญญาค่ะ ท่านสะดวกเวลาใด ข้าก็จะตกลงตามนั้นเลยค่ะ”
“อย่างที่ข้าเคยบอกไปครับ จะวันไหนเวลาใด ข้าก็สะดวกทั้งนั้น”
ขอเพียงได้ใช้เวลาร่วมกับท่าน
“ถ้าอย่างนั้น…เอ่อ เมื่อไรดีนะ…”
รอธซีได้ยินดังนั้นก็เผลอเรียกอีกฝ่ายด้วยชื่อเล่น
“ไม่เป็นไรครับ นีย่า เอาที่สะดวกเถอะครับ”
“คะ?”
ได้ยินเปโตรนิยาถามกลับอย่างตะลึง รอธซีถึงได้รู้ตัวว่าตนทำอะไรลงไป บ้าไปแล้ว โร! ดันไปเรียกชื่อเล่นของนางทั้งที่ยังไม่ได้เป็นอะไรกันเนี่ยนะ! รอธซีร้องตะโกนในใจ วินาทีนั้นเขาอยากจะมุดรูหนีให้รู้แล้วรู้รอด ในช่วงที่ต้องทำคะแนนกลับมาทำตัวเสียมารยาทเช่นนี้!
“หากเลดี้ไม่พอใจ… ว่าแล้วเชียว จะเรียกชื่อเล่นตอนนี้มันก็…กระไรอยู่ใช่ไหมครับ” เขารีบขอโทษ
“เอ่อ…ตอนนี้ยังแปลกๆ อยู่ค่ะ…ไว้อีกหน่อยค่อยเรียกได้ไหมคะ ลอร์ด?”
ครับ? รอธซีเบิกตาโต นี่หมายความว่านอกจากนางจะไม่ตำหนิเขาที่เรียกชื่อเล่นของนางตามอำเภอใจแล้ว ยังอนุญาตให้เรียกได้เมื่อรู้จักกันได้สักระยะหนึ่งแล้วด้วย ดังนั้น ดูเหมือนว่านางก็ไม่ได้ปฏิเสธเสียทีเดียว รอธซีตอบรับข้อเสนอนั้นด้วยความยินดีสีหน้าเบิกบาน
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ เลดี้”
“เป็นเกียรติอะไรกันคะ… ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้มาหาข้าที่คฤหาสน์มาร์ควิสนะคะ ข้าจะรอ”
ข้าจะรอ
เพียงคำพูดเดียวก็ทำเอารอธซีหน้าแดงก่ำ เขาพยักหน้าเบาๆ ในขณะที่เปโตรนิยาคล้ายจะทำตัวไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นยืน
“เอ่อ… ข้าขอตัวก่อนนะคะ”
“อ่า ครับ ได้ครับ”
“เช่นนั้น…พบกันพรุ่งนี้ค่ะ”
รอธซีรู้สึกว่าช่วงเวลานี้ช่างน่าเขินอายอย่างบอกไม่ถูก หลังจากออกไปส่งเปโตรนิยากลับมา ใบหน้าของรอธซีก็แดงจนไม่อาจกลับไปเป็นสีผิวเดิมได้ พ่อบ้านเห็นดังนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ
“ข้าได้ยินจากนายหญิงว่าคุณชายจะไม่แต่งงานมิใช่หรือขอรับ”
“…”
ตอนนี้รอธซีรู้สึกอยากจะต่อยตัวเองในอดีตอย่างแท้จริง ถ้าเขารู้ว่าในโลกนี้มีผู้หญิงอย่างเปโตรนิยาอยู่ เขาไม่มีทางพูดอะไรโง่ๆ แบบนั้นออกมาเด็ดขาด
***
“…จริงรึ” วอลเทอร์ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ไปเดตกันครั้งแรกมาแล้ว?”
“อืม”
รอธซีถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “ทำไมถามเหมือนไม่เชื่อ”
“เปล่า…ข้าตกใจน่ะสิ ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าจะเป็นไปได้ด้วยดีแบบ…อั่ก!”
พูดยังไม่ทันจบประโยค วอลเทอร์ก็ล้มคว่ำไปพร้อมกับร้องลั่นออกมา
“โร โร…เจ้าบ้า” เขาละล่ำละลักพูดเสียงสั่น
“พูดจาชุ่ยๆ กับมิตรสหายหนึ่งเดียวเช่นนั้นได้อย่างไร วอล เจ้านี่มันแย่จริงๆ”
“ขะ ขอร้องล่ะ เจ้าอย่าใช้กำลังมั่วซั่วได้หรือไม่ ภายนอกเจ้าดูนุ่มนิ่มอ่อนแอ แต่เรี่ยวแรงอย่างกับยักษ์มาร”
“พูดเป็นเล่น ไม่ได้เจ็บจริงๆ เสียหน่อย”
ไม่ได้พูดเล่นว้อย! วอลเทอร์กรีดร้องอยู่ในใจ ครู่หนึ่งเขาก็กลับมายืนตรงและเอ่ยถาม
“แล้ว…มีอะไรคืบหน้าบ้างหรือไม่”
“เฮ้อ ต่ำตม”
“เฮ้ย นั่นเรื่องสำคัญเลยนะ!”
“ด้านหัวใจมีความคืบหน้า”
“เรอะ?” วอลเทอร์ถามอย่างนึกสนุก “เช่น?”
“พวกเราตกลงคบกันแล้ว”
“โอ้โห?!” วอลเทอร์ถามอย่างตกตะลึง นั่นเป็นข่าวที่เขาคาดไม่ถึงจริงๆ “จริงรึ?”
“อืม”
“โอ้โห…โร เจ้านี่สุดยอดไปเลย ไม่ยักรู้ว่าเจ้าก็เป็นคาสโน…อึก!”
“เพ้อเจ้ออีกแล้ว”
“โอ๊ย พอที! เห็นข้าเป็นเด็กหรือไร เจ้าคนชอบใช้กำลัง! เลดี้โกรเชสเตอร์รู้หรือไม่ว่าเจ้าเป็นคนแบบนี้”
“เลดี้กับเจ้าเหมือนกันรึ? เอาเป็นว่า…เรื่องก็เป็นแบบนั้นแหละ”
“โอ้ ยินดีด้วยแล้วกัน อย่างไรเรื่องก็เป็นไปด้วยดีแล้ว ไม่มีเรื่องอะไรเป็นพิเศษใช่หรือไม่”
“อืม…”
รอธซียังคาใจเรื่องที่เปโตรนิยาพูดเมื่อวาน
“การกลัวที่จะรักใครสักคนหมายความว่าอย่างไรหรือ วอล” รอธซีเอ่ยถามเสียงค่อย
“จู่ๆ พูดเรื่องอะไรของเจ้า”
“ตามนั้นเลย นางบอกว่านางเคยเชื่อในพรหมลิขิตแล้วต้องเจ็บปวดอย่างมาก นางคิดว่าอีกฝ่ายคือพรหมลิขิตของนาง แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ใช่”
“นี่พูดถึงเลดี้เปโตรนิยาอย่างนั้นหรือ”
“อืม”
“นางพูดแบบนั้น?”
“อืม”
“อืม…บางทีนางอาจจะเคยถูกคนที่นางรักหักหลังกระมัง หากรักใครสักคนแล้วต้องพบกับความเจ็บปวดแสนสาหัส เป็นข้า ข้าก็คงกลัวที่จะตกหลุมรักอีกครั้งเหมือนกัน”
“หมายความว่าเลดี้เคยมีประสบการณ์เช่นนั้นอย่างนั้นหรือ”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร แต่ฟังจากที่เจ้าพูดแล้วก็น่าจะเป็นไปได้”
“อืม…”
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานก็ลงตัวพอดี หากนางเคยเจ็บช้ำเพราะความรักมาแล้วครั้งหนึ่งก็ไม่แปลกที่นางจะปิดประตูหัวใจอย่างแน่นหนา
แต่ถึงกระนั้น นิล ท่านเป็นผู้หญิงที่ดีพอที่จะรักใครสักคนและดีพอที่จะได้รับความรัก ต่อให้ไม่ใช่ข้า ไม่ว่าใครก็มิอาจไม่ตกหลุมรักท่าน
วันนั้นกว่ารอธซีจะกลับถึงบ้านเวลาก็ล่วงเลยเข้ายามบ่าย และที่บ้านก็มีแขกรอเขาอยู่
“มาจากคฤหาสน์มาร์ควิสโกรเชสเตอร์หรือครับ?” รอธซีถามเสียงสั่น
สาวใช้อายุน้อยที่บอกว่าตัวเองมาจากคฤหาสน์มาร์ควิสโกรเชสเตอร์พยักหน้ารับ “ค่ะ คุณหนูส่งข้ามา”
ตอนนี้คนที่ถูกเรียกว่า ‘คุณหนู’ ในคฤหาสน์หลังนั้นมีเพียงคนเดียวเท่านั้น
“หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเลดี้หรือครับ” เขาถาม
“เอ่อ…คุณหนูสั่งให้ข้ามาดูอาการของลอร์ดค่ะ นางกังวลว่าลอร์ดจะไม่สบายเพราะตากฝนเมื่อวาน”
“ข้าสบายดีครับ” รอธซีตอบ ทันใดนั้นเขาก็ถามต่อเสียงเครียด “แต่ที่เลดี้ถามเช่นนี้หมายความว่าเลดี้ไม่สบายหรือครับ”
“เป็นหวัดค่ะ ไม่ได้หนักหนาอะไร…”
“แย่จริง”
คิ้วของรอธซีขมวดเข้าหากัน ที่เปโตรนิยาไม่สบายก็เพราะเขาทำให้นางต้องตากฝนเมื่อวาน รอธซีเอ่ยถามสาวใช้อย่างร้อนรน
“รบกวนกลับไปเรียนที่คฤหาสน์มาร์ควิสให้หน่อยได้ไหมครับ”
“คะ? หมายถึงเรื่อง…”
“ฝากถามว่าอีกสักครู่ข้าขอเข้าไปเยี่ยมได้หรือไม่”
ที่เปโตรนิยาต้องเป็นหวัดก็เพราะความเลินเล่อของเขา เรื่องนี้ทำให้รอธซีไม่สบายใจ ชายหนุ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดขณะเอ่ยกับสาวใช้ด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
“รบกวนด้วยนะครับ”
[1] ชาคีมุน (อังกฤษ: Keemun จีน: Qímén-hóngchá (祁门红茶)) เป็นชาแดงชนิดหนึ่งของจีน มีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นกล้วยไม้และกลิ่นผลไม้ และมีความฝาดเพียงเล็กน้อย
“ข้าเจอนางแล้ว”
ได้ยินรอธซีพูดดังนั้น วอลเทอร์ก็มีสีหน้าตกใจ หลังคืนวันงานรำลึกวันสถาปนาจักรวรรดิรอธซีก็มาหาตั้งแต่ไก่โห่ เขาก็นึกว่ามีเรื่องอะไรที่ไหนได้แค่นำข่าวนี้มาบอก
“เจ้าเจอนางแล้ว?” วอลเทอร์ถามย้ำ
“อืม”
“แล้วนางเป็นใคร”
“พี่สาวฝาแฝดของจักรพรรดินีแพทริเซีย”
“บุตรีของมาร์ควิสโกรเชสเตอร์?”
“อืม”
“โห น่าตกใจนะเนี่ย”
“อะไร”
“เปล่า ก็แค่ตกใจที่เมื่อวานเจ้าหานางพบ”
วอลเทอร์พูดด้วยน้ำเสียงตะลึงงัน “ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ สาวผมแดงตาทองในเมืองหลวงนี้มีแค่คนสองคนเสียเมื่อไร”
“ใช่แล้ว” รอธซียิ้มน้อยๆ “เราจึงเป็นพรหมลิขิตของกันและกันอย่างไรเล่า”
“เพ้อเจ้อ”
“พูดให้มันดีๆ หน่อย มิฉะนั้นข้าจะฟ้องเคาน์เตสลาสเซลส์”
“เจ้าคนขี้โกง”
วอลเทอร์กัดฟันกรอดและเปลี่ยนเรื่อง “แต่ก็เหลือเชื่อจริงๆ แล้ว…เมื่อวานทำอะไรกัน”
“ทำอะไร”
“ก็อะไรต่อมิอะไร…”
ในตอนนั้นเองรอธซีถึงได้เข้าใจความนัยที่วอลเทอร์จะสื่อ เขาทุบหลังเพื่อนรักอย่างไร้ความปรานี วอลเทอร์ตกใจร้องเสียงหลงพร้อมกับสบถออกมา เจ้าหมอนี่ เห็นหน้าซื่อๆ มือหนักชะมัด
“เจ็บนะ!”
“โทษความไร้มารยาทและต่ำตมของตัวเองดีกว่าไหม”
“เจ้าคนถ่อย”
วอลเทอร์เขม้นมองรอธซีทีหนึ่งก่อนจะถามคำถามอื่น “เช่นนั้นก็หมายความว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยรึ?”
“ก็เกือบ…ได้เต้นรำด้วยกันแล้ว แต่แผนล่มเสียก่อน”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“จู่ๆ นางก็รีบร้อนจากไป คล้ายจะมีธุระเร่งด่วน”
“เดี๋ยวนะ เดี๋ยว…จบแค่นั้นรึ? ไม่ได้นัดเจอกันครั้งหน้า?”
“ไม่มีเวลาให้นัดแนะกันเลยน่ะสิ” รอธซีพูดด้วยน้ำเสียงหงอยๆ “ข้าถูกทิ้งแล้วหรือเปล่านะ”
“ถูกทิ้ง? เจ้าไปทำอะไรไว้”
“ข้าสารภาพรักกับนาง”
“เจ้าบ้า” วอลเทอร์ส่ายหน้าไปมาและพูดคำเดิม “เจ้ามันบ้า”
“อย่าพูดแบบนั้นได้หรือไม่ ข้าปวดใจยิ่ง”
“ก็แน่ล่ะ ลองคิดง่ายๆ จู่ๆ ผู้ชายที่เพิ่งพบกันแค่สองครั้งก็มาสารภาพรัก! ผู้หญิงที่ไหนจะไม่ลำบากใจบ้าง”
วอลเทอร์ตอกย้ำความเป็นจริงอย่างต่อเนื่อง “เริ่มจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก่อนสิ! จู่ๆ ไปบอกว่าชอบนางแล้วคิดว่านางจะชอบเจ้ากลับเลยหรือไร”
“นี่ ทำอย่างไรดีล่ะ แย่แล้วสิ ข้าไม่ได้คิดเรื่องนั้นเลย”
“จะทำอย่างไรได้อีกเล่า! ก็ต้องหาโอกาสใหม่น่ะสิ ไปหานางตอนนี้เลยไป ไปถามว่าทำไมเมื่อวานถึงจากไปทั้งที่ยังไม่ได้เต้นรำ!”
“ข้า? คนเดียว?”
“เช่นนั้นจะไปกันสองคนรึ? จะไปกับข้ารึ? เกิดนางชอบข้าขึ้นมาล่ะ?”
“เจ้าคนถ่อย”
“ข้าได้ทำอะไรหรือยัง!”
ระหว่างที่ทั้งคู่โต้เถียงกัน ในใจรอธซีก็คิดว่า ‘ข้าควรไปหานางดูสักครั้งไหมนะ’ วอลเทอร์อ่านใจอีกฝ่ายออกก็พูดขึ้น
“ถ้าพลาดไปตอนนี้ เจ้าอาจจะเสียใจภายหลังก็ได้นะ”
ใช่แล้ว ต้องเสียใจมากเลยล่ะ รอธซีพูดทิ้งท้ายว่า ‘ไปก่อนนะ’ แล้วรีบร้อนลุกออกไป ครู่หนึ่งหลังจากนั้นวอลเทอร์ก็บ่นพึมพำคนเดียว
“จะไม่แต่งงานอะไรกัน ใครรู้เข้าคงขำตาย”
***
รอธซีได้รับพลังใจจากคำพูดของวอลเทอร์จนดั้นด้นมาถึงบ้านของฝ่ายหญิงแล้วก็จริง…แต่เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป รอธซีเดินไปเดินมาด้วยความประหม่าอยู่หน้าประตูใหญ่ของคฤหาสน์มาร์ควิส หากใครมาเห็นเข้าคงรีบไปแจ้งความว่ามีคนน่าสงสัยมาด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าคฤหาสน์มาร์ควิสเป็นแน่ รอธซีคิดไม่ตกอยู่ราวครึ่งชั่วโมง ถ้าวอลเทอร์มาเห็นข้าในสภาพนี้ต้องเย้ยหยันหาว่าข้าโง่เง่าเป็นแน่ ในที่สุดรอธซีก็ทำสีหน้าราวกับได้ทำการตัดสินใจครั้งใหญ่และรวบรวมความกล้าไปเคาะประตู ก๊อกๆๆ สิ้นเสียงนั้น คนผู้หนึ่งก็เปิดประตูออกมา
“ท่านเป็นใครหรือขอรับ”
“เอ่อ…”
รอธซีมีสีหน้าทึ่มทื่อทำอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ครู่หนึ่งก็รีบตอบ แม้ลิ้นจะพันกันไปบ้างก็ตาม
“ขะ ข้า รอธซี ไอล์ ลี เบรดิงตัน จากตระกูลเบรดิงตันครับ”
“ขอรับ บุตรของเคานต์เบรดิงตันสินะขอรับ” พ่อบ้านรับคำด้วยสีหน้าเรียบเฉยและถามธุระของเขา “ไม่ทราบมีธุระอันใด…? หรือเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับเคานต์และเคาน์เตสเบรดิงตันขอรับ?”
“ปะ เปล่าครับ ไม่ใช่ธุระของท่านพ่อท่านแม่…”
รอธซีพูดไปก็กลืนน้ำลายไปและค่อยๆ พูดต่อให้จบประโยค “คือ…ข้ามาหาเลดี้เปโตรนิยาครับ”
“คุณหนูใหญ่น่ะหรือครับ”
สีหน้าของพ่อบ้านแสดงออกอย่างชัดเจนว่านี่ช่างเป็นการจับคู่ที่เหนือความคาดหมาย ขณะที่รอธซีพยักหน้ารับด้วยใบหน้าซับสีเลือดเล็กน้อย เขาก็ได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งดังมาจากด้านใน
“พ่อบ้าน? เกิดอะไรขึ้นหรือคะ”
“อ้าว นายหญิง เหตุใดจึงออกมาที่นี่…”
“คิดว่ามีแขกมาน่ะค่ะ”
เจ้าของเสียงอ่อนโยนนั้นคือนายหญิงของคฤหาสน์มาร์ควิส สีหน้าของรอธซีถึงกับแข็งทื่อด้วยไม่คิดว่าจะบังเอิญเจอกับปราการด่านใหญ่ตั้งแต่เริ่ม เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลยจริงๆ พระเจ้าช่วย ให้ตายเถอะ!
“อุ๊ย ใครกันคะ มาหาแต่เช้าเลย”
“เป็นบุตรของเคานต์เบรดิงตันขอรับ”
“อย่างนั้นหรือคะ”
การปรากฏตัวของอาคันตุกะที่คาดไม่ถึงทำให้มาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์ตกใจไม่แพ้กัน รอธซีถึงกับกังวลในทันใดจนต้องกลืนน้ำลายอยู่หลายครั้ง
“ทำไมไม่รีบเชิญเข้ามาล่ะคะ พ่อบ้าน ใจคอจะปล่อยให้แขกยืนรอหรือไร” มาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์กล่าว
“ขอรับ นายหญิง”
และแล้วประตูก็เปิดกว้าง รอธซีจึงได้พบหน้ามาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์ รูปโฉมของนางน่าประทับใจมาก นางมีผมสีแดงและมีดวงตาสีทองเหมือนเปโตรนิยา ดูเหมือนว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเปโตรนิยาจะได้มาจากมารดาทั้งหมด
“ยินดีที่ได้พบครับ มาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์ ข้า รอธซี ไอล์ ลี เบรดิงตัน จากตระกูลเบรดิงตันครับ” รอธซีทักทายอย่างสุภาพ
“บุตรชายของสามีภรรยาเบรดิงตันที่ครองรักกันอย่างแน่นเหนียวสินะคะ”
“ฮ่ะๆ ครับ”
“ยินดีต้อนรับค่ะ ว่าแต่มาถึงนี่ด้วยเรื่องอันใด….”
“เอ่อ…” รอธซีลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรวบรวมความกล้าตอบออกไป “ข้ามาพบเลดี้เปโตรนิยาครับ”
“ตายจริง ลูกสาวคนโตของข้าน่ะหรือคะ” นางถามเขาด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อหู “รู้จักนิลหรือคะ”
“ได้พบกันเมื่อวานครับ”
“อ้อ อย่างนั้นหรือคะ”
เพียงได้ฟังคำตอบนั้น มาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์ก็คล้ายจะคาดเดาเรื่องทั้งหมดได้ รอยยิ้มของมาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์ดูชอบกลขณะกล่าวว่า
“ตามข้ามาเถอะค่ะ นิลอยู่ชั้นสอง ขึ้นไปหานิลกัน”
“ว่าแต่มาหานิลด้วยเหตุใดหรือคะ”
ขณะขึ้นบันได มาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์ก็ถามขึ้นอย่างกะทันหัน รอธซีตกใจกับคำถามของอีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนจะตอบออกไปตามจริง
“ตอนที่พบกันเมื่อวานข้ารู้สึกประทับใจมากครับ”
“ประทับใจตรงไหนหรือคะ”
“เลดี้เปโตรนิยางดงามมากครับ”
“ฮ่าๆ อย่างนั้นหรือคะ”
“ครับ นางเหมือนมาร์เชอเนสมากทีเดียว”
“ตายจริง คำชมเช่นนี้มีจุดประสงค์ที่ตรงไปตรงมามากทีเดียวค่ะ ลอร์ด”
“ข้าเพียงแต่หวังว่าท่านจะมองข้าในแง่ดีเท่านั้นครับ มาร์เชอเนส”
สนทนากันมาครู่หนึ่งในที่สุดก็เดินมาถึงหน้าห้องของเปโตรนิยา ขณะที่รอธซีกำลังคิดอย่างจริงจังว่าเขาควรจะหนีไปตอนนี้หรือไม่ ประตูก็เปิดออกเผยให้เห็นร่างของคนผู้หนึ่ง หญิงสาวเอ่ยปากเรียกเขาด้วยน้ำเสียงตกตะลึงเล็กน้อย
“ละ…ลอร์ดเบรดิงตัน?”
ครั้นได้ยินเสียงนั้น รอธซีถึงได้เข้าใจว่าช่วงเวลาที่เคยลังเลช่างไร้ความหมาย และตำหนิตัวเองว่าช่างโง่เขลาที่ไม่ได้รวบรวมความกล้าให้เร็วกว่านี้อีกสักนิด รอธซีเผยยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติและเอ่ยทักทาย
“ไม่พบกันนานนะครับ เลดี้”
ไม่สิ ยังไม่นาน พวกเขาเพิ่งพบกันเมื่อวานเองมิใช่หรือ รอธซีมองเปโตรนิยาด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก เปโตรนิยามองมาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์คล้ายจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มาร์เชอเนสเพียงแต่ยิ้มและเอ่ยว่า
“ตอนที่พบกับเจ้าเมื่อวาน ลอร์ดเขาประทับใจมาก วันนี้จึงมาเยี่ยมเยียนอีกครั้ง”
“ท่านแม่คะ แต่ว่าข้า…”
“หากเลดี้ไม่สบายใจ ข้าก็จะกลับครับ”
รอธซีรีบพูดแทรก ในระหว่างนั้นมาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์ก็ปลีกตัวออกไป เปโตรนิยามองรอธซีด้วยสีหน้าลุกลี้ลุกลน
“ไม่ทราบว่าท่านมีธุระอะไร…ไม่สิ พอดีข้ากำลังยุ่งน่ะค่ะ ช่วยบอกธุระมาเลยได้ไหมคะ”
“จริงสิ เลดี้เป็นนางกำนัลระดับสูงของตำหนักจักรพรรดินีสินะครับ ข้าลืมไปเลย”
รอธซีไม่ยอมแพ้ เขายิ้มพลางยื่นช่อดอกไม้ให้เปโตรนิยา ที่จริงเขาไม่ได้ตั้งใจจะซื้อ แต่บังเอิญเห็นเข้าระหว่างทางมาที่นี่จึงนึกอยากจะซื้อขึ้นมา
“วันนี้ข้าเจอดอกไม้ที่เหมือนกับเลดี้ระหว่างออกไปเดินเล่น…”
เขาไม่ได้เดินเล่นอะไรทั้งนั้น แต่ที่บอกว่าเจอดอกไม้ที่เหมือนเปโตรนิยาหน้าร้านดอกไม้นั้นคือความจริง เขาจึงซื้อมาโดยไม่รู้ตัว ทั้งๆ ที่ปกติแล้วเขาไม่ค่อยได้ซื้อดอกไม้
“ก็เลยซื้อมาช่อหนึ่งน่ะครับ”
“ขอบคุณค่ะ ลอร์ด แต่ทำไมถึงให้ของแบบนี้กับข้า…”
“ข้าบอกไปแล้วนี่ครับ เลดี้” เขายิ้มอย่างงดงามพลางตอบออกไปด้วยความจริงใจของทั้งหมดที่มี “ว่าข้าจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อคนที่ข้ารัก”
และนี่คือวิธีของเขา
“ข้าได้ทำอย่างดีที่สุดตามวิธีของข้าแล้ว หวังว่าเลดี้จะชอบ”
“…”
“ไม่ชอบหรือครับ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น…ขอบคุณนะคะ ลอร์ด”
คำตอบในทางบวกของเปโตรนิยาทำให้สีหน้าของรอธซีเบิกบาน เห็นดังนั้นเปโตรนิยาก็หัวเราะออกมา ปฏิกิริยานั้นของหญิงสาวทำให้รอธซีคล้ายได้รับความกล้าจึงเอ่ยถามสิ่งที่เคยลังเล
“เหตุใดเมื่อวานถึงรีบร้อนจากไปล่ะครับ”
“…เมื่อวานเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น ข้าก็เลยไม่ค่อยมีสติน่ะค่ะ หากทำให้ท่านรอต้องขออภัยจริงๆ”
“ไม่หรอกครับ ข้าเข้าใจ เป็นข้าข้าก็คงลืมเหมือนกัน เลดี้ทำดีแล้วครับ”
“…”
“ถ้าอย่างนั้น…”
“กล่าวมาเถอะค่ะ”
รอธซีไม่ยอมพูดต่อราวกับเขินอาย เปโตรนิยาจึงเร่งเร้า เมื่อได้ยินดังนั้นรอธซีจึงพูดออกมาราวกับรออยู่แล้ว เมื่อครู่เขาได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ทำตัวเองเสียใจภายหลัง
“เมื่อวานพวกเราไม่ได้เต้นรำด้วยกัน…หากเลดี้ไม่รังเกียจ ช่วยไปเดตกับข้าได้ไหมครับ”
เรียบร้อย! ทำได้แล้ว!
รอธซีรอคอยคำตอบของหญิงสาวโดยไม่อาจสงบใจที่เต้นโครมครามลงได้ แต่ปัญหาคือสีหน้าของนางกลับดูมืดมน หรือนางจะปฏิเสธ? สิ่งที่เขาไม่อยากนึกถึงมากที่สุดวนเวียนอยู่ในหัว ใจก็คิดถึงแต่สถานการณ์ที่เลวร้าย ทว่า คำตอบที่ได้มากลับผิดคาด
“ก็ได้ค่ะ”
เพียงคำเดียวก็ทำให้สีหน้าหดหู่ของรอธซีกลับมาสดใสในทันใด พระเจ้า ขอบคุณครับ! ต่อไปข้าจะใช้ชีวิตให้ดีกว่านี้ครับ!
“จริงหรือครับ” เขาถามอย่างดีใจ
“ข้าไม่กลับคำหรอกค่ะ แต่ต้องมาส่งข้าที่คฤหาสน์ก่อนค่ำนะคะ”
“แน่นอนครับ เลดี้ ข้ามิใช่คนไม่รู้กาลเทศะหรอกครับ”
ถ้าเป็นวอลเทอร์ก็ว่าไปอย่าง รอธซีพูดเสริมในใจ
“เมื่อไรดีครับ เลดี้ หากเลดี้สะดวกจะไปตอนนี้เลยก็…”
“เอ่อ ขออภัยด้วยค่ะ ไปตอนนี้คงไม่ได้… ข้าจะส่งคนไปแจ้งที่คฤหาสน์เคานต์อีกทีค่ะ ได้ไหมคะ”
“ได้ครับ”
เขาตอบพลางหัวเราะดังลั่นราวกับจะบอกว่าเขาพร้อมเสมอ เพราะสิ่งที่สำคัญคือการที่เขาและนางจะได้ไปเดตกัน ต่อให้ไม่ใช่วันนี้ก็คงอีกไม่นาน
ตอนนั้นเองเขาก็ได้เห็นเปโตรนิยาหัวเราะออกมาเต็มสองตา ใช่แล้ว รอธซีไม่มีทางพลาดฉากนั้นเด็ดขาด ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากพลางถามด้วยสีหน้าใสซื่อ
“โอ๊ะ? เมื่อครู่เลดี้หัวเราะ ใช่ไหมครับ?”
“…แล้วมันสำคัญด้วยหรือคะ”
“สำคัญสิครับ”
เขาอธิบายเหตุผลด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มน่าฟัง “เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เลดี้เจอข้าแล้วหัวเราะ”
ช่างตราตรึงใจอะไรขนาดนี้ นางมองเขาแล้วหัวเราะ! รอธซีเผยความรู้สึกตื่นเต้นอย่างออกนอกหน้า และเตรียมตัวจะกลับ หญิงสาวเห็นดังนั้นก็เอ่ยถาม
“จะกลับแล้วหรือคะ”
“เลดี้กำลังยุ่งมิใช่หรือครับ ข้าไม่คิดจะรบกวนเวลาอันแสนมีค่าของเลดี้หรอกครับ”
เช่นนั้นวันนี้ข้าขอตัว พูดจบ รอธซีก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งต่อหน้าเปโตรนิยา ระหว่างที่นางเหม่อมองมา เขาก็จุมพิตที่หลังมือขวาของนาง แม้จะเป็นการจุมพิตตามมารยาท แต่ในจุมพิตนั้น…กลับแฝงไว้ด้วยความละโมบภายในใจ รอธซียิ้มน้อยๆ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ไว้พบกันใหม่นะครับ เลดี้”
รอยยิ้มของรอธซีดูสว่างไสว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาตั้งหน้าตั้งตารอคอยสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
“ให้ตายเถอะ เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางเป็นใครแต่หลงรักไปแล้ว?”
วอลเทอร์มองรอธซีด้วยสายตาเวทนา รอธซีเห็นดังนั้นก็หลบตาและพยายามแก้ตัว
“ก็มันไม่มีเวลาให้ถาม นางรีบร้อนจากไปเสียก่อน”
“แล้วไปเจอกันได้อย่างไร”
“ระหว่างทางมาที่นี่รถม้าของข้าเกิด…อุบัติเหตุนิดหน่อย ส่วนนางนั่งอยู่ในรถอีกคัน”
“โอ้ โรแมนติกเหมือนกันนะเนี่ย”
วอลเทอร์โยนผ้าขนหนูชุบน้ำที่วางแปะอยู่บนหน้าผากไปด้านข้าง เรื่องนี้ดูน่าสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว
“ไม่มีเบาะแสอะไรเลยหรือ” เขาถาม
“นางมีผมสีแดงราวกับเปลวเพลิง นัยน์ตาดูราวกับดวงอาทิตย์…”
“ไม่ต้องพรรณนาสละสลวยขนาดนั้น เจ้าจะเขียนนิยายหรือไร”
“ผมสีแดง ตาสีทอง”
“ง่ายๆ แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย”
วอลเทอร์หัวเราะคิกคักและเสนอทางแก้ “ฟังนะ โร ข้ามีความคิดดีๆ”
“อะไร”
“อีกไม่นานก็จะถึงวันงานรำลึกวันสถาปนาจักรวรรดิแล้วใช่ไหม”
“ใช่”
“เลดี้แทบทุกคนต่างก็เข้าร่วมงานนั้น เพราะมันเป็นที่ที่เหมาะจะหาว่าที่เจ้าบ่าวดีๆ สักคน เหมือนกับงานสังคมทั่วๆ ไป”
“ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น?”
“เพราะฉะนั้น เจ้า! ไปร่วมงานนี้ซะ”
“แต่ถึงข้าไปก็ไม่มีอะไรมารับประกันว่าข้าจะได้เจอนางอีก”
“แต่ถ้าเจ้าเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้องก็เท่ากับเจ้าไม่มีโอกาสได้เจอนางอีกเลย ความเป็นไปได้เท่ากับศูนย์”
ก็จริง รอธซีพยักหน้าเห็นด้วย
“ข้าไม่ได้ไปที่แบบนั้นมานานมากแล้ว”
“น่าภูมิใจนักหรือไง ไอ้เจ้านี่” วอลเทอร์เอ็ดเสียงเขียว “ถ้าเจ้าขยันออกงานสังคมบ้าง เจ้าอาจจะได้พบนางเร็วกว่านี้ก็เป็นได้”
“ก็ไม่แน่” รอธซีตอบกลับส่งๆ “นางคงมาร่วมงานกระมัง” เขาถามวอลเทอร์
“อืม ถ้านางมิใช่คนมนุษย์สัมพันธ์แย่ยิ่งกว่าเจ้า นางต้องไปแน่”
วอลเทอร์ตอบพลางหัวเราะคิกคักแล้วจู่โจมรอธซีต่อ “ว่าแต่…แล้วถ้านางมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้วจะทำอย่างไร”
“อืม…”
วอลเทอร์เพียงแต่ถามเล่นๆ แต่รอธซีกลับคิดเป็นจริงเป็นจัง ความจริงจังที่เหนือความคาดหมายนั้นทำให้วอลเทอร์ตกใจตะโกนออกมา
“จะรีบตีตนไปก่อนไข้ทำไม! ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนางเลยแท้ๆ”
“นั่นก็จริง” รอธซีสนับสนุนคำพูดของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงชัดใส “ตอนนี้เล็งไปที่งานรำลึกฯ ก่อนแล้วกัน”
***
“อยู่ที่ไหนนะ…”
รอธซีไม่ได้ออกงานสังคมมานานจึงรู้สึกว่าทุกอย่างในงานรำลึกฯ ดูแปลกตาไปเสียหมด เขาจำได้ว่าเมื่อก่อนเขาก็เคยมาร่วมงานอยู่สองสามครั้งแต่มันก็นานจนแทบจำอะไรไม่ได้แล้ว เมื่อรัชสมัยเปลี่ยนไป รูปแบบของงานเลี้ยงก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปด้วย ตั้งแต่ลูซิโอขึ้นครองราชย์ นอกจากงานเลี้ยงหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว เขาก็ไม่เคยไปร่วมงานไหนอีกเลย
“เลิกทำตาหลุกหลิกเสียที! ทำอย่างกับคนตาเหล่”
รอธซีตอกกลับคำบ่นของวอลเทอร์อย่างชัดถ้อยชัดคำ “หุบปาก”
“คนเยอะขนาดนี้เจ้าจะหาตัวนางอย่างไร ตามหาบ่อน้ำในทะเลทรายยังจะง่ายเสียกว่า!”
หรือไม่ก็ไปงมเข็มในมหาสมุทร! รอธซีทิ้งสหายที่เอาแต่สรรหาเรื่องมาบ่นไว้เบื้องหลังและเดินไปทางอื่นเพียงลำพัง เขาคิดว่าจะหานางเจอ เขาต้องหาให้เจอ นางมีรูปโฉมที่ค่อนข้างง่ายต่อการมองหา
โดยเฉพาะสีผม เขาจำเรือนผมสีแดงสดนั้นได้ขึ้นใจ แม้จะอยู่ไกลเขาก็สามารถหาเจอได้ เพราะฉะนั้นขอแค่เขากวาดสายตามองหาอีกนิดก็พอ อีกแค่นิดเดียว…
“อ๊ะ!”
ตอนนั้นเอง ใครคนหนึ่งก็ร้องออกมาและล้มลงกับพื้น จังหวะนั้นรอธซีรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งมากระแทกเขาอย่างจังจนเซไปด้านหลัง รอธซีมองสำรวจคนที่เดินมาชนด้วยแววตาสับสน
‘เอ๊ะ…?’
คนที่ดูคุ้นตา ไม่สิ คนที่เขาอยากเจอเหลือเกินล้มลงอยู่ตรงนั้น
คงเพราะตอนล้มนางถือแก้วค็อกเทลอยู่ ค็อกเทลจึงหกราดชุดเดรสจนเกิดรอยเปื้อนอย่างเห็นได้ชัด โชคดีที่นางไม่ได้ทำแก้วแตก หญิงสาวรู้สึกหงุดหงิดกับสภาพเละเทะของตัวเองจึงส่งเสียงออกมา
“อือ…”
ถ้าพรหมลิขิตมีจริงก็คงเป็นอะไรแบบนี้กระมัง
“เป็นอะไรไหมครับ เลดี้?” เขาเป็นฝ่ายทักขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ได้ยินดังนั้น ฝ่ายหญิงก็เงยหน้าขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ทุกอิริยาบทของหญิงสาวทำหัวใจของรอธซีเต้นแรง ครั้นนางเห็นหน้าเขาแล้วก็เผลออุทานออกมา
“เอ๊ะ!”
ผ่านไปครู่หนึ่งนางถึงร้องออกมาราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้
“คนในรถม้าเมื่อตอนนั้น! ใช่ไหมคะ?”
จำได้ด้วยสินะ
รอธซีคิดถึงแต่เรื่องที่อีกฝ่ายจำตนได้พร้อมกับเผยยิ้มกว้าง เขายื่นมือให้นางอย่างมีมารยาทและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“จับมือนี้แล้วลุกขึ้นก่อนเถอะครับ เลดี้”
“เอ่อ…ค่ะ”
ฝ่ายหญิงตอบรับน้ำใจของเขาอย่างสุภาพแล้วลุกขึ้นยืน อาจเป็นเพราะน้ำหนักตัวที่น้อยทำให้เขาไม่รู้สึกถึงแรงที่ฝ่ามือเลยสักนิด ทำไมถึงผอมขนาดนี้นะ รอธซีบ่นในใจ จากนั้นเขาก็กล่าวขออภัยต่อหญิงสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ต้องขออภัยเลดี้ ข้าควรจะระวังให้มากกว่านี้ ทำให้เลดี้ต้องลำบากแล้ว”
“หามิได้ค่ะ ลอร์ด ข้าเองก็ไม่ทันระวังเช่นกัน เช่นนั้นข้าขอตัว…”
ไม่นะ! เขาตะโกนลั่นในใจ นางกำลังจะหนีไปอีกแล้ว หากเขาปล่อยนางไปตอนนี้ เขาคงเป็นคนที่โง่งมที่สุดในโลก คราวนี้เขาจะไม่ปล่อยอีกฝ่ายไปเฉยๆ เด็ดขาด อย่างน้อย…อย่างน้อยก็ต้องได้รู้จักชื่อ
“เดี๋ยวครับ” เขารีบรั้งหญิงสาวไว้
ทำได้ดีมาก โร! รอธซีชมตัวเองเพื่อเรียกความกล้า ในขณะเดียวกันฝ่ายหญิงก็เงยหน้ามองเขาด้วยสีหน้าสับสน รอธซียิ้มอย่างนุ่มนวลพลางกล่าว
“นี่คงเป็นพรหมลิขิตนะครับ”
“…”
“โบราณว่าไว้ เพียงชายเสื้อเฉียดกันก็นับเป็นพรหมลิขิตแล้ว”
จากนั้นรอธซีก็แนะนำตัวเสียงสั่น “รอธซี ไอล์ ลี เบรดิงตันครับ”
“เปโตรนิยา ลอว์รา เลอ โกรเชสเตอร์ค่ะ”
เปโตรนิยา
นามก็ไพเราะ แต่โกรเชสเตอร์…โกรเชสเตอร์นี่เคยได้ยินมาจากไหนนะ…? เขาทวนคำสามพยางค์นั้นซ้ำไปซ้ำมา ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายคือพี่สาวฝาแฝดของจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันและนั่นทำให้เขาตกใจอย่างมาก นางคือบุตรีตระกูลมาร์ควิส
ในตอนนั้นเอง เปโตรนิยาบอกกล่าวชื่อเสียงเรียงนามแล้วก็ทำท่าจะจากไป รอธซีตกใจอีกครั้งรีบรั้งตัวหญิงสาวไว้อย่างเสียมารยาท
“เอ่อ เดี๋ยวก่อนครับ”
“…”
รั้งตัวอีกฝ่ายไว้ได้แล้ว แต่เขากลับไม่มีอะไรจะกล่าว ข้าควรจะทำอย่างไรดี? ข้าควรจะพูดอะไรดี? รอธซีพยายามเค้นสมองที่สับสนปั่นป่วนมาตั้งแต่เมื่อครู่คิดหาข้ออ้าง ตอนนั้นเองสายตาก็เหลือบไปเห็นชุดเดรสเปื้อนค็อกเทลของนางเข้าจึงนำมาใช้เป็นข้อแก้ตัว
“ชุดของเลดี้เปื้อน…”
“…”
“หากข้าปล่อยเลดี้ไปเช่นนี้ ข้าคงรู้สึกผิดมาก”
“เอ่อ ไม่เป็นไรเลยค่ะ…”
“แต่ข้าเป็นครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ช่างเป็นเลดี้ที่ดื้อรั้นจริงๆ นะครับ”
“ค่ะ ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น”
“ข้าไม่ใช่คนน่าสงสัยเสียหน่อย…”
“ข้าก็ไม่เคยบอกว่าท่านเป็นคนน่าสงสัยนะคะ ลอร์ด”
“เช่นนั้นไยจึงเอาแต่หลบเลี่ยง… ข้าเพียงแต่รู้สึกผิดต่อเลดี้เท่านั้นจริงๆ นะครับ”
“ก็ได้ค่ะ ลอร์ด ข้าสงสัยจริงๆ…ว่าท่านต้องการให้ข้าทำอย่างไรกันแน่”
ได้ยินดังนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของรอธซีก็เด่นชัดยิ่งขึ้น เรียบร้อย! หาจุดเชื่อมโยงได้แล้ว! รอธซีพยายามเก็บซ่อนน้ำเสียงที่สั่นเครือขณะกล่าวกับอีกฝ่าย
“ก่อนอื่นข้าจะชดใช้เรื่องชุดเดรสที่เลดี้สวมในวันนี้ให้ครับ”
“…ชุดสีเข้มนะคะ คงไม่เป็น… ไม่สิ ตกลงค่ะ เช่นนั้นท่านช่วยส่งชุดไปที่คฤหาสน์มาร์ควิสโกรเชสเตอร์…”
“ยังมีอีกเรื่องครับ”
“…อะไรหรือคะ”
สิ้นคำถามของเปโตรนิยา รอธซีก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนที่สุดในโลกพลางคุกเข่าลงข้างหนึ่งต่อหน้าหญิงสาว ด้วยเหตุนี้ระดับสายตาของเขาจึงต่ำลง รอธซีได้เงยหน้ามองเปโตรนิยาที่ยืนอยู่สูงกว่าเขาเป็นครั้งแรก เขายิ้มบางๆ พร้อมกับเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“วันนี้ช่วยเต้นรำกับข้าสักเพลงได้ไหมครับ เลดี้?”
“…คะ?”
รอธซีรู้ได้ทันทีว่าเปโตรนิยากำลังสับสน ทว่า สำหรับเขาแล้วความรู้สึกชอบพอที่เขามีต่ออีกฝ่ายสำคัญกว่าความเขินอายในตอนนี้จึงถามซ้ำอีกครั้ง
“ข้าถามว่าท่านจะช่วยเต้นรำกับข้าได้ไหมครับ เลดี้”
“ข้า…”
เปโตรนิยาลังเลและเลี่ยงตอบคำถาม รอธซีเห็นดังนั้นก็รอคอยอย่างอดทน เรื่องรอเขาถนัดยิ่ง สิ่งสำคัญคือคำตอบจะออกมาเป็นแบบไหนต่างหากเล่า ขอเพียงคำตอบเป็นไปในทางที่ดี จะกี่ร้อยกี่พันปีเขาก็รอได้
“ข้า…ไม่คิดเช่นนั้นค่ะ”
และนี่คือการปฏิเสธ แต่รอธซีก็ไม่ละความพยายาม เพราะถ้าเขายอมแพ้ตรงนี้ทุกอย่างก็จะจบ ทั้งรักแรกของเขา รักข้างเดียวของเขา ทุกอย่างจะจบลง
“ให้โอกาสข้าแค่สักครั้งไม่ได้หรือครับ” เขาถามอย่างเว้าวอน
หากเคาน์เตสเบรดิงตันมาเห็นภาพนี้นางคงตกใจลมแทบจับและถามว่าตัวเขาในตอนนี้คือคนเดียวกับตัวเขาเมื่อไม่นานมานี้หรือไม่ เปโตรนิยาตกตะลึงกับความเด็ดเดี่ยวของชายหนุ่มจึงถามกลับ
“ไยท่านจึงรบเร้าข้าเช่นนี้ล่ะคะ”
“ข้า…” ใบหน้าของรอธซีแดงระเรื่อขณะที่สารภาพออกไป “ข้าคิดว่าข้าตกหลุมรักเลดี้เข้าแล้วล่ะครับ”
ปัญหาเริ่มจากตรงนี้ สีหน้าของฝ่ายหญิงพลันแข็งทื่อในทันใด รอธซีเห็นปฏิกิริยาเช่นนั้นก็พยายามคิดทบทวนว่าขณะที่สารภาพรักเขาทำอะไรพลาดไปหรือไม่ ทว่า นอกจากคำสารภาพรักแล้วก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ รอธซีกลืนก้อนน้ำลายเหนียวๆ ด้วยความประหม่า
“ชะ…ชอบหรือคะ”
“ครับ”
“ข้าน่ะหรือคะ”
“ครับ”
“ทำไมล่ะคะ ดูเหมือนท่านจะลืมไปนะคะ ลอร์ด พวกเราเพิ่งพบหน้ากันเพียงสองครั้งเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นตอนพบกันครั้งแรกก็เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เองนะคะ”
“สำหรับความรัก ระยะเวลาไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกครับ สิ่งสำคัญคือพรหมลิขิตและหัวใจมิใช่หรือครับ”
“น่าเสียดายนะคะที่ข้าไม่เชื่ออะไรแบบนั้น…”
“ข้าตกหลุมรักท่านตั้งแต่แรกพบแล้วครับ เลดี้”
“เดี๋ยวสิ แล้วท่านมาตกหลุมรักข้าได้อย่าง…”
“ดูเหมือนเลดี้จะไม่เชื่อเรื่องรักแรกพบนะครับ”
“ข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหลน่ะค่ะ”
“ตัวข้าคือหลักฐานครับ ท่านพ่อท่านแม่ของข้าก็ได้แต่งงานกันเพราะเรื่องนั้น”
“ขออภัยแต่ข้าไม่ค่อยชอบเรื่องพรรค์นั้น ข้าคิดว่าการคบหาดูใจกันเป็นเวลานานน่าจะ…”
“อา แย่จริง”
รอธซีพึมพำด้วยสีหน้าสับสน ยังมีปัญหาอื่นอยู่ด้วยสินะ เขาตำหนิตัวเองที่ทำตัวโง่งมและกล่าวขอโทษอีกฝ่าย
“ขออภัยด้วยครับ เลดี้ เป็นความผิดของข้าเองที่ไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของเลดี้ ขออภัยจริงๆ ครับ”
“หามิได้ค่ะ ไม่ถึงกับต้องขอโทษ…”
“ถ้าอย่างนั้น เลดี้ครับ” รอธซีเงยหน้ามองเปโตรนิยาด้วยรอยยิ้มหวาน “ช่วยคบหาดูใจกับข้า ‘นานๆ’ ได้ไหมครับ”
“เดี๋ยวสิคะ ทำไมจู่ๆ ถึงได้…”
“ข้าอยากคบหากับเลดี้อย่างเป็นทางการครับ”
“…”
แม้เรื่องทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นในขณะที่ทั้งสองเพิ่งพบกันได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง แต่รอธซีก็ไม่สนใจ ดูเหมือนว่าเขาจะตกหลุมรักอีกฝ่ายอย่างหาทางกลับขึ้นไปไม่เจอแล้ว ช่างเป็นช่วงเวลาที่รวดเร็วและน่ากลัว แต่เขาก็หาได้สนใจ เพราะหัวใจที่เต้นระรัวอยู่นี้บอกชัดแล้วว่า…
ผู้หญิงคนนี้คือพรหมลิขิตของเจ้า เพราะฉะนั้น จงคว้านางไว้
“ขอโทษนะคะ ลอร์ด ข้าไม่ได้ชอบท่านค่ะ”
ทว่า สิ่งที่ได้รับกลับมาคือคำปฏิเสธ แต่ถึงกระนั้นรอธซีก็ยังไม่หมดหวัง มันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว อีกฝ่ายเพิ่งพบเขาวันนี้เป็นครั้งที่สอง หากนับเวลาก็เรียกได้ว่ายังไม่ครบหนึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นเขาก็ยิ่งยอมแพ้ไม่ได้
“ข้าหวังว่าเลดี้จะมอบโอกาสให้เราได้ทำความรู้จักกันนะครับ” เขาอ้อนวอน
“ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านต้องมาทำตัววุ่นวายเช่นนี้ แต่ข้าพูดชัดเจนแล้วนะคะว่าข้าไม่ได้ชอบท่าน”
“…เพราะรักครับ”
“คะ?”
“ข้ารักท่านตั้งแต่แรกเห็น”
“…”
“และข้าจะไม่ทำตัวครึ่งๆ กลางๆ กับคนที่ข้ามอบใจให้หรอกครับ”
รอธซียิ้มหวานอย่างมีเอกลักษณ์พลางขอร้องเปโตรนิยาอีกครั้ง
“เพราะฉะนั้น เลดี้ครับ ได้โปรด…”
“…”
“เต้นรำกับข้าสักเพลงได้ไหมครับ”
“…”
“นะครับ เลดี้”
“…เฮ้อ”
เปโตรนิยาถอนหายใจ รอธซีกลัวว่าคำต่อไปที่จะออกจากปากของอีกฝ่ายจะเป็นคำปฏิเสธอีกครั้ง แต่โชคดีที่ดูเหมือนหญิงสาวจะเห็นใจเขาจึงเอ่ยตอบคำที่คาดไม่ถึงออกมา
“ก็ได้ค่ะ แต่แค่เพลงเดียวนะคะ”
ได้ยินดังนั้น รอธซีก็ยิ้มกว้างราวกับได้ครอบครองโลกทั้งใบ
“ขอบคุณครับ เลดี้”
แม้จะน่าขำอยู่บ้าง แต่ก็เพียงพอที่คำขอบคุณจะหลุดออกจากปากโดยอัตโนมัติ
ภาคแยก 2 : The violet rose.
(กุหลาบสีม่วง : ความรักที่ซื่อสัตย์และภักดี)
“เจ้าจะไม่แต่งงานรึ”
ในวันหนึ่งที่แดดจ้า เคาน์เตสเบรดิงตันถามคำถามนี้กับรอธซี ไอล์ ลี เบรดิงตัน เขาเสยผมสีน้ำตาลของตนข้างหนึ่งก่อนจะตอบ
“ข้าไม่คิดจะแต่งงานครับ ท่านแม่”
“พระเจ้าช่วย!”
ได้ยินคำสารภาพอย่างกะทันหันของบุตรชาย เคาน์เตสเบรดิงตันก็อุทานออกมาก่อนจะวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะและถามกลับอย่างไม่เข้าใจ
“ทำไมล่ะ?”
“ข้าแค่คิดว่าข้าคงไม่ได้แต่ง”
“พูดจาเลื่อนเปื้อน! คิดจะทำให้ตระกูลของเราสิ้นสุดที่เจ้าหรือไร”
“ก็รับบุตรบุญธรรม หรือไม่ก็ให้ญาติสายรองขึ้นมาเป็นประมุขก็ได้นี่ครับ”
“ตายจริง”
คำพูดของบุตรชายทำเอาเคาน์เตสเบรดิงตันสะเทือนใจและขึ้นเสียงโดยไม่รู้ตัว
“ทำไมกัน?”
“ข้าไม่คิดจะแต่งงานครับ”
“ก็นั่นแหละ เพราะอะไรกัน?”
ทำไมกัน? เคาน์เตสเบรดิงตันได้แต่ถามคำถามนั้น นางไม่เข้าใจความคิดของบุตรชายเลยแม้แต่น้อย สรุปคือลูกข้าคิดจะอยู่เป็นโสดไปจนแก่และตายไปอย่างนั้นหรือ นี่ข้าต้องส่งสตรีไปที่ห้องของเขาหรือไม่? หรือว่าลูกชายข้าจะเป็น… คงไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะ? จินตนาการของเคาน์เตสเบรดิงตันกว้างไกลออกไปเรื่อยๆ แต่รอธซีก็หยุดความคิดของมารดาอย่างสุขุม
“ข้าปกติดีครับ ท่านแม่”
“อะแฮ่ม…”
เมื่อถูกลูกชายอ่านความคิดอย่างทะลุปรุโปร่งเคาน์เตสเบรดิงตันจึงเผลอกระแอมไอออกมา ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าสงบ
“เช่นนั้นเจ้าจะไม่แต่งงานด้วยเหตุผลอันใดกัน”
เคาน์เตสเบรดิงตันอยากรู้เหตุผลจริงๆ นางไม่เคยปลูกฝังความคิดที่ไม่ดีเกี่ยวกับการแต่งงานให้ลูกชาย ยิ่งไปกว่านั้นความสัมพันธ์ของตนกับสามีก็ดีมากเสียจนสามีภรรยาทุกคู่ในเมืองหลวงยึดถือเป็นแบบอย่าง หากจะเรียกด้วยคำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในยุคนี้ก็คงจะเป็น ‘รักกันปานจะกลืนกิน’
‘เดี๋ยวสิ ปกติแล้วถ้าสามีภรรยาอยู่กันอย่างรักใคร่ปรองดอง บุตรธิดาย่อมต้องอยากแต่งงานมิใช่รึ? หรือเพราะรักใคร่ปรองดองกันมากเกินไปจึงให้ผลตรงกันข้ามนะ?’
“ไหนบอกแม่ซิ โร พวกเราทำผิดต่อลูกหรือเปล่า พวกเราปลูกฝังความคิดที่ไม่ดีเกี่ยวกับการแต่งงานและชีวิตคู่…”
“ไม่ครับ ท่านแม่ ไม่ใช่แบบนั้น”
รอธซีปฏิเสธอย่างจริงจังพร้อมทั้งส่ายหน้า ก่อนจะตอบออกไปตามตรง
“เห็นท่านพ่อท่านแม่รักกันดี หลายครั้งข้าก็รู้สึกอิจฉา ชื่นชม และนับถืออย่างมาก แต่ข้าไม่มั่นใจว่าข้าจะทำได้อย่างพวกท่าน ข้าไม่มั่นใจว่าข้าจะอุทิศตนให้กับภรรยาได้”
“…”
“เพราะข้าให้ความสำคัญกับตัวเองมากกว่า และชอบอยู่คนเดียวมากกว่า”
“อ้อ…”
เคาน์เตสเบรดิงตันพลันหมดคำจะพูด ในเมื่อบุตรชายตอบมาเช่นนี้ ตัวนางเองก็ไม่รู้จะพูดอะไร เขาบอกว่าตนเห็นแก่ตัวจึงจะไม่แต่งงานเพราะไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น เขาพูดถึงขนาดนี้แล้ว นางยังจะพูดอะไรอีก ในเมื่อมันจะทำให้ผู้หญิงที่มาแต่งงานด้วยไม่มีความสุข นางจะไปสั่งให้เขาแต่งงานก็ใช่เรื่อง
เคาน์เตสเบรดิงตันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวถึงเรื่องที่พอจะช่วยบุตรชายได้
“แม่รู้แล้วว่าเจ้าจะพูดอะไร แต่ลูกเอ๋ย พ่อของเจ้าก็เป็นเหมือนเจ้านี่ล่ะ”
“…ครับ?”
“แม่ได้ยินมาว่าพ่อของเจ้าก็หลบเลี่ยงการแต่งงานด้วยเหตุผลคล้ายๆ กันนี้ แล้วดูสิ ตอนนี้พ่อของเจ้าเป็นอย่างไร”
“เรื่องนั้น…”
ท่านสุขกายสบายใจอย่างมาก ทั้งยังพลอดรักกับท่านแม่ตลอด เป็นครั้งแรกที่รอธซีพูดไม่ออก เคาน์เตสเบรดิงตันยิ้มอย่างอ่อนโยนและพยักหน้า
“แม่ไม่ได้จะเร่งเจ้า เพียงแต่หวังว่าเจ้าจะไม่คิดว่าตนไม่ดีพอที่จะแต่งงาน ในสายตาแม่เจ้าดีพร้อมยิ่งกว่าใครในการจะสร้างครอบครัว”
“พูดตามตรงนะครับ ท่านแม่ ข้าไม่มั่นใจเลยว่าจะทำได้อย่างท่านพ่อ”
“มนุษย์เราล้วนกลัวการเริ่มต้นใหม่ อีกอย่าง…” เคาน์เตสเบรดิงตันปรับลมหายใจให้เป็นปกติก่อนจะพูดต่อ “ความกลัวของเจ้านั้นส่วนหนึ่งเกิดขึ้นเพราะเจ้ายังไม่เคยลองทำมาก่อน”
“…”
“ก่อนอื่นเจ้าต้องลองพยายามดูก่อนมิใช่หรือ ออกงานสังคมบ้าง”
สุดท้ายก็จบที่การบ่น-ร่าย-ยาว รอธซียิ้มน้อยๆ ด้วยสีหน้าอ่อนล้า เคาน์เตสเบรดิงตันจ้องท่าทีของบุตรชายเขม็งก่อนจะถอนหายใจสั้นๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด
“เรื่องนั้นเอาไว้ว่ากันทีหลัง… เอาเป็นว่าเจ้าแวะไปดูที่คฤหาสน์เคานต์ลาสเซลส์หน่อยเถอะ”
“ไปหาวอลเทอร์หรือครับ”
ลอร์ดวอลเทอร์ ลาสเซลส์ เป็นหนึ่งในเพื่อนจำนวนไม่กี่คนของรอธซี
“มีเรื่องอะไรหรือครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“มีโทรเลขมาตอนที่เจ้าออกไปข้างนอก เห็นว่าป่วยน่ะ เจ้าควรจะไปเยี่ยมเขาเสียหน่อย”
“โธ่”
เขาพึมพำด้วยความตกใจเล็กน้อย ไหนใครบอกว่าคนบ้าไม่ป่วย เจ้าวอลเทอร์ไม่ใช่คนบ้าจริงๆ หรือนี่! …ล้อเล่นน่ะ เพื่อนที่ร้อยวันพันปีไม่เคยป่วยดันมาล้มป่วยเช่นนี้ รอธซีย่อมต้องเป็นห่วงแน่นอนอยู่แล้ว
“ร้ายแรงมากหรือครับ” เขาถาม
“ในจดหมายไม่ได้เขียนถึงเรื่องนั้น แต่แวะไปดูหน่อยก็ไม่เสียหาย”
“แน่นอนอยู่แล้วครับ ข้าคงต้องรีบไปแล้ว”
“จ้ะ รีบไปเถอะ วอลเทอร์เองก็ไม่ค่อยมีเพื่อนเหมือนกับเจ้ามิใช่หรือ ไม่แน่เขาอาจจะรอเจ้าอยู่ก็เป็นได้”
“ฮ่าๆ อาจเป็นเช่นนั้นก็ได้ ข้าจะรีบไปรีบมานะครับ”
รอธซีรีบไปหยิบเสื้อคลุมและกล่าวกับพ่อบ้าน
“ช่วยเตรียมรถม้าให้ทีครับ”
***
“เร็วขึ้นอีกหน่อยได้ไหมครับ”
เสียงของรอธซีแฝงไว้ด้วยความร้อนรนเล็กน้อย ถึงจะพูดอย่างนั้นอย่างนี้แต่ในความเป็นจริงเขาก็เป็นห่วงเพื่อน ไม่รู้ว่าป่วยหนักหรือไม่ รอธซีมีสีหน้าจริงจังพยายามทำใจให้สงบอยู่ในรถม้า ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงแรงกระแทกโครมใหญ่ตามมาด้วยกาสั่นสะเทือน รอธซีตกใจทำอะไรไม่ถูกรีบคว้าจับเก้าอี้ในรถไว้แน่นเพื่อทรงตัว
ดูท่าคนขับรถม้าจะทำพลาดเข้าแล้ว รถยังไม่ทันหยุดสั่น รอธซีก็เปิดประตูลงจากรถ ดูเหมือนรถม้าทั้งสองคันต่างพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อไม่ให้ชนเข้ากับอีกฝ่ายจึงส่ายไปส่ายมาอย่างแรง รถม้าอีกคันดูหรูหราไม่เบา คาดว่าคงเป็นของตระกูลขุนนางชั้นสูงเช่นเดียวกับเขา
“ปัดโธ่ ระวังหน่อยสิท่าน! รู้หรือไม่ว่าผู้ใดนั่งอยู่บนรถม้าคันนี้”
“เดี๋ยวสิ ข้าก็ขอโทษไปแล้วมิใช่รึ”
“ตอนนี้ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายผิด มาขึ้นเสียงใส่ข้าเช่นนี้ใช้ได้หรือ”
สถานการณ์ดูไม่ดีเอาเสียเลย ขณะที่รอธซีเปิดปากเตรียมจะเอ่ยห้ามคนขับทั้งสอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นพร้อมปรากฏร่างของคนผู้หนึ่งลงมาจากรถ อีกฝ่ายเป็นหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีแดงราวกับเปลวไฟที่ลุกโชน นัยน์ตาสีทองคู่นั้นราวกับร่างจำแลงของดวงตะวันก็มิปาน ดูแล้วอายุน่าจะใกล้เคียงกับเขาหรือไม่ก็น้อยกว่า
“โธ่ เลดี้ อยู่ในรถม้าก็ดี…”
“ไม่เป็นไรค่ะ อย่าทะเลาะกันเลยนะคะ ว่าแต่ท่านที่อยู่ในรถม้าคันนั้นปลอดภัยดีหรือไม่…”
รอธซีไม่เชื่อใน ‘รักแรกพบ’ จนถึงขั้นเกลียด แต่วินาทีที่เขาได้เห็นหญิงสาวคนนั้นครั้งแรก รอธซีก็อยากจะอัดตัวเองในอดีตที่เคยมีความคิดเช่นนั้นให้น่วม
เขาสงสัยว่า ‘รักแรกพบ’ เป็นเช่นนี้หรือ
ในหัวของเขาไม่คิดถึงเรื่องอื่นอีกเลยนอกเหนือจากสองเรื่องนี้ หนึ่งคือนางเป็นผู้หญิงที่งดงามมาก สองคือเขาอยากพูดคุยกับนาง ปฏิกิริยาเช่นนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ และเขาก็ได้ทำให้ความคิดนั้นกลายเป็นจริง
“ขออภัยครับ เลดี้ ท่าทางคนขับรถม้าของข้าจะเสียมารยาทแล้ว”
“มิได้ค่ะ ลอร์ด ข้าไม่เป็นไร”
ทั้งคู่ไม่เคยพบกันมาก่อน แต่แทนที่จะโทษว่าเป็นความผิดของฝ่ายหญิงนี่ย่อมต้องเป็นความผิดของฝ่ายชาย รอธซีไม่ชอบออกงานสังคม เขาจึงไปร่วมงานเหล่านั้นน้อยมาก ดังนั้น แม้จะเป็นคนที่ออกงานบ่อยแค่ไหน แต่ถ้าโชคไม่ดีก็แทบไม่มีโอกาสได้พบกับเขาเลย
“บาดเจ็บตรงไหนไหมคะ” ฝ่ายหญิงเอ่ยถามอย่างสุภาพ
รอธซีแสนจะประทับใจที่อีกฝ่ายชวนคุยก่อนจึงตอบออกไปโดยไม่ต้องคิดอะไรเป็นพิเศษ
“ข้าไม่เป็นไรครับ แล้วเลดี้บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”
“ค่ะ ข้าก็ไม่เป็นไร…”
โล่งอกไปที เพื่อยืดบทสนทนาให้ยาวขึ้นอีกหน่อย เขาจึงคิดจะพูดเรื่องอื่นต่อ แต่ฝ่ายหญิงกลับเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
“โล่งอกไปทีนะคะ เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน เดินทางปลอดภัยค่ะ”
ไม่นะ! รอธซีตะโกนลั่นในใจ เขาจะปล่อยนางไปแบบนี้ไม่ได้ รอธซีรวบรวมความกล้าเรียกรั้งอีกฝ่ายไว้
“ดะ เดี๋ยวครับ เลดี้”
ทว่า ฝ่ายหญิงดูเหมือนจะไม่ได้ยินและขึ้นรถม้าไปเสียแล้ว ทันใดนั้นรถม้าของนางก็แล่นออกไป รอธซียื่นนิ่งอยู่ที่เดิมด้วยแววตาเหม่อลอย พระเจ้า…เขาปล่อยนางไปทั้งอย่างนั้นหรือนี่! รอธซีตีอกชกหัวอยู่ในใจ ขณะนั้นคนขับรถม้าที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยขึ้น
“คุณชายรอธซี ขืนยังโอ้เอ้อยู่ตรงนี้ประเดี๋ยวตะวันจะตกดินเสียก่อนนะขอรับ รีบออกเดินทางเถิดขอรับ”
“…”
รอธซีจำต้องก้าวขาด้วยความเสียดายอย่างช่วยไม่ได้ แต่ในหัวของเขายังคงคิดคะนึงหาแต่สาวผมแดงที่ได้พบเมื่อครู่
***
“เจ้าก็ดูไม่ป่วยเท่าไรนี่”
ครั้นเดินทางมาถึงคฤหาสน์เคานต์ลาสเซลส์ รอธซีเห็นวอลเทอร์นอนอยู่บนเตียงก็พูดเนิบๆ อย่างไม่สนใจ วอลเทอร์ได้ยินดังนั้นก็ลุกพรวดขึ้นมาตัดพ้อ
“ป่วย! ข้าป่วย!”
“รู้แล้วน่า เงียบหน่อยเถอะ ยิ่งแหกปากยิ่งไม่เหมือนคนป่วยนะ”
“ชิ…”
วอลเทอร์สูดน้ำมูกดังพรืดและล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง ทั้งยังดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดถึงคอ รอธซีดูแล้วอีกฝ่ายน่าจะเป็นแค่ไข้หวัดเล็กน้อยจึงเอ่ยขึ้น
“เห็นท่านแม่พูดเหมือนมีเรื่องใหญ่หนักหนาข้าจึงรีบมา ที่ไหนได้เป็นแค่ไข้หวัดเนี่ยนะ?”
“เป็นไข้หวัดก็ตายได้นะ โร”
“คนบ้าไม่ป่วยหรอก วอล”
“เจ้าอยากตายเรอะ”
“ดูจากสภาพตอนนี้แล้วเจ้าน่าจะตายก่อนข้านะ”
วอลเทอร์มองค้อนรอธซีที่กำลังหัวเราะชอบใจก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“ข้านอนมาทั้งวันเบื่อจะตายอยู่แล้ว ไม่มีเรื่องสนุกๆ บ้างเลยรึ”
“อืม…”
รอธซีคิดอยู่สักครู่ ทันใดนั้นเขาก็นึกออกอยู่เรื่องหนึ่ง เรื่องผู้หญิงที่พบระหว่างทางเมื่อครู่ เขาเอ่ยขึ้นโดยไม่ตั้งใจ
“ข้าเจอผู้หญิงคนหนึ่ง”
“ผู้หญิง?”
หัวข้อสนทนาที่เหนือความคาดหมายทำให้วอลเทอร์ถามกลับอย่างประหลาดใจ รอธซีกับผู้หญิง…ไม่เข้ากันเลยสักนิด รอธซีเป็นคนประเภทไม่ค่อยสุงสิงกับผู้หญิง ต่างจากวอลเทอร์ที่ผ่านการมีความรักมามากพอสมควร เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้เป็นอะไรที่วอลเทอร์ยากจะทำความเข้าใจ แต่รอธซีกำลังพูดถึงผู้หญิงอยู่หรือนี่ ช่างเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยากยิ่ง
“สวยหรือไม่” เขาถามต่อ
“…หยาบคายนัก”
รอธซีเดาะลิ้นและตอบออกไปทันที “งดงามยิ่ง ราวกับเทพีแห่งดวงอาทิตย์”
“…ข้าเกือบอาเจียนออกมาแล้ว”
“แต่นางงดงามมากจริงๆ นะ”
“…คนที่ต้องไปหาหมอน่าจะไม่ใช่ข้า แต่เป็นเจ้ามากกว่า โร”
“ข้าปกติดี นางแค่งดงามมากเกินไป”
“แล้วนางเป็นใครกันแน่ มีสาวงามเช่นนั้นอยู่ในเมืองหลวงด้วยรึ”
“ข้าก็เพิ่งได้พบนางเป็นครั้งแรกวันนี้”
“สมควร เพราะเจ้าไม่ออกงานสังคมเลย ข้าถึงบอกให้เจ้าไปร่วมงานเลี้ยงบ้างอย่างไรเล่า!”
วอลเทอร์พูดแทงใจดำและถามต่อทันที
“สรุปแล้วนางเป็นใคร”
“…”
นั่นแหละคือปัญหาที่ใหญ่ที่สุด เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร สีหน้าของรอธซีถึงกับย่ำแย่
โรสมอนด์ไม่อาจเชื่อผลการตรวจของหมอหลวงได้จึงอาละวาดดิ้นรน
“โกหก! เจ้ากล้าดีอย่างไรมาโกหกเพื่อให้ข้าตาย ฝ่าบาท มันผู้นี้โกหกเพคะ”
แม้โรสมอนด์จะอยู่ในอารมณ์เดือดพล่าน แต่หมอหลวงอาวุโสก็ยังคงกล่าวอย่างสุขุม
“ฝ่าบาท กระหม่อมหาได้โป้ปดไม่พ่ะย่ะค่ะ หากคิดว่ากระหม่อมวินิจฉัยผิดพลาด เช่นนั้นขอทรงมอบหมายการตรวจนี้แก่หมอหลวงท่านอื่นเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“…”
ลูซิโอเอ่ยปากทันทีด้วยสีหน้าซับซ้อน
“ในเมื่อนักโทษไม่เชื่อผลตรวจ เช่นนั้นก็ให้หมอหลวงท่านอื่นมาตรวจเพื่อป้องกันข้อครหาเถอะ”
เห็นได้ชัดว่าพระเจ้าไม่ได้เข้าข้างโรสมอนด์ เพราะหลังจากนั้นก็มีหมอหลวงมาตรวจดูถึงห้าคน และทั้งหมดลงความเห็นตรงกันว่าไม่ได้ตั้งครรภ์ แต่โรสมอนด์ก็ยังดื้อดึงไม่ยอมรับผลการตรวจจนถึงที่สุด
“เป็นไปไม่ได้เพคะ ฝ่าบาท! หม่อมฉันแพ้ท้องและยังไม่มีรอบเดือนมาจนถึงตอนนี้ คนพวกนี้โกหกเพื่อที่จะฆ่าหม่อมฉันเพคะ ฝ่าบาท”
โรสมอนด์หมอบอยู่แทบเท้าของลูซิโอและอ้อนวอนอย่างจริงจัง
“ช่วยหม่อมฉันด้วยเพคะ ฝ่าบาท ไม่สิ ไม่ต้องสนใจหม่อมฉันก็ได้ แต่ช่วยลูกของพระองค์ ช่วยผู้สืบทอดของจักรวรรดิที่อยู่ในท้องของหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ ฝ่าบาท!”
“อาการนี้ของอดีตจักรพรรดินี…” ตอนนั้นเอง หมอหลวงที่เคยยืนเงียบก็พูดแทรกขึ้นมา “พวกกระหม่อมเห็นตรงกันว่าอดีตจักรพรรดินีมีภาวะท้องลมซึ่งพบได้ทั่วไปในสตรีที่มีความต้องการตั้งครรภ์สูงพ่ะย่ะค่ะ”
“…”
“เป็นเรื่องธรรมดาพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นท่านจะบอกว่าในท้องของนางตอนนี้ไม่มีสิ่งใดเติบโตอยู่อย่างนั้นหรือ”
ขุนนางคนหนึ่งถามขึ้น และหมอหลวงก็ให้คำตอบ
“เป็นเช่นนั้น”
“เช่นนั้นฝ่าบาท ไม่มีเหตุผลที่จะต้องยืดเวลาประหารออกไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ และยิ่งไม่มีเหตุผลที่จะต้องไว้ชีวิตนักโทษที่ไม่ได้ตั้งครรภ์เลือดเนื้อเชื้อไขของกษัตริย์”
“ไม่นะ! ข้าท้อง! ข้าท้องลูกของฝ่าบาท!”
“ลากตัวนักโทษไป!”
“ฝ่าบาท ช่วยหม่อมฉันด้วยเพคะ! กรี๊ด! ปล่อยข้า!”
โรสมอนด์ถูกลากไปยังแท่นประหารจากนั้นคอนางก็ทาบทับอยู่บนนั้น ตอนนี้นางคงสัมผัสได้ถึงความตายที่อยู่แค่ปลายจมูกแล้วจึงดิ้นรนอย่างสุดชีวิต
“ฝ่าบาท ช่วยหม่อมฉันด้วยเพคะ! ทรงทำแบบนี้กับหม่อมฉันไม่ได้นะเพคะ”
“…”
“ฝ่าบาท!”
แต่ไม่ว่าโรสมอนด์จะตะโกนเรียกลูซิโอเท่าไร เขาก็ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว แม้เขาจะเป็นผู้มีสิทธิ์ขาดในการปกครองจักรวรรดิอันกว้างใหญ่ไพศาลแต่เขาก็ไม่สามารถใช้อำนาจเพื่อทำสิ่งที่ฝ่าฝืนกฎหมายได้ เพราะนั่นคือทางลัดไปสู่การเป็นทรราช เขาทำได้เพียงมองคนที่เขารักจากใจจริงด้วยสายตาเวทนาเท่านั้น นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาทำได้
“ฝ่าบาท!!!”
“ประหารได้!”
“กรี๊ดดดด!”
ทุกอย่างเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที เพชฌฆาตปลดเชือกกิโยตีน จากนั้นใบมีดก็ร่วงลงสู่เบื้องล่างอย่างไร้ความปรานี
“กรี๊ด!”
“อึก!”
ภาพอันโหดร้ายปรากฏต่อสายตาของผู้คนอย่างชัดเจน คนที่เฝ้าดูการประหารอยู่ส่งเสียงครวญอย่างสยองขวัญ ลูซิโอเองก็ไม่ได้รับการยกเว้น
“ฮ่อก…”
เขารับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าตนไม่อาจทนมองภาพนั้นได้ ร่างสูงซวนเซลุกขึ้นยืน เหล่าข้ารับใช้ที่อยู่ด้านข้างจึงเข้ามาช่วยประคองเดินไปจนถึงรถม้าพระที่นั่งอย่างทุลักทุเล ถึงอย่างไรเรื่องต่อจากนี้พวกขุนนางคงไปจัดการกันเอง ที่นี่ไม่จำเป็นต้องมีเขาแล้ว ลูซิโอส่งเสียงพิลึกพิลั่นออกมาด้วยความทรมาน หัวหน้านางกำนัลรีบให้เขาขึ้นรถม้าเพื่อปกปิดเรื่องนั้นไว้
“ฝ่าบาท ทำพระทัยดีๆ ไว้เพคะ”
“อย่างไร…เราจะทำใจได้อย่างไรในเมื่อต้องเห็นภาพแบบนั้น”
เขาดิ้นพล่านราวกับตัวหนอนที่ถูกสับเป็นชิ้นๆ ในบรรดาความกระทบกระเทือนทางจิตใจที่เขาเคยประสบมา เรื่องในคราวนี้นับว่าอยู่ในลำดับต้นๆ ลูซิโอครวญครางและพึมพำไม่หยุด
“ช่วยไว้ไม่ได้…ข้า…ข้า…”
“ไม่ใช่ความผิดของฝ่าบาทนะเพคะ ขอฝ่าบาทอย่าได้โทษตัวเอง…”
“ฮึก…”
ลูซิโอร้องไห้สะอึกสะอื้น หัวหน้านางกำนัลถอยกายออกจากรถม้าเงียบๆ ราวกับว่าตอนนี้ไม่ว่าจะปลอบอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่ฟังแล้ว จากนั้นนางก็สั่งให้ออกรถ รถม้าประดับทองหรูหราเคลื่อนตัวไปพร้อมกับเสียงสะอื้นไห้ของใครคนหนึ่งที่ดังออกมาอย่างไม่รู้จบ
***
“จะว่าไปแล้ว ท่านหญิง[1]คะ หมู่นี้ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้างหรือคะ”
“ไม่สู้ดีค่ะ”
ลอเรนตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา ตอนนี้นางกำลังจิบชาอยู่กับบุตรีของมาร์ควิสคนหนึ่งที่เข้าร่วมการปฏิวัติด้วยกัน
“นางกำนัลตำหนักกลางบอกว่าตั้งแต่อดีตจักรพรรดินีถูกประหาร พระวรกายของฝ่าบาทก็ย่ำแย่ลงทุกวันค่ะ”
“จึ๊จึ๊”
ได้ยินลอเรนกล่าวดังนั้น เลดี้ฟิโลมินาก็เดาะลิ้นพร้อมกับทำสีหน้าราวกับสมเพชเสียเต็มประดา ลอเรนมองสีหน้านั้นไม่วางตา ในขณะที่ฟิโลมินาพร่ำพูดแสดงความคิดเห็นออกมาโดยไม่มีใครถาม
“จักรพรรดิแห่งมาวินอสผู้ยิ่งใหญ่ต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้เพียงเพราะผู้หญิงคนเดียวหรือนี่! ไม่น่าสมเพชไปหน่อยหรือคะ เดิมทีสำหรับผู้เป็นกษัตริย์แล้วหากมีสตรีข้างกายก็ดี แต่หากไม่มีก็หาใช่เรื่องใหญ่มิใช่หรือ”
“…เพราะรักมากน่ะสิคะ ท่าทางฝ่าบาทจะรักนางอย่างแท้จริง”
“เพราะแบบนั้นถึงได้โง่เขลามิใช่หรือคะ กษัตริย์ที่รักด้วยใจจริงอย่างนั้นหรือ! ฝ่าบาทต้องไม่ทันได้คิดเป็นแน่ว่ามันเป็นการผูกมัดตัวเองเพียงใด”
ฟิโลมินาเย้ยหยันจักรพรรดิด้วยสีหน้าอวดดีก่อนจะเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน
“ว่าแต่ เมื่อเปลี่ยนรัชกาลแล้วเลดี้จะได้เป็นจักรพรรดินีไหมคะ”
“…คงเป็นเช่นนั้นกระมังคะ”
เพราะบิดาของนางรับนางเป็นบุตรีบุญธรรมเพื่อการนี้มิใช่หรือ ตอนที่ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดซึ่งไม่มีบุตรสาวบอกว่าจะรับนางเป็นบุตรีบุญธรรมอย่างกะทันหันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เขาเข้าร่วมสนับสนุนกลุ่มปฏิวัติ เขาคงทำทุกวิถีทางที่จะเกี่ยวดองกับราชวงศ์เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจที่สมบูรณ์แบบกระมัง
“อุ๊ย เช่นนั้นตอนที่ท่านได้เป็นจักรพรรดินีแล้ว ข้าก็น่าจะเข้าไปเป็นนางกำนัลได้สินะคะ”
“บุตรีของขุนนางทุกคนสามารถเป็นนางกำนัลได้ค่ะ มิใช่แค่เลดี้ฟิโลมินาเท่านั้น”
ลอเรนพยายามปฏิเสธอ้อมๆ แต่ผู้หญิงเบาปัญญาคนนี้กลับเอาแต่มองมาด้วยสีหน้างงงันราวกับไม่เข้าใจที่ลอเรนจะสื่อ ลอเรนขมวดคิ้วเล็กน้อยยากที่จะจับสังเกตได้คล้ายว่านางเริ่มจะเบื่อช่วงเวลานี้แล้ว
“ว่าแต่พรุ่งนี้ก็เป็นวันปฏิวัติแล้วสินะคะ” หัวข้อสนทนาถูกเปลี่ยนอีกครั้ง
“ระวังปากหน่อยค่ะ เลดี้ฟิโลมินา กำแพงมีหูประตูมีตา” ลอเรนตำหนิฟิโลมินาอย่างสุขุม
“แต่นี่เป็นบ้านของท่านหญิงเองนะคะ จะไปมีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างไร”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ”
สตรีที่ไม่รู้จักระแวดระวังทั้งยังไม่รู้จักสังเกตสังกาเช่นนี้ รับไปเป็นนางกำนัลแล้วจะมีประโยชน์อันใด ลอเรนตั้งใจแน่วแน่ว่าหากตนได้เป็นจักรพรรดินีแล้วจะไม่เก็บผู้หญิงคนนี้ไว้ใกล้ตัวเด็ดขาด
“บิดาของเลดี้อาจกำชับเรื่องนี้แล้ว แต่หากเป็นไปได้พรุ่งนี้กรุณาอยู่ในที่ที่ไม่สะดุดตา เพราะฝ่ายเราจะเสียเปรียบตอนชิงบัลลังก์มิได้”
“แน่นอนค่ะ ท่านหญิง ว่าแต่พรุ่งนี้ท่านหญิงจะไปร่วมงานเลี้ยงด้วยใช่ไหมคะ”
“…ไม่ค่ะ ข้าคิดว่าจะอยู่ที่คฤหาสน์ดยุก”
“ตายจริง ทำไมล่ะคะ”
…จะเพราะอะไรเสียอีกล่ะ ก็เผื่อว่าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นน่ะสิ แต่หากบอกนางไปตามตรงทั้งหมดก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ลอเรนจึงโกหกแต่พองาม
“ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ วันนี้ก็เกือบจะออกมาพบเลดี้ฟิโลมินาไม่ได้แล้ว”
“ตายจริง พระเจ้าช่วย!” ฟิโลมินาตื่นตระหนกเกินเหตุ “เป็นอะไรมากไหมคะ ท่านหญิง”
“ไม่เป็นไรค่ะ สองสามวันที่ผ่านมาฝืนตัวเองมากเกินไปจึงครั่นเนื้อครั่นตัวเล็กน้อยเท่านั้น”
แม้ว่าในความเป็นจริงตัวนางจะสบายดีมากก็ตาม ลอเรนค่อยๆ หาทางจบบทสนทนา
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนดีไหมคะ ท่านหมอกำชับไว้ว่าอย่าได้ฝืนตัวเองมากไปน่ะค่ะ”
***
ลอเรนไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงตามแผน และบ่ายแก่ๆ ของวันนั้นหญิงสาวก็ได้รับจดหมายแจ้งข่าวจากบิดาว่าการบุกยึดพระราชวังเป็นไปได้ด้วยดี
“ในที่สุด!”
“ยินดีด้วยค่ะ เลดี้ลอเรน”
บรรยากาศภายในบ้านราวกับมีงานฉลอง แกรนด์ดยุก[2]ที่ถูกเลือกให้เป็นผู้สืบบัลลังก์ได้ให้สัญญากับดยุกวีเธอร์ฟอร์ดว่าจะให้บุตรีของเขาเป็นจักรพรรดินี จึงเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าอีกไม่นานลอเรนจะได้สวมมงกุฎของสตรีที่สูงส่งที่สุดในจักรวรรดิ
“ลูกพ่อ!”
คืนนั้นดยุกวีเธอร์ฟอร์ดกลับมาถึงคฤหาสน์กลางดึก ท่าทางเขาต้องใช้เวลาจัดการเรื่องต่างๆ มากพอสมควร ลอเรนต้อนรับบิดาด้วยรอยยิ้มสดใส
“ยินดีด้วยค่ะ ท่านพ่อ ในที่สุดท่านก็สมปรารถนาแล้วนะคะ”
“นี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น”
ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะวานให้สาวใช้นำชามาให้สองถ้วย ทั้งสองสนทนากันพลางจิบชาโรสแมรีที่สาวใช้นำมาให้
“เรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไปหรือคะ”
“ย่อมเป็นไปตามธรรมเนียม จักรพรรดิที่ถูกปลดจะต้องถูกประหารในเร็ววัน จากนั้นแกรนด์ดยุกคาลลินิคอสก็จะขึ้นครองบัลลังก์”
“…”
“และคงมีการล้างบางขุนนางที่ให้การสนับสนุนอดีตจักรพรรดิครั้งใหญ่… เสร็จจากเรื่องพวกนั้นแล้ว เจ้าก็จะได้เป็นจักรพรรดินี เป็นอย่างไร? ง่ายใช่หรือไม่”
“นั่นสินะคะ” ลอเรนยิ้มน้อยๆ
“ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าต้องเป็นกังวล ลอเรน แค่รอให้พ่อนำมงกุฎจักรพรรดินีมาให้เจ้าก็พอ ง่ายดายยิ่ง จริงหรือไม่” ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดกล่าวด้วยสีหน้าพึงพอใจ
“แต่ข้าก็อยากช่วยอะไรบ้างนี่คะ”
“เจ้าช่วยมามากพอแล้วล่ะ มิใช่เจ้าหรอกหรือที่ถึงขั้นไปเป็นนางกำนัลของอดีตจักรพรรดินี?” ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดหัวเราะ
“สุดท้ายแล้วอดีตจักรพรรดิเป็นอย่างไรบ้างคะ” จู่ๆ ลอเรนก็ถามขึ้นมา
ได้ยินคำถามของบุตรีบุญธรรมดยุกวีเธอร์ฟอร์ดก็ชะงักไปในทันใดก่อนจะตอบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไม่รู้ว่าเขารู้ชะตากรรมของตัวเองอยู่แล้ว หรือสูญเสียความตั้งใจที่จะมีชีวิตอยู่หลังจากอดีตจักรพรรดินีถูกประหารอย่างที่เราได้ยินมากันแน่”
“…”
“เขายกบัลลังก์ให้อย่างละมุนละม่อม ง่ายดายเสียจนพวกเราทำตัวไม่ถูกเลยล่ะ”
“ไม่สนุกเลยนะคะ”
“ให้ตายเถอะ ลอเรน เจ้าถามหาความสนุกจากการทำรัฐประหารที่ใช้ทุกอย่างเป็นเดิมพันหรือนี่! แต่เอาเถอะ ขอเพียงได้รับชัยชนะ ยิ่งชิงบัลลังก์ได้ง่ายเท่าไรก็ยิ่งดีมิใช่รึ”
นั่นก็จริงค่ะ ลอเรนตอบ
“เจ้าหวังให้เกิดเรื่องใหญ่โตหรือไร”
“ข้าแค่ไม่คิดว่าเขาจะยอมแพ้ง่ายๆ เช่นนั้น นึกว่าจะดิ้นรนสักหน่อยเสียอีก”
“เรื่องนั้นพวกเราก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน ในตอนสุดท้ายเขายังเผยยิ้มราวกับสละซึ่งทุกสิ่งแล้วอีกด้วย ทำเอาพวกเราตกใจแทบแย่”
“วิปลาสไปแล้วกระมังคะ”
จากนั้นลอเรนก็จบบทสนทนาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เลิกคุยเรื่องนี้กันเถอะค่ะ ท่านพ่อ จะพูดถึงผู้แพ้ไปทำไมกัน”
“นั่นสินะ เลิกพูดดีกว่า”
ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดยิ้มอย่างสุขใจ เขาลูบหัวลอเรนพลางกล่าว
“รีบเข้านอนเถอะ ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปเราคงจะยุ่ง”
***
โรสมอนด์อุตส่าห์คิดว่าในที่สุดชีวิตที่โชคร้ายมาตั้งแต่ต้นก็เริ่มจะดีขึ้นบ้างแล้วแท้ๆ
‘ถ้าข้าตั้งครรภ์เร็วกว่านี้ ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปหรือไม่’
สุดท้ายแล้วสาเหตุที่ทำให้นางตกลงสู่ขุมนรกคือการที่นางไม่มีลูก หากนางมีลูกตั้งแต่เนิ่นๆ ลูซิโอก็คงไม่ต้องรับผู้หญิงคนอื่นเข้ามาเป็นจักรพรรดินีแทนนาง และจักรพรรดินีอย่างนางก็คงไม่ต้องตกบัลลังก์อย่างไม่น่าเชื่อเช่นนี้
‘หากย้อนเวลากลับไปได้อีกครั้ง…ข้าจะเป็นพระพันปี มิใช่แค่จักรพรรดินี’
ความรักของจักรพรรดิไม่มีวันคงอยู่ชั่วนิรันดร์ หากนางแก่ชราและอัปลักษณ์ ความรักนั้นจะหายไปอย่างรวดเร็ว ทว่า ถ้านางเป็นพระพันปีล่ะ? ถ้านางให้กำเนิดเจ้าชายรัชทายาท ต่อให้จักรพรรดิเกลียดนางแค่ไหนก็กำจัดนางตามอำเภอใจไม่ได้ ทำไมน่ะหรือ? เพราะนางคือพระราชมารดาของจักรพรรดิรุ่นต่อไปอย่างไรเล่า
‘หากชาติหน้ามีจริง ข้าจะต้อง…’
โรสมอนด์โอบกอดความปรารถนาที่มิอาจเป็นจริงและปิดเปลือกตาลง
***
“…อืม”
โรสมอนด์ลืมตาขึ้นมาพร้อมส่งเสียงเบาๆ ที่นี่มันสวรรค์หรือนรก? โรสมอนด์ค่อยๆ ชันตัวลุกขึ้น นางตื่นขึ้นมาในห้องของใครสักคน หรือนี่จะเป็นดินแดนแห่งการชำระล้าง[3]? ขณะที่หญิงสาวกำลังใช้ความคิด ใครคนหนึ่งก็เปิดประตูเข้ามา ใบหน้าของคนผู้นั้นช่างดูคุ้นตานัก โรสมอนด์พึมพำออกมาด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
“ฝ่าบาท…?”
“โรส”
เขาคือลูซิโอซึ่งกำลังมองนางด้วยสายตารักใคร่ โรสมอนด์เอ่ยถามตะกุกตะกัก
“นี่…เกิดอะไรขึ้น…”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร เมื่อคืนย่ำแย่มากหรือ? ถึงขั้นจำไม่ได้เลยเชียว?”
“พระองค์ตรัสถึงเรื่องอันใด…”
ตอนนั้นเอง โรสมอนด์ก็ก้มลงมองเรือนร่างของตนโดยไม่ตั้งใจ ร่างกายของนางเปลือยเปล่า
“ตอนนี้…คือตอนไหนหรือเพคะ” นางถามอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
“ตอนนี้คือตอนไหนอะไรกัน”
“หม่อมฉันหมายถึงพระองค์ขึ้นครองราชย์มานานเท่าใดแล้ว”
“แปลกคน” ลูซิโอตอบคำถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ “ข้าขึ้นครองราชย์เมื่อหกเดือนก่อนอย่างไรเล่า โรส ในงานราชาภิเษกเจ้าก็อยู่ด้วย ลืมไปแล้วหรือ”
“เป็นไปไม่ได้…”
โรสมอนด์พึมพำด้วยน้ำเสียงล่องลอยราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง ระหว่างนั้นลูซิโอก็เดินมานั่งบนเตียงและมอบอ้อมกอดอบอุ่นให้กับร่างบางที่เริ่มเย็นลงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน
“หลับฝันดีหรือไม่”
สรุปคือ นางย้อนกลับมาตอนที่ลูซิโอเพิ่งขึ้นครองราชย์ได้เพียงหกเดือน ตอนที่เขายังไม่มีจักรพรรดินี! โรสมอนด์สวมกอดลูซิโอแน่นด้วยสีหน้ายินดีปรีดา พระเจ้ายังไม่ได้ทอดทิ้งนางจริงๆ ด้วย!
“หม่อมฉันรักพระองค์เพคะ ฝ่าบาท” โรสมอนด์กระซิบ
“ข้าก็รักเจ้า โรส”
ขณะฟังคำหวานจากลูซิโอที่กระซิบอยู่ข้างหู โรสมอนด์ก็ตั้งปณิธานในใจอย่างแน่วแน่ คราวนี้ล่ะ ข้าจะต้องเป็นจักรพรรดินี และต้องเป็นพระพันปีให้จงได้ หากเป็นเช่นนั้นข้าก็จะไม่ต้องพบกับจุดจบที่เป็นดั่งโศกนาฏกรรมเหมือนชาติก่อน!
[ภาคแยก 1] The life of the dead is in the memory of the living. (จบบริบูรณ์)
[1] ท่านหญิง ในที่นี้ใช้เรียกยกย่องบุตรีของดยุก
[2] แกรนด์ดยุก (Grand duke) (ผู้หญิง: แกรนด์ดัชเชส (Grand duchess)) ใช้เรียกประมุขในระดับมณฑล หรืออาจหมายถึงแกรนด์พรินซ์ เนื่องจากคำว่า Prince มีความหมายทั้งเจ้าชายที่เป็นราชนิกุลและเจ้าผู้ครองนคร
[3] ดินแดนแห่งการชำระล้าง คือ สถานที่วิญญาณรับโทษทัณฑ์ก่อนขึ้นสวรรค์ตามความเชื่อของคาธอลิค
โรสมอนด์หลบออกจากตำหนักจักรพรรดินีด้วยเส้นทางลับที่มีแค่นางเท่านั้นที่รู้ เนื่องจากเป็นทางที่มีไว้ใช้ในยามฉุกเฉินจึงไม่มีใครมาตรวจตราแถวนี้ โรสมอนด์วิ่งไปที่ตำหนักกลางเพียงลำพังไร้เงาคลาราข้างกาย ตอนนี้เวลาไม่คอยท่าแล้ว
“พระจักรพรรดินี…?”
หัวหน้านางกำนัลดูตกใจมากที่เห็นโรสมอนด์มาในสภาพกระเซอะกระเซิง สีหน้าของนางคล้ายจะถามว่า ‘มาถึงที่นี่ได้อย่างไร’ แต่โรสมอนด์ก็มองข้ามความสงสัยนั้นและเอ่ยถามอย่างรีบร้อน
“ฝ่าบาท ฝ่าบาทประทับอยู่ด้านในหรือไม่”
“…อยู่เพคะ”
“แล้วทำไมไม่รีบเปิดประตูล่ะ”
นี่ยังคิดว่าตัวเองเป็นจักรพรรดินีอยู่อีกรึ? อีกไม่นานก็จะถูกปลดแล้วแท้ๆ
หัวหน้านางกำนัลก่นด่าในใจ แต่ภายนอกยังคงพูดกับอีกฝ่ายโดยไม่แสดงอาการ
“…เชิญเสด็จเพคะ”
ทันทีที่ประตูเปิด โรสมอนด์ก็ตะลีตะลานเข้าไปข้างใน
“ฝ่าบาท”
โรสมอนด์เข้าหาลูซิโอพร้อมทำน้ำเสียงออดอ้อนที่สุดเท่าที่จะทำได้ ลูซิโอนั่งอ่านเอกสารอยู่ที่โต๊ะด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ โรสมอนด์จึงเรียกเขาอีกครั้ง
“ฝ่าบาท”
“…”
ตอนนั้นเองเขาจึงเงยหน้าขึ้นมา ทั้งคู่สบตากัน จากนั้นโรสมอนด์ก็เป็นฝ่ายเรียกลูซิโออีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ฝ่าบาท”
“ข้าฟังอยู่ ไม่ได้หูตึง”
“ฝ่าบาท ช่วยหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ”
“…”
ลูซิโอมองโรสมอนด์ด้วยสีหน้าซับซ้อนพลางถาม
“ก่อนจะพูดถึงเรื่องนั้น เจ้าไม่มีอะไรจะพูดกับข้าหรือ”
“พูดอะไรหรือเพคะ”
“เรื่องอดีตจักรพรรดินี”
“หม่อมฉันคิดว่าพระองค์จะเห็นดีเห็นงามด้วยเสียอีก” โรสมอนด์ตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ “พระองค์ทรงให้สัญญากับหม่อมฉันว่าจะทำให้หม่อมฉันได้เป็นจักรพรรดินี หม่อมฉันเชื่ออย่างสนิทใจ… แต่อายุของหม่อมฉันก็มากขึ้นทุกวัน แล้วจะไม่ให้หม่อมฉันกระวนกระวายใจได้หรือเพคะ”
โรสมอนด์หัวเราะเสียงเย็นและพูดต่อ “หม่อมฉันคิดว่าพระองค์จะเข้าพระทัยเสียอีก ตอนนี้หม่อมฉันก็ยังเชื่ออย่างนั้น ที่หม่อมฉันพูดถูกต้องหรือไม่เพคะ”
“เจ้ากินยาทำแท้งทั้งๆ ที่เจ้าไม่ได้ท้องแล้วป้ายสีความผิดให้อดีตจักรพรรดินี โรส ข้าไม่ต้องการวิธีที่โหดร้ายเช่นนี้ หากจักรพรรดินีไม่มีลูกชายให้ข้าแต่เจ้ามีได้…ทุกอย่างก็จะจบลงอย่างสันติ”
“…ขอประทานอภัยเพคะ ฝ่าบาท แต่หม่อมฉันไม่ใช่คนที่มีน้ำอดน้ำทนขนาดนั้น”
ดวงตาที่เริ่มแดงของเขาดึงดูดความสนใจของโรสมอนด์ เขากำลังคิดอะไรอยู่? หรือเขาจะผิดหวังในตัวข้า? ท่านกล้าดีอย่างไรมาผิดหวังในตัวข้า?
“ถึงอย่างไรมันก็เป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วนะเพคะ” โรสมอนด์กล่าว
“…นั่นสินะ”
ลูซิโอถอนหายใจและพูดต่อ “แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ ตามกฎของจักรวรรดิ หลังจากจักรพรรดินีถูกปลดแล้วย่อมต้องถูกประหารด้วยการดื่มยาพิษ โรส เจ้าไม่เคยคิดเลยหรือว่าหากถูกจับได้จะต้องเจอกับอะไร”
“ไยต้องคิดเล่าเพคะ ในเมื่อทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี เพียงแต่…มีบางเรื่องที่หม่อมฉันคาดไม่ถึงเท่านั้น”
แต่หม่อมฉันไม่สนใจหรอกเพคะ โรสมอนด์พูดราวกับกระซิบและกอดลูซิโอ เขาไม่อาจปฏิเสธหญิงสาวได้อีกเช่นเคย โรสมอนด์กระซิบข้างหูของลูซิโอด้วยน้ำเสียงยั่วยวน
“ช่วยหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ ฝ่าบาท มีแค่พระองค์เท่านั้นที่จะช่วยหม่อมฉันได้”
“จักรพรรดิมิอาจทำตามใจตัวเองได้ทุกเรื่องหรอกนะ โรส เจ้าก็รู้”
“วิธีนี้ไม่ส่งผลเสียอันใดต่อพระองค์หรอกเพคะ ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย”
โรสมอนด์ยิ้มน้อยๆ และอธิบายให้ลูซิโอฟัง “สตรีที่ตั้งครรภ์สายเลือดของกษัตริย์มิอาจถูกประหารได้เพคะ”
“เจ้าอย่าบอกนะว่า…”
“ถูกต้องแล้วเพคะ”
พร้อมกันนั้น โรสมอนด์ก็ปลดเปลื้องชุดเดรสที่แขวนอยู่บนร่างแล้วโยนทิ้งไป หญิงสาวยืนต่อหน้าเขาในสภาพเปลือยเปล่าในชั่วพริบตาพร้อมทั้งยั่วยวนอย่างไร้ยางอาย
“ขอทายาทให้หม่อมฉันสักคนเถิดเพคะ ฝ่าบาท”
***
ไม่กี่วันหลังจากนั้นโรสมอนด์ก็ออกจากตำหนักจักรพรรดินี วันนั้นห่างจากวันงานวันคล้ายวันเกิดของลูซิโอหนึ่งเดือนพอดี โรสมอนด์ซึ่งไร้ญาติขาดมิตรพาคลาราย้ายไปอยู่ที่ปราสาทเฟ็ลปส์ที่จักรพรรดิเคยพระราชทานให้
แม้ว่าลูซิโอจะพยายามจัดการเรื่องทุกอย่างให้เงียบที่สุด แต่ถึงกระนั้นก็ไม่รู้ว่าชาวบ้านชาวเมืองไปได้ยินมาจากที่ใดถึงได้รู้สถานการณ์ทั้งหมด โรสมอนด์จึงได้แต่ทนฟังถ้อยคำดูถูกด่าทออยู่บนรถม้าที่เดินทางไปยังปราสาทเฟ็ลปส์
“นางแม่มด! อดีตจักรพรรดินีผู้บริสุทธิ์ต้องตายเพราะเจ้า!”
“เรื่องชั่วช้าพวกนั้นเจ้าเป็นคนสร้างขึ้นมาหรือนี่ เจ้าต้องถูกพระเจ้าลงโทษ!”
“วิญญาณของอดีตจักรพรรดินีจะลงโทษเจ้า!”
โรสมอนด์ได้ยินเสียงโห่ร้องเป็นพักๆ และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ไม่คิดเลยว่าจะเปลี่ยนท่าทีกันเร็วขนาดนี้ เมื่อไม่กี่เดือนก่อนคนพวกนั้นยังพูดคำในลักษณะเดียวกันนี้กับอดีตจักรพรรดินีอยู่เลย ทั้งที่แค่ได้ยินมาแท้ๆ ไม่ได้คิดจะนำไปคิดต่อเลยด้วยซ้ำ
พวกโง่!
โรสมอนด์หัวเราะอยู่ในใจ ภายนอกประสานมือไว้บนตักอย่างเรียบร้อยและทำสีหน้าคล้ายกำลังครุ่นคิด
‘ถ้าจะยืนยันว่าตั้งครรภ์จริงหรือไม่ ข้าต้องรออีกอย่างน้อยครึ่งเดือน’
ข้าต้องรักษาชีวิตไว้จนกว่าจะถึงตอนนั้นและปกป้องเด็กในท้องที่ไม่รู้ว่าจะมีหรือไม่ โรสมอนด์ลูบท้องของตัวเองโดยไม่รู้ตัว แม้จะเป็นไปไม่ได้แต่โรสมอนด์ก็รู้สึกราวกับมีเด็กดิ้นอยู่ในท้องแล้ว
“ฝ่าบาท พระองค์ต้องมาประทับอยู่ในที่แบบนี้หรือนี่ เหตุใดเรื่องแบบนี้…”
โรสมอนด์พานางกำนัลจำนวนน้อยที่สุดเดินทางมาจนถึงปราสาทเฟ็ลปส์ คลาราที่เคยใจเย็นอยู่เสมอไม่รู้หายไปไหน ตอนนี้นางเอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญ โรสมอนด์ทนฟังเสียงนั้นไม่ไหวจึงตอกกลับไปอย่างหงุดหงิด
“เลิกบีบน้ำตาเสียที คลารา ข้าไม่อยากฟังแล้ว! ตอนนี้ใครกันแน่ที่อยากร้องไห้!”
โรสมอนด์ตะคอกเสียงแหลมก่อนจะลูบหน้าท้องโดยไม่รู้ตัวและกล่าว
“ถ้าข้าตั้งครรภ์สำเร็จ ไม่ว่าใครก็ฆ่าข้าไม่ได้ เพราะกฎหมายของจักรวรรดิบัญญัติไว้ชัดเจนว่าสตรีที่ตั้งครรภ์สายเลือดกษัตริย์จะต้องละเว้นโทษประหารทุกกรณี! เพราะฉะนั้นเจ้ารออีกหน่อยเถอะ คลารา”
“เพคะ ฝ่าบาท หากเรื่องเป็นเช่นนั้นจริงคงดีไม่น้อย”
“เข้าใจแล้วก็รีบไปบอกให้หัวหน้าห้องเครื่องตั้งโต๊ะได้แล้ว พวกเรารีบเร่งเดินทางจากคาร์วูดมาถึงปราสาทเฟ็ลปส์โดยมิได้หยุดพัก ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว”
“เพคะ ฝ่าบาท”
หลังจากนั้นครู่หนึ่งคลาราก็กลับมาพร้อมกับอาหารมากมายที่ถูกจัดใส่จานไว้อย่างสวยงาม ในตอนนั้นสีหน้าของโรสมอนด์จึงฉายแววของความยินดีขึ้นมาบ้าง
“อาหารหลากหลายดียิ่ง นี่คืออะไร” โรสมอนด์ถาม
“ส่วนใหญ่เป็นอาหารทะเลที่พระองค์โปรดปรานเพคะ เพื่อให้พระองค์ผ่อนคลายหม่อมฉันจึงสั่งพ่อครัวให้ทำเป็นพิเศษ”
“รู้ใจนัก”
โรสมอนด์ยิ้มน้อยๆ และค่อยๆ เปิดฝาครอบอาหารสีเงินขึ้นดู แต่ยังไม่ทันได้เห็นอาหารด้านใน โรสมอนด์ก็ทนกลิ่นน่าสะอิดสะเอียนไม่ไหวจึงปล่อยฝาครอบร่วงกลับที่เดิม โรสมอนด์หน้าซีดเผือดมีอาการคลื่นไส้พะอืดพะอม
“อุ๊บ!”
“ฝ่าบาท!”
คลาราตกใจรีบปรี่เข้าไปหาโรสมอนด์เพื่อดูอาการ
“ฝ่าบาท ทรงเป็นอะไรไปเพคะ ฝ่าบาท!”
“กลิ่น…อาหาร” โรสมอนด์พูดออกมาทีละคำๆ อย่างยากลำบาก “เหม็นมาก… ทำจากอาหารทะเลแน่รึ”
“แน่นอนเพคะ”
คลาราอธิบายหน้าเจื่อน “นี่เป็นอาหารจากหมึกยักษ์ที่ฝ่าบาทโปรดปรานที่สุดเพคะ กลิ่นไม่ดีหรือเพคะ”
“แปลกนัก…ถ้าเป็นหมึกยักษ์ข้าไม่มีทางไม่ชอบ…อ๊ะ!”
ทันใดนั้นแววตาของโรสมอนด์ก็ลุกวาว หญิงสาวพึมพำด้วยเสียงเบาหวิว
“หรือว่า…หรือว่า…?”
“เพคะ? ฝ่าบาท ทรงเป็น…อ๊ะ!”
สีหน้าของคลาราพลันสดใสขึ้นเมื่อรู้ว่าโรสมอนด์กำลังคิดอะไรอยู่ โรสมอนด์ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น
***
หลังจากโรสมอนด์ถูกปลดจากตำแหน่งลูซิโอก็ไม่ยอมเลือกจักรพรรดินีคนใหม่ง่ายๆ ผู้คนต่างซุบซิบนินทากันว่าเขาต้องสะเทือนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ผิดแน่ สำหรับกลุ่มปฏิวัติก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเพราะพวกเขาเองก็หวังให้จักรพรรดิอยู่เงียบๆ ไปสักระยะหนึ่ง
สองอาทิตย์ต่อมาก็ถึงวันประหารโรสมอนด์
“ได้ยินว่าตั้งแต่จักรพรรดินีถูกปลด ฝ่าบาทก็ไม่เป็นอันกินอันนอนเลยหรือคะ”
ได้ยินคำพูดของบุตรสาว ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นสีหน้าเรียบเฉย ทั้งสองอยู่บนรถม้าเพื่อเดินทางไปชมการประหารอดีตจักรพรรดินีโรสมอนด์ที่จตุรัสเจอร์เบียเน็นแห่งนครหลวงคาร์วูด
“นี่เป็นการปลดจักรพรรดินีครั้งที่สองแล้วของปีนี้ อีกทั้งเดิมทีฝ่าบาทก็โปรดปรานอดีตจักรพรรดินีคนนี้มาก จะทุกข์ใจก็มิใช่เรื่องแปลก” เขาตอบ
ก็ไม่แน่หรอก ลอเรนคิดในใจ สำหรับลอเรนแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องปกติ หญิงสาวกลับคิดว่าพฤติกรรมของจักรพรรดิโง่เขลาสิ้นดีเสียด้วยซ้ำ แค่ผู้หญิงคนเดียวก็หาดีๆ ไม่ได้ แล้วดูสิว่าตอนนี้เขาตกอยู่ในสภาพไหน
ตอนนั้นเอง ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดก็พูดขึ้นราวกับอ่านใจของบุตรสาวได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
“การเลือกคู่ครองเป็นเรื่องยากไม่ว่าจะหญิงหรือชาย ลอเรน คนที่เลือกคู่ผิดจนนำไปสู่ความวิบัติก็มีให้เห็นทั่วไป”
ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดกล่าวเพียงเท่านั้น กว่าเขาจะเปิดปากอีกครั้งก็เป็นอีกครู่หนึ่งให้หลัง
“อ้าว ดูเหมือนจะถึงแล้วล่ะ”
รถม้าค่อยๆ ชะลอความเร็วลง ผู้โดยสารทั้งสองจึงเตรียมตัวลงจากรถ เมื่อประตูรถม้าเปิดออกดยุกวีเธอร์ฟอร์ดก็ลงไปก่อนจากนั้นค่อยรับบุตรสาวลงมา นอกจากสองพ่อลูกคู่นี้แล้วยังมีผู้คนอีกมากมายมารวมตัวกันอยู่ที่จตุรัสแห่งนี้ แน่นอนว่าพวกเขามารอชมความตายของอดีตจักรพรรดินีโรสมอนด์ ประชาชนส่งเสียงประณามตั้งแต่เจ้าตัวยังไม่ปรากฏตัว และนั่นทำให้บรรยากาศในจัตุรัสห่างไกลจากคำว่าเงียบสงบนัก กลับดูเหมือนตลาดเสียมากกว่า
“เบิกตัวอดีตจักรพรรดินี”
และแล้วน้ำเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อยของลูซิโอก็ดังขึ้น เพียงไม่นานโรสมอนด์ก็เข้ามาในจัตุรัสโดยมีอัศวินประกบซ้ายขวา การปรากฏตัวของนางทำให้เสียงที่อื้ออึงอยู่แล้วกลายเป็นอึกทึก
“นางแม่มด! นางแม่มดออกมาแล้ว!”
“ตาย! ตาย!”
“ผู้หญิงคนนั้นฆ่าอดีตจักรพรรดินีที่ไม่มีความผิด!”
โรสมอนด์ฟังถ้อยคำเสียดสีเหล่านั้นอย่างสบายอารมณ์ผิดคาด นางยืนต่อหน้าทุกคนด้วยท่าทีมาดมั่นราวกับตนไม่ได้ทำอะไรผิด ลูซิโอเห็นดังนั้นในใจก็ร้อนดั่งไฟแผดเผา ต่อให้นางทำเรื่องเลวร้ายลงไป อย่างไรนางก็ยังคงเป็นผู้หญิงที่เขารักจากใจจริง
เขาค่อยๆ เปิดปากร่ายความผิดของโรสมอนด์
“อดีตจักรพรรดินีโรสมอนด์ แมรี ลา เฟ็ลปส์ วางแผนชั่วร้ายป้ายสีให้อดีตจักรพรรดินีเปโตรนิยา ลอว์รา เลอ โกรเชสเตอร์จนถึงแก่ความตาย พฤติกรรมดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผิดศีลธรรมซึ่งจักรพรรดินีผู้เป็นมารดาของปวงชนไม่พึงกระทำ อีกทั้งยังเป็นการดูหมิ่นจักรพรรดิและราชวงศ์มาวินอส ด้วยเหตุนั้น เรา…ลูซิโอ แคร์ริก จอร์ช เดอ มาวินอส…”
ลูซิโอกล่าวให้จบประโยคด้วยเสียงสั่นเครือ “…ในนามของจักรพรรดิ เราขอสั่งให้ประหารชีวิต”
“ฝ่าบาท”
ตอนนั้นเอง โรสมอนด์ก็ฉีกยิ้มอย่างงดงามพลางเอ่ยเรียกลูซิโอ ลูซิโอมองนางหญิงสาวด้วยดวงตาแดงก่ำ คนรักของเขาไม่มีท่าทีหวาดหวั่นหรือหวาดกลัวต่อความตายที่อยู่ตรงหน้าแม้แต่น้อย
“พระองค์ประหารหม่อมฉันมิได้เพคะ”
คำพูดนั้นทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเซ็งแซ่ในจัตุรัสอีกครั้ง ส่วนใหญ่พูดกันว่า ‘นั่นหมายความว่าอย่างไร’ ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดที่เงียบฟังมาตลอดจึงเอ่ยถามแทนลูซิโอ
“นั่นหมายความว่าอย่างไร”
“ตามที่ข้าพูดเลยค่ะ ดยุก ไม่มีผู้ใดในจักรวรรดินี้ทำร้ายข้าได้”
โรสมอนด์พูดต่ออย่างมั่นใจ “ในครรภ์ของข้ามีสายเลือดของราชวงศ์มาวินอสอยู่ค่ะ”
“เป็นไปไม่ได้!”
เสียงโห่ร้องดังขึ้นจากทั่วทุกสารทิศ ลูซิโอจับตาดูโรสมอนด์ด้วยท่าทีเย็นชาเล็กน้อย แต่นอกจากเขาแล้ว ขุนนางคนอื่นๆ กลับดูตะลึงงัน จากนั้นขุนนางคนหนึ่งก็ตั้งข้อสงสัย
“เรื่องนั้นท่านสามารถพิสูจน์ได้หรือไม่ หากพบว่านั่นเป็นเรื่องโกหก ท่านจะต้องรับโทษหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและหลอกลวงประชาชนนะ”
“ตอนอยู่ที่ปราสาทเฟ็ลปส์ข้าทุกข์ทรมานอย่างหนักจากการแพ้ท้อง แต่มิอาจตรวจดูให้แน่ชัดเพราะไม่สามารถเชิญหมอหลวงได้ แต่…” แววตาของโรสมอนด์เป็นประกาย “เชิญท่านเรียกหมอหลวงมาตรวจดูเถิด ฟังผลพร้อมๆ กันเช่นนี้ย่อมดีกว่ามิใช่หรือ”
“….”
สุดท้ายหมอหลวงก็ถูกเรียกตัวมาจากพระราชวังและทำการตรวจร่างกายของโรสมอนด์อย่างละเอียด ผ่านไปครู่หนึ่งหมอหลวงก็เอ่ยสิ่งที่เหนือคาดออกมา
“ไม่มีการตั้งครรภ์พ่ะย่ะค่ะ”
สิ้นคำ โรสมอนด์ก็หวีดร้อง
“เป็นไปไม่ได้!”
“เฉลียวฉลาดและมีเมตตาค่ะ” ดัชเชสเอเฟรนีตอบทันที “งานของฝ่ายในก็ทรงจัดการได้ดี ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงได้ครอบครองความรักของพระจักรพรรดิไว้เพียงผู้เดียว”
“อย่างนั้นหรือคะ” ลอเรนยิ้มอย่างงดงามและถามต่อ “แล้วอดีตจักรพรรดินีล่ะคะ”
“…เลดี้”
“อ้อ ลำบากใจที่จะพูดหรือคะ”
“เลดี้มีเจตนาอันใดจึงได้ถามเรื่องนี้คะ”
“เจตนาอะไรกันคะ ดัชเชส ข้าก็แค่สงสัยเท่านั้น”
“…”
ดัชเชสเอเฟรนีไม่ตอบคำถาม ลอเรนเห็นดังนั้นจึงถามอีกครั้ง
“ข้าขอถามอีกเรื่องเป็นคำถามสุดท้ายได้ไหมคะ”
“…”
“ท่านมีส่วนในการตายของอดีตจักรพรรดินีใช่หรือไม่”
“เลดี้ลอเรน!”
“…เป็นปฏิกิริยาที่อ่อนไหวน่าดูเลยนะคะ”
“ข้าไม่ค่อยอยากพูดถึงเรื่องนั้นค่ะ อีกอย่าง…นางกำนัลของพระจักรพรรดินีอย่างเลดี้พูดเรื่องนั้นออกมาได้อย่างไรคะ ไม่คิดว่ามันไม่เหมาะสมบ้างหรือ”
“หากมองในฐานะที่ข้าเป็นนางกำนัลย่อมไม่เหมาะสมค่ะ” ลอเรนตอบกลับด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และพูดต่อ “ข้ารู้ว่าดัชเชสให้การช่วยเหลือจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันเมื่อครั้งที่ยังทรงเป็นแค่มาร์เชอนิสเฟ็ลปส์ในการขับไล่อดีตจักรพรรดินีค่ะ ท่านนำยาที่ทำให้แท้งบุตรไปให้จักรพรรดินีโรสมอนด์เสวยทั้งที่พระองค์มิได้ทรงพระครรภ์ จากนั้นก็นำยานั้นไปซ่อนไว้ในห้องของอดีตจักรพรรดินีเปโตรนิยา ทำให้อดีตจักรพรรดินีถูกป้ายสีจนต้องโทษประหารทั้งครอบครัว”
“นี่เจ้า…พูดอะไร…”
ดัชเชสเอเฟรนีพูดติดอ่างสีหน้าซีดเผือด เรื่องนั้น…นางรู้ได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นถูกกำจัดไปหมดแล้ว เหลือแค่ตน และโรสมอนด์กับคลาราเท่านั้น ดัชเชสเอเฟรนีระเบิดโทสะออกมา แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“ไฉนจึงเสียมารยาทเช่นนี้! พูดเรื่องเช่นนั้นออกมาโดยไม่มีหลักฐาน…! ที่แท้เลดี้เป็นคนเช่นนี้หรอกรึ มาปรักปรำผู้อื่นโดยไม่มีหลักฐานได้อย่างไร!”
“ดัชเชส” ลอเรนหัวเราะเสียงเย็นและเอ่ยเรียกอีกฝ่าย “อย่าทำแบบนี้สิคะ ความจริงเป็นอย่างไรฟ้าดินล้วนเป็นพยาน คิดว่าฆ่านางกำนัลแค่ไม่กี่คนแล้วจะปิดไว้ได้มิดอย่างนั้นหรือ”
“…”
“ดูจากสีหน้าของท่าน คงจะสงสัยมากกระมังว่าข้ารู้ได้อย่างไร” ลอเรนพูดด้วยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ในบรรดานางกำนัลที่ถูกกำจัด มีสาวใช้จากตระกูลของข้าอยู่ด้วยคนหนึ่งค่ะ”
“…”
“นางเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดมากทีเดียว…จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังเสียดาย”
“…เลดี้”
“ไม่สงสัยหรือคะว่าเหตุใดข้าถึงมาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าท่าน”
และนี่คือประเด็นสำคัญ ดัชเชสเอเฟรนีเขม้นมองลอเรน ทว่าลอเรนกลับไร้ท่าทีหวาดหวั่น ยังคงตั้งคำถามต่อไปอย่างสุขุม
“ได้ยินว่าท่านมีหลานสาวที่รักมากอยู่คนหนึ่ง…รักประหนึ่งลูกแท้ๆ…”
“เหตุใดจู่ๆ จึงพูดถึงนาง”
“ไม่ต้องระแวงขนาดนั้นก็ได้ค่ะ ดัชเชส” ลอเรนยิ้มน้อยๆ และถามต่อ “ใกล้จะถึงวันเกิดของนางแล้วใช่ไหมคะ ของขวัญวันเกิดปีนี้ให้เป็นมงกุฎจักรพรรดินีดีหรือไม่ ตอนนี้ก็ถึงวัยที่จะเป็นควิเนสได้พอดี”
“เลดี้!”
“บุตรีของขุนนางชั้นต่ำกลายเป็นจักรพรรดินีไปแล้วนะคะ ท่านคิดจะทำให้สายเลือดของราชวงศ์มาวินอสต้องแปดเปื้อนอย่างนั้นหรือ? ท่านคิดจะทำลายจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ที่บรรพบุรุษของเราร่วมกันสร้างมาหรือคะ”
“…”
“ข้าคงให้เวลาคิดทบทวนไม่นานนักหรอกนะคะ ดัชเชส ข้าไม่ใช่คนมีความอดทนขนาดนั้น”
“เลดี้มีเหตุผลอันใดถึงมาพูดเรื่องนี้กับข้า”
“มีขุนนางหลายท่านไม่พอใจที่บุตรีของบารอนปลายแถวอาจได้เป็นพระพันปีค่ะ ท่านแน่ใจหรือว่าท่านไม่ได้อยู่ในกลุ่มนั้น”
“พระทัยขององค์จักรพรรดิอยู่ที่จักรพรรดินีนะคะ เลดี้ลงเดิมพันผิดอย่างมหันต์แล้ว”
“ประเทศนี้ไม่ได้เป็นของจักรพรรดิพระองค์เดียวหรอกนะคะ เหล่าขุนนางก็ช่วยสร้างมาเช่นกัน ที่จักรพรรดินีสามารถโค่นอดีตจักรพรรดินีและยึดบัลลังก์มาเป็นของตัวเองได้ก็เพราะมีข้ออ้างที่ฟังขึ้น แต่ถ้าข้ออ้างนั้นมันผิดล่ะคะ? ถึงตอนนั้น จักรพรรดิจะยังปกป้องจักรพรรดินีได้หรือคะ?”
“…”
“คิดให้ดีๆ นะคะ ดัชเชส ถึงท่านไม่ให้ความร่วมมือ เราก็เตรียมจะเปิดเผยความจริงกันแล้ว นางกำนัลที่รอดตายส่วนหนึ่งอยู่ในความคุ้มครองของเราค่ะ หากท่านจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นจนถึงที่สุด ข้าก็คงช่วยอะไรท่านไม่ได้”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เลดี้ก็ไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องมาคุยกับข้ามิใช่หรือคะ เหตุใดเลดี้ถึงมอบ ‘โอกาส’ เช่นนี้ให้ข้า?”
“ไม่รู้จริงๆ หรือคะ ดัชเชส” ลอเรนพูดเสียงต่ำ “เหตุใดเราต้องสละสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพียงเพื่อผลลัพธ์เล็กๆ น้อยๆ ด้วยล่ะคะ แม้อยากจะกำจัดสายเลือดชั้นต่ำ แต่เราจะไม่ยอมเสียสายเลือดชั้นสูงไปด้วยหรอกค่ะ”
***
“สรุปแล้วดัชเชสเอเฟรนียอมเข้าร่วมกับเราหรือไม่”
ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดถามเสียงค่อย ลอเรนพยักหน้าพลางตอบ
“ค่ะ ท่านพ่อ”
“เจ้ามั่นใจในตนเองขนาดนั้น หากผิดพลาดขึ้นมาจะทำอย่างไร”
“ดัชเชสเอเฟรนียึดถือเรื่องสายเลือดบริสุทธิ์สุดขั้วหัวใจค่ะ นางเป็นชนชั้นสูงโดยกำเนิด แม้ไม่รู้ว่าเหตุใดคนอย่างนางถึงไปเข้าพวกกับจักรพรรดินี…แต่ข้าคิดว่านางคงถูกจักรพรรดินีกุมจุดอ่อนไว้” ลอเรนยิ้มน้อยๆ “หากนับรวมเหตุผลนั้นเข้าไปด้วย ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่นางจะต้องปกป้องจักรพรรดินีจนตัวตาย”
“เจ้าคงไม่ได้บอกนางกระทั่งเรื่องที่เราจะปลดจักรพรรดิหลังจากปลดจักรพรรดินีกระมัง”
“ท่านพ่อเห็นข้าเบาปัญญาหรือคะ” ลอเรนแสดงความไม่พอใจด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่ต้องห่วงค่ะ หลังการปฏิวัติข้าย่อมไม่ปล่อยตระกูลเอเฟรนีไว้แน่ ในฐานะคนของตระกูลวีเธอร์ฟอร์ด ข้าจะปล่อยตระกูลเอเฟรนีไว้ได้อย่างไร”
***
“เฮ้อออ”
โรสมอนด์ถอนหายใจยาวพลางลุกขึ้นนั่ง ดวงตะวันขึ้นกลางศีรษะนานแล้ว โรสมอนด์ที่หมู่นี้ใช้ชีวิตอย่างเกียจคร้านกระตุกเชือกสั่นกระดิ่งเรียกหาคลาราเป็นอันดับแรก
“ฝ่าบาท”
ตอนนั้นเอง คลาราก็วิ่งตาลีตาเหลือกเข้ามาในห้อง โรสมอนด์เพิ่งลืมตาตื่นเห็นท่าทีรีบร้อนของอีกฝ่ายก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เกิดอะไรขึ้น”
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ ฝ่าบาท”
“เรื่องใหญ่รึ เรื่องอะไร”
หลังจากตอบแบบส่งๆ ไปคำหนึ่ง โรสมอนด์ก็พูดเสริมติดตลก “อดีตจักรพรรดินีฟื้นคืนชีพขึ้นมาหรือไร”
“เรื่องใหญ่กว่านั้นอีกเพคะ” คลาราพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ตอนนี้ดัชเชสเอเฟรนีกำลังให้การต่อที่ประชุมขุนนางเพคะ”
“ให้การ? ให้การอันใด”
“ก็เรื่องที่ฝ่าบาทใส่ร้ายอดีตจักรพรรดินีน่ะสิเพคะ! นางกำลังให้การเรื่องที่ฝ่าบาทแสร้งว่าทรงพระครรภ์จนนำไปสู่การปลดอดีตจักรพรรดินีเพคะ”
“…หา?”
ได้ฟังดังนั้นสีหน้าของโรสมอนด์ก็ซีดเผือด ก่อนจะแผดเสียงดังลั่น
“นั่นมันเรื่องบ้าอะไรกัน!”
โรสมอนด์ลุกพรวดขึ้นจากเตียง คลาราเห็นดังนั้นก็ถามเสียงสะอื้น
“ฝ่าบาท จะเสด็จไปที่ใดเพคะ”
“ถามโง่ๆ ก็ไปประชุมขุนนางน่ะสิ! ข้าต้องไปดูให้เห็นกับตา คลารา ช่วยข้าเตรียมตัวที”
“ฝ่าบาท ถึงเสด็จไปตอนนี้ก็ไม่มีประ…”
ตอนนั้นเอง ใครคนหนึ่งก็เปิดประตูผัวะเข้ามา ลอเรนมาพร้อมนางกำนัลกลุ่มหนึ่ง โรสมอนด์เห็นดังนั้นก็ปรี่เข้าไปหาด้วยความยินดี
“ลอเรน!”
“…”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ดัชเชสเอเฟรนีทำบ้าอะไรของนาง!”
“พระจักรพรรดินีเพคะ”
เสียงของลอเรนทุ้มต่ำกว่าปกติ โรสมอนด์ได้ยินดังนั้นก็ตระหนักได้ทันทีว่าอีกฝ่ายอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด นางจ้องมองลอเรนด้วยสายตาดุดัน ทว่า ลอเรนกลับพูดต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ฝ่าบาทมีรับสั่งให้คุมตัวพระองค์ไว้ในตำหนักจักรพรรดินีไปก่อนเพคะ พระจักรพรรดินี”
“เป็นฝีมือเจ้าอย่างนั้นรึ ลอเรน เป็นเจ้ารึ?!”
“ผู้ที่กระทำความผิดคือพระองค์มิใช่หรือเพคะ หาใช่หม่อมฉันไม่”
ลอเรนแจ้งให้อีกฝ่ายทราบด้วยสีหน้าเฉยเมย “ห้ามพระองค์ติดต่อกับภายนอก ส่วนการตัดสินโทษจะมีการหารือกันอีกครั้งในที่ประชุมขุนนาง จนกว่าจะถึงตอนนั้นฝ่าบาทมีรับสั่งให้พระองค์อยู่อย่างสงบเสงี่ยมเพคะ”
“ไม่มีทาง! ข้าต้องไปพบดัชเชสเอเฟรนี”
“อย่างที่หม่อมฉันกราบทูลไปเมื่อครู่ พระองค์ไม่ได้รับอนุญาตให้ติดต่อกับภายนอกเพคะ”
ลอเรนตอบอย่างไม่ใส่ใจและหันไปกล่าวกับบรรดานางกำนัลด้านหลัง
“ในเมื่อมีคำให้การว่านางกำนัลผู้นั้นร่วมสมคบคิดในแผนการใส่ร้ายอดีตจักรพรรดินี ดังนั้นนางต้องถูกคุมตัวด้วยเช่นกัน ลากตัวไป!”
“กรี๊ด! ปล่อยข้า! ฝ่าบาท! พระจักรพรรดินีเพคะ!”
“ปิดปากนางเสีย”
“ไม่นะ ฝ่าบาท ช่วยหม่อมฉันด้วยเพคะ!”
“คลารา!”
โรสมอนด์ที่กำลังร้อนใจก้าวฉับๆ เข้าไปหาลอเรนและเงื้อมือตบหน้าอีกฝ่าย ใบหน้าของลอเรนสะบัดไปด้านซ้ายพร้อมกับเสียงเนื้อกระทบเนื้อ บุตรีดยุกอย่างตนกลับถูกบุตรีบารอนต่ำต้อยตบหน้า เรื่องนี้ทำให้ลอเรนรู้สึกอับอายอย่างมาก แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็ยังเป็นจักรพรรดินี ลอเรนได้แต่กัดลิ้นเบาๆ เพื่อระงับโทสะ
หญิงสาวกล่าวเน้นเสียงทีละคำๆ
“ตอนนี้พระองค์ยังคงเป็นจักรพรรดินีผู้สูงส่ง ดังนั้นหม่อมฉันจะอดทนไว้ก่อนเพคะ”
“เจ้า…!”
โรสมอนด์ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทว่า ลอเรนกลับมองข้ามปฏิกิริยานั้นแล้วเดินออกไปทันที หลังจากนั้นก็มีเสียงกรีดร้องแสบแก้วหูดังลอดออกมาจากตำหนักจักรพรรดินีหลายต่อหลายครั้ง
ด้วยคำให้การของดัชเชสเอเฟรนี คดีของอดีตจักรพรรดินีจึงถูกนำกลับมาตรวจสอบอีกครั้งอย่างละเอียด ดูเหมือนจักรพรรดิลูซิโอจะได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างมากจากเหตุการณ์นี้ นี่จึงเป็นเครื่องยืนยันว่าเขาไม่มีส่วนรู้เห็นในแผนการอันชั่วช้าของจักรพรรดินีโรสมอนด์ และในความเป็นจริงเขาเองก็เพิ่งรู้เรื่องนั้นครั้งแรกจากปากของดัชเชสเอเฟรนี
“เป็นอย่างไรบ้างคะ ท่านพ่อ”
ไม่กี่วันหลังจากนั้น ความจริงเรื่องจักรพรรดินีโรสมอนด์วางอุบายป้ายความผิดให้อดีตจักรพรรดินีก็ได้รับการยืนยันจึงมีการจัดประชุมตัดสินโทษต่อทันที
“มีมติให้ปลดจากตำแหน่ง” ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดตอบลอเรน
“อา…ว่าแล้วเชียว”
“สิ่งที่เป็นตัวตัดสินคือนางได้ตำแหน่งมาโดยมิชอบ วางแผนการร้ายเพื่อทำลายผู้อื่น นับว่าขาดคุณสมบัติของการเป็นจักรพรรดินี เรื่องตั้งครรภ์ก็เป็นเรื่องโกหก การตัดสินย่อมไม่ผิดไปจากนี้”
“เช่นนั้นก็โล่งอกค่ะ”
ลอเรนถอนหายใจยาวและพูดเสริม “ในที่สุดก็จบไปเรื่องหนึ่งแล้วนะคะ ปลายทางอยู่ไม่ไกลแล้ว”
“วันคล้ายวันพระราชสมภพใกล้เข้ามาแล้ว พวกเราจะถวายของขวัญแด่พระองค์ในวันนั้น”
“อ้อ” ลอเรนพูดเจือเสียงหัวเราะ “ตกลงกันไว้เช่นนั้นหรือคะ”
“ใช่ ไม่มีวันไหนจะเหมาะไปกว่าวันนั้นแล้วล่ะ”
“แล้วเรื่องประหาร…?”
“นั่นก็คงอีกไม่นานเช่นกัน”
ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดยิ้มอย่างรักใคร่เอ็นดูพลางลูบศีรษะบุตรสาว
“รออีกหน่อยนะ ลูกสาวพ่อ วันที่เจ้าจะได้เป็นจักรพรรดินีอยู่อีกไม่ไกลแล้ว”
***
“เป็นไปไม่ได้!”
คลาราแอบเข้ามาในตำหนักจักรพรรดินีเพื่อแจ้งข่าวมติในที่ประชุมขุนนางแก่โรสมอนด์ ครั้นได้ฟัง โรสมอนด์ก็คร่ำครวญหวนไห้
ถูกปลด! เป็นไปไม่ได้ กว่าจะขึ้นมาถึงจุดนี้! มือข้าต้องเปื้อนเลือดไปมากมายเพียงใด!
“ละ แล้วฝ่าบาทล่ะ ทรงให้ความยินยอมอย่างนั้นรึ” โรสมอนด์ละล่ำละลักถาม
“…ฝ่าบาทเองก็ทำอะไรไม่ได้เพคะ พวกขุนนางยื่นคำขาดให้ปลดพระองค์ออกจากตำแหน่ง”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ! ฝ่าบาทเป็นถึงจักรพรรดิของจักรวรรดินะ! เป็นจักรพรรดิก็ต้องทำได้ทุกอย่างสิ ทุกอย่าง!”
“ฝ่าบาท อย่าดันทุรังเลยเพคะ ต่อให้เป็นจักรพรรดิก็ใช่ว่าจะทำตามพระทัยได้ทุกเรื่องนะเพคะ”
“โธ่เว้ย!”
ในจักรวรรดิมาวินอส การถูกปลดจากตำแหน่งหมายถึงความตาย เปโตรนิยาก็ตายด้วยเหตุนั้นมิใช่หรือไร เรื่องที่พอจะเรียกได้ว่าโชคดีก็คือโรสมอนด์ไม่มีครอบครัวที่จะต้องตายไปด้วยกัน โรสมอนด์กัดฟันด้วยสีหน้าพะวักพะวน
“ข้าไม่อยากตาย! กว่าจะได้มงกุฎนี้มา… ข้าต้องหาวิธี หาวิธี…”
“ฝ่าบาท…”
คลาราอยากจะบอกว่าไม่มีวิธีเช่นนั้นหรอก แต่ขืนพูดไปตนอาจต้องรับมือกับการฟาดงวงฟาดงาของอีกฝ่ายก็เป็นได้ คลาราจึงเลือกที่จะปิดปากเงียบไว้เสีย
“ทำอย่างไรดี?! โอ๊ย… ไม่มีวิธีดีๆ เลยรึ”
โรสมอนด์เดินไปเดินมาครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะตบมือฉาดหนึ่งราวกับนึกอะไรดีๆ ขึ้นมาได้ คลาราได้ยินเสียงตบมือก็ตกใจเบิกตากว้างพลางเอ่ยถาม
“ฝ่าบาท เป็นอะไรไปเพคะ”
“ข้าคิดแผนออกแล้ว”
โรสมอนด์พูดด้วยตาลุกวาว “ข้าต้องไปตำหนักกลางเดี๋ยวนี้ คลารา ช่วยข้าเตรียมตัว”
การพบกันอีกครั้งเกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเย็นเยียบ
“ไม่ได้พบกันนานเลยนะเพคะ ฝ่าบาท”
ใบหน้าของเปโตรนิยาประดับด้วยรอยยิ้มงดงามอันเป็นเอกลักษณ์ขณะเอ่ยต้อนรับลูซิโอ ลูซิโอรู้ว่านี่คือความฝัน แต่ทันทีเห็นเปโตรนิยา บรรยากาศที่น่าขนลุกกลับแจ่มชัดจนยากจะคิดว่าเป็นความฝัน เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เปโตรนิยาเห็นดังนั้นก็ยิ่งเผยยิ้มกว้างขึ้น และเอ่ยปาก
“นั่งก่อนสิเพคะ ฝ่าบาท”
“…”
ลูซิโอไม่สามารถปฏิเสธคำขอของผู้ตายได้ โดยเฉพาะคำขอของผู้ที่ตายด้วยน้ำมือของเขาเอง
“ทรงพระเกษมสำราญดีหรือไม่เพคะ”
ครั้นได้ฟังคำถามนั้น ลูซิโอก็นึกสงสัยว่าคนตรงหน้าใช่จักรพรรดินี ไม่สิ อดีตจักรพรรดินีที่ตนรู้จักจริงหรือ? เปโตรนิยาที่เขารู้จักไม่ใช่คนที่จะมาตั้งคำถามอย่างสงบเยือกเย็นและสง่างามกับเขาซึ่งเป็นคนที่ฆ่านางเช่นนี้ เขาเคยคิดไว้ว่านางต้องปรี่เข้ามาฉีกกระชากเขาทันทีที่เห็น และเขาเองก็พร้อมจะให้นางฉีกกระชากด้วยความเต็มใจ แต่ไม่ใช่แบบนี้ เขาคาดการณ์ถึงปฏิกิริยาของอีกฝ่ายไว้หลายแบบ แต่ไม่มีปฏิกิริยาเช่นนี้ ลูซิโอทำตัวไม่ถูก
“เหตุใด…จึงถามเช่นนั้น” เขาถามกลับ
“หม่อมฉันสงสัยเพราะหม่อมฉันรักฝ่าบาทน่ะสิเพคะ” เปโตรนิยายิ้มน้อยๆ “หม่อมฉันสงสัยมากเหลือเกิน ทั้งสองพระองค์ต่างเห็นหม่อมฉันเป็นหนามยอกอก ดังนั้น ขอเพียงไม่มีหม่อมฉันแล้ว ฝ่าบาทย่อมต้องมีความสุขเป็นแน่”
“…”
“แล้วตอนนี้มีความสุขหรือไม่เพคะ?”
“…อืม” ลูซิโอพูดอย่างตรงไปตรงมา “มีความสุขสิ…ในตอนนี้”
“อย่างนั้นหรือเพคะ”
เปโตรนิยาคลี่ยิ้มบางๆ
“เรารู้สึกผิดต่อเจ้า” ลูซิโอกล่าว
“…”
“ต่อให้เราพูดอะไรไปก็คงดูเป็นการเสแสร้ง หากเรามิได้พบกันด้วยความสัมพันธ์เช่นนี้ เจ้าก็คง…”
“หุบปากเถิดเพคะ”
หญิงสาวโพล่งคำนั้นออกมาในทันใด รอยยิ้มของเปโตรนิยาที่เคยอ่อนโยนพลันเปลี่ยนเป็นชั่วร้ายราวกับสิ่งที่เห็นก่อนหน้านี้ไม่มีอยู่จริง บรรยากาศที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันทำให้ลูซิโอสับสน เขาปิดปากแน่นโดยไม่รู้ตัว
“ในเมื่อรู้ว่ามันดูเสแสร้งก็หุบปาก” เปโตรนิยาเอ่ยเสียงเย็นด้วยสีหน้าน่ากลัว
“…จักรพรรดินี”
“ไม่…ไม่ใช่” เปโตรนิยาว่าพลางแสยะยิ้มน่าขนลุก “ข้าไม่ใช่จักรพรรดินี จริงไหม?”
“…”
“ท่านปลดข้าออกจากตำแหน่งแล้ว ท่านกล้า…กล้าดีอย่างไร…!”
น้ำเสียงที่เจือด้วยโทสะนั้นทำให้ลูซิโอพูดไม่ออก รู้สึกราวกับถูกรัศมีของอีกฝ่ายกดทับไว้ ไม่สิ เขาเองก็รู้ดี รู้ว่าบาปของเขาเป็นเรื่องจริง และนางมีสิทธิ์ที่จะโกรธ กระนั้นแล้ว ในที่นี้ใครกันแน่ที่เป็นคนชั่ว และใครที่ควรจะโกรธใคร
“กล้าดีอย่างไรมาเรียกข้าว่าจักรพรรดินี”
“…เจ้าต้องการการขอขมาหรือ”
“ขอขมา…” หญิงสาวแค่นหัวเราะ ทำสีหน้าราวกับทุกสิ่งเป็นเรื่องน่าขัน “เช่นนั้นโปรดขอขมาตามที่ข้าต้องการด้วยเถิด พระจักรพรรดิผู้แสนประเสริฐ สุริยันแห่งปวงข้า”
“…”
“ระหว่างเรามิใช่พรหมลิขิตแต่เป็นมารลิขิต มารลิขิตที่อำมหิตหาใดเปรียบ! นอกจากข้าที่ต้องตายเพราะท่าน! แล้ว…แล้วน้องสาวและบิดามารดาที่น่าสงสารของข้าเล่า ท่านจะขออภัยต่อพวกเขาอย่างไร”
เขาไม่รู้จะพูดอะไร เพราะไม่มีวิธีใดที่เขาจะขออภัยต่อคนเหล่านั้นได้ ลูซิโอกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
“ท่านถามข้าว่าต้องการการขอขมาหรือไม่” เปโตรนิยายังคงพูดเสียดสีต่อไป
“…”
“ใช่ ข้าต้องการ”
ต้องการอย่างมาก เปโตรนิยาพึมพำ
“การขอขมาสำหรับข้าคือ ‘ความพินาศย่อยยับ’ ของท่านกับโรสมอนด์”
เปโตรนิยาเน้นเสียงคำว่า ‘ความพินาศย่อยยับ’ ลูซิโอมองเปโตรนิยาด้วยดวงตาแดงก่ำ อีกฝ่ายก็กำลังจ้องมองเข้ามาในดวงตาของเขาพร้อมกับสาปแช่งเช่นกัน
“หากพระเจ้าไม่ลงทัณฑ์พวกท่าน ข้าก็จะทำเอง ข้า! เปโตรนิยาคนนี้! จะลงทัณฑ์พวกท่าน! ด้วยตัวเอง!”
ขณะนั้นเอง เปโตรนิยาที่เคยยืนนิ่งก็หายตัวมาโผล่ตรงหน้าลูซิโอในพริบตา หญิงสาวใช้สองมือบีบคอของลูซิโอด้วยแรงอันมหาศาลเกินกว่าจะเป็นแรงของสตรี ลูซิโอลืมสิ้นว่านี่คือความฝันและส่งเสียงร้องอึกอัก
“ตาย! ตาย! ตาย!”
“อึก…จักรพรรดินี ได้โปรด…”
“ตายยย!”
“อ๊ากกก!”
ลูซิโอหวีดร้องและตื่นขึ้น เขาอ้าปากหอบหายใจหนักหน่วง ราวกับได้ประสบเหตุการณ์ในฝันนั้นจริง
“บ้าเอ๊ย…อีกแล้ว”
เขาหอบหายใจหนักและพยายามเรียกสติ ไม่รู้ว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วที่เขาฝันเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมา และเขาก็มีปฏิกิริยาแบบเดิม
“ฝ่าบาท เป็นอันใดไปหรือเพคะ!”
หัวหน้านางกำนัลรีบเปิดประตูเข้ามาด้วยคิดว่าอาการชักของจักรพรรดิกำเริบ ครั้นเห็นเหงื่อกาฬไหลโซกบนหน้าผากของลูซิโอ หัวหน้านางกำนัลก็เอ่ยถามด้วยความตกตะลึง
“หะ…ให้หม่อมฉันไปเชิญพระจักรพรรดินีไหมเพคะ”
“ไม่ต้อง เราไม่เป็นไร” ลูซิโอเอ่ยปรามอีกฝ่ายขณะที่ยังหายใจหอบ “วันนี้ไม่ใช่ เราเพียงแต่ฝันแปลกๆ”
“อา…”
“ขอน้ำสักแก้วสิ”
“เพคะ ฝ่าบาท”
หัวหน้านางกำนัลเดินออกไป เหลือเพียงลูซิโอที่ค่อยๆ ซับเหงื่อบนหน้าผากด้วยผ้าเช็ดหน้าอยู่คนเดียวในห้อง ฝันถึงเรื่องนี้ทีไรเขามักจะรู้สึกแปลกๆ แปลกมากจริงๆ
“คงเป็นเพราะหมู่นี้หักโหมมากเกินไป”
ลูซิโอไม่เห็นเป็นสำคัญ คล้ายว่าเขาไม่นึกอยากจะสนใจว่าคำสาปแช่งของคนตายรุนแรงเพียงใด
***
“ได้ยินว่าหมู่นี้ฝ่าบาทฝันแปลกๆ เพคะ”
ได้ยินคลาราพูดดังนั้นโรสมอนด์ที่กำลังเลือกสร้อยคออยู่ก็เอ่ยถาม
“หมายความว่าอย่างไร ฝันถึงอดีตจักรพรรดินีอลิซารึ”
“ดูเหมือนจะไม่ใช่เพคะ หม่อมฉันได้ยินนางกำนัลของตำหนักกลางพูดกันว่าหมู่นี้ฝ่าบาทฝันแปลกๆ บ่อยๆ ตอนตื่นบรรทมก็มีเหงื่อไหลท่วมตัวด้วยเพคะ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเหตุใดตำหนักกลางไม่ส่งข่าวมาแจ้งทางนี้”
เช่นนี้ก็หมายความว่าไม่ใช่อาการชัก โรสมอนด์เอียงคอสงสัย คลาราที่อยู่ด้านข้างจึงเอ่ยข้อสงสัยขึ้นมาคำหนึ่ง
“ว่าแต่…เหตุใดฝ่าบาทจึงไม่มีรับสั่งอันใดกับพระองค์เลยเล่า”
“…คงคิดว่าข้าไม่จำเป็นต้องรู้กระมัง”
ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ผ่านเข้ามาในหัว มีเรื่องหนึ่งที่น่าสงสัย
“อาจเพราะฝ่าบาททรงเป็นห่วงข้า” โรสมอนด์เอ่ยขึ้น
“หมายความว่าอย่างไรหรือเพคะ”
“ก็หมายความว่าข้ารู้ไปก็ไม่มีประโยชน์น่ะสิ” โรสมอนด์ยิ้มอย่างงดงามและกล่าวว่า “ดูเหมือนไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก เจ้าก็ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก”
“เพคะ ฝ่าบาท”
“แล้วก็เลิกรายงานเรื่องไร้สาระได้แล้ว คลารา แค่นี้ข้าก็มีเรื่องให้คิดมากพออยู่แล้ว…”
“ขอประทานอภัยเพคะ ฝ่าบาท”
ภายนอกคลารากล่าวขออภัยอย่างนอบน้อม แต่ในใจกลับบ่นอุบ
ตัวเองเป็นคนบอกให้รายงานทุกเรื่องแท้ๆ!
คล้ายว่าโรสมอนด์ในตอนนี้จะระมัดระวังตัวน้อยลงกว่าตอนก่อนจะได้เป็นจักรพรรดินีอย่างเห็นได้ชัด มองในแง่ดีคือนางหาความสงบได้แล้ว แต่มองในแง่ร้ายคือนางอาจตกเป็นเหยื่อของผู้อื่นเมื่อใดก็ได้
“ว่าแต่ลอเรนไปที่ใดเสียล่ะ”
จู่ๆ สะเก็ดไฟ[1]ก็กระเด็นไปที่อื่น คลาราจึงเอ่ยถาม
“ฝ่าบาท เหตุใดจู่ๆ จึงถามหาลอเรนหรือเพคะ”
“ข้าสั่งให้นางไปตามเคาน์เตสแกลบลิซเข้าวังด้วยเรื่องชุดสำหรับออกงานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของฝ่าบาทน่ะสิ เหตุใดจึงช้าเพียงนี้”
เคาน์เตสแกลบลิซเป็นช่างตัดเสื้ออันดับหนึ่งของจักรวรรดิ ปัญหาคือโรสมอนด์เพิ่งออกคำสั่งกับลอเรนได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ คลารารู้สึกว่าอีกฝ่ายไร้เหตุผลสิ้นดีจึงเอ่ยอย่างสุขุม
“ฝ่าบาท โปรดรออีกสักครู่เถิดเพคะ เลดี้วีเธอร์ฟอร์ดเพิ่งจะไปได้ไม่นานเท่านั้น”
“ข้าเรียกหาก็ต้องรีบมาทันทีสิ! คงไม่ได้ดูหมิ่นว่าข้าเป็นบุตรีของบารอนหรอกนะ”
“ฝ่าบาท ไม่มีเรื่องเช่นนั้นหรอกเพคะ”
ระยะนี้ความกังวลในปมด้อยของโรสมอนด์ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลายคนอาจดูหมิ่นเรื่องชาติกำเนิดของโรสมอนด์อยู่ในใจ แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้แสดงออกต่อหน้า เพราะโรสมอนด์ดูแลจัดการงานของฝ่ายในได้ไม่เลว แม้จะฟุ้งเฟ้อไปบ้าง ไม่สิ ไปมาก ก็ตาม
“เลดี้วีเธอร์ฟอร์ดมิได้เป็นคนเช่นนั้นหรอกเพคะ ฝ่าบาททรงเล็งเห็นถึงจุดนั้นจึงรับนางเข้ามารับใช้ข้างกายมิใช่หรือ” คลาราปลอบโยนผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ฝ่าบาท เลดี้ลอเรนมาถึงแล้วเพคะ”
ตอนนั้นเองเสียงของนางกำนัลก็ดังมาจากด้านนอก คลาราถึงกับยิ้มอย่างโล่งใจ มาถึงเร็วทีเดียว! แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ดีต่อทั้งตัวลอเรนและตัวคลาราเอง เพราะนั่นหมายความว่าจะไม่มีเรื่องอะไรให้โรสมอนด์ต้องอารมณ์เสียอีกแล้ว แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด ทั้งที่ได้ยินนางกำนัลกล่าวเช่นนั้นแล้ว โรสมอนด์ก็ยังดูไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
ทันใดนั้นประตูก็เปิดและลอเรนก็เดินเข้ามา บนใบหน้าที่เรียบเฉยอยู่เสมอของนางประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ แต่ดูเหมือนว่าแม้แต่เรื่องนั้นก็ทำให้โรสมอนด์ไม่ชอบใจ
“ชักช้า” โรสมอนด์พูดด้วยน้ำเสียงเชือดเฉือน
ชั่วขณะหนึ่งลอเรนคิดว่าตนได้ยินผิดไป เพราะเวลาเพิ่งผ่านไปเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้นนับตั้งแต่ที่นางได้รับคำสั่ง ครึ่งชั่วโมงมิใช่เวลาที่ยาวนาน และที่นางพยายามกลับมาให้เร็วเช่นนี้ก็เพื่อมิให้จักรพรรดินีขุ่นเคืองใจ แต่ทว่า…ชักช้ารึ?
“เพคะ?” ลอเรนย้อนถามอย่างลืมตัว
“…นี่เจ้ายอกย้อนข้ารึ”
“หามิได้เพคะ เพียงแต่….ฝ่าบาท หม่อมฉันพยายามที่สุดแล้วเพคะ”
“ปากก็พล่ามไม่หยุดแต่กลับบอกว่าไม่ได้ยอกย้อน เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
โรสมอนด์ถามด้วยรอยยิ้มเย็นเยียบ ทันใดนั้นลอเรนก็รู้สึกพูดไม่ออก เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดินีไม่คิดจะฟังคำพูดของนางตั้งแต่แรกแล้ว คิดมาถึงตรงนี้ ลอเรนก็หยุดความปรารถนาในใจและแสดงออกอย่างชาญฉลาด
“…ขอประทานอภัยเพคะ ฝ่าบาท”
“หากเจ้ามิได้ดูหมิ่นว่าข้าไม่ใช่บุตรีดยุก เจ้าจะทำตัวเช่นนี้รึ ลอเรน”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่เคยคิดเช่นนั้นเลยนะเพคะ”
ไม่ยุติธรรม นี่คือความนัยที่โรสมอนด์ได้ยินจากคำพูดของอีกฝ่าย ทันใดนั้นแววตาของโรสมอนด์ก็เปลี่ยนดุดัน นางกล่าวด้วยน้ำเสียงมาดร้าย
“มารยาสาไถย!”
“…”
“แล้วเคาน์เตสแกลบลิซอยู่ที่ใด”
“…ด้านนอกเพคะ”
“ให้นางเข้ามา ส่วนเจ้าออกไปได้”
ไม่มีทางที่เสียงนี้จะไม่ดังไปถึงด้านนอก เมื่อลอเรนออกมาจากห้องก็พบกับเคาน์เตสแกลบลิซที่มองมาด้วยความเห็นใจ เมื่อเห็นสายตาเช่นนั้นลอเรนก็รู้สึกราวกับเส้นด้ายแห่งสติสัมปชัญญะขาดผึง
‘บังอาจดูหมิ่นข้าอย่างนั้นรึ?’
ไฟโทสะลุกโชนอยู่ภายในใจของลอเรนอย่างเงียบเชียบ การแก้แค้นที่ดีที่สุดที่ลอเรนทำได้ไม่ใช่แค่การปรี่เข้าไปตบโรสมอนด์เดี๋ยวนี้ ลอเรนค่อยๆ คลายโทสะในใจและเดินออกจากพระราชวัง รถม้าที่ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดส่งมาจอดรออยู่หน้าประตูวังแล้ว ลอเรนขึ้นไปนั่งบนรถแล้วบอกจุดหมายด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“คฤหาสน์เอเฟรนี”
อีส เอเฟรนีตกใจกับข่าวการมาเยือนที่ไม่คาดคิด
“เจ้าบอกว่าใครมานะ?” นางถามซ้ำ
“เลดี้ลอเรนขอรับ ดัชเชส”
“เจ้าหมายถึงบุตรีของดยุกวีเธอร์ฟอร์ดน่ะหรือ?”
“ใช่แล้วขอรับ”
“เชิญนางเข้ามา”
ดัชเชสเอเฟรนีไม่มีความเกี่ยวข้องกับลอเรนแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น ความสัมพันธ์ของพวกนางก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้อถึงขั้นมาเยี่ยมเยียนโดยไม่บอกไม่กล่าวเช่นนี้ แม้สีหน้าจะยังไม่คลายความสงสัย แต่ดัชเชสเอเฟรนีก็หันไปสั่งสาวใช้ให้เตรียมชาและขนม ไม่นานลอเรน วีเธอร์ฟอร์ดรูปโฉมงามสง่าก็ปรากฏตัวและทักทายดัชเชสเอเฟรนีอย่างสุภาพอ่อนน้อม
“ขออภัยที่มาเยือนโดยมิได้บอกกล่าวล่วงหน้าค่ะ ดัชเชส”
“ไม่หรอกค่ะ เลดี้ ระหว่างเราไหนเลยจะต้องมาคิดเล็กคิดน้อยเช่นนั้น อย่าใส่ใจเลยค่ะ”
พูดจบ ดัชเชสเอเฟรนีก็จ้องลอเรนเขม็ง ก่อนจะเปิดปากพูดในทันใด
“…ดูจากสีหน้าคล้ายว่าเลดี้มีเรื่องจะกล่าว เช่นนั้นเราไปคุยกันที่ห้องรับรองดีกว่าค่ะ”
“ข้าขอรบกวนเวลาไม่นานค่ะ ดัชเชส”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
ดัชเชสเอเฟรนียิ้มน้อยๆ และเดินนำลอเรนไปยังห้องรับรอง เมื่อให้คนรับใช้ออกไปหมดและอยู่กันแค่สองคน ดัชเชสเอเฟรนีก็กล่าวกับลอเรนด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ดูเหมือนเลดี้มีเรื่องสำคัญจะกล่าวจึงได้มาถึงที่นี่ หาไม่แล้วเลดี้คงไม่บุ่มบ่ามมาเยือนเช่นนี้”
“โชคดีจริงๆ ค่ะที่ท่านเข้าใจอะไรง่าย เช่นนั้นเรามาเข้าประเด็นหลักกันเลยดีกว่า”
ลอเรนหัวเราะเสียงกระด้างก่อนจะเอ่ยถามอย่างไม่อ้อมค้อม
“ดัชเชสคิดอย่างไรกับจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันหรือคะ?”
[1] สะเก็ดไฟ ในที่นี้มีหมายถึงเรื่องร้ายหรือผลกระทบที่ไม่ดีอันเกิดจากเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
นางกำนัลเป็นงานที่มีเวลาเข้า-ออกงานอิสระ
ตกเย็นลอเรนก็มุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ของตนอย่างเงียบเชียบ คฤหาสน์ที่เคยเงียบสงัดบัดนี้กลับมีเสียงของกลุ่มชายวัยกลางคนดังอื้ออึง ลอเรนเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องของตนก่อนจะไปพบพวกเขา ครั้นเห็นลอเรน ชายคนหนึ่งก็เอ่ยเรียก
“ลอเรน”
เจ้าของเสียงเรียกนั้นคือบิดาของลอเรน รอยยิ้มบางๆ ปรากฏบนใบหน้าเรียบเฉยของหญิงสาวและหายไปอย่างรวดเร็ว นางเปิดปากพูด
“ท่านพ่อ มาถึงเร็วจังเลยนะคะ”
พูดจบลอเรนก็กวาดสายตามองคนอื่นๆ
“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พ่อจึงรีบมาเพื่อหลีกเลี่ยงข้อกังขา” ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดผู้เป็นบิดาตอบกลับ
“ดีแล้วค่ะ”
“อืม ระยะนี้ตำหนักจักรพรรดินีมีความเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง”
เรื่องของโรสมอนด์ทำให้หว่างคิ้วที่เคยราบเรียบของลอเรนปรากฏรอยย่นเล็กน้อย
“ไม่ค่อยดีค่ะ” นางตอบพลางถอนหายใจ
“ช่วยขยายความคำว่า ‘ไม่ค่อยดี’ ได้หรือไม่ เลดี้ลอเรน”
“ตามที่กล่าวค่ะ ความฟุ้งเฟ้อของจักรพรรดินีพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ พวกท่านรู้หรือไม่ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น? หลังจากเปลี่ยนชุดเดรสชุดใหม่ได้เพียงห้าชั่วโมงและออกไปข้างนอกเพียงครั้งเดียว นางก็บอกว่าจะเปลี่ยนชุดอีก”
ลอเรนพูดใส่อารมณ์กว่าปกติ และยังคงพูดต่อไป “เรื่องนี้ยังเล็กน้อยเมื่อเทียบกับราคาและประเภทของสิ่งของฟุ่มเฟือยที่นางสะสมไว้ซึ่งเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน แล้วนางเอาเงินจากที่ใดไปกว้านซื้อของเหล่านี้เล่าทุกท่าน? นี่ล้วนเป็นเงินจากท้องพระคลังทั้งสิ้น จักรพรรดินีคิดจะทำลายจักรวรรดิไม่ผิดแน่”
“อย่างไรนางก็ยังทำหน้าที่ได้ดีมิใช่รึ”
ขุนนางคนหนึ่งถามขึ้น ลอเรนได้ฟังก็แสยะยิ้ม
“ใช่ค่ะ เรื่องนั้นคงไม่มีใครโต้แย้งได้ ความสามารถที่โดดเด่นของนางก็มีส่วนสำคัญ แต่ที่แน่ๆ นางมีพรสวรรค์ในการออกคำสั่ง นางรู้จักใช้คนให้เหมาะสมกับงาน นั่นเป็นสิ่งที่ควรถือเอาเป็นเยี่ยงอย่างอย่างไม่ต้องสงสัย”
แต่ลอเรนก็แย้งต่อทันที “แต่ถึงกระนั้นเราก็มิอาจมองข้ามการใช้เงินมือเติบของนางได้ ตอนนี้ราษฎรทั่วทั้งจักรวรรดิต่างได้รับความทุกข์ทรมานจากภัยแล้ง! สตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นจักรพรรดินีจะเห็นแก่ความสุขส่วนตน แล้วมองข้ามความทุกข์ยากของประชาชนได้อย่างไร”
ทุกคนในที่นั้นพยักหน้าอย่างเข้าใจ ลอเรนจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“ผู้ที่ดำรงตำแหน่งนั้นมิใช่แค่ต้องจัดการงานของฝ่ายในให้ดี แต่ต้องเป็นมารดาของราษฎรทั้งปวง ทว่า ข้ากลับมองไม่เห็นคุณสมบัติข้อนั้นในตัวจักรพรรดินีคนปัจจุบันเลย”
“ข้าเห็นด้วย เลดี้วีเธอร์ฟอร์ด”
“ด้วยเหตุนี้เราจึงมารวมตัวกันมิใช่หรือ”
สิ้นคำของขุนนางคนหนึ่ง ขุนนางที่เหลือก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย จากนั้นใครอีกคนก็เปิดปาก
“จักรพรรดินีเป็นเพียงเรื่องหนึ่งเท่านั้น จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของพวกเรามิใช่แค่การปลดจักรพรรดินีคนหนึ่ง จริงหรือไม่”
“ใช่แล้ว”
ดยุกแห่งวีเธอร์ฟอร์ดเหยียดยิ้ม “แต่ก็อย่างที่ทุกท่านทราบ หากจะปฏิวัติก็ต้องมีเหตุผลมารองรับ หากดำเนินการไปโดยไร้เหตุผลประกอบ ใครเล่าจะเข้าใจถึงเจตนารมณ์อันสูงส่งของพวกเรา”
“แต่ถึงกระนั้น แค่เรื่องของจักรพรรดินีคงยังไม่พอนะ ใต้เท้า เราจำเป็นต้องมีสิ่งที่เกี่ยวข้องกับจักรพรรดิโดยตรง”
“เท่านี้ก็เพียงพอแล้วค่ะ”
ลอเรนที่นั่งเงียบมาตลอดพูดแทรกขึ้น น้ำเสียงของนางกระจ่างชัด
“จักรพรรดิสั่งประหารอดีตจักรพรรดินีและครอบครัวของนางจนสิ้นเพียงเพื่อจะทำให้อนุภรรยาคนหนึ่งได้ขึ้นเป็นจักรพรรดินี”
ตัวเขาในตอนนี้คงไม่รู้หรอกว่านั่นเป็นเรื่องที่โง่เขลาเพียงใด ลอเรนหัวเราะอย่างเย้ยหยัน
“และทุกท่านคงจะทราบดี ตระกูลโกรเชสเตอร์เป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์และภักดีต่อจักรวรรดิ ขุนนางน้ำดีเช่นนี้กลับต้องถูกประหาร จักรพรรดิต้องสติฟั่นเฟือนเพียงใดจึงได้ตัดสินใจเช่นนั้น”
“จริงสินะ” ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดหัวเราะ “ใช่แล้วล่ะ ทุกท่าน ตอนนี้จักรพรรดิสติไม่สมประดี มิอาจตัดสินแยกแยะถูกผิด จึงได้ขับไล่ภรรยาหลวงรวมทั้งตระกูลขุนนางที่จงรักภักดี และแต่งตั้งหญิงแพศยาไร้ราคาคนหนึ่งเป็นจักรพรรดินี”
“แย่จริง”
ขุนนางคนหนึ่งเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจ
“หากเป็นเช่นนั้น นี่นับเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่งมิใช่หรือไร คนแบบนั้นได้เป็นผู้นำของจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้หรือนี่”
“ใช่แล้ว หากสถานการณ์ของฝ่าบาทไม่สู้ดีเช่นนี้ เราก็ควรยกตำแหน่งนี้ให้กับผู้ที่เหมาะสม”
“ถูกต้อง!”
ขณะที่ทุกคนแลกเปลี่ยนบทสนทนากันอย่างตื่นเต้นอยู่นั้น ลอเรนเพียงแต่ยิ้มเงียบๆ คนเดียว ผ่านไปครู่หนึ่งดยุกวีเธอร์ฟอร์ดก็เข้าควบคุมสถานการณ์
“เรารวบรวมกำลังพลได้มากแค่ไหนแล้ว?”
“เพียงพอแล้ว ใต้เท้า เฉพาะอัศวินจากตระกูลขุนนางชั้นสูงที่พร้อมจะร่วมปฏิวัติกับเราก็มีจำนวนมากพอแล้ว หากเราซื้อตัวอัศวินเฝ้าประตูได้ การบุกยึดพระราชวังก็คงมิใช่เรื่องยาก”
“ผู้คนในวังเองก็ทุกข์ทรมานจากการกดขี่ข่มเหงของจักรพรรดินี จักรพรรดินีและจักรพรรดิเป็นสามีภรรยากันจึงนับว่าเป็นคนคนเดียวกัน บางทีข้ารับใช้เหล่านั้นอาจยอมร่วมมือกับเราอย่างไม่อิดออด”
“แย่จริง ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีจนน่าเป็นห่วงเลยทีเดียว”
ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดพูดติดตลก ลอเรนได้ยินดังนั้นก็ฉีกยิ้ม
“สถานการณ์ของพวกเราในตอนนี้นับว่าได้เปรียบ ยิ่งไปกว่านั้นข้าได้ยินจากหมอหลวงว่าตั้งแต่ประหารอดีตจักรพรรดินี อารมณ์ของฝ่าบาทก็ไม่ค่อยมั่นคงนัก” นางกล่าว
“เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมพอดีเลยสินะ”
แน่นอน ลอเรนยิ้ม
“แม้ข้าจะไม่ค่อยสบายใจที่เชื้อพระวงศ์สายรองจะขึ้นมาเป็นจักรพรรดิคนต่อไป แต่คงไม่เป็นไรกระมัง หากก่อกบฏสำเร็จย่อมไม่นับเป็นความผิดอันใด” ขุนนางคนหนึ่งพูดขึ้น
“กบฏหรือคะ”
ตอนนั้นเองลอเรนก็เอ่ยขัดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ สีหน้าดูมีโทสะเล็กน้อย
“ใครจะบังอาจเรียกการกระทำนี้ว่าก่อกบฏได้หรือคะ”
“หมายความว่าอย่างไร เลดี้ลอเรน”
“หากงานนี้สำเร็จ มันย่อมมิใช่การก่อกบฏอย่างแน่นอน”
ลอเรนกล่าวสรุปด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “นี่คือการปฏิวัติค่ะ”
ทุกคนที่ได้ยินคำพูดนั้นต่างระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างกระปรี้กระเปร่า ใช่แล้ว ปฏิวัติ หากงานนี้สำเร็จ ใครจะบังอาจเรียกว่ากบฏกันเล่า? ขืนทำเช่นนั้นมีหวังศีรษะได้หลุดจากบ่าทันทีเป็นแน่
“แล้วจะเริ่มดำเนินการเมื่อใดคะ” ลอเรนเอ่ยถาม
“อีกไม่นานหรอก” ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดตอบ “เราจะช่วงชิงราชบัลลังก์คืนมาในเร็ววัน หากทำสำเร็จ พวกท่านทั้งหลายก็จะมีความดีความชอบในการปฏิวัติจักรวรรดิครั้งนี้”
“ความดีความชอบรึ ฟังแล้วรื่นหูนัก!”
คนอื่นๆ ต่างหัวเราะร่วน คราวนี้ลอเรนเองก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจเช่นกัน ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดี
***
หมู่นี้ดัชเชสเอเฟรนีรู้สึกไม่ค่อยดีนัก แม้นางจะคอยสนับสนุนอย่างลับๆ ให้โรสมอนด์ได้ขึ้นเป็นจักรพรรดินี แต่ดูเหมือนนางไม่ค่อยพอใจกับสถานการณ์ในปัจจุบันเท่าใด ดัชเชสเอเฟรนีพอจะคาดเดาสาเหตุได้แต่เพราะยังไม่พร้อมจะยอมรับ นางจึงคอยแต่ผลักไสมันเรื่อยมา
“ดัชเชส เชิญทางนี้ค่ะ”
แม้ดัชเชสเอเฟรนีไม่ได้มาที่นี่เป็นครั้งแรก แต่นางกำนัลตำหนักจักรพรรดินีก็คอยนำทางนางอย่างดี หากมองอย่างคิดเล็กคิดน้อย กระทั่งเรื่องนี้นางก็รู้สึกไม่ชอบใจ นางยอมรับอยู่ภายในใจว่านั่นเป็นผลอันเนื่องมาจากการที่นางไม่อาจมองโรสมอนด์ในแง่ดีได้อีกแล้ว
“ฝ่าบาท ดัชเชสเอเฟรนีมาถึงแล้วเพคะ”
“อ้อ รีบให้นางเข้ามาสิ”
ช่างน่าขันที่ดัชเชสเอเฟรนีไม่ชอบใจกระทั่งการใช้คำพูดระดับต่ำของโรสมอนด์ ตั้งแต่รู้ความจริงว่าโรสมอนด์เป็นเพียงบุตรีของขุนนางปลายแถวในชนบท ดัชเชสเอเฟรนีก็รู้สึกผิดหวังในตัวอีกฝ่าย ความจริงแล้วสามีของนางก็เป็นบุตรชายของ ‘ขุนนางปลายแถวในชนบท’ เช่นกัน แต่ถึงกระนั้นนางก็ยึดถือเรื่องวงศ์ตระกูลหรือฐานันดรศักดิ์อย่างมาก อาจเป็นเพราะนางเป็นบุตรีคนเดียวของตระกูลที่มีประวัติความเป็นมาลึกซึ้งในจักรวรรดินี้
“ถวายบังคมจักรพรรดินี จันทราแห่งมาวินอส ขอความสุขสวัสดิ์จงมีแด่มาวินอส”
ทันทีที่ประตูเปิด ดัชเชสเอเฟรนีก็ก้าวเดินอย่างสุขุมเข้าไปหาโรสมอนด์ แม้นางจะสนับสนุนและช่วยเหลือโรสมอนด์ แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเหมือนว่านางจะไม่พอใจอย่างมากที่สตรีที่ต่ำศักดิ์กว่านางอย่างเทียบชั้นไม่ติดได้กลายมาเป็นสตรีที่สูงส่งที่สุดในจักรวรรดิ และโรสมอนด์ก็มองออกราวกับมีตาทิพย์
“สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลยนะคะ ดัชเชส”
แต่ดัชเชสเอเฟรนีก็ไม่น้อยหน้า อย่างไรเสียนางเองก็เป็นถึงบุตรสาวคนเดียวของตระกูลขุนนางที่มีชื่อเสียงของจักรวรรดิ ดัชเชสเอเฟรนีฉีกยิ้มการค้าพลางตอบ
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเพคะ”
ได้ยินดังนั้นโรสมอนด์ก็ฉีกยิ้มกว้าง
“เช่นนั้นก็ดีแล้วค่ะ นั่งก่อนสิคะ”
ทันทีที่ดัชเชสเอเฟรนีนั่งลง โรสมอนด์ก็เริ่มบ่น
“เงินในท้องพระคลังหมดแล้ว ไม่รู้ว่าเก็บภาษีกันอย่างไร…”
“ฝ่าบาท การที่ทรงเป็นกังวลเรื่องท้องพระคลังนับเป็นสิ่งที่ดี ทว่า…” ดัชเชสเอเฟรนีว่ากล่าวเสียงดัง “เรื่องการเก็บภาษีนี้ว่ากันตามจริงแล้วนับเป็นความรับผิดชอบของพระจักรพรรดิ ส่วนฝ่ายในเพียงแค่จัดสรรงบประมาณที่ได้รับให้ดีก็พอแล้วเพคะ”
สิ่งที่นางกล่าวนั้นมิผิด แต่เห็นได้ชัดว่าอีกนัยหนึ่งนางกำลังบอกว่าโรสมอนด์ยุ่งไม่เข้าเรื่อง ซึ่งไม่มีทางที่โรสมอนด์จะฟังความนัยนั้นไม่ออก หญิงสาวปรายตามองดัชเชสเอเฟรนี
“…ท่านกล่าวได้ถูกต้องค่ะ ดัชเชส แต่เพราะงบประมาณของฝ่ายในลดลงเรื่อยๆ ข้าถึงได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมา”
ถ้ากังวลถึงขนาดนั้น เจ้าลองลดรายจ่ายฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อของตนเองก่อนดีหรือไม่? ดัชเชสเอเฟรนีอยากจะถามจากใจจริง แต่ขืนพูดออกไปจักรพรรดินีต้องไม่พอใจเป็นแน่ เฮ้อ อย่างน้อยอดีตจักรพรรดินีก็ไม่ได้เป็นเช่นนี้
ทันใดนั้นดัชเชสเอเฟรนีก็นึกถึงอดีตจักรพรรดินีผู้ล่วงลับขึ้นมา นางเป็นคนเรียบง่าย แม้จะมีจุดจบที่ไม่ดีนัก แต่นางมิใช่คนเลวร้ายอย่างแน่นอน
หากลองพิจารณาถึงสาเหตุที่นางต้องพินาศย่อยยับ สิ่งที่ทำลายนางคือความหึงหวงที่มีต่อจักรพรรดิ แต่หากตนยืนอยู่ในจุดเดียวกับอีกฝ่าย ดัชเชสเอเฟรนีเองก็ไม่มั่นใจว่าตนจะไม่เป็นเช่นนั้น เป็นที่รู้โดยทั่วกันว่านางรักสามี แต่สามีกลับบอกว่าเขารักอนุภรรยามากกว่า ได้ยินเช่นนี้สตรีคนใดจะประคองสติไว้ได้? ยิ่งไปกว่านั้นหากศัตรูความรักคือนางมารร้ายเหลี่ยมจัดอย่างโรสมอนด์ ความพินาศของจักรพรรดินีผู้มีใจเมตตาก็นับว่าได้ถูกกำหนดไว้แล้ว
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ดัชเชสเอเฟรนีก็ได้สติว่าตนกำลังอ่อนไหวมากเกินไปจึงจงใจปัดความคิดเรื่องอดีตจักรพรรดินีทิ้งไป นั่นมิใช่เรื่องดี อย่างไรตัวนางเองก็มีส่วนในการทำลายอีกฝ่าย ดังนั้น ความคิดเช่นนี้จึงนับเป็นการดูหมิ่นผู้ตาย
หากมีใครรู้เข้าว่านางมีความคิดเช่นนี้อาจกลายเป็นที่ขบขัน
ดัชเชสเอเฟรนีให้คำแนะนำโดยพยายามไม่ทำให้โรสมอนด์ขุ่นเคือง
“การจัดสรรงบประมาณเป็นราชกิจของพระจักรพรรดิเพคะ ฝ่าบาท หากได้รับงบประมาณมาน้อย ก็ขึ้นอยู่กับพระปรีชาสามารถขององค์จักรพรรดินีแล้วว่าจะบริหารอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด พระองค์หลักแหลมปราดเปรื่อง หม่อมฉันเชื่อว่าพระองค์จะจัดการได้ดีเพคะ”
ดัชเชสเอเฟรนีพร่ำกล่าวถ้อยคำไพเราะเสนาะหูและคอยสังเกตท่าทีของโรสมอนด์ อาจเป็นเพราะคำชมเชยที่ตนกล่าวปิดท้าย สีหน้าของอีกฝ่ายจึงดูไม่ย่ำแย่นัก ดัชเชสเอเฟรนีเห็นดังนั้นก็ลอบถอนหายใจในใจ
การปรับตัวให้เข้ากับอารมณ์ของโรสมอนด์ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย
“ในที่สุดข้าก็ได้เป็นจักรพรรดินี”
โรสมอนด์พึมพำด้วยสีหน้าล่องลอยอยู่คนเดียวในห้อง
“ในที่สุด ในที่สุด!”
“ฝ่าบาท สำรวมหน่อยเถิดเพคะ อีกประเดี๋ยวพระจักรพรรดิจะมาถึงแล้วมิใช่หรือ”
คลาราพูดด้วยน้ำเสียงประจบประแจงกว่าปกติ โรสมอนด์ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าด้วยสีหน้าปีติยินดีอย่างเปี่ยมล้น
“ใช่แล้ว เจ้าพูดถูก”
หมู่นี้อีกฝ่ายไม่ค่อยได้มาหานางก็จริง แต่ถึงอย่างไรคืนนี้ก็เป็นคืนแรกของนางในฐานะจักรพรรดินี เขาต้องมาหานางแน่นอน
โรสมอนด์เอาแต่ลูบคลำปลายนิ้วด้วยสีหน้าประหม่า ดูราวกับเด็กสาวที่ตกหลุมรักครั้งแรก นางพึมพำราวกับเด็กน้อยไร้เดียงสาที่ไม่รู้เรื่องอะไร
“ทีนี้ก็เหลือแค่คลอดรัชทายาทออกมา”
“ตายจริง ฝ่าบาท”
คลาราเกลี้ยกล่อมโรสมอนด์อย่างสุขุม “ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้เพคะ ตอนนี้ไม่มีใครในมาวินอสที่จะมาขัดขวางพระองค์ได้แล้ว พระองค์ทรงเป็นจักรพรรดินีของประเทศนี้ และพระโอรสของพระองค์ก็จะกลายเป็นสุริยันดวงต่อไปของมาวินอส เหตุใดต้องกังวัลถึงเพียงนั้น”
“ข้ามิได้กังวล คลารา แต่ข้าไม่เชื่อใจฝ่าบาท” โรสมอนด์ยิ้มเย็นพลางกล่าว “ข้าไม่เชื่อหรอก การเชื่อใจบุรุษเป็นเรื่องที่โง่เขลา”
จากนั้นก็พูดเสริมอย่างเย็นชา “โดยเฉพาะพวกกษัตริย์”
“แต่…พระองค์มิได้รักฝ่าบาทหรอกหรือเพคะ”
“รัก?” โรสมอนด์แค่นหัวเราะ “ใช่แล้ว คลารา ข้ารักท่านผู้นั้น ฝ่าบาทของข้า ตอนนี้เขาได้กลายมาเป็นสามีของข้าอย่างเป็นทางการแล้ว และจะกลายเป็นพ่อของลูกข้าในสักวันหนึ่ง”
“….”
“แต่ว่านะคลารา ข้ารักสิ่งที่เขามอบให้มากกว่า ตำแหน่ง เงินทอง และเกียรติยศ อีกทั้งความรุ่งโรจน์! ข้ารักสิ่งเหล่านี้”
“เพคะ…”
คลาราไม่รู้ว่าควรมีปฏิกิริยาอย่างไรกับคำพูดนั้นจึงได้แต่เออออตามโรสมอนด์ จู่ๆ ก็นึกสงสารจักรพรรดิขึ้นมา อย่างน้อยก็ดูเหมือนว่าเขาจะรักจักรพรรดินีด้วยใจจริง…
ขณะครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อย เสียงของนางกำนัลด้านนอกก็ดังขึ้นทำเอาคลาราตกอกตกใจหลุดออกจากภวังค์และกลับสู่ความเป็นจริง
“ฝ่าบาท พระจักรพรรดิเสด็จเพคะ”
“อุ๊ย!”
โรสมอนด์มีสีหน้าประหลาดใจพลางตอบรับเสียงเล็กเสียงน้อย
“รีบเชิญเสด็จเถิด จะปล่อยให้แขกผู้มีเกียรติรออยู่ด้านนอกได้อย่างไร”
“เพคะ ฝ่าบาท”
ทันใดนั้นประตูก็เปิดออกตามด้วยร่างของลูซิโอเดินเข้ามา ส่วนคลาราก็ถอยออกไปข้างนอกอย่างรู้งาน โรสมอนด์ไม่ได้อยู่กับลูซิโอในห้องนอนเช่นนี้นานแล้วจึงกางแขนรับเขาเข้ามาในอ้อมกอด
“ฝ่าบาท”
โรสมอนด์เรียกลูซิโอด้วยน้ำเสียงประจบเอาใจพลางลูบไล้แผงอกแกร่ง
“คิดถึงจังเลยเพคะ ฝ่าบาท”
“ข้าก็เช่นกัน โรส”
“เมื่อครู่ที่โบสถ์ ฝ่าบาททรงพระสิริโฉมงามสง่าอย่างมาก” หญิงสาวเอ่ยกระซิบด้วยน้ำเสียงลุ่มหลง “จนหม่อมฉันอยากจะโอบกอดและมอบจูบให้เดี๋ยวนั้นเลยเพคะ”
“โชคดีที่เจ้าไม่ได้ทำ”
“แน่นอนสิเพคะ”
หากเป็นปกติตอนนี้ลูซิโอต้องเป็นฝ่ายเข้ามากอดนางก่อนแล้ว ดูเหมือนวันนี้เขาจะเขินอายเล็กน้อย แต่นางก็หาได้สนใจ ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายเริ่ม แค่จบพร้อมกันก็พอแล้ว หญิงสาวเริ่มต้นด้วยการดูดดุนต้นคอหนา ก่อนจะจูบกลีบปากของลูซิโอด้วยสีหน้ายั่วยวน
“ฮา…”
“ฮึอือ…ฝ่าบาท”
เสียงครางกระเส่าของหญิงสาวฟังดูหยาบโลนกว่าปกติ โรสมอนด์ตั้งใจไว้แล้วว่าคืนนี้นางจะต้องได้โอบอุ้มน้ำเชื้อของเขาเพื่อตั้งครรภ์ แม้นางจะได้เป็นถึงจักรพรรดินีสตรีที่สูงศักดิ์ที่สุดในจักรวรรดิแล้ว แต่เพียงเท่านั้นยังไม่พอ
ต้องมีอะไรที่แน่นอนกว่านั้น และสำหรับนางแล้วสิ่งนั้นคือเจ้าชาย หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเจ้าชายที่กลายเป็นรัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์ของจักรวรรดินี้
“ฝ่าบาท…ไปที่เตียงเพคะ…”
นางต้องเป็นผู้ควบคุมทุกอย่าง ทั้งเรื่องงาน ความรัก ทุกอย่างต้องอยู่ในกำมือของนาง ดังนั้นเรื่องสำคัญในวันนี้นางก็ต้องเป็นผู้ควบคุมเช่นกัน
โรสมอนด์ปลดกระดุมเสื้อของลูซิโอจนหมดในเสี้ยววินาที นางช่ำชองในการใช้มือปลดกระดุมพอตัว
“วันนี้เจ้ารีบร้อนเป็นพิเศษนะ…”
โรสมอนด์ได้ยินดังนั้นก็เอ่ยตอบ “ก็หม่อมฉันเฝ้าคิดถึงแต่ฝ่าบาททั้งวันจนร่างกายร้อนรุ่มไปหมดแล้วน่ะสิเพคะ”
โกหก เดิมทีนางไม่ใช่คนหมกหมุ่นในราคะ นางเพียงแต่ตระหนักรู้ได้เร็วเกินไปว่าร่างกายของนางสามารถใช้เป็นอาวุธได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรนางก็หาได้สนใจไม่
โรสมอนด์กระซิบเสียงต่ำแหบพร่า “คาดหวังได้เลยเพคะ ฝ่าบาท คืนนี้หม่อมฉันจะไม่ปล่อยพระองค์ไปจนกว่าจะเช้า”
“อืม..”
โรสมอนด์พลิกกายตื่นขึ้น เมื่อคืน…ข้าหลับไปตอนไหนนะ นางคิดอยู่สักพักก็เลิกคิด คิดไปก็ไร้ประโยชน์เพราะกว่าพวกเขาสองคนจะสิ้นฤทธิ์ดวงอาทิตย์ก็ขึ้นแล้ว
โรสมอนด์แอบลูบท้องน้อยของตนเป็นอันดับแรก แน่นอนว่าตอนนี้ในนั้นยังไม่มีเด็ก แต่สักวันต้องมีแน่
สักวันในท้องที่แบนราบนี้จะมีเด็กที่จะเกิดมาเพื่อปกครองจักรวรรดิที่ใหญ่โตแห่งนี้…! เพียงคิดมาถึงตรงนี้นางก็กระหยิ่มยิ้มย่องราวกับได้เป็นพระพันปีแล้วก็ไม่ปาน
จากความพยายามของนางเมื่อคืนนี้ คาดว่าน่าจะมีข่าวดีในไม่ช้า โรสมอนด์เชื่อมั่นหนักแน่นราวกับหินผา
“…โรส?”
ในตอนนั้นเอง นางก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยที่ได้ฟังนับครั้งไม่ถ้วนเมื่อคืน อาจเพราะได้ยินทันทีหลังจากคิดเรื่องลูก เสียงนั้นจึงฟังดูน่าหลงใหลมากยิ่งขึ้น
เสียงของบุรุษที่จะกลายเป็นบิดาของลูกข้า!
โรสมอนด์ตอบเสียงขึ้นจมูก “ฝ่าบาท~ ตื่นบรรทมแล้วหรือเพคะ”
“เจ้าตื่นก่อนแล้วหรือ”
“หม่อมฉันเองก็เพิ่งตื่นเพคะ”
พูดจบ โรสมอนด์จุมพิตเบาๆ ที่เปลือกตาบางของอีกฝ่ายตามความเคยชิน สีหน้าของลูซิโอไม่มีแววรังเกียจคล้ายว่าถูกจูบแต่เช้าก็ไม่เลวนัก เพราะยังเช้าอยู่ น้ำเสียงของเขาจึงฟังดูสะลึมสะลือ
“เจ้าดูอารมณ์ดีนะ”
“จะมีหญิงใดอารมณ์ไม่ดีหลังจากได้ใช้เวลาร่วมกับคนรักทั้งคืนด้วยหรือเพคะ”
นางหัวเราะอย่างมีจริตและใช้ริมฝีปากแทะโลมแผงอกเปลือยเปล่าของลูซิโอ
“และเพราะเป็นฝ่าบาท หม่อมฉันถึงได้อารมณ์ดี”
“ได้เป็นจักรพรรดินีแล้วรู้สึกอย่างไร”
“รู้สึกอย่างไรหรือเพคะ”
นางคิดอย่างรอบคอบก่อนจะตอบอย่างชัดเจน “รู้สึกดีจริง ๆ เพคะ”
“อย่างนั้นหรือ?”
“รู้สึกวาบหวาม”
“วาบหวามเชียวหรือ”
“ไม่เชื่อหรือเพคะ ฝ่าบาท ตอนนี้หม่อมฉันรู้สึกวาบหวามจริงๆ นะ”
นางย่อมต้องรู้สึกเช่นนั้น ที่ผ่านมานางต้องพยายามตั้งเท่าไรเพื่อตำแหน่งนี้ หากจะพูดให้เกินจริงสักหน่อยก็คงต้องบอกว่าตอนนี้นางรู้สึกเสียวซ่านในใจสุดขีด โรสมอนด์เผยยิ้มงดงามพลางกล่าว
“ในที่สุดหม่อมฉันก็สามารถยืนเคียงข้างฝ่าบาทได้อย่างเต็มภาคภูมิ”
ในฐานะภรรยาหลวงที่สง่าผ่าเผย มิใช่อนุภรรยาอีกต่อไป ท่านที่มีฐานะสูงส่งมาทั้งชีวิตคงไม่เข้าใจหรอกว่าข้าดีใจมากเพียงใด เพราะกระทั่งตอนที่ท่านถูกอลิซาทำร้ายทารุณ ท่านก็เป็นถึงเจ้าชายรัชทายาทของจักรวรรดินี้แล้ว ท่านจะมาเข้าใจหัวอกลูกนอกกฎหมายของขุนนางชั้นต่ำอย่างข้าได้อย่างไร
โรสมอนด์กล่าวเสริม “ตอนนี้ไม่มีใครขัดขวางความรักของเราได้แล้วนะเพคะ”
“ใช่แล้ว”
“ฝ่าบาทเองก็มีแค่หม่อมฉันคนเดียวใช่ไหมเพคะ”
“แน่นอน”
เขากระซิบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “นับจากนี้ข้ามีเพียงเจ้าเท่านั้น”
โรสมอนด์เชื่อว่าไม่มีสิ่งใดงดงามสมบูรณ์แบบเท่ากับความสบายใจที่เกิดจากการเป็นที่หนึ่ง ตอนนี้เขามีเพียงนางเท่านั้น นั่นหมายความว่าหากนางหายไปเขาคงใจสลายเป็นแน่ นางกระซิบบอกเขาด้วยน้ำเสียงปีติยินดี
“หม่อมฉันรักพระองค์เพคะ ฝ่าบาท”
รักอย่างแท้จริง
***
โรสมอนด์มิได้โง่เขลาเบาปัญญา แม้ไม่เคยจัดการงานของฝ่ายในมาก่อน แต่นางก็สามารถทำทุกอย่างได้ดีด้วยความช่วยเหลือของดัชเชสเอเฟรนี ถึงอย่างไรนางก็นับเป็นคนเฉลียวฉลาดและมีไหวพริบคนหนึ่ง
ปัญหาของนางเป็นอะไรที่ส่วนตัว โรสมอนด์มีชีวิตในวัยเด็กที่แสนอับโชค หากจะบอกว่าความกระหายอำนาจของนางมีสาเหตุมาจากความทุกข์ยากในวัยเด็กก็ไม่นับว่าเกินไป ปัญหาคือความกระหายในอำนาจมักพ่วงมาด้วยความละโมบโลภมากทางวัตถุ
“คลารา ดูนี่สิ” โรสมอนด์พูดเสียงแผ่ว “เพชรทรงหยดน้ำนี้งามนัก เจ้าว่าไหม”
“เพคะ งามเพคะ” คลาราเออออตาม “ทรงได้รับมาจากที่ใดหรือเพคะ?”
“ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเลยล่ะ ฟังว่าหายากทีเดียว”
โรสมอนด์ฮัมเพลงพลางตอบ นางวางสร้อยเพชรลงก่อนจะพูดกับคลารา
“เอาล่ะ ต้องเปลี่ยนชุดแล้ว”
“เพคะ?”
คลาราที่นั่งอยู่ด้านข้างถึงกับตกใจ เพราะโรสมอนด์เพิ่งเปลี่ยนชุดใหม่ได้ไม่ถึงห้าชั่วโมงดี
คลาราเอ่ยถามอย่างสงสัย “แต่ฝ่าบาทเพิ่งเปลี่ยนฉลองพระองค์ไปเมื่อห้าชั่วโมงที่แล้วนะเพคะ”
“ก็ใช่”
โรสมอนด์แก้ตัวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “แต่เมื่อครู่ข้าออกไปข้างนอกมานะ”
“ถึงกระนั้นก็เถิด จะเปลี่ยนชุดอีกก็เปลือง…”
“นี่เจ้ายอกย้อนข้ารึ”
ครั้นได้ยินน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ของโรสมอนด์คลาราก็กลัวจนหงอ
เมื่อไม่นานมานี้มีนางกำนับที่ต้องตกระกำลำบากเพราะเอ่ยทัดทานโรสมอนด์ หากจะพูดให้ชัดเจนคือนางกำนัลผู้นั้นนับเป็นรายที่ 12 แล้วของเดือนนี้ โรสมอนด์อ้างเหตุผลเข้าข้างตัวเองว่าทำไปเพื่อจัดระเบียบฝ่ายใน แต่ใครเล่าจะดูไม่ออกว่านางทำไปเพื่อระบายอารมณ์
แม้คลาราจะเป็นข้ารับใช้คนสนิท แต่ดูจากอุปนิสัยเหี้ยมโหดโฉดชั่วของผู้เป็นนายแล้วไม่มีทางเลยที่นางจะได้รับการงดเว้นแต่เพียงผู้เดียว คลารารีบถอนคำพูดทันที
“หามิได้เพคะ ฝ่าบาท ไฉนจึงตรัสเช่นนั้นเล่า รับสั่งของพระองค์ล้วนถูกต้องเสมอ ใช่แล้ว จะให้สตรีที่ประเสริฐที่สุดในจักรวรรดิทรงฉลองพระองค์ชุดละ ‘ตั้ง’ 5 ชั่วโมงได้อย่างไร”
“ค่อยพูดกันรู้เรื่องหน่อย”
จากนั้นโรสมอนด์ก็เรียกหานางกำนัลด้วยสีหน้าพอใจ “เอาล่ะ พวกเจ้าช่วยข้าเลือกชุดทีได้หรือไม่”
“เพคะ ฝ่าบาท”
หลังจากพูดออกไปแล้ว โรสมอนด์ก็ทำสีหน้าคล้ายกำลังครุ่นคิด ทันใดนั้นนางก็เรียกหาคนผู้หนึ่ง
“ลอเรน”
สิ้นเสียงเรียก นางกำนัลเจ้าของชื่อก็รีบเดินเข้ามาหาโรสมอนด์
“เพคะ ฝ่าบาท”
“เรื่องเอกสารที่ดัชเชสเอเฟรนีพูดถึงเป็นอย่างไรบ้าง”
“ทรงหมายถึงเอกสารเรื่องงานวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระจักรพรรดิใช่หรือไม่เพคะ”
“ใช่”
“ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย” ลอเรนเผยยิ้มพลางตอบ “ทุกอย่างเรียบร้อยดีเพคะ”
“ดี”
ได้ฟังดังนั้นสีหน้าของโรสมอนด์ก็ดูสบายใจขึ้นระดับหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังออกคำสั่งกับลอเรนอีกครั้งคล้ายยังไม่คลายความกังวล
“นำเอกสารที่เสร็จแล้วมาให้ข้าที อย่างไรข้าก็คงต้องอ่านด้วยตัวเอง”
“แน่นอนเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันจะนำมาถวายเดี๋ยวนี้”
ขณะค้อมศีรษะให้โรสมอนด์ ลอเรนก็ยังคงรักษารอยยิ้มไว้บนใบหน้า นางค่อยๆ หันกายอย่างเนิบช้าจนกระทั่งเมื่อหันหลังให้อีกฝ่ายอย่างสมบูรณ์ บนใบหน้าของลอเรนก็ไม่เหลือรอยยิ้มอีกต่อไป
ภาคแยก 1 : The life of the dead is in the memory of the living.
(คนตายยังคงมีชีวิตอยู่ในความทรงจำของคนเป็น)
ชีวิตของโรสมอนด์ แมรี ลา เฟ็ลปส์ในช่วงนี้ราวกับอยู่ในความฝัน
เพราะเปโตรนิยาซึ่งเรียกได้ว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาตของนางถูกประหารชีวิตไปเมื่อไม่นานมานี้ เหล่าขุนนางที่พอจะมีสมองคิดได้ก็มิอาจข้ามหัวนางไปแต่งตั้งจักรพรรดินีคนใหม่ หากไม่มีอะไรผิดพลาด ตำแหน่งจักรพรรดินีย่อมต้องตกเป็นของนางอย่างแน่นอน
ตำแหน่งจักรพรรดินีเป็นสิ่งที่โรสมอนด์ปรารถนามาเนิ่นนานเรียกได้ว่าทั้งชีวิต นางจึงนึกสงสัยว่าความลำบากตรากตรำที่ผ่านมาล้วนเกิดขึ้นเพื่อความสุขที่กำลังจะมาถึงนี้ใช่หรือไม่
“ฝ่าบาทจะประกาศแต่งตั้งจักรพรรดินีคนใหม่เมื่อใด คลารา ตำแหน่งนี้มิอาจปล่อยว่างได้นาน อีกไม่นานคงประกาศแล้วกระมัง”
“แน่นอนค่ะ มาร์เชอเนสเฟล็บส์”
โรสมอนด์ได้ฟังคำตอบของคลาราก็เขม้นมองอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจ และแก้คำพูดของนางเสียใหม่
“คลารา ตอนนี้เจ้าควรเรียกข้าว่า ‘ฝ่าบาท’ มิใช่รึ หากเจ้าไม่แก้คำเรียกนั่น เห็นทีว่าลิ้นของเจ้านั้นมีไว้ก็ไร้ประโยชน์ ข้าตัดทิ้งเสียดีหรือไม่?”
“ขะ ขออภัยค่ะ มาร์… เอ่อ ฝ่าบาท หม่อมฉันโง่เขลาเบาปัญญา…โปรดอภัยให้หม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ”
คลาราหวาดกลัวจนหัวหดรีบร้อนคุกเข่าขออภัย จากนั้นไม่นานโรสมอนด์ก็อารมณ์ดีขึ้น หญิงสาวลูบสันจมูกพลางส่งเสียง ‘อืม’ ด้วยสีหน้าหยิ่งผยองราวกับจะบอกว่านางผ่อนผันให้
“ดี ต่อไปก็จงระวังคำพูด เข้าใจหรือไม่ คลารา”
“แน่นอนเพคะ ฝ่าบาท มีหรือหม่อมฉันจะกล้า”
“ใช่แล้ว ต้องอย่างนี้สิ”
เมื่อพอใจแล้ว โรสมอนด์ก็ลูบคลำเล็บมือของตนด้วยสีหน้าพึงใจพลางกล่าวกับคลารา
“คิดถึงฝ่าบาทจัง ข้าไปตำหนักกลางดีกว่า”
แต่เมื่อมาถึงตำหนักกลางโรสมอนด์ก็ต้องพบกับเรื่องขัดใจ
“เข้าไม่ได้? หมายความว่าอย่างไร”
“ฝ่าบาทเพิ่งเข้าที่บรรทมไปเมื่อครู่ค่ะ”
“แต่นี่มันตอนกลางวันนะ”
“ฝ่าบาทมีพระอาการอ่อนเพลียจึงบรรทมกลางวัน ขออภัยมาร์เชอเนสเฟ็ลปส์ แต่ฝ่าบาทมีรับสั่งมิให้ใครเข้าเฝ้าทั้งนั้น”
“อะไรนะ?”
นางซักไซ้หัวหน้านางกำนัลตำหนักกลางด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ สำหรับนางแล้วนี่เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น
“ข้าคนนี้กำลังจะได้เป็นจักรพรรดินีของฝ่าบาท แต่เจ้ากลับบอกว่าข้าเข้าไปไม่ได้อย่างนั้นรึ?”
“ถึงกระนั้นข้าก็มิอาจขัดรับสั่งของฝ่าบาทได้ ขออภัยด้วยค่ะ มาร์เชอเนส”
“อ๊ากกก!”
ตอนนั้นเองเสียงที่คุ้นเคยก็ดังออกมาจากด้านใน หัวหน้านางกำนัลนิ่วหน้า ในขณะที่สีหน้าของโรสมอนด์พลันสดใสขึ้น นี่เป็นเวลาที่นางต้องออกโรง โรสมอนด์จ้องหัวหน้านางกำนัลตาไม่กะพริบคล้ายจะถามว่าจะเอาอย่างไร หัวหน้านางกำนัลได้แต่ทำสีหน้าละล้าละลัง
“ฝ่าบาทคงฝันร้ายอีกแล้วกระมัง” โรสมอนด์กล่าวด้วยน้ำเสียงชอบกลคล้ายเห็นเป็นเรื่องสนุก
“…เชิญค่ะ”
เมื่อเป็นเช่นนี้หัวหน้านางกำนัลจึงจำต้องปล่อยให้โรสมอนด์เข้าไปอย่างช่วยไม่ได้ เพราะในจักรวรรดินี้มีเพียงโรสมอนด์คนเดียวที่สามารถบรรเทาอาการคุ้มดีคุ้มร้ายของผู้กุมอำนาจเด็ดขาดของจักรวรรดิได้
โรสมอนด์ก้าวเท้าไปหยุดอยู่หน้าประตูด้วยความมั่นใจและเปิดประตูเข้าไปอย่างไม่ลังเล หลังจากกำชับกับหัวหน้านางกำนัลว่าอย่าให้ใครเข้ามา โรสมอนด์ก็หายเข้าไปในห้อง
“ฝ่าบาท~” นางเอ่ยเรียกลูซิโอด้วยน้ำเสียงฉอเลาะ
นางมองลูซิโอที่กำลงเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัสพลางยิ้มละไมและก้าวไปหยุดตรงหน้าเขาอย่างสง่างาม ท่านคงไม่ทราบว่าข้าดีใจมากเพียงใด สภาพนี้ของท่านมีเพียงข้าที่ได้รู้ได้เห็น และเป็นคนเดียวที่สามารถช่วยท่านได้ โรสมอนด์เผยยิ้มอ่อนหวานและนั่งลงข้างเตียง
“อึก…”
ลูซิโอยังไม่ตื่นจากฝันร้าย สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวราวกับฝันนั้นช่างน่ากลัวเหลือแสน น่าเสียดายที่โรสมอนด์ไม่ได้มีความรู้สึกร่วมไปกับความเจ็บปวดนั้น ไม่สิ นางไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
“ฝ่าบาท…ฝ่าบาทของหม่อมฉัน”
นางลูบไล้แก้มของลูซิโออย่างทะนุถนอมพลางกระซิบ “พระองค์ฝันถึงสิ่งใด เหตุใดจึงทรมานถึงเพียงนี้”
“อือ…”
“ฝันถึงอดีตจักรพรรดินีอลิซาอีกแล้วหรือเพคะ หรือว่า…”
“จะ…จักร…”
“…”
“จักรพรรดินี…”
คำที่หลุดออกมาจากปากของลูซิโอทำให้สีหน้ายิ้มแย้มของโรสมอนด์พลันเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ ในยามที่ฝันร้าย ลูซิโอไม่เคยเรียกอลิซาว่า ‘จักรพรรดินี’ เลยแม้แต่ครั้งเดียว เขามักจะเรียกอลิซาว่า ‘เสด็จแม่’ โรสมอนด์ตั้งใจฟังสิ่งที่ออกจากปากของลูซิโอด้วยสีหน้าโกรธขึ้ง
“ได้โปรด…อย่า…”
“เฮอะ!”
โรสมอนด์แค่นหัวเราะอย่างหมดคำพูด เป็นเช่นนี้หรอกรึ? ไม่ได้ฝันถึงอลิซาแต่ฝันถึงเปโตรนิยา? อดีตจักรพรรดินี? โรสมอนด์เขม้นมองลูซิโอด้วยสายตาเย็นชา นางอารมณ์ไม่ดีแล้ว ทำไมเขาต้องละเมอถึงผู้หญิงคนนั้น?
“ฝันถึงอลิซาเสียยังดีกว่า…จะไปฝันถึงผู้หญิงที่ท่านฆ่าไปแล้วทำไม?”
“เฮือก!”
ตอนนั้นเอง ลูซิโอก็แผดเสียงประหลาดและลืมตาขึ้น โรสมอนด์มองสีหน้าของลูซิโอที่คล้ายถูกสูบเรี่ยวแรงออกไปจนหมดพลางปลอบเขาอย่างเยือกเย็น
“ฝ่าบาท ทำพระทัยให้สงบก่อนเพคะ”
“…โรส?”
“เพคะ ฝ่าบาท”
ความเย็นชาเมื่อครู่หายไปจนหมดสิ้น บนใบหน้าโรสมอนด์เหลือเพียงรอยยิ้มเด่นชัด นางกระซิบกับอีกฝ่ายราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ชู่ว ฝ่าบาท ฝันร้ายหรือเพคะ หม่อมฉันอยู่ตรงนี้แล้ว ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย ไม่เป็นไรแล้วเพคะ”
“…”
“เป็นความฝันที่เลวร้ายมากใช่ไหมเพคะ สีพระพักตร์ดูไม่ดีเลย”
“…ข้าฝันถึงอดีตจักรพรรดินี”
เขาตอบอย่างตรงไปตรงมา แม้โรสมอนด์จะรู้อยู่แล้ว แต่เอาเข้าจริงกลับรู้สึกไม่ดี นางพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติและเอ่ยถามลูซิโอ
“ตายจริง ฝันถึงอดีตจักรพรรดินีหรือเพคะ มิทราบฝันว่าอย่างไร”
“…ก็แค่” เขาพูดอ้อมแอ้ม “ไม่มีอะไรหรอก”
“…”
อา…ตอบแบบนี้ยิ่งน่าขัดใจ มีความลับกับข้ารึ
โรสมอนด์อยากให้ระหว่างตนกับลูซิโอไม่มีความลับต่อกัน แน่นอนว่าเรื่องที่นางปิดบังไว้ไม่ได้มีแค่เรื่องสองเรื่อง แต่อย่างน้อยนางก็หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่ปิดบังนาง
อาจจะดูเห็นแก่ตัว แต่นั่นคือความสัมพันธ์ที่นางคาดหวัง ความสัมพันธ์ที่ต่อให้นางปิดบังอะไรไว้ อีกฝ่ายจะต้องไม่มีอะไรปิดบังนาง ความสัมพันธ์ที่นางอยู่เหนือทุกสิ่งอย่างสิ้นเชิง
“ไม่มี ‘อะไร’ หรือเพคะ?”
“อืม”
“…หม่อมฉันเป็นห่วงนะเพคะ พระองค์เหงื่อออกมากขนาดนี้ ทั้งยังส่งเสียงร้องครวญคราง”
“หาใช่เรื่องแปลกใหม่อันใดมิใช่หรือ”
ในน้ำเสียงที่ฟังดูเหนื่อยล้าชอบกลแฝงไว้ด้วยความหงุดหงิดอย่างประหลาด โรสมอนด์ไม่พอใจและไม่สบายใจกับบรรยากาศที่ดำเนินไปอย่างแปลกๆ นี้ สัญชาตญาณของนางบอกว่าได้เวลาที่ต้องถอยแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่โรสมอนด์ไม่เห็นด้วยกับสัญชาตญาณของตน นางแสร้งออดอ้อนและเอ่ยถาม
“ถึงอย่างไรจากนี้พระองค์ก็มีหม่อมฉันอยู่เคียงข้างนะเพคะ ทรงลืมหญิงชั่วผู้นั้นและมองแค่หม่อมเถิดเพคะ นะ?”
“…นั่นสินะ” เสียงถอนหายใจปนมาในคำตอบของลูซิโอ “ควรต้องเป็นเช่นนั้น”
“…”
“มีผู้คนต้องสังเวยชีวิตไปตั้งมากมาย ข้าย่อมต้องทำเช่นนั้น”
“…ฟังดูเหมือนประชดประชันเลยนะเพคะ” โรสมอนด์นิ่วหน้าถาม “หม่อมฉันคงจะคิดไปเองกระมัง ฝ่าบาท?”
“อืม วันนี้ข้าเพลียไปหน่อย รู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว”
น้ำเสียงอ่อนล้าที่คล้ายบอกเป็นนัยว่าให้ออกไปได้แล้วนั้นทำให้โรสมอนด์หงุดหงิดขึ้นมาจริงๆ แล้ว แต่นางก็ยังไม่ยอมแพ้และพูดธุระออกไป
“ว่าแต่…ฝ่าบาทเพคะ”
“หืม?”
“อดีตจักรพรรดินีก็ถูกประหารไปร่วมเดือนแล้ว เมื่อไรจะแต่งตั้งหม่อมฉันเป็นจักรพรรดินีหรือเพคะ”
“…เจ้าอย่าได้รบเร้าเอาแต่ใจ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีขั้นตอนของมัน”
“เพคะ? แต่…มันตั้งหนึ่งเดือนนะเพคะ เวลาเท่านี้ยังไม่เพียงพออีกหรืออีกหรือ”
“คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวรรดินี้หมุนรอบตัวเจ้าหรือไร นอกจากเรื่องนั้นข้ายังมีงานที่จะต้องจัดการอีกมากมาย โชคดีแค่ไหนที่ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับงานของฝ่ายในไปอีกระยะหนึ่ง”
พูดถึงตรงนี้ลูซิโอก็รู้สึกตัวว่าเขาอ่อนไหวมากเกินไป หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เอ่ยขอโทษ
“…ขอโทษนะ โรส ข้าทำตัวอ่อนไหวเกินไปเสียแล้ว”
โรสมอนด์สัมผัสได้ถึงการปลอบโยนเล็กน้อยในคำพูดนั้น แต่อารมณ์ไม่พอใจของนางก็ยังไม่คลายลงทั้งหมด ถึงกระนั้นนางก็ตั้งใจจะทำตัวเป็นแม่พระที่เข้าใจลูซิโอทุกอย่าง เพราะถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็ยังจำเป็นสำหรับนาง
“…ไม่เป็นไรเพคะ ฝ่าบาท” โรสมอนด์ปั้นหน้ายิ้มและกล่าวอย่างอ่อนหวาน “พระองค์ย่อมต้องอ่อนไหวเป็นธรรมดา ที่ผ่านมาต้องทรงงานหนักเพียงใด หม่อมฉันไหนเลยจะไม่รู้ ราชกิจก็ล้นมือ ไหนจะมีเรื่องให้กังวลพระทัยมากมาย…”
“…”
“พักบ้างก็ดี จะบรรทมต่อไหมเพคะ”
“ไม่แล้ว ข้าลุกเลยดีกว่า มีเรื่องให้สะสางอีกเป็นภูเขาเลากา”
“…เพคะ ฝ่าบาท”
โรสมอนด์ช่วยพยุงลูซิโอลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง เขายืนโงนเงนเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ล้มเข้าไปในอ้อมแขนของโรสมอนด์ นางประคองให้เขายืนอย่างมั่นคงและเอ่ยเสียงกระซิบ
“ฝ่าบาท หากพอจะมีเวลาว่างแล้ว เสด็จประพาสสักหน่อยน่าจะดีนะเพคะ”
“…อย่างนั้นหรือ?”
“เพคะ มีบ่อน้ำพุร้อนซึ่งเป็นที่โปรดปรานของจักรพรรดิรุ่นก่อนๆ อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงมิใช่หรือเพคะ หากเป็นที่นั่นคงดีไม่น้อย”
“ก็ไม่เลวนะ”
ลูซิโอพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนเพลียเล็กน้อย โรสมอนด์ลูบหลังลูซิโอเบาๆ พลางกระซิบด้วยน้ำเสียงรักใคร่เอ็นดู
“ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดีเพคะ”
ความปรารถนาของโรสมอนด์กลายเป็นจริงแล้ว ไม่กี่วันหลังจากนั้น ลูซิโอก็ประกาศแต่งตั้งโรสมอนด์เป็นจักรพรรดินีคนใหม่ของจักรวรรดิมาวินอสให้ทุกคนรับทราบโดยทั่วกัน แน่นอนว่าหลังจากโรสมอนด์ได้ยินข่าวนี้ก็ดีใจจนตัวลอย
“ยินดีด้วยเพคะ ฝ่าบาท”
สิ้นเสียงแสดงความยินดีอย่างเริงร่าของคลารา โรสมอนด์ก็ตอบอย่างวางท่า
“มีอันใดแปลกใหม่กัน มิใช่ว่าเราคาดการณ์กันไว้หมดแล้วหรอกรึ”
“ถึงกระนั้นก็เถิด อย่างไรที่ผ่านมาพระองค์ก็ลำบากมามากนะเพคะ”
นั่นก็จริง โรสมอนด์พึมพำ แต่มันก็กลายเป็นแค่อดีตไปแล้ว อย่างไรตอนนี้นางก็ได้เป็นว่าที่จักรพรรดินีแล้ว ความทุกข์ใจในอดีตจึงถูกพัดไปไกล ไม่ว่าอย่างไรทุกสิ่งทุกอย่างก็จะตกเป็นของนางในอนาคตอันใกล้นี้
“ตอนนี้จักรวรรดิมาวินอสทั้งหมดเป็นของพระองค์แล้วเพคะ”
“จักรวรรดิย่อมต้องเป็นของฝ่าบาท ตัวข้านั้นเป็นเพียงจักรพรรดินีของพระองค์เท่านั้น”
“แต่ฝ่าบาท เดิมทีมีคำกล่าวที่ว่า ‘บุรุษคือผู้ปกครองโลกา’ และ ‘สตรีคือผู้ปกครองบุรุษนั้น’ มิใช่หรือเพคะ องค์จักรพรรดิอยู่ในกำมือของพระองค์แล้ว ดังนั้น จักรวรรดินี้ย่อมต้องเป็นต้องของพระองค์สิเพคะ”
“เจ้านี่นะ” โรสมอนด์เอ่ยอย่างชอบใจ “สรรหาคำพูดคำจารื่นหูก็เป็นหรือนี่”
ต่างจากท่าทีเมื่อไม่กี่วันก่อนที่นางใช้คำเรียกขานผิดจนถูกโรสมอนด์บริภาษไปหนึ่งคำรบลิบลับ เรื่องนี้ใช่ว่าทั้งคู่ไม่รับรู้ แต่เลือกที่จะไม่พูดถึง เพราะถึงอย่างไรสิ่งสำคัญก็คืออนาคต หาใช่อดีต
“จักรพรรดินีเสด็จ”
สิ้นเสียงเคร่งขรึมของนางกำนัล โรสมอนด์ก็เข้ามาในโบสถ์ วันนี้เป็นวันสถาปนาโรสมอนด์ขึ้นเป็นจักรพรรดินี พิธีถูกจัดขึ้นที่โบสถ์เซนต์อีสต์ซึ่งเคยเป็นสถานที่จัดพิธีราชาภิเษกของลูซิโอ
‘ในที่สุด!’
โรสมอนด์เยื้องย่างไปบนรองเท้าส้นสูงทีละก้าว ทีละก้าวด้วยสีหน้าปีติยินดี นางดูเจิดจรัสท่ามกลางบรรยากาศเคร่งขรึม แน่นอนว่านางนั้นงดงาม บางทีอาจงดงามที่สุดในจักรวรรดิ เรื่องนี้มิอาจปฏิเสธได้ หากไม่นับเรื่องอุปนิสัยและการกระทำในอดีต
และแล้วนางก็เดินมาหยุดตรงหน้าชายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศนี้ บาทหลวงส่งสัญญาณให้นางคุกเข่าและค้อมศีรษะ หญิงสาวทำตามด้วยความเต็มใจ
“โรสมอนด์ แมรี แอสเทอร์ เดอ มาวินอส”
ในที่สุดนางก็ได้เปลี่ยนนามสกุลเป็นมาวินอส นามสกุลของเชื้อพระวงศ์ที่จักรพรรดินีเท่านั้นที่ใช้ได้ โรสมอนด์ยิ้มกว้างอย่างซาบซึ้งใจ เนื่องจากก้มหน้าอยู่นางจึงไม่เห็นสีหน้าของลูซิโอ แต่เขาย่อมต้องมีสีหน้ายินดีแน่นอนอยู่แล้ว ไยจะไม่ยินดีเล่า ในเมื่อเขาต้องยอมให้มือเปื้อนเลือดเพื่อให้นางได้ขึ้นเป็นจักรพรรดินี เขาต้องดีใจอย่างแน่นอนที่สุด
“ในนามของจักรพรรดิ เราขอแต่งตั้งเจ้าเป็นจักรพรรดินีองค์ใหม่แห่งจักรวรรดิมาวินอส”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งเพคะ ฝ่าบาท”
โรสมอนด์ตอบด้วยน้ำเสียงสง่างาม ทันใดนั้นเสียงสรรเสริญแซ่ซ้องก็ดังขึ้นทั่วทุกสารทิศ
“จักรพรรดินี ทรงพระเจริญ!”
“จักรพรรดิ ทรงพระเจริญ!”
“จักรวรรดิมาวินอสจงเจริญ!”
ใช่แล้ว ทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดี รอยยิ้มของโรสมอนด์เปล่งประกายอยู่บนใบหน้า
“พูดตามตรงข้าเองก็ไม่คิดว่าเรื่องจะมาถึงขั้นนี้”
“หมายความว่าอย่างไร”
“ข้าคิดว่าข้าไม่สามารถแต่งงานได้น่ะสิ เจ้าเองก็รู้ ในอดีตมี ‘เรื่องนั้น’ อยู่”
“…”
“ผู้ชายคนนั้นเป็นเพียงคนเดียวที่ช่วยเปลี่ยนข้าผู้หวาดกลัวอดีต ข้าดีใจยิ่งนักที่ได้แต่งงานกับเขา ริซซี่”
“ดีแล้วล่ะ นีย่า หากเจ้าว่าดี ข้าก็ว่าดี”
“เอาล่ะ เช่นนั้นเรื่องของข้าก็จบลงเท่านี้…” เปโตรนิยายิ้มพรายพลางถามถึงความเป็นไปของน้องสาว “แล้วเจ้าเล่า เป็นอย่างไร ริซซี่ หมู่นี้ข้าได้ยินพวกนางกำนัลพูดเป็นคุ้งเป็นแควเรื่องที่เจ้ากับฝ่าบาทอยู่กันอย่างรักใคร่ปรองดอง”
“…”
คำพูดนั้นทำให้แพทริเซียหน้าแดงกล่าวกับอีกฝ่ายเสียงเข้ม
“ฝ่าบาทนั่นแหละที่แปลกไป”
“…”
รักกันดีสินะ เปโตรนิยาคิด เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของแพทริเซียดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนอย่างมาก ตอนนี้สีหน้าของหญิงสาวที่ได้รับความรักปรากฏอยู่บนใบหน้าของแพทริเซียแล้ว เปโตรนิยารู้สึกโล่งใจเหลือเกินที่ตนไม่ได้มีความสุขอยู่คนเดียว หากนางมีความสุข แต่น้องสาวของนางไม่มีความสุข ความสุขที่นางได้รับย่อมมิใช่ความสุขที่สมบูรณ์ เปโตรนิยาหัวเราะเบาๆ
“เจ้าคงมาร่วมงานไม่ได้สินะ”
“…น่าจะเป็นเช่นนั้นกระมัง?”
แพทริเซียตอบด้วยสีหน้าชอบกล แต่เปโตรนิยาอ่านสีหน้านั้นไม่ออก
“เงินใส่ซองจากราชวงศ์คงไม่ธรรมดาใช่หรือไม่ ข้าคาดหวังได้หรือเปล่านะ” เปโตรนิยาหยอกเย้า
“อยู่ในช่วงลดงบประมาณ เจ้าอย่าได้คาดหวังนักเลย”
แพทริเซียหยอกกลับพลางหัวเราะคิกคัก ตอนนั้นเองมีร์ยาก็เคาะประตู แพทริเซียจึงส่งเสียงถามออกไป
“มีอะไรหรือ มีร์ยา”
“วันนี้ฝ่าบาทพระราชทานคุกกี้ช็อกโกแลตชิพมาให้มากมายเลยเพคะ”
เปโตรนิยาได้ยินดังนั้นถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
“ตายจริง นี่ยังทรงทำขนมหวานอยู่อีกหรือ”
“ถ้ามิได้เกิดมาเพื่อเป็นจักรพรรดิคงไปเป็นปาตีซีเย[1]แล้วล่ะ”
แพทริเซียว่าพลางหัวเราะชอบใจ มีร์ยานำคุกกี้ไปจัดใส่จานที่สวยงามแล้วค่อยนำมาเข้ามา เปโตรนิยาหยิบขึ้นมาชิมชิ้นหนึ่งแล้วอุทานออกมา
“อร่อย!”
“ฝีพระหัตถ์ดีขึ้นเรื่อยๆ”
“ให้ตายเถอะ ฝ่าบาททรงทำสิ่งนี้ทุกวันเลยหรือนี่ สั่งให้ห้องเครื่องทำให้ก็ได้แท้ๆ”
“เห็นว่าแบบนั้นดูไม่จริงใจ หรืออะไรทำนองนั้น” แพทริเซียยิ้มพลางเอ่ยกับเปโตรนิยา “อย่างที่เจ้าเห็น ข้าสบายดี”
“…”
“เพราะฉะนั้นเจ้าไม่ต้องห่วงข้ามากนักก็ได้”
“ข้ารู้ น้องสาวของข้า ฝ่าบาทของข้า” เปโตรนิยายิ้มบางๆ “ข้าไม่ห่วงหรอก เพราะสีหน้าของเจ้าบอกข้าหมดแล้วว่าตอนนี้เจ้ามีความสุขเพียงใด”
“ใช่แล้ว นิล” แพทริเซียตอบด้วยน้ำเสียงล่องลอยเล็กน้อย “ตอนนี้ข้ามีความสุข”
“ในภายภาคหน้าเจ้าก็ต้องมีความสุขต่อไป เข้าใจหรือไม่”
“แน่นอน”
แพทริเซียตอบและหัวเราะเบาๆ ตามความเคยชิน แน่นอนว่าตอนนี้นางก็กำลังมีความสุขเช่นกัน
***
งานแต่งของเปโตรนิยาถูกจัดขึ้นในตอนบ่ายที่มีแสงแดดสดใสของวันหนึ่ง เปโตรนิยานั่งรอเข้าพิธีอยู่ในห้องรับรองของเจ้าสาวด้วยสีหน้าตื่นๆ
‘ฮือ…ตื่นเต้นจัง’
จนถึงเมื่อคืนนางยังรักษาความสงบนิ่งไว้ได้ แต่เอาเข้าจริงเมื่องานแต่งงานมาอยู่ตรงหน้านางก็อดประหม่าไม่ได้ นางตั้งอกตั้งใจสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อคลายความตื่นเต้น ตอนนั้นเอง มาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์ผู้เป็นมารดาก็เข้ามาในห้อง สีหน้าของเปโตรนิยาฉายแววยินดีขณะเอ่ยทักทายอีกฝ่าย
“ท่านแม่”
“ลูกแม่ วันนี้เจ้างดงามนัก”
มาร์เชอเนสไม่ได้พูดส่งเดช เปโตรนิยางดงามจริงๆ ชุดแต่งงานสีขาวทำให้หญิงสาวดูราวกับเทพธิดา เปโตรนิยาถามผู้เป็นมารดาเสียงสั่น
“การแต่งงานมันน่าตื่นเต้นแบบนี้เสมอเลยหรือคะ”
“งานสำคัญแบบนี้ก็ต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดา ไม่จำเป็นต้องเป็นงานแต่งงาน แต่การทำการใหญ่ย่อมต้องมาพร้อมกับความประหม่า เจ้าอย่าได้ปฏิเสธความรู้สึกนี้และยอมรับมันเสีย หากทำทีเล่นทีจริงมากเกินไปในพิธีแต่งงานอันศักดิ์สิทธิ์ย่อมต้องเป็นปัญหาแน่”
“ข้าเข้าใจ แต่ว่า…”
มันตื่นเต้นเกินไปแล้ว เปโตรนิยาสูดหายใจเข้าลึกๆ ทำจิตใจให้สงบ ในเวลาแบบนี้ถ้าริซซี่อยู่ด้วยก็คงจะดีไม่น้อย
“ริซซี่อยู่เคียงข้างลูกเสมอ นีย่า” มาร์เชอเนสเอ่ยขึ้นราวกับอ่านใจได้
“คะ? ท่านแม่หมายถึง…”
“วันนี้ ‘สองคนนั้น’ น่าจะมาร่วมงานด้วย แต่แน่นอนว่าคงมาแบบไม่เอิกเกริก ในเมื่องานจัดในที่โล่ง ย่อมต้องมาร่วมได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ลูกแม่…” มาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์ยิ้มอย่างรักใคร่เอ็นดูและจุมพิตที่หน้าผากของเปโตรนิยา “อย่าได้ตื่นเต้นนักเลย คิดเสียว่าน้องสาวของเจ้ากำลังมองอยู่ ทำเช่นนั้นน่าจะช่วยได้กระมัง”
“ค่ะ ข้าเข้าใจแล้ว”
“เลดี้เปโตรนิยา ต้องออกไปแล้วค่ะ”
ตอนนั้นเอง สาวใช้สองสามคนก็กรูกันเข้ามาในห้องรับรอง เปโตรนิยามองมาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์ด้วยสีหน้าประหม่า ทำเอาความตั้งใจเมื่อครู่ของนางต้องอับอายเสียแล้ว ทว่า ผู้เป็นมารดากลับทำเพียงพยักหน้าด้วยสีหน้าอบอุ่นเท่านั้นราวกับจะสื่อว่าเรื่องทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี เปโตรนิยาเห็นดังนั้นก็คล้ายได้รับความกล้า นางยิ้มน้อยๆ และลุกขึ้นจากที่นั่ง ไม่เหลือเค้าความประหม่าและความกลัวอีกต่อไป ตอนนี้ไม่เหมือนกับตอนนั้น คนที่นางแต่งงานด้วยตอนนี้เป็นคนที่รักนางด้วยใจจริง ยิ่งไปกว่านั้นนางเองก็รักเขาจริงๆ
“เชิญเจ้าสาวเข้าสู่พิธี”
ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธี สิ้นเสียงของดยุก เปโตรนิยาก็ก้าวเดินไปบนทางเดินระหว่างที่นั่งด้วยสีหน้าที่เก็บซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้ นางรู้สึกได้ว่าสายตาของทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้มารวมอยู่ที่ตัวนางซึ่งเป็นเจ้าสาว นางยอมรับสายตาทั้งหมดแต่โดยดีและจ้องมองเพียงรอธซีผู้ซึ่งจะกลายเป็นสามีของนางเท่านั้น นางเห็นเขามองมาอย่างอึ้งๆ น่ารักจริงเชียว สามีข้า เปโตรนิยายิ้มทะเล้น เมื่อรอธซีเห็นดังนั้น รอยยิ้มที่แขวนอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาก็ยิ่งเด่นชัดขึ้น
การประกอบพิธีของดยุกวีเธอร์ฟอร์ดยาวนานเช่นเดียวกับผู้ประกอบพิธีท่านอื่น เปโตรนิยาแสนจะเกลียดเรื่องน่าเบื่อ แต่ในฐานะที่นางเป็นเจ้าสาว นางจึงไม่อาจกล่าวกับดยุกได้ว่า ‘ยาวเกินไปแล้ว กล่าวให้กระชับได้ใจความเถิด’ รอธซีที่ยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มน้อยๆ และจับมือเปโตรนิยาไว้แน่นราวกับล่วงรู้ความคิดของคนรัก การกระทำนั้นพอจะปลอบประโลมเปโตรนิยาได้บ้าง นางจึงมองข้ามความปวดเมื่อยที่ทำให้ขาเริ่มชาและตั้งใจฟังคำกล่าวอวยพรของประธานในพิธี
“…ด้วยเหตุนั้น เจ้าบ่าวสาบานหรือไม่ว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเจ้าสาว และรักเจ้าสาวไปจนแก่เฒ่า”
สิ้นคำถาม รอธซีก็ตอบอย่างไม่รอช้าราวกับว่าเขาเตรียมคำตอบไว้นานแล้ว
“ข้าขอสาบานด้วยเกียรติของตระกูล ต่อให้เส้นผมนี้ขาวจนหมดศีรษะ ต่อให้ร่างกายนี้เน่าเปื่อยแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี ข้าจะรักเพียงเจ้าสาวคนเดียว”
“เจ้าสาวสาบานหรือไม่ว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเจ้าบ่าว และรักเจ้าบ่าวไปจนแก่เฒ่า”
“ข้าขอสาบานด้วยเกียรติของตระกูล ข้าจะซื่อสัตย์และปฏิบัติตัวตามทํานองคลองธรรมในฐานะภรรยาของเจ้าบ่าวไปชั่วชีวิต แม้นชีวีนี้ดับดิ้น ข้าจะรักเพียงเจ้าบ่าวคนเดียว”
“ทั้งสองเป็นสามีภรรยากันแล้ว ขอทุกท่านโปรดอำนวยพรให้คู่แต่งงานใหม่เดินไปบนเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ”
สิ้นคำ เสียงปรบมือก็ดังขึ้นจากทั่วทุกสารทิศ ขณะเดินไปบนทางเดินระหว่างที่นั่งเปโตรนิยาและรอธซีได้ซึมซับเสียงปรบมือไว้ทั้งหมด ทั้งสองดูมีความสุขจากก้นบึ้งของหัวใจ
ไกลออกไปมีสตรีคนหนึ่งมองภาพนั้นผ่านผ้าคลุมหน้าและยิ้มออกมาเงียบๆ ภาพที่นางเคยหวังไว้ปรากฏชัดอยู่ตรงหน้านี้แล้ว
“ดีใจหรือไม่”
บุรุษสวมผ้าคลุมหน้าที่อยู่ข้างๆ เอ่ยถาม หญิงสาวพยักหน้าหลายครั้งด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มและตอบ
“ตอนนี้ วินาทีนี้ หม่อมฉันมีความสุขยิ่งกว่าช่วงเวลาใดๆ เลยเพคะ”
“ดีจริงๆ ที่พาเจ้าออกมา”
“ขอบพระทัยเพคะ”
“ข้าอยากได้ยินคำอื่นมากกว่านะ”
ได้ยินดังนั้นแพทริเซียก็ยิ้มหยอกเย้าพลางมองลูซิโอที่อยู่ด้านข้าง เขาเองก็กำลังยิ้มเช่นกัน เขาเป็นผู้ชายที่เหมาะกับรอยยิ้มมากกว่าน้ำตา แพทริเซียยิ้มอย่างงดงามและกระซิบแผ่วเบา
“ข้ารักท่านค่ะ ฝ่าบาท”
“ข้ารักเจ้ามากกว่า ริซซี่”
ทั้งคู่กระซิบคำรักหวานซึ้งและแลกจูบหวานชื่น ภายใต้แสงแดดอ่อนหวานและสายลมหวานฉ่ำ ไม่มีสิ่งใดหวานล้ำไปกว่าคู่รักคู่นี้อีกแล้ว
และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่ลงท้ายด้วยความสุข
[1] ปาตีซีเย (ฝรั่งเศส: pâtissier, ชาย) หรือ ปาตีซีแยร์ (pâtissière, หญิง) หรือ Pastry chef คือ หัวหน้าคนทำขนมอบ
เปโตรนิยาเดินตามรอธซีออกนอกสถานที่จัดงาน ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรกันแน่เขาถึงได้ดูประหม่าผิดปกติ เปโตรนิยาพลอยใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ไปด้วย รอธซีจับมือเปโตรนิยาแน่นและจูงเดินไปด้วยกันจนถึงสวนดอกไม้ในพระราชวัง ครั้นเดินมาได้สักครู่เปโตรนิยาก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นในหัว
‘เรื่อง ‘สำคัญ’ ที่ว่าคือการเดินเล่นในสวนนี่น่ะหรือ’
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางก็คล้ายเกิดความรู้สึกพูดไม่ออกเล็กน้อย เดี๋ยวสิ นี่มันเรื่องอะไรกัน? แน่นอนว่าสวนดอกไม้ของพระราชวังนี้ใช่ว่าพวกเขาจะเข้ามาเดินเล่นสองต่อสองเมื่อใดก็ได้ ดังนั้นวันนี้จึงเป็นโอกาสที่ดี แต่… เปโตรนิยาเอียงคอด้วยความสงสัยที่สับสนวุ่นวาย ในตอนนั้นเอง รอธซีก็เอ่ยเรียก
“นิล”
“คะ? โร”
“ช่วยหลับตาสักครู่ได้ไหมครับ”
“หลับตาหรือคะ”
“ครับ แค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นครับ นิล”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
จู่ๆ นางก็นึกสงสัยขึ้นมาว่านี่มันเรื่องอะไรกัน แต่นางก็ยอมทำตามคำขอของอีกฝ่ายอย่างว่าง่าย หลับตาได้เพียงไม่กี่วินาทีเปโตรนิยาก็รู้สึกเบื่อหน่ายกับการรอคอยจึงเลียบๆ เคียงๆ ถามรอธซี
“โร ข้าลืมตาได้หรือยังคะ”
“อ๊ะ เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อนครับ!”
เขาทำอะไรอยู่นะ เปโตรนิยารู้สึกไม่ค่อยสบายใจขึ้นมา แต่นางก็ยังเชื่อฟังและทำตามคำขอ ว่าแต่เขาคิดจะทำอะไรกันแน่ถึงสั่งให้ข้าหลับตา?
“นิล” เพียงไม่กี่อึดใจ เสียงนุ่มทุ้มของรอธซีก็ดังฝ่าความเงียบ “ลืมตาได้แล้วครับ”
สิ้นเสียงของรอธซี เปโตรนิยาก็ลืมตาขึ้นทันทีราวกับนางรอคำนั้นอยู่แล้ว จากนั้นภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้นางอดไม่ได้ต้องเปล่งเสียงอุทานออกมา
“อา…!”
“รู้สึกเขินๆ เหมือนกันนะครับ”
ตรงหน้านางเป็นร่างของรอธซียืนถือดอกกุหลาบที่คาดคะเนด้วยสายตาน่าจะมีประมาณหนึ่งร้อยดอก รอบกายล้อมด้วยเทียนที่ถูกจัดเรียงเป็นรูปหัวใจ เปโตรนิยาพูดอะไรไม่ออกได้แต่จ้องมองรอธซีราวกับสายตาจะทะลุผ่านตัวเขาไป
“นี่มัน…”
“ข้าอยากทำอะไรที่โรแมนติกในตอนกลางวันอยู่เหมือนกัน แต่…” รอธซีหน้าแดงด้วยความขวยเขิน “คิดว่าตอนกลางวันคงทำออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะแค่คิดว่าต้องมองตานิลแล้วเอ่ยคำว่ารักก็ไม่รู้ว่าหัวใจข้าจะเต้นรัวจนระเบิดออกมาหรือไม่”
“อา…”
หรือว่านี่เขากำลังจะ…
‘ขอข้าแต่งงาน?’
น่ารักอะไรขนาดนี้! เปโตรนิยามองรอธซีด้วยความปลาบปลื้มจนไม่รู้จะทำอย่างไร แม้ความมืดจะโอบล้อมรอบกายแต่นางก็รู้สึกได้ว่าเขากำลังเขินอาย เปโตรนิยามีสีหน้านิ่งอึ้งยกมือป้องปากโดยไม่รู้ตัว นางเอ่ยปากเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“เอ่อ โร…”
“เลดี้เปโตรนิยา”
เขาเรียกหญิงสาวด้วยชื่อเต็มที่ไม่ได้เรียกมานาน เปโตรนิยาพยักหน้าพลางก้าวขาออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
“ตระกูลของข้าอาจไม่สูงส่งเท่าตระกูลของท่าน และตัวข้าเองก็ไม่ใช่ผู้ชายที่มากความสามารถหรืออ่อนหวานอันใด”
พูดอะไรน่ะ เปโตรนิยาที่กำลังซาบซึ้งเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจในใจ หากชายคนนี้ ‘มิได้มาจากตระกูลที่ดี’ ‘ไร้ความสามารถ’ และ ‘จิตใจหยาบกระด้าง’ แล้วล่ะก็ ผู้ชายดีๆ ในโลกนี้ก็คงตายไปหมดแล้วกระมัง เมื่อก่อนนางก็เคยคิดอยู่เหมือนกันว่าผู้ชายคนนี้ถ่อมตัวมากเกินไปเมื่ออยู่กับนาง
“ถึงกระนั้น ข้าก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อทำให้เลดี้มีความสุข”
“…”
“ข้าอยากเป็นผู้ชายที่ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับท่าน ปลอบโยนท่านในยามทุกข์ ยินดีกับท่านในยามสุข และอยู่เคียงข้างท่านไปชั่วนิรันดร์”
พูดจบ รอธซีก็หยิบแหวนออกมาจากระเป๋าในเสื้อสูท ก่อนจะวางมันไว้บนช่อดอกกุหลาบและเอ่ยถามคำถามสุดท้าย
“ท่านจะ…แต่งงานกับข้าได้หรือไม่”
“ได้สิคะ”
เปโตรนิยาตอบอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อยก่อนจะก้าวเท้าเร็วๆ เข้าไปหาอีกฝ่ายและรับช่อดอกไม้นั้นมา นางสวมแหวนลงบนนิ้วนางข้างซ้ายอย่างว่องไวและกอดรอธซีแน่นด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข น้ำเสียงแห่งความปลื้มปิติดังก้องอยู่ในหูของรอธซี
“การได้พบกับท่านเป็นเรื่องที่โชคดีและมีค่าที่สุดในชีวิตของข้า ไม่มีเรื่องใดเทียบเทียม”
“ขอบคุณที่ให้เกียรติผู้ชายอย่างข้าถึงเพียงนี้ครับ นิล”
“ท่านไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวและดูถูกตัวเองค่ะ ในจักรวรรดินี้ ไม่สิ ในโลกใบนี้ ท่านเป็นคนที่วิเศษที่สุดแล้ว”
จนถึงตอนนี้ เปโตรนิยาเคยคิดมาตลอดว่าน้ำตาจะไหลออกมาเฉพาะตอนที่เสียใจเท่านั้น และในความเป็นจริงตัวนางเองก็มักจะร้องไห้เฉพาะเวลาที่เสียใจ แต่วันนี้ วินาที น้ำตาของนางไหลอาบแก้มด้วยความปิติยินดีเป็นล้นพ้นและยังคงไหลไม่หยุดราวกับแก้มของนางเป็นกระดานลื่นหรือเลื่อนหิมะที่เด็กๆ ชอบเล่นกัน เปโตรนิยาร้องไห้โฮพลางสารภาพรักกับอีกฝ่าย
“ข้ารักท่านค่ะ โร ขอบคุณมากนะคะที่ขอข้าแต่งงาน”
“ข้าสิต้องขอบคุณที่ท่านรับคำขอของข้า และข้ารักท่านมากกว่านะครับ นิล”
รอธซีสารภาพรักด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นราวกับว่าเรื่องนี้เท่านั้นที่เขายอมไม่ได้ จากนั้นก็มองเปโตรนิยาอย่างอ่อนโยน ครั้นถูกมองเช่นนั้น เปโตรนิยาก็ยิ้มกว้างและเป็นฝ่ายมอบจุมพิตให้รอธซีก่อน แน่นอนว่าเขาไม่ปฏิเสธ
***
“เจ้าร้องไห้หรือ”
แพทริเซียพยักหน้ารับโดยไม่เอ่ยคำพูดใด
“ดูเหมือนน้ำตาจะไหลเพราะความยินดีได้ด้วยนะเพคะ”
“ลอร์ดเบรดิงตันเป็นผู้ชายที่ดี เลดี้โกรเชสเตอร์ช่างมีโชคเรื่องสามี”
“พี่สาวของหม่อมฉันก็เป็นผู้หญิงที่ดีเพคะ”
“แน่นอน นางย่อมเป็นว่าที่ภรรยาที่ยอดเยี่ยม”
“ทั้งสองคนจะต้องอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขแน่เพคะ”
แพทริเซียมองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างจากบนระเบียง จู่ๆ นางก็พูดเรื่องอื่นขึ้นมา
“ในเมื่อแต่งงานกับลอร์ด เช่นนั้นนางก็น่าจะเป็นนางกำนัลต่อได้นะเพคะ”
“ดูเหมือนเจ้าจะกลัวว่านางจะได้แต่งงานกับขุนนางหัวเมืองสินะ”
“ก็นางเป็นพี่สาวคนสำคัญเพียงคนเดียวของหม่อมฉันนี่เพคะ” แพทริเซียอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายโดยไม่ได้ขัดขืนพลางเอ่ยถามเสียงแผ่ว “ไปร่วมงานแต่ง…ได้ไหมเพคะ”
“อย่างเป็นทางการคงเป็นไปได้ยาก”
“หมายความว่าอย่างไรหรือเพคะ”
“ก็หมายความว่าไปอย่างไม่เป็นทางการได้อย่างไรเล่า ริซซี่ของข้า”
ลูซิโอกระซิบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนจะค่อยๆ พรมจูบลงบนเส้นผมของหญิงสาว
“หากเจ้าปรารถนาสิ่งใด ข้าย่อมต้องสนองให้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม”
“คำกล่าวเช่นนี้ช่างอันตรายนัก”
“ถึงกระนั้นก็ช่วยไม่ได้ ข้าสาบานไว้แล้วว่าจะทำเช่นนั้น”
ไม่ต้องมองแพทริเซียก็รู้สึกได้ถึงรอยยิ้มละมุนของเขา ขณะที่แพทริเซียคิดจะส่ายหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อนั้นเบาๆ จู่ๆ ก็มีเสียงกัมปนาทดังสนั่นหวั่นไหว แพทริเซียตกใจจนหดตัวลงโดยไม่รู้ตัว แต่ลูซิโอกลับไม่ค่อยตกใจเท่าใดนักอาจเป็นเพราะเขากำลังกอดแพทริเซียไว้แน่น เขาพูดปลอบประโลมคนในอ้อมกอดด้วยเสียงนุ่มทุ้ม
“ไม่เป็นไรหรอก ริซซี่ แค่พลุน่ะ”
“อ้อ…”
ได้ยินดังนั้นแพทริเซียก็เงยหน้ามองท้องฟ้า บนนั้นมีดอกไม้ไฟหลากสีหลายรูปแบบแข่งกันระเบิดตัวอวดโฉม ดอกไม้ไฟที่ประดับอยู่บนท้องฟ้าดูงดงามราวกับดอกไม้จริงๆ แพทริเซียฉีกยิ้มพลางเอ่ย
“สวยจังเลยเพคะ”
“เจ้าสวยกว่า”
“คำกล่าวเช่นนั้น…ช่วยงดเว้นบ้างเถิดเพคะ”
“ก็มันจริงนี่”
เขาออกแรงกระชับอ้อมแขนและฝังหน้าลงไปบนไหล่บางพลางเอ่ยเสียงแผ่ว
“ในสายตาของข้า เจ้าสวยที่สุดในโลก”
“…”
คำพูดตรงไปตรงมานั้นทำให้แพทริเซียหน้าแดงอีกครั้ง หลังจากนั้นครู่หนึ่งเสียงกระซิบเบาๆ ก็ดังประสานกับเสียงระเบิดของดอกไม้ไฟลูกใหญ่ที่สุด
“…เพคะ”
“หืม?”
“…พระองค์เพคะ ฝ่าบาท”
“อา…”
ในตอนนั้นเองเขาจึงได้รู้ว่าหญิงสาวพูดว่าอะไร ลูซิโออ้อนวอนคนรักอีกครั้งด้วยน้ำเสียงตื้นตัน
“พูดอีกครั้งได้ไหม ริซซี่ หืม?”
“หม่อมฉันพูดอะไรหรือเพคะ”
“ก็ที่เจ้าพูดเมื่อครู่…นะ? พูดอีกครั้งเดียวนะ”
“…ไม่เพคะ”
พูดไปตั้งสองครั้งแล้ว ให้พูดอีกคงไม่ไหว แพทริเซียผินหน้าหนีเล็กน้อยเพื่อแสดงการปฏิเสธ ลูซิโอเห็นดังนั้นก็รบเร้าราวกับเด็กเล็ก
“อีกแค่ครั้งเดียวเอง นะ?”
“…ฝ่าบาท”
“ว่าอย่างไร ริซซี่”
“ไม่เพคะ” พูดจบ นางก็หัวเราะพรืด “หม่อมฉันไม่พูดเพคะ”
“ใจร้ายยิ่ง”
“ช่วยไม่ได้เพคะ คนที่รักมากกว่าย่อมเป็นฝ่ายแพ้อยู่แล้ว”
นางผละตัวออกจากอ้อมแขนเล็กน้อยและหันกายมาสบตา ลูซิโอหน้าเง้าอย่างเห็นได้ชัด แพทริเซียเห็นดังนั้นก็ยิ้มน้อยๆ พลางเขย่งเท้ายืดตัวขึ้น แม้ส่วนสูงจะยังขาดไปบ้างแต่ก็เกือบจะเท่าแล้ว
“รักนะเพคะ”
พร้อมกันนั้นแพทริเซียก็จุมพิตที่ปากของลูซิโออย่างรวดเร็ว คนถูกจูบอย่างกะทันหันตกใจเบิกตากว้างด้วยคาดไม่ถึง เขามองแพทริเซียที่ถอนริมฝีปากออกไปไวกว่าที่เคยพลางฉีกยิ้มกว้าง
“ข้าก็เหมือนกัน”
เขาสวมกอดร่างบางจากด้านหลังอีกครั้งก่อนจะสารภาพรักซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับความสุขจุกอก
“ข้ารักเจ้า ริซซี่ รักมากจริงๆ”
ต่อให้โลกนี้ถึงกาลอวสาน ต่อให้ลมหายใจของข้าต้องดับดิ้น ข้าก็จะรักเพียงเจ้า และมอบจุมพิตให้เจ้าแต่เพียงผู้เดียว
“…ดอกไม้ไฟสวยดีนะเพคะ”
แพทริเซียรู้สึกเขินอายขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลจึงทำเฉไฉพูดเรื่องอื่นอยู่ในอ้อมแขนแกร่ง แต่ถึงกระนั้นลูซิโอก็ฝังหน้าลงบนบ่าเล็กและสูดเอากลิ่นอายของคนรักเข้าไปจนเต็มปอดด้วยความรักใคร่ แพทริเซียรู้สึกถึงการกระทำนั้นพลางยิ้มบางๆ
ตอนที่นางเงยหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้ง ข้างบนนั้นยังคงงามวิจิตร และดูเหมือนมันจะเปล่งประกายอย่างงดงามเช่นนั้นไปอีกนานแสนนาน
***
ข่าวรอธซีขอเปโตรนิยาแต่งงานแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว เพราะในวันรุ่งขึ้นหลังจากวันงานเลี้ยงฉลอง รอธซีก็ไปเยือนคฤหาสน์โกรเชสเตอร์เพื่อทำความเคารพมาร์ควิสและมาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์ทันที แน่นอนว่าสองสามีภรรยาโกรเชสเตอร์รู้เรื่องการคบหาดูใจกันระหว่างบุตรสาวคนโตของตนกับบุตรชายของเคานต์เบรดิงตันอยู่แล้วจึงไม่ได้ตกใจมากนัก แต่ก็ยังอดประหลาดใจไม่ได้ที่การพบกันของทั้งสองคนพัฒนามาจนถึงขึ้นแต่งงาน เมื่อการแต่งงานได้รับคำอนุญาตจากผู้ใหญ่ทั้งสองตระกูล ทุกอย่างจึงเป็นไปอย่างรวดเร็วและราบรื่น
“เชิญค่ะ ว่าที่เจ้าสาว”
มีร์ยาต้อนรับเปโตรนิยาที่มาเยือนตำหนักจักรพรรดินีด้วยความยินดีมากกว่าปกติ เปโตรนิยาหน้าแดงเล็กน้อยราวกับเขินอาย ร่างของเปโตรนิยาในชุดเดรสสีเหลืองที่นางโปรดปรานเดินเข้ามาในห้อง แพทริเซียเองก็ต้อนรับผู้มาใหม่ด้วยสีหน้าปิติยินดี
“เข้ามาสิ ท่านพี่ ยินดีด้วยนะกับการแต่งงาน”
“ขอบใจนะ ริซซี่”
เปโตรนิยามิอาจปกปิดสีหน้าที่เปี่ยมล้นด้วยความยินดีได้ ได้ยินว่ารอธซีเป็นผู้ชายที่มีจิตใจอบอุ่นและโอบอ้อมอารี ท่าทางจะไม่ใช่เรื่องโกหก เมื่อคิดว่าพี่สาวของตนจะได้แต่งงานกับผู้ชายที่ดี แพทริเซียก็รู้สึกปลาบปลื้มใจขึ้นมา
“พี่เขยคงจะดีกับเจ้ามากเลยสินะ หน้าบานเชียว”
“ยังไม่ได้แต่งงานกันเสียหน่อย ฝ่าบาท”
“อย่างไรก็เถอะ สัปดาห์หน้านี้แล้วใช่ไหม คงจะยุ่งมากทีเดียว”
“ใช่แล้ว ยุ่งมาก” เปโตรนิยายิ้มเขินและกล่าวเสริม “อ้อ ถึงจะแต่งงานแล้วแต่ข้าก็ยังคงเป็นนางกำนัลของเจ้านะ แม้จะมาหาบ่อยๆ เหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้วก็เถอะ…”
“เทียบกับการที่เจ้าแต่งกับขุนนางหัวเมืองแล้วครึ่งปีแวะมาทีก็ถือว่าบ่อยกระมัง”
แพทริเซียหัวเราะและให้คนนำชาร้อนมาให้เปโตรนิยา
“พวกเราพี่น้องก็ได้แต่งงานกันหมดแล้ว ทีนี้ก็ถึงคราวราฟาเอลาแล้วสิ” เปโตรนิยาเริ่มพูดกระเซ้า
“ถึงเจ้าไม่เอ่ยขึ้นมา เมื่อวานนางก็พูดอยู่ว่าเหลือแค่นางแล้ว จากนี้จะเริ่มหาว่าที่สามีอย่างเอาจริงเอาจังเสียที”
“อย่างเอล่า เดี๋ยวก็หาได้แล้วกระมัง”
“ไม่รู้สิ หากมองจากหน้าตาและความสามารถก็ควรจะเป็นเช่นนั้น แต่เรื่องนี้มิได้ตัดสินกันด้วยของพวกนั้นเสียหน่อย”
แพทริเซียหัวเราะก่อนจะเลียบเคียงถามความรู้สึกของพี่สาว
“ว่าแต่ จะได้แต่งงานแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง”
“รู้สึกอย่างไรน่ะหรือ…”
คำพูดนั้นทำเอาสีหน้าของเปโตรนิยาแปลกไป
อาจเพราะนี่เป็นงานเลี้ยงแรกหลังจากที่โรสมอนด์ถูกประหาร แพทริเซียจึงมีความรู้สึกว่าตนเป็นที่จับจ้องของผู้คนมากกว่าแต่ก่อนเป็นเท่าทวีคูณ แน่นอนว่าหากมองจากภายนอกย่อมมิใช่เรื่องไม่ดี แต่โดยส่วนตัวแล้วแพทริเซียกลับรู้สึกไม่ยินดี ด้วยนิสัยของนางทำให้รู้สึกว่าการได้รับความสนใจจากผู้อื่น โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้จักเป็นเรื่องที่ไม่ใคร่น่ายินดีนัก อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งจักรพรรดินีแห่งมาวินอสต้องมาก่อนความรู้สึกส่วนตัว แพทริเซียจึงต้องเก็บซ่อนความรู้สึกนั้นไว้ในใจให้ดี และให้การต้อนรับแขกผู้มีเกียรติทั้งหลายอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง และในระหว่างที่ทำเช่นนั้นย่อมต้องเหน็ดเหนื่อยพอสมควร
‘เหนื่อย’
แม้ลูซิโอจะสั่งไว้ว่าถ้ารู้สึกเหนื่อยแม้เพียงเล็กน้อยให้รีบบอก แต่นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย เขาไม่ใช่เด็กแล้ว นางเองก็เช่นกัน นางไม่อยากเอาแต่ใจตัวเอง
“…เพราะฉะนั้น ฝ่าบาท ชุดเดรสใหม่ที่จะวางขายที่ร้านของหม่อมฉันคราวนี้…”
“เอ่อ ขอตัวสักครู่นะคะ เลดี้”
แพทริเซียกล่าวกับเลดี้คนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของห้องเสื้อที่ใหญ่ที่สุดในเมืองคาร์วูดด้วยรอยยิ้มก่อนจะออกจากงานและตรงไปที่ระเบียง จู่ๆ นางก็ปวดท้องขึ้นมา แพทริเซียลองคิดหาสาเหตุอย่างถี่ถ้วนว่าเมื่อครู่นางกินอะไรแปลกๆ เข้าไปหรือเปล่า แต่ที่นี่ไม่น่ามีอาหารเช่นนั้น หรืออาจเป็นเพราะอากาศวันนี้…
“ฝ่าบาท”
ทันใดนั้นแพทริเซียก็ได้ยินเสียงขึ้นจมูกของหญิงสาวดังมาจากที่ไหนสักแห่ง แพทริเซียตัวแข็งทื่อโดยไม่รู้ตัวก่อนที่สองเท้าจะพานางเข้าไปหลบหลังเสาโดยอัตโนมัติจากนั้นนางก็แอบมองไปยังต้นเสียง ลูซิโอกำลังอยู่กับ…หญิงสาววัยแรกแย้มเจ้าของเรือนผมสีทองยาวสยาย แพทริเซียรู้สึกสับสนมือเผลอขยุ้มกระโปรงแน่น
อะไรกัน ไหนบอกให้เชื่อสักครั้ง ไม่ทันไรออกลายแล้วหรือ แพทริเซียพยายามเงี่ยหูฟังบทสนทนาของคนทั้งคู่ด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
“ฝ่าบาท อัญมณีที่หม่อมฉันซื้อมาคราวนี้…”
อีกด้านหนึ่ง ตอนนี้ลูซิโอกำลังไม่สบอารมณ์เลยทีเดียว ดูเหมือนเขาจะดื่มค็อกเทลมากเกินไปทำให้รู้สึกปวดหัวเล็กน้อยจึงออกมาที่ระเบียงสักพัก ไม่รู้เลดี้ผมทองอายุน้อยคนนี้ตามมาได้อย่างไร คิดว่าสนทนาโต้ตอบสักสองสามคำก็จะจากไป ที่ไหนได้กลับกลายเป็นข้ามขั้นขึ้นทุกทีเสียอย่างนั้น ตอนนี้เขารู้สึกว่าควรจบการสนทนานี้เสียทีจึงเอ่ยกับอีกฝ่าย
“เลดี้ เราสนุกที่ได้สนทนากับเจ้า แต่เจ้าไปได้แล้วล่ะ”
“เพคะ? แต่ฝ่าบาทรับสั่งว่าสนุกที่ได้สนทนากับหม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ”
ลูซิโอถอนหายใจในใจพลางกล่าวกับเลดี้สมองทึบที่ไม่เข้าใจว่าเขากำลังปฏิเสธอย่างรักษามารยาท
“ตอนนี้เราอยากอยู่คนเดียว”
“ฝ่าบาท เหตุใดจึงตรัสเช่นนั้นเล่าเพคะ”
พูดจบ สาวผมทองก็เอียงคออย่างมีจริตและค่อยๆ ขยับเข้ามาคล้องแขนลูซิโอ ท่าทีเช่นนั้นย่อมต้องทำให้ลูซิโอตกใจ นี่นางเสียสติไปแล้วกระมัง
“ไม่ต้องการอนุภรรยาสักคนหรือเพคะ ฝ่าบาท” หญิงสาวกระซิบด้วยน้ำเสียงแสลงหู
“ถอยออกไป”
ตอนนี้ลูซิโอโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว เขาดึงแขนตัวเองกลับมาและพูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่ต่ำกว่าปกติ
“เราไม่อยากเสียมารยาท แต่เจ้ารีบไปเสียตอนนี้จะดีกว่า ต้องขอบคุณเจ้าที่ทำให้เราอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาแล้ว”
“ฝ่าบาท ไฉนพระองค์จึงทำเหมือนการที่จักรพรรดิมีอนุภรรยาสักคนเป็นเรื่องที่ผิดเล่าเพคะ หรือทรงทำเช่นนี้เพราะจักรพรรดินี? บิดาของหม่อมฉันเองก็…”
“พอได้แล้ว” ลูซิโอตัดบทอย่างเย็นชา “ไหนๆ ก็พูดถึงบิดาของเจ้าแล้ว หากเจ้าไม่กลับไปเสียตอนนี้ เราเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอันใดลงไปบ้าง เราหวังว่าเจ้าจะไม่ทำกิริยาล้ำเส้นเช่นนี้อีก เลดี้ มิฉะนั้นอาจไม่ใช่แค่เจ้าที่เดือดร้อน แต่ยังรวมไปถึงบิดาของเจ้าด้วย”
ท่าทีที่เด็ดขาดของลูซิโอทำให้เลดี้ผมทองสั่นเทิ้มไปทั้งร่างราวกับถูกดูหมิ่น จากนั้นนางก็เดินกระฟัดกระเฟียดออกจากระเบียงไปทันที หลังจากกำจัดความวุ่นวายออกไปได้ ลูซิโอก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ทันใดนั้นเขาก็หันไปสบตากับแพทริเซียเข้า
“…”
“…”
วินาทีนั้นต่างฝ่ายต่างตกใจจนพูดไม่ออก คนที่ได้สติขึ้นมาก่อนคือแพทริเซีย นางถอยกายออกไปโดยไม่รู้ตัว ลูซิโอเห็นดังนั้นก็คิดว่าแพทริเซียกำลังเข้าใจผิดจึงรีบวิ่งไล่ตามไป
“จักรพรรดินี เดี๋ยวก่อน จักรพรรดินี!”
“…”
แพทริเซียเพียงแต่หนีเพื่อซ่อนใบหน้าที่แดงระเรื่อจากอีกฝ่ายเท่านั้น ครู่หนึ่งหลังจากนั้นเมื่อนางคิดว่าสลัดลูซิโอได้แล้ว นางก็มาหยุดอยู่ในจุดที่ปลอดคนและพึมพำออกมา
“ทำไมข้าถึงทำแบบนั้นนะ…”
เห็นได้ชัดว่าเขาจัดการสถานการณ์ได้ดี และที่จริงระดับลูซิโอจะมีคนมาให้ท่าก็ไม่แปลก แพทริเซียหอบหายใจพลางกุมอกที่มีหัวใจเต้นระรัวด้วยความระทึกจากตอนวิ่ง เพราะมัวแต่ให้ความสนใจกับการวิ่งหนี ตอนนี้นางจึงเจ็บอกไปหมด ไม่สิ ความเจ็บนี้เป็นเพราะวิ่งจริงๆ หรือ
“ริซซี่…”
ตอนนั้นเองนางก็ได้ยินเสียงที่คุ้นชิน แพทริเซียสะดุ้งโหยงและมองหาเจ้าของเสียง เป็นลูซิโอนั่นเอง
“ฝ่า…บาท เหตุใดจึง…” นางพึมพำโดยไม่รู้ตัว
“ก็เจ้าเข้าใจผิดจนหนีมาแบบนี้” เขาหอบหายใจและกุมมือของแพทริเซียไว้อย่างแผ่วเบา “หากข้าไม่รีบแก้ตัวเสียตั้งแต่ตอนนี้”
“…”
“ข้าจะกลายเป็นคนเลวที่โกหกเจ้าน่ะสิ”
“…ไม่จำเป็นต้องแก้ตัวหรอกเพคะ”
“หรือว่า…เจ้าผิดหวังในตัวข้าแล้ว แต่ริซซี่ ข้า…”
“เปล่าเพคะ ไม่ใช่แบบนั้น” แพทริเซียปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “หม่อมฉันเห็นทุกอย่าง ดังนั้นพระองค์จึงไม่จำเป็นต้องอธิบายสิ่งใดเพคะ”
“อ้อ…” ลูซิโอเอ่ยถามแพทริเซียด้วยสีหน้าตื้นตันใจอย่างประหลาด “ขอกอดได้หรือไม่”
“…ตรงนี้เลยหรือเพคะ”
“ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่กอดแบบนั้น”
เมื่อแพทริเซียรู้ว่าตนเข้าใจความหมายของคำว่า ‘กอด’ ผิดไปก็หน้าแดง ลูซิโอเห็นดังนั้นก็ยิ้มเจ้าเล่ห์พลางกอดแพทริเซียไว้หลวมๆ เมื่ออยู่ในอ้อมกอดของลูซิโอ แพทริเซียก็มีแต่จะหน้าแดงมากยิ่งขึ้น
“เจ้าหวัง ‘สิ่งนั้น’ อยู่หรือ” เขาเอ่ยถามเบาๆ อยู่เหนือศีรษะของนาง
“…”
ผู้ชายคนนี้ต้องกำลังล้อข้าเล่นอยู่แน่ๆ แพทริเซียกัดริมฝีปากด้วยสีหน้าแดงเถือก ลูซิโอยกมือขึ้นสัมผัสที่ริมฝีปากของแพทริเซียเพื่อหยุดการกระทำนั้นทั้งที่มองไม่เห็น ริมฝีปากตัวเองก็กัดไม่ได้ แพทริเซียจึงชักจะโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว
“แกล้งหม่อมฉันหรือเพคะ”
“จะเป็นไปได้อย่างไร”
ลูซิโอยิ้มทะเล้นและจุมพิตที่หน้าผากของหญิงสาว
“จักรพรรดินีที่รักของข้า ขอข้าเต้นรำกับเจ้าสักเพลงเพื่อเป็นการไถ่โทษได้หรือไม่”
เสียงกระซิบของเขาหวานล้ำจนแพทริเซียอดยิ้มบางๆ ไม่ได้ นางเอ่ยตอบแผ่วเบา
“ได้ตามพระประสงค์เพคะ”
เสียงดนตรีจากในงานดังพอที่จะทำให้ทั้งคู่ไม่ต้องผละไปจากระเบียงเพื่อเต้นรำ ลูซิโอรู้ดีว่าระเบียงที่ปลอดคนทำให้แพทริเซียสบายใจมากกว่า และตัวเขาเองก็คิดว่าเป็นเช่นนี้ดีแล้ว เขาไม่ต้องการให้ใครเข้ามาขัดจังหวะในช่วงเวลานี้ แน่นอนว่าการแสดงให้ทุกคนเห็นอย่างชัดเจนว่าแพทริเซียเป็นของเขาก็สร้างความรื่นรมย์ให้ได้ไม่น้อย แต่ถึงอย่างไรความรู้สึกของแพทริเซียก็สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
“…”
ลูซิโอวางมือลงบนสะโพกของแพทริเซียเงียบๆ แพทริเซียจึงยกมือที่สั่นเล็กน้อยของตนขึ้นไปวางบนไหล่ของอีกฝ่าย ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ทั้งคู่ไม่ได้เต้นรำด้วยกันเช่นนี้ แพทริเซียเริ่มขยับเท้าทั้งใบหน้าซับสีเลือด
ลูซิโอเองก็ขยับตัวไปพร้อมกัน แม้เสียงดนตรีที่ดังลอดออกมาจากงานจะไม่นับว่าดังมากนักแต่ก็ดังมากพอสำหรับคนทั้งคู่ ลูซิโอและแพทริเซียเริ่มเต้นรำเข้าจังหวะของกันและกัน ไม่หนักไม่เบา พวกเขารู้สึกถึงเหงื่อในมือที่ประสานกันอยู่ และนั่นเป็นหลักฐานว่าแม้จะทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรแต่แท้จริงแล้วกลับตื่นเต้นด้วยกันทั้งคู่ ระหว่างที่เคลื่อนไหวร่างกายไปพร้อมๆ กันนั้นแพทริเซียก็เอ่ยเสียงเบา
“ดีจังเลยนะเพคะที่ไม่มีใคร”
“เจ้าว่าดีข้าก็ว่าดี”
“…”
หยุดพูดอะไรน่าอายแบบนั้นด้วยเพคะ แพทริเซียอยากจะเอ็ดเช่นนั้นด้วยสีหน้าแดงๆ ของนาง แต่บรรยากาศรอบข้างกลับอ่อนโยนเสียจนนางไม่อาจพูดออกไปได้ จึงเลือกที่จะปล่อยผ่านไป นางสูดลมหายใจเงียบๆ และได้กลิ่นน้ำหอมของลูซิโอจางๆ ที่ปลายจมูก เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายก็น่าจะได้กลิ่นน้ำหอมของนางเหมือนกัน ใจของแพทริเซียก็เกิดความรู้สึกที่แปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูกจนต้องก้มหน้าเพื่อซ่อนใบหน้าที่แดงระเรื่อยิ่งขึ้น ลูซิโอเห็นดังนั้นก็เอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
“เป็นอะไรไป ริซซี่? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า หน้าเจ้าแดงมาก”
“…ไม่เป็นไรเพคะ ฝ่าบาท”
แม้คำตอบที่ได้รับจะยังมีจุดที่น่ากังขาแต่ลูซิโอก็ต้องหยุดความสงสัยอย่างช่วยไม่ได้ การเต้นรำเร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสองเคลื่อนไหวประสานกันอย่างสมบูรณ์จนลืมความตื่นเต้น ระหว่างที่เต้นรำอยู่นั้นแพทริเซียก็รู้สึกสุขใจ เดิมทีนางไม่ได้ชื่นชอบการเต้นรำเท่าใดนัก แต่ถึงกระนั้นการเต้นรำในครั้งนี้กลับทำให้นางสนุกสนานอย่างประหลาด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสถานที่หรือเพราะคู่เต้น แพทริเซียครุ่นคิด แต่ในขณะนั้นเองนางก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังมาจากด้านบน
“อย่าคิดเรื่องอื่น”
“…”
“สนใจแต่ข้าก็พอ”
น้ำเสียงกึ่งบังคับกึ่งขอร้องดังขึ้นข้างหู แพทริเซียกระซิบตอบรับอีกฝ่ายเบาๆ ที่อกของเขาและหมุนตัวช้าๆ ผมที่ถูกเกล้าสูงคลายออกและหลุดออกมาบางส่วนแต่ก็ไม่มีใครสนใจ บางทีลูซิโออาจจะคิดว่าแม้แต่ในสภาพนี้แพทริเซียก็ยังสวย
“เฮ้อ…”
และแล้วเพลงก็จบลง แพทริเซียเงยหน้ามองลูซิโอในสภาพใบหน้าแดงก่ำผมเผ้าไม่เรียบร้อย พวกเขาอยู่ใกล้กันมาก ในตอนนั้นเอง ทั้งสองก็มอบจูบให้แก่กันโดยไม่ต้องมีใครเป็นฝ่ายเริ่มก่อน การเต้นรำเมื่อครู่ได้ลบความประหม่าและความหวาดระแวงในใจของแพทริเซียไปจนหมดสิ้น
“อือ…”
การจูบที่รุนแรงกว่าปกติทำให้แพทริเซียครางผะแผ่ว ลูซิโอกระชับอ้อมแขนรั้งร่างบางเข้ามาชิดราวกับเสียงนั้นเป็นตัวกระตุ้น
“ตรงนี้…ไม่ได้เพคะ” แพทริเซียเอ่ยเสียงแผ่ว
“ข้ารู้” เขายังคงจูบต่อไปพลางกระซิบ “เนื้อในของเจ้ามีเพียงข้าเท่านั้นที่ดูได้ ไม่ยอมให้ใครหน้าไหนได้เห็นหรอก”
“…”
คำพูดแสดงความเป็นเจ้าของนั้นทำให้แพทริเซียพลันปิดปากอีกฝ่ายด้วยปากของตัวเองทันทีพลางคิดในใจว่าโชคดีจริงๆ ที่ตรงนี้เป็นระเบียง ไม่ใช่ในงานเลี้ยง นิ้วเรียวกำปกเสื้อของร่างสูงแน่นขึ้นเล็กน้อย
จูบนั้นดำเนินต่อไปอย่างยาวนาน
***
“ไม่เห็นจักรพรรดินีเลยนะ”
เปโตรนิยาที่เพิ่งเต้นรำกับรอธซีเสร็จถามหาแพทริเซียอย่างฉงนสงสัย ได้ยินดังนั้นรอธซีก็เอ่ยตอบเสียงเย้า
“จักรพรรดินีอาจจะกำลังมีช่วงเวลาดีๆ กับจักรพรรดิอยู่หรือเปล่าครับ นิล”
“อุ๊ย” เปโตรนิยาส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ “ทั้งๆ ที่ปฏิเสธขนาดนั้น”
“ความรักก็แบบนี้แหละครับ แม้แรกๆ จะไม่ชอบ แต่สุดท้ายก็ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกดี…”
“แต่พวกเราไม่ได้เป็นเช่นนั้นนะคะ”
“นั่นเป็นเพราะเราไม่ต้องประสบเคราะห์ร้ายน่ะสิครับ กลับกัน ฝ่าบาททั้งสองพระองค์ทรงลำบากมามากทีเดียว” รอธซีพูดจบก็จูบแก้มเปโตรนิยาเบาๆ และกระซิบว่า “ค่ำแล้วนะครับ นีย่า”
“นั่นสิคะ” เปโตรนิยาพึมพำ “ค่ำแล้ว ไม่รู้งานเลี้ยงจะเลิกเมื่อใด”
“น่าจะปิดท้ายด้วยพลุตอนเที่ยงคืนกระมังครับ ก่อนหน้านั้น…”
รอธซีกระซิบที่ข้างหูของเปโตรนิยาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ออกไปข้างนอกกันสักครู่ไหมครับ”
“…หา?”
ลูซิโอรู้สึกเบลอกะทันหัน เขาจะทิ้งนางหรือ? เป็นไปไม่ได้ แม้ว่านางจะเป็นฝ่ายทิ้งเขาก่อน แต่เขาไม่อาจทิ้งนางก่อนได้ ตอนนี้เขาทำไม่ได้แน่นอน เขาจะทำได้อย่างไร
“เจ้าพูดอะไรน่ะ เรื่องนั้นไม่มีทาง…” เขายืนยัน
“โรสมอนด์…” แพทริเซียเอ่ยชื่อต้องห้ามออกมา “พระองค์ยังทิ้งเลยนี่เพคะ”
“…ริซซี่” ลูซิโอดึงแพทริเซียเข้ามากอดพลางกล่าว “สถานการณ์มันต่างกัน เจ้าที่ข้ารู้จักหาใช่คนที่จะทำร้ายผู้อื่นเพื่อตนเอง”
“พระองค์ทรงรู้อะไรเกี่ยวกับหม่อมฉันจึงได้ตรัสเช่นนั้นหรือเพคะ” แพทริเซียพูดเสียงสะอื้น “หากหม่อมฉันหึงหวงพระองค์จนตามืดบอดแล้วไปทำร้ายคนอื่นเข้า พระองค์ก็จะทอดทิ้งหม่อมฉันเช่นกันใช่หรือไม่ หม่อมฉันเองก็จะต้องถูกกิโยตีนตัดศีร…”
“ริซซี่” ลูซิโอเรียกแพทริเซียด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน “ข้าสาบาน นอกจากเจ้าแล้ว จะไม่มีสตรีคนใดได้ยืนเคียงข้างข้า อ้อมกอดของข้าก็จะไม่มอบให้ใครอื่นนอกจากเจ้า”
“…”
“ขอโทษที่ข้าไม่น่าเชื่อถือ”
“พระองค์ทรงไม่ทราบหรอกเพคะว่าหม่อมฉันกลัวสิ่งใด”
“…ใช่แล้ว อาจเป็นดังที่เจ้าว่า”
“ด้วยเหตุนั้นหม่อมฉันถึงได้กลัว” แพทริเซียพูดเสียงสั่นและออกแรงบีบไหล่อีกฝ่าย “หม่อมฉันกลัวว่าหากมอบหัวใจให้พระองค์แล้ว หม่อมฉันอาจถูกทอดทิ้งในสักวัน”
“ริซซี่ ข้า…”
“หม่อมฉันมิอาจให้กำเนิดได้นะเพคะ” แพทริเซียพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก “ฝ่าบาทต้องมีผู้สืบราชบัลลังก์ ดังนั้นสักวัน…พระองค์ย่อมต้องมอบอ้อมกอดให้หญิงอื่น”
“ต่อให้ต้องรับเชื้อพระวงศ์สายรองมาเป็นลูกบุญธรรมของข้ากับเจ้า ข้าก็ไม่คิดจะมอบอ้อมกอดให้ใคร ไม่มีวัน”
“เรื่องนั้นหม่อมฉันจะเชื่อได้…”
“ริซซี่” เขาเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างร้อนใจ “ข้าต้องทำเช่นไรจึงจะทำให้เจ้าเชื่อใจข้าได้บ้าง”
“…”
“ข้าร่างสัญญาขึ้นมาดีหรือไม่ หากมีเหล่าดยุกของจักรวรรดิเป็นพยาน ต่อให้เป็นข้าก็บิดพลิ้วไม่ได้ หากเจ้าต้องการ พรุ่งนี้…ไม่สิ ข้าจะร่างสัญญาให้เจ้าตอนนี้เลย” เขาร้อนรนรีบหาทางออก “หรือหากนั่นยังไม่เพียงพอ ยังมีวิธีใดอีกไหม? ข้ามอบตราประทับของข้าให้เจ้าดีหรือไม่ เจ้าจะสามารถปลดข้าเมื่อใดก็ได้ หรือไม่…”
“ฝ่าบาท พระองค์ไม่ทราบหรือเพคะ” แพทริเซียเงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา “หม่อมฉันมิได้หมายถึงสิ่งของภายนอก”
“…”
“แต่หม่อมฉันกลัวความเจ็บปวดที่จะได้รับ ‘อีกครั้ง’ เมื่อความสัมพันธ์ของหม่อมฉันและพระองค์จบสิ้นลง”
“…ริซซี่ เจ้าก็รู้ว่าเรื่องนั้นข้ามิอาจสาบานอันใดอย่างเป็นทางการได้ แต่…” เขาพูดโดยไม่ลังเล “แม้ว่าเจ้าจะเป็นฝ่ายทอดทิ้งข้าก่อน แต่ข้าก็จะไม่ทอดทิ้งเจ้าก่อนเป็นอันขาด ข้าสาบานในฐานะสามีของเจ้า มิใช่จักรพรรดิแห่งมาวินอส”
“เฮ้อ…”
“บอกข้าที ริซซี่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“…หม่อมฉันฝันเพคะ” แพทริเซียยังคงอยู่ในอ้อมกอดของลูซิโอขณะเอ่ยตอบเสียงค่อย “นางเย้ยหยันหม่อมฉันว่าสักวันหม่อมฉันจะเป็นเหมือนนาง”
“เรื่องเป็นเช่นนี้นี่เอง” เขาปลอบคนในอ้อมแขนด้วยน้ำเสียงเศร้าใจ “ไม่มีทางมีเรื่องเช่นนั้นแน่นอน”
“…”
“ข้าขอสัญญาด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้ามี ขอแค่สักครั้ง…”
แพทริเซียได้ยินน้ำเสียงร้อนใจนั้นอย่างแจ่มชัด ใบหน้าของนางแนบอยู่กับอกของเขาจึงได้ยินเสียงการเต้นของหัวใจชัดเจนกว่าใคร หัวใจของเขากำลังเต้นแรงราวกับกำลังอ้อนวอนให้นางรับรู้ถึงพลังชีวิตของมัน แพทริเซียคล้ายรู้สึกว่าเสียงหัวใจของนางดังก้องตามไปด้วย
“โปรดเชื่อข้า ขอเพียงครั้งเดียวในชีวิตของเจ้า”
“…จูบ” นางช้อนตาที่เอ่อล้นด้วยน้ำตาขึ้นและเอ่ยถาม “จูบหม่อมฉันได้ไหมเพคะ”
แน่นอน เขากระซิบตอบและประทับริมฝีปากลงไป ครู่หนึ่งหลังจากนั้นแพทริเซียก็รู้สึกถึงความเค็มในปากของเขา ลูซิโอกำลังร้องไห้ คนที่ควรร้องไห้ควรจะเป็นนาง แต่เขากลับเป็นฝ่ายหลั่งน้ำตาเสียเอง เหตุใดเขาจึงร้องไห้? แพทริเซียสันนิษฐานได้เรื่องหนึ่งแต่นั่นก็เป็นเพียงการคาดเดา เพราะเขาไม่น่าจะเป็นผู้ชายที่อารมณ์อ่อนไหวขนาดนั้น
ได้ ข้าตกลง
ข้าจะลองเชื่อท่าน เพราะหากข้าไม่เชื่อท่าน ความรู้สึกที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ นี้คงไม่ให้อภัยข้า
บางทีความรักที่ไม่ควรเกิดขึ้นของข้าอาจจะเริ่มต้นไปแล้วก็เป็นได้ แม้ท่านบอกว่าจะไม่ทิ้งข้า แต่คนเรามิอาจหยั่งรู้อนาคต ข้าไม่รู้เลย…ว่าสักวันหนึ่งข้าจะถูกท่านทอดทิ้งอีกครั้งหรือไม่
แต่ถึงกระนั้น ข้าจะสามารถเชื่อท่านสักครั้งได้หรือไม่? ข้า…ทำเช่นนั้นได้หรือไม่? คงไม่เป็นไรใช่ไหมหากข้าจะมอบหัวใจให้ท่านสักครั้ง? ต่อให้ถูกหลอก ข้าก็จะเชื่อท่าน ไม่สิ คราวนี้ข้าจะลองเชื่อหัวใจตัวเองสักครั้ง เพราะนี่เป็นครั้งแรก…ที่ข้าพบสิ่งที่อยากทำ นั่นคือการมีความรักและสร้างอนาคตที่อบอุ่นร่วมกับท่าน
การแลกจูบที่อบอุ่นกับลูซิโอในกลางดึกคืนนั้นทำให้ใจของแพทริเซียสงบ คล้ายเป็นยาเสพติด เพราะมันทำให้นางรู้สึกว่าความกังวลและความหวาดกลัวถูกขจัดไปจนหมดสิ้น
***
“…ด้วยเหตุนั้น ช่วงนี้ฝ่าบาทจึงยุ่งมากทีเดียวค่ะ เพราะต้องคอยปรับอารมณ์ตามริซซี่ให้ทัน”
“เช่นนั้นหรือครับ”
“ค่ะ ส่งขนมหวานมาให้ทุกวันและส่งของขวัญมาเป็นครั้งคราวด้วยค่ะ แน่นอนว่าฝ่าบาทต้องระมัดระวังพอสมควรเพราะริซซี่ไม่ชอบของขวัญที่ฟุ่มเฟือย”
“ข้าจินตนาการถึงฝ่าบาทที่เป็นเช่นนั้นไม่ออกเลย”
“ทำไมหรือคะ”
“เท่าที่ได้ฟังจากท่านพ่อ ฝ่าบาททรงเป็นคนเงียบขรึม ไม่อ่อนหวาน และไม่สนใจผู้ใด ดูเหมือนท่านพ่อจะเข้าใจผิดไปเองนะครับ”
“หากเป็นในขณะที่ทรงงานก็เป็นไปได้นะคะ แต่สิ่งสำคัญคือฝ่าบาททรงปฏิบัติกับคนที่พระองค์รักเช่นไรมิใช่หรือคะ”
“แล้วข้าปฏิบัติกับนิลดีหรือเปล่าครับ”
ได้ยินคำถามของรอธซี เปโตรนิยาที่เดินตามอยู่เงียบๆ ก็หัวเราะคิกคักและตอบคำถาม
“ท่านมีคุณสมบัติของสามีที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้วค่ะ โร ต่อให้เป็นพระจักรพรรดิก็สู้ท่านไม่ได้หรอก จะขนมหวานหรือของขวัญ ท่านก็ให้ข้าทุกอย่างนี่คะ”
“โห กล้าเทียบข้ากับองค์จักรพรรดิเชียวหรือครับ” รอธซีหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี “ไม่รู้ข้าจะถูกจับฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือไม่”
“ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอกค่ะ โรที่รัก” เปโตรนิยาจุมพิตเบาๆ ที่แก้มของรอธซีและกระซิบ “ผู้ชายน่ารักน่าเอ็นดูอย่างท่านจะถูกจับได้อย่างไร”
“เป็นเกียรติมากครับ นิล” รอธซียิ้มอย่างอ่อนโยนและจุมพิตกลับ “จริงสิ ข้ามีเรื่องจะบอก”
“อะไรหรือคะ”
“สัปดาห์หน้ามีงานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระจักรพรรดินีใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะ”
สัปดาห์หน้าเป็นวันเกิดของแพทริเซีย คนที่เปโตรนิยารักมากที่สุดในโลก แน่นอนว่ามันเป็นวันเกิดของนางด้วยเช่นกัน เปโตรนิยาเอียงคอเล็กน้อยพลางถาม
“ทำไมหรือคะ”
“วันนั้นข้ามีเรื่องสำคัญต้องทำ หลังงานเลิก…มาพบข้าสักครู่ได้ไหมครับ”
“ได้สิคะ โร”
เปโตรนิยาพยักหน้าตกลง รอธซีมองหญิงสาวพร้อมกับยกยิ้ม เขาก้มจุมพิตที่หน้าผากของเปโตรนิยาเบาๆ และกระซิบ
“ไม่มีสตรีคนใดในโลกน่ารักเหมือนนิลอีกแล้วครับ”
***
เวลาผ่านไป ในที่สุดวันเกิดของแพทริเซียก็มาถึง งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นอย่างหรูหราสมเป็นงานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพของจักรพรรดินี แพทริเซียยุ่งอยู่กับของขวัญวันเกิดที่ถูกส่งมาไม่ขาดสายและการถูกจับแต่งองค์ทรงเครื่องราวกับตุ๊กตาตั้งแต่เช้า นางถึงกับมึนงงกับการเตรียมตัวที่พิถีพิถันยิ่งกว่างานใดๆ
“อุ๊ย ฝ่าบาท ทรงพระสิริโฉมงดงามมากเพคะ!”
นางกำนัลคนหนึ่งชื่นชมด้วยความประทับใจ แต่แพทริเซียกลับรู้สึกกระดากอายอย่างบอกไม่ถูกกับการแสดงออกของอีกฝ่าย มีร์ยาพูดเสริมราวกับรู้ความคิดของแพทริเซีย
“ฝ่าบาท ทรงพระสิริโฉมงดงามจริงๆ เพคะ”
“ข้าคงไม่มีวันชินการประโคมเครื่องประทินโฉมเช่นนี้หรอก”
“เดี๋ยวก็ชินเพคะ ยิ่งริ้วรอยรอบริมพระโอฐษ์มากขึ้นเท่าไรก็จะทรงคิดว่าการประทินโฉมเป็นเรื่องธรรมชาติไปเอง”
“นี่เจ้ากำลังจะบอกว่าข้าต้องทำเช่นนี้ไปจนแก่อย่างนั้นหรือ พระเจ้าช่วย”
แพทริเซียส่ายหน้าอย่างไม่ชอบใจ ผมที่ถูกเกล้าไว้ให้ความรู้สึกหนักกว่าปกติ
“ท่านพ่อท่านแม่กับท่านพี่ล่ะ พวกเขาจะมาเมื่อใด” แพทริเซียถาม
“เมื่อสักครู่มีจดหมายมาแจ้งว่าออกเดินทางมากันแล้วเพคะ ฝ่าบาท”
“ข้าเองก็ต้องรีบแล้วสิ”
เข็มนาฬิกาเริ่มเบนไปทางขวาแล้ว แพทริเซียฉีดน้ำหอมกลิ่นกุหลาบปิดท้ายก่อนจะลุกขึ้น ตอนนั้นเองด้านนอกก็มีเกิดความวุ่นวายเล็กน้อย แพทริเซียพึมพำเบาๆ ด้วยสีหน้าสงสัย
“เกิดอะไรขึ้…”
ก่อนที่นางจะพูดจบ คนผู้หนึ่งก็เปิดประตูเข้ามา แพทริเซียมองผู้มาใหม่อย่างตะลึง เป็นลูซิโอนั่นเอง
“ฝ่าบาท…” นางเอ่ยเสียงเบา
“เอ่อ…”
ครั้นเห็นแพทริเซีย ใบหน้าของลูซิโอก็ขึ้นสีเล็กน้อย เขาเอ่ยเสียงค่อย
“เราเสียมารยาทแล้วสิ พอดีใจร้อน…”
“เหตุใดจึงเสด็จมาถึงที่นี่…”
“เอ่อ…” เขาอ้ำอึ้งเล็กน้อยก่อนจะพูดออกไป “รถม้ามาถึงแล้ว”
“อ้อ…”
แพทริเซียเบนสายตาเล็กน้อยด้วยสีหน้าแปลกๆ มีร์ยาและเหล่านางกำนัลพากันออกจากห้องไปอย่างรู้งาน ท่าทีเช่นนี้ทำให้ใบหน้าของคนทั้งคู่เห่อแดง แม้ทั้งสองคนต่างรู้จักทั้งด้านที่ดีและด้านที่ไม่ดีของกันและกันแล้ว แต่ความสัมพันธ์ทางใจของพวกเขายังนับว่าสดใหม่ ในมุมมองของคนทั่วไปมันทั้งน่าสนใจและสดใหม่มาก
“เตรียมตัว…พร้อมหรือยัง”
“เพคะ…”
“วันนี้…เจ้าสวยมาก”
“เอ่อ…” แพทริเซียประดักประเดิดเล็กน้อยก่อนจะตอบทั้งแก้มแดง “ขอบพระทัยเพคะ ฝ่าบาท”
“เช่นนั้น…ไปกันเลยไหม”
เขายื่นมือมาให้อย่างเก้ๆ กังๆ ทว่านุ่มนวล แพทริเซียจับมือนั้นอย่างแผ่วเบาพลางคิดว่าตนเคยจับมือผู้ชายคนนี้อย่างจริงๆ จังๆ หรือไม่ และได้ข้อสรุปว่าดูเหมือนนางจะไม่เคยทำเช่นนั้น มือของลูซิโออบอุ่นอย่างน่าประหลาดใจ แพทริเซียจับมือของอีกฝ่ายแน่นขึ้น
และนี่คือวันคล้ายวันเกิดของนาง
วันคล้ายวันพระราชสมภพของจักรพรรดิและจักรพรรดินีเป็นหนึ่งในงานเฉลิมฉลองของจักรวรรดิมาวินอสที่ควรค่าแก่การระลึกถึง ผู้คนหลั่งไหลมาร่วมงานกันอย่างแน่นขนัดจนน่าเวียนหัว อดคิดไม่ได้ว่าขุนนางทั้งจักรวรรดิอาจแห่กันมารวมตัวที่งานนี้ แพทริเซียถึงกับบ่นพึมพำอยู่ในใจว่าปกติแล้วงานเลี้ยงมีผู้ร่วมงานเยอะถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
“เจ้าดูเหนื่อยๆ ไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ไม่เป็นไรเพคะ”
แพทริเซียตอบอย่างสง่างาม แต่ลูซิโอกลับพูดเสริมราวกับเขาไม่สบายใจเอาเสียเลย
“หากรู้สึกไม่สบายตรงไหนให้รีบบอก เข้าใจหรือไม่”
“เพคะ”
แพทริเซียตอบพลางยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ความใส่ใจที่คาดไม่ถึงนี้ไม่เลวเลยทีเดียว
***
อีกด้านหนึ่ง เปโตรนิยากับรอธซีใช้เวลาด้วยกันตั้งแต่เริ่มงานอย่างเพลิดเพลิน
“วันนี้นิลสวยมาก”
รอธซีเริ่มบทสนทนาด้วยการชื่นชมเปโตรนิยาอย่างเคย เปโตรนิยาหน้าซับสีเลือดเล็กน้อยราวกับสื่อว่าตนห้ามปรามผู้ชายคนนี้ไม่ได้เลยจริงๆ
“ชมข้าทุกครั้งแบบนี้ หากข้าชินชากับคำชมขึ้นมาจะทำอย่างไรคะ”
“ไยจะชินไม่ได้ล่ะครับ ถึงอย่างไรท่านก็ต้องแต่ง…”
คำพูดของรอธซีชะงักไป โอ๊ะ หลุดปาก โชคดีที่เปโตรนิยาไม่ได้รับรู้ถึงความผิดปกติจึงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ รอธซีเห็นดังนั้นก็วางใจและพูดต่อ
“ถึงชินก็ไม่เป็นไรครับ เพราะข้าจะพูดให้ฟังไปเรื่อยๆ”
“ดูทำเข้า” แพทริเซียยิ้มอย่างหมั่นไส้ “ปากหวานจริงเชียว”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ”
รอธซีอมยิ้มนุ่มนวลก่อนจะผายมือให้เปโตรนิยาอย่างสง่างาม
“เช่นนั้น…เต้นรำกันสักเพลงดีไหมครับ เลดี้?”
“แย่จริงเชียว” น้ำเสียงของเขาฟังดูเศร้าซึมเล็กน้อย “เราแสดงออกไม่ชัดเจนพอหรือ”
“…”
เขาแสดงให้เห็นแล้ว เพียงแต่นางไม่เชื่อความจริงที่อยู่ในสิ่งที่เขาแสดงออกเท่านั้น
“ข้ารักเจ้า”
“…”
“รักเจ้าด้วยใจจริง แม้ว่าเจ้า…อาจจะยังไม่เชื่อก็ตาม” เสียงของลูซิโอเบาลงเรื่อยๆ แต่ทันใดนั้นเขาก็พูดต่ออย่างหนักแน่นราวกับไม่สนใจอะไรอีกแล้ว “ข้าจะรอ ข้ารอได้ แต่จนกว่าจะถึงตอนนั้น…”
“…”
“ขอเพียงเจ้าไม่จากข้าไปไหน ขอเพียงเจ้ารับฟังคำขอนี้ของข้า ไม่ว่าอะไรข้าล้วนทำเพื่อเจ้าได้”
การหนีเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้มาตั้งแต่แรก ไม่ใช่เพราะนางรักเขา แต่เพราะแพทริเซียรู้ดีกว่าใครว่าการออกจากวังไม่ใช่เรื่องง่าย นางได้แต่งอแงเซ้าซี้เหมือนเด็กเท่านั้น ฝ่ายที่โง่เขลาอาจเป็นตัวนางเอง แพทริเซียก่นด่าตัวเองในใจ
“หม่อมฉันไม่ไปไหนหรอกเพคะ”
“…จริงหรือ”
“เพคะ”
และนางก็รู้ว่าเขากำลังไม่สบายใจ เขาเป็นผู้ชายที่อ่อนไหวกับการจากลาอย่างมาก บางทีอาจมีสาเหตุมาจากการต้องบอกลามารดาแท้ๆ อย่างน่าเศร้าเช่นนั้น แพทริเซียรู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาด
“ขอบคุณนะ ขอบคุณจริงๆ…”
เขากุมมือแพทริเซียไว้แน่นด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้ง การกระทำปุบปับของเขาทำให้แพทริเซียตกใจเล็กน้อย แต่นางก็คงยังคงรักษาสีหน้าเรียบนิ่งไว้ได้โดยไม่แสดงอาการ
“เราจะ…ทำให้ดีที่สุด”
น้ำเสียงของลูซิโอปนสะอื้นเล็กน้อย เขาไม่อยากให้ข้าจากไปถึงเพียงนั้นเชียวหรือ แพทริเซียพึมพำในใจ ข้ามีความหมายอย่างไรกับเขากันนะ
“หากเราอยู่แล้วเจ้าไม่สบายใจ…เราออกไปดีหรือไม่”
ลูซิโอถามอย่างลังเล แพทริเซียเองก็ลังเลเช่นกัน หากเป็นเมื่อก่อนนางคงไล่เขาออกไปอย่างเย็นชา ทว่า…อาจเป็นเพราะการกอดก่ายกันเมื่อวาน นางจึงไม่รู้สึกอยากเอ่ยคำนั้น น่าแปลกนัก แพทริเซียหยิบยกการแสดงความรักต่อกันเมื่อวานมาเป็นเหตุผลและคว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้ นางรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายตกใจเล็กน้อย
“อย่าไปเลยเพคะ” นางพูดเสียงเบาราวกับกระซิบ
“…ได้สิ”
เสียงตอบรับของลูซิโอฟังดูล่องลอย แพทริเซียจ้องมองเขาก่อนจะค่อยๆ หลับตาลง การมีใครสักคนอยู่เคียงข้างช่วยปลอบประโลมนางได้มากที่สุด
***
“คราวนี้ฝ่าบาทพระราชทานทาร์ตแอปเปิ้ลกับคุกกี้เมอแรงมาให้เพคะ”
มีร์ยาพูดด้วยน้ำเสียงขบขันระคนยินดี ด้วยการดูแลประคบประหงมอย่างสุดกำลังของลูซิโอ ร่างกายของแพทริเซียจึงฟื้นตัวได้ประมาณหนึ่ง หลังจากนั้นนางก็ได้รับขนมที่บรรจุไว้ด้วยความเอาใจใส่ของลูซิโอจนล้นปรี่ทุกวัน
“นี่ก็เข้าสัปดาห์ที่สามแล้ว หรือพระจักรพรรดิทรงคิดที่จะพระราชทานขนมหวานเป็นของขวัญวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระองค์ในสัปดาห์หน้า? ทำขนมหลากชนิดมาให้ทุกวันเช่นนี้มิใช่เรื่องง่ายเลย” มีร์ยากล่าว
“…”
อย่างที่มีร์ยาพูด หลังจากวันนั้นลูซิโอก็ส่งขนมที่ทำเองมาให้ทุกวันไม่ขาด และขนมในแต่ละวันก็ไม่ซ้ำกัน
แพทริเซียรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาที่มีร์ยาดูตื่นเต้นดีใจมากกว่านาง
“ให้ทิ้งหรือไม่เพคะ”
และมีร์ยาก็จะถามเช่นนี้ทุกครั้งราวกับเป็นธรรมเนียม มีร์ยารู้อยู่แล้วว่าแพทริเซียไม่มีทางทิ้งขนมที่ลูซิโอส่งมาให้ แต่ราฟาเอลากับมีร์ยาคิดว่า…หากไม่ถือโอกาสนี้กระเซ้าเย้าแหย่จักรพรรดินีผู้ประเสริฐเสียหน่อย ก็ไม่รู้ว่าพวกนางจะมีโอกาสอีกเมื่อใด แน่นอนว่าเปโตรนิยาเองก็เห็นด้วยเป็นครั้งคราว
“…ส่งมา”
แพทริเซียแสร้งพูดอย่างไม่ยินดี มีร์ยายิ้มน้อยๆ พลางถาม
“ฝ่าบาทไม่โปรดสิ่งที่องค์จักรพรรดิทรงทำให้มิใช่หรือเพคะ”
“จะให้ข้าถูกจับฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือไร ขืนทิ้งไปแล้วถูกฝ่าบาทโกรธจะทำอย่างไร”
ได้ฟังคำตอบแล้วมีร์ยาก็หัวเราะคิกคักในใจ จักรพรรดิรักจักรพรรดินีมาก ต่อให้จักรพรรดินีโยนขนมทิ้งไปจริงๆ จักรพรรดิก็มิอาจลงโทษนางได้ และมีร์ยารู้ดีว่าแพทริเซียเองก็รู้เรื่องนี้ มีร์ยายื่นกล่องสีชมพูที่บรรจุทาร์ตและคุกกี้ไว้ภายในให้แพทริเซียเงียบๆ
“นี่เพคะ ฝ่าบาท”
“…ออกไปได้”
แพทริเซียจะกินขนมตอนอยู่คนเดียวเท่านั้น ราฟาเอลาและมีร์ยาพอจะคาดเดาสถานการณ์ได้จึงแอบไปหัวเราะกันลับหลัง ไม่แสดงอาการต่อหน้าแพทริเซียเด็ดขาด ถ้าแพทริเซียรู้ว่าทั้งสองคนคุยเรื่องพวกนี้กันอยู่ แทนที่โมโหใหญ่โต คนสุขุมอย่างแพทริเซียคงประท้วงด้วยการทำอะไรที่ตรงข้ามกับใจเสียมากกว่า ดังนั้น จะให้แพทริเซียรู้ไม่ได้ อย่างน้อยก็เพื่อความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาที่สมบูรณ์แบบ
“เฮ้อ”
หลังจากให้ข้ารับใช้ออกไปหมดแล้ว แพทริเซียก็เปิดกล่องเงียบๆ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนห่อ แต่กล่องมักจะถูกผูกไว้ด้วยริบบิ้นสีชมพูหรือไม่ก็สีแดงทุกครั้ง กลิ่นแป้งสาลีหอมหวานลอยขึ้นมาเตะจมูก
“ท่าทางน่าอร่อย”
แพทริเซียพึมพำเบาๆ ก่อนจะหยิบคุกกี้เมอแรงขึ้นมากัดคำหนึ่ง อร่อยจัง แพทริเซียยกยิ้มโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่การกินขนมหวานจากลูซิโอกลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่นางเฝ้ารอมากที่สุดในบรรดากิจวัตรอันแสนน่าเบื่อของตน
***
“คิดว่าเป็นเจ้าแล้วจะมีอะไรแตกต่างรึ?”
สตรีชุดขาวปล่อยผมสีชมพูยาวสยายหัวเราะเสียงเย็น เมื่อเห็นอีกฝ่าย แพทริเซียก็ถอยหลังทีละก้าวยังไม่มั่นคง
“จะไปไหนก็ไป”
“เจ้าเองก็ไม่ต่างกันหรอก จักรพรรดินีผู้สูงส่ง หากเขามีผู้หญิงคนใหม่เจ้าก็จะถูกทิ้ง”
“…ข้าไม่เคยเปิดใจให้ผู้ชายคนนั้น”
แพทริเซียฝืนปฏิเสธออกไป แต่โรสมอนด์กลับหัวเราะคิกคักราวกับมองออกทุกอย่าง
“โง่เง่า เจ้าเปิดใจให้เขาแล้ว”
“…”
“เจ้าเป็นฝ่ายกอดเขาก่อนมิใช่รึ คนที่จูบเขาก่อนก็คือเจ้าเช่นกัน ตอนนี้เจ้าเพียงแต่ดื้อดึงเพราะไม่อยากยอมรับหัวใจตัวเองเท่านั้น หรือมิใช่?”
“ต่อให้ข้าเป็นเช่นนั้น แล้วมันเกี่ยวอันใด…”
กับเจ้า แพทริเซียสั่นสะท้านไปทั้งร่างพร้อมทั้งเขม้นมองโรสมอนด์ นางตายไปแล้ว ที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นเพียงภาพหลอน ตายก็ตายไปแล้ว เหตุใด…เจ้ายังมารังควานข้า
“ข้าตื่นเต้นอยากเห็นเจ้าเป็นเหมือนข้าในเร็ววันจนอยู่ไม่สุขแล้ว” โรสมอนด์กระซิบข้างหูอย่างนึกสนุก “สักวันเมื่อผู้ชายคนนั้นมีผู้หญิงคนใหม่ เจ้าก็จะถูกกิโยตีนบั่นคอเช่นเดียวกับข้า”
“เจ้า…”
“ทำไม? เจ้าจะปฏิเสธรึ?” โรสมอนด์หัวเราะร่าราวกับจะเย้ยหยันความโง่เขลาของแพทริเซีย “โง่งม! ตอนแรกผู้ชายคนนั้นก็ทำกับข้าเช่นเดียวกับที่ทำกับเจ้า ทำราวกับมอบกายถวายชีวิตให้ข้าได้”
“นั่นเพราะระหว่างเจ้าเขากับมิใช่รักแท้”
แพทริเซียยิ้มออกเป็นครั้งแรก ทว่า มิใช่รอยยิ้มที่งดงาม กลับเป็นรอยยิ้มที่น่าสลดใจเพราะมันทั้งน่ากลัว พิลึกพิลั่น และเย็นชา
“ความสัมพันธ์ของเจ้ากับเขามันผิดมาตั้งแต่แรก เจ้าเองก็รู้มิใช่รึ” แพทริเซียกล่าวย้ำ
“…”
“เจ้าไม่ได้รักฝ่าบาทด้วยใจจริง ส่วนฝ่าบาทก็แค่ถูกหลอกด้วยอารมณ์ความรู้สึกเท่านั้น เช่นเดียวกับหัวใจที่สั่นไหวเพราะความกลัวกลับถูกเข้าใจว่าสั่นไหวเพราะความหวั่นไหว”
“เจ้ามันอวดฉลาดจนถึงที่สุดจริงๆ! เจ้ามั่นใจหรือว่าจะไม่เป็นเช่นข้า?”
“…”
“นั่นปะไร เจ้าไม่มั่นใจล่ะสิ”
โรสมอนด์ยิ้มอย่างงดงามและพูดทิ้งท้าย
“สักวันเจ้าจะตกอยู่ในสภาพเดียวกับข้า”
ทันใดนั้น สภาพของโรสมอนด์ก็เปลี่ยนไป กลายเป็นเหมือนตอนที่นางตายต่อหน้าแพทริเซีย ทั้งยังมีเสียงกรีดร้องของผู้คนและเสียงอันน่าสะพรึงของใบมีดที่ตัดผ่านลำคอ… แพทริเซียกรีดร้องออกมาโดยไม่รู้ตัว
“กรี๊ด!”
นางผุดลุกขึ้น หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อกาฬ มีร์ยาและราฟาเอลาได้ยินเสียงร้องก็รีบเปิดประตูเข้ามาในห้อง
“ฝ่าบาท!”
“ริซซี่!”
ทั้งสองกวาดตามองรอบๆ เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อไม่เห็นวี่แววอะไรพวกนางจึงถอนหายใจออกมา
“ฝ่าบาท เกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ” มีร์ยาถามอย่างห่วงใย
“ตายจริง มีร์ยา ดูเหงื่อพวกนี้สิคะ”
“แฮ่ก…”
แพทริเซียหอบหายใจอย่างต่อเนื่อง นางพยายามสงบสติอารมณ์แต่กลับปรับลมหายใจให้เป็นปกติไม่ได้โดยง่าย นางกำนัลคนหนึ่งรีบนำน้ำอุ่นมาให้ แพทริเซียรับมาดื่มอย่างเนิบช้า ก่อนจะหอบหายใจด้วยสีหน้าซีดเผือด
“ฝ่าบาท เกิดอะไรขึ้นกันแน่” ราฟาเอลาถาม
“แฮ่ก…ให้ตาย”
แพทริเซียพึมพำด้วยน้ำเสียงเศร้าโศกอย่างประหลาด
“ข้าต้องไปตำหนักกลาง”
อีกด้านหนึ่ง ลูซิโอเข้านอนเร็วกว่าปกติ ตอนที่แพทริเซียตื่นขึ้นมาเพราะฝันร้ายตัวเขาก็หลับไปนานแล้ว แน่นอนว่าตอนนี้เขากำลังเตร็ดเตร่อยู่ในดินแดนแห่งความฝันโดยที่ไม่รู้ว่าแพทริเซียต้องเจอกับอะไร
“ฝ่าบาท? มีเรื่องอันใด…”
“พระจักรพรรดิประทับอยู่ด้านใน…”
“ฝ่าบาทบรรทม…”
ปกติแล้วลูซิโอเป็นคนนอนหลับไม่ลึก เมื่อได้ยินเสียงรบกวนรางๆ ไม่ปะติดปะต่อ เขาจึงตื่นขึ้นและลุกขึ้นนั่งด้วยสีหน้าเหม่อลอยพร้อมกับเอ่ยถาม
“มีเรื่องอันใด”
สิ้นเสียงนั้น ความเคลื่อนไหวด้านนอกก็สงบนิ่งในทันใด ครู่หนึ่งหลังจากนั้นเสียงของหัวหน้านางกำนัลก็ดังขึ้น
“ฝ่าบาท พระจักรพรรดินี…”
“รีบให้นางเข้ามาสิ มัวทำอะไรอยู่”
“ขอประทานอภัยเพคะ ฝ่าบาท เชิญเสด็จเพคะ พระจักรพรรดินี”
ประตูเปิดพร้อมกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบาๆ ในตอนนั้นตาของลูซิโอยังคงพร่ามัว เขาตบแก้มตัวเองอย่างแรงสองสามทีเพื่อให้ตื่นเต็มตาโดยเร็ว นางมาหาเขากลางดึกเช่นนี้ด้วยเหตุใดกัน ลูซิโอลุกขึ้นด้วยสีหน้าคาดหวังและหวั่นไหวระคนหวาดกลัว
“…”
แพทริเซียเข้ามาในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง มิได้เกล้าขึ้นให้เรียบร้อยเหมือนยามปกติ แน่นอนว่าในสายตาของลูซิโอความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มีความหมายอันใด เพราะแพทริเซียที่อยู่ในสภาพนี้ดูน่ารักน่าเอ็นดูหาใดเปรียบและให้ความรู้สึกไร้เดียงสา แพทริเซียในชุดนอนสีขาวเดินโซเซเข้ามาหาลูซิโอ ไม่รู้ว่าสภาพของนางดูน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง หรือเพราะลูซิโออยากเข้าใกล้แพทริเซียให้เร็วขึ้น เขาจึงรีบวิ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างอดรนทนไม่ไหว
“จักรพรรดินี มีเรื่องอันใด…”
“ฝ่าบาท”
น้ำเสียงที่แพทริเซียใช้เรียกเขาฟังดูไม่ปกติ ลูซิโอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เบาลงโดยสัญชาตญาณ
“ริซซี่? เกิดอะไรขึ้น”
“ฝ่าบาท”
นางเอาแต่เรียกเขา เขาเอ่ยกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสุขุม
“ชู่ว ไม่เป็นไร เกิดอะไรขึ้น”
“…”
แพทริเซียเอาแต่มองหน้าเขาโดยไม่พูดอะไร สายตาของนางดูสั่นไหวอย่างประหลาด ลูซิโอจึงนึกกลัวขึ้นมา เขารู้จักสายตานี้ มันเป็นสายตาที่เขาขยาดด้วยรู้สึกชินชากับมันเหลือเกิน มันเป็นสีหน้าที่เขาเก็บไว้ในส่วนลึกของจิตใจนับตั้งแต่วันนั้น
“ริซซี่ เป็นอะไร…” เขาถามเสียงสั่น
ทว่า ยังไม่ทันได้ถามให้รู้ความ แพทริเซียก็กอดเขาไว้แน่น เห็นอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้ลูซิโอย่อมทำตัวไม่ถูก ได้แต่ละล่ำละลักถามหาต้นสายปลายเหตุโดยไม่มีเวลาให้ดีใจเรื่องที่แพทริเซียเป็นฝ่ายกอดเขาก่อน ดูเหมือนนางจะมีบางอย่างแปลกไป
“เกิดอะไรขึ้นหรือ หากเจ้าไม่อยากบอกก็…”
“ฝ่าบาท”
แพทริเซียเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูทรมาน
“จะทรงทอดทิ้งหม่อมฉันไหมเพคะ”
“ร้องไห้หรือเพคะ” แพทริเซียเอ่ยถามขณะที่ใบหน้ายังคงคลอเคลียไม่ห่าง
“เปล่า”
“เศร้าหรือเพคะ”
“ไม่เลย” เขาพึมพำและตอบ “มีความสุขอันแสนสำคัญอยู่ตรงหน้า เรายังจะเศร้าได้อีกหรือ”
“…”
แพทริเซียจูบเขาอีกครั้งโดยไม่บอกไม่กล่าว จูบที่เริ่มต้นอย่างเงียบสงบค่อยๆ รุนแรงขึ้น หากเป็นเช่นนี้คงไม่พ้นถูกจับกิน แพทริเซียคิดดังนั้นขณะที่หายใจหอบถี่ ลูซิโอเองก็เช่นกัน
“ฮึก…ฝ่าบาท” แพทริเซียเอ่ยเรียกเสียงสะอื้น
“แพทริเซีย”
ลูซิโอถอนริมฝีปากอย่างแผ่วเบาและเรียกชื่อของอีกฝ่ายพร้อมกับสบตา ใบหน้าของแพทริเซียขึ้นสีเล็กน้อย เขาปลดกระดุมเสื้อคลุมของตนที่อยู่บนร่างของหญิงสาวอย่างระมัดระวัง แพทริเซียมองมือของลูซิโอไม่วางตา
และแล้วเสื้อคลุมก็หลุดออกเผยให้เห็นไหล่ผอมบาง ลูซิโอก้มลงจุมพิตไหล่นั้นอย่างแผ่วเบา เป็นจุมพิตที่นุ่มนวลราวกับมีไว้เพื่อเยียวยาบาดแผล แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกดุดันราวกับสัตว์ป่า นางครางออกมาสั้นๆ
“ไม่ชอบ…หรือ?” เขาถาม
ได้ยินเขาถามอย่างระมัดระวัง แพทริเซียก็จ้องเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายก่อนจะจูบคนตรงหน้าอีกครั้ง ขณะเดียวกันมือก็ง่วนอยู่กับการแกะผ้าผูกคอ[1]ของเขา สิ้นเสียงผ้าร่วงลงบนพื้น มือที่เคยเนิบช้าของแพทริเซียก็รีบเร่งขึ้น ขณะที่ปลดกระดุมเสื้อของลูซิโอได้สองสามเม็ด นางก็มองเขาด้วยดวงตาและใบหน้าแดงระเรื่อ เขาจูบนางโดยไม่รอคำตอบ การกระทำของนางย่อมหมายถึงการยินยอมแล้ว ในเมื่อทั้งคู่ต่างยินยอมพร้อมใจ ลูซิโอจึงขยับมืออย่างใจเย็นทว่าไม่อาจปกปิดความรีบร้อนไว้ได้
และแล้วทั้งคู่ก็อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า พวกเขาสบตากัน แพทริเซียลูบไล้แก้มของลูซิโออย่างเบามือและมอบจุมพิตให้อีกครั้ง
ลูซิโอนอนหลับซุกอกแพทริเซีย นางก้มลงมองใบหน้าของเขาเงียบๆ พลางพึมพำในใจว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้ว
“…”
เห็นได้ชัดว่านางถูกกระตุ้น แต่จะบอกว่าเป็นเพราะแรงกระตุ้นเพียงอย่างเดียวก็ไม่ได้ นางมั่นใจว่าตนยังมีสติอยู่ครึ่งหนึ่ง นางและเขาต่างเลือกให้มันเป็นเช่นนี้ คำพูดอื่นใดคงไม่จำเป็นอีกแล้ว แพทริเซียถอนหายใจในใจ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางทั้งรักทั้งชังเขา เมื่อก่อนความรู้สึกของนางไม่ได้เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง แต่ระยะนี้นางรู้สึกราวกับว่ามันเอียงเทไปทางด้านเดียว นางลูบจับเส้นผมที่มีสีเหมือนท้องฟ้ายามย่ำรุ่งของลูซิโอด้วยสีหน้าเหม่อลอย
“อืม…”
ดูเหมือนเขาจะตื่นเพราะสัมผัสของนาง ได้ยินเขาส่งเสียง แพทริเซียก็หยุดมือโดยไม่รู้ตัว แต่แล้วลูซิโอก็พูดขึ้นมาในทันใด
“ทำต่อไป…ได้ไหม”
ละโมบนัก แพทริเซียพร่ำบ่นในใจแต่ก็ยอมทำตามที่เขาบอก
“ตื่นบรรทม…เพราะหม่อมฉันหรือเพคะ” นางถาม
“ไม่เป็นไร” เขายกศีรษะขึ้น “มีเจ้าอยู่ตรงหน้าเช่นนี้ ตื่นอยู่น่าจะดีกว่า”
“…”
ได้ยินคำพูดน่าอายเช่นนั้น แพทริเซียก็จ้องอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ
“เป็นอะไรหรือเปล่าเพคะ” นางถาม
“ไม่เลย”
“…”
“เราดีใจมากเหลือเกิน” เขาตอบเสียงสั่น “มากจนหายใจลำบาก”
“อย่าได้กล่าวเกินจริงเลยเพคะ”
“เราหาได้พูดเกินจริง” เขาดึงนางเข้ามากอดพลางกระซิบ “แต่เราพูดความจริง”
“…”
แพทริเซียมองลูซิโอที่กอดตนไว้ราวกับเป็นเด็กเล็กก่อนจะกอดตอบและหลับตาลงเงียบๆ เหนื่อยจัง ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยเรียก
“ริซซี่”
“…”
แพทริเซียไม่ได้ตอบรับแต่ลูซิโอก็พูดต่อ
“ข้ามีเรื่องจะขอร้อง”
“รับสั่งมาเถิดเพคะ”
“ข้า…” เขาถาม “บอกรักเจ้าได้หรือไม่”
“…”
บอกว่าจะขอร้องแต่สุดท้ายกลับกลายเป็นตั้งคำถาม ขอให้ตอบอย่างนั้นหรือ? หรือจะขอให้อนุญาต? แพทริเซียครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกไป
“ได้สิเพคะ”
“ข้ารักเจ้า”
“…”
“ข้ารักเจ้า แพทริเซีย”
แพทริเซียไม่ได้ตอบรับคำสารภาพนั้นและลูซิโอเองก็ไม่ได้คาดหวังคำตอบของแพทริเซียมาตั้งแต่แรกแล้ว ขอเพียงเขาได้สารภาพความในใจก็พอ
“ข้า…”
“…”
“รักเจ้ามากจริงๆ”
ดังนั้น เพียงแค่แพทริเซียรับฟังคำสารภาพของเขาคนนี้ ลูซิโอก็พอใจอย่างที่สุดแล้ว
“เฮ้อ…”
แพทริเซียถอนหายใจยาวพลางนวดขมับ ร่างกายที่เมื่อครู่ยังปกติดีตอนนี้กลับมีไข้ ด้านข้างมีลูซิโอเดินวนไปเวียนมาอย่างเป็นกังวล
“อาการแย่มากหรือไม่ เราว่าต้องเรียกหมอ…” เขาถาม
“อย่าให้เป็นเรื่องใหญ่เลยเพคะ” แพทริเซียยืนกรานปฏิเสธ “คิดจะป่าวประกาศเรื่องเมื่อคืนให้รู้กันทั่วหรือไร”
แน่นอนว่าต่อให้ไม่เรียกหมอหลวงมา นางกำนัลก็คงพูดถึงเรื่องเมื่อคืนกันปากต่อปากแล้ว ถึงอย่างไรก็น่าจะดีกว่าเรียกหมอหลวงมาแล้วทำให้มันดูเป็นทางการมากขึ้น… แพทริเซียกดนวดศีรษะที่ปวดตุบๆ จากนั้นก็ค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้น
“เจ้าจะไปที่ใด” ลูซิโอรีบถาม
“กลับตำหนักหม่อมฉันสิเพคะ”
ได้ยินแพทริเซียตอบอย่างเรียบเฉย ลูซิโอก็ส่ายหน้าอย่างไม่ยอม
“ร่างกายเป็นเช่นนี้เจ้ายังคิดจะไปที่ใดอีก”
“แค่กลับตำหนักหม่อมฉันไปได้เพคะ”
“ถ้าหกล้มไปจะทำอย่างไร” ลูซิโอร้องขอด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย “อยู่ที่นี่สักพักไม่ได้หรือ หืม?”
“…ขืนหม่อมฉันยังอยู่ ฝ่าบาทจะพลอยประชวรไปด้วยเพคะ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงเรา ห่วงตัวเองก่อน”
ได้ยินดังนั้นแพทริเซียก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้งพร้อมส่งเสียงโอดครวญ นางควรจะพักผ่อนอีกสักหน่อย แต่เพราะไม่ได้พัก ตอนนี้จึงต้องตกอยู่ในสภาพนี้
“งานที่ต้องทำวันนี้มีเยอะเสียด้วย” แพทริเซียบ่นพึมพำ
“ยกเลิกให้หมด ร่างกายต้องมาก่อน”
“ฝ่าบาททรงอย่าได้ตรัสง่ายๆ เช่นนั้น เมื่อวานหม่อมฉันก็พักแล้ว” แพทริเซียบ่นอย่างปวดเศียรเวียนเกล้า “ยิ่งไปกว่านั้นงานวันเกิดก็ใกล้เข้ามาแล้วด้วย”
“วันเกิดนี้หาใช่วันเกิดของใครอื่น แต่เป็นวันเกิดของเจ้าเอง ดังนั้น เจ้าควรให้ความสำคัญกับสุขภาพของตนเหนือสิ่งอื่นใด”
นั่นก็จริง…
“ฝ่าบาทเองก็ต้องทรงงานนะเพคะ” แพทริเซียพูดราวกับลำบากใจ
“โชคดีที่วันนี้ไม่มีประชุม”
“แต่ก็มีเอกสารที่ต้องจัดการมิใช่หรือ”
“เดี๋ยวค่อยทำ”
“…”
เห็นได้ชัดว่าเขาคิดอะไรอยู่ แพทริเซียจึงหมดคำจะพูด ลูซิโอยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางกล่าว
“ไล่เรียงดูแล้วเราเองก็มีส่วนผิด”
“…”
แพทริเซียหน้าซับสีเลือดรีบพลิกตัวหันหลังในทันใด ลูซิโอถามย้ำด้วยน้ำเสียงที่ยังคงนุ่มนวลแต่แฝงไว้ด้วยความกังวลอยู่ในที
“เรียกหมอหลวงมาไม่ดีกว่าหรือ”
“เมื่อวานก็เรียกมาแล้วเพคะ” แพทริเซียตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน “อย่างดีก็กินยาแล้วนอนพัก เมื่อวานหม่อมฉันก็ได้ยามาเยอะแล้ว”
“ขอโทษนะ”
จู่ๆ เขาก็ขอโทษเสียงสลด แพทริเซียจึงเอ่ยถามด้วยสีหน้างงงัน
“เรื่องอันใดหรือเพคะ”
“เหมือนอาการของเจ้าจะแย่ลงเพราะเรา”
“เฮ้อ…” แพทริเซียถอนหายใจและเอ่ยเสียงดุ “ทราบแล้วก็ทำตัวดีๆ เถิดเพคะ”
“เราย่อมต้องทำเช่นนั้น ว่าแต่ เจ้าต้องการอะไรอีกหรือไม่”
“…ตอนนี้ยังเพคะ”
อาการปวดหัวเริ่มกลับมาอีกครั้ง แพทริเซียจึงบอกกับอีกฝ่าย
“หม่อมฉันอยากนอนสักหน่อยเพคะ…”
“ให้เราอยู่ด้วยไหม”
“หม่อมฉันรู้จักแยกแยะ ไม่คิดจะรั้งองค์สุริยันแห่งจักรวรรดิไว้ตั้งแต่เช้าตรู่เช่นนี้หรอกเพคะ” แพทริเซียเค้นเสียงพูดต่อ “ทรงงานอยู่ในห้องทรงงานเถิดเพคะ หากมีอะไรหม่อมฉันจะเรียกข้ารับใช้ที่อยู่ข้างนอกเอง…ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย”
“ก็ได้…”
สีหน้าของลูซิโอดูไม่ค่อยพอใจที่ต้องอยู่ห่างจากแพทริเซียแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะความจริงแล้วเขาเป็นคนที่งานยุ่งยิ่งกว่าแพทริเซียเสียอีก ร่างสูงถอนหายใจและจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผากของหญิงสาว เห็นอีกฝ่ายจ้องตนไม่วางตา ใบหน้าของลูซิโอก็ซับสีเลือดเล็กน้อย
“พักผ่อนเถอะ” เขาบอก
“…ไปเถอะเพคะ”
พูดจบ แพทริเซียก็หลับตาลงทันที จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงลูซิโอเดินห่างออกไปตามด้วยเสียงปิดประตู และแล้วนางก็ได้พักผ่อนอย่างสงบ
ประมาณหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นราฟาเอลาก็มาหาที่ตำหนักกลาง
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
“ราฟาเอลา”
แพทริเซียส่งเสียง ‘อือ’ และยันตัวลุกขึ้น ราฟาเอลาเห็นดังนั้นก็รีบเข้ามาช่วยประคองและกล่าวราวกับจะตำหนิ
“เจ้านี่จริงๆ เลย นอนอยู่เฉยๆ สิ”
“มีร์ยาส่งเจ้ามาหรือ”
“ข้ามาเอง จักรพรรดินีไม่อยู่แล้วจะให้ข้าทำอันใดในตำหนักจักรพรรดินีเล่า คนที่ข้าต้องอารักขาก็คือเจ้านะริซซี่” พูดจบ ราฟาเอลาก็ยิ้มกริ่มพลางถาม “สรุปแล้วเมื่อวานเป็นอย่างไร”
“ก็อย่างนั้นแหละ…”
“ตายจริง ฝ่าบาททรงต้องบากบั่นมากทีเดียว” ราฟาเอลากระเซ้าและถามต่อ “ร่างกายแย่มากหรือ ถ้าแย่กว่าเมื่อวานคงไม่ดีแน่”
“ไม่ขนาดนั้นหรอก เมื่อวานข้ารู้สึกเหมือนจะตายจริงๆ”
“โล่งอกไปที เจ้าจะอยู่ที่นี่ต่อหรือ”
“…”
ได้ยินคำถามของราฟาเอลา แพทริเซียก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบเนิบๆ
“ข้าเดินกลับตำหนักไม่ไหว”
“ใครบอกให้เจ้าเดินกัน ข้าจะอุ้มไปต่างหาก หรือไม่ก็เรียกรถม้าก็ได้”
“สิ้นเปลือง” แพทริเซียปฏิเสธสั้นๆ และพูดต่อ “อยู่ที่นี่จนกว่าจะมีแรงแล้วกัน”
“อืม…”
ได้ยินดังนั้นราฟาเอลาก็มองแพทริเซียด้วยสีหน้าพิกล ทว่า แพทริเซียไม่ได้สนใจและพูดต่อไป
“ดูเหมือนวันนี้คงต้องนอนพัก แต่ข้ากลัวว่างานของฝ่ายในจะไม่เดินน่ะสิ”
“ไม่ทำงานแค่วันสองวันไม่เป็นไรหรอก ฝ่ายในคงไม่ล่มสลายง่ายๆ อันดับแรกดูแลสุขภาพให้ดีก่อนเถอะ”
“นั่นสินะ”
หลังจากตอบรับสั้นๆ แพทริเซียก็ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ราฟาเอลามองคนบนเตียงอย่างเป็นห่วงก่อนจะเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน
“ต้องการสิ่งใดหรือไม่”
“ไม่เป็นไร เอล่า การอารักขาในตำหนักกลางเข้มงวดอยู่แล้ว…เจ้ากลับไปอยู่ที่ตำหนักจักรพรรดินีก็ได้”
“ไม่ได้หรอก” ราฟาเอลายิ้มพลางส่ายหน้า “ข้าจะอยู่หน้าประตู มีอะไรก็เรียก เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจแล้ว”
สิ้นเสียงตอบอย่างไร้เรี่ยวแรง ราฟาเอลาก็จุมพิตที่หน้าผากของแพทริเซียและออกจากห้องไป แพทริเซียหลับตาลงทันที นางรู้สึกเหนื่อยอย่างไม่ทราบสาเหตุ บางทีอาจเป็นเพราะนอนไม่ค่อยพอ
แพทริเซียตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนที่รู้สึกเย็นที่หน้าผาก นางอุทานด้วยความตกใจและลืมตาขึ้น
“อ๊ะ…?”
“แย่จริง เราปลุกเจ้าหรือ”
แพทริเซียเลื่อนสายตาไปหาต้นเสียงเจื่อนๆ นั้นและพบกับลูซิโอ นางกะพริบตาปริบๆ และพูดเสียงค่อย
“ฝ่า…บาท?”
“ขอโทษนะ แพทริเซีย”
“…”
แพทริเซียเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดพึมพำ
“เหตุใด…”
“เราเป็นห่วงน่ะ”
เขาจัดผมที่ยุ่งเหยิงของหญิงสาวพลางพูดเสียงเบา
“ทิ้งเจ้าไว้คนเดียวเราเป็นห่วง”
“…”
“ก็เลยมาดู”
“ราชกิจเล่าเพคะ”
“เราสะงานงานเร่งด่วนเรียบร้อยแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวล”
พูดจบ ลูซิโอก็ก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของแพทริเซียโดยไม่ขออนุญาต แพทริเซียไม่ได้พูดอะไรกับการกระทำนั้น เอาแต่จ้องมองคนตรงหน้าเงียบๆ อีกฝ่ายกำลังมองนางราวกับนางน่าเอ็นดูเหลือแสน ลูซิโอเห็นแพทริเซียจ้องมาก็ทำตัวไม่ถูก รีบเอ่ยขอโทษ
“เอ่อ ขอโทษนะ เรา…”
“ฝ่าบาท”
แพทริเซียพูดขัดและถามออกไป
“ทรงรักหม่อมฉันจริงๆ หรือเพคะ”
[1] ผ้าผูกคอ (Cravat) หรือเนคไทแบบเก่า
“อึก…!”
ลูซิโอร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด มือขยุ้มผ้าปูเตียงแน่น ไม่นะ ไม่ บางสิ่งที่ร้อนราวกับภูเขาไฟคอยจะปะทุออกมาจากอกของเขา
“ฮา…อึก…”
อาการชักของเขามักจะเริ่มต้นอย่างธรรมดาเช่นนี้ เริ่มด้วยความรู้สึกราวกับภูเขาไฟเดือดพล่านที่ใกล้จะปะทุเต็มที มิได้เผยความโหดร้ายออกมาทั้งหมดในคราวเดียว ชายหนุ่มขยุ้มปลอกหมอนด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว
“ได้โปรด…”
เป็นเพราะเห็นแพทริเซียนอนซมอยู่บนเตียงอย่างนั้นหรือ? หรือเพราะนั่งเฝ้าอยู่นาน? เมื่อลูซิโอเห็นคนที่รักและหวงแหนอยู่ในสภาพอ่อนแอ อาการของเขามักจะกำเริบ ลูซิโอหายใจฟืดฟัด นี่เป็นเรื่องที่ทรมานทั้งกายและใจจนอดคิดไม่ได้ว่าตายไปเลยยังจะดีเสียกว่า
“อ้ากกกกกกก!”
การอุ่นเครื่องเสร็จสิ้นแล้ว ดูเหมือนภูเขาไฟไม่คิดจะปล่อยเขาไปอีกแล้ว ความโกรธนี้หยั่งรากลึกในใจมาอย่างยาวนานกว่าสิบปีโดยมีความรู้สึกผิดที่ฆ่ามารดาของตัวเองคอยหล่อเลี้ยงให้อยู่ยงคงกระพันเรื่อยมา
กล่าวโดยสรุปคือ โรคของเขาชนะตัวเขาแล้ว เขาไม่มีทางต่อสู้เพื่อเอาชนะอาการนี้ได้เลย บางทีอาจจะเป็นตอนก่อนตาย ไม่สิ หรือต่อให้ตายไปแล้วเขาก็ไม่อาจเอาชนะได้ ดังนั้น เขาจึงต้องเป็นผู้แพ้ไปตลอดกาล… ลูซิโอคิดเช่นนั้น
แอ๊ด…
เสียงประตูเปิดฟังดูน่าขนลุก ทว่า ลูซิโอกลับถูกความบ้าคลั่งที่เขาสร้างขึ้นมาด้วยตัวเองควบคุมอย่างสมบูรณ์จึงไม่ได้ยิน ได้แต่ร้องโหยหวนและร้องขอความช่วยเหลือพร้อมกับสาปแช่งตัวเองเท่านั้น เขาที่เป็นเช่นนี้ช่างน่าสงสาร
“ฮือ…”
“…”
ใครคนหนึ่งกำลังเฝ้ามองเขาอยู่ ลูซิโอไม่รู้สึกถึงสายตานั้นเช่นเดียวกับที่เขาไม่ได้ยินเสียงประตู ผู้มาใหม่ยืนมองลูซิโอเงียบๆ ครู่หนึ่งก่อนจะก้าวเท้าเข้ามาใกล้อย่างเนิบช้า ย่างก้าวของเงาร่างนั้นไม่มั่นคงนักคล้ายว่าร่างกายไม่ได้อยู่ในสภาพปกติ แต่ในความเพรียวบางก็ยังคงไว้ซึ่งความสง่างาม
“ฝ่าบาท”
ใครคนนั้นเรียกเขา เสียงที่คุ้นเคยเรียกให้เขาหันไปมอง ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ ทั้งตัวมีเลือดซึมจากบาดแผลทำร้ายตัวเอง ครั้นเห็นสภาพนั้น แพทริเซียก็กัดริมฝีปากที่ซีดเผือดโดยไม่รู้ตัว
‘นี่ข้าแยกแยะความสงสารกับความรักไม่ออกหรือไร’
แพทริเซียเอาแต่คิดถึงเรื่องนั้นขณะที่เดินโซเซเข้าไปหาอีกฝ่าย ในระหว่างนั้นลูซิโอยังคงมีอาการชักอยู่เนืองๆ ข้าอยากหยุดเสียงคร่ำครวญนั้น หากข้าหยุดความทรมานนั้นได้ก็คงจะดี หากความโกรธอันน่าเศร้านั้นสลายไปเร็วๆ ก็คงจะดี แพทริเซียคิดพลางก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างยากลำบาก
“ฝ่าบาท…”
“ฮือ…”
อย่าเข้ามา
เขาวิงวอน ครึ่งหนึ่งนั้นคือความจริงใจ นี่ไม่ใช่สภาพที่น่าดูเอาเสียเลย สภาพที่แทบจะเรียกได้ว่าอัปลักษณ์นี้เขาไม่อยากให้นางได้เห็น การมีสภาพเช่นนี้ต่อหน้าคนที่ตนรักนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย
ทว่า มุมหนึ่งในใจเขาก็ปรารถนาให้แพทริเซียมา เขาอยากให้แพทริเซียกอดเขาด้วยมือที่อบอุ่นคู่นั้น และอยากให้นางปลอบโยนเขา เพื่อที่เขาจะได้หลับตาลงเงียบๆ ในอ้อมกอดของนาง หลุดพ้นจากความรู้สึกผิดทั้งหมดในอดีต หลุดพ้นจากความเจ็บปวดทั้งหมดในใจ และพักผ่อนอย่างสงบ
แต่ในขณะเดียวกัน กระทั่งการที่เขามีความคิดเช่นนั้นลูซิโอก็ยังรู้สึกผิดต่อแพทริเซีย และคิดว่าความคิดของเขาเป็นไปไม่ได้แม้แต่ในอดีต ใจของลูซิโอเต็มไปด้วยเงื่อนไขเสมอ เป็นความขัดแย้งระหว่างสัญชาตญาณที่พยายามหลีกหนีจากความทรมานและบ่วงศีลธรรมที่คอยย้ำเตือนว่าเขาต้องรับโทษ
“ได้โปรด…”
เมื่อระยะห่างระหว่างพวกเขาลดลง แพทริเซียก็ยื่นมือเข้ามาหา ปลายนิ้วที่อยู่กลางอากาศสั่นไหวราวกับเส้นด้าย
ไยจึงสั่นเทาถึงเพียงนี้? เพราะโทสะที่มีต่อตัวข้า? เพราะความอัปยศอดสูที่มีสามีเช่นข้า? หรือว่า…ตัวนางเองก็คิดว่าข้าน่ารังเกียจเช่นกัน? นางจะคิดว่าข้าเป็นสัตว์ประหลาดน่าขยะแขยงหรือไม่?
คิดมาถึงตรงนี้ ลูซิโอก็ทุกข์ทรมานอย่างถึงที่สุด เดิมทีเขาก็มองว่าตัวเองน่าขยะแขยงอยู่แล้ว ตอนนี้ตัวเขายิ่งน่าขยะแขยงขึ้นไปอีก เขาปฏิเสธสัมผัสจากแพทริเซีย
“มะ…ไม่!”
“อ๊ะ…!”
แรงต่อต้านผลักแพทริเซียให้ถอยห่าง ร่างกายที่อ่อนแออยู่แล้วจึงเซถลาไปตามแรง ในขณะเดียวกันความตะลึงงันก็แล่นผ่านแววตาคู่สวย หากเป็นแบบนี้แพทริเซียต้องล้มกระแทกพื้นจนบาดเจ็บเป็นแน่ ลูซิโอเห็นดังนั้นก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูกแต่เขาก็ไม่นิ่งเฉย รีบคว้าร่างบางไว้ทันที
สายตาของทั้งคู่สบกันโดยอัตโนมัติ เขามองตาแพทริเซียและเอ่ยคำขอโทษด้วยน้ำเสียงคล้ายจะร่ำไห้
“อา…”
เขาดูเหมือนเด็กที่ไม่รู้จะทำอย่างไร
“ขอ…ขอโทษ”
“…”
แพทริเซียเพียงแต่เงยหน้ามองลูซิโอโดยไม่พูดอะไร กระทั่งตอนนี้ลูซิโอก็มัวแต่กังวลว่าแพทริเซียจะมองตนอย่างไร มากกว่าจะกังวลว่าจะทำอย่างไรหากแพทริเซียไม่ยกโทษให้ อีกเดี๋ยวแพทริเซียคงจะผลักเขาออกและประณามเขา แน่นอนว่าเขาคิดว่าตนสมควรถูกประณาม แต่อีกใจเขาก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น เขาพึมพำในใจว่าตนช่างเป็นคนเห็นแก่ตัวและไม่ได้เรื่อง
“…เหตุใดถึงทำให้หม่อมฉันสับสนอยู่เรื่อย”
แพทริเซียเงยหน้ามองเขาจากในอ้อมแขนและเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา ร่างบางถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อคลุมของเขา เขาจึงได้กลิ่นตัวเองจากร่างของอีกฝ่าย เมื่ออยู่กับแพทริเซีย ความเกลียดชังที่มีต่อตนเองก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การให้อภัย ลูซิโอกำชายเสื้อคลุมของตนที่อยู่บนร่างของแพทริเซียและเอ่ยปากอย่างยากเย็น
“เรา…”
“หม่อมฉันไม่เข้าใจเพคะ แม้คิดว่าตัวเองแยกแยะได้ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น”
น้ำเสียงของแพทริเซียคล้ายจะเรียบนิ่งแต่ก็สั่นเครืออย่างประหลาด คล้ายกำลังร้องไห้
“ทรงอย่าเป็นเช่นนี้ต่อหน้าหม่อมฉันเลยเพคะ”
“…”
“หม่อมฉันโง่เขลานัก หากพระองค์เป็นเช่นนี้ หม่อมฉันจะสับสนว่าความรู้สึกที่มีต่อพระองค์คือความสงสารหรือความรักกันแน่”
ลูซิโอได้ยินคำพูดซื่อๆ นั้นก็รู้สึกดีใจ
“เจ้า…เรา…”
“…หม่อมฉันขอทูลถามหนึ่งเรื่อง” แพทริเซียถามเสียงเศร้า “เหตุใดพระองค์จึงทรมานเช่นนั้นหรือเพคะ”
“…”
“เหตุใดจึงลงโทษตัวเอง…ไม่จบไม่สิ้น”
“เพราะมันเป็นเรื่องที่สมควร”
“แต่ตอนนั้นพระองค์มิได้ตั้งใจ”
ขณะที่กล่าวเช่นนั้น แพทริเซียก็ปล่อยให้น้ำตาไหลริน ลูซิโอจ้องมองคนให้อ้อมแขน เขามิบังอาจคิดจะเช็ดน้ำตาที่ไหลผ่านแก้มของนาง
แพทริเซียพูดต่อพลางสะอื้นเบาๆ “มันเป็นพระประสงค์ของอดีตจักรพรรดินีเพคะ หม่อมฉันอาจไม่รู้ว่าพระองค์มีความผิดอันใดหรือไม่ แต่…” แพทริเซียหลั่งน้ำตาออกมาอีกหยด “การถูกทารุณกรรมมิใช่ความผิดเพคะ”
“…อึก”
เล็บของลูซิโอครูดไปกับพื้น ขณะเดียวกันเขาก็ส่งเสียงในลำคอ ในสายตาของแพทริเซียดูราวกับว่าเขากำลังกลั้นน้ำตา ช่างน่าเวทนานัก นางร้องไห้ออกมา
“พระองค์ควรได้รับการปลอบโยน มิใช่ถูกประณาม”
“…อา”
“ไม่มีใครสามารถกล่าวโทษเด็กที่ต้องทำเช่นนั้นเพื่อเอาชีวิตรอดได้หรอกเพคะ”
แพทริเซียคิดเช่นนั้นจริงๆ ได้ยินดังนั้น ลูซิโอก็มองแพทริเซียด้วยดวงตาที่แดงก่ำราวกับเส้นเลือดจะแตกอยู่รอมร่อ เขาดูเหมือนคนที่อยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ได้ แพทริเซียยื่นมือออกไปสัมผัสใบหน้าของลูซิโอโดยไม่รู้ตัว แล้วน้ำตาของนางก็ไหลลงมาอีกครั้ง
“ซูบซีดนัก ทรงเป็น…เช่นนี้อยู่แล้วหรือเพคะ”
“ความห่วงใยนี้ของเจ้าช่างเกินตัวเรานัก”
“หม่อมฉันรู้เพคะ” แพทริเซียลูบไล้แก้มของลูซิโอพลางพึมพำ “มากเกินไปจริงๆ”
“เราจึงไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร”
“ไม่ยากเลยเพคะ เพียงแค่…มีความสุขกับความเกินตัวนั้นก็พอ” แพทริเซียเลิกสัมผัสแก้มของเขา นางจ้องมองอีกฝ่ายและพูดต่อ “เพราะนั่นคือผลลัพธ์ของการมิอาจแยกแยะความรักกับความสงสารของผู้หญิงโง่เขลาคนหนึ่ง”
“เจ้าหาได้โง่เขลา”
“หม่อมฉันโง่เขลาเพคะ ฝ่าบาท”
เพราะข้าเคยตั้งมั่นอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่รักท่านเด็ดขาด แพทริเซียหัวเราะเจื่อนๆ ความตั้งใจในอดีตกลับแตกกระจายไม่มีชิ้นดีเช่นนี้นับว่าข้าโง่เขลาอย่างแท้จริง
“ไม่มีใครฉลาดฉลาดปราดเปรื่องอย่างเจ้าอีกแล้ว อย่างน้อยก็สำหรับเรา”
“…”
อย่างน้อยสำหรับท่านก็คงไม่มีใครโง่เขลาและทึ่มทื่อเท่าข้าอีกแล้ว แพทริเซียพึมพำในใจ
“…ตอนนี้ดีขึ้นหรือยังเพคะ”
“อืม เรานี่ช่าง…น่ารังเกียจเสียจริง”
“…”
แพทริเซียหงุดหงิดในใจ นางไม่ชอบที่เขาทำร้ายตัวเอง ในตอนนั้นเองสายตาของนางก็กวาดไปเห็นบาดแผลที่เขาทำร้ายตัวเอง นางยกแขนที่มีบาดแผลนั้นขึ้นมาดูโดยไม่รู้ตัว รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายตกใจ
“แพ…”
ลูซิโอตระหนกตกใจ คิดจะปรามแพทริเซีย แต่เมื่อเห็นนางลูบแผลนั้นอย่างสงบนิ่ง เขาก็ยิ่งตกใจมากขึ้น
“คงเจ็บน่าดู” แพทริเซียพึมพำ
เจ็บสิ มากด้วย ลูซิโอกลืนความจริงลงไปและเลือกที่จะโกหก
“เราไม่เป็นไร”
“…เห็นอยู่ว่าเป็น” แพทริเซียพูดโดยไม่ละสายตาจากบาดแผล “ไยต้องโกหกล่ะเพคะ”
“เรา…” เขาหายใจหอบคล้ายเจ็บปวดพลางพูดต่อ “…ขอโทษ”
“เรื่องอันใดเพคะ”
“ทุกเรื่อง” เขาตอบด้วยแววตาเศร้าเสียใจ “เรารู้สึกผิดกับทุกความผิดที่เคยกระทำต่อเจ้า ทุกบาดแผลที่เคยมอบให้เจ้า กระทั่งการเอ่ยคำขอโทษ เราก็รู้สึกผิด”
“…”
ได้ยินดังนั้นแพทริเซียก็ค่อยๆ ลุกจากตัวเขา ในตอนนั้นลูซิโอรู้สึกเหมือนหัวใจหล่นวูบ เขาปรารถนาให้แพทริเซียอยู่ในอ้อมแขนของเขาไปชั่วชีวิต ปรารถนาจะโอบกอดแพทริเซียไว้ชั่วชีวิต เขาพึมพำถึงความปรารถนาไร้สาระในใจและจ้องมองแพทริเซีย แพทริเซียเองก็จ้องมองเขาอยู่เช่นกัน ครู่หนึ่งหญิงสาวก็เอ่ยถาม
“จูบ”
“…”
“ได้ไหมเพคะ”
“หา…”
ความตกใจปรากฏขึ้นในแววตาของลูซิโอ ขณะที่เขาจะเอ่ยปากตอบ แพทริเซียก็ประกบปากลงมาอย่างไม่ลังเล ร่างบางยึดไหล่หนาไว้แน่นและหลับตามอบจูบให้เขา รสชาติแรกของจูบที่ควรจะหวานล้ำกลับเค็มอย่างน่าเศร้า
“อะ…”
ลูซิโอถูกจูบอย่างกะทันหันจึงอุทานอย่างสับสน เขามองแพทริเซียที่กำลังจูบตนก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงอย่างสงบและจูบตอบอย่างเต็มใจด้วยสีหน้าโศกเศร้าระคนซาบซึ้ง ลูซิโอขบริมฝีปากบนของแพทริเซียเบาๆ แล้วกลืนกินทั้งริมฝีปากราวกับกัดผลแอปเปิ้ล เรียวลิ้นลากผ่านฟันที่เรียงซี่สวยอย่างนุ่มนวล…ขณะเดียวกันก็ปล่อยให้น้ำตาไหลรินเงียบๆ
“อะไรนะ”
ลูซิโอผุดลุกขึ้นทั้งสีหน้าซีดเผือด หัวหน้านางกำนัลต้องปลอบให้เขาเย็นลง
“ฝ่าบาท เย็นพระทัยลงก่อนเพคะ”
“เรื่องนั้นเป็นความจริงหรือ”
“เพคะ” หัวหน้านางกำนัลตอบอย่างสุขุม “หมอหลวงแจ้งว่าพระอาการไม่หนักหนาเพคะ”
“…”
ได้ยินดังนั้นลูซิโอจึงทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างหมดแรง หัวหน้านางกำนัลค้อมศีรษะและถอยกายออกไปเงียบๆ จากนั้นลูซิโอก็กุมศีรษะด้วยมือที่สั่นเทา
“…บ้าเอ๊ย”
แย่ที่สุด
แย่ที่สุด
“อา…”
แพทริเซียส่งเสียงครวญพลางขยุ้มผ้าห่มแน่น แย่ที่สุดเลยจริงๆ
‘พรุ่งนี้คงดีขึ้นกระมัง…’
มิเช่นนั้นงานที่ต้องสะสางคงมีเป็นกองพะเนิน นั่นเป็นเรื่องที่ยุ่งยากที่สุดแล้ว…
‘คอแห้งจัง’
แพทริเซียค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้น นางตั้งใจจะลุกขึ้นนั่งแต่ร่างกายกลับไร้เรี่ยวแรงผิดปกติจึงล้มลงไปนอนอยู่อย่างนั้น และด้วยเหตุนั้นหญิงสาวจึงได้แต่ครางฮืออยู่ในลำคอ
“อา…!”
หงุดหงิดชะมัด
นางกำผ้าห่มแน่นราวกับจะใช้เป็นที่ยึดแต่ก็ไม่มีประโยชน์ กลายเป็นนางสิ้นเปลืองแรงไปเปล่าๆ
‘ต้องเรียกมีร์ยา…’
ปัญหาคือตอนนี้นางไม่มีเสียง หมอหลวงเพิ่งกลับไปเมื่อครู่ ยาก็ยินแล้ว นางเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ แพทริเซียดิ้นขลุกขลักและพยายามทำแบบเดิมอีกครั้ง
“แฮ่ก…”
ขณะที่สติเลือนรางเต็มที ใครคนหนึ่งก็เปิดประตูเข้ามา
‘ใครกัน…’
“ใคร…”
ยังไม่ทันได้ฟังคำตอบ เปลือกตาของนางก็ปิดลงเสียก่อน
‘เย็น’
แพทริเซียค่อยๆ ลืมตาขึ้น มีใครบางคนนั่งอยู่ข้างๆ นางยื่นมือออกไปจับชายเสื้อของคนผู้นั้นอย่างงุ่มง่าม
“…มีร์ยาหรือ”
“…”
ไม่มีคำตอบ แพทริเซียกะพริบตาเพื่อปรับสายตา และภาพที่นางเห็นหลังจากนั้นคือ…
“ฝ่า…”
“ตื่นแล้วหรือ”
ใบหน้าของเขาดูซีดเซียว แพทริเซียกะพริบตาปริบๆ อีกครั้ง
“เหตุใดพระองค์…”
“ได้ยินว่าเจ้าป่วย”
“…”
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับท่าน แพทริเซียอยากจะพูดออกไปเช่นนั้นแต่โชคร้ายที่นางไม่มีแรงเหลือพอให้ทำแบบนั้น นางร้องโอดโอยในลำคอพลางกล่าว
“…เสด็จกลับเถอะเพคะ”
“คิดแล้วว่าเจ้าต้องพูดแบบนี้”
“…”
ทันใดนั้นแพทริเซียก็ชะงักไปและจ้องมองอีกฝ่าย ในห้องค่อนข้างมืดนางจึงเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดนักแต่เท่านั้นก็เพียงพอที่จะรู้ได้ว่าเขาดูซูบซีดไปมาก ผู้ชายคนนี้ผอมแห้งแบบนี้อยู่แล้วหรือ?
“แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นเจ้าตื่นขึ้นมาแล้ว…เราเป็นห่วงน่ะ”
“ทำไม…”
“เพราะบางทีเจ้าอาจจะป่วยเพราะเรา”
“…”
จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร แพทริเซียกัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว นี่เขาโง่หรือเซ่อกันแน่ แพทริเซียพูดเสียงเบาราวกับกระซิบ
“เป็นไปไม่ได้หรอกเพคะ”
“ใช่แล้ว อาจเป็นอย่างที่เจ้าว่า”
“ดีแล้วเพคะที่ฝ่าบาทไม่เป็นอะไร”
“นี่เจ้า…” เขาถามเสียงสั่น “เป็นห่วงเราหรือ”
“…”
แพทริเซียหลับตาลงโดยไม่พูดอะไร ในขณะที่ลูซิโอมีสีหน้าราวกับซาบซึ้งเสียเหลือเกิน เขากล่าวเสริมเสียงสั่นเครือ
“…ขอบใจนะ”
ไร้สาระ แพทริเซียเดาะลิ้นในใจ แต่เสียงที่ออกมากลับเป็นเสียงไอ
“แค่กแค่ก!”
“อ๊ะ…!”
เห็นดังนั้นลูซิโอก็ตะลีตะลานทำตัวไม่ถูก เขาดูไม่เป็นตัวเอง แพทริเซียขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางกล่าว
“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ”
“เรียกหมอหลวงดีหรือไม่”
“ไม่เป็นไรเพคะ” แพทริเซียย้ำอีกครั้ง “หม่อมฉันไม่เป็นไรจริงๆ ยาก็กินไปแล้ว”
“…”
ได้ยินดังนั้นลูซิโอก็จ้องมองมาด้วยสีหน้าสลด แพทริเซียมองเขาอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ยถามอย่างไร้เรี่ยวแรง
“เสด็จมาด้วยเหตุใดหรือเพคะ”
“เมื่อครู่เราบอกไปแล้วมิใช่หรือ” เขาลูบผมที่แผ่กระจายของนางเงียบๆ พลางกระซิบ “ได้ยินว่าเจ้าป่วยจึงรีบมาหาเพราะเป็นห่วง”
“…จงใจมาหรือเพคะ”
“อาจเป็นเช่นนั้น เราอาจต้องการซื้อใจเจ้าก็เป็นได้ เรา…ดูเป็นคนชอบฉวยโอกาสใช่หรือไม่” ลูซิโอพึมพำด้วยสีหน้าขมขื่น ก่อนทอดสายตามองมาที่นาง “เจ้าจะตำหนิเรา…ก็ไม่เป็นไร”
“…”
“เจ้าจะพูดอะไรก็ได้ แต่ช่วยหายไวๆ เถอะนะ เราขอร้อง”
“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ”
ขณะที่พูดประโยคนั้นแพทริเซียก็ยังคงไอเบาๆ ครู่หนึ่งหลังจากนั้นนางก็กล่าวย้ำอีกครั้งด้วยสีหน้ากระดากอาย
“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ”
“โกหกให้น้อยหน่อยเถิด ตอนนี้เจ้าดูไม่ดีเลย” เขาถอนหายใจสั้นๆ และพูดต่อ “ดูเหมือนเรามาอยู่ที่นี่จะเป็นการรบกวนการพักผ่อนของเจ้า หากเจ้าอึดอัด เราจะออกไป”
“…”
“หากเจ้าไม่ต้องการ เราก็จะไม่มาอีก เพราะฉะนั้น…พักผ่อนให้เต็มที่นะ”
ที่สุดแล้วแพทริเซียก็ไม่พูดอะไร ลูซิโอจากไปราวกับว่าชินกับสถานการณ์เช่นนี้แล้ว เมื่อประตูปิดลงในห้องก็เหลือแค่แพทริเซียคนเดียว หญิงสาวอุทานเบาๆ ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้
“อ๊ะ…”
เสื้อ…นางต้องคืนเสื้อ แพทริเซียลุกขึ้นเพื่อบอกสิ่งที่ไม่ได้บอกแต่ร่างกายที่หนักอึ้งทำให้การลุกขึ้นไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ยังไม่ทันได้ลุกไปไหนนางก็หอบหายใจเสียแล้ว
“แฮ่ก…บ้าจริง”
แพทริเซียได้แต่นั่งขยุ้มผ้าห่มด้วยสีหน้าฉุนเฉียว ในตอนนั้นเองมีร์ยาก็เข้ามา ครั้นเห็นสภาพทุลักทุเลของแพทริเซีย นางก็ตกใจรีบวิ่งเข้ามาหา
“พระเจ้าช่วย ฝ่าบาท!”
“อา…”
มีร์ยาพยุงแพทริเซียขึ้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นทุกข์
“เหตุใดไม่เรียกหาหม่อมฉันเล่า… ขอประทานอภัยเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันควรจัดข้ารับใช้ไว้ข้างกายด้วยแท้ๆ แต่เพราะเกรงว่าจะรบกวนการพักผ่อนของพระองค์ หม่อมฉันจึง…”
“ไม่เป็นไร ก่อนอื่นขอน้ำสักแก้วเถอะ”
“เพคะ ฝ่าบาท”
ทันใดนั้นนางกำนัลระดับกลางคนหนึ่งก็เข้ามาพร้อมกับแก้วน้ำอุ่น แพทริเซียดื่มไปได้ครึ่งหนึ่งก็เอ่ยถามมีร์ยา
“จักรพรรดิเสด็จมาที่นี่ เจ้ารู้เรื่องนั้นหรือไม่”
“เอ่อ…”
ได้ยินดังนั้นสีหน้าของมีร์ยาก็แสดงความตกใจเล็กน้อย
“ขอประทานอภัยเพคะ ฝ่าบาท หากทำให้พระองค์ขุ่นเคืองพระทัย…”
“…”
“องค์จักรพรรดิประทับอยู่นานทีเดียวเพคะ”
“นานแค่ไหน”
“ราวๆ สามชั่วโมงเพคะ”
“…”
มีน้ำอดน้ำทนยิ่ง แพทริเซียยิ้มเยาะ แต่มีร์ยากลับคิดว่ารอยยิ้มนั้นไม่ได้มีเพียงความเย็นชาเท่านั้น
“คอยดูแลเอาใจใส่อย่างสุดความสามารถเลยเพคะ”
“เจ้าพูดเช่นนี้ด้วยจุดประสงค์อันใด”
“หม่อมฉันเพียงแต่กราบทูลความจริงเท่านั้นเพคะ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น”
มีร์ยาว่าพลางแสร้งทำเป็นสงวนท่าที แต่แพทริเซียรู้ดีกว่าใครว่าเบื้องหลังนั้นอีกฝ่ายพยายามจะแก้ไขความสัมพันธ์ของนางกับลูซิโอให้ดีขึ้น แพทริเซียถอนหายใจพลางกล่าว
“ฝ่าบาทคงลำบากมากทีเดียว”
ที่ต้องคอยดูแลคนที่หลับเป็นตาย ได้ยินดังนั้นมีร์ยาก็พูดเสริม
“แต่ดูเหมือนองค์จักรพรรดิจะไม่ค่อยสบายพระทัยเพคะ ทั้งหมอหลวงทั้งหม่อมฉันต่างก็ช่วยกันกราบทูลไปแล้วว่าไม่หนักหนาแท้ๆ”
“…”
เป็นแผลใจกระมัง แพทริเซียพึมพำในใจ เพราะผู้ชายคนนั้นเปราะบางกับเรื่องแบบนี้เป็นพิเศษ แพทริเซียถอนหายใจพลางถาม
“ฝ่าบาทเสด็จกลับไปแล้วหรือ”
“ฟังว่าเพิ่งเสด็จกลับถึงตำหนักกลางเมื่อครู่เพคะ”
“อย่างนั้นหรือ”
แพทริเซียตอบกลับอย่างเรียบเฉย มีร์ยาเห็นดังนั้นก็ถือโอกาสเปลี่ยนเรื่อง
“พระอาการเป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
“ไม่รู้สิ” แพทริเซียตอบอย่างไม่ใส่ใจ “คิดว่าไม่ดีนัก ไม่รู้พรุ่งนี้จะดีขึ้นหรือไม่”
“ทรงอย่าใจร้อนสิเพคะ ยิ่งรีบร้อนยิ่งหายช้านะเพคะ”
“อาจเป็นเช่นนั้น”
แพทริเซียออกคำสั่งกับมีร์ยาด้วยสีหน้าที่ดูป่วยอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าอยากนอนต่ออีกหน่อย ถ้าเป็นไปได้ อย่าปลุกจนกว่าจะถึงตอนเย็นนะ”
แพทริเซียลืมตาขึ้นมาอีกครั้งราวๆ สามทุ่ม นางคิดว่าตัวเองนอนไปนานมาก ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่นางไม่ได้นอนนานๆ โดยไม่มีใครมาปลุกเช่นนี้ แพทริเซียคิดดังนั้นพลางเรียกหามีร์ยา แม้เสียงเรียกจะเบาเพียงใด มีร์ยาก็รีบวิ่งมาในทันที
“ฝ่าบาท ยังไออยู่หรือไม่เพคะ”
“อืม…”
แพทริเซียส่งเสียงเบาๆ และขอน้ำจากมีร์ยา จากนั้นนางก็ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ดูเหมือนอาการจะทุเลาลงแล้ว แพทริเซียจึงดูกระชุ่มกระชวยขึ้นเล็กน้อย มีร์ยาเห็นดังนั้นก็เอ่ยถาม
“ดีขึ้นแล้วหรือเพคะ”
“คิดว่าดีกว่าเมื่อครู่มากทีเดียว”
คำตอบรับในทางที่ดีทำให้สีหน้าของมีร์ยาดูสดใสขึ้น
“สองชั่วโมงก่อนตำหนักกลางเพิ่งติดต่อมาถามอาการของพระองค์พอดีเลยเพคะ”
“ขยันขันแข็งนัก”
“ให้ตอบกลับไปหรือไม่เพคะ”
“…แล้วแต่เจ้า”
แพทริเซียตอบอย่างไม่ใส่ใจและลุกขึ้นในทันใด มีร์ยาเห็นดังนั้นก็เอ่ยถามอย่างสงสัย
“พระวรกายยังไม่แข็งแรงเช่นนี้จะเสด็จไปที่ใดหรือเพคะ”
“เจ้าพูดถูก แต่ข้านอนนานเกินไปแล้ว ให้ผู้ป่วยพักผ่อนมากเกินไปก็ไม่ดีนะ”
ถึงกระนั้นน้ำเสียงของนางก็ยังฟังดูป่วยเล็กน้อย มีร์ยาเป็นกังวลอย่างมากแต่ดูเหมือนผู้เป็นเจ้านายจะตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว แพทริเซียจัดเสื้อคลุมให้เข้าที่เข้าทางพลางเอ่ย
“ข้าจะไปเดินเล่นสักสิบนาที ไม่คิดจะอยู่นานหรอก”
“เพคะ ฝ่าบาท เพียงเท่านั้น…น่าจะไม่เป็นไรเพคะ”
มีร์ยาตอบสั้นๆ และหยิบเสื้อคลุมของตัวเองแต่แพทริเซียก็พูดขึ้น
“ข้าไปคนเดียวได้ ไม่ต้องลำบาก”
“หากปล่อยพระองค์ไปคนเดียว หม่อมฉันอาจถูกพระจักรพรรดิตำหนิเอาได้ ดังนั้นไม่ได้เด็ดขาดเพคะ” มีร์ยาพูดเสริมด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ตั้งแต่พระองค์ถูกลอบทำร้ายเมื่อคราวก่อน พระจักรพรรดิทรงให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของพระองค์มากเพียงใด พระองค์ไม่รู้หรือ ทั้งอัศวินราชองครักษ์และนางกำนัลก็ต้องทำดุจเดียวกันเพคะ”
“วุ่นวายนัก”
แพทริเซียส่ายหน้าอย่างขยาด แต่คราวนี้มีร์ยาถึงกับยื่นคำขาด
“อย่างไรก็ไม่ได้เพคะ ฝ่าบาท หากไม่พอพระทัย พระองค์คงมีแต่ต้องล้มเลิกความคิดที่จะออกไปข้างนอกเท่านั้น”
“ตอนนี้ในวังไม่มีใครคิดจะทำร้ายข้าแล้วมิใช่หรือ”
แพทริเซียหัวเราะเยาะตัวเอง แต่มีร์ยามิได้รู้สึกขบขันไปด้วย
“เรื่องไม่คาดฝันย่อมเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เอาเป็นว่า…นี่เป็นพระบัญชาของฝ่าบาทเพคะ” มีร์ยากล่าว
“เข้าใจแล้ว พูดถึงขนาดนั้นข้าก็ต้องยอมสินะ”
แพทริเซียถอนหายใจพลางพยักหน้า เห็นดังนั้นสีหน้าของมีร์ยาก็พลันสดใสขึ้น นางหยิบเสื้อคลุมหนาๆ มาคลุมทับให้แพทริเซียอีกชั้น
“หากประชวรหนักกว่าเดิมคงย่ำแย่ที่สุดแล้วเพคะ”
“นั่นสินะ”
แพทริเซียเชื่อฟังคำของมีร์ยาเป็นอย่างดี นางออกจากตำหนักพร้อมกับองครักษ์จำนวนหนึ่งและนางกำนัลอีกห้าหกคน ด้านนอกเป็นเวลาค่ำแล้วอากาศจึงเย็นกว่าที่คิด แต่โชคดีที่นางสวมเสื้อคลุมมาหลายชั้นจึงไม่รู้สึกหนาว
“ไปตำหนักกลางกันเถอะ” นางพูด
คำพูดที่ไม่คาดคิดทำให้มีร์ยาถามกลับด้วยน้ำเสียงประหลาดใจเล็กน้อย
“จะเสด็จไปจริงๆ หรือเพคะ ฝ่าบาท”
“ไยทำเหมือนข้าชวนไปที่ที่ไปไม่ได้”
“มิได้เพคะ เพียงแต่…พูดถึงองค์จักรพรรดิทีไรพระองค์ก็ทำสีพระพักตร์เข็ดขยาดถึงเพียงนั้น”
“ระวังคำพูดด้วย”
แน่นอนว่าที่มีร์ยาพูดเป็นเรื่องจริง มีร์ยาหาใช่คนพูดจาส่งเดชไร้ความสง่างาม ดูเหมือนนางจะคาดไม่ถึงจริงๆ แพทริเซียพึมพำในใจ
“ข้าต้องนำเสื้อคลุมไปคืนฝ่าบาท เอาแต่คิดว่าจะคืนแต่ก็ไม่ได้คืนสักที”
“…”
ได้ยินดังนั้นมีร์ยาก็ทำสีหน้าประหลาด เรื่องนั้น…ต้องทำตอนที่ประชวรเช่นนี้ด้วยหรือเพคะ? แต่มีร์ยาก็ได้แต่ถามในใจ และพูดออกไปเพียงว่า
“หม่อมฉันจะนำทางให้เพคะ”
บางทีแพทริเซียอาจจะกำลังสับสนระหว่างความตั้งใจในอดีตและใจจริงของตนในปัจจุบัน
“ถึงกระนั้นเจ้าก็ยังกินจนหมดเลยนะ ฝ่าบาท”
ได้ยินราฟาเอลาพูดดังนั้นแพทริเซียก็หน้าแดง มีร์ยาส่งสายตาปรามอยู่ข้างๆ แต่ดูเหมือนว่าราฟาเอลาไม่คิดที่จะถอย
“นับถือหัวใจของจักรพรรดิจริงๆ ตั้งแต่เกิดมาไม่น่าจะเคยทำอะไรแบบนี้แท้ๆ”
“แต่ก็ทำให้คนอื่นร้องไห้เป็นสายเลือดแทนมิใช่รึ”
คำพูดแสนเย็นชาของแพทริเซียทำให้ราฟาเอลาหุบปากฉับ แพทริเซียเดินเนิบช้าต่อไปเงียบๆ ด้วยสีหน้ายากจะคาดเดาความคิด นางออกมาเดินเล่นเพราะอาหารไม่ย่อย แต่อากาศค่อนข้างเย็นเช่นนี้ช่างไม่เหมาะกับการเดินเล่นเอาเสียเลย มีร์ยาสังเกตเห็นดังนั้นก็เอ่ยถาม
“ฝ่าบาท เสด็จกลับดีกว่าไหมเพคะ”
“…ข้าไม่เป็นไร”
“หากประชวรขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่าเพคะ รีบเสด็จกลับเถอะเพคะ”
ครั้นมีร์ยาเร่งเร้า แพทริเซียจึงเดินกลับไปทางตำหนักของตัวเองอย่างเสียไม่ได้ ตอนนั้นเองนางก็เห็นคนผู้หนึ่ง แพทริเซียตัวแข็งทื่อโดยไม่รู้ตัวตรงข้ามกับ ‘คนผู้นั้น’ ที่แสดงความปีติยินดีอย่างมากเมื่อได้พบนาง
“จักรพรรดินี”
ลูซิโอยิ้มกว้างพลางเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาหาในขณะที่แพทริเซียค่อยๆ ก้าวถอยหลังอย่างลังเล อะไรกัน จู่ๆ ก็… แพทริเซียยิ้มแหยและทำความเคารพลูซิโอที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาทางนี้
“ถวายบังคม…ฝ่าบาทผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิ”
“พิธีรีตองนั้นช่างเถิด เจ้าออกมาเดินเล่นหรือ”
“เพคะ แต่ตอนนี้หม่อมฉันกำลังจะกลับแล้ว”
“อ้อ…”
เพียงคำพูดเดียวก็เปลี่ยนสีหน้าของเขาให้กลายเป็นลูกสุนัขหงอยเหงา สีหน้าที่เปลี่ยนไปในชั่วพริบตานั้นทำให้ราฟาเอลาอดหัวเราะเบาๆ ออกมาไม่ได้ เห็นดังนั้นมีร์ยาก็สะดุ้งเฮือกและถองสีข้างราฟาเอลา ในขณะที่แพทริเซียทำสีหน้าประหลาดขณะกล่าวกับลูซิโอ
“เช่นนั้นหม่อมฉันทูลลา…”
“เอ่อ…” ลูซิโอเอ่ยรั้งแพทริเซียที่ทำท่าจะหันหลังกลับ “หากเจ้าไม่มีกิจธุระอันใด…ไปเดินเล่นด้วยกันสักครู่ได้หรือไม่”
“…”
ระหว่างที่แพทริเซียกำลังลังเล มีร์ยากับราฟาเอลาก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“ฝ่าบาท ท่านพ่อคงกำลังเป็นห่วงหม่อมฉัน เช่นนั้น…หม่อมฉันกลับก่อนนะเพคะ”
“อยู่กับองค์จักรพรรดิก่อนแล้วค่อยเสด็จกลับก็ได้เพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันจะจัดที่บรรทมเอาไว้ให้”
“นี่ เดี๋ยวสิ…”
ก่อนที่แพทริเซียจะได้พูดอะไรสองคนนั้นก็รีบปลีกตัวออกไปก่อนราวกับนัดกันไว้ แพทริเซียมองจุดที่สองคนเคยยืนอยู่ด้วยสายตาว่างเปล่า ในตอนนั้นเองน้ำเสียงนุ่มทุ้มอันเป็นเอกลักษณ์ของลูซิโอก็ดังขึ้น
“เราทำให้อึดอัดหรือ”
“…”
แพทริเซียไม่พูดอะไร ลูซิโอคิดว่าการที่อีกฝ่ายไม่พูดอะไรอาจจะดีกว่าก็เป็นได้ แพทริเซียกัดริมฝีปากเบาๆ ด้วยไม่รู้จะตอบคำถามของเขาอย่างไร ลูซิโอเห็นดังนั้นก็ยื่นมือไปแตะริมฝีปากบางโดยไม่รู้ตัวพลางพึมพำเบาๆ
“เราหวังว่าเจ้าจะไม่ทำร้ายตัวเองเช่นนี้”
“เอ่อ…”
แพทริเซียมองลูซิโอด้วยความตกใจเล็กน้อย ทำไมต้องแกล้งทำเป็นอ่อนโยนไม่เข้าเรื่อง… แพทริเซียค่อยๆ ดึงมือของลูซิโอออกพลางกล่าว
“ฝ่าบาทมีเรื่องอันใดจะกล่าวกับหม่อมฉันหรือเพคะ”
“…บราวนี” เขาเอ่ยถามอย่างแผ่วเบา “อร่อยหรือไม่”
“…”
เขาคงไม่ถามเช่นนี้หากไม่ได้รู้อยู่แล้วว่านางกินมันเข้าไป ท่าทางมีร์ยาจะส่งข่าวไปบอกล่ะสิ แพทริเซียถอนหายใจในใจก่อนจะพูดออกไปตามตรง
“แม้จะเป็นมือสมัครเล่นแต่ก็ทำได้ไม่เลวเพคะ”
“โล่งอกไปที”
“ที่จู่ๆ พระองค์ทรงทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน…หม่อมฉันควรเข้าใจว่าอย่างไรเพคะ”
“เราไม่ได้บอกไปแล้วหรือ”
เขาผินหน้ามาเล็กน้อยเพื่อมองแพทริเซีย ในขณะที่แพทริเซียกลับหลบตาและเอาแต่มองไปข้างหน้า ทว่า ลูซิโอก็ยังคงมองอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้นราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจว่านางจะมองกลับหรือไม่และพูดต่อ
“เราจะพยายาม”
“ด้วยบราวนีเพียงอย่างเดียวน่ะหรือเพคะ”
แพทริเซียหัวเราะอย่างเย็นชาแต่ลูซิโอก็พูดต่อไปอย่างไม่ใส่ใจ
“นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เราไม่เคยคิดแม้แต่น้อยว่าจะสามารถเอาชนะใจเจ้าได้ในครั้งเดียว”
“ไม่เคยคิดว่าจะเอาชนะใจได้ในครั้งเดียวหรือเพคะ” แพทริเซียแค่นหัวเราะ “รับสั่งราวกับว่าจะทำไปชั่วชีวิตเลยนะเพคะ”
“หากเจ้าต้องการ”
“…”
“เราก็คิดจะทำเช่นนั้น”
คำพูดนั้นทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าของแพทริเซียเล็กน้อย ทว่า ลูซิโอกลับไม่ทันได้สังเกตเห็น เดิมทีบุรุษที่กำลังตกอยู่ในห้วงของความรักก็มักจะทึ่มทื่อกว่าปกติอยู่แล้ว
“ช่างเป็นคำพูดที่เลื่อนลอยยิ่ง องค์สุริยันแห่งจักรวรรดิ”
“เราคิดว่าหากต้องการไถ่โทษที่ได้ทำไว้กับเจ้า เรื่องเพียงเท่านี้เราควรจะทำ” จากนั้นเขาก็เอ่ยถามอย่างขมขื่น “หากยังไม่พอ เราก็จะพยายามให้มากขึ้น”
“หม่อมฉันรู้สึกว่ามันกะทันหันเกินไปเพคะ” แพทริเซียกล่าวเสียงสั่น “การที่จู่ๆ ฝ่าบาทมาบอกว่ารักหม่อมฉัน มันเป็นให้ความรู้สึกเหมือนเป็นการหยอกล้อ”
“มิใช่จู่ๆ หรอก” ลูซิโอพูดอย่างสงบนิ่ง “เราบอกรักเจ้าเมื่อนานมาแล้ว เพียงแต่เจ้า…ไม่คิดจะรับฟังเท่านั้น”
“…”
“เรามิได้จะกล่าวโทษเจ้า เพียงแต่มันเป็นเช่นนั้นจริง…แน่นอนว่าตอนนั้นเจ้าคงยอมรับได้ยาก”
“ตอนนี้ก็ด้วยเพคะ”
“นั่นสินะ” เขาไม่ได้เอ่ยแย้งและพูดต่อ “ด้วยเหตุนั้นเราถึงได้บอกว่าเราจะพยายาม”
พูดจบ เขาก็ถอดเสื้อคลุมที่สวมอยู่และนำไปคลุมให้แพทริเซีย แพทริเซียยืนนิ่งเหมือนหุ่นจำลองขณะที่ลูซิโอเข้ามายืนซ้อนหลังพลางกระซิบเสียงค่อย
“ดูเหมือนเจ้าจะหนาว”
“…”
“หากเราวุ่นวายมากเกินไปต้องขออภัยด้วย”
“หากพระองค์ประชวรเพราะหม่อมฉัน” แพทริเซียมองลูซิโอตรงๆ เป็นครั้งแรกพลางกล่าว “ถึงตอนนั้นพระองค์จะเกลียดหม่อมฉันไหมเพคะ”
“เกลียดหรือ” เขาทวนคำเงียบๆ “แค่เอาเวลาที่เหลือในชีวิตมาเทิดทูนเจ้าก็จะไม่พออยู่แล้ว”
“…”
“แล้วเราจะเกลียดเจ้าได้อย่างไร”
ลูซิโอกระชับคอเสื้อให้แพทริเซียพลางพูดเสียงเบาราวกับกระซิบ
“คนที่เกลียดคือเจ้าต่างหาง เรามิบังอาจทำเช่นนั้น”
“…”
“สำหรับเรา ขอเพียงเจ้าแข็งแรงไม่เจ็บไม่ป่วย นั่นก็ถือเป็นพรจากพระเจ้าแล้ว”
พูดจบเขาก็ยิ้มบางๆ ในขณะที่แพทริเซียมองลูซิโอตาใส ผู้ชายคนนี้ชอบทำให้ข้าสับสนอยู่เรื่อย ตั้งแต่พบกันครั้งแรกจนถึงตอนนี้ แพทริเซียพึมพำในใจ เพราะแบบนั้นเขาถึงได้น่าหงุดหงิด ขัดหูขัดตา และน่า…เป็นห่วงยิ่งกว่าเดิม
“ดีขึ้นหรือไม่ เมื่อครู่เราเห็นว่าชุดเดรสของเจ้าบางมาก”
“ดีขึ้นแล้วเพคะ”
“เอ่อ…เรื่องงานวันเกิด” ลูซิโออ้ำอึ้งก่อนจะพูดขึ้น “เจ้าอยากได้สิ่งใดหรือไม่”
“คราวก่อนหม่อมฉันได้กราบทูลไปแล้วว่าทรัพย์สมบัติไม่มีความหมายสำหรับหม่อมฉันเพคะ”
“ไม่ๆ ไม่ใช่ของแบบนั้น ไม่ต้องเป็นทรัพย์สินเงินทองก็ได้ นอกจากเรื่องขอออกจากวัง…ไม่ว่าเจ้าต้องการสิ่งใด เราจะทำให้ทั้งหมด”
“ตอนนี้หม่อมฉันยังไม่ต้องการสิ่งใดเพคะ” แพทริเซียตอบเสียงห้วน “สักวันหม่อมฉันอาจต้องการบางสิ่ง แต่ตอนนี้หม่อมฉันยังไม่รู้เพคะ”
“อืม…”
ได้ยินดังนั้นลูซิโอก็ทำสีหน้าครุ่นคิด ตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่นะ คิดจะทำอะไรที่ข้าไม่รู้อีกหรือเปล่า แพทริเซียนึกสงสัยขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้ถามออกไป
“เช่นนั้น…” แพทริเซียเงยหน้ามองลูซิโอ เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้ามีดอกไม้ที่ชอบหรือไม่”
“…กุหลาบเพคะ”
นางชอบกุหลาบ ตลกร้ายยิ่งนักที่ชื่อของอนุภรรยาของสามีนางก็คือโรสมอนด์ แพทริเซียยิ้มขื่นพลางกล่าวย้ำอีกครั้ง
“หม่อมฉันชอบดอกกุหลาบ”
“อืม ขอบคุณนะที่บอกเรา”
“นี่พระองค์คงไม่ได้คิดที่จะ…” แพทริเซียถามลองใจ “ทำอะไรเชยๆ อย่างเตรียมดอกกุหลาบหนึ่งร้อยดอกใช่ไหมเพคะ”
“…ไม่หรอก”
ดูเหมือนจะใช่ แพทริเซียยิ้มน้อยๆ เป็นครั้งแรก ลูซิโอเห็นดังนั้นก็ปฏิเสธอย่างเย่อหยิ่ง
“ไม่ใช่เด็ดขาด”
“ทราบแล้วเพคะ”
แพทริเซียตอบรับอย่างนุ่มนวลราวกับปลอบเด็กเล็ก เห็นปฏิกิริยาเช่นนั้นลูซิโอก็ถอนหายใจสั้นๆ
“ไม่ง่ายเลย ความจริงแล้วเราไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน”
“…”
แพทริเซียคิดจะบอกให้อีกฝ่ายล้มเลิกความตั้งใจ แต่นางก็หยุดความคิดนั้นไว้ การพูดแบบนั้นคงจะโหดร้ายเกินไปสำหรับทั้งนางและเขา แต่ความคิดเช่นนั้นก็โผล่ขึ้นมาในหัวอย่างต่อเนื่องทำให้แพทริเซียรู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาด นางจึงต้องรีบจบบทสนทนาให้เร็วที่สุด
“เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวเพคะ”
“เราจะไปส่ง”
“หม่อมฉันไปเองได้เพคะ”
“เรื่องแค่นี้เจ้าอย่าดื้อดึงนักเลย หากเจ้าไม่อยากอยู่กับเรา…เราจะเรียกองครักษ์มาให้”
“…”
“เรื่องความปลอดภัยเรายอมไม่ได้”
แพทริเซียถอนหายใจสั้นๆ ผู้ชายคนนี้หัวแข็งกับเรื่องแบบนี้จนเกินเหตุ หลังจากนั้นลูซิโอก็เดินไปส่งแพทริเซียถึงตำหนักจักรพรรดินีโดยไม่พูดอะไรแม้ครึ่งคำ ที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะเขานึกถึงความรู้สึกของแพทริเซีย แต่นั่นกลับทำให้แพทริเซียอึดอัด เมื่อถึงตำหนักจักรพรรดินี แพทริเซียก็กล่าวลา
“หม่อมฉันทูลลา…”
นางว่าพลางถอดเสื้อคืนให้ แต่เขาก็เอ่ยห้าม
“เข้าไปแล้วค่อยถอด ถ้าเป็นหวัดจะทำอย่างไร”
“แต่…”
“ทำตามที่บอกเถอะ”
ไม่รู้ด้วยเหตุใด แต่น้ำเสียงนุ่มนวลแต่ทรงพลังนั้นกลับมีอิทธิพลต่อนางอย่างประหลาด แพทริเซียพยักหน้านิ่งๆ ลูซิโอเป็นฝ่ายหันหลังเดินจากไปก่อน แพทริเซียยืนมองเบื้องหลังของอีกฝ่ายเงียบๆ ทันใดนั้นนางก็หันหลังกลับราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อเรื่องเป็นแบบนี้ปกติแล้วก็มักจะมีคนใดคนหนึ่งเป็นหวัด โดยส่วนมากลูซิโอซึ่งเป็นคนถอดเสื้อให้แพทริเซียควรจะต้องเป็นหวัดและป่วยกระเสาะกระแสะ ทว่า…
“อา ทำไมข้าถึง…”
“ฝ่าบาท พระอาการเป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
น่าแปลกที่คนที่เป็นหวัดกลับเป็นแพทริเซียและนางก็รู้สึกว่ามันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย นางเป็นฝ่ายรับเสื้อมาแต่กลับเป็นหวัดเสียนี่ แพทริเซียถามอย่างอ่อนเพลีย
“ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทมีพระอาการประชวรบ้างหรือไม่”
“เพคะ?” จู่ๆ ก็ถูกถามเช่นนี้ มีร์ยาจึงมีสีหน้าสงสัย นางเอียงคอตอบ “ไม่นะเพคะ…ไม่น่ามีเรื่องแบบนั้น”
เช่นนั้นก็หมายความว่าไม่ได้ติดมาจากการสวมเสื้อของเขา แต่ทำไม…! แพทริเซียหลับตาแน่น โชคร้ายจริงๆ นางถอนหายใจอย่างยากลำบากก่อนจะเอ่ยถาม
“แล้วฝ่าบาทล่ะ”
“เพคะ?”
ได้ยินอีกหนึ่งคำถามที่ไม่คาดคิด มีร์ยาก็เอียงคออีกครั้ง แต่ดูเหมือนคราวนี้นางจะไม่รู้จริงๆ จึงไม่ได้ตอบอะไร แพทริเซียจึงถามย้ำเสียงแผ่ว
“ข้าถามว่า…ฝ่าบาทสบายดีหรือไม่”
ตัวนางยังป่วยขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเขาจะปกติดีหรือไม่ ตอนนั้นเองมีร์ยาถึงได้เข้าใจความคิดของแพทริเซีย
“อ้อ พระวรกายขององค์จักรพรรดิปกติเพคะ” มีร์ยาตอบ
“อย่างนั้นหรือ”
คำตอบนั้นทำให้แพทริเซียรู้สึกแย่ ตากลมอยู่ด้วยกันแท้ๆ เหตุใดถึงมีแต่ข้าที่… แพทริเซียหลับตาลงด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า นางรู้สึกว่าทำอะไรก็เหนื่อยไปหมด
“วันนี้ทรงพักผ่อนเถิดเพคะ ไม่มีเรื่องด่วนอันใดด้วย” มีร์ยากล่าว
“…คงต้องเป็นเช่นนั้น บอกนีย่าด้วยนะว่าไม่ต้องมา…มิเช่นนั้นจะติดไข้เอาได้”
“ทราบแล้วเพคะ”
มีร์ยาพูดทิ้งท้ายว่าต้องการสิ่งใดให้เรียกและออกจากห้องไป ในห้องเหลือเพียงแพทริเซียที่นอนขยุ้มผ้าห่มด้วยสีหน้าอึดอัดใจ
เหงาจัง
‘ป่วยแล้วฟุ้งซ่านเสียจริง’
แพทริเซียหัวเราะแห้งๆ พลางกะพริบตา ในตอนนั้นเองนางก็เหลือบไปเห็นเสื้อที่คุ้นตา แพทริเซียยื่นมือออกไปคว้าเสื้อตัวนั้นมาโดยไม่รู้ตัว
‘อุ่นจัง…’
ทั้งที่ถูกถอดทิ้งไว้นานแล้วแท้ๆ มันเป็นเสื้อที่นางลืมนำไปคืน แต่นางก็ยังรู้สึกว่ามันอุ่น บางทีอาจเป็นเพราะเฟอร์ที่อยู่บนเสื้อ แพทริเซียสูดลมหายใจเข้า-ออกอย่างยากลำบาก นางได้กลิ่นของผู้ชายคนนั้น กลิ่นที่อบอุ่นทว่าเยือกเย็น ขณะเดียวกันก็หอมหวานทว่าติดขมเล็กน้อย…
“ฝ่าบาท กระหม่อมคล้ายจะได้ยินผิดไป…”
“หากเจ้าไม่ได้หูตึง เจ้าก็ได้ยินมิผิดหรอก เราบอกว่าเราอยากเรียนรู้วิธีการทำขนมหวาน”
“…”
ครั้นได้ยินลูซิโอพูดย้ำอีกครั้ง หัวหน้าห้องเครื่องจึงรู้ว่าตนไม่ได้ฟังผิด เขาผงะไป พระเจ้าช่วย ฝ่าบาททรงขอให้ข้าสอนทำขนมหวานหรือนี่!
“ขนมที่กระหม่อมทำถวายไม่ถูกปากหรือพ่ะย่ะค่ะ” เขาถาม
“เปล่า ฝีมือของเจ้าเยี่ยมยอดยิ่ง หาไม่แล้วเจ้าจะรักษาตำแหน่งนี้ไว้ได้หรือ”
“…”
ได้ฟังคำชมเชยอันน่ากลัวของนายเหนือหัว หัวหน้าห้องเครื่องก็ถามอีกครั้ง
“เช่นนั้นเหตุใดจู่ๆ…”
“เราจะทำให้คนผู้หนึ่ง”
“เอ่อ หากฝ่าบาทต้องการของขวัญ กระหม่อมสามารถทำให้ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“แน่นอนว่าของที่เจ้าทำย่อมมีทั้งรสชาติและหน้าตาที่ดีกว่า” ลูซิโอพูดต่ออย่างสงบนิ่ง “แต่หากเป็นเช่นนั้น ขนมหวานชิ้นนั้นก็จะไม่พิเศษอีกต่อไป เราต้องทำด้วยตัวเอง…เพื่อแสดงความจริงใจไม่มากก็น้อย”
“…?”
หัวหน้าห้องเครื่องไม่เข้าใจสิ่งที่ลูซิโอพูดแม้แต่น้อย แต่เพียงครู่เดียวเขาก็สลัดความสงสัยทิ้งไป เขาจะบังอาจสงสัยในเจตนารมณ์ของผู้ที่มีฐานะสูงส่งได้อย่างไร หัวหน้าห้องเครื่องกล้ำกลืนความสงสัยพลางตอบ
“เช่นนั้นกระหม่อมก็จะถวายการสอนให้พ่ะย่ะค่ะ”
และแล้วการฝึกสุดหฤโหดราวกับการฝึกของชาวสปาตันก็เริ่มต้นขึ้น ลูซิโอทำงานเสร็จเร็วกว่าปกติและเลือกทำบราวนีเป็นอย่างแรก เขาเริ่มต้นอย่างห้าวหาญ ทว่า รูปร่างของบราวนีกลับดูประหลาดขึ้นเรื่อยๆ หัวหน้าห้องเครื่องทนดูต่อไปไม่ไหวจึงเอ่ยปาก
“ฝ่าบาท กระหม่อมขออนุญาตถวายความช่วยเหลือได้หรือไม่”
“…เราทำเองได้”
ทว่า หลังจากนั้นไม่นานลูซิโอก็ต้องขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าห้องเครื่องอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ใช่นักเรียนที่ไร้สามารถ หลังจากทำพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงสามครั้ง ในสุดที่ครั้งที่สี่เขาก็ทำบราวนีที่ ‘พอดูได้’ ออกมา เขาลืมความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดและนำบราวนีที่ราดหน้าด้วยช็อกโกแลตเหลวเข้าเตาอบ ระหว่างรอให้สุก เขาก็พลันนึกถึงแพทริเซียขึ้นมา
“…”
ว่ากันว่าคนเรามักเสียใจเมื่อสายไป เขาเสียใจที่มิอาจรู้ว่าตนรู้สึกอย่างไรกับแพทริเซียตั้งแต่ก่อนหน้านี้ แต่มันก็สายเกินไปแล้ว ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำในตอนนี้และต่อจากนี้บางทีมันอาจจะไร้ค่าไร้ความหมาย แต่ทว่า…
‘แต่ถึงกระนั้น หากสิ่งนี้สามารถถ่ายทอดความรู้สึกของข้าได้ล่ะก็…’
เพียงเท่านั้นก็พอใจแล้ว ลูซิโอมีสีหน้าเจ็บปวด แต่เพียงพริบตาเดียวเขาก็เปลี่ยนเป็นนิ่วหน้าและกัดริมฝีปาก เหตุใดข้าถึงไม่ทำอะไรแบบนี้ให้นางตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เหตุใดข้าถึงไม่แสดงความรู้สึกต่อนางตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เหตุใดข้าถึงโง่เขลานัก เหตุใดข้า…
“อา…”
เมื่อได้กลิ่นไหม้จากเตาอบ ลูซิโอจึงหลุดออกจากภวังค์และเดินไปที่เตา อุตส่าห์คิดว่าในที่สุดบราวนีของเขาก็พอจะกินได้บ้างแล้วแท้ๆ แต่ก็ล้มเหลวอีกจนได้ เขาหยิบบราวนีที่ไหม้แล้วหนึ่งชิ้นเข้าปากอย่างชอกช้ำ รสหวานของช็อกโกแลตหายไปอย่างสิ้นเชิง เหลือไว้เพียงรสขมเท่านั้น
***
“ฝ่าบาท นี่คือแผนงานฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพในเดือนหน้าเพคะ”
เดือนหน้าเป็นวันคล้ายวันเกิดของแพทริเซีย ช่างน่าขันที่นางต้องมาจัดการแม้กระทั่งงานวันเกิดของตัวเอง แต่จะไม่ทำก็ไม่ได้ เพราะจะให้จักรพรรดิมาจัดงานวันเกิดให้จักรพรรดินีก็คงกระไรอยู่ แพทริเซียถอนหายใจพลางพึมพำ
“วันเกิดปีหน้าถ้าได้จัดที่บ้านก็คงจะดี”
“…”
ไม่มีใครตอบรับคำพูดของนาง และดูเหมือนแพทริเซียเองก็ไม่ได้ต้องการคำตอบจากใคร นางรับเอกสารจากมีร์ยาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นและเริ่มไล่อ่านทีละบรรทัด เงินในท้องพระคลังมีไม่มากแต่แผนงานนี้กลับวิลิศมาหราเกินไป แพทริเซียถอนหายใจพลางกล่าว
“ข้าคิดว่าควรลดงบประมาณลงหน่อย ในฐานะเจ้าภาพข้าอนุญาต”
“แต่ว่าฝ่าบาท หากทำเช่นนั้น พระเกียรติของพระองค์…”
“เอาตามนี้เถอะ เกียรติของข้ากลับมาอีกครั้งตั้งแต่ได้ประหารโรสมอนด์แล้ว”
แพทริเซียเอ่ยถึงชื่อต้องห้ามขึ้นมาและเอนตัวพิงเก้าอี้ด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า ทั้งที่คิดว่าควรจะพักเสียหน่อย แต่รู้ตัวอีกทีนางก็มานั่งอยู่หน้าโต๊ะและกำลังสะสางงานของฝ่ายในเสียแล้ว แพทริเซียคิดจะพักสายตาสักครู่แต่ก็มีคนมาเคาะประตูเสียก่อน
“มีธุระอันใด” มีร์ยาถามอีกฝ่าย
“ฝ่าบาทเสด็จค่ะ”
ครั้นได้ยินว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญมาเยือน แพทริเซียก็ขมวดคิ้ว นางกระซิบอะไรบางอย่างกับมีร์ยาและลุกจากที่นั่ง มีร์ยาพยักหน้าด้วยสีหน้าลำบากใจก่อนจะเดินไปที่ประตู ครั้นเปิดประตูออกไปก็พบว่าลูซิโอยืนอยู่ข้างนอกนั้นจริงๆ นางรีบถวายความเคารพทันที
“ถวายบังคมสุริยันแห่งจักรวรรดิ”
“จักรพรรดินีอยู่ข้างในหรือไม่”
“อยู่เพคะ แต่…บรรทมอยู่”
“ไม่สบายหรือ”
มีร์ยาทำตัวไม่ถูกกับการให้ความสนใจผิดที่ผิดเวลาของอีกฝ่าย แต่ก็เอ่ยตอบอย่างเป็นธรรมชาติ
“มิได้เพคะ…เพียงแต่ดูอ่อนเพลียเล็กน้อย”
“แย่จริง คงต้องเรียกหมอหลวงแล้ว”
“ไม่ถึงขนาดนั้นเพคะ”
“…”
หลังจากถามไถ่กันพอเป็นพิธีแล้วก็ถึงเวลาถามถึงกิจธุระเสียที ลูซิโอลังเลเล็กน้อยก่อนจะเปิดปาก
“คือ…เรา”
“เชิญรับสั่งเพคะ ฝ่าบาท”
“เรามีของจะให้จักรพรรดินี”
ได้ยินดังนั้นมีร์ยาก็เลื่อนสายตาลงไปมองที่มือของลูซิโอ เขาถือกล่องกระดาษผูกริบบิ้นที่บรรจุไว้ด้วยอะไรบางอย่าง
“สิ่งนั้นหรือเพคะ” นางถาม
“…ใช่”
“หม่อมฉันจะนำไปถวายให้เองเพคะ”
“เอ่อ…”
เขามีสีหน้าลำบากใจแต่ก็ยื่นกล่องกระดาษให้โดยไม่พูดอะไรมาก ของในกล่องจับดูแล้วอุ่นๆ ดูเหมือนจะเป็นของกิน มีร์ยายิ้มอ่อนโยนพลางพูดให้ลูซิโอวางใจ
“ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย หม่อมฉันจะกราบทูลพระจักรพรรดินีให้เองเพคะ”
“ฝากด้วยนะ”
สีหน้าของลูซิโอตอนที่พูดประโยคนั้นดูกระวนกระวายอย่างประหลาด มีร์ยาเห็นดังนั้นก็รู้สึกแปลกใหม่อย่างมาก คล้ายว่านางเพิ่งเคยเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าเช่นนั้นเป็นครั้งแรก มีร์ยาค้อมกายให้เขาอย่างสง่างามและกล่าวลาก่อนจะปิดประตู
“ใครกัน”
แพทริเซียรู้อยู่แล้วผู้มาเยือนคือลูซิโอ เพราะนางไม่ได้นอนกลางวันอย่างที่อ้าง หูทั้งสองข้างก็ปกติดี นางย่อมต้องได้ยินทุกอย่าง เรื่องนอนกลางวันเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อไม่ต้องพบหน้าเขาเท่านั้น มีร์ยาวางกล่องลงบนโต๊ะพลางกล่าว
“พระจักรพรรดิเสด็จมาถึงที่นี่เพื่อมอบสิ่งนี้ให้พระองค์เพคะ”
“…”
สีหน้าของแพทริเซียดูแปลกประหลาด มีร์ยาเห็นดังนั้นก็ได้โอกาสยิ้มน้อยๆ พลางถาม
“ทำอย่างไรดีเพคะ”
“…ทิ้งไปเลย”
แต่มีร์ยากลับขัดคำสั่งของแพทริเซียเป็นครั้งแรก นางคลายริบบิ้นสีม่วงที่ผูกอยู่บนกล่องเพื่อเปิดดูของข้างใน ทันใดนั้นกลิ่นหอมหวานก็ฟุ้งไปทั่วห้อง มีร์ยาอุทานอย่างประหลาดใจ
“บราวนีมิใช่หรือเพคะ”
“ไม่มีอะไรจะให้แล้วหรือ…”
“ดูเหมือนจะลงมือทำด้วยพระองค์เองนะเพคะ ตายจริง ตรงนี้มีการ์ดอยู่ด้วยเพคะ”
“…ข้าบอกให้ทิ้งไปเสีย”
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเพคะ นี่เป็นครั้งแรกที่หม่อมฉันได้ยินว่าองค์สุริยันแห่งจักรวรรดิทรงลงมืออบขนมด้วยพระองค์เอง”
มีร์ยาดูตื่นเต้นกว่าตัวแพทริเซียเองเสียอีก แพทริเซียมองมีร์ยาด้วยสายตาคบกริบ
“ถ้าเจ้าชอบใจขนาดนั้นก็กินเองเถอะ”
“ทำเช่นนั้นหม่อมฉันอาจถูกจับโทษฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้นะเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันจะบังอาจรับประทานของที่พระจักรพรรดิทำด้วยพระองค์เองได้อย่างไร”
มีร์ยาส่ายหน้าและจัดบราวนีที่ยังมีควันฉุยใส่จานสีขาว แพทริเซียนอนหันหลังให้มีร์ยาราวกับจะบอกว่านางไม่อยากสนใจอีกแล้ว แต่แม้จะหลับตาก็ไม่อาจปิดกั้นการรับกลิ่นได้ ด้วยเหตุนั้นกลิ่นหอมของช็อกโกแลตจึงลอยเข้าจมูกของแพทริเซียอย่างเลี่ยงไม่ได้ หญิงสาวครางฮือในลำคออย่างลำบากใจ เขาจะทำได้อร่อยขนาดนั้นโดยไม่มีใครช่วยจริงๆ หรือ?
“ฝ่าบาท ลองเสวยดูไหมเพคะ”
มีร์ยาแสร้งทำเป็นไม่เห็นท่าทีของแพทริเซียและเอ่ยถาม ในท้ายที่สุดแพทริเซียก็ถอนหายใจและพูดย้ำอีกครั้ง
“ข้าบอกให้ทิ้ง”
“ขืนทำเช่นนั้นแล้วหม่อมฉันได้รับโทษฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของพระจักรพรรดิจะทำอย่างไรเล่าเพคะ แต่หากฝ่าบาทจะทรงให้ความช่วยเหลือ หม่อมฉันก็ยินดีเพคะ”
“…”
แพทริเซียพูดกับมีร์ยาด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า
“เจ้าก็กินไปเถอะ แบ่งให้ราฟาเอลาด้วยก็ได้”
“ฝ่าบาทไม่เสวยจริงๆ หรือเพคะ”
พูดจบ มีร์ยาก็ลองหยิบบราวนีใส่ปากชิ้นหนึ่ง ความจริงแล้วนางไม่ได้คาดหวังกับรสชาติแต่มันกลับอร่อยกว่าที่คิด
“ไม่ทราบมาก่อนเลยว่าพระจักรพรรดิทรงมีพระปรีชาสามารถในด้านการอบขนมด้วย” มีร์ยากล่าวอย่างประหลาดใจเหลือแสน
“…”
“พระจักรพรรดิทรงทำได้ดีทีเดียวเพคะ ดูเหมือนจะไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าห้องเครื่องด้วย แต่ทรงพยายามด้วยพระองค์เอง”
“นี่ ท่าทีของเจ้ามันไม่โจ่งแจ้งเกินไปหน่อยหรือ” แพทริเซียว่าพลางแสยะยิ้ม
มีร์ยาเห็นดังนั้นก็ยิ้มพรายพลางกล่าว “ด้วยเหตุนั้น ช่วยกรุณาพระจักรพรรดิมากกว่านี้ด้วยเถิดเพคะ ฝ่าบาท”
“…”
บทสนทนาจบลงเพียงเท่านั้น มีร์ยากินบราวนีอีกชิ้นก่อนจะถามแพทริเซีย
“จะไม่เสวยจริงๆ หรือเพคะ รสชาติดีอย่าบอกใครเลยทีเดียว”
แพทริเซียชอบขนมหวานมาก และในบรรดาขนมหวานนางก็ชอบบราวนีมากที่สุด นางตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายก็เงียบไว้และพูดเพียงว่า
“…วางไว้ แล้วออกไปได้”
“เพคะ ฝ่าบาท”
มีร์ยายิ้มเล็กๆ ก่อนจะวางกล่องเอาไว้และถอยกายออกไปเงียบๆ มีร์ยารู้ว่าแพทริเซียยังต้องการเวลาอีกหน่อย อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญคือแพทริเซียกำลังจะมีความสุขมากยิ่งขึ้น หากจักรพรรดิเชื่อมั่นในความรักที่ตนมีต่อแพทริเซียจริงๆ มีร์ยาก็อยากจะลองเชื่ออีกสักครั้ง เพราะสำหรับนางแล้วการอยู่คนเดียวอย่างอิสระไปชั่วชีวิตมิใช่เรื่องที่ดีนัก
“…ไร้ประโยชน์”
ใครขอให้ทำของแบบนี้มาให้กัน แพทริเซียยันตัวลุกขึ้นจากเตียง ปลายของชุดเดรสสีขาวที่แขวนอยู่บนร่างลากไปกับพื้น แพทริเซียมองบราวนีที่วางอยู่บนโต๊ะ ดูเหมือนว่ามันจะเริ่มเย็นแล้วจึงดูฉ่ำขึ้นเล็กน้อยและนั่นทำให้มันดูน่ากินมาก แพทริเซียถอนหายใจสั้นๆ ก่อนจะหยิบบราวนีขึ้นมาหนึ่งชิ้น มูสช็อกโกแลตไหลเยิ้ม นางเลียเศษบราวนีที่ติดอยู่บนนิ้วอย่างแผ่วเบา จากนั้นกลิ่นหอมและรสชาติของช็อกโกแลตก็อบอวลไปทั่วทั้งปาก อร่อยจัง ด้วยเหตุนั้นแพทริเซียจึงได้แต่ถอนหายใจอย่างเงียบๆ
“ไม่ควรอร่อยขนาดนี้เลย”
นางนั่งลงและใช้ส้อมจิ้มกินอย่างจริงจัง นี่เขาทำเองทั้งหมดจริงๆ หรือ? หากเป็นเช่นนั้นจริง ตอนที่ทำเขาคิดอะไรอยู่? นางลองคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายพลางกินบราวนีที่ลูซิโอทำมาให้จนหมด
***
อีกด้านหนึ่ง หลังจากกลับมาถึงตำหนักกลาง ลูซิโอก็เฝ้ารอปฏิกิริยาของแพทริเซียอย่างใจจดใจจ่อ เขาลองคาดเดาไว้หลายแบบ แต่สิ่งที่เขาไม่อยากได้ยินมากที่สุดคือ ‘ทิ้งไปโดยไม่เปิดดู’ แน่นอนว่าหากพิจารณาจากสิ่งที่เขาเคยทำไว้ ต่อให้แพทริเซียทำแบบนั้นจริงเขาก็มิอาจพูดอะไรได้…ทว่า ใจของมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน หากสมปรารถนาแล้วสิ่งหนึ่ง ย่อมปรารถนาในสิ่งที่สองและสามต่อไป
“ฝ่าบาท”
ตอนนั้นเอง หัวหน้านางกำนัลก็เปิดประตูเข้ามา ลูซิโอเอ่ยถามด้วยใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ
“มีเรื่องอันใด”
“พระจักรพรรดินี…”
อึก
ลูซิโอกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
“เสวยบราวนีที่พระองค์ทำจนหมดเลยเพคะ”
“…จริงหรือ”
“เพคะ ฝ่าบาท”
แม้หัวหน้านางกำนัลจะพูดอย่างสงบนิ่ง แต่นางก็ดูตื่นเต้นเล็กน้อย ลูซิโอไม่อาจปกปิดความยินดีเอาไว้ได้ เขายิ้มกว้างไปทั้งใบหน้า
“อา…โล่งอกไปที”
เพื่อไม่ให้เสียบรรยากาศหัวหน้านางกำนัลจึงไม่ได้พูดเรื่องที่ตอนแรกแพทริเซียสั่งให้นำไปทิ้ง นางจบบทสนทนาไว้เพียงเท่านั้นและออกจากห้องไป ในห้องจึงเหลือเพียงลูซิโอสับขาเดินไปเดินมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความยินดีไม่เหมือนในยามปกติ เขามักจะทำเช่นนี้เวลาที่เขาดีใจ หลังจากเดินไปเดินมาอยู่ในห้องครู่ใหญ่เขาก็ตัดสินใจออกไปเดินเล่นเพื่อให้ใจสงบลง
“ทรงคิดจะทำให้หม่อมฉันไม่มีความสุขไปถึงไหนหรือเพคะ”
“เราคงไม่มีหน้าไปขอให้เจ้ารักเรา แต่อย่างน้อย…ช่วยให้โอกาสเราทีเถอะ”
“จนป่านนี้แล้วน่ะหรือเพคะ”
“ไม่สิ เจ้าจะไม่ให้โอกาสเราเลยก็ได้” เขาวิงวอนจากใจจริง “ขอร้องเถอะนะ จักรพรรดินี เราทนอยู่ในพระราชวังที่ไม่มีเจ้าไม่ได้”
“กับโรสมอนด์ที่ตายไป ฝ่าบาทก็เคยตรัสเช่นนี้มิใช่หรือเพคะ” แพทริเซียกล่าวเสียงเศร้า “หม่อมฉันทำแบบนางไม่ได้หรอกเพคะ หม่อมฉันบอกรักพระองค์ทั้งที่ไม่มีใจไม่ได้”
“…”
“หม่อมฉันกราบทูลแต่ความจริงกับพระองค์เท่านั้นเพคะ ว่าหม่อมฉันไม่ได้รักพระองค์”
“แพทริเซีย ได้โปรด…”
“…หม่อมฉันทูลลา”
พูดจบแพทริเซียก็หันหลังเดินกลับออกไป ตอนนี้นางไม่มั่นใจว่าตนจะทนต่อไปได้ ราวกับหัวใจของนางได้ตายไปพร้อมกับโรสมอนด์ แพทริเซียเดินออกจากห้องไปด้วยสีหน้าแข็งกระด้างทิ้งให้ลูซิโออยู่คนเดียวในห้องอย่างปวดร้าวทรมาน เขายกมือขึ้นปิดหน้า ปลายนิ้วที่เคยแห้งสนิทเปียกชุ่มด้วยน้ำตา
***
“เจ้าจะออกจากวังจริงหรือ” เปโตรนิยาถามเสียงค่อย
แพทริเซียก็พยักหน้ารับนิ่งๆ “เดิมทีข้ามาที่นี่แทนเจ้าเพื่อใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ หากฝ่าบาททรงให้สัญญาว่าจะคุ้มครองข้าและตระกูล ข้าก็อยากจะลงจากตำแหน่งและใช้ชีวิตอย่างมีอิสระมากกว่าตอนนี้”
“…”
เปโตรนิยามิอาจตอบโต้คำพูดของน้องสาว หากตนเข้าไปวุ่นวายกับการตัดสินใจของอีกฝ่ายอาจกลายเป็นตนเจ้ากี้เจ้าการ มองอย่างไรตอนนี้แพทริเซียก็เสียสละตัวเองเพื่อตนแล้ว นางอุทิศตัวเข้าวังแทนพี่สาวผู้โง่เขลาคนนี้
เปโตรนิยาถอนหายใจในใจ เท่าที่เห็นคือจักรพรรดิชอบแพทริเซีย เขารักนาง เปโตรนิยารู้ว่านั่นคือใจจริงของเขา เพราะสายตาที่จักรพรรดิลูซิโอมองแพทริเซียเหมือนกับสายตาที่รอธซีมองนาง แต่ดูเหมือนว่าหัวใจของแพทริเซียจะปิดตายไปเสียแล้ว เหมือนกับนางในตอนแรก
เปโตรนิยาปรารถนาจากใจจริงให้แพทริเซียลืมเรื่องทุกอย่างและครองรักกับจักรพรรดิไปจนแก่เฒ่า แต่ดูเหมือนแพทริเซียไม่ได้ต้องการเช่นนั้น ชาติก่อนน้องสาวของนางก็ไม่ได้สนใจเรื่องการแต่งงานอยู่แล้วด้วย
“นีย่าไม่เห็นด้วยหรือ”
“ถึงข้าไม่เห็นด้วยก็ใช่ว่าเจ้าจะอยู่ต่อมิใช่รึ”
“ถึงอย่างนั้นข้าก็แค่ถามดู”
“ข้าหวังให้เจ้าลืมเรื่องในอดีตและอยู่ที่นี่อย่างมีความสุข”
“เจ้าพูดเช่นนั้นได้อย่างไร” น้ำเสียงของแพทริเซียฟังดูฉุนเฉียวขึ้นเล็กน้อย “ลืมไปแล้วหรือ แม้ตอนนี้ข้าจะเป็นจักรพรรดินี แต่จักรพรรดินีในชาติก่อนคือเจ้า ว่ากันตามจริงคนผู้นั้นหาใช่สามีของข้าแต่เป็นพี่เขยต่างหาก”
“แพทริเซีย ก็อย่างที่เจ้าพูด นั่นเป็นเรื่องของพวกเราในชาติก่อน”
“ถึงกระนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าข้าถูกตัดหัว เจ้าถูกตัดหัว ท่านพ่อท่านแม่ถูกตัดหัว”
“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น แต่ริซซี่ เจ้าจะยึดติดกับอดีตไปเรื่อยๆ หรือ? จักรพรรดิที่สั่งประหารครอบครัวของเราในตอนนั้นกับจักรพรรดิในตอนนี้เป็นคนละคนกันนะ นิสัยใจคอก็ต่างกัน”
“แต่ถึงอย่างนั้น…!” แพทริเซียที่สุขุมมาตลอดกลับพูดเสียงดังขึ้น “มันก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นสามีของเจ้า”
“โอ้ พระเจ้าช่วย ริซซี่ นี่เจ้าเป็นเช่นนี้เพราะเรื่องนั้นหรอกหรือ”
เปโตรนิยาถามด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่แพทริเซียกลับไม่ยอมตอบ เปโตรนิยาจ้องแพทริเซียเขม็งก่อนจะพูดเสียงเบาราวกับสารภาพ
“พูดกันตามตรงก็ใช่ ครั้งหนึ่งข้ากับเขาเคยเป็นสามีภรรยากัน แต่ริซซี่ พวกเราไม่เคยมีความสัมพันธ์แบบนั้น”
“คือ…?”
เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ได้ยินคำถามของแพทริเซีย เปโตรนิยาก็สารภาพตามตรงอย่างสงบนิ่ง
“จักรพรรดิกับข้าไม่เคยร่วมหอกันแม้แต่ครั้งเดียว พูดง่ายๆ ก็คือข้าเป็นจักรพรรดินีของเขา ‘แค่ภายนอก’ เท่านั้น”
“…”
“ทีนี้เจ้าเข้าใจหรือยัง? และหากมันเป็นเพราะข้า เจ้าเลิกสนใจไปได้เลย ข้ามีผู้ชายที่ข้ารักแล้ว ส่วนจักรพรรดิเป็นเพียงหนึ่งในความอัปยศตอนที่ข้ายังไม่รู้ความเท่านั้น ตอนนี้ข้าไม่เหลือความรู้สึกใดให้จักรพรรดิอีกแล้ว”
“ก็…ไม่ใช่เพราะเรื่องนั้นเสียทีเดียว” แพทริเซียถอนหายใจและพูดต่อ “ตอนนี้ข้าก็แค่เหนื่อยมากแล้ว ไม่อยากคิดอะไรอีกแล้ว”
“เช่นนั้นก็พักเสียเถิด ในระหว่างนั้นข้ากับมีร์ยาจะช่วยจัดการงานของฝ่ายในให้เอง เจ้าจะลาพักไปเลยก็ยังได้”
“นิล”
“แต่ขอโทษจริงๆ นะ ริซซี่ สิ่งที่เจ้าพูดมาหาใช่เรื่องที่เจ้าจะทำตัวแบบเด็กๆ เพื่อให้ผ่านไปได้ ในเมื่อเจ้ากลายมาเป็นจักรพรรดินีแล้ว เจ้าจะหาเหตุผลใดมาลงจากตำแหน่ง? เจ้าจะทำความผิดเพื่อให้ได้ออกจากวังหรือไร”
“ข้า…”
“ยังมีอีกหลายวิธีให้เจ้าได้อยู่อย่างอิสระ ข้าจะคอยช่วยเจ้า ราฟาเอลากับมีร์ยาก็จะคอยช่วยเจ้า ตอนนี้พวกเราผ่านเรื่องลำบากกันมาแล้วมิใช่หรือ”
“…”
“ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าทน เพียงแต่…แม้จะอยู่ในตำแหน่งนี้ เจ้าก็มีอิสระได้”
“…”
แพทริเซียไม่พูดอะไร สิ่งที่เปโตรนิยาพูดมามีเหตุผล จักรพรรดินีมิอาจลงจากตำแหน่งได้โดยง่าย หากต้องการลงจากตำแหน่งนางก็ต้องทำความผิดที่มากพอจะถูกปลดอย่างที่เปโตรนิยาพูด นั่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ได้ แพทริเซียถอนหายใจออกมา
“เข้าใจแล้ว เป็นข้าหุนหันพลันแล่นเกินไป”
“พักก่อนเถอะ ระยะนี้เจ้าฝืนตัวเองมากเกินไปแล้ว”
“…”
แพทริเซียถอนหายใจสั้นๆ ใช่แล้ว บางทีอาจเป็นเพราะนางเหนื่อยเกินไปจริงๆ
ตอนบ่าย เปโตรนิยาตั้งใจจะแวะไปที่คฤหาสน์เคานต์เบรดิงตันโดยไม่บอกล่วงหน้าจึงออกจากวังเร็วกว่าปกติ ทว่า ใครคนหนึ่งก็เรียกนางไว้
“เลดี้โกรเชสเตอร์”
“ท่านเป็นใครหรือคะ”
“พระจักรพรรดิมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าค่ะ”
“…”
ครั้นได้ยินว่าลูซิโอเรียกหา นางก็นึกสงสัย มีเรื่องอะไรให้เขาเรียกหานางด้วยหรือ? ตั้งแต่ย้อนอดีตมาเปโตรนิยากับลูซิโอก็ไม่มีเรื่องให้ต้องข้องแวะกันเลย
“มิทราบด้วยเรื่องอันใด…” นางถาม
“ข้าเองก็มิอาจทราบพระประสงค์ของฝ่าบาท”
“…”
เปโตรนิยาพยักหน้านิ่งๆ แม้ไม่รู้ว่าเขาเรียกหานางด้วยเหตุใด แต่นางก็ขัดคำสั่งไม่ได้ เปโตรนิยาเดินตามนางกำนัลไปอย่างสุขุม
“ฝ่าบาท เลดี้โกรเชสเตอร์มาแล้วเพคะ”
“ให้นางเข้ามา”
ประตูเปิดพร้อมกับคำตอบรับสั้นๆ เปโตรนิยารู้สึกแปลกใจที่ตนไม่รู้สึกประหม่าในยามที่ก้าวเท้าเข้าไปในห้อง ก่อนจะย้อนเวลากลับมา เพียงเพื่อจะก้าวข้ามประตูนี้นางอดตื่นเต้นจนร่างกายสั่นเทาไม่ได้ มาตอนนี้นางสามารถรักษาความเยือกเย็นไร้ความรู้สึกไว้ได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายแม้จะพบหน้าลูซิโอผู้เป็นอดีตสามีของตน
เปโตรนิยาทำความเคารพอีกฝ่าย
“ถวายบังคมพระจักรพรรดิ สุริยันผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิ แด่เกียรติภูมิแห่งมาวินอส”
“…นั่งสิ”
สิ้นคำเชิญ เปโตรนิยาก็นั่งลงอย่างสง่างาม นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่นางได้นั่งประจันหน้ากับเขานับตั้งแต่ย้อนเวลากลับมา หญิงสาวเอ่ยถามธุระทันที
“มีรับสั่งหาหม่อมฉันด้วยเรื่องอันใดหรือเพคะ ฝ่าบาท”
“…จักรพรรดินี” น้ำเสียงของเขาฟังดูเจ็บปวด “ขอออกจากวัง”
“…ก็เป็นธรรมดามิใช่หรือเพคะ” เปโตรนิยาตอบอย่างไร้อารมณ์ “หม่อมฉันมองว่าหลังจากประสบกับเรื่องเช่นนั้นในวัง แค่ขอออกจากวังคงไม่มากเกินไป”
“เลดี้ก็ปรารถนาให้นางออกจากวังหรือ”
“หากการออกจากที่นี่ไม่ทำให้ชีวิตของเสด็จน้องต้องตกระกำลำบาก หม่อมฉันก็หวังให้เป็นเช่นนั้นเพคะ” เปโตรนิยาตอบอย่างเย็นชา “หม่อมฉันเห็นด้วย และบิดามารดาของหม่อมฉันก็คงจะเห็นด้วยเช่นกัน”
“…เรา” เขากล่าวด้วยสีหน้าเจ็บปวดราวกับจะอ้อนวอน “ตอนนี้เราอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีนาง”
“…”
เปโตรนิยาไม่พูดอะไร มาถึงจุดนี้นางยังต้องพูดอะไรอีก แน่นอนว่าต่อให้ไม่มีแพทริเซียเขาก็อยู่ได้ แต่นั่นก็แค่ภายนอก ส่วนภายในจิตใจนั้น…นางคิดว่านางเองก็คงไม่รู้ถึงขนาดนั้น
“เช่นนั้นเหตุผลที่ทรงเรียกหม่อมฉันมาก็เพื่อขอให้หม่อมฉันช่วยเปลี่ยนพระทัยเสด็จน้องหรือเพคะ”
“เรามิได้ไร้ยางอายถึงเพียงนั้น เลดี้” เขาถอนหายใจสั้นๆ และเอ่ยถาม “จักรพรรดินีเขา…มีสิ่งที่ชอบหรือไม่”
“…”
ได้ยินดังนั้น เปโตรนิยาก็เกือบจะหลุดหัวเราะออกมา วันที่ผู้ชายคนนี้ถามถึงเรื่องทำนองนี้มาถึงจนได้
“ทรงหมายถึงสิ่งใดหรือเพคะ” เปโตรนิยาถามกลับ
“เราไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับจักรพรรดินีเลย ก่อนจะได้ทำความรู้จักกัน เราก็ทำความผิดร้ายแรงลงไปเสียก่อน”
“…”
เขาก็รู้ตัวเหมือนกันสินะ เปโตรนิยาพึมพำในใจ
“เราปล่อยจักรพรรดินีไปไม่ได้ แต่เราก็ไม่อยากให้นางทุกข์ใจด้วยเช่นกัน”
“ฝ่าบาททรงละโมบมากเกินไปนะเพคะ”
“…เรารู้” เขาพึมพำด้วยสีหน้าชอกช้ำ “เราตั้งใจจะพยายามในแบบของเรา ที่เรียกเจ้ามาเพราะต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า”
“ฝ่าบาทสงสัยเรื่องใดเป็นพิเศษหรือเพคะ”
“สิ่งที่นางชอบ สิ่งที่นางไม่ชอบ เรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวกับนาง” เขาพูดเสียงเบาราวกับกระซิบ “หากเราถามนางด้วยตัวเอง นางคงไม่ยอมตอบ”
ลูซิโอเป็นคนฉลาด เปโตรนิยาคิดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น
“น้องสาวของหม่อมฉัน” นางเปิดปากพูด “ชอบสตรอว์เบอร์รีเพคะ ชอบขนมหวานด้วย นางมิใช่คนมือเติบเพราะฉะนั้นพวกเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับคงมิอาจทำให้นางหวั่นไหวได้”
“…”
ลูซิโอนิ่งฟังและเริ่มจดสิ่งที่เปโตรนิยาพูดลงบนกระดาษหนังแกะ เห็นดังนั้นเปโตรนิยาก็เกือบจะหัวเราะออกมา แต่เมื่อนึกถึงความจริงใจของเขา นางก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ เขาก็มีมุมแบบนี้ด้วยหรือนี่
“สิ่งที่ไม่ชอบ…” เปโตรนิยาเกือบจะหลุดพูดไปด้วยความเคยชินว่า ‘เกลียดฝ่าบาท’ นางรีบเปลี่ยนคำพูด “นอกจากคำโกหกแล้วก็ไม่ค่อยมีอะไรเพคะ อาหารที่ไม่ทานก็ไม่มี สิ่งที่สำคัญที่สุดในการแก้ไขความสัมพันธ์ของฝ่าบาทกับเสด็จน้องน่าจะเป็น…” เปโตรนิยาเว้นช่วงก่อนจะให้คำแนะนำอย่างจริงใจ “ความจริงใจของฝ่าบาท หากฝ่าบาททรงทำทุกอย่างด้วยความจริงใจ เสด็จน้องก็คงไม่เมินเฉยหรอกเพคะ”
“…ขอบใจนะ”
เปโตรนิยารู้สึกได้ถึงความจริงใจที่อยู่ในคำขอบคุณของเขา ใช่แล้ว แบบนี้แหละ เปโตรนิยายิ้มน้อยๆ
“พอจะเป็นประโยชน์หรือไม่เพคะ”
“ที่ว่าให้ทำด้วยความจริงใจนั้นช่วยได้มาก”
เขาพูดราวกับตระหนักได้ถึงบางสิ่ง เปโตรนิยามองภาพนั้นและกล่าวเสริมอีกคำหนึ่ง
“มันเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด แต่ก็ยากที่สุดเช่นกันเพคะ”
หลังจากที่เปโตรนิยากลับไปแล้ว ลูซิโอก็ไปหาหัวหน้าห้องเครื่องของตำหนักกลางเป็นอันดับแรก หัวหน้าห้องเครื่องไม่ค่อยมีโอกาสได้เข้าเฝ้าจักรพรรดิบ่อยนักจึงตกใจไม่น้อยที่ฝ่าบาทเสด็จมาหาอย่างกะทันหัน แต่เขาก็ต้อนรับได้อย่างถูกต้องตามมารยาท
“ถวายบังคมพระจักรพรรดิ สุริยันผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิ แด่เกียรติภูมิแห่งมาวินอส”
“เรามาเพราะมีเรื่องจะขอให้เจ้าช่วย”
พระจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่คับฟ้ามาถึงที่นี่เพื่อขอให้ข้าช่วยเรื่องอันใดกัน หัวหน้าห้องเครื่องเก็บสีหน้าสงสัยใคร่รู้พลางกล่าว
“เชิญรับสั่งมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“เราอยากเรียนวิธีทำขนมหวาน”
…หา? หัวหน้าห้องเครื่องตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ
โรสมอนด์ถามอย่างไม่เชื่อหู
“อะไรนะ…?”
“เจ้าเป็นหมัน”
“อย่ามาล้อเล่น เจ้าเป็นใครถึงมาเป็นตัดสินเรื่องนั้น คนที่เป็นหมันไม่ใช่ข้าแต่เป็นเจ้า ได้ยินหรือไม่ว่าเจ้าต่างหากที่เป็นหมัน! ไม่ใช่ข้า!”
“ใช่ ข้ามีลูกไม่ได้” แพทริเซียเอ่ยอย่างเย็นชา “แต่เจ้าเองก็เช่นกัน”
“พูดบ้าๆ เจ้ามีหลักฐานรึ”
“มีสิ” แพทริเซียตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ข้าคือหลักฐาน”
“พูดบ้าอะไร…”
“ข้าทำให้เจ้าเป็นหมัน” แพทริเซียอธิบายต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน “จำน้ำหอมที่ข้าให้เจ้าเป็นของขวัญเมื่อไม่นานมานี้ได้หรือไม่ ในนั้นมีส่วนผสมของดอกไม้หายากที่พบได้เฉพาะในเกาะบรัมส์ มีฤทธิ์ทำให้เป็นหมัน”
“…”
“เจ้าอาจจะใช้มันเพราะกลิ่นหอม แต่มันทำให้เจ้าเป็นหมัน ผลของมันก็แน่นอนเสียด้วยสิ”
“ไม่นะ…”
โรสมอนด์พึมพำอย่างไม่เชื่อหู ในขณะที่แพทริเซียยังคงไร้สีหน้าแม้เพิ่งจะสารภาพความจริงไปก็ตาม นางไม่ได้เก็บความรู้สึก แต่นางไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้เสียมากกว่า เพราะความรู้สึกของนางนั้นเหือดแห้งราวกับทะเลสาบที่แห้งแล้งมานาน
“ข้าไม่รู้สึกผิดต่อเจ้าสักนิด เพราะเจ้าเองก็ทำกับข้าเอาไว้เหมือนกัน”
“อา…ไม่นะ…”
“จงตายไปอย่างเงียบๆ เสีย อย่าได้หลงเหลือสิ่งใดไว้”
“ไม่…ไม่…!”
ราวกับอีกฝ่ายรับไม่ได้กับคำพูดของแพทริเซีย และเอาแต่พูดคำว่า ‘ไม่’ ด้วยสีหน้าซีดเผือด สำหรับโรสมอนด์ ลูกคือไพ่ตายที่จะเปลี่ยนสถานะของนางและทำให้ตำแหน่งของนางมั่นคง แน่นอนว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรกับคนใกล้ตาย แต่ถึงกระนั้นความจริงที่ว่านางไม่สามารถมีลูกได้ก็น่าสะเทือนใจเกินไป
“ไม่!!!”
ในท้ายที่สุด โรสมอนด์ทึ้งหัวตัวเองและกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ช่างน่าเวทนา ดูเหมือนว่านางจะรับความจริงไม่ได้จนเสียสติไปแล้ว เสียงกรีดร้องนั้นดังสั่นสะเทือนแก้วหูของแพทริเซีย เหล่าผู้คุมถึงกับใช้ผ้ามัดปิดปากโรสมอนด์ไม่ให้ส่งเสียง แพทริเซียมองภาพนั้นด้วยสายตาไร้ความรู้สึก ก่อนจะค่อยๆ เดินจากไป
ทุกอย่างจบลงแล้ว แพทริเซียกล่าวลาศัตรูคู่อาฆาตที่คอยราวีนางมานานแสนนานและเดินออกจากคุกใต้ดินไปอย่างเงียบๆ
“ลาก่อน”
หวังว่านี่จะทำให้พวกเราหลุดพ้นจากบ่วงกรรมของกันและกันเสียที
***
หลังจากนั้นสองวันก็ถึงวันประหารโรสมอนด์
ผู้คนมากมายมารวมตัวกันที่นครหลวงคาร์วูดตั้งแต่เช้า เมืองหลวงที่เคยเงียบสงบพลันคึกคักอย่างผิดปกติ แต่ทว่าบรรยากาศกลับดูไม่ค่อยดีนัก
กิโยตีนที่น่าพรั่นพรึงตั้งตระหง่านกลางลานประหารที่รายล้อมด้วยผู้คน ลานประหารนี้ตั้งอยู่ในจตุรัสเจอร์เบียเน็นใกล้กับพระราชวัง จักรพรรดินีแพทริเซียและจักรพรรดิลูซิโอผู้เป็นพระสวามีนั่งอยู่ไม่ไกลจากกิโยตีนเพื่อรอเวลาลงทัณฑ์นักโทษ
“…”
“…”
ในเวลาแบบนี้ทั้งแพทริเซียและลูซิโอไม่ได้พูดคุยกัน ในตอนนั้นเองดยุกวีเธอร์ฟอร์ดที่อยู่ด้านข้างก็กล่าวด้วยเสียงอันดังก้อง
“เบิกตัวนักโทษ!”
สิ้นเสียง นักโทษโรสมอนด์ก็ถูกนำตัวเข้ามาในลานประหาร ครั้นเห็นใบหน้าที่น่าสาปแช่งนั้น แพทริเซียก็นิ่วหน้าก่อนจะกลับมาเป็นปกติในชั่วพริบตา นางมองสำรวจสภาพของโรสมอนด์อย่างสุขุม
โรสมอนด์ถูกผู้คุมสองคนประคองเข้ามาในลานประหาร ร่างผอมบางอยู่ในชุดเดรสสีขาวขาดรุ่งริ่ง ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ดูทรุดโทรมเสียจนมองไม่เห็นเค้าของใบหน้าที่เคยงดงาม เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยเล็บราวกับนางทำร้ายตัวเองตลอดสองวันที่ผ่านมา แต่ที่น่ากลัวที่สุดเห็นจะเป็นสีหน้าของนาง นางจ้องมองท้องฟ้าด้วยแววตาว่างเปล่า ภาพนั้นน่าขนลุกจนน่ากลัวว่าจะเก็บไปฝัน
“นักโทษโรสมอนด์ประทุษร้ายจักรพรรดินีของจักรวรรดิมาวินอสนับเป็นความผิดร้ายแรง เรา ลูซิโอ แคร์ริก จอร์ช เดอ มาวินอส…”
ขณะที่พูด แพทริเซียรู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของลูซิโอกำลังสั่นแต่นางก็ไม่ได้พูดอะไร หญิงสาวกัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว
“ในนามของจักรพรรดิ เราขอสั่งให้ประหารชีวิต”
ความพินาศย่อยยับหวนกลับมาอีกครั้ง
แพทริเซียหลับตาลงด้วยสีหน้าซับซ้อน ทุกอย่าง…จบลงแล้วจริงๆ
“เริ่มการประหารได้”
แพทริเซียลืมตาขึ้นมองโรสมอนด์เป็นครั้งสุดท้าย โรสมอนด์เดินลากเท้าราวกับสัตว์ที่ถูกลากเข้าโรงเชือด แม้สีหน้าของนางจะดูว่างเปล่าไร้ความรู้สึก แต่แพทริเซียก็มองออกอย่างชัดเจนว่าแม้จะอยู่ต่อหน้าความตายนางก็ยังมิอาจละทิ้งความโกรธและเยื่อใยได้ รวมถึง…
‘ความน้อยใจ’
โธ่ โรสมอนด์ เจ้าน้อยใจอันใดถึงเพียงนั้น ในเมื่อคนที่ทำร้ายข้า คนที่คิดจะแย่งชิงตำแหน่งของข้าก็คือเจ้า เช่นนี้แล้วเจ้ายังน้อยใจเรื่องอันใดอีกเล่า
ตอนนั้นเอง สายตาของโรสมอนด์ก็มุ่งมาที่แพทริเซีย แพทริเซียจ้องกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน เมื่อสายตาสองคู่สบกัน สายตาของโรสมอนด์ก็ดุดันยิ่งขึ้น แม้มีความตายมารออยู่ตรงหน้าโรสมอนด์ก็ไม่คิดจะเก็บซ่อนความเกลียดชังที่มีต่อแพทริเซีย
แพทริเซียยอมรับสายตาของโรสมอนด์อย่างปล่อยวาง นางมองโรสมอนด์ที่เบนสายตาไปหาลูซิโอ สีหน้าของนางสงบนิ่งอย่างน่าประหลาดใจ แพทริเซียกัดริมฝีปากเมื่อเห็นความรู้สึกผิดแล่นผ่านสีหน้าของโรสมอนด์ชั่ววูบ สุดท้ายโรสมอนด์ก็ไม่ได้พูดความจริงเบื้องหลังเรื่องราวในอดีตออกไป แพทริเซียเฝ้ามองวาระสุดท้ายของโรสมอนด์อย่างเต็มตา
“กรี๊ด!”
“เฮือก!”
คอของโรสมอนด์ถูกสะบั้นตามมาด้วยเสียงอุทานที่ดังระงมทั่วทุกสารทิศ แพทริเซียกัดริมฝีปากจนเลือดไหล
ทุกอย่างจบลงแล้ว โรสมอนด์ตายแล้ว แพทริเซียสัมผัสได้ถึงน้ำตาที่ไหลลงผ่านสองข้างแก้ม นางปาดน้ำตาเงียบๆ น้ำตาแห่งโศกนาฏกรรมสำหรับโรสมอนด์นั้นแค่สองหยดก็เพียงพอแล้ว แพทริเซียหลับตาลงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงแล้วจริงๆ
***
แพทริเซียในชุดเดรสสีขาวปล่อยผมสยายเป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้าวังในฐานะจักรพรรดินี เรือนผมสีน้ำเงินอมเขียวดูคล้ายระลอกคลื่นพาดลงมาบนบ่าและหน้าอกของนาง นางสวมรองเท้าสีดำเดินไปยังตำหนักกลาง
“พระจักรพรรดินีขอเข้าเฝ้าเพคะ”
“ให้เข้ามา”
สิ้นเสียง ประตูก็ถูกเปิด แพทริเซียก้าวอย่างเนิบช้าเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเรียบเฉย ลูซิโอในชุดเครื่องแบบเต็มยศสีดำตกใจเล็กน้อยกับสภาพของอีกฝ่าย นอกจากตอนที่ยังเป็นเลดี้แล้ว เขาก็ไม่เคยเห็นนางปล่อยผมอีกเลย ก่อนที่เขาจะเอ่ยถามอะไร หญิงสาวก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน
“หม่อมฉันประสงค์จะออกจากพระราชวังเพคะ”
………………………………………………
ส่วนที่ 5 They go off into the sunset.
(และแล้วพวกเขาก็ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่)
“…อะไรนะ?”
ผ่านไปครู่ใหญ่ลูซิโอถึงได้ถามกลับอย่างงุนงง
“ตามที่หม่อมฉันกราบทูลเพคะ” แพทริเซียตอบเสียงเรียบ
“เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่ว่าจะออกจากวัง”
“ตามที่หม่อมฉันกราบทูล…”
“ไม่สิ เราหมายถึง” เขาเดินเข้าไปหาแพทริเซีย เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าหญิงสาว เขาก็เอ่ยถามอย่างวิตกกังวล “ที่เจ้าพูดหมายความว่าอย่างไร เหตุใดจู่ๆ…”
“มิใช่ ‘จู่ๆ’ หรอกเพคะ ฝ่าบาท” แพทริเซียอย่างสุขุม “เพราะหม่อมฉันคิดมาตลอด หากการต่อสู้ระหว่างหม่อมฉันกับโรสมอนด์จบลง หม่อมฉันอยากจะลงจากตำแหน่งนี้”
“…”
“หม่อมฉันเหนื่อยเหลือเกิน หม่อมฉันไม่อยากอยู่ในพระราชวังอีกต่อไปแล้วเพคะ”
“จักรพรรดินี”
“หม่อมฉันไม่อยากใช้ชีวิตในฐานะจักรพรรดินีอีกต่อไปแล้วเพคะ”
“เรา…” เขาเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เราทำความผิดไว้มากมาย”
“…”
“เรารู้ว่าเจ้าเบื่อเรา เกลียดเรา แต่…” ลูซิโออ้อนวอน “ได้โปรดอย่าพูดว่าจะไปจากที่นี่ อย่าพูดว่า…จะไปจากเรา”
“ฝ่าบาท”
“จักรพรรดินี ได้โปรด…”
“หม่อมฉันเหนื่อยล้าเหลือเกินเพคะ หม่อมฉันรู้สึกสิ้นหวัง” แพทริเซียตอบด้วยเสียงห้วน “หม่อมฉันรู้สึกว่าหากอยู่ที่นี่ต่อไปหม่อมฉันคงกลายเป็นบ้า…เพราะฉะนั้น…”
“เพราะฉะนั้นเจ้าจึงจะทิ้งเราไปอย่างนั้นหรือ ทิ้งเราไว้คนเดียว…” เขาเอ่ยถามด้วยสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าว “อย่างน้อยก็เพื่อเรา…มิใช่เพื่อเจ้า แต่เป็นเพื่อเรา…”
“…”
“เพื่อคนเห็นแก่ตัวอย่างเรา…เจ้าทำให้มิได้หรือ”
“หม่อมฉันก็อยากมีชีวิตของหม่อมฉันนะเพคะ”
“เจ้าปรารถนาสิ่งใดเราจะให้ทุกอย่าง หากเจ้าต้องการทรัพย์สมบัติอันใดเราก็จะหามาให้”
“ทรัพย์สินเงินทองหาได้มีความหมายกับบุตรีตระกูลขุนนางอย่างหม่อมฉันเพคะ ฝ่าบาท”
“หากเจ้าปรารถนาสิ่งอื่นใด เราจะมอบให้ทั้งหมด ไม่ว่าความปรารถนาของเจ้าคือสิ่งใด เราจะรับฟังทั้งหมด”
“…”
“ขอเพียงอยู่เคียงข้างเรา เจ้าจะโกรธจะเกลียดเราอย่างไรก็ล้วนทำได้ทั้งสิ้น”
“ตอนนี้หม่อมฉันไม่มีเรี่ยวแรงจะโกรธจะเกลียดพระองค์แล้วเพคะ” แพทริเซียตอบอย่างสุภาพแต่มีความตั้งใจที่แน่วแน่ “หม่อมฉันแค่อยากไปจากที่นี่และมีชีวิตอยู่อย่างสงบที่บ้านของตัวเอง ที่ที่มีอิสระ ไม่ต้องขัดแย้งกับใคร และไม่ต้องใช้เล่ห์กลอันใด…”
“นอกจากเจ้าแล้ว เราจะไม่แตะต้องสตรีคนใดในพระราชวังนี้อีก เราสาบาน เราจะมองแต่เจ้าคนเดียวไปชั่วชี…”
“ฝ่าบาท” แพทริเซียเอ่ยขัดอย่างนุ่มนวล และพูดต่อพร้อมกับมองสีหน้าสลดของอีกฝ่าย “สิ่งที่หม่อมฉันปรารถนาอย่างแท้จริงคือการได้ออกจากที่นี่ไปใช้ชีวิตอย่างอิสระ หม่อมฉันไม่อยากมีชีวิตเป็นนกน้อยในกรงทอง แต่เป็นนกป่าที่มีอิสรเสรีเพคะ”
“…”
“ทรงอย่ามองแค่หม่อมฉันเพียงคนเดียวเลยเพคะ หม่อมฉันรับน้ำพระทัยไว้ไม่ไหว”
“เรามิได้ต้องการสิ่งใดจากเจ้า เราจะไม่ปรารถนาสิ่งใด จะไม่เรียกร้องสิ่งใด ขอเพียงเจ้าอยู่เคียงข้างเรา เรายอมทำทุกอย่าง ช่วยอยู่กับเรา…ไม่ได้หรือ”
“ขอประทานอภัยเพคะ ฝ่าบาท”
“จักรพรรดินีแพทริเซีย ได้โปรด…”
“หม่อมฉันทำไม่ได้เพคะ”
“เราขอร้อง อย่า…”
อย่าทิ้งข้าไป คำพูดนั้นที่เขาไม่กล้าพูดออกไปยังคงติดอยู่ที่ปาก แพทริเซียรู้ว่าเขาต้องการจะพูดอะไร แต่นางก็ยังคงส่ายหน้า เพื่อตัวข้า รวมถึงตัวท่านเอง… นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว
แพทริเซียเอ่ยคำพูดสุดท้าย “หม่อมฉันต้องการไปจากพระราชวังเพคะ ฝ่าบาท ได้โปรดปลดหม่อมฉันโดยที่มิต้องรับโทษตายด้วยเถิดเพคะ หม่อมฉัน…ร้องขอต่อพระองค์”
“เรา…”
ไม่มีทาง ข้าจะทำได้อย่างไร ตอนนี้ข้ารักเจ้าไปแล้ว ในที่สุด…ข้าก็แยกแยะความรักกับความสงสารได้แล้ว ในที่สุด…
“ไม่อนุญาต”
…ข้าก็สบตากับเจ้าตรงๆ ได้แล้ว
“ฝ่าบาท”
“เจ้าจะด่าทอว่าเราเป็นคนเห็นแก่ตัวก็ไม่เป็นไร จะดูหมิ่นว่าเราเป็นจักรพรรดิไร้ยางอายก็ไม่เป็นไร”
“…”
“แต่ห้ามไปจากเรา เรื่องนี้เท่านั้นที่เรายอมไม่ได้…”
“แม้หม่อมฉันจะไม่รักพระองค์หรือเพคะ”
“ความรักของเรา ความอาลัยของเรา หัวใจของเรา ล้วนเป็นของเจ้าทั้งหมด”
“…”
“เราบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือ ไม่ว่าเจ้าจะโกรธจะเกลียดอย่างไร เราไม่สนใจ”
ขอเพียงเจ้า…อยู่เคียงข้างข้าก็พอ
เสียงของสาวใช้ดังขึ้น
“ดัชเชส พระราชวังส่งคนมาค่ะ”
“ใครมาหรือ”
“มาร์เชอเนสมีร์ยา พรินสกีค่ะ”
“มาร์เชอเนสพรินสกี? นางมาด้วยเรื่องอันใด”
“ฟังว่ามาด้วยเรื่องมาร์เชอเนสเอธิลเลอร์ค่ะ”
ได้ยินดังนั้นดัชเชสเอเฟรนีก็นิ่วหน้า นางกล่าวขอตัวกับเปโตรนิยา
“ดูเหมือนพระจักรพรรดินีจะส่งคนมาค่ะ”
“ฝ่าบาทคงส่งมาร์เชอเนสพรินสกีมาด้วยเรื่องการบอกเลิกรับมาร์เชอเนสเอธิลเลอร์เป็นบุตรบุญธรรมกระมังคะ” เปโตรนิยากล่าวอย่างไม่ประหลาดใจ “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนดีกว่าค่ะ ฝ่าบาทคงจะถามหาแล้ว”
“ค่ะ เลดี้ คราวหน้าแวะมาอีกนะคะ ข้าอยู่ว่างๆ เบื่อเหลือเกิน”
“ข้าจะพยายามแวะมาบ่อยๆ ค่ะ ดัชเชสเอเฟรนี”
เปโตรนิยากล่าวลาอย่างนอบน้อมก่อนจะเปิดประตูออกไป ระหว่างทางนางสบตากับมีร์ยาและพยักหน้า เมื่อเห็นสัญญาณจากอีกฝ่ายว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี เปโตรนิยาก็ยิ้มน้อยๆ
มีร์ยาเป็นผู้ช่วยและที่ปรึกษาของแพทริเซียจึงมีน้อยครั้งที่นางจะออกจากวัง เห็นได้ชัดว่าเรื่องคราวนี้เป็นเรื่องใหญ่ นางจึงต้องลงมือด้วยตัวเอง เมื่อดัชเชสเอเฟรนีพบหน้ามีร์ยา นางก็เอ่ยถาม
“เชิญค่ะ มาร์เชอเนสพรินสกี ไม่ได้พบกันนานทีเดียว”
“นั่นสิคะ ดัชเชสเอเฟรนี ไม่ได้ติดต่อกันเสียนาน”
มีร์ยานั่งลงอย่างสง่างาม จากนั้นสาวใช้ก็เข้ามาเก็บถ้วยชาของเปโตรนิยาและนำชานมรสส้มในส่วนของมีร์ยามาให้ ดัชเชสเอเฟรนีถามถึงสาเหตุการมาเยือนของอีกฝ่ายทันที ต่างจากคราวของเปโตรนิยาที่เป็นการพูดคุยสัพเพเหระเสียมากกว่า
“มีธุระอะไรหรือคะ”
“เมื่อครู่การตัดสินโทษของมาร์เชอเนสเอธิลเลอร์สิ้นสุดลงแล้วค่ะ นางจะถูกยึดบรรดาศักดิ์คืน และจะถูกประหารในอีกสองวัน”
“ดำเนินการได้รวดเร็วดีนะคะ”
“ไม่มีเหตุผลที่จะยืดเวลาลงทัณฑ์นักโทษอุกฉกรรจ์ จริงไหมคะ ได้ยินว่าวันนี้ดัชเชสเองก็มีเรื่อง…”
“ขอไม่พูดถึงเรื่องนั้นดีกว่าค่ะ”
“ค่ะ ดัชเชส ข้าเองก็มิได้มาด้วยเรื่องนั้น หากทำให้ขุ่นเคืองใจต้องขออภัยด้วยค่ะ” มีร์ยาขอโทษอย่างนอบน้อมก่อนจะบอกจุดประสงค์ที่นางมาวันนี้ “เรื่องราวคราวนี้ทำให้พระจักรพรรดินีไม่พอพระทัยมากทีเดียว จึงฝากคำเตือนมาว่า หากดัชเชสไม่บอกเลิกรับเลดี้โรสมอนด์เป็นบุตรบุญธรรมของตระกูลเอเฟรนี ตระกูลเอเฟรนีก็จะต้องรับโทษไปตามกันค่ะ”
“ท่านเองก็คงจะทราบดีว่าอีกไม่นานสามีของข้าจะไม่ได้เป็นดยุกอีกต่อไป การรับเลดี้โรสมอนด์เข้าตระกูลเป็นความตั้งใจของสามีแต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่เกี่ยวกับข้า”
“ดัชเชส เช่นนั้นท่านจะบอกว่า…”
“ข้าและตระกูลไม่คิดจะรับมือกับโทสะของพระจักรพรรดินีเพื่อปกป้องเลดี้โรสมอนด์หรอกค่ะ มาร์เชอเนส ข้าขอบอกเลิกรับเป็นบุตรบุญธรรมค่ะ ขั้นตอนยุ่งยากไหมคะ”
“ไม่เลยค่ะ ดัชเชส ในเมื่อดัชเชสยืนยันแล้ว ขั้นตอนวุ่นวายเหล่านั้นย่อมมิใช่ปัญหา ข้าจะนำคำพูดของท่านไปกราบทูลฝ่าบาทให้เองค่ะ”
“ค่ะ รบกวนด้วยนะคะ มาร์เชอเนส ได้ยินว่าที่ผ่านมา เจมส์ เฮ็ดวิกสร้างความขุ่นเคืองพระทัยไว้มาก ข้าเกรงว่าฝ่าบาทจะไม่พอพระทัยตระกูลของข้าเพราะคนที่มิใช่สมาชิกตระกูลอีกต่อไปแล้วน่ะค่ะ”
“หากนำเรื่องนี้ไปกราบทูล ฝ่าบาทย่อมต้องเข้าพระทัยค่ะ ดัชเชส ไม่ต้องกังวลนะคะ”
“ขอบคุณค่ะ มาร์เชอเนสพรินสกี”
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะคะ”
เมื่อเสร็จธุระมีร์ยาก็ลุกขึ้นเงียบๆ
“จะไปแล้วหรือคะ ยังดื่มชาไม่หมดเลย” ดัชเชสเอเฟรนีเอ่ยรั้งพอเป็นพิธี
“พระจักรพรรดินีทรงให้ความสนพระทัยในเรื่องนี้มากค่ะ ข้าต้องรีบนำความกลับไปกราบทูล”
“ก็จริงค่ะ” ดัชเชสเอเฟรนีพยักหน้าอย่างเข้าใจ “พระวรกายของฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้างคะ”
“บาดแผลที่ได้รับจากการถูกโจมตีดีขึ้นมากแล้วค่ะ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ”
“โล่งอกไปที เดี๋ยวข้าจะให้สาวใช้นำสมุนไพรรักษาแผลไปถวายนะคะ ฝ่าบาทต้องมาบาดเจ็บเพราะบุตรสาวที่รับเข้าตระกูลโดยไม่คิดแท้ๆ”
“ขอบคุณนะคะ ดัชเชส เช่นนั้นข้าขอตัว…”
มีร์ยาเดินไปที่ประตูอย่างสง่าผ่าเผยและเปิดประตูเดินออกไปอย่างเงียบเชียบ ในห้องรับแขกเหลือเพียงดัชเชสเอเฟรนีนั่งดื่มชานมรสส้มที่เย็นชืดจนหมด
ต่อให้นางก้าวออกไปจากห้องนี้ นางก็อยู่คนเดียวอยู่ดี
เมื่อกลับมาถึงพระราชวัง มีร์ยาก็รีบนำคำของดัชเชสเอเฟรนีไปบอกกับแพทริเซียทันที ได้ฟังคำตอบอย่างที่ต้องการแล้วแพทริเซียก็วางใจ คราวนี้ดูเหมือนว่ามันจะจบลงจริงๆ แล้ว
“ต้องนำเรื่องนี้ไปแจ้งเลดี้เอเฟร…ไม่สิ เลดี้โรสมอนด์หรือไม่เพคะ” มีร์ยาถาม
“ต้องบอกสิ ตอนนี้นางเป็นอย่างไร”
“ย่ำแย่เพคะ” มีร์ยาถอนหายใจพลางส่ายหน้า “อาละวาดไปทั่ว ทั้งยังร้องตะโกนขอความเป็นธรรมด้วยเพคะ สุดท้ายผู้คุมทนไม่ไหวจึงผสมยานอนหลับในข้าวให้นางกิน”
“นางคงจะเป็นเช่นนั้นไปจนกว่าจะตาย”
แพทริเซียพึมพำอย่างว้าวุ่นใจก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้น
“ริซซี่? เจ้าจะไปไหน?” ราฟาเอลาถาม
“เรื่องนี้ข้าไปบอกนางเองน่าจะดีกว่า ข้ามีเรื่องจะพูดกับนางเป็นครั้งสุดท้ายด้วย”
ก่อนการประหารหนึ่งวันห้ามติดต่อกับนักโทษ แพทริเซียจึงมีโอกาสพูดคุยกับโรสมอนด์แค่วันนี้เท่านั้น นางคิดว่าอย่างน้อยก็ควรจะได้คุยกันเป็นครั้งสุดท้าย แน่นอนว่าเมื่อมีร์ยาและราฟาเอลาได้ยินคำพูดของแพทริเซีย พวกนางก็มีสีหน้าไม่เข้าใจ และถามว่าถูกกระทำขนาดนั้นแล้วยังจะต้องพูดคุยอันใดเป็นครั้งสุดท้ายอีก แพทริเซียจึงตอบว่านางเองก็ไม่รู้เหมือนกันพลางหัวเราะอย่างไร้เรี่ยวแรง
***
“เรียกดยุกเอเฟรนีมา! เรียกดยุกเอเฟรนีมาเดี๋ยวนี้!”
อีกด้านหนึ่ง โรสมอนด์เริ่มโวยวายทันทีที่ลืมตาตื่น แพทริเซียได้ยินเสียงนั้นตั้งแต่ทางเข้าคุกใต้ดิน นางเดินไปยังห้องขังของโรสมอนด์ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เมื่อเห็นแพทริเซีย เสียงโวยวายของโรสมอนด์ก็ยิ่งดังขึ้นจนทุกคนต้องนิ่วหน้าและเอามือปิดหูอย่างปวดแสบ
“เจ้า! เจ้าคิดว่าทำกับเข้าเช่นนี้แล้วจะอยู่รอดปลอดภัยอย่างนั้นรึ”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น เพราะข้าคือจักรพรรดินีแห่งจักรวรรดินี้ ส่วนเจ้าคือนักโทษประหารที่จะตายในวันมะรืน”
น้ำเสียงของแพทริเซียไม่มีนัยยะอื่นใด และไม่มีแววของความขบขัน นางเพียงแต่พูดกับอีกฝ่ายอย่างจริงจังเป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้น
“เจ้าเรียกหาดยุกเอเฟรนีไปก็ไร้ประโยชน์”
“ทำไม! เจ้าเป็นใครจึงกล้าพูดเช่นนั้นกับข้า…!”
“ดัชเชสเอเฟรนีรู้ความจริงแล้วว่าเขาขืนใจนางเพื่อแต่งงาน ดัชเชสเอเฟรนียื่นคำร้องขอหย่า ส่วนดยุกเอเฟรนี ไม่สิ เจมส์ เฮ็ดวิกได้กลับไปอยู่กับน้องชายแล้ว ข้าจะทำให้การหย่าของทั้งคู่เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด ดังนั้น เขามิใช่อัครมหาเสนาบดีอีกต่อไป เขาจะใช้ชีวิตอย่างสามัญในฐานะสมาชิกตระกูลบารอนเฮ็ดวิกเท่านั้น”
“เจ้า…!” เมื่อความลับที่ตนเคยคิดว่าไม่มีใครรู้ถูกเปิดโปง โรสมอนด์ก็ตกใจถามอย่างตะลึงงัน “เจ้ารู้เรื่องนั้นได้อย่าง…!”
“ข้ารู้ได้อย่างไรน่ะหรือ” แพทริเซียพูดต่ออย่างสงบนิ่ง “มิใช่เพียงเท่านั้น ข้ายังรู้อีกว่าเจ้าขู่เจมส์ เฮ็ดวิกด้วยเรื่องใด และเจมส์ เฮ็ดวิกได้ครองตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีอย่างไร”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร เรื่องนั้นมีเพียงข้ากับแจนี่…!”
“ใช่” แพทริเซียยอมรับ “มีเพียงเจ้ากับแจนยูเอรีที่รู้ ไม่รู้ว่าเจ้ารู้หรือไม่ แต่แจนยูเอรีถูกไล่ออกจากบ้านไปพร้อมกับเจมส์ เฮ็ดวิกเพราะเรื่องนั้น นางออกไปตัวเปล่าพร้อมกับลูกชายที่อายุยังไม่เต็มห้าขวบ”
“…”
“ดัชเชสเอเฟรนีบอกเลิกรับเจ้าเป็นบุตรบุญธรรมแล้ว ต่อจากนี้เจ้ามิใช่เลดี้เอเฟรนีอีกต่อไป”
“…”
“เจ้าคงจะคิดว่าหากดยุกเอเฟรนีไม่ร่วมมือกับเจ้า เจ้าก็จะเปิดโปงเขา ใช่หรือไม่? แต่ตอนนี้มันไม่มีประโยชน์อันใดแล้ว เพราะเขาไม่มีอะไรจะเสียแล้ว”
“แต่อย่างน้อยมันก็คงทำให้ผู้ชายคนนั้นเจ็บปวดได้บ้าง”
“…”
ได้ยินดังนั้น สีหน้าของแพทริเซียก็มืดไปครึ่งแถบ ‘ผู้ชายคนนั้น’ หมายถึงลูซิโอ
“อย่า” นางเอ่ยเตือนสั้นๆ
“ทำไม?” โรสมอนด์ถามอย่างขบขัน “บอกมาสิ แพทริเซีย หรือเจ้าชอบผู้ชายคนนั้น? ตั้งสติได้แล้ว! ผู้ชายคนนั้นเป็นฆาตกร เป็นลูกชั่วที่ฆ่าแม่บังเกิดเกล้าด้วยมือตัวเอง”
“หากเจ้าไม่เคยประสบกับเรื่องนั้นด้วยตัวเอง เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ไปดูหมิ่นเขา โรสมอนด์ เจ้าเองก็แก้แค้นพี่ชายต่างแม่ที่ขืนใจเจ้ามิใช่หรือ? ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเจ้าก็น่าจะรู้ว่าเจ้ามิอาจพูดจาพล่อยๆ กับเขาได้”
“สรุปคือเจ้าชอบผู้ชายคนนั้นอย่างนั้นรึ? โง่งมนัก!”
“ข้าไม่เคยพูดว่าข้าชอบฝ่าบาท ข้าเพียงแต่สงสารพระองค์เท่านั้น”
“สงสาร!” โรสมอนด์ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “เจ้าเองก็เสียสติไปแล้วสินะถึงได้สงสารผู้ชายคนนั้น ทั้งที่ถูกกระทำไปขนาดนั้น ทั้งที่เจ้ารู้ดีกว่าใครว่าเขาทำอะไรลงไป…!”
“พอเถอะ โรสมอนด์ เจ้าไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายไปมากกว่านี้ หากเจ้าพูดจาพล่อยๆ ต่อหน้าเขา ข้าจะตัดหัวเจ้าก่อนที่เจ้าจะได้อ้าปาก”
“เจ้า…” โรสมอนด์ถามแพทริเซียด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว “เหตุใดเจ้าถึงทำกับข้าแบบนี้”
“ทำไมน่ะหรือ” แพทริเซียโต้กลับราวกับนางไม่แปลกใจอะไรอีกแล้ว “ข้าต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถาม เจ้าเองมิใช่หรือที่เอาแต่ทิ่มแทงข้า ทั้งที่ข้าก็อยู่ของข้าดีๆ ไม่เคยคิดอยากจะทำอะไรแบบนี้กับเจ้าเลยสักนิด ข้าตั้งใจว่าจะอยู่เงียบๆ เป็นแค่จักรพรรดินีในนามเท่านั้น”
“…”
“เจ้าทำให้ข้าเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้น โรสมอนด์ ข้าจึงมีสิทธิ์ทำกับเจ้าเช่นนี้อย่างไรเล่า”
“จักรพรรดินีในนาม…เฮอะ! พูดจาสูงส่งนัก” โรสมอนด์ยิ้มเยาะพลางเย้ยหยันแพทริเซีย “ตำแหน่งนั้นเป็นตำแหน่งที่สตรีทั้งจักรวรรดิปรารถนาและแหงนหน้ามอง แต่เจ้ากลับคิดจะนั่งบนตำแหน่งนั้นในฐานะจักรพรรดินีในนามอย่างนั้นรึ? อย่าพูดให้ขำหน่อยเลย เรื่องพรรค์นั้นมีที่ไหนกัน!”
“ใช่ว่าทุกคนจะคิดเหมือนกับเจ้า เอาเถอะ ต่อให้ส่วนใหญ่เป็นดังที่เจ้าว่า แต่อย่างน้อยข้าก็ไม่ใช่” แพทริเซียพูดตัดบทอย่างปล่อยวาง “ทุกอย่างมันจบแล้ว”
“ยังไม่จบ” โรสมอนด์กล่าวด้วยน้ำเสียงดุร้ายราวกับจะปฏิเสธความจริง “เจ้าฆ่าหญิงที่ตั้งครรภ์สายเลือดของจักรพรรดิไม่ได้”
“มาถึงตอนนี้เจ้าจะบอกว่าเจ้าตั้งครรภ์สายเลือดของจักรพรรดิอย่างนั้นหรือ หากจะวินิจฉัยการตั้งครรภ์ต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็หนึ่งสัปดาห์ ในขณะที่เจ้าจะถูกประหารในวันมะรืน ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีใครเชื่อเจ้าหรอก อย่าคิดอะไรโง่ๆ เลย”
“ข้าต้องอยู่ต่อไป ข้าจะมาตายแบบนี้ไม่ได้!” โรสมอนด์ถลึงตาพูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “ข้าจะต้องให้กำเนิดรัชทายาทและขึ้นเป็นพระพันปี ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ดูเบาข้ามิได้ ทุกคนจะต้องกริ่งเกรงข้า มิอาจลบหลู่ข้า!”
“…โรสมอนด์” แพทริเซียเรียกอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา “ต่อให้เจ้ารอดไปได้ เจ้าก็เป็นพระพันปีไม่ได้”
“อย่ามาล้อเล่นกับข้า เจ้าเป็นใคร…!”
“เพราะเจ้าเป็นหมัน”
“…”
สิ้นคำ สีหน้าของโรสมอนด์ก็พลันแข็งค้าง
การพิจารณาคดีถูกจัดขึ้นที่จัตุรัสเจอร์เบียเน็นในนครหลวงคาร์วูด แพทริเซียในชุดเดรสสีฟ้าก้าวขึ้นรถม้าก่อนเวลาเที่ยงวันเพียงครู่เดียว การพิจารณาคดีในวันนี้แท้จริงก็คือการตัดสินโทษ ประชาชนทุกคนจึงมีสิทธิ์เข้าร่วมฟังคำตัดสิน
“อีกห้านาทีน่าจะถึง”
ได้ยินราฟาเอลาที่นั่งอยู่ข้างๆ พูดดังนั้น แพทริเซียก็หลับตาลงและประสานมือไว้ที่ตัก ตอนนี้นางกำลังมุ่งหน้าไปที่จัตุรัสเจอร์เบียเน็น มุ่งหน้าไปที่ที่ครอบครัวของนางถูกประหารในชาติก่อน แต่ตอนนี้นางคือจักรพรรดินี และคนที่กำลังจะถูกประหารก็ไม่ใช่นางแต่เป็นโรสมอนด์ แพทริเซียหัวเราะเบาๆ ให้กับเรื่องตลกร้ายนี้
การพิจารณาคดีแบบเปิดถูกจัดขึ้นนานๆ ครั้งทำให้มีผู้คนมากมายมาร่วมชม การพิจารณาคดีแบบเปิดมักใช้ในการตัดสินโทษของนักโทษอุกฉกรรจ์ที่ไม่จำเป็นต้องเก็บรักษาความลับ ต่างจากการพิจารณาคดีของโรสมอนด์คราวก่อนซึ่งจำเป็นต้องปิดเรื่องที่ทั้งจักรพรรดิและจักรพรรดินีเกือบถูกสังหารไว้เป็นความลับจึงมิได้เปิดให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าฟังการตัดสิน
“นั่นพระจักรพรรดินี!”
“พระจักรพรรดินีเสด็จ!”
ประชาชนโห่ร้องเมื่อเห็นรถม้าที่มีตราราชวงศ์และตราประจำตระกูลโกรเชสเตอร์เคลื่อนตัวเข้ามา แพทริเซียลงจากรถม้าด้วยสีหน้าไร้รอยยิ้ม นางเห็นจักรพรรดิและเหล่าขุนนางคนอื่นๆ ดูเหมือนว่าโรสมอนด์จะยังไม่มาถึง
เมื่อนางเดินเข้าไปหาจักรพรรดิ เหล่าขุนนางที่เห็นต่างก็คุกเข่าแสดงความเคารพ นางเข้าไปทำความเคารพลูซิโอซึ่งเป็นคนเดียวที่ไม่ได้คุกเข่าต่อหน้านาง
“จันทราแห่งจักรวรรดิถวายบังคมฝ่าบาท”
“ระหว่างทางลำบากหรือไม่”
“ไม่เพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันมิได้ลำบาก”
จากพระราชวังมายังจัตุรัสเจอร์เบียเน็นใช้เวลาเดินทางเพียงสิบสามนาที นางรู้สึกขบขันกับคำถามของเขา ในขณะเดียวกันก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“นักโทษจะมาถึงเมื่อใดหรือเพคะ”
“เมื่อครู่ทางพระราชวังเพิ่งแจ้งเข้ามา อีกสักครู่ก็มาถึงแล้วล่ะ”
พูดไม่ทันขาดคำ รถม้าซอมซ่อคันหนึ่งก็มุ่งหน้าเข้ามาในจัตุรัส เมื่อรถม้าจอดนิ่งสนิท โรสมอนด์ก็ปรากฏตัวพร้อมกับผู้คุมประกบซ้ายขวา ผู้คนเห็นดังนั้นก็ส่งเสียงประณามอย่างเซ็งแซ่
“ได้ยินว่าผู้หญิงคนนั้นลอบสังหารฝ่าบาท!”
“เป็นแค่บุตรีของบารอน ไต่เต้าขึ้นมาได้ขนาดนี้ก็ควรรู้จักสำนักในพระมหากรุณาธิคุณสิ! ละโมบจนเกินตัว”
“สุดท้ายก็ต้องรับโทษจนได้”
โรสมอนด์ได้ยินทุกคำประณามหยามเหยียดอย่างไม่ตกหล่น แต่นางก็ยังคงเดินต่อไปอย่างสงบนิ่ง สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ นางถูกนำตัวมาที่กลางจตุรัส ผู้คุมทั้งสองบังคับให้นางคุกเข่าลง มือสองข้างถูกมัดไว้ด้านหลัง แววตาของโรสมอนด์ยังคงโอหังและดุดันไม่เปลี่ยนแปลง แต่ก็มิอาจปกปิดความกังวลใจเล็กๆ ได้ แพทริเซียอ่านความกังวลใจนั้นออกอย่างรวดเร็ว มันคือความกังวลใจแบบเดียวกับที่นางรู้สึกก่อนตาย เป็นความรักตัวกลัวตายที่มิอาจซ่อนเร้น แม้ภายนอกจะแสร้งทำเป็นไม่ยี่หระก็ตาม
จักรพรรดิกล่าวเปิดการตัดสินคดี
“ในเมื่อนักโทษมาแล้วก็เริ่มพิจารณากันเลยเถอะ”
แม้อำนาจเบ็ดเสร็จในการสืบสวนจะอยู่ที่แพทริเซีย แต่นางมอบสิทธิ์ในการพิจารณาคดีให้กับดยุกวาเซียร์ เขาเอ่ยเสียงต่ำ
“ขอเริ่มการตัดสินโทษของมาร์เชอเนสโรสมอนด์ แมรี รูน เอธิลเลอร์ ณ บัดนี้”
“ประเดี๋ยวก่อน ใต้เท้า” ในตอนนั้นเองขุนนางคนหนึ่งก็เอ่ยทัดทาน “เหตุใดดยุกเอเฟรนีจึงไม่เข้าร่วมเล่าท่าน มาร์เชอเนสเอธิลเลอร์เป็นบุตรีบุญธรรมของเขามิใช่หรือ”
“หกโมงเช้าของวันนี้ดัชเชสเอเฟรนีได้ยื่นคำร้องขอหย่าแล้ว” แพทริเซียตอบแทนดยุกวาเซียร์ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “แม้จะยังไม่เป็นทางการ แต่หากดยุกกับดัชเชสเอเฟรนีหย่าขาดกันแล้ว เขาก็มิใช่ประมุขของตระกูลเอเฟรนีอีกต่อไป เป็นเพียงสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลเฮ็ดวิก ผู้ที่สามารถออกความเห็นในที่แห่งนี้ได้ต้องเป็นขุนนางบรรดาศักดิ์เคานต์ขึ้นไปเท่านั้น ดังนั้น จะให้ขุนนางที่ยังไม่รู้ว่าอยู่ในฐานันดรใดมาเข้าร่วมการพิจารณาคดีได้อย่างไร”
ข่าวอันเหนือความคาดหมายทำให้ที่ประชุมก็ตกอยู่ในความชุลมุนอีกครั้ง แต่ดยุกวาเซียร์ก็ยับยั้งความวุ่นวายได้เป็นอย่างดี
“เอาล่ะ ทุกคนโปรดอยู่ในความสงบ หากไม่มีข้อประท้วงอื่นใดแล้วข้าจะดำเนินการพิจารณาคดีต่อเลย”
ดยุกวาเซียร์มองไปด้านหน้าและพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“วันที่ 10 เดือน 9 ปีที่ 986 ตามปฏิทินของจักรวรรดิ พระจักรพรรดินีแห่งมาวินอสถูกลอบสังหาร แต่โชคดีที่อัศวินผู้น่ายกย่องเข้าช่วยเหลือจึงเสด็จกลับพระราชวังได้อย่างปลอดภัย กองอัศวินราชองครักษ์หมู่สองจับมือสังหารที่เข้าโจมตีรถม้าของพระจักรพรรดินีได้สองคน และเมื่อสี่วันก่อนพวกเขาได้รับสารภาพแล้วว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลัง ประกอบกับคำให้การของพระจักรพรรดิ หลักฐานทุกอย่างบ่งชี้ไปที่มาร์เชอเนสเอธิลเลอร์”
ดยุกวาเซียร์หันไปถามโรสมอนด์ที่นั่งคุกเข่าและมีสีหน้ามาดร้าย
“มาร์เชอเนสเอธิลเลอร์ ท่านจะยอมรับความผิดนี้หรือไม่”
“ข้าน้อยเนื้อต่ำใจนัก นี่เป็นแผนการร้าย! เรื่องทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมา ทั้งนักฆ่า ทั้งคำให้การของฝ่าบาท!”
“มาร์เชอเนสเอธิลเลอร์ โปรดใจเย็นลงก่อน หากท่านไม่มีหลักฐานว่านี่คือการสร้างเรื่อง เกรงว่าโทษของท่านจะยิ่งหนักขึ้น”
ถึงอย่างไรนางก็ต้องถูกประหารอยู่ดี แพทริเซียไม่มีทางพลาดโอกาสอันดีเช่นนี้ โรสมอนด์ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเคียดแค้น ดยุกเอเฟรนีก็ไม่รู้ไปพลาดท่าอย่างไรถึงได้ถูกฟ้องหย่ากะทันหัน และด้วยเหตุนั้นแจนยูเอรีถึงได้ถูกไล่ออกจากบ้าน
ตอนนี้คนที่จะช่วยนางได้มีเพียงดัชเชสเอเฟรนีเท่านั้น แต่ดูเหมือนนางจะไม่สนใจว่าบุตรีบุญธรรมจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร การพิจารณาคดีในวันนี้นางก็มิได้เข้าร่วม กล่าวคือตอนนี้โรสมอนด์สติแตกจนแทบคลั่งแล้ว
“มาร์เชอเนสเอธิลเลอร์ ท่านจะไม่ยอมรับความผิดหรือไม่”
“ก็ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด! ทั้งหมดนี้คือแผนการชั่วร้ายของจักรพรรดินีที่หลอกให้ข้ามาติดกับ!”
“…”
เห็นทีคงจะพูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว แพทริเซียถอนหายใจและเอ่ยถามทุกคนในที่นั้น
“เราขอถามขุนนางทุกท่านที่อยู่ ณ ที่นี้ การลอบสังหารจักรพรรดินีถือเป็นความผิดร้ายแรง กฎหมายของจักรวรรดิระบุไว้ชัดเจนว่าโทษของผู้กระทำผิดคือถูกประหาร เราประสงค์จะมอบโทษประหารให้นางฐานดูหมิ่นราชวงศ์เพื่อมิให้ทุกคนถือเป็นเยี่ยงอย่าง มีขุนนางท่านใดเห็นเป็นอื่นหรือไม่”
“…”
ไม่มีใครกล้าออกตัว แพทริเซียถือว่าความเงียบคือเห็นด้วยจึงถามลูซิโอเสียงห้วน
“ฝ่าบาท ในที่นี้ไม่มีขุนนางคัดค้านความเห็นของหม่อมฉัน”
“…”
“หม่อมฉันจะมอบโทษประหารให้แก่คนรักของพระองค์โทษฐานที่บังอาจลอบสังหารจักรพรรดินี ฝ่าบาทจะพระราชทานพระบรมราชานุญาตหรือไม่”
“…เราอนุญาต”
“ฝ่าบาท! เหตุใดจึงทรงทำกับหม่อมฉันเช่นนี้…!”
โรสมอนด์ทำตัวเป็นนางเอกละครโศกที่ถูกทอดทิ้ง ราวกับนางลืมไปจนหมดสิ้นแล้วว่าตนเคยพูดอะไรกับลูซิโอ ทว่า ลูซิโอจดจำเรื่องราวในวันนั้นได้ทุกรายละเอียด เขาจึงรู้สึกว่าสถานการณ์ในตอนนี้ช่างขมขื่นหาใดเปรียบ ในขณะที่แพทริเซียต้องการจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด นางจึงประกาศด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“เช่นนั้น ในนามของจักรพรรดินี เราขอตัดสินประหารชีวิตโรสมอนด์ แมรี รูน เอธิลเลอร์ วันที่ทำการประหารคืออีกสองวันให้หลัง อีกทั้งไม่อนุญาตให้นางใช้นามสกุลเอธิลเลอร์อีกต่อไป และหากตระกูลเอเฟรนีไม่บอกเลิกรับนางเป็นบุตรบุญธรรม ตระกูลเอเฟรนีก็หนีโทษทัณฑ์นี้ไม่พ้นเช่นกัน”
พูดจบ แพทริเซียก็ออกคำสั่งผ่านมีร์ยาให้ตระกูลเอเฟรนีแสดงจุดยืน การพิจารณาคดีเสร็จสิ้นลงเพียงเท่านั้น โรสมอนด์ถูกตัดสินประหารชีวิต อีกสองวันหลังจากนี้ชีวิตของนางจะสลายหายไปราวกับน้ำค้างในลานประหาร[1] คิดได้ดังนั้นโรสมอนด์ก็หวีดร้องเสียงแหลม
“กรี๊ดดดดด! ไม่นะ! ข้าไม่ได้ทำ!”
นางจะต้องได้เป็นจักรพรรดินี ไม่สิ นางจะต้องได้เป็นพระพันปี นางจะต้องได้เป็นคนที่ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ล่วงเกินมิได้ น้ำค้างในลานประหารรึ? นั่นไม่ใช่สิ่งที่นางควรได้รับ มันต้องเป็นแพทริเซียต่างหาก โรสมอนด์มีสีหน้าอัดอั้นตันใจราวกับไม่ได้รับความเป็นธรรม นางยังคงประท้วงอย่างถึงที่สุด
“ไม่ยุติธรรม! ไม่ยุติธรรม!”
ทว่า เสียงร้องตะโกนของนางไม่มีความหมายอีกต่อไป การตัดสินโทษจบลงแล้วขณะเดียวกันผู้คนต่างก็ยืนชมพฤติกรรมสกปรกของนางมารร้ายเจ้าเล่ห์ ผู้คุมสองคนเข้ามาประกบข้างกายอีกครั้งและจับโรสมอนด์ยัดเข้าไปในรถม้า ตอนนี้โรสมอนด์กลายเป็นนักโทษประหารอย่างเป็นทางการแล้ว แพทริเซียมองโรสมอนด์ถูกลากเข้าไปในรถม้าพลางถอนหายใจด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า
***
อีกด้านหนึ่ง แทนที่จะไปชมการพิจารณาคดีของโรสมอนด์ที่จัตุรัสเจอร์เบียเน็น เปโตรนิยากลับไปที่คฤหาสน์ดยุกเอเฟรนี บรรยากาศในคฤหาสน์ไม่ผิดแผกไปจากปกติ หากเช้าวันนี้ไม่ได้ยินข่าวจากแพทริเซียว่าดัชเชสเอเฟรนียื่นคำร้องขอหย่าแล้ว นางคงไม่รู้ว่าในบ้านนี้เกิดเรื่องขึ้น พ่อบ้านพานางไปที่ห้องรับแขก จากนั้นดัชเชสเอเฟรนีก็เข้ามา เปโตรนิยารีบลุกขึ้นทักทายอีกฝ่าย
“ไม่พบกันนานเลยนะคะ ดัชเชสเอเฟรนี”
“เลดี้เปโตรนิยา”
นับจากที่พบหน้ากันครั้งสุดท้ายเพิ่งผ่านมาได้ไม่กี่วัน แต่สีหน้าของดัชเชสเอเฟรนีก็ดูย่ำแย่ลงมาก เห็นดังนั้น เปโตรนิยาก็เอ่ยถามสารทุกข์สุขดิบอย่างเห็นใจ
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ สีหน้าดูเหนื่อยกว่าที่เจอกันครั้งก่อน”
“ระยะนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายทีเดียวค่ะ”
พูดจบ ดัชเชสก็วานให้สาวใช้นำชาออกมาสองถ้วย เป็นชานมรสส้มหอมหวาน ปกติแล้วดัชเชสเอเฟรนีชอบดื่มแต่ชาขมๆ เมื่อพิจารณาถึงจุดนั้นก็พบว่านางไม่ปกติ เปโตรนิยากระจ่างในใจว่าแม้ภายนอกดัชเชสเอเฟรนีจะทำเหมือนไม่เป็นไร แต่ในใจคงปั่นป่วนมากทีเดียว คิดได้ดังนั้นหญิงสาวก็พยักหน้าในใจ ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น หลังจากรู้ว่าตนแต่งงานกับสามีเพราะถูกกระทำชำเรา จะมีสตรีคนใดเล่าไม่ว้าวุ่นใจ?
“สีหน้าก็ดูหม่นหมองนัก”
“เช้าวันนี้ข้ายื่นคำร้องขอหย่าแล้วค่ะ”
“ตายจริง” เปโตรนิยาแสร้งถามราวกับไม่รู้เรื่อง “ทำไมจู่ๆ …”
“เรื่องมันยาวน่ะค่ะ”
ดัชเชสเอเฟรนีเลี่ยงที่จะคุยเรื่องนี้ต่อ แน่นอนว่าเปโตรนิยารู้เรื่องอยู่แล้วแต่ก็เลือกที่จะไม่พูดออกไป ไม่ว่าใครก็คงมีความลับที่ไม่อยากให้ใครรู้อย่างน้อยหนึ่งเรื่อง อีกทั้งนางก็รู้ความลับนั้นอยู่แล้ว การคาดคั้นให้อีกฝ่ายพูดออกมาเป็นเรื่องที่โหดร้ายเกินไป โดยเฉพาะกับคนที่ได้รับแผลใจจากความลับนั้น
“แล้วใต้เท้า…”
“เรื่องหย่าคงได้รับการพิจารณาในเร็ววัน เมื่อครู่สาวใช้มาแจ้งว่าฝ่าบาททรงกำลังตรวจสอบอยู่ ส่วนคนผู้นั้นกลับไปอยู่ที่หัวเมืองกับน้องชายแล้วค่ะ”
ไม่มีทางที่เขาจะตัดสินใจจากไปเอง เห็นได้ชัดว่าถูกดัชเชสเอเฟรนีไล่ไป
“ประมุขตระกูลเอเฟรนีรุ่นต่อไปจะสืบทอดไปยังลูกพี่ลูกน้องของข้าค่ะ ได้ยินคนในตระกูลพูดกันว่าเป็นคนฉลาดหลักแหลม เขาน่าจะทำได้ดี”
“เช่นนั้นดัชเชสจะเป็นเพียงท่านหญิงใหญ่หรือคะ”
“ค่ะ แต่ข้าไม่เสียใจเลยค่ะ” ดัชเชสเอเฟรนีกล่าวเสริมอย่างชอกช้ำ “อายุปูนนี้แล้วจะแต่งออกไปที่ใดก็คงไม่ได้ ลูกชายคนเดียวก็มาจากข้าไปและถูกฝังอยู่ใต้พื้นอันเย็นเฉียบนั่นแล้ว”
ขณะที่พูด อารมณ์ของดัชเชสเอเฟรนีดูมั่นคงเหมือนตอนที่พบกันครั้งแรก แต่เมื่อคิดว่าใจของนางยังคงแห้งแล้ง ไร้ชีวิตชีวา เปโตรนิยาก็เผยสีหน้าสลดใจ ดัชเชสเอเฟรนีเห็นสีหน้านั้นก็กล่าวว่า
“ข้ารู้สึกแย่ค่ะ เลดี้โกรเชสเตอร์ แต่เมื่อคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ข้าก็สบายใจขึ้น”
“…”
“ที่ผ่านมาข้าทำดีที่สุดแล้ว ทั้งในฐานะภรรยาของชายคนนั้น และแม่ของลูก แม้ว่าทั้งสองบทบาทจะมีจุดจบที่ไม่ใคร่ดีนัก แต่ก็หาใช่ความผิดของข้าเพียงคนเดียว”
“ดัชเชส…”
ในตอนนั้นเอง ใครคนหนึ่งก็เคาะประตูห้องรับแขก
[1] น้ำค้างในลานประหาร (형장의 이슬) น้ำค้างเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนเช้ามืดและมักจะสลายหายไปในตอนเช้าที่อุณหภูมิสูงขึ้น จึงใช้เปรียบเปรยกับชีวิตที่เปราะบางของมนุษย์ที่มีเกิดย่อมมีดับ และใช้เปรียบเปรยกับผู้ที่เสียชีวิตโดยการถูกประหารชีวิต
“อือ…”
“ตื่นแล้วหรือครับ”
เสียงของเจมส์ที่ดังขึ้นจากด้านข้างทำให้อีส เอเฟรนีสะดุ้งตกใจ หญิงสาวเอ่ยถามเขาด้วยสีหน้าตะลึงพรึงเพริด
“ลอร์ด? นี่มันเกิดอะไร…”
“แย่จริง” เขาถามกลับด้วยสีหน้าลำบากใจ “เลดี้จำเรื่องเมื่อวานไม่ได้หรือครับ”
“คะ? เรื่องอะไร…”
“เมื่อวานเลดี้…” เขาลังเลแต่สุดท้ายก็พูดจนจบประโยค “เข้าหาข้ามิใช่หรือครับ”
“ขะ…ข้าหรือคะ”
อีสตกตะลึงกับคำพูดที่ได้ยินเป็นครั้งแรกในชีวิต เข้าหา? หมายถึงข้ายั่วยวนเขา? ข้าคนนี้น่ะหรือ? พระเจ้าช่วย ให้ตายเถอะ! คำพูดของเจมส์ทำให้อีสอับอายแทบแทรกแผ่นดินหนี แต่เรื่องยังไม่จบเพียงเท่านั้น ความอับอายนั้นยิ่งพุ่งทะลุเพดานเมื่ออีสเห็นสภาพเปลือยเปล่าราวกับเด็กแรกเกิดของตนกับเจมส์ หญิงสาวหลับตาแน่น สภาพไม่เรียบร้อยเช่นนี้นางรู้ได้ทันทีว่าตนทำอะไรลงไป เพราะฉะนั้น เมื่อวานนาง…
“สรุปคือเมื่อวานข้ากับลอร์ด…”
“เลดี้กระซิบบอกข้าว่าอย่าไป ขอให้ข้ากอดท่าน”
“ข้า…”
สีหน้าของอีสคล้ายไม่อยากจะเชื่อ แย่แล้ว ความเป็นกุลสตรีที่ท่านหญิงแอนเดอสันเคยย้ำหนักย้ำหนา นางได้ทิ้งมันไปหมดแล้วเมื่อวานนี้! หญิงสาวทำหน้าเหมือนจะร้องไห้พลางถามย้ำอีกครั้ง
“ข้าทำเช่นนั้นจริงๆ หรือคะ”
“เลดี้ ท่านถามย้ำๆ เช่นนี้…” น้ำเสียงของเจมส์ฟังดูลำบากใจ “ก็เหมือนว่าข้าขืนใจท่านน่ะสิครับ”
“มะ ไม่ใช่นะคะ ข้ามิได้คิดว่าลอร์ดทำเช่นนั้นเลย ข้าแค่…”
“ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเองครับ เมื่อวานข้าไม่ควรนำค็อกเทลมาให้ท่านเลย…”
ครั้นได้ยินเขากล่าวตำหนิตัวเองด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด สีหน้าสลด อีสก็รีบแย้ง
“มะ ไม่เลยค่ะ ลอร์ด ไม่ใช่ความผิดของท่านหรอกค่ะ”
“แต่ถ้าข้ารู้ว่าเลดี้จะมีปฏิกิริยาเช่นนี้… ข้าคงไม่…” เขาลังเลก่อนจะพูดต่อให้จบ “กอดท่านหรอกครับ”
“…”
สรุปก็คือตอนนี้นางกับเขาได้ทำสิ่งที่มีแต่สามีภรรยาเท่านั้นที่ทำได้ลงไปแล้ว เมื่อตระหนักได้ดังนั้น อีสก็รู้สึกหดหู่ ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้ว ตอนนี้นางต้องรับมือกับมันให้ได้
“ท่านปรารถนาสิ่งใดจากข้าหรือไม่คะ ลอร์ด” นางถาม
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าจะบังอาจใช้เรื่องเมื่อคืนมาต่อรองเพื่อขอสิ่งใดจากบุตรีตระกูลมาร์ควิสได้อย่างไร ข้ามิได้ขายตัวนะครับ”
ความเย็นชาในน้ำเสียงของอีกฝ่ายทำให้อีสขยับหนีโดยไม่รู้ตัว แต่เพียงครู่เดียวน้ำเสียงของเขาก็กลับมาอ่อนโยนขณะเอ่ยปลอบนาง
“อย่าได้กังวลนักเลยครับ เลดี้ ข้าจะเก็บเรื่องเมื่อคืนไว้เป็นความลับ”
“แต่ว่า…!”
“อนาคตของเลดี้จะมาพังเพราะคนอย่างข้าได้อย่างไร เรื่องเมื่อวานเป็นแค่ความสุขชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น”
“…”
“ลืมมันไปเถอะครับ เลดี้ ทั้งเรื่องเมื่อคืน ทั้งข้า”
ได้ยินเจมส์พูดอย่างเด็ดขาด อีสก็พูดอะไรไม่ออก เขาจ้องตานางเขม็ง เพียงครู่เดียวก็เผยยิ้มออกมาก่อนจะประทับจูบที่หน้าผากของนาง
“เลดี้คงจะอาย ข้าขอตัวก่อนดีกว่าครับ”
พูดจบ เขาก็รีบคว้าเสื้อผ้ามาสวม อีสได้แต่ซ่อนร่างเปลือยเปล่าไว้ใต้ผ้าห่มสีขาวบริสุทธิ์และเหม่อมองอีกฝ่ายเท่านั้น เมื่อเขาเตรียมตัวเสร็จก็หันมาพูดทิ้งท้าย
“เลดี้ไม่ต้องรู้สึกผิดนะครับ และไม่ต้องสนใจด้วย”
“ลอร์ด…”
“ข้าจะจดจำจูบของท่าน สัมผัสของท่าน และลมหายใจของท่านเอาไว้”
“…”
ความกระดากอายถาโถมเข้าใส่ราวกับคลื่นน้ำ อีสจึงไม่อาจพูดอะไรได้ เจมส์มองนางอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินจากไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทิ้งให้อีสนั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้นคนเดียวอีกครู่ใหญ่
***
‘แล้วข้าก็ตั้งครรภ์’
เมื่อได้ทบทวนเรื่องราวในอดีต สีหน้าของดัชเชสเอเฟรนีก็เคร่งเครียด หลังจากเหตุการณ์นั้นนางก็ตั้งครรภ์ราวกับฝันไป และต้องแต่งงานกับเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ งานแต่งงานถูกจัดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ผู้คนพูดกันไปต่างๆ นานา และหนึ่งในคำนินทาเหล่านั้นก็มีเรื่องที่นางท้องก่อนแต่งอยู่ด้วย เพราะมันเป็นเรื่องจริงที่ทำให้นางอับอาย นางจึงหายหน้าหายตาไปจากวงสังคมอยู่พักใหญ่
อย่างไรก็ตาม นางคิดว่านางต้องการเขา นางเลือกเขา นางจึงยอมให้เขากกกอด ในขณะเดียวกันเขาเองก็คิดเหมือนนาง เขาจึงยอมรับการยั่วยวนของนางด้วยความเต็มใจ ดังนั้น เด็กที่อยู่ในท้องย่อมเป็นผลพวงที่เกิดมาจากความรัก ดัชเชสเอเฟรนีสลัดความทุกข์โศกทั้งปวงทิ้งไปด้วยความคิดนั้น
ลูกของนางเป็นเด็กผู้ชาย โชคชะตาของเขาคือเกิดมาเพื่อเป็นประมุขของตระกูลเอเฟรนี เมื่อดยุกเอเฟรนีสิ้นอายุขัย ตำแหน่งผู้สืบทอดก็ถูกส่งต่อให้กับเจมส์ เฮ็ดวิกผู้เป็นสามีของอีส เอเฟรนีโดยอัตโนมัติ ในตอนนั้นเขาเลือกที่จะทิ้งนามสกุลของตัวเองและมาใช้นามสกุลเอเฟรนี ส่วนนางก็มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายมาจนถึงทุกวันนี้ แม้ในระหว่างนั้นนางจะต้องเป็นทุกข์ที่สามีพาอนุภรรยาเข้าบ้าน แต่นางก็คอยปลอบตัวเองเสมอมาว่าโดยรวมแล้วนางมีความสุขดี
ทว่า จดหมายไร้ที่มาเพียงฉบับเดียวกลับทำให้ความชอบธรรมและความภาคภูมิใจที่นางเฝ้ารักษามากว่ายี่สิบปีสลายไปในชั่วพริบตา นางมิได้ทอดกายให้เขาเพราะนางต้องการเขา นางเพียงแต่ถูกเขาหลอกใช้เท่านั้น นั่นมิใช่ความรักแต่เป็นการขืนใจ ทั้งยังมิใช่พรหมลิขิตแต่เป็นเรื่องที่ถูกสร้างขึ้น เมื่อดัชเชสเอเฟรนีเข้าใจทุกอย่างแล้ว นางก็หัวเราะออกมาอย่างสิ้นหวัง ท้ายจดหมายถูกเขียนไว้ว่า
ช่างน่าเวทนาที่ดัชเชสเอเฟรนีเชื่อว่าในค็อกเทลที่ดยุกยื่นให้ผสมไว้ด้วยยาแห่งรัก แท้จริงแล้วมันคือยาเร้ากำหนัดและยานอนหลับที่ผลักนางไปสู่ความโชคร้ายต่างหาก
นางโง่เขลายิ่ง เพราะในตอนนั้นนางยังเยาว์ ยังงดงาม และไร้เดียงสาอย่างเทียบมิได้กับปัจจุบัน แต่ตอนนี้นางมิได้เยาว์วัย งดงาม และไร้เดียงสาอีกแล้ว ดังนั้น นางต้องเลือกเส้นทางที่ต่างออกไป
ดัชเชสเอเฟรนีขยำจดหมายด้วยความโกรธแค้น แต่นางไม่ได้เผาหรือฉีกมัน นางเก็บจดหมายทั้งสิบเจ็ดฉบับลงในกล่องนิรภัยลับ สีหน้าของนางดูน่าขนลุก สักวันหนึ่งนางอาจได้ใช้ประโยชน์จากจดหมายพวกนี้
ไม่สิ นางจะใช้มันเป็นข้อได้เปรียบในการหย่ากับสามีตอนนี้ การแต่งงานที่เกิดจากการขืนใจนั้นถือเป็นโมฆะ รอยยิ้มของดัชเชสดูพิลึกพิลั่น วินาทีที่นางรู้ว่าทุกความทรงจำดีๆ ที่คอยค้ำจุนนางไว้เป็นเพียงภาพฝัน นางก็มิอาจยิ้มจากใจจริงได้อีกต่อไป
ดัชเชสเอเฟรนีตัดสินใจว่าจะหย่าเดี๋ยวนี้ นางจะได้กำจัดสามีที่หลอกลวงนางมายี่สิบปี อนุภรรยาของสามีที่นางชังน้ำหน้ารวมถึงลูกชายของฝ่ายนั้นออกไปในคราวเดียว ในเมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้วที่เหลือก็แค่ลงมือทำ ดัชเชสเอเฟรนีลุกพรวดขึ้นจากที่นั่งและเดินตรงดิ่งไปที่ประตู
เมื่อเปิดประตูออกไปดัชเชสเอเฟรนีก็พบกับความเงียบสงัด นางเดินไปที่ห้องของสามีและเปิดประตูเข้าไปอย่างไม่ลังเล ดยุกเอเฟรนีตกใจที่จู่ๆ ภรรยาก็มาหา นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่นางจะได้เห็นสีหน้านั้นในบ้านหลังนี้ ดัชเชสเอเฟรนีหัวเราะอย่างเยือกเย็น
“เราหย่ากันเถอะค่ะ ใต้เท้า”
“ดัชเชส…?”
“พิธีศพเสร็จสิ้นแล้ว กรุณาออกไปจากบ้านนี้เดี๋ยวนี้ค่ะ”
“ดัชเชส นี่เจ้ากำลังพูด…”
“หลอกข้ามาตั้งยี่สิบปี ท่านคงจะไม่ถามข้าหรอกนะว่าทำไมข้าถึงทำกับท่านเช่นนี้”
“อีส พูดให้เข้าใจ…”
“ตอนที่เราเจอกันครั้งแรกเมื่อยี่สิบปีก่อน” นางเกริ่นด้วยน้ำเยือกเย็น “ท่านขืนใจข้าสินะ? ด้วยการผสมยาเร้ากำหนัดกับยานอนหลับในค็อกเทลให้ข้าดื่ม”
“ดัชเชส เจ้าพูดอะไรน่ะ ไปฟังเรื่องเหลวไหลมาจากใคร…”
“เจ้าถามเพราะไม่รู้จริงๆ อย่างนั้นรึ?”
ดัชเชสเอเฟรนีเลิกใช้คำพูดสุภาพกับดยุกในฐานะสามี ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้านางตอนนี้ไม่ใช่พ่อของลูกชายที่ตายไป และไม่ใช่สามีของนางอีกแล้ว เขาเป็นแค่ผู้ร้ายที่ข่มขืนนางเท่านั้น นางสะกดกลั้นไฟโทสะและตะคอกใส่อีกฝ่าย
“หมดช่วงไว้ทุกข์เมื่อใดก็ออกไปเสีย การตั้งครรภ์ที่เกิดจากการถูกขืนใจไม่สามารถนำมาเป็นเหตุผลในการแต่งงานได้ หากข้ายื่นหลักฐานต่อทางการ อย่างไรการหย่าก็ต้องได้รับการอนุมัติ เพราะฉะนั้นไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้!”
“นี่เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่กันแน่!”
“เจ้าคนหน้าด้านไร้ยางอาย เมื่อหย่ากับข้าแล้วเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ใช้นามสกุลเอเฟรนี เจ้ามิใช่ประมุขของตระกูลข้าอีกต่อไป!”
ดัชเชสเอเฟรนีดูราวกับระงับโทสะไว้ไม่อยู่ นางเรียกพ่อบ้านเสียงดังและออกคำสั่งทันที
“ไล่นางผู้หญิงที่อยู่บนชั้นสองกับลูกของนางออกไปเดี๋ยวนี้ แล้วยื่นคำร้องขอหย่าทันทีเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น เจมส์ นิวตัน ลี เฮ็ดวิก มิใช่ประมุขของตระกูลเอเฟรนีอีกต่อไป”
“ขอรับ ดัชเชส”
“ดัชเชส นี่มันเรื่องอันใด…!”
“รีบลากสองแม่ลูกนั่นออกไป!”
ดัชเชสเอเฟรนีไม่ฟังคำทัดทานของดยุกเอเฟรนี นางสั่งให้ข้ารับใช้ทั้งหมดคอยจับตาดูไม่ให้เขาทำอะไรเหลวไหล ก่อนจะหันไปมองแจนยูเอรีที่ถูกลากลงมาจากชั้นสองด้วยสายตาเย็นเยียบ
“คุณพี่คิดจะทำอะไรคะ!” แจนยูเอรีที่ถูกข้ารับใช้จับตัวไว้ร้องถาม
“ใครเป็นพี่เจ้า ข้าเป็นบุตรสาวคนเดียวของดยุกเอเฟรนีรุ่นก่อน ไม่เคยมีพี่น้อง” ดัชเชสเอเฟรนีแค่นหัวเราะอย่างอัดอั้นตันใจ “เจมส์มิใช่ประมุขของตระกูลนี้อีกต่อไป ข้าจะหาประมุขคนใหม่ ดังนั้น เจ้าเองก็ต้องออกจากที่นี่ไปพร้อมกับชายคนนั้น”
“อะไรนะคะ?”
“ลูกเจ้าก็หาได้มีสายเลือดตระกูลเอเฟรนีไหลเวียนอยู่สักหยด ถ้าเป็นลูกชายที่ข้าคลอดมาก็ว่าไปอย่าง”
“ดัชเชส ดึกดื่นป่านนี้จะให้ข้าไปอยู่ที่ใดเล่า!”
“นั่นหาใช่กงการอันใดของข้า ไล่ออกไปเดี๋ยวนี้”
“ดัชเชส ได้โปรดเมตตา…”
“ข้าเมตตามาตั้งสี่ปียังไม่พออีกรึ”
ดัชเชสเอเฟรนีเย้ยและกลับเข้าไปในห้อง แจนยูเอรีแทบจะเป็นบ้า นี่มันฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ[1] หรือไร! จู่ๆ ถึงได้ประสบเคราะห์ร้ายเช่นนี้ นางกอดลูกชายตัวน้อยร้องไห้โฮ แต่บรรดาข้ารับใช้ไม่ได้รู้สึกเห็นใจแจนยูเอรีผู้หยิ่งผยองเลยแม้แต่น้อย
มีก็แต่แม่นมของเจคอบที่รู้สึกเห็นใจอยู่บ้าง แต่นางเพียงแต่เห็นใจเจคอบที่ยังเล็กเท่านั้น ไม่ได้เห็นใจผู้เป็นมารดา อย่างไรเหล่าข้ารับใช้ปฏิบัติตามคำสั่งของดัชเชสเอเฟรนีอย่างเคร่งครัด ในท้ายที่สุดแจนยูเอรีและบุตรชายก็ถูกขับไล่ออกไปตัวเปล่า
***
“มาดามแจนยูเอรีถูกไล่ออกจากบ้านอย่างนั้นหรือ”
ข่าวนี้เข้าหูเปโตรนิยาอย่างรวดเร็ว สาวใช้ที่นำข่าวมาบอกพยักหน้า
“ข้าพบนางตอนกลับจากร้านขายเนื้อค่ะ เห็นนางเดินอยู่กับลูก สภาพมอซอแบบนั้นต้องถูกไล่ตะเพิดออกมาไม่ผิดแน่”
“ตายจริง”
เปโตรนิยาเดาะลิ้น
“เห็นมีเด็กอยู่ด้วยข้าก็สงสาร จึงโยนเหรียญไปให้สองสามเหรียญ ตอนแรกนางก็มองตาขวางเหมือนจะถามว่านางดูน่าสมเพชหรือไร แต่สุดท้ายนางก็เก็บเงินไป อย่างไรก็ต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้องกระมังคะ” สาวใช้พูดต่อ
“ดูเหมือนตระกูลดยุกเอเฟรนีจะเกิดเรื่อง ดยุกเอเฟรนีไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแท้ๆ”
“นั่นสิคะ ท่าทางจะมีเรื่องอะไรสักอย่าง แต่ข้าก็ไม่รู้ถึงขั้นนั้นหรอกค่ะ”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าไปสืบดูก็รู้แล้ว จะไปตอนนี้ก็กระไรอยู่”
พูดจบ เปโตรนิยาก็เงยหน้าขึ้นเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้
“จะว่าไป พรุ่งนี้ก็เป็นวันตัดสินโทษแล้ว”
“มาร์เชอเนสเอธิลเลอร์หรือคะ”
“อืม การตัดสินโทษจะเริ่มตอนบ่าย”
“คงถูกประหารสินะคะ”
“น่าจะเป็นเช่นนั้น” เปโตรนิยาพึมพำ “มาถึงขั้นนี้นางคงไม่ทำอะไรแผลงๆ อีกกระมัง…”
“ถึงคิดจะทำอะไรก็ไม่น่ารอดไปง่ายๆ กระมังคะ ความผิดก็มีให้เห็น”
“นั่นก็จริง”
เดิมทีฝ่ายนั้นก็เป็นคนเหลี่ยมจัดอยู่แล้วเพราะฉะนั้นคงยังวางใจไม่ได้ง่ายๆ จนกว่าจะเห็นจุดจบของนาง เปโตรนิยาได้แต่หวังให้การตัดสินโทษในวันพรุ่งนี้ผ่านไปได้ด้วยดีเท่านั้น
[1] ฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ หมายถึง ภัยพิบัติที่ประสบอย่างกะทันหันโดยไม่คาดคิด
การต้อนรับแขกเหรื่อที่หลั่งไหลกันมาร่วมแสดงความเสียใจเป็นเรื่องที่เหนื่อยพอสมควร ทั้งยังต้องรับฟังคำปลอบประโลมอันไร้ความหมายในขณะที่แผลใจยังไม่ได้รับการเยียวยา ดัชเชสเอเฟรนีกลับไปที่ห้องของตนพร้อมกับสีหน้าอ่อนล้า พิธีศพเสร็จสิ้นลงแล้ว นั่นเท่ากับว่าลูกชายของนางได้จากไปแล้วจริงๆ เมื่อคิดดังนั้นนางก็อดรู้สึกหดหู่ไม่ได้
ก๊อกก๊อก
ดัชเชสเอเฟรนีตอบรับเสียงเคาะประตูด้วยน้ำเสียงไร้เรี่ยวแรง
“ใคร”
“ข้าเองขอรับ ดัชเชส” เป็นเสียงของพ่อบ้าน “มีของมาส่งขอรับ”
“ของอันใด”
ได้ยินผู้เป็นนายถามเช่นนั้น พ่อบ้านก็ยื่นกล่องพัสดุให้ดู ดัชเชสเอเฟรนีตรวจดูรอบกล่องอย่างละเอียดก็พบเพียงตัวหนังสือถูกเขียนไว้อย่างเป็นระเบียบว่า ‘เรียน ดัชเชสเอเฟรนี’ เท่านั้น ไม่ปรากฏนามของผู้ส่ง หลังจากให้พ่อบ้านและสาวใช้ออกไปหมดแล้ว ดัชเชสเอเฟรนีก็เปิดกล่องนั้นดู
“นี่มัน…อะไรกัน”
ในกล่องมีจดหมายอยู่ทั้งหมดสิบเจ็ดฉบับ ดัชเชสเอเฟรนีเริ่มอ่านตั้งแต่ฉบับแรก บรรทัดแรกของจดหมายถูกเขียนไว้ว่า
แจนี่ที่รัก
“แจนี่…?”
ดัชเชสเอเฟรนีครุ่นคิด แจนี่เป็นใคร? จากนั้นนางก็เริ่มอ่านตั้งแต่บรรทัดที่สอง
ได้ยินว่าเจ้าตั้งครรภ์แล้ว? ยินดีด้วย แผนการที่ยิ่งใหญ่บทแรกของเจ้าได้เริ่มขึ้นแล้ว
แม้ว่าดัชเชสจะมีบุตรชาย แต่เขาเป็นคนขี้โรค ดังนั้น ใช่ว่าเจ้าจะไม่มีโอกาส หากเจ้าได้ลูกชาย เจ้าก็มีโอกาสชนะ
ข้าจะทุ่มเทกายใจช่วยให้เจ้าได้เป็นนายหญิงของตระกูลเอเฟรนีตามที่สัญญา หากว่าเจ้าช่วยข้า
เอาเป็นว่า ดูแลตัวเองให้ดี และขอให้คลอดบุตรอย่างปลอดภัย หากมีอะไรข้าจะเขียนมาอีก
เผาจดหมายนี้เสีย
โรสของเจ้า
“เฮือก…!”
เพียงฉบับเดียวดัชเชสเอเฟรนีก็ตระหนักได้ถึงเรื่องราวเบื้องหลังทุกอย่าง ‘แจนี่’ คือชื่อเล่นของ ‘แจนยูเอรี’ ส่วน ‘โรส’ ก็คือ…
“มาร์เชอเนสเอธิลเลอร์ นี่เจ้า…”
ความจริงที่ได้รู้โดยไม่ตั้งใจทำให้ดัชเชสเอเฟรนีสั่นเทิ้มไปทั้งร่างพร้อมกับขยำจดหมาย จะช่วยให้ได้เป็นนายหญิงของตระกูลเอเฟรนีอย่างนั้นรึ? จะขับไล่ผู้สืบสายเลือดตระกูลเอเฟรนีอย่างข้าคนนี้อย่างนั้นรึ? ทำไม? คิดจะฆ่าทั้งข้าทั้งลูกชายข้าเลยกระมัง? ดัชเชสเอเฟรนีแค่นหัวเราะอย่างหมดคำพูด จดหมายนี้มีแม้กระทั่งลายมือชื่อของมาร์เชอเนสเอธิลเลอร์ เห็นทีจะมิใช่ของปลอม
ดัชเชสเอเฟรนีเริ่มอ่านจดหมายฉบับที่สองต่อทันที เนื้อหาเป็นการแสดงความยินดีที่แจนยูเอรีได้ลูกชาย ฉบับที่สามและสี่ไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ จนกระทั่งอ่านมาถึงฉบับที่ห้า ดัชเชสเอเฟรนีก็ได้รับรู้ว่ายังมีคนอื่นที่รู้เรื่องที่นางควรจะรู้เพียงผู้เดียว
แจนี่ที่รัก ไม่ได้คุยกันนานเลยนะ
ในที่สุดวันนี้ข้าก็ได้พบดยุกเอเฟรนีแล้ว
และในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าข้ารู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับอดีตจักรพรรดินีอลิซา เพราะข้ามีจดหมายที่เขาเขียนเล่าเรื่องราวของจาเน็ตส่งไปให้อดีตจักรพรรดินีอลิซาอยู่น่ะสิ! เจ้าน่าจะได้เห็นสีหน้าของเขาตอนนั้น! ช่างน่าเสียดาย
หากเรื่องนี้รู้ไปถึงพระเนตรพระกรรณของฝ่าบาท พระองค์ต้องไม่ยกโทษให้เขาแน่ พระองค์จะต้องหาทางแก้แค้นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสิ้นพระชนม์ของพระมารดาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง
เขาเองก็รู้ดี ดังนั้นเขาจึงทำอะไรข้าไม่ได้
ไม่แน่เขาอาจจะส่งคนมาฆ่าข้า แต่เขาก็คงไม่เบาปัญญาถึงขนาดกล้าสังหารคนรักของพระจักรพรรดิหรอก อีกทั้งในพระราชวังนี้ข้ายังมีอัศวินคอยอารักขา แล้วยังจะมีอะไรให้กังวลอีก?
ถ้ามีอะไรข้าจะเขียนมาอีก เผาจดหมายทิ้งเสีย
โรส
“ด้วยเหตุนั้นมาร์เชอเนสเอธิลเลอร์ถึงได้…!”
ดัชเชสเอเฟรนีพยักหน้าราวกับว่าตอนนี้นางเข้าใจทุกอย่างแล้ว ตอนนั้นนางเองก็แปลกใจที่จู่ๆ สามีมาบอกให้รับบุตรีของบารอนไร้ค่าเป็นลูกบุญธรรม ที่แท้ก็มีเบื้องหลังอันชั่วร้ายเช่นนี้นี่เอง ดัชเชสเอเฟรนียังคงมีสีหน้าพูดไม่ออก
สิ่งที่โรสมอนด์รู้ ดัชเชสเองก็รู้เช่นกัน นางไม่มีทางที่จะไม่รู้ เพราะนางเองก็เป็นผู้ที่ส่งเสริมและให้ความช่วยเหลือในแผนการของสามี
ในตอนนั้นดยุกเอเฟรนียังเป็นแค่มาร์ควิส เขาต้องการมีบรรดาศักดิ์ที่สูงกว่านั้น และวิธีที่เร็วที่สุดคือการทำให้จักรพรรดินีที่ตามืดบอดด้วยความหึงหวงกระทำความผิดร้ายแรงและช่วงชิงเอาตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีมาจากตระกูลออสวินซึ่งเป็นตระกูลเดิมของนาง และในตอนนั้นอลิซาก็กำลังหึงหวงอย่างขาดสติ แผนการจึงมีความเป็นไปได้
หลังจากได้ฟังแผนการของสามี ดัชเชสเอเฟรนีก็เห็นด้วย นางไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธเพราะมันเป็นการกระทำเพื่อตระกูล ดยุกและดัชเชสเอเฟรนีสานสัมพันธ์กับอดีตจักรพรรดินีอลิซาและคอยยุยงให้นางกับจาเน็ตบาดหมางกัน จนกระทั่งอดีตจักรพรรดินีอลิซาเกลียดชังจาเน็ตในที่สุด
และแล้วจักรพรรดินีอลิซาก็ถูกปลดจากตำแหน่งและต้องโทษประหาร เรื่องนั้นทำให้ดยุกออสวินเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีจึงตกเป็นของตระกูลเอเฟรนีซึ่งอยู่ในลำดับสูงสุดในบรรดาตระกูลมาร์ควิสไปโดยปริยาย ไม่กี่ปีต่อมามาร์ควิสก็สร้างคุณงามความดีจนได้รับบรรดาศักดิ์ดยุก
แต่ไม่คิดเลยว่าโรสมอนด์จะรู้เรื่องนั้นด้วย! ดูจากเนื้อหาในจดหมายแล้ว ดยุกเอเฟรนีคงมิได้แพร่งพรายให้นางรู้ แต่นางไปรู้มาจากที่อื่น ดัชเชสเอเฟรนีกัดเล็บอย่างกระวนกระวาย
ถึงอย่างไรโรสมอนด์ก็จะถูกส่งไปตัดสินโทษแล้ว และหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนางก็จะถูกประหาร จนกว่าจะถึงตอนนั้นตนแค่คอยดูท่าทีและปิดปากให้สนิทก็พอ หรือไม่ก็แค่ฆ่าอีกฝ่ายเสีย อย่างไรนางก็ต้องตายอยู่แล้ว ต่อให้ถูกฆ่าตายกะทันหันก็คงไม่นับเป็นอันใด
คิดเช่นนั้นแล้วดัชเชสเอเฟรนีก็อ่านจดหมายฉบับต่อไป เนื้อหาเป็นเรื่องทั่วไป ฉบับต่อๆ ไปก็เช่นกัน… ขณะที่คิดว่าไม่มีอะไรน่าสนใจแล้วนั้น นางก็สะดุดตาเข้ากับประโยคหนึ่ง
ดัชเชสเอเฟรนีก็ช่างน่าสงสาร
ประโยคนั้นทำเอาดัชเชสเอเฟรนีตัวแข็งทื่อ น่าสงสารรึ? กล้าดีอย่างไรมาพูดเช่นนั้นกับข้า? นางรีบไล่สายตาไปที่ประโยคต่อไป
พูดก็พูดเถอะ ไม่มีสตรีคนใดน่าเวทนาไปกว่านางอีกแล้ว
ทั้งที่เกิดมาเป็นบุตรีตระกูลเอเฟรนีแต่นางกลับยกตำแหน่งผู้สืบทอดให้สามีแทนที่จะสืบทอดเอง มิหนำซ้ำสามีก็เป็นแค่บุตรชายตระกูลบารอน หาได้มีฐานะทัดเทียมกัน
ดยุกเอเฟรนีก็ช่างหน้าไม่อาย แทนที่จะรักถนอมภรรยาให้ดี ดันไปหลงเสน่ห์โสเภณีจนมีลูกเสียนี่
ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้เจ้าอาจจะยังไม่รู้ ดยุกเอเฟรนีขืนใจดัชเชสเอเฟรนีจนนางตั้งครรภ์ แน่นอนว่าเรื่องนี้เจ้าตัวก็ไม่รู้ กลับเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าตนเป็นคนเลือกเขา แต่แท้จริงแล้วเขาต่างหากเป็นคนเลือกนาง
แปะ
จดหมายร่วงลงไปบนพื้น ปลายนิ้วของดัชเชสเอเฟรนีสั่นระริก
“นะ…นางรู้เรื่องนั้นได้อย่าง…”
สีหน้าของดัชเชสเอเฟรนีเริ่มซีดเผือดด้วยความตกใจระคนโทสะ นางยกมือปิดหน้าโดยไม่คิดจะเก็บจดหมายที่ร่วงหลุดมือไปขึ้นมาอีกครั้ง เรื่องนั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่อยี่สิบปีก่อน ความทรงจำของนางแสนเลือนลาง
***
“เลดี้อีส”
อีส เอเฟรนี หันไปตามเสียงเรียก ดูเหมือนชายหนุ่มผมทองรูปงามจะเป็นคนที่เรียกนาง นางรู้สึกใจเต้นแรงไปโดยอัตโนมัติ
“มีอะไรหรือคะ ลอร์ด” นางตอบ
ในขณะนั้นทั่วทั้งจักรวรรดิกำลังสรรเสริญแซ่ซ้องพระจักรพรรดิองค์ใหม่ที่เพิ่งเสด็จขึ้นครองราชย์ มีงานเลี้ยงจัดขึ้นแทบทุกหนแห่ง เหล่าชนชั้นสูงต่างหมดเงินไปกับความรื่นเริงในทุกค่ำคืน อีส เอเฟรนีซึ่งเป็นบุตรีของมาร์ควิสในขณะนั้นก็มิใช่ข้อยกเว้น
“ท่านทำผ้าเช็ดหน้าตกครับ”
หนุ่มผมทองกล่าวอย่างสุภาพอ่อนน้อมและยื่นผ้าเช็ดหน้าสีขาวมาให้ อีส เอเฟรนีหน้าซับสีเลือดขณะรับสิ่งนั้นมา
“ขอบคุณค่ะ ลอร์ด เป็นข้าไม่ระวังเอง”
“หามิได้ครับ โชคดีที่ข้ามาพบเข้า”
“จริงสิ แล้ว…ท่านรู้จักชื่อของข้าได้อย่างไรคะ”
ได้ยินคำถามนั้นชายหนุ่มก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน
“เคยได้ยินว่ามีหญิงสาวงามเลื่องชื่อ ข้ามองปราดเดียวก็รู้แล้วครับ เลดี้อีส”
“ตายจริง”
ครั้นถูกชายหนุ่มเอ่ยชม อีส เอเฟรนีก็ยิ่งหน้าแดง
“ว่าแต่ท่านเป็นใครหรือคะ ข้าจำไม่ได้ว่าเคย…” นางถาม
“โอ้ ข้าแนะนำตัวช้าไปสินะครับ” ชายหนุ่มแนะนำตัวอย่างสุภาพ “เจมส์ นิวตัน ลี เฮ็ดวิก จากตระกูลเฮ็ดวิกครับ”
“อีส คาเทียร์ ลา เอเฟรนี จากตระกูลเอเฟรนีค่ะ มิทราบว่าท่านคือบุตรของบารอนเฮ็ดวิกหรือคะ”
“ใช่ครับ”
“อ้อ”
อีสร่ำเสียดายในใจ ผู้ชายคนนี้หน้าตาดีทั้งยังดูโอบอ้อมอารี เสียที่ชาติกำเนิด นางจะแต่งงานกับขุนนางชั้นผู้น้อยได้อย่างไร ท่านพ่อไม่มีวันอนุญาตเด็ดขาด นางข่มใจมิให้แสดงความเสียดายออกทางสีหน้าพลางเอ่ยกับอีกฝ่าย
“อย่างไรก็ขอบคุณนะคะ ลอร์ด ขอให้สนุกกับงานเลี้ยง…”
“ประเดี๋ยวก่อนครับ เลดี้”
เจมส์รั้งอีสไว้ หญิงสาวเงยหน้ามองชายหนุ่มที่ตัวสูงกว่าด้วยความสงสัย เขายิ้มอย่างอ่อนโยนและเอ่ยถาม
“หากยังหาคู่เต้นรำไม่ได้”
“…”
“เลดี้อีส ท่านจะช่วยมาเป็นคู่เต้นรำให้ข้าได้หรือไม่”
“เอ่อ…”
เพราะไม่อาจปฏิเสธได้ อีสจึงพยักหน้าเบาๆ เห็นได้ชัดว่านางมีความรู้สึกดีๆ ต่อเขาตั้งแต่ตอนนั้น และเมื่อนางอนุญาต รอยยิ้มของเจมส์ก็พลันสดใสขึ้น
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ เลดี้”
“…”
พวงแก้มของอีสกลายเป็นสีชมพู และแล้วทั้งสองก็เริ่มการเต้นรำด้วยกัน เจมส์เต้นจังหวะวอลซ์ได้ดีมากราวกับคนที่มีประสบการณ์ร่วมงานสังคมมานาน ด้วยเหตุนั้นเขาจึงเต้นนำอีสได้อย่างดีเยี่ยม อีสที่มั่นใจในฝีมือการเต้นของตัวเองก็ยิ่งหลงใหลเขามากยิ่งขึ้น เมื่อการเต้นรำจบลง อีสก็กล่าวกับเจมส์ด้วยสีหน้าขึ้นสีเล็กน้อย
“วันนี้สนุกมากเลยค่ะ ลอร์ด”
“ข้าก็เช่นกันครับ เลดี้อีส” เขายิ้มไม่หุบพลางถาม “คอแห้งไหมครับ เดี๋ยวข้าจะไปหยิบค็อกเทลมาให้ พักอยู่ตรงนี้สักครู่นะครับ”
“เอ่อ…ขอบคุณค่ะ”
อีสพยักหน้าและย้ายไปยืนรออยู่ที่มุมหนึ่ง เขาช่างเป็นผู้ชายที่เอาใจใส่ หากบรรดาศักดิ์ของผู้เป็นบิดาสูงกว่านี้อีกสักนิดก็คงจะดี…
“คิดอะไรอยู่หรือครับ เลดี้”
ระหว่างที่นางกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เจมส์ก็เข้ามาใกล้
อีสยิ้มบางๆ พลางตอบ “แค่คิดไปเรื่อยเปื่อยค่ะ”
“ดูเหมือนจะมีเรื่องให้คิดเยอะนะครับ”
“แค่นิดหน่อยค่ะ”
พูดจบนางก็ยกค็อกเทลขึ้นดื่ม หวานจัง
“ข้าเป็นคนคออ่อน เกรงว่าจะเมาแล้วแสดงกิริยาไม่งามนะคะ”
“อย่ากังวลเลยครับ เลดี้”
เจมส์ยิ้มอย่างทรงเสน่ห์พลางกระซิบที่ข้างหูของนาง เขาเองก็ดื่มเหล้าเข้าไปหรือเปล่านะ ลมหายใจของเขาร้อนเหลือเกิน อีสรู้สึกมึนเล็กน้อยจนซวนเซ เจมส์จึงเข้าไปประคองไว้
“ระวังครับ เลดี้ ถึงจะเป็นแค่ค็อกเทลอ่อนๆ ก็ตาม…”
“ข้าไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเมาเพราะค็อกเทลแก้วเดียวเลยนะคะ แย่จริง นี่ข้าคงแก่แล้วกระมัง”
“พูดอะไรน่าเศร้าอย่างนั้นล่ะครับ” เขาส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “ไปที่ระเบียงกันดีไหมครับ”
“ดีค่ะ”
เมื่อได้รับความเห็นชอบจากหญิงสาว ทั้งคู่ก็ย้ายไปที่ระเบียง พวกเขานั่งลงที่ม้านั่งบริเวณนั้นก่อนจะดื่มค็อกเทลที่เหลืออยู่จนหมด อาจเป็นเพราะเริ่มเมาแล้ว อีสจึงรู้สึกอารมณ์ดีขึ้น หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะคนที่อยู่ข้างกาย อีสคิดเช่นนั้นพลางพึมพำ
“ร้อนเหมือนกันนะคะ”
“ร้อนหรือครับ”
“จู่ๆ ร่างกายมันก็…รู้สึกร้อน…อื้อ!”
ทันใดนั้นนางก็ร้องออกมา อา แปลกจัง วันนี้ร่างกายของนางไม่ปกติเอาเสียเลย นางรู้สึกราวกับความร้อนกำลังไต่ไล่ขึ้นมาจากท้องน้อย…
“ร่างกายข้าแปลกๆ ค่ะ” หญิงสาวกล่าวเสียงสั่น
“แย่จริง” เขาพูดเสียงเบาอย่างเห็นใจ “ไม่สบายตรงไหนหรือครับ”
“อือ…แค่…”
“คงเพราะเมื่อกี้เต้นรำหนักเกินไป ดูเหมือนร่างกายจะปรับตัวไม่ทันนะครับ” เขาวางมือลงบนร่างของนางและเอ่ยด้วยน้ำเสียงห่วงใย “ข้าจะคลายกล้ามเนื้อให้นะครับ”
“ไม่เป็น…ฮึก!”
เจมส์ทำทีเป็นช่วยคลายกล้ามเนื้อแต่กลับแอบลูบไล้เรือนกายใต้ร่มผ้า ในค็อกเทลที่เขาให้นางดื่มมีทั้งยาเร้ากำหนัดและยานอนหลับผสมอยู่ อีสไม่มีทางรู้เรื่องนั้น นางอ้อนวอนด้วยสีหน้าเหยเก
“แปลกจังเลยค่ะ ลอร์ด ร่างกายข้า…ร้อนมาก…”
“เลดี้”
ตอนนั้นเอง เจมส์ก็เอ่ยเรียกเบาๆ อีสมองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ
“ข้ารักท่าน” เขากระซิบอย่างแผ่วเบา
“คะ?”
คำสารภาพรักอย่างกะทันหันทำให้อีสตกใจจนลืมความร้อนรุ่มที่ท้องน้อย น้ำเสียงของเขาฟังดูเขินอาย
“ความจริงแล้วข้าหลงรักท่าน…”
“…”
“ตั้งแต่แรกเห็นแล้วครับ”
“แต่วันนี้พวกเราเพิ่ง…อ๊ะ!”
เจมส์ประกบปากลงไปทันที อีสจึงมิอาจพูดจนจบประโยค ริมฝีปากนุ่มที่ทาบทับทำให้หญิงสาวรั้งสติไว้ไม่อยู่และเบียดกายเข้าหาอีกฝ่าย ในระหว่างนั้นนางก็รู้สึกว่าสติของตนค่อยๆ เลือนหาย
“อา…ลอร์ด…”
สิ้นเสียง อีสก็หมดสติไป
อีกด้านหนึ่ง หลังจากรู้ว่าพวกนักฆ่ารับสารภาพแล้ว และตนกำลังจะถูกตัดสินโทษในอีกไม่กี่วัน สติของโรสมอนด์ก็เริ่มไม่อยู่กับร่องกับรอย นางเดินไปเดินมาทั่วห้องขังอย่างกระวนกระวายราวกับคนเสียสติ
“ทำอย่างไรดี? ทำอย่างไรดี? ทำอย่างไรดี? ทำอย่างไรดี?”
ในเมื่อพวกนักฆ่ารับสารภาพแล้ว โรสมอนด์ก็ไม่อาจทำอะไรได้อีก จักรพรรดิไม่ได้อยู่ข้างนาง ส่วนตระกูลแดโรว์ก็ไม่มีทางมาช่วยนาง เพราะฉะนั้นนางจึงคิดออกเพียงวิธีเดียว
“ต้องขอความช่วยเหลือจากดยุกเอเฟรนี!”
นางกระวีกระวาดเรียกหาผู้คุมราวกับลืมไปแล้วว่าดยุกเอเฟรนีย่อมต้องรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับนาง ผู้คุมถามหญิงสาวด้วยสีหน้าแกมรำคาญ
“ท่านมีเรื่องอันใด”
“ข้าต้องเขียนจดหมาย ไปเอากระดาษกับปากกามา”
“ไม่ได้เด็ดขาด พระจักรพรรดินีมีรับสั่งห้ามให้สิ่งใดกับท่านนอกจากอาหาร”
“ข้าขอร้อง! เจ้าช่วยทีไม่ได้หรือ”
“ไม่ได้”
ผู้คุมพูดคำเดิมซ้ำๆ ราวกับนกแก้ว โรสมอนด์รับรู้ได้ว่าความหวังสุดท้ายได้มลายหายไปแล้ว สีหน้าของนางดูสิ้นหวัง แต่แล้ววินาทีนั้นนางก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นได้
“ข้าต้องออกไป”
“ไม่ได้เด็ดขาด”
“น้องชายของข้าตายแล้ว! ลอร์ดเอเฟรนีตายแล้ว! ข้าต้องไป”
โรสมอนด์ใช้ลอร์ดเอเฟรนีเป็นข้ออ้าง นางพยายามปั้นสีหน้าให้น่าเวทนามากที่สุดพลางอ้อนวอนผู้คุม
“ให้ข้าได้ไปร่วมงานศพของน้องชายด้วยเถิด เจ้าไปกราบทูลพระจักรพรรดินีมิได้หรือ”
“…”
ได้ยินดังนั้นผู้คุมก็มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาถอนหายใจพลางกล่าว
“ข้าจะลองกราบทูลให้ แต่นักโทษอุกฉกรรจ์เช่นนี้เห็นทีจะยาก”
“อย่างน้อยก็ลองกราบทูลดูก่อน”
“ท่านรอสักประเดี๋ยว”
พูดจบ ผู้คุมก็เดินหายไป โรสมอนด์หวังว่าแพทริเซียจะยอมรับคำขอร้องของนาง และเชื่อว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด ตามธรรมเนียมปฏิบัติของจักรวรรดิ แม้จะเป็นนักโทษอุกฉกรรจ์ก็ได้รับอนุญาตให้ไปร่วมงานศพของคนในครอบครัว ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้นางยังไม่ถูกตัดสินโทษ
“ขอไปร่วมงานศพ?”
แพทริเซียมีสีหน้าไม่พอใจเมื่อได้ฟังคำของผู้คุม เห็นได้ชัดว่าโรสมอนด์มีแผนการบางอย่าง ช่างน่าหงุดหงิดยิ่งที่ตนไม่อาจเพิกเฉยต่อคำขอของอีกฝ่ายได้ โรสมอนด์ยังไม่ถูกตัดสินโทษ และต่อให้ถูกตัดสินโทษแล้ว กฎหมายของจักรวรรดิก็บัญญัติไว้ว่าต้องให้นักโทษได้เข้าร่วมพิธีศพ แพทริเซียถอนหายใจ
“เอาเถอะ คงไม่เป็นไรกระมัง”
“ได้ยินว่าเมื่อวานดยุกกับดัชเชสเอเฟรนีมีปากเสียงกันเพคะ ฝ่าบาท” มีร์ยาเข้ามาเงียบๆ และกระซิบแจ้งข่าว “ดูแล้วน่าจะมีสาเหตุมาจากเรื่องอนุภรรยากับบุตรชายเพคะ อย่างไรตอนนี้ตระกูลดยุกก็ขาดผู้สืบทอด”
“หากรู้ว่าอนุภรรยาคนนั้นมีความเกี่ยวข้องกับมาร์เชอเนสเอธิลเลอร์ ต่อให้เป็นดัชเชสก็คงยากที่จะยอมรับ การเปิดโปงความสัมพันธ์ของสองคนนั้นสำคัญเหนือสิ่งใดเพคะ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องกังวลค่ะ ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว” เปโตรนิยาที่อ่านหนังสืออยู่ข้างๆ เปรยขึ้น “ดัชเชสจะได้รู้เรื่องความสัมพันธ์ของสองคนนั้น…และรู้ว่าเหตุใดตนถึงต้องแต่งงานกับดยุกเอเฟรนีภายในวันนี้”
“ดัชเชสคงสะเทือนใจมากทีเดียว”
“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น” เปโตรนิยาพยักหน้าและพูดเสริม “ชีวิตของดัชเชสช่างอับโชคนัก”
แพทริเซียก็คิดเช่นนั้น หากทุกอย่างเป็นไปตามที่นางคิด ชีวิตของดัชเชสเอเฟรนีจะร่วงลงสู่ขุมนรก แม้แต่เรื่องราวของแพทริเซียเองก็เทียบไม่ติด คิดมาถึงตรงนี้แพทริเซียก็รู้สึกเสียใจกับอีกฝ่าย
“ข้าอนุญาตให้นางเข้าร่วมงาน แต่เพิ่มผู้ติดตามอีกสักสี่ห้าคนเพื่อป้องกันการหลบหนี” นางกล่าวกับมีร์ยา
“แน่นอนเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันจะแจ้งผู้คุมตามนั้น”
เมื่อมีร์ยาออกไปแล้ว เปโตรนิยาที่อยู่ด้านข้างก็ถามแพทริเซีย
“ถ้าดยุกเอเฟรนีทิ้งมาดามแจนยูเอรีเราจะทำอย่างไร”
ได้ยินเปโตรนิยาตั้งสมมติฐานดังนั้น แพทริเซียก็ตอบออกไปอย่างชัดเจน
“หากเป็นเช่นนั้น แจนยูเอรีคงเป็นฝ่ายโพนทะนาความอัปยศของดยุกเอเฟรนีก่อนกระมัง แต่ไม่ว่าจะจบอย่างไรเราก็ไม่ได้รับความเสียหายอยู่แล้ว”
“แล้วเจ้าคิดจะกราบทูลพระจักรพรรดิเมื่อใด ริซซี่”
“…”
ได้ยินคำถามนั้นแพทริเซียก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเปิดปากอีกครั้ง
“ถ้าเรื่องจบลงด้วยดีคงไม่จำเป็นต้องกราบทูล อย่างไรก็มิใช่เรื่องดี”
“นั่นสินะ” เปโตรนิยาตอบสั้นๆ อย่างเห็นด้วยก่อนจะมองน้องสาวด้วยความเป็นห่วง “ว่าแต่เจ้าดูเหนื่อยๆ นะ”
“ใช่” แพทริเซียตอบพร้อมกับถอนหายใจ “ข้าเหนื่อย”
“ไม่พักสักหน่อยหรือ”
“นั่นหาใช่เพียงเพราะไม่ได้พักผ่อน…” แพทริเซียกล่าวเสียงกระด้าง “ทุกสิ่งทุกอย่างช่างเหนื่อยยากและเกินกำลัง”
“…”
“ข้าอยากให้มันจบเร็วๆ จะได้พักเสียที”
“เจ้า…เช่นนั้นแล้ว”
เปโตรนิยาคล้ายคาดเดาได้ถึงบางสิ่ง แต่สิ่งที่ออกมาจากปากของนางกลับกระท่อนกระแท่นเป็นคำๆ ไม่ครบความ แพทริเซียเพียงแต่นิ่งฟัง ไม่คิดจะเสริมให้จบประโยค เปโตรนิยาแอบเติมคำลงในช่องว่างในใจแต่มิอาจพูดออกไป
***
อีกด้านหนึ่ง โรสมอนด์ดีใจตัวแทบลอยเมื่อได้ยินว่านางได้รับอนุญาตให้ไปร่วมงานศพ ราวกับความตายของน้องชายบุญธรรมกลายเป็นเชือกทองแดง[1]ที่ช่วยนางไว้ โรสมอนด์รู้ดีกว่าใครว่าตนไม่มีเวลาแล้ว นางจึงรีบเตรียมตัวออกเดินทาง ผู้คุมสี่คนตามประกบนางตามคำสั่งของจักรพรรดินีแต่โรสมอนด์ก็ไม่ได้สนใจ ที่คฤหาสน์ดยุกจะต้องมีคนมาร่วมงานมากมายเป็นแน่ การจะหาโอกาสพบกับแจนยูเอรีย่อมมิใช่เรื่องยาก
โรสมอนด์โดยสารรถม้าสำหรับนักโทษไปยังคฤหาสน์ดยุกเอเฟรนี เนื่องจากถูกคุมขังอยู่ในคุกหลายวันสภาพของหญิงสาวในตอนนี้จึงยากจะพูดได้ว่าสะอาดสะอ้าน แต่ด้วยใบหน้าที่งดงามเป็นทุนเดิม สภาพภายนอกจึงมิได้มีความหมายอันใดมากนัก
ภายในคฤหาสน์เต็มไปด้วยแขกเหรื่อที่มาร่วมแสดงความเสียใจ เสียงที่ดังอื้ออึงอยู่แล้วดูเหมือนจะดังยิ่งขึ้นเมื่อโรสมอนด์ปรากฏตัว แต่เพียงไม่นานก็เหลือเพียงเสียงกระซิบกระซาบเบาๆ เท่านั้น ทุกคนหลบเลี่ยงโรสมอนด์ แต่กลับไม่หลบตา ผู้คนส่วนใหญ่ต่างปรายตามองตามร่างของหญิงสาวที่เดินผ่านไป ยิ่งถูกห้อมล้อมด้วยผู้คุมทั้งสี่โรสมอนด์ยิ่งตกเป็นเป้าสายตา
โรสมอนด์รู้สึกไม่สบอารมณ์กับสายตาเหล่านั้นแต่นางก็ทำอะไรไม่ได้ นางเดินต่อไปอย่างไม่ยี่หระพลางกวาดสายตามองหาแจนยูเอรีอย่างรวดเร็ว แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใดนางจึงหาอีกฝ่ายไม่พบ หรือเพราะเป็นอนุจึงต้องอยู่ในห้อง? เมื่อคิดมาถึงตรงนี้นางก็เริ่มร้อนใจ ผู้คุมจับจ้องนางอย่างน่ากลัว ไม่ใช่แค่หนึ่งแต่มีถึงสี่ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะฝ่าพวกเขาออกไปในบ้านที่กำลังจัดพิธีศพนี้ โรสมอนด์เริ่มคิดหาทางอีกครั้ง และในตอนนั้นเองนางก็เห็นใบหน้าที่น่ายินดี
“เจคอบ?”
แม้นางจะไม่เคยพบเขามาก่อน แต่เด็กที่จะอยู่ในงานศพนี้ย่อมต้องเป็นเจคอบบุตรนอกกฎหมายของดยุกอย่างไม่ต้องสงสัย นางรีบปรี่เข้าไปหาเจคอบน้อยและแสร้งถามอย่างคุ้นเคย
“สวัสดีจ้ะ ท่านแม่อยู่ไหนหรือ เป็นเด็กเป็นเล็กไม่ควรมาอยู่ในที่แบบนี้คนเดียวนะจ๊ะ”
“ท่านเป็นใครขอรับ”
เด็กน้อยระมัดระวังตัวอย่างมาก เขาระวังระไวสตรีแปลกหน้าที่เพิ่งพบเป็นครั้งแรก โรสมอนด์แสร้งฉีกยิ้มเป็นคนดี พยายามคลายความระแวงของเจคอบ
“ข้าหาใช่คนไม่ดี”
หึ
ได้ยินโรสมอนด์พูดแบบนั้นผู้คุมคนหนึ่งก็หลุดขำออกมา โรสมอนด์ไม่ได้สนใจเขาและพูดกับเจคอบต่อไป
“รีบไปหาท่านแม่เถิด ท่านแม่ของเจ้าอยู่ที่ใด”
“ท่านแม่อยู่ในห้องขอรับ”
“เอาล่ะ เดี๋ยวข้าพาไป”
พูดจบนางก็พูดกับผู้คุมเสียงค่อยว่าอีกฝ่ายเป็นแค่เด็กเล็ก พวกเขาไม่ได้ห้ามโรสมอนด์เพราะคิดว่ามีพวกตนจับตาดูอยู่คงไม่เป็นไร โรสมอนด์จูงมือเจคอบเดินไปที่ห้องของแจนยูเอรีและเคาะประตู
สิ้นเสียงเคาะประตู ก๊อกก๊อก ก็มีเสียงแหวดังสวนกลับมาจากด้านใน
“ใคร!”
“ท่านเป็นมารดาของเด็กคนนี้ใช่หรือไม่”
“โรส…”
แจนยูเอรีรู้ว่านั่นเป็นเสียงของโรสมอนด์จึงรีบเปิดประตูออกไปทันที นางมองโรสมอนด์เหมือนเห็นคนตายสลับกับมองบุตรชายของตน ทันใดนั้นนางก็รีบดึงเจคอบออกจากมือของคนตรงหน้า เมื่อถูกกระทำราวกับตนเป็นผู้ร้ายลักเด็ก โรสมอนด์ก็กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
“ข้าเห็นเด็กเดินเตร่อยู่คนเดียวจึงพามาส่งค่ะ”
“ขอบคุณ…ค่ะ”
แจนยูเอรีดึงมือเจคอบเข้ามาหาตัวเองด้วยสีหน้าตะลึงงันราวกับเห็นผีและปิดประตูทันที นางคุกเข่าลงต่อหน้าบุตรชายและเอ่ยถาม
“คนผู้นั้นทำอะไรลูกหรือไม่ เจย์”
“ไม่ขอรับ ท่านแม่”
แต่เมื่อตอบออกไปแล้วเด็กน้อยก็ทำสีหน้าคล้ายกำลังขบคิดให้ละเอียดก่อนจะยื่นบางสิ่งมาตรงหน้า สิ่งที่อยู่ในมือน้อยๆ นั้นคือเศษผ้ายับยู่
“จู่ๆ นางก็ยัดสิ่งนี้ใส่มือข้า มิได้กล่าวอันใด”
แจนยูเอรีรีบหยิบเศษผ้านั้นขึ้นมา สภาพของมันดูแย่มาก แต่เห็นแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าถูกฉีกออกมาจากชุดเดรสที่โรสมอนด์สวมใส่อยู่ นางอดหัวร่อออกมาไม่ได้ อีกฝ่ายคงใช้เศษผ้าแทนเพราะไม่มีกระดาษเป็นแน่ จดหมายของนางถูกเขียนด้วยเลือดสีแดงสด ท่าทางนางคงต้องใช้เลือดเพราะไม่มีทั้งน้ำหมึกและปากกา
แจนี่ที่รัก
ตอนนี้ข้ากำลังลำบากมาก จักรพรรดินีสร้างคำให้การเท็จ พยายามจะทำให้ข้าต้องโทษประหาร อีกไม่กี่วันก็จะตัดสินโทษแล้ว รีบนำเรื่องนี้ไปบอกดยุกเอเฟรนีและช่วยข้าออกไป หาไม่แล้วทั้งข้า ทั้งเจ้า และดยุกเอเฟรนีจะต้องวิบัติไปพร้อมกัน จงจำไว้ให้ดี
โรสของเจ้า
“ยังมีหน้ามาพูดว่า ‘โรสของเจ้า’ อีกรึ”
แจนยูเอรีระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นต้องเข้าใจอันใดผิดอยู่เป็นแน่ นางคิดว่าดยุกเอเฟรนีไม่ช่วยนางเพราะไม่รู้ว่านางกำลังตกที่นั่งลำบากอย่างนั้นหรือ? นางถูกทอดทิ้งแล้วต่างหาก คนตายย่อมไร้คำพูด ดยุกเอเฟรนีอาจจะกำลังภาวนาให้นางตายเร็วขึ้นอีกวันเสียด้วยซ้ำ ขอเพียงนางตายก็จะไม่มีใครมาควบคุมและสั่นคลอนเขาได้อีก แล้วนี่ยังจะส่งจดหมายเช่นนี้มาอีกหรือนี่!
คราวนี้ไม่มีแม้กระทั่งข้อความสำทับให้เผาจดหมาย หากใครรู้เข้าว่านางมีความเกี่ยวข้องกับโรสมอนด์ ทุกอย่างจบสิ้นแน่ นางจะถูกประหารข้อหาสมรู้ร่วมคิด และหากเป็นเช่นนั้นบุตรชายที่น่าสงสารของนางก็จะกำพร้า นางจะปล่อยให้ลูกรักประสบชะตาเช่นนั้นไม่ได้ แจนยูเอรีนำเศษผ้านั้นไปเผาอย่างไม่ลังเล จะให้ใครรู้ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับโรสมอนด์ไม่ได้เด็ดขาด
[1] เชือกทองแดงนี้มีที่มาจากนิทานเรื่องกำเนิดพระอาทิตย์และพระจันทร์ สองพี่น้องที่กำลังจะถูกจับกินอธิษฐานว่าหากพระเจ้าอยากให้พวกเขารอดขอให้ส่งเชือกทองแดงมาให้ แต่หากพระเจ้าอยากให้พวกเขาตายขอให้ส่งเชือกเก่าๆ ใกล้ขาดลงมาให้
“…”
เปโตรนิยาคิดว่าดัชเชสเอเฟรนีจะโต้กลับทันที แต่นางกลับปิดปากเงียบอย่างผิดคาด และเปโตรนิยาเองก็ไม่ได้คิดว่านางเลือกเขาเพียงเพราะความรักเท่านั้น
“ในเมื่อไม่ใช่ความจริง สักวันหนึ่งดัชเชสแค่เปิดเผยเรื่องนี้กับทุกคนก็พอแล้วค่ะ อย่าคิดมากเลยนะคะ” เปโตรนิยาพูด
“…ใครกันที่กุข่าวลือเช่นนี้ นี่มันหยามกันชัดๆ เลยนะคะ”
“ดัชเชส ใจเย็นๆ นะคะ”
เปโตรนิยาซึ่งรู้ตัวจริงของ ‘คนกุข่าว’ ปลอบโยนดัชเชสเอเฟรนีอย่างสุขุม
“คนเราก็เป็นเช่นนี้ แม้แต่คำนินทาไร้มูลเหตุก็เอามาพูดพร่ำราวกับเป็นเรื่องจริง”
“…”
“อย่าไปสนใจเลยค่ะ เดี๋ยวก็เงียบกันไปเอง”
แต่ท้ายที่สุดแล้วจะเป็นเช่นนั้นหรือ? เปโตรนิยามั่นใจว่าต่อให้คำนินทานั้นหายไป แต่เมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยที่เริ่มหยั่งรากลงไปในใจของอีกฝ่ายจะไม่หายไปด้วย นี่แลมนุษย์ เมื่อความสงสัยเริ่มก่อนตัวก็ยากที่จะระงับ เท่าที่เปโตรนิยาสังเกตดู เรื่องน่าจะง่ายดายขึ้นมาก
“ข้าขอตัวดีกว่าค่ะ ท่านหญิงควรจะพักผ่อน”
พูดจบ เปโตรนิยาก็ค้อมกายอย่างนอบน้อม ก่อนจะก้าวออกจากห้องนางก็แสดงความเสียใจกับดัชเชสเอเฟรนีด้วยใจจริง
“เรื่องท่านชายเอเฟรนี…ข้าเสียใจด้วยจริงๆ ค่ะ”
“…”
“ท่านชายคงไปสู่ภพภูมิที่ดีแล้วล่ะค่ะ”
“…ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ค่ะ”
ดัชเชสเอเฟรนีกล่าวปิดการสนทนา เปโตรนิยาค้อมศีรษะให้อีกครั้งและออกจากห้องมา หลังออกมาแล้วเปโตรนิยาก็พบแจนยูเอรี บนใบหน้าของนางปรากฏรอยเล็บอย่างเด่นชัด นางทักทายแจนยูเอรีอย่างเรียบเฉย
“สวัสดีค่ะ มาดาม ไม่พบกันนานนะคะ”
“นั่นสิคะ ช่วงนี้ไม่ได้ติดต่อกันเลย”
เปโตรนิยามองข้ามบาดแผลบนใบหน้าของอีกฝ่ายไปพูดเรื่องอื่นแทน
“ดูเหมือนเรื่องของท่านชายจะทำให้ดัชเชสเป็นทุกข์มากทีเดียว”
“ค่ะ ด้วยเหตุนั้นข้าจึงตกอยู่ในสภาพนี้”
“ตายจริง” เปโตรนิยาเพิ่งจะคิดเอ่ยปลอบอย่างไร้ยางอาย “มาดามช่วยเข้าใจดัชเชสหน่อยเถอะค่ะ ถึงอย่างไร…เรื่องก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว”
“ค่ะ ข้าย่อมต้องเข้าใจ”
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะคะ ขอให้บาดแผลดีขึ้นในเร็ววัน”
พูดจบ เปโตรนิยาก็นั่งรถม้าออกจากคฤหาสน์ไป จัดการขั้นแรกเรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็ขั้นที่สอง ถึงคราวต้องโหมกระพือความสงสัย เปโตรนิยาถอนหายใจพร้อมกับเอนตัวพิงพนักด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า
***
บ่ายแก่ๆ ของวันเดียวกัน ลูซิโอก็ได้รับข่าวว่านักฆ่าที่ถูกจับมารับสารภาพแล้วว่าโรสมอนด์อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด เขารับฟังอย่างสงบผิดคาดก่อนจะกลับไปตั้งใจทำงานต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“…”
หากจะพูดกันตามตรง ลูซิโอรู้อยู่แล้วว่านักฆ่าที่ถูกจับมาเป็นแค่การจัดฉากแต่เขาก็ไม่คิดจะพูดไป เพราะต่อให้ยืนกรานเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ว่ามันเป็นการจัดฉาก อีกทั้งเขายังตระหนักได้แล้วว่าถึงเวลาที่จะต้องจบเรื่องทั้งหมดเสียที เขานั่งหลับตานิ่งพลางถอนหายใจในใจ
“ฝ่าบาท”
ครั้นได้ยินเสียงหัวหน้านางกำนัลเขาก็ตอบรับ
“มีเรื่องอันใด”
“จักรพรรดินีขอเข้าเฝ้าเพคะ”
“…”
ไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมาหาเขา ลูซิโอตอบกลับอีกครั้งอย่างเรียบเฉย
“ให้นางเข้ามา”
ประตูเปิดออกพร้อมกับร่างของแพทริเซียที่เดินเข้ามา ชุดเดรสสีกรมท่าทำให้แพทริเซียดูลึกลับอย่างประหลาด
“มีธุระอันใดหรือ” เขาเอ่ยถาม
“กำหนดวันตัดสินโทษแล้วเพคะ” แพทริเซียเอ่ยเสียงเรียบ “เป็นเวลาเที่ยงของอีกสี่วันให้หลัง”
“…”
“หม่อมฉันมาทูลขอพระบรมราชานุญาตเพคะ ในเมื่อมีคำรับสารภาพแล้วก็ไม่จำเป็นต้องยืดเยื้อต่อไป”
“เราอนุญาต”
“…”
แพทริเซียเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย
“นางจะถูกประหาร”
“เรารู้”
“ดูไม่ยี่หระเลยนะเพคะ ถึงกระนั้น…นางก็เคยเป็นคนรักของพระองค์”
“เรารักนางจริงหรือไม่ และนางรักเราจริงหรือไม่ เรื่องนี้คงมีเพียงพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่รู้” ลูซิโอตอบเสียงเรียบ “บางทีแม้แต่เรื่องนั้นก็อาจเป็นเพียงความโชคร้ายของเรา”
“ที่พระองค์รับสั่งมาหม่อมฉันไม่เข้าใจเพคะ”
“ไม่เป็นไร ที่จริงเราเองก็…ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน”
แพทริเซียไม่รู้ว่าตนคิดไปเองหรือไม่ว่าเขาพูดออกมาด้วยความทุกข์ทรมาน นางรู้ว่าเขาแสร้งทำเป็นนิ่งเฉยทั้งที่ในใจสับสน แพทริเซียเผยอปากโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่อยากพูดออกไปในที่สุด
“หม่อมฉันรู้ว่าฝ่าบาทคงไม่ร้องขออันใด แม้พระองค์จะขอร้อง…”
“…”
“แต่จะไม่มีการอภัยโทษเพคะ หม่อมฉันหาได้มีเมตตาถึงเพียงนั้น”
“นอกเหนือจากความเมตตาคือเรื่องของกฎหมาย เรามิอาจปล่อยให้ผู้ที่พยายามปองร้ายจักรพรรดินีมีชีวิตอยู่ต่อไปได้” เขาโต้กลับเสียงห้วน “ไม่ต้องสนใจเรา ต่อให้เราบอกว่ารักนาง แต่เราก็คงไม่มีหน้าไปขอให้เจ้าไว้ชีวิตนางเหมือนคราวนั้นอีกแล้ว”
“…เช่นนั้นหม่อมฉันก็โล่งใจเพคะ”
พูดจบ แพทริเซียก็หันหลังกลับ ทันใดนั้นความความอ่อนเพลียก็หลั่งไหลเข้ามา แต่แพทริเซียก็ทำใจให้สงบพลางพร่ำพูดในใจว่าอีกไม่นานเรื่องทุกอย่างก็จะจบลง เพราะฉะนั้นจงอดทนอีกนิด
***
ตั้งแต่ดัชเชสเอเฟรนีกลับมา บรรยากาศในคฤหาสน์ดยุกก็เย็นยะเยือก การทะเลาะตบตีกันของดัชเชสเอเฟรนีและแจนยูเอรีเมื่อครู่ก็นับเป็นสาเหตุหนึ่ง ทว่า ที่สำคัญที่สุดคือนี่เป็นช่วงไว้ทุกข์ โดยจะเริ่มไว้ทุกข์อย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้เป็นต้นไปเป็นเวลาสี่วัน
“ดัชเชสอยู่ที่ใด”
เมื่อกลับจากวังดยุกเอเฟรนีก็ถามหาผู้เป็นภรรยาทันที พ่อบ้านตอบอย่างนอบน้อมว่านางกำลังพักผ่อนอยู่ในห้อง ดยุกเอเฟรนีได้ยินดังนั้นก็พุ่งตรงดิ่งไปหา หลังจากเคาะประตูเรียก เขาก็ได้ยินเสียงแหบพร่าดังมาจากด้านใน
“นั่นใคร”
“ข้าเอง ดัชเชส”
“…เชิญค่ะ”
น้ำเสียงของดัชเชสฟังดูไม่ค่อยพึงใจนัก แต่ดยุกเอเฟรนีก็เปิดประตูเข้ามาโดยไม่ทันสังเกตถึงจุดนั้น ดัชเชสสวมชุดสีดำนั่งจมจ่อมในความทุกข์อยู่ภายในห้อง
“ได้ยินว่าเพิ่งกลับมาถึงเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหรือ ข้าขอโทษที่ไม่ได้ไปรับ” ดยุกเอเฟรนีเอ่ยถามภรรยา
“…ท่านกำลังยุ่ง ไม่เป็นไรค่ะ”
“ร่างกายเป็นอย่างไร เจ้าคงจะสะเทือนใจมาก”
“มีแต่ข้าคนเดียวหรือคะที่สะเทือนใจ?”
ดัชเชสเอเฟรนีมองสามีอย่างไม่พอใจ ทั้งสองสูญเสียลูกไป แต่เขากลับดูไม่ทุกข์ไม่ร้อน หัวใจของดัชเชสเอเฟรนีเต้นระรัว
“ลูกชายของเราตายไปทั้งคน เด็กคนนั้นคิดคะนึงถึงบ้านเกิดจวบจนวาระสุดท้าย ข้าคงเสียใจไปชั่วชีวิตที่มิอาจพาเขากลับมาตายที่นี่!”
“ไยข้าจะไม่เสียใจเล่า ดัชเชส ตอนนี้ใจข้านั้นแสนเป็นทุกข์…”
“จริงหรือคะ” ดัชเชสเอเฟรนีมองอีกฝ่ายอย่างทะลุปรุโปร่งด้วยสายตาอันเฉียบแหลม “ท่านทุกข์ใจจริงหรือ? แต่ทำไม…”
“…”
“ในสายตาของข้ากลับไม่เห็นว่าท่านเศร้าหมองเลยแม้แต่น้อย”
“ดัชเชส เข้าใจผิดแล้ว ตอนนี้ข้า…”
“ข้าไม่พอใจมาตั้งแต่แรกแล้ว ตั้งแต่ที่ท่านส่งเฮนรีไปต่างบ้านต่างเมือง ท่านอาจจะบอกว่าตั้งใจส่งเขาไปศึกษาหาความรู้ แต่นั่นท่านทำเพื่อลูกของเราจริงๆ หรือ”
“อีส[1] เจ้าพูดเรื่องอันใด ข้าย่อมต้อง…”
“ข้าขอถาม ท่านรักเฮนรีหรือไม่”
ดัชเชสเอเฟรนีถามผู้เป็นสามีด้วยสายตาแข็งกร้าวในขณะที่ดยุกเอเฟรนีตอบอย่างสุขุม
“รักสิ ข้าก็บอกแล้วว่าข้าเองก็เศร้าใจ”
“แต่แววตาของท่านหาได้มีความเศร้า” ดัชเชสเอเฟรนียิ้มหยัน “ท่านกำลังโกหก แน่นอนว่าท่านต้องเสียใจ แต่ไม่ได้เสียใจจนจะเป็นจะตาย จริงหรือไม่? เพราะท่านยังมีลูกชายอยู่อีกหนึ่งคน ตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลเอเฟรนีท่านก็คิดจะยกให้เด็กนั่นสินะ?”
“อีส เจ้าใจเย็นๆ ก่อน เจ้าใช้อารมณ์มากเกินไปแล้วนะ”
“ใช้อารมณ์หรือ” ดัชเชสเอเฟรนีแค่นหัวเราะ “ไยไม่พูดว่าข้าวิปลาสไปเสียเลยเล่า”
“อีส”
“อย่ามาเรียกชื่อข้า”
ดัชเชสเอเฟรนีโกรธจนตัวสั่นและลุกพรวดขึ้นจากที่นั่ง ครั้นเห็นว่าดยุกเอเฟรนีเอาแต่มองอย่างพูดอะไรไม่ออก ดัชเชสเอเฟรนีก็ตอกย้ำ
“ข้าจะรับลูกบุญธรรม เจคอบจะต้องเป็นแค่ลูกอนุตลอดไป ข้าไม่มีวันปล่อยให้สายเลือดชั้นต่ำของนางเมียน้อยนั่นได้เป็นผู้สืบทอดของตระกูลข้าเด็ดขาด! ท่านเข้าใจหรือไม่?”
พูดจบ ดัชเชสเอเฟรนีก็หายใจอย่างเหนื่อยหอบและเดินออกจากห้องมา จากนั้นนางก็ตรงดิ่งไปบอกพ่อบ้านให้ติดต่อญาติสายรองของตระกูลทั้งหมด พ่อบ้านทำตามคำสั่งอย่างภักดี
“ดัชเชส เจ้ากำลังทำอะไรของเจ้า นี่มันช่วงไว้ทุกข์นะ!” ดยุกเอเฟรนีที่เพิ่งเดินตามหลังมาถามขึ้น
“ลูกชายข้าก็ตายไปแล้ว ส่วนลูกชายของนางเมียน้อยนั่นก็กำลังจะได้เป็นผู้สืบทอด ตอนนี้จะเป็นช่วงใดแล้วมันสำคัญด้วยหรือ?” ดัชเชสเอเฟรนีกล่าวเสียงดังอย่างเย็นชา “ท่านเองก็ระวังไว้เถิด เจ้าของบ้านหลังนี้คือข้า เฮนรีก็ตายไปแล้ว เพราะฉะนั้นข้าไม่มีเหตุผลอันใดที่จะไม่หย่ากับท่าน”
“…”
ครั้นสัมผัสได้ถึงวิกฤตจากคำพูดของภรรยา ดยุกเอเฟรนีก็หุบปากฉับ หากนางหย่ากับเขา เขาก็จะไม่ใช่ประมุขตระกูลเอเฟรนีที่ยิ่งใหญ่ และไม่ได้สืบทอดตำแหน่งดยุกเอเฟรนีอีกต่อไป เขาจะต้องกลับไปใช้นามสกุลเฮ็ดวิกที่เขาเคยใช้ แม้กระทั่งบรรดาศักดิ์บารอนเขาก็จะไม่ได้รับ เพราะน้องชายของเขารับสืบทอดไปแล้ว ทั้งหมดนั้นหมายถึงความวิบัติของดยุกเอเฟรนี
“คราวนี้ข้าขอเตือนนะคะ จงไล่ผู้หญิงคนนั้นกับลูกชายของนางออกไปเสีย”
“…”
“ที่ข้านิ่งเฉยมาจนถึงตอนนี้โดยมิอาจหย่ากับท่านล้วนเป็นเพราะเฮนรี แต่ตอนนี้เขาตายไปแล้ว ข้าจึงไม่คิดจะอดทนอีกต่อไปเช่นกัน”
“ดัชเชส การหย่ามิได้ง่ายดายเช่นนั้น เหตุผลก็ยังไม่เพียงพอ ว่ากันตามจริงแล้วเรื่องดยุกมีอนุภรรยามิอาจนำมาเป็นเหตุผลในการหย่าได้”
“นี่ท่านกำลังจะบอกว่า ท่านจะไม่ไล่สองแม่ลูกนั่นออกไปหรือ”
“อย่างไรเจคอบก็ยังเล็กนัก ข้าจะไล่เด็กเล็กเช่นนั้นออกไปได้อย่าง…”
“ข้าเตือนแล้วนะคะ” ดัชเชสเอ่ยแทรกและสำทับ “ไล่แม่ลูกที่น่าสะอิดสะเอียนคู่นั้นออกไปจากบ้านนี้ก่อนที่พิธีศพจะแล้วเสร็จ มิฉะนั้นข้าไม่ยอมอยู่เฉยแน่”
พูดจบ ดัชเชสเอเฟรนีก็กลับเข้าห้องไป ทิ้งให้ดยุกเอเฟรนียืนถอนหายใจด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่คนเดียวตรงนั้น ขณะเดียวกันก็ยังมีอีกคนเฝ้ามองเขาอยู่หลังเสา
‘ทำอย่างไรดี’
คนผู้นั้นคือแจนยูเอรี นางกัดริมฝีปากด้วยสีหน้าร้อนรนกระวนกระวายและกลับเข้าไปในห้องของตัวเองเงียบๆ แจนยูเอรีกระสับกระส่ายเสียจนต้องลุกเดินไปเดินมาพลางพึมพำ
“โรสมอนด์ถูกจับไปแล้ว กระทั่งดยุกเอเฟรนีก็จะถูกฟ้องหย่า”
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่เรื่องกลับตาลปัตรเช่นนี้ ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้เล่า? แจนยูเอรีทำสีหน้าเหมือนจะร้องไห้และพึมพำพูดคนเดียวต่อไป
“โรสมอนด์ต้องถูกประหารแน่ แต่ถ้านางลากข้าเข้าไปเกี่ยวด้วยจะทำอย่างไรดี”
เมื่อพึมพำมาถึงตรงนี้ แจนยูเอรีก็ค้นเอากล่องที่นางเก็บจดหมายที่ติดต่อกับโรสมอนด์ไว้ออกมาราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ ต้องเผาของพวกนี้ทิ้งเสีย นางรีบเปิดกล่องเครื่องประดับก่อนจะหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากกองจดหมายและเปิดดู
มันเป็นจดหมายฉบับล่าสุดที่โรสมอนด์ส่งมาบอกให้นางจ้างนักฆ่าไปจัดการจักรพรรดินี แจนยูเอรีเผาจดหมายอย่างไม่รีรอ จากนั้นก็โยนจดหมายที่เหลือเข้าไปในเตาผิงโดยมิได้เปิดอ่าน
ที่สุดแล้วแจนยูเอรีก็หารู้ไม่ว่าจดหมายพวกนั้นถูกเปโตรนิยาสับเปลี่ยนหมดแล้ว
[1] อีส มาจากชื่อเต็มของดัชเชสเอเฟรนีคือ อีส คาเทียร์ ลา เอเฟรนี
“ยินดีต้อนรับกลับขอรับ ดัชเชส”
พ่อบ้านผู้ซื่อสัตย์ออกมาต้อนรับดัชเชสเอเฟรนีเป็นคนแรกเมื่อกลับถึงคฤหาสน์ แทนที่จะแสดงความเสียใจเรื่องบุตรชาย พ่อบ้านผู้เริ่มมีผมขาวขึ้นแซมกลับแสดงความห่วงใยต่อผู้เป็นนายที่ต้องเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกลเป็นอันดับแรก
“ข้าสั่งสาวใช้ไว้แล้วขอรับ ดัชเชส เชิญอาบน้ำก่อนเถิด”
“…”
แม้พ่อบ้านจะกล่าวเช่นนั้น ดัชเชสเอเฟรนีก็ยังปิดปากเงียบ แววตายังคงดูเหม่อลอย นางเพียงแต่เดินไปตามที่สาวใช้ช่วยประคองจนถึงห้องเท่านั้น ดัชเชสเอเฟรนีมิได้สนใจสถานการณ์รอบตัวแม้แต่น้อย นางจึงไม่รู้ว่าดยุกเอเฟรนีผู้เป็นสามีและประมุขของตระกูลไม่อยู่บ้าน และอนุภรรยาที่นางเกลียดแสนเกลียดกำลังมองนางด้วยสายตาประหลาด กล่าวอีกนัยหนึ่งคือดัชเชสเอเฟรนีไม่มีอารมณ์จะไปสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวในตอนนี้
“คุณพี่”
การเสนอหน้าตอนนี้เป็นเรื่องที่ไม่ฉลาด แต่แจนยูเอรีก็เลือกที่จะหาความบันเทิงให้ตัวเอง แจนยูเอรีเรียกดัชเชสเอเฟรนีด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่แฝงไว้ด้วยความเศร้าใจ
“กลับมาแล้วหรือคะ”
“…”
ในตอนนั้นเอง ดัชเชสเอเฟรนีก็หันไปมองแจนยูเอรี แววตาแห้งแล้งไร้ชีวิตชีวาของดัชเชสทำให้แจนยูเอรีอดสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจไม่ได้ แต่แจนยูเอรีก็ไม่ยอมจำนนยังคงพูดต่อไป
“คงเหนื่อยแย่เลยนะคะ คุณพี่”
ช่างเป็นการกระทำที่โง่เขลา ดัชเชสเอเฟรนีเพียงแต่จ้องไปที่แจนยูเอรีเงียบๆ ในขณะที่แจนยูเอรียังคงพูดไม่หยุด
“ขอแสดงความเสียใจกับเรื่องของท่านชายด้วยนะคะ”
“…เสียใจ” ดัชเชสเอเฟรนีพึมพำอย่างเย็นชา “เจ้าบอกว่าเสียใจรึ”
“ใช่แล้วค่ะ คุณพี่”
“ทำไม?” ดัชเชสเอเฟรนีแสดงความรู้สึกออกมาเป็นครั้งแรก นางยิ้มอย่างคลางแคลงใจพลางเอ่ยถาม “นี่เป็นเรื่องที่ดีกับเจ้าจะตายไป เจคอบลูกเจ้าชนะแล้ว”
“…”
“มิใช่รึ”
“คุณพี่ ไยจึงกล่าว…”
แจนยูเอรีพูดเสียงค่อยด้วยสีหน้างุนงง ดัชเชสเอเฟรนีเดินเนิบช้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย แจนยูเอรีทำอะไรไม่ถูก ไม่น่าเชื่อว่าความน่าเกรงขามนี้จะแผ่ออกมาจากร่างของคนที่คล้ายกับตายไปแล้วเมื่อครู่
สีหน้าของดัชเชสเอเฟรนียังคงเยือกเย็นไม่เปลี่ยน “คิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้ากำลังคิดอะไร”
“ท่านกำลังเข้าใจผิ…”
แต่ดัชเชสเอเฟรนีไม่ปล่อยให้แจนยูเอรีได้พูดจนจบ นางกระชากผมของอีกฝ่ายจนฝ่ายนั้นกรีดร้องเสียงแหลม
“กรี๊ดดดด!”
“ออกไปจากบ้านข้าเดี๋ยวนี้ ไป!”
“โอ๊ย คุณพี่! ทำไมมาทำกับข้าแบบนี้!”
น่าแปลกที่ไม่มีใครห้าม ในบ้านนี้ไม่มีใครอยู่ข้างแจนยูเอรี ในวันแบบนี้เหล่าข้ารับใช้ที่ปฏิบัติอย่างเป็นกลางมาโดยตลอดก็กลายมาเป็นพวกของดัชเชสเอเฟรนี เพราะทุกคนต่างรู้ว่าแท้จริงแล้วแจนยูเอรีแสนจะยินดีที่คุณชายของพวกเขาจากไป
“เอาสายเลือดสกปรกของเจ้าออกไปจากบ้านของข้า!”
“กรี๊ด นางบ้านี่คิดจะฆ่าข้า!”
แจนยูเอรีที่กำลังตกใจก็กระชากผมของดัชเชสเอเฟรนีบ้าง ข้ารับใช้เห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปแยกทั้งคู่ออกจากกัน แจนยูเอรีปล่อยผมของดัชเชสโดยง่าย ตรงกันข้าม ดัชเชสเอเฟรนีกลับไม่ยอมปล่อย ช่างน่าแปลก คนที่ดูคล้ายคนใกล้ตายเช่นนี้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนมากมาย จนกระทั่งผมของแจนยูเอรีหลุดออกมากระจุกหนึ่ง ข้ารับใช้จึงแยกทั้งสองคนออกจากกันได้ ดัชเชสเอเฟรนีจ้องแจนยูเอรีด้วยแววตามุ่งร้าย คราวนี้แจนยูเอรีเองก็จ้องกลับอย่างไม่ยอมแพ้
“เจ้า”
“…”
“คงคิดว่าเมื่อลูกข้าตายไปแล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นอย่างที่เจ้าหวังสินะ คิดว่าลูกชายที่มีเลือดของเจ้าอยู่ครึ่งหนึ่งจะได้เป็นผู้สืบตระกูลรึ?”
พูดจบ ดัชเชสเอเฟรนีก็หัวเราะด้วยสีหน้าน่าสยดสยอง ไม่มีใครเคยเห็นสีหน้าเช่นนี้ของนางมาก่อน
“มันจะเป็นไปตามที่เจ้าคิดหรือ คนที่สืบสายเลือดของตระกูลเอเฟรนีคือข้า มิใช่ชายผู้นั้น ท่าทางเจ้าจะเข้าใจอะไรผิดไปไกล หากข้ารับบุตรบุญธรรมและแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้สืบทอด สายเลือดชั้นต่ำของเจ้าก็จะเป็นแค่บุตรนอกกฎหมายตลอดไป รู้บ้างหรือไม่”
“เจ้าพูดเช่นนั้นได้อย่างไร…!”
แจนยูเอรีตื่นตระหนกกับการพูดอย่างไม่อ้อมค้อมของดัชเชสเอเฟรนีและตกใจกับข้อสันนิษฐานอันน่าขนลุกนั้น น่าเสียดายที่เรื่องที่ดัชเชสเอเฟรนีกล่าวมาเป็นเรื่องจริง หากดัชเชสเอเฟรนีรับบุตรบุญธรรมจริงๆ เขาก็จะกลายเป็นประมุขตระกูลคนต่อไป แจนยูเอรีถลึงตาอย่างมีโทสะเขม้นมองดัชเชสเอเฟรนีที่เข้าห้องไปอย่างเหนื่อยล้า
“เรียกเลดี้เปโตรนิยามาที”
แจนยูเอรีได้ยินสิ่งที่ดัชเชสเอเฟรนีสั่งพ่อบ้านก่อนเข้าห้องอย่างชัดเจน
ครั้นได้ยินว่าดัชเชสเอเฟรนีกลับมาถึงแล้วและเรียกหานาง เปโตรนิยาก็เดินทางมาที่คฤหาสน์ดยุกเอเฟรนีทันที เปโตรนิยาในชุดเดรสสีดำถูกกาลเทศะเคาะประตูคฤหาสน์ จากนั้นพ่อบ้านก็ออกมาต้อนรับนางดังเช่นทุกครั้ง
“เลดี้เปโตรนิยา ไม่พบกันนานนะขอรับ”
“ค่ะ นานแล้วจริงๆ”
“ดัชเชสกำลังรออยู่ขอรับ เชิญด้านใน…”
ระหว่างทาง เปโตรนิยาเอ่ยถามพ่อบ้านอย่างระมัดระวัง
“ดัชเชสมาถึงเมื่อไรหรือคะ”
“เพิ่งมาถึงได้ไม่นานขอรับ เลดี้”
“ไม่ทราบว่าดัชเชสดีขึ้นบ้างหรือไม่…”
ครั้นพูดออกไปแล้ว เปโตรนิยาถึงสำนึกได้ว่านั่นเป็นเรื่องที่ไม่ควรถาม สภาพจิตใจของดัชเชสเอเฟรนีจะดีได้อย่างไร นางเพิ่งเสียบุตรชายเพียงคนเดียวไปทั้งคน แต่ถึงกระนั้นพ่อบ้านก็ตอบคำถามของเปโตรนิยาอย่างสงบนิ่ง ไม่แสดงอาการใดๆ
“ไม่ค่อยดีขอรับ”
“นั่น…สินะคะ”
“หากเลดี้เป็นกำลังให้ดัชเชสได้ข้าจะดีใจอย่างมากเลยขอรับ”
“ว่าแต่ดูเหมือนดยุกเอเฟรนีจะไม่อยู่นะคะ ไม่เห็นเลย”
“ท่านเข้าวังด้วยเรื่องงานน่ะขอรับ”
“…”
ภรรยาหลวงเพิ่งจะสูญเสียทายาทหนึ่งเดียวไปและกลับมาจากต่างบ้านต่างเมือง แต่เขากลับเข้าวังไปทำงาน…เปโตรนิยาหัวเราะเยาะในใจ นี่เขาไม่รู้สถานะของตัวเองหรืออย่างไร หรือเขาติดอยู่กับความเคยชิน? ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เขาก็กำลังทำพลาดอย่างร้ายแรง
“ดัชเชส เปโตรนิยาเองค่ะ”
“เลดี้หรือ” เปโตรนิยาได้ยินน้ำเสียงไร้เรี่ยวแรงตอบรับจากด้านใน “เข้ามาเถิด”
เปโตรนิยาเปิดประตูเข้าไป ดัชเชสเอเฟรนีอยู่ในชุดสะอาดสะอ้านราวกับเพิ่งอาบน้ำเสร็จแต่ก็ไม่อาจปกปิดสีหน้าหม่นหมองอ่อนแรงได้ อีกฝ่ายคงทุกข์ใจไม่น้อย
“ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ ดัชเชส ท่านดูเป็นทุกข์มากทีเดียว” เปโตรนิยาเอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบ
“เสียลูกชายคนเดียวไปทั้งคนนี่คะ” ดัชเชสเอเฟรนีตอบเสียงเรียบและเชิญเปโตรนิยานั่ง “นั่งก่อนสิคะ”
“ขอบคุณค่ะ ดัชเชส”
เปโตรนิยานั่งลงและเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างที่นางไม่อยู่
“ดัชเชสมอบหมายให้ข้าดูแลตระกูล แต่ข้าก็เป็นคนนอก จึงพยายามจะเข้ามาก้าวก่ายให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พ่อบ้านเป็นผู้รับผิดชอบงานส่วนใหญ่ ส่วนข้าคอยให้ความช่วยเหลือในเรื่องที่สำคัญเท่านั้นค่ะ”
“ด้วยเหตุนั้นข้าถึงได้ไหว้วานเลดี้ ต่อให้เลดี้ทำได้ไม่ดี แต่ก็ดีกว่าให้อนุภรรยาทำ”
ดัชเชสกล่าวอย่างเยาะหยัน ก่อนจะเอ่ยถาม “เลดี้สบายดีไหมคะ”
“ข้าสบายดีค่ะ แต่รอบตัวก็มีเรื่องวุ่นวายอยู่บ้าง”
“อย่างไรหรือคะ”
“พระจักรพรรดินีถูกลอบปลงพระชนม์ค่ะ” เปโตรนิยาตอบตามตรง “เราจับเป็นนักฆ่าได้ ตอนนี้กำลังสอบสวนเพื่อให้รับสารภาพ”
“เช่นนั้นยังจับผู้ต้องสงสัยไม่ได้หรือ”
“มาร์เชอเนสเอธิลเลอร์ถูกคุมขังอยู่ค่ะ”
“ผู้หญิงคนนั้นน่ะหรือ”
ดัชเชสเอเฟรนีถามพลางขมวดคิ้ว ตามหลักการแล้วโรสมอนด์เป็นบุตรีบุญธรรมของตระกูลเอเฟรนีจึงนับว่าเป็นบุตรีบุญธรรมของดัชเชสเอเฟรนีด้วย แต่เห็นได้ชัดว่าดัชเชสเอเฟรนีมิได้สนใจข่าวคราวของบุตรีบุญธรรมแม้แต่น้อย ว่ากันตามจริงแล้วนางก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องสนใจบุตรสาวที่สามีรับเข้าตระกูลด้วยเหตุผลทางการเมือง
เปโตรนิยาอธิบายต่อ “พระจักรพรรดิทรงได้ยินนางพูดเรื่องสังหารพระจักรพรรดินีค่ะ ด้วยเหตุนั้นนางจึงถูกสั่งจำคุกทันที เพราะนี่มิใช่แค่การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทั้งยังมิใช่ความผิดครั้งแรก”
“เป็นเช่นนั้นนี่เอง”
“ไม่ตกใจเลยหรือคะ”
“ข้าไม่สนใจนางหรอกค่ะ เลดี้ ที่นางได้เข้ามาเป็นสมาชิกของตระกูลล้วนเป็นความประสงค์ของสามีเพียงฝ่ายเดียว มาร์เชอเนสเอธิลเลอร์ไม่เคยมาแนะนำตัวกับข้าผู้เป็นมารดาบุญธรรม ข้าคิดว่านางไม่ได้ต้องการความสัมพันธ์แบบแม่ลูกทั่วไปหรอกค่ะ”
“…”
เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมือง เปโตรนิยาก็ปิดปากเงียบอย่างคนไม่มีอะไรจะกล่าว ดัชเชสเอเฟรนีเห็นดังนั้นก็ไม่พูดถึงอีก
“ช่วงที่ผ่านมาในเมืองหลวงมีข่าวคราวอื่นใดอีกหรือไม่คะ” ดัชเชสเอเฟรนีเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“…”
ทันใดนั้นเปโตรนิยาก็ลังเลว่าตนควรทำตามแผนเลยหรือไม่ อีกฝ่ายเป็นสตรีสูงศักดิ์ที่เพิ่งสูญเสียบุตรชาย การเอ่ยถึงข่าวลือที่บอกว่าบุตรชายที่เพิ่งตายไปเกิดมาเพราะมารดาถูกขืนใจออกจะโหดร้ายและผิดหลักมนุษยธรรมเกินไป ทว่า…
‘จะให้เรื่องยืดเยื้อต่อไปไม่ได้’
เปโตรนิยาตั้งใจแน่วแน่และเอ่ยปาก “มีข่าวลือไร้ศีลธรรมอยู่เรื่องหนึ่งค่ะ”
“ข่าวลือไร้ศีลธรรมหรือ”
“…”
เปโตรนิยาลังเลอีกครั้ง ทว่า หาใช่การยั้งใจด้วยรู้สึกผิดบาปแต่กระทำไปเพื่อสร้างความสงสัยให้อีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น และดัชเชสเอเฟรนีก็เอ่ยถามอย่างอดรนทนไม่ไหวอย่างที่คาด
“สรุปแล้วเป็นเรื่องอันใดหรือคะ เลดี้”
“ข้าไม่แน่ใจว่า…ควรบอกเรื่องนี้ให้ดัชเชสทราบหรือไม่”
“เป็นเรื่องเกี่ยวกับข้า…หรือจะเกี่ยวกับลูกข้า?”
“จะกล่าวเช่นนั้นก็…”
“บอกมาเถอะค่ะ เลดี้ หากเป็นเรื่องนั้นข้าก็ยิ่งต้องรู้มิใช่หรือ”
เปโตรนิยาเห็นดัชเชสเอเฟรนีเร่งเร้านางก็ทำทีเป็นใคร่ครวญก่อนจะเอ่ยปาก
“แต่เรื่องนี้ไม่น่าฟังเอาเสียเลย…”
“แล้วมันเป็นเรื่องอันใดกัน”
“ดยุกเอเฟรนีแต่งงานกับดัชเชสในฐานะบุตรของบารอนใช่ไหมคะ”
“ใช่ค่ะ”
“คนเขาพูดกันถึงเรื่องนั้นค่ะ”
“เพราะมันเป็นเรื่องแปลกประหลาดน่ะสิคะ”
“ดัชเชสแต่งงานกับใต้เท้าด้วยความรัก จริงไหมคะ”
ได้ยินคำถามนั้น คิ้วของดัชเชสเอเฟรนีก็ยกขึ้นข้างหนึ่งอย่างฉงน
“จู่ๆ ไฉนจึงถามเช่นนั้นคะ” ดัชเชสถาม
“ดัชเชส” เปโตรนิยาถอนหายใจเบาๆ และพูดต่อ “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าข่าวลือพิสดารนี้เริ่มมาจากที่ใด แต่ตอนนี้ผู้คนลือกันไปทั่วแล้วว่าใต้เท้าขืนใจท่านจนตั้งครรภ์จึงต้องแต่งงานกันอย่างเลี่ยงมิได้ค่ะ”
“…อะไรนะคะ”
“ข้าเองก็ได้ยินมาเช่นนั้น…”
“ใครเป็นคนปล่อยข่าวเช่นนั้น…เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ”
ดัชเชสพึมพำ ร่างกายสั่นเทาอย่างน่าสงสาร ขณะที่เปโตรนิยาก็สนับสนุนคำพูดของนาง
“ค่ะ ย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอน หากว่า…” เสียงของเปโตรนิยาทุ้มต่ำลงเล็กน้อย “…ดัชเชสแต่งงานกับใต้เท้าด้วยความรักจริงๆ”
“ข้าจะให้นักฆ่ารับสารภาพภายในบ่ายวันนี้ โรสมอนด์จะถูกตัดสินโทษฐานปองร้ายสมาชิกราชวงศ์”
“โทษประหารใช่หรือไม่”
“หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงย่อมเป็นเช่นนั้น” แพทริเซียไตร่ตรองอย่างถ้วนถี่ก่อนจะกล่าว “เมื่อข่าวลือแพร่ออกไป ทางตระกูลดยุกเอเฟรนีก็จะไม่เหลือเหตุผลให้ต้องปกป้องนางอีก คงไม่มีใครคัดค้านหรอก”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น”
“ดัชเชสเอเฟรนีจะกลับมาถึงจักรวรรดิเมื่อใด”
“บ่ายวันนี้ หากไม่มีอะไรผิดพลาดก็น่าจะถึงราวๆ สี่โมง”
“ดีมาก นีย่า” แพทริเซียผ่อนลมหายใจสั้นๆ “เกิดเรื่องขึ้นพร้อมๆ กันอาจจะวุ่นวายไปบ้าง… เอาเถอะ ถ้าเรื่องทุกอย่างจบลงในตอนนี้อาจจะดีกว่าก็ได้”
“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วมิใช่หรือ ถ้าปัญหาค่อยๆ เกิดทีละเรื่องคงดีไม่น้อย แต่เรื่องราวในโลกนี้ไหนเลยจะค่อยเป็นค่อยไปตามหลักเหตุผล”
เปโตรนิยาพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของราฟาเอลา
“จบเร็วๆ ก็ดีแล้วล่ะ ริซซี่ ทุกข์น้อยๆ สุขนานๆ” นางกล่าว
“เจ้าพูดถูก” แพทริเซียว่าพลางถอนหายใจ “แต่ถึงกระนั้นรอพิสูจน์ความผิดของโรสมอนด์ให้แน่ชัดก่อนแล้วค่อยกราบทูลฝ่าบาทน่าจะดีกว่า”
***
ดัชเชสเอเฟรนีเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง คลื่นสีฟ้ากระเพื่อมเป็นระลอก ข้างๆ กันเป็นนกนางนวลส่งเสียงร้องบินผ่านไป ช่างเป็นทิวทัศน์ที่แสนสงบสุข
ภายใต้ความงดงามอันสงบเงียบ ดัชเชสเอเฟรนีเพียงแค่จองมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เท่านั้น ราวกับนางถูกพรากเอาความรู้สึกไปจนหมดสิ้นในคราวเดียว ใบหน้าที่ขาวผ่องยิ่งดูซีดเซียว นางทำราวกับสูญเสียความสุขทั้งหมดของชีวิตไป ในตอนนั้นเองใครคนหนึ่งก็เอ่ยเรียก
“ดัชเชส”
“…”
แต่นางก็ไม่ตอบรับ ผู้เรียกนางเป็นสาวใช้เก่าแก่ที่อยู่ข้างกายมานาน สาวใช้เอ่ยปากราวกับพูดกับตัวเอง มิได้คาดหวังคำตอบ
“อีกเดี๋ยวก็จะถึงมาวินอสแล้วค่ะ”
“…”
ดัชเชสเอเฟรนีไม่แม้แต่จะปริปาก สาวใช้ถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะล่าถอยออกจากห้องในเรือไป ปัง ประตูถูกปิดลง ในห้องนั้นเหลือเพียงดัชเชสเอเฟรนีคนเดียว นางยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิม สายตาจับจ้องท้องทะเลอย่างไร้จุดหมาย ผ่านไปครู่ใหญ่ใบหน้าที่เคยแห้งสนิทก็มีหยาดน้ำตาสายหนึ่งไหลผ่าน
หนึ่งชั่วโมงให้หลังเรือที่ดัชเชสเอเฟรนีโดยสารมาก็เข้าเทียบท่าเรือขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในจักรวรรดิมาวินอส สาวใช้ลงจากเรือไปก่อนเพื่อคุ้มกันผู้เป็นนาย
“ถึงแล้วค่ะ ดัชเชส ลงมาเถิดค่ะ”
“…”
ดัชเชสเอเฟรนีเคลื่อนไหวอย่างไร้คำพูด ผู้คนบริเวณนั้นที่รู้เรื่องของดัชเชสเอเฟรนีต่างมองด้วยความเห็นใจ โดยปกติแล้วจะไม่อนุญาตให้ส่งสายตาเช่นนี้ให้ผู้สูงศักดิ์เช่นดัชเชส แต่อย่างน้อยในตอนนี้ไม่ว่าใครต่างก็ได้รับสิทธิ์นั้น เพราะถึงอย่างไรดัชเชสหรือบรรดาข้ารับใช้ก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะห้ามปรามสายตาเช่นนั้น
ไม่นานรถม้าจากคฤหาสน์ดยุกก็มาหยุดอยู่ตรงหน้า แต่แม้จะเห็นรถม้าที่คุ้นตามาจอดอยู่ตรงหน้า ดัชเชสเอเฟรนีก็ไม่ขยับเขยื้อน ร่างกายคล้ายเหลือเพียงกายเนื้อไม่เหลือจิตวิญญาณ สาวใช้ประคองดัชเชสเอเฟรนีขึ้นรถโดยไม่พูดพร่ำก่อนจะพาตัวเองตามเข้าไป
“…”
ตลอดทางกลับคฤหาสน์ดยุก ดัชเชสเอเฟรนีเอาแต่นั่งนิ่งไม่ปริปาก และนางอยู่ในสภาพนั้นไปตลอดหนึ่งสัปดาห์
***
อีกด้านหนึ่ง เปโตรนิยาไม่ได้ยกเลิกนัดกับเลดี้วาเซียร์ แม้เลดี้วาเซียร์จะกล่าวด้วยความปรารถนาดีว่าตนนั้นไม่ถือสา การนัดพบปะสังสรรค์เช่นนี้เลื่อนไปคราวหน้าก็ย่อมได้ แต่เปโตรนิยาก็ปฏิเสธ เพราะนางมิได้นัดหมายเลดี้วาเซียร์ในวันนี้โดยไร้สาเหตุ
“สวัสดีค่ะ เลดี้ทริชา”
ใบหน้าของเปโตรนิยาประดับด้วยรอยยิ้มงดงามสำหรับเข้าสังคมขณะเดินเข้าไปในสวนดอกไม้ของคฤหาสน์ดยุกวาเซียร์ สวนดอกไม้แห่งนี้งดงามสมเป็นสวนดอกไม้ของดัชเชสวาเซียร์ผู้ชื่นชอบการจัดสวน ทริชาออกมาต้อนรับเปโตรนิยาในชุดเดรสสีเขียวอ่อนแซมด้วยสีน้ำตาล เห็นแล้วนึกถึงต้นไม้
“เชิญค่ะ เลดี้เปโตรนิยา ขอบคุณที่มานะคะ” ทริชาพูดต่อด้วยน้ำเสียงสับสนงุนงง “ฟังว่าในวังวุ่นวายมากทีเดียว ข้านึกว่าท่านจะมาไม่ได้เสียแล้ว”
“ไม่หรอกค่ะ เลดี้ หากไม่เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน ฝ่าบาทคงมีรับสั่งให้เชิญท่านไปสนทนากันที่สวนดอกไม้ของตำหนักในแล้ว พระองค์ทรงเสียดายมากทีเดียวค่ะ”
“ข้าเสียใจจริงๆ ค่ะที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับฝ่าบาท” ทริชากลืนก้อนเหนียวลงคอและพูดต่อ “ฟังว่าจับผู้ที่บังอาจลอบทำร้ายพระจักรพรรดินีได้ด้วยหรือคะ”
“เป็นเช่นนั้นค่ะ” เปโตรนิยากล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ตอนนี้หลายท่านกำลังช่วยกันเค้นคำสารภาพอยู่ที่คุกใต้ดิน”
“หวังว่าจะจบลงด้วยดีนะคะ ได้ยินว่ามาร์เชอเนสเอธิลเลอร์น่าสงสัยที่สุดหรือคะ”
“เป็นเรื่องที่น่าอดสูจริงๆ ค่ะ ก่อนหน้านี้นางก็เคยถูกสงสัยว่าพยายามลอบสังหารพระจักรพรรดิและพระจักรพรรดินี ที่สงสัยกันตอนนั้นอาจจะมีมูลก็ได้นะคะ”
แม้ว่าในตอนนั้นจะมีการตัดสินอย่างเป็นทางการแล้วว่านางไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ตาม เปโตรนิยารับถ้วยชาจากสาวใช้คฤหาสน์ดยุกที่นำมาให้อย่างได้จังหวะ
“เอิร์ลเกรย์หรือคะ” นางถาม
“ใช่ค่ะ ชอบไหมคะ”
“ไม่ได้ชอบและไม่ได้ไม่ชอบค่ะ”
เปโตรนิยาตอบพลางจิบชาร้อน มันยังร้อนมาก น่าจะต้องทิ้งไว้อีกสักพัก
“ว่าแต่ ถ้ามาร์เชอเนสเอธิลเลอร์เป็นคนร้ายจริงๆ เรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไปหรือคะ”
“แหม…จะเป็นอย่างไรไปได้ล่ะคะ ความผิดฐานลอบสังหารสมาชิกราชวงศ์ มิหนำซ้ำท่านผู้นั้นยังเป็นถึงจักรพรรดินี โทษทัณฑ์ตามกฎหมายของมาวินอสย่อมต้องเป็นการประหารชีวิตค่ะ กฎหมายของจักรวรรดิใดๆ ล้วนเป็นเช่นนี้ แม้ว่ามาร์เชอเนสเอธิลเลอร์จะเป็นคนของตระกูลดยุกเอเฟรนี… แต่นั่นก็คงมิอาจลดโทษของนางได้หรอกค่ะ”
“หากเรื่องเป็นเช่นนั้น ไม่รู้สิคะ… ข้าคิดว่าตระกูลดยุกเอเฟรนีคงไม่ปกป้องบุตรีบุญธรรมถึงเพียงนั้นกระมังคะ”
“ข้าก็คิดเช่นนั้นค่ะ” เปโตรนิยาอมยิ้มก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนเรื่องคุย “ว่าแต่ ช่วงนี้มีเรื่องน่าสนใจบ้างไหมคะ หมู่นี้ข้ามิได้พบปะผู้คนมากนัก รู้สึกเหมือนตัวเองตามกระแสไม่ทัน…”
“จริงสิ จะว่าไปแล้วช่วงนี้เลดี้ก็ยุ่งๆ สินะคะ” ทริชาพยักหน้าและให้คำตอบ “อืม…ถ้าพูดถึงเรื่องน่าสนใจที่เกิดขึ้นที่นี่แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องใครเป็นชู้กับใคร… พวกเรื่องฉาวโฉ่น่ะสิคะ”
“แต่ในบรรดาเรื่องพวกนั้น…ก็น่าจะมีข่าวลือสนุกๆ อยู่บ้างนะคะ”
“ข่าวลือหรือคะ อืม ไม่รู้สิคะ…ขอข้านึกก่อน”
คำพูดของเปโตรนิยาทำให้ทริชาต้องครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เปโตรนิยาจ้องทริชาเขม็ง ไม่นานนางก็มีสีหน้าคล้ายนึกอะไรออก
“อืม จะว่าไปแล้ว…ก็ใช่ว่าไม่มีข่าวลือเสียทีเดียว”
“ตายจริง มีข่าวลืออันใดหรือคะ”
“เลดี้ก็น่าจะทราบว่าหมู่นี้ตระกูลเอเฟรนีเป็นที่กล่าวขวัญไปทั่ว แน่นอนว่ามิใช่ในทางที่ดี”
พูดจบ ทริชาก็คล้ายเพิ่งนึกได้ว่าตนทำพลาดไป
“จริงสิ จะว่าไปแล้วเลดี้สนิทกับดัชเชสเอเฟรนีสินะคะ”
ได้ยินดังนั้นเปโตรนิยาก็หัวเราะเบาๆ
“ไม่รู้สิคะ แม้จะได้เข้าไปดูแลคฤหาสน์อยู่ช่วงหนึ่ง…แต่ผู้ที่จัดการเรื่องทุกอย่างแท้จริงแล้วคือพ่อบ้านค่ะ”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ ใช่ว่าจะไปขอให้คนแปลกหน้ามาช่วยดูแลบ้านได้ง่ายๆ เสียเมื่อไร นี่หมายความว่าดัชเชสไว้ใจเลดี้มากเลยนะคะ” พูดจบทริขาก็ทิ้งช่วงเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อเสียงค่อย “แต่ก็เข้าใจได้ค่ะ แทนที่จะฝากอนุภรรยาดูแล สู้ฝากให้คนแปลกหน้าจัดการไปเสียเลยอาจจะดีกว่า”
“ทั้งคู่ดูไม่ค่อยลงรอยกันเท่าใดค่ะ”
“แน่นอนอยู่แล้วค่ะ ดัชเชสเอเฟรนีทำเพื่อดยุกเอเฟรนีตั้งมากมาย ได้ยินแบบนั้นแล้วข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะพาอนุภรรยาเข้าบ้าน มิหนำซ้ำนางยังมีบุตรชายอีก! ลอร์ดเอเฟรนีก็เสียชีวิตแล้ว ดัชเชสคงปวดใจไม่น้อยเลยค่ะ”
“ข้าก็เป็นห่วงเรื่องนั้นอยู่เหมือนกันค่ะ ได้แต่หวังว่าดัชเชสจะผ่านเรื่องนี้ไปได้…” พูดจบเปโตรนิยาก็วกกลับมาที่เรื่องเดิม “แล้ว…ข่าวลือที่ว่านั่นคืออะไรหรือคะ”
“อย่าให้พูดไปเลยค่ะ เอ่อ…เรื่องนี้เป็นความลับนะคะ เลดี้”
“แน่นอนค่ะ”
เปโตรนิยาว่าพลางยิ้มน้อยๆ โลกใบนี้ไม่มีความลับ จริงที่ว่าไม่ว่าใครก็มีความลับที่ผู้อื่นไม่รู้อยู่อย่างน้อยหนึ่งเรื่อง แต่พวกเขากลับแพร่งพรายให้กับคนรู้จักด้วยคำพูดไร้ความหมายอย่าง ‘รู้กันแค่เจ้ากับข้า’ ทำไมพวกเขาถึงไม่รู้นะว่า ‘เจ้า’ คนนั้นจะบอกต่อไปยัง ‘เจ้า’ อีกคนหนึ่งด้วยประโยคเดียวกัน
“เลดี้รู้ใช่ไหมคะว่าสมัยที่ดัชเชสเอเฟรนียังเป็นแค่เลดี้ การแต่งงานของนางกับดยุกเอเฟรนีซึ่งตอนนั้นยังเป็นเพียงบุตรชายตระกูลบารอนถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว”
“ใช่ค่ะ”
ดยุกเอเฟรนีคนปัจจุบันมิได้สืบสายเลือดจากตระกูลเอเฟรนี เขาเป็นแค่บุตรชายของบารอนต่ำต้อย เพียงเพราะมาแต่งงานกับบุตรีเพียงคนเดียวของดยุกเอเฟรนีรุ่นก่อน เขาจึงได้สืบทอดตำแหน่งดยุกและประมุขของตระกูลในฐานะที่เป็นสามี อย่างไรก็ตามการจับคู่ที่ต่างชั้นเช่นนี้นับเป็นเรื่องแหวกธรรมเนียมปฏิบัติในเวลานั้น สุดท้ายจึงกลายเป็นเรื่องซุบซิบนินทาของผู้คน แต่เปโตรนิยาย่อมมิอาจรู้ได้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
“ข้าก็ไม่แน่ใจนะคะ แต่ได้ยินว่าเพราะตอนนั้นดยุกขืนใจดัชเชสจนตั้งครรภ์จึงต้องแต่งงานกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ค่ะ”
“พระเจ้าช่วย”
เปโตรนิยารู้ทุกอย่างอยู่แล้วแต่แสร้งทำเป็นตกใจ ข่าวลือนั้นเป็นเรื่องจริง ดยุกเอเฟรนีที่ตอนนั้นยังเป็นแค่บุตรชายของบารอนขืนใจดัชเชสเอเฟรนีจนนางตั้งครรภ์ แล้วเขาก็ใช้เรื่องนั้นเป็นข้ออ้างในการเร่งรัดการแต่งงานกับนาง แน่นอนว่าดัชเชสผู้น่าสงสารลืมเรื่องที่ถูกขืนใจในคืนที่ไร้ความทรงจำจนหมดสิ้น นางเข้าใจว่าคืนนั้นตนหลงใหลเขาอย่างไร้สติและทอดกายให้เขากอดเสียเอง นั่นคงเป็นเพราะเจ้าอสรพิษนั่นบอกกับนางเช่นนั้นในวันรุ่งขึ้น หากนางรู้เรื่องนี้มันคงกลายเป็นโศกนาฏกรรม
“จะเป็นเช่นนั้นหรือคะ คงเป็นแค่ข่าวลือกระมัง”
“ข้าก็หวังให้เป็นเช่นนั้นค่ะ หาไม่แล้วดัชเชสคงน่าสงสารมาก ดยุกก็คงจะถูกฟ้องหย่า ดีไม่ดีอาจต้องรับโทษฐานหลอกลวงบุตรีดยุกก็ได้นะคะ”
“นี่ไม่ใช่ว่าทุกคนได้ยินข่าวลือนี้กันหมดแล้วหรือคะ”
ได้ยินดังนั้น ทริชาก็ลดเสียงลงแม้รอบกายจะไม่มีใครอื่น
“นี่เป็นข่าวลือสดๆ ร้อนๆ ที่เลดี้ชั้นสูงทั้งหลายพูดถึงกันเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เองค่ะ อีกไม่นานคนคงรู้ทั้งเมืองหลวงกระมัง ไม่รู้ใครเป็นคนปล่อยข่าว”
“แต่…หากไม่มีไฟก็ไม่มีควัน จริงไหมคะ”
“นั่นคงจะมีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่รู้”
“เผลอๆ แม้แต่ ‘เจ้าตัว’ ก็อาจจะไม่รู้ค่ะ เพราะดัชเชสเอเฟรนีก็อาจจำเรื่องนั้นไม่ได้”
“พระเจ้าช่วย ถ้าเป็นเรื่องจริงดัชเชสก็น่าสงสารมากเลยนะคะ!”
ทริชาส่ายหน้าไปมา ในขณะที่เปโตรนิยายิ้มน้อยๆ ในใจคิดถึงเรื่องอื่น ดัชเชสวีเธอร์ฟอร์ดจัดการได้ดีทีเดียว หากลือกันไปขนาดนี้อีกไม่นานคงจะเข้าหูดยุกเอเฟรนี อยากรู้นักว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร เปโตรนิยาลองนึกถึงสีหน้าของเจ้าคนหน้าไม่อายผู้นั้นตอนที่ได้ยินข่าวลือพร้อมกับหัวเราะในใจเงียบๆ
“เจ้า…!”
โรสมอนด์พูดเสียงลอดไรฟันเมื่อหันไปพบกับแพทริเซีย นางมองแพทริเซียอย่างชิงชังราวกับอีกฝ่ายทำให้นางตกหลุมพราง เห็นโรสมอนด์ไม่สำนึกผิด แพทริเซียก็พูดไม่ออก นี่เป็นปัญหาทางจิตไม่ผิดแน่ ฝ่ายนั้นไม่ได้คิดถึงความผิดของตนเลยสักนิด แต่กลับใช้สายตาเช่นนั้นมองผู้ลงทัณฑ์ แพทริเซียถามอย่างไม่ปกปิดความเย้ยหยัน
“แม้จะอยู่ในคุกแต่ความคิดจิตใจของเจ้าก็ยังเหมือนเดิม ต้องทำอย่างไรจึงจะแก้นิสัยพูดจาหยาบช้าของเจ้าได้กัน”
“ไม่ว่าพระจักรพรรดินีผู้สูงศักดิ์จะพยายามอย่างไรก็คงไม่ประสบผลสำเร็จหรอกเพคะ”
โรสมอนด์เย้ยหยันแพทริเซียด้วยรอยยิ้มงดงาม แต่แพทริเซียไม่ได้สะทกสะท้าน สถานการณ์ของนางไม่ได้เสียเปรียบจนต้องหลงกลคำยั่วยุตื้นๆ และเดิมทีนางก็มีส่วนวางแผนให้เรื่องเป็นเช่นนี้ แพทริเซียส่งยิ้มงดงามไม่แพ้กันพลางแสร้งปลอบโรสมอนด์
“ตอนนี้เจ้าคงลำบากมาก เพราะไม่มีใครจะช่วยเจ้าแล้ว”
“หม่อมฉันเป็นถึงมาร์เชอเนสเอธิลเลอร์ ทั้งยังเป็นบุตรีของตระกูลดยุกเอเฟรนี บิดาบุญธรรมของหม่อมฉันคงไม่ทอดทิ้งหม่อมฉันกระมังเพคะ”
“ดยุกเอเฟรนีก็คงมิได้รับเจ้าเป็นลูกเพราะความรักใคร่เอ็นดูกระมัง”
แพทริเซียว่าพลางยิ้มหยันราวกับนางรู้เบื้องหลังทั้งหมดแล้ว แต่โรสมอนด์กลับโต้เถียงอย่างไม่ยี่หระ
“แล้วนั่นสำคัญอันใดหรือเพคะ สิ่งสำคัญคือเขามิอาจทอดทิ้งหม่อมฉัน”
“โรสมอนด์ ตัวเรานั้น…” สีหน้าของแพทริเซียดูคล้ายพบเรื่องสนุก “…รู้ว่าเหตุใดเจ้าจึงเชื่อใจดยุกเอเฟรนีถึงเพียงนั้น”
“หืม…?”
โรสมอนด์ลากเสียงแสร้งทำเป็นไม่สะทกสะท้านเพื่อปกปิดความตกตะลึง แต่แพทริเซียกลับมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง แพทริเซียยิ้มอย่างทรงเสน่ห์และกระซิบข้างหูอีกฝ่าย
“เราหมายถึง…เรารู้แล้วว่าเจ้าข่มขู่ดยุกเอเฟรนีด้วยเรื่องอันใด”
“หม่อมฉันไม่ทราบเลยแม้แต่น้อยว่าพระองค์กำลังตรัสถึงเรื่องอันใด พระจักรพรรดินีผู้สูงส่ง”
“นั่นสินะ เจ้าไม่รู้ก็ไม่เป็นไร” แพทริเซียส่ายหน้าราวกับนางไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะรู้หรือไม่ “ประเด็นสำคัญคือเจ้าคงมิอาจหวังพึ่งดยุกเอเฟรนีได้อีกแล้ว”
“…ทำไม”
“เพราะเขาไม่มีอำนาจที่จะคุ้มหัวเจ้าแล้วน่ะสิ”
“ฝ่าบาทตรัสเช่นนี้ หรือพระองค์จะยึดตำแหน่งดยุกของเขาคืน?”
“นั่นหาใช่กงการของเรา แต่เจ้าก็น่าจะรู้ว่าดัชเชสเอเฟรนีทำเช่นนั้นได้”
คำพูดนั้นทำให้โรสมอนด์ตระหนักชัดว่าแพทริเซียรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว แจนยูเอรี นี่มันเรื่อง…! โรสมอนด์ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจ
“เขาจะเป็นอย่างไรต่อไปย่อมขึ้นอยู่กับความประสงค์ของนาง หากเจ้าสานสัมพันธ์กับดัชเชสด้วยก็ไม่แน่… หาไม่แล้วเจ้าคงจะหวังให้ตระกูลดยุกเอเฟรนีช่วยเหลือเจ้าไม่ได้”
“…เฮอะ!”
“ดัชเชสเอเฟรนีที่เรารู้จักมิใช่คนโง่เขลาเบาปัญญา มีเหตุผลอันใดที่นางจะยอมผิดใจกับเรา…เพื่อช่วยเจ้า? ยิ่งไปกว่านั้น…” แพทริเซียยิ้มเย็น “บุตรของนางก็ตายไปแล้ว มารดาที่สูญเสียลูกจะปกป้องสตรีที่เป็นพวกเดียวกับอนุภรรยาของสามีตัวเองหรือ”
“…นี่พระองค์คิดจะปิดฉากเลยหรือเพคะ”
“เราคิดเช่นนั้น มาร์เชอเนสเอธิลเลอร์” แพทริเซียกล่าวเสริมด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย “เราเหนื่อยที่ต้องแก่งแย่งชิงดีกับเจ้าอย่างมิรู้จักจบจักสิ้น ยิ่งไปกว่านั้น เราทนนิ่งเฉยให้เจ้าคุกคามเราและคนรอบตัวที่เรารักไม่ได้อีกแล้ว ให้มันจบลงเช่นนี้ย่อมสะดวกกับทั้งสองฝ่ายมิใช่หรือ”
“คงจะสะดวกกับฝ่าบาทผู้เดียวกระมังเพคะ ส่วนหม่อมฉันจะทำทุกวิถีทางจนถึงที่สุด”
“ทำตามใจเจ้าเถอะ แต่การดิ้นรนจะมีความหมายก็ต่อเมื่อมีความเป็นไปได้นะ ยังมีโอกาสที่เจ้าจะรอดชีวิตอีกหรือ? เราจะทำให้เจ้าได้รับโทษประหารในความผิดฐานบังอาจลอบสังหารจักรพรรดินี และเปิดเผยความผิดในอดีตของดยุกเอเฟรนี นั่นคงจะทำให้วงสังคมชั้นสูงวุ่นวายไม่น้อยทีเดียว”
แพทริเซียพูดต่ออย่างเยือกเย็นไร้ซึ่งความลังเล ราวกับนางเตรียมการมานานมากแล้ว
“แต่ก็ช่างเถิด เดิมทีก็ควรปล่อยให้พายุโหมกระหน่ำเสียบ้างเพื่อปัดเป่าความแห้งแล้ง จากนั้นอากาศจึงจะแจ่มใส จริงหรือไม่”
“…”
“แม้พายุที่ชื่อโรสมอนด์และดยุกเอเฟรนีจะทำให้จักรวรรดิอึกทึกวุ่นวายไปบ้างชั่วขณะหนึ่ง แต่อีกไม่นานจักรวรรดิจะต้องสงบร่มเย็นยิ่งกว่าเดิม เราเชื่ออย่างนั้น”
“ใครบอกว่าพายุจะสงบลงง่ายๆ หรือเพคะ”
“ใช่แล้ว จนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่สงบ นั่นลำบากมากพอแล้วสำหรับเรา” แพทริเซียกล่าวกับโรสมอนด์เสียงแผ่ว “ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังบอกเราว่าพายุกำลังจะสงบลง แล้วเรายังมีอันใดต้องกลัวอีกหรือ?”
“ว่ากันว่าการดิ้นรนครั้งสุดท้ายจะน่ากลัวยิ่งขึ้นนะเพคะ ฝ่าบาท” โรสมอนด์ยิ้มหยัน “ทรงคิดว่าหม่อมฉันจะจบสิ้นเพียงเท่านี้หรือเพคะ? ทรงคิดว่าหม่อมฉันจะยอมตายไปคนเดียว?”
“เราไม่สนว่าเจ้าจะดึงใครให้ล่มจมไปกับเจ้า อย่างน้อยในบรรดาคนที่เรารักก็ไม่มีใครเห็นดีเห็นงามกับการกระทำต่ำช้าของเจ้าสักคน ในเมื่อเราไม่มีอะไรเสียหาย แล้วเราจะสนใจคำพูดของเจ้าไปไย”
“เช่นนั้นก็เชิญทำตามพระประสงค์เถิดเพคะ พระจักรพรรดินีผู้สูงส่ง”
โรสมอนด์มองแพทริเซียด้วยสายตาเย็นชาแต่คราวนี้แพทริเซียหาได้สะดุ้งสะเทือน เพราะในสายตาของนาง คำพูดของโรสมอนด์เป็นเพียงการตะเกียกตะกายสุดชีวิตเท่านั้น สำหรับผู้ที่เชื่อมั่นในชัยชนะไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่อยู่ในสายตา
แพทริเซียกระซิบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เมื่อเราได้คำให้การจากนักฆ่ามายืนยันความผิดของเจ้า เจ้าก็หนีโทษทัณฑ์ไม่พ้น ถึงตอนนั้นเจ้าจะถูกส่งตัวไปตัดสินโทษอย่างเป็นทางการ โรสมอนด์ จนกว่าจะถึงตอนนั้นเจ้าทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว”
“…”
“เจ้าทำได้เพียง…เฝ้าดูให้ดีว่าเรื่องไร้สาระนี้จะจบลงเช่นไร นั่นเป็นเรื่องเดียวที่เจ้าทำได้”
แพทริเซียกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะหันหลังกลับอย่างไม่ไยดี นางไม่ติดค้างและไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว ชัยชนะได้ตกเป็นของนางแล้ว ไม่จำเป็นต้องกังวลอีกต่อไป ตอนนี้คนที่ต้องกังวลมิใช่นางแต่เป็นโรสมอนด์ และสีหน้าของโรสมอนด์ในตอนนี้ก็กระสับกระส่ายยิ่งกว่าเมื่อครู่ ในหัวเริ่มครุ่นคิดหาทางรอดอย่างไม่หยุดหย่อน
“เราจะเตรียมคำรับสารภาพไว้ภายในบ่ายวันนี้เพคะ เผื่อว่าสถานการณ์พลิกผัน”
“ต้องไม่เร็วเกินไป แต่ก็ไม่ช้าเกินไป”
แพทริเซียพูดเบาๆ ขณะเดินอยู่ในโถงทางเดิน ถ้าฝั่งดยุกเอเฟรนียังมีลูกไม้อะไรซ่อนไว้ ทุกอย่างก็ล้มเหลว
“ห้ามมิให้มาร์เชอเนสเอธิลเลอร์ติดต่อกับคนภายนอกเด็ดขาด ห้ามส่งจดหมาย หรือฝากคำพูดใดๆ เราต้องตัดวิธีการสื่อสารกับภายนอกของนางให้หมด” แพทริเซียกำชับด้วยน้ำเสียงเข้มงวด
“แน่นอนเพคะ ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย”
ได้ยินน้ำเสียงหนักแน่นของมีร์ยา แพทริเซียก็วางใจ จากนั้นมีร์ยาก็กล่าวรายงานอีกเรื่องด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน
“เลดี้โกรเชสเตอร์ออกเดินทางมาแล้วเพคะ ฝ่าบาท ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องใหญ่ เลดี้จึงรีบเร่งเดินทางมา”
“คงจะห่วงไม่เข้าเรื่องอีกกระมัง บอกแล้วแท้ๆ ว่าไม่เป็นไร…”
ได้ยินแพทริเซียกล่าวอย่างเป็นทุกข์ มีร์ยาก็เอ่ยปลอบ
“แม้ฝ่าบาทจะบอกกล่าวกับเลดี้ไว้ก่อนแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ทำให้อกสั่นขวัญแขวน โปรดทรงอย่าเห็นว่าเป็นเรื่องทุกข์ใจไปเลยเพคะ”
“ท่านพ่อท่านแม่คงเป็นกังวลอย่างมาก”
“หม่อมฉันให้ข้ารับใช้ไปแจ้งข่าวแก่มาร์ควิสและมาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์แล้ว ทรงอย่ากังวลไปเลยเพคะ”
“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น เพราะอย่างไรข้าก็ปลอดภัยดี”
แพทริเซียตอบเสียงห้วนขณะเดินเลี้ยวที่หัวมุม ทันใดนั้นนางก็หยุดเดิน ตรงหน้าปรากฏร่างของคนที่นางไม่คิดว่าจะได้พบ
เป็นเขา
“ฝ่า…บาท”
“เจ้าเดินเร็วนัก ไปที่ใดมาหรือ”
ได้ยินดังนั้นแพทริเซียก็ชะงักไปครู่หนึ่ง นางไม่ได้ยินดีนักที่จะบอกอีกฝ่ายว่าตนเพิ่งกลับจากที่ใด แต่ถึงกระนั้นก็มิอาจโกหกได้จึงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“หม่อมฉันเพิ่งกลับจากคุกใต้ดินเพคะ ฝ่าบาท”
“…”
เพียงประโยคเดียวลูซิโอก็ไม่ถามอะไรต่อราวกับเข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างแล้ว แพทริเซียรอคำพูดต่อไปจนหน่ายจึงเป็นฝ่ายจบบทสนทนาก่อน
“เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัว…”
“เจ้า…คิดจะจัดการอย่างไร”
“…อย่างไรหรือเพคะ” แพทริเซียถามราวกับไม่เข้าใจ “ขอประทานอภัย หม่อมฉันไม่เข้าใจว่าฝ่าบาทตรัสถึงเรื่องอันใด”
“…”
“หากพระองค์หมายถึงการลงโทษมาร์เชอเนสเอธิลเลอร์…เรื่องนั้นยังมิได้ตัดสินเพคะ ฝ่าบาท เพราะพวกนักฆ่ายังไม่รับสารภาพ”
แต่แน่นอนว่าอีกไม่นาน แพทริเซียพึมพำในใจ
“แต่หากเป็นที่แน่ชัดแล้วว่านางคิดลอบสังหารหม่อมฉันผู้เป็นจักรพรรดินีของจักรวรรดินี้จริง ถึงตอนนั้นนางก็จะได้รับโทษประหารตัดศีรษะตามความผิดที่นางก่อเพคะ”
“…”
เขาไม่พูดอะไร แพทริเซียกระตุกยิ้มมุมปากพลางถาม
“ทำไมหรือเพคะ หรือพระองค์ไม่พอพระทัย?”
“มิได้ หากนางมีความผิดแน่ชัดย่อมต้องได้รับโทษ”
น้ำเสียงของเขามิได้อ่อนล้าหรือโศกเศร้า แต่กลับเจือไว้ด้วยความขมขื่น แพทริเซียรู้สึกไม่พอใจกับปฏิกิริยาเช่นนั้นจึงกล่าวอย่างเย็นชา
“แม้พระองค์ไม่ประสงค์ให้นางถูกลงโทษเช่นนั้นก็ทำอันใดมิได้เพคะ ไม่เพียงแต่นางเท่านั้น ไม่ว่าใครที่มีจิตคิดร้ายต่อสมาชิกราชวงศ์ย่อมต้องได้รับโทษสถานหนัก”
“เรายังมิได้กล่าวอันใดเลย จักรพรรดินี หากผลออกมาเช่นนั้นก็ย่อมต้องเป็นไปตามนั้น” เขากล่าวพลางถอนหายใจก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ดูเหมือนเจ้ากำลังยุ่ง เรามารบกวนหรือไม่ กำลังจะไปที่ใดหรือ”
“…ไม่ได้ไปที่ใดเพคะ” แพทริเซียตอบ “หม่อมฉันแค่จะกลับตำหนัก”
“บาดแผลเล่า ดีขึ้นหรือไม่”
“ดีขึ้นแล้วเพคะ ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงห่วงใย”
เดิมทีมันก็เป็นแผลที่แพทริเซียตั้งใจให้เกิดอยู่แล้ว ด้วยเหตุนั้นแม้แผลจะยาวแต่ก็ไม่ลึก แผลที่กว้างแต่ตื้นเช่นนี้มักจะหายเร็วและแทบมองไม่เห็น บาดแผลที่มักเป็นปัญหาคือบาดแผลที่แคบแต่ลึก
“เช่นนั้นหม่อมฉันทูลลา” แพทริเซียจบบทสนทนา
แพทริเซียพูดทิ้งท้ายและเดินจากมาพร้อมกับมีร์ยาที่วิ่งตามหลัง เดินไปได้ครู่หนึ่งแพทริเซียก็หันกลับไปมอง ลูซิโอยังคงยืนอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหนราวกับขาทั้งสองข้างถูกตรึงไว้ แพทริเซียเห็นดังนั้นสีหน้าก็พลันกระวนกระวายอย่างประหลาด
แพทริเซียกลับมาถึงตำหนักจักรพรรดินีได้ไม่ทันไร เปโตรนิยาก็เดินเข้ามา
“ริซซี่ เจ้าไม่เป็นไรจริงๆ หรือ” เปโตรนิยาถาม สีหน้าเต็มไปด้วยความห่วงใย
“นี่หาใช่เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ข้าบอกเจ้าล่วงหน้าแล้วมิใช่หรือ” แพทริเซียตอบอย่างสุขุม
แน่นอนว่าเปโตรนิยารู้เรื่องนี้และเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว แต่เอาเข้าจริงก็อดห่วงไม่ได้
“อย่างไรข้าก็อดห่วงไม่ได้ เอาเป็นว่าเจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เอล่าล่ะ เป็นอะไรไหม” เปโตรนิยาโต้กลับ
“เอล่าก็ไม่เป็นไร ถึงจะบาดเจ็บก็เถอะ”
“ข้าแข็งแรงดีอย่างที่เห็นเจ้าเห็น นิล ฝ่าบาททรงกังวลเกินเหตุ”
ราฟาเอลาพูดเสริมแพทริเซียพร้อมบ่นปิดท้าย ได้ยินดังนั้นเปโตรนิยาก็หัวเราะขบขัน
“ดีแล้วล่ะ อย่างไรก็โล่งอกไปที โชคดีจริงๆ ที่พวกเจ้าปลอดภัย”
“ท่านพ่อท่านแม่คงเป็นห่วงมาก”
“เป็นเช่นนั้น” เปโตรนิยาถอนหายใจ “พวกท่านเป็นห่วงเจ้ามาก ข้าจึงบอกพวกท่านว่าจะมาดูให้แน่ใจ ไม่ให้พวกท่านเป็นห่วงมากเกินไป แม้ท่านพ่อไม่ได้แสดงออก แต่ก็รับรู้ได้ว่าท่านกังวลมากทีเดียว”
“ช่วยบอกพวกท่านด้วยนะ นิล”
พูดจบแพทริเซียก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากอีกครั้ง
“นั่นสินะเพคะ” แพทริเซียตอบกลับห้วนๆ “หม่อมฉันเคยเกลียดพระองค์”
“ตอนนี้ไม่เกลียดแล้วหรือ”
“ตอนนี้ก็ยังเกลียดเพคะ”
“แล้ว?”
“แต่ก็สงสารด้วยเช่นกัน” สีหน้าของแพทริเซียไร้ซึ่งความหวั่นไหว “แค่ความสงสารเท่านั้นเพคะ ความสงสารที่พระองค์อาจไม่พอพระทัย”
“ไม่หรอก เรามิได้ไม่พอใจ”
แพทริเซียมองผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผู้ชายที่อยู่เหนือคนทั้งปวงในจักรวรรดิกลับบอกว่าตนพอใจในเรื่องที่ไม่ควรพอใจ ก่อนที่แพทริเซียจะโยนคำถามต่อไป เขาก็พูดต่อ
“แค่เจ้ามิได้มองเราด้วยความเกลียดชังเพียงอย่างเดียว”
“…”
“เราก็ดีใจแล้ว ดีใจมาก”
“…หม่อมฉันขอตัวก่อนดีกว่าเพคะ”
แพทริเซียทำตัวไม่ถูกจึงค่อยๆ ลุกขึ้นจากที่นั่ง และเดินไปที่ประตูอย่างมั่นคง ขณะจับลูกบิดประตูนางก็พึมพำในใจ
ข้าไม่ควร…ใส่ใจเขามากไปกว่านี้
ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม
“ฝ่าบาท เสด็จกลับมาแล้วหรือเพคะ”
เมื่อกลับถึงตำหนัก มีร์ยาก็ออกมาต้อนรับอย่างเอะอะมะเทิ่งผิดปกติ นางยิ้มฉีกกว้างให้อีกฝ่ายเพื่อให้นางรู้ว่านางสบายดี
มีร์ยาว่าพลางสะอื้น “ทำให้หม่อมฉันใจหายใจคว่ำทุกวี่ทุกวันเช่นนี้ ทรงทำเกินไปแล้วนะเพคะ”
“แต่มันก็จบด้วยดีนะ มีร์ยา”
แพทริเซียตอบกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ และบอกผลลัพธ์ให้มีร์ยารู้
“ฝ่าบาทพระราชทานอำนาจในการสืบสวนทั้งหมดให้กับข้าแล้ว นักฆ่าสองคนนั้น…”
“เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วเพคะ ตอนนี้ถูกคุมขังอยู่ที่คุกใต้ดิน”
แน่นอนว่านักฆ่าสองคนนั้นเป็นการจัดฉาก นักฆ่าตัวจริงล้วนตายไปหมดแล้วคงมิอาจฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ แพทริเซียไม่สนใจว่าจะต้องสร้างหลักฐานหรือไม่ นางไม่อยากให้การต่อสู้ระหว่างนางกับโรสมอนด์ยืดเยื้อไปมากกว่านี้อีกแล้ว ยืดเยื้อไปก็มีแต่จะเหนื่อยใจยิ่งขึ้น
“แม้จะดึกมากแล้ว แต่ไม่รู้ว่านางจะแผลงฤทธิ์อะไรอีกหรือไม่ มีร์ยา เจ้าจงเป็นตัวแทนข้า นำข้ารับใช้ตำหนักจักรพรรดินีไปที่ตำหนักเวนทันที จับกุมมาร์เชอเนสเอธิลเลอร์และข้ารับใช้ทั้งหมดของนาง ฝ่าบาทจะทรงเป็นพยานให้การ และหากจำเป็นก็เตรียมคำให้การของพวกนักฆ่าไว้ด้วย”
“เพคะ ฝ่าบาท”
มีร์ยาตอบรับและรีบออกไปอย่างรวดเร็ว ราฟาเอลาถามต่อทันที
“ฝ่าบาท เป็นอะไรหรือไม่”
“ข้าไม่เป็นไรอยู่แล้ว เจ้าล่ะ?”
“ข้าก็ไม่เป็นไร” ราฟาเอลาว่าพลางยิ้มยิงฟัน “ข้าตามหมอหลวงมาแล้ว ฝีมือหมอหลวงนี่เยี่ยมจริงๆ”
“ถ้าเป็นแผลเป็นล่ะก็แย่เลย”
“อัศวินจะมีผิวสวยๆ ไว้ทำไมกันเล่า”
ราฟาเอลาหัวเราะคิกคักก่อนจะนั่งลงข้างแพทริเซีย นางจับมือแพทริเซียไว้แน่นพลางกล่าว
“ทีนี้ก็จบเรื่องแล้วหรือ”
“ยัง”
“ยังอีกหรือ” ราฟาเอลาเอนศีรษะซบไหล่ของแพทริเซียพลางเอ่ยพึมพำ “พวกเราลำบากกันมากเลยนะ”
“คงต้องทนต่อไปอีกนิดจนกว่าจะจบ”
น้ำเสียงของแพทริเซียตอนที่พูดประโยคนั้นดูไม่มีเรี่ยวแรงเอาเสียเลย
***
“ทำอย่างไรดี…ทำอย่างไรดี…”
โรสมอนด์พึมพำอย่างร้อนรน นางเดินไปเดินมาในห้องอย่างไร้สติราวกับผู้ป่วยโรคประสาท กลางคืนดึกสงัดคลาราเฝ้ามองปฏิกิริยาของผู้เป็นนาย ก่อนจะเอ่ยปากอย่างระมัดระวัง
“แม้สังหารพลาดแต่พวกมันก็คงปลิดชีพตัวเองหมดแล้วกระมัง เพราะฉะนั้นหลักฐานที่ชี้ว่าพวกเราเป็นคนทำ…”
“หลักฐานย่อมสร้างได้ เรื่องมันบานปลายขนาดนี้ได้อย่างไร!”
โรสมอนด์กัดเล็บ ทำไมทุกอย่างถึงผิดพลาดไปได้ขนาดนี้! โรสมอนด์ออกคำสั่งกับคลาราอย่างหงุดหงิด
“เขียนจดหมายหาแจนยูเอรีเดี๋ยวนี้ เรื่องนี้…”
ในตอนนั้นเอง ประตูก็ถูกเปิดพร้อมกับเสียงดังสนั่น โรสมอนด์ตัวแข็งทื่อ มีร์ยาและเหล่าข้ารับใช้ตำหนักจักรพรรดินีบุกเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว โรสมอนด์ปรายตามองผู้มาใหม่ด้วยความไม่พอใจ
“บังอาจ! อบรมสั่งสอนกันมาอย่างไรจึงได้ทำพฤติกรรมเช่นนี้…!” โรสมอนด์ถาม
“กล่าวหนักไปแล้วค่ะ มาร์เชอเนส” มีร์ยาเอ่ยขัดอย่างเย็นชา “อย่างน้อยคำพูดนั้นก็ไม่ควรออกมาจากปากของท่าน”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ”
“ทำอะไรกันอยู่ ไยไม่รีบเข้าไปจับนางไว้”
สิ้นเสียงมีร์ยา ข้ารับใช้ตำหนักจักรพรรดินีก็เข้าไปจับโรสมอนด์ คลารา และข้ารับใช้คนอื่นๆ ของตำหนักเวนอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าโรสมอนด์ขัดขืนอย่างสุดกำลัง
“คิดจะทำอะไร! พวกเจ้าบ้าไปแล้วหรือ!”
“ผู้ที่เสียสติคงมิใช่พวกข้า แต่เป็นท่าน กล้าดีอย่างไรถึงบังอาจลอบทำร้ายพระจักรพรรดินีถึงสองครั้งสองครา!”
“กล้าทำกับข้าเช่นนี้ คิดว่าพวกเจ้าจะรอดไปได้รึ? บังอาจแตะต้องสตรีผู้เป็นที่รักของจักรพรรดิ…!”
“ดูเหมือนท่านจะเข้าใจผิดไปมากทีเดียว มาร์เชอเนส” มีร์ยาท้วงติง นางทำสีหน้าราวกับอีกฝ่ายกำลังพูดเพ้อเจ้อ “พระจักรพรรดินีถูกทำร้ายระหว่างทางเสด็จกลับพระราชวัง แน่นอนว่าพระจักรพรรดิก็ทรงทราบเรื่องนี้ด้วย”
“แล้วอย่างไร! ตอนนี้เจ้าไม่มีหลักฐาน…”
“พระจักรพรรดิพระราชทานอำนาจในการสืบสวนทั้งหมดแก่พระจักรพรรดินี ส่วนมือสังหารที่จับเป็นกลับมาได้กำลังถูกสอบสวนให้รับสารภาพอยู่ที่คุกใต้ดิน หากรับสารภาพเมื่อใด มาร์เชอเนสเองก็คงมิอาจรอดพ้น”
“มีหลักฐานหรือว่าข้าเป็นคนร้าย” โรสมอนด์ยิ้มมุมปาก “มือสังหารยังไม่ทันรับสารภาพเลยแท้ๆ! แล้วมีหลักฐานอะไรมากล่าวหาข้าเช่นนี้…!”
“พระจักรพรรดิทรงได้ยินมาร์เชอเนสสนทนากับข้ารับใช้เรื่องแผนลอบสังหารจักรพรรดินีแห่งจักรวรรดิ”
“จะเป็น…”
สีหน้าของโรสมอนด์ดูคล้ายเพิ่งนึกขึ้นได้ ถ้าอย่างนั้นเสียงนั่น…!
“ท่านยังมีเรื่องอันใดจะกล่าวอีกหรือไม่”
“เจ้า…!”
“สงบปากสงบคำไว้เถิด ต่อให้ท่านร้องแรกแหกกระเชออยู่ตรงนี้ก็หามีผู้ใดรับฟังและปกป้องท่านไม่ นำตัวไป!”
สิ้นเสียงของมีร์ยา เหล่าข้ารับใช้ก็ขยับตัวอย่างรวดเร็ว โรสมอนด์เลิกกรีดร้องอย่างไร้ความหมายเพื่อเปลี่ยนมาใช้หัวคิด นางตกหลุมพรางที่ตัวเองเป็นคนขุด สถานการณ์เช่นนี้น่าสมเพชนัก นางต้องการอะไรสักอย่างที่จะมาช่วยดึงนางขึ้นจากหลุมนี้
“มาร์เชอเนสเอธิลเลอร์และข้ารับใช้คนอื่นๆ ถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดินแล้วเพคะ ฝ่าบาท”
“ขอบใจทุกคนที่เหน็ดเหนื่อยกันจนฟ้าสาง”
แพทริเซียชมเชยน้ำพักน้ำแรงของข้ารับใช้สั้นๆ มีร์ยาเห็นสีหน้าแพทริเซียดูหม่นหมองก็เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“มีเรื่องไม่สบายพระทัยหรือเพคะ สีพระพักตร์ดูไม่ผ่องใส”
“แค่เหนื่อยนิดหน่อยน่ะ มีเรื่องเช่นนี้ไยข้าจะไม่ยินดี”
แพทริเซียถอนหายใจสั้นๆ และพึมพำ “เพียงแต่…เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างใกล้จะจบลงเต็มที ข้ากลับสับสนนัก”
“เป็นความผูกพันในความเกลียดชังหรือเพคะ”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร” แพทริเซียส่ายศีรษะอย่างไม่ลังเล “คำพูดหวานชื่นเช่นนั้นไม่เหมาะกับความสัมพันธ์ของข้ากับนางหรอก ทั้งข้าและนางต่างก็ทำเรื่องที่ไม่สมควรปฏิบัติต่อกันลงไปทั้งคู่ นั่นเกินกว่าจะเป็นความความผูกพันได้แล้ว”
“มาร์เชอเนสเอธิลเลอร์ย่อมทำผิดต่อพระองค์จริง แต่พระองค์…?”
มีร์ยาถามอย่างไม่เข้าใจ แต่แพทริเซียก็ไม่ยอมปริปากพูดอย่างถึงที่สุด
“ข้ามอบความโชคร้ายให้นางเป็นของขวัญ แต่การไม่พูดไปน่าจะดีต่อข้ามากกว่า”
“เพคะ? นั่นคือเรื่องอันใด…”
“ข้ากำลังบอกว่าข้าไม่อยากพูดไปทั่วว่าตนทำอะไรลงไป เรื่องนี้นอกจากข้าแล้วก็ไม่มีใครรู้อีก เจ้าอย่าได้เสียใจไปเลย ข้า…ทำบางสิ่งที่ผู้หญิงคนหนึ่งไม่ควรทำ”
“ไม่ว่านั่นจะเป็นอะไร” มีร์ยาเอ่ยขึ้นเบาๆ “หม่อมฉันก็จะทำตามพระประสงค์ของฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันไม่คิดว่าฝ่าบาทจะไม่มีจุดด่างพร้อย ทั้งไม่คิดว่ามาร์เชอเนสเอธิลเลอร์จะไม่มีส่วนดี ทว่า พระองค์เป็นผู้ที่หม่อมฉันเลือกให้เป็นนายเหนือหัวเพียงหนึ่งเดียว ดังนั้น หม่อมฉันจะทำตามพระประสงค์ของพระองค์เท่านั้นเพคะ”
“…”
“ฝ่าบาททรงรู้สึกผิดที่ได้กระทำเรื่องมิบังควรลงไปหรือเพคะ”
“ข้าคงทำตัวเป็นคนอำมหิตไม่ได้จริงๆ หากเป็นมาร์เชอเนส นางคงพูดอย่างไม่ลังเลว่านางไม่มีทางเสียใจภายหลัง บางครั้งข้าก็อิจฉานางเรื่องนั้น”
“อิจฉาได้ แต่โปรดทรงอย่ารู้สึกผิดเลยเพคะ ทั้งหม่อมฉันและผู้ที่ติดตามฝ่าบาทต่างเคารพและรับใช้พระองค์เพราะตัวตนที่แท้จริงของพระองค์นะเพคะ”
“ขอบใจนะที่พูดเช่นนั้น”
แพทริเซียยิ้มกว้าง มีร์ยาเห็นดังนั้นก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน
“เอาล่ะ ทีนี้รีบเข้าที่บรรทมเถิดเพคะ ฝ่าบาท พรุ่งนี้ ไม่สิ อีกประเดี๋ยวยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกเป็นภูเขาเลากา”
“…นั่นสินะ”
ยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกมาก อย่างน้อยนางก็ต้องเป็นคนลงมือเอง นางสางผมที่เหล่านางกำนัลช่วยหวีให้อย่างเรียบร้อยพลางพึมพำ
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปคงจะยุ่งไม่น้อย”
***
“ฮ้าว~”
เปโตรนิยาใช้มือปิดปากหาวจากนั้นถึงลุกขึ้น อาจเป็นเพราะเมื่อวานนางเหนื่อยมาก ตอนนี้ถึงได้รู้สึกว่าแสงแดดที่ลอดเข้ามาในห้องสว่างกว่าปกติ ขณะที่นางกำลังขยี้เปลือกตาอันหนักอึ้งเพราะนอนดึกก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง
“คุณหนู ข้าเข้าไปได้ไหมคะ”
“เข้ามาสิ”
เมื่อเปโตรนิยาอนุญาต สาวใช้ก็รีบเข้ามาในห้อง สีหน้าของนางดูร้อนรน เปโตรนิยาเห็นดังนั้นย่อมต้องรู้สึกแปลกใจจึงเอ่ยถามอย่างสงสัย
“มีเรื่องอันใดหรือ สีหน้าไม่ดีเลย”
“คุณหนู ได้ยินว่าเมื่อคืนในวังวุ่นวายกันใหญ่เลยค่ะ”
“ในวัง? ทำไมล่ะ”
เปโตรนิยารู้เหตุผลอยู่แล้วแต่ก็แสร้งตกใจพลางถาม สาวใช้เห็นท่าทีตกใจนั้นก็ทำท่าจะร้องไห้
“ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่ได้ยินว่าพระจักรพรรดินีถูกนักฆ่าทำร้ายค่ะ!” นางกล่าว
“…คนร้ายล่ะ”
“เพราะคำให้การของพระจักรพรรดิ มาร์เชอเนสเอธิลเลอร์จึงถูกคุมขังค่ะ พระเจ้าช่วย คุณหนู ทำอย่างไรดีคะ”
“ใจเย็นๆ ริซซี่ปลอดภัยดีหรือไม่”
ถามถึงตรงนี้เปโตรนิยาก็มีสีหน้าร้อนใจเล็กน้อย สาวใช้พยักหน้า
“บาดเจ็บแต่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตค่ะ”
“เฮ้อ…โล่งอกไปที”
แม้ไม่อยากจะคิด แต่ใจเปโตรนิยาก็กระสับกระส่ายด้วยเกรงว่า ‘อาจ’ เกิดเหตุไม่คาดฝัน เปโตรนิยาพูดกับสาวใช้อย่างสุขุม
“วันนี้คงต้องเข้าวังเร็วหน่อย ช่วยข้าทีได้หรือไม่”
***
แน่นอนว่าเรื่องที่จักรพรรดินีถูกลอบสังหารถึงสองครั้งสองครามากพอที่จะทำให้เกิดความระส่ำระส่ายในราชวงศ์และวงสังคมชั้นสูง เมื่อตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า ลูซิโอก็สั่งเพิ่มจำนวนอัศวินในกองอัศวินราชองครักษ์หมู่สองอีกกว่าเท่าตัว และประกาศมอบอำนาจการสืบสวนให้จักรพรรดินี เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้จึงไม่มีใครคัดค้าน ดยุกเอเฟรนีคิดจะแสดงความไม่พอใจที่แพทริเซียจับโรสมอนด์ไปขัง แต่ในเมื่อลูซิโอมอบอำนาจการสืบสวนให้แพทริเซียไปแล้ว อีกทั้งสถานการณ์ก็ตึงเครียดเหลือเกิน เขาจึงมิอาจสอดมือ
แน่นอนว่าผู้ที่มีโทสะกับสถานการณ์ในตอนนี้มากที่สุดย่อมเป็นโรสมอนด์
“บ้าเอ๊ย…ไม่คิดเลยว่าจักรพรรดิจะกลายเป็นเช่นนี้…!”
นางเดินไปเดินมาในห้องขัง สีหน้ากระวนกระวาย นักฆ่าสองคนที่ถูกจับมานั้นต้องเป็นแผนของแพทริเซียไม่ผิดแน่ กลุ่มนักฆ่าที่นางจ้างวานขึ้นชื่อเรื่องการฆ่าตัวตายเพื่อรักษาความลับในกรณีทำงานพลาด แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่ทำเรื่องโง่ๆ อย่างการเปิดเผยตัวตนขององค์กร เพราะฉะนั้นตอนนี้นางจึงตกหลุมพรางอย่างสมบูรณ์
‘เป็นแบบนี้ต่อไปได้จบสิ้นกันหมดแน่!’
โรสมอนด์กัดเล็บอย่างไม่สบายใจ ปกตินางทั้งเยือกเย็นและมาดมั่น แต่คราวนี้นางไม่อาจทำเช่นนั้นได้ แม้หลักฐานจะถูกสร้างขึ้นแต่ก็ยังถือว่าเป็นหลักฐาน ยิ่งไปกว่านั้นจักรพรรดิไม่ได้อยู่ข้างนาง โรสมอนด์ทึ้งผมอย่างหงุดหงิด
“ทำอย่างไรดี ทำอย่าง…”
“โรสมอนด์”
ตอนนั้นเอง ใครคนหนึ่งก็เรียกชื่อนาง โรสมอนด์หันไปมองเจ้าของเสียงด้วยสีหน้าโกรธขึ้ง
“ใจเย็นก่อน ราฟาเอลา”
แพทริเซียยังคงดูสงบนิ่ง ราฟาเอลาจึงมีความคิดสงสัยวูบหนึ่งว่าอีกฝ่ายเสียสติไปแล้วหรือไม่ แพทริเซียฉีกชุดเดรสออกมาอีกสายและนำมาพันรอบแขนของตนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ริซซี่ เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ”
ราฟาเอลาถามเสียงสั่น ในขณะที่แพทริเซียตอบอย่างเฉยเมย
“โชคดีที่ข้าไม่ได้เสียสติอย่างที่เจ้าพูด”
“แล้วทำไมเจ้าถึง…”
“เจ้าบาดเจ็บ ข้าก็ต้องเจ็บด้วยสิ” แพทริเซียอธิบายอย่างเยือกเย็น “ข้าไม่คิดจะปล่อยให้เรื่องนี้เงียบไปเฉยๆ ข้าจะทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ และเพื่อการนั้น…ข้าเองก็ควรจะบาดเจ็บสักหน่อย”
เมื่อเห็นแผลนี้ ‘เขา’ จะมีท่าทีอย่างไรนะ จู่ๆ แพทริเซียนึกสงสัยขึ้นมา แต่นางก็สงสัยเพียงครู่เดียวก่อนจะเอ่ยถึงเรื่องอื่น
“ข้าไม่ได้กรีดจนกลายเป็นแผลเป็นหรอก อย่าห่วงเลย”
“ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นเสียหน่อย…”
“ฉากสุดท้ายใกล้เข้ามาเต็มที เลือดเพียงเท่านี้ข้ายอมหลั่งได้”
แพทริเซียยกยิ้มมุมปากพลางผูกปมผ้าที่พันแขน มองเลือดไหลซึมย้อมผ้าขาวให้กลายเป็นสีแดงฉานขณะตกอยู่ในภวังค์ความคิด
***
ลูซิโอเดินไปเดินมาในห้องด้วยสีหน้าร้อนรน แม้เวลาจะล่วงเลยมาค่อนคืนแล้วแต่เขาก็ยังคงนอนไม่หลับ หัวหน้านางกำนัลตำหนักกลางเห็นดังนั้นก็เข้ามาในห้องอย่างห่วงใย
“ฝ่าบาท นี่ก็ดึกมากแล้ว รีบเข้าที่บรรทมเถิดเพคะ”
“เรา…เรานอนไม่หลับเลย”
เขาพึมพำราวกับทรมานใจเหลือแสน หัวหน้านางกำนัลได้ยินดังนั้นก็ปลอบโยนอย่างใจเย็น
“พระจักรพรรดินีจะต้องปลอดภัยแน่เพคะ หากมีเรื่องอันใดหม่อมฉันจะปลุกพระองค์ทันที ตอนนี้เข้าที่บรรทมก่อนเถิดเพคะ”
“แต่ว่า…!” เขาส่ายหน้า “เราจะอยู่รอ อย่างไรก็มีงานที่คั่งค้างอยู่ เราจะอ่านรอไปพลาง”
“…”
หัวหน้านางกำนัลไม่อาจทำลายความตั้งใจของลูซิโอจึงได้แต่ล่าถอยออกไปอย่างเงียบๆ เท่านั้น เมื่อในห้องเหลือลูซิโออยู่คนเดียว เขาก็เดินไปที่โต๊ะหนังสืออย่างว้าวุ่นใจ แต่แม้จะนั่งลงที่โต๊ะแล้วเขาก็ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับงานได้เลย ความสนใจของเขาไปอยู่ที่แพทริเซียซึ่งอยู่นอกวังหมดแล้ว
‘ถ้าข้าคาดการณ์ถูกล่ะก็…’
“ฝ่าบาท!”
ตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงหัวหน้านางกำนัลร้องเรียกด้วยความตกใจดังมาจากด้านนอก ลูซิโอตะโกนขานรับอย่างเผลอตัว
“เกิดอะไรขึ้น”
“พระจักรพรรดินีมาขอเข้าเฝ้าเพคะ”
เพียงคำพูดเดียวนั้นทำให้ลูซิโอถึงกับลุกพรวดขึ้นจากที่นั่ง ทันใดนั้นประตูก็เปิดออกเผยให้เห็นร่างของแพทริเซีย สภาพของหญิงสาวไม่ว่ามองอย่างไรก็ไม่อาจเรียกได้ว่าปกติเรียบร้อยดี ผมยาวปล่อยสยายกระเซอะกระเซิง ชุดเดรสฉีกขาดหลายจุด และที่เป็นปัญหาที่สุดคือบาดแผลที่ยาวตั้งแต่บ่าถึงแขน ลูซิโอรีบวิ่งเข้าไปหาร่างบางด้วยความตกใจ
“จักรพรรดินี!”
“ฝ่าบาท”
เห็นได้ชัดว่าเขาตกใจมาก แพทริเซียเห็นดังนั้นก็ทำตัวไม่ถูก ปฏิกิริยาของเขาดูมากกว่าที่นางคิด แต่นางก็ลบความรู้สึกนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินซวนเซเข้าไปหาลูซิโอ
ลูซิโอรีบเข้ามาประคองร่างบาง “จักรพรรดินี นี่มันเกิดอะไรขึ้น…”
“ระหว่างทางกลับ” แพทริเซียตอบเสียงแผ่ว “หม่อมฉันถูกโจมตีเพคะ”
“…”
เขามองนางด้วยสีหน้าตกตะลึง สายตานั้นทำให้แพทริเซียเสียการทรงตัวและล้มลง ลูซิโอรีบยื่นมือออกไปคว้า แต่สุดท้ายหญิงสาวก็ทรุดตัวลงนั่งตรงนั้น
“โอย…”
ร่างบางล้มก้นกระแทกพื้น นางจึงร้องอย่างเจ็บปวด ลูซิโอได้ยินเสียงร้องนั้นก็ร้อนใจ
“เดี๋ยวค่อยเล่าเถอะ ตามหมอหลวงมาก่อน” เขาพูด
พูดจบลูซิโอก็เรียกหาหมอหลวงอย่างเร่งร้อน แพทริเซียมองท่าทีของเขาด้วยสายตาสับสนวุ่นวาย ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นขนาดนี้ นางรู้สึกแปลกๆ และไม่คุ้นชินกับการที่เขาตกใจและกังวลเมื่อเห็นสภาพของนาง นี่คงเป็นความเมตตาสงสาร เขาเพียงแต่เห็นใจนางเช่นเดียวกับที่นางเห็นใจเขากระมัง แพทริเซียคิดเช่นนั้นก่อนจะหลับตาลงเงียบๆ
“เดี๋ยวหมอหลวงก็มา ระหว่างนี้เจ้าพักก่อนเถอะ”
พูดจบลูซิโอก็อุ้มแพทริเซียตัวลอย หญิงสาวตกใจคว้าหัวไหล่เขาไว้โดยอัตโนมัติ
“ไม่ต้องเกร็ง เราไม่ปล่อยให้เจ้าตกหรอก” เขาพูดเสียงเรียบ
“…”
แพทริเซียเหม่อมองลูซิโอโดยไม่ปริปาก ระยะทางจากจุดที่นางล้มไปจนถึงเตียงของลูซิโอนั้นไม่ไกลกันนัก เขาจึงอุ้มนางมาถึงเตียงอย่างรวดเร็ว ลูซิโอวางแพทริเซียลงบนเตียงอย่างเบามือก่อนจะมองหญิงสาวด้วยสายตาร้อนรน สายตานั้นทำให้แพทริเซียรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก นางจึงค่อยๆ เบนสายตามองต่ำ ในใจภาวนาให้หมอหลวงมาเร็วๆ
“ฝ่าบาท หมอหลวงมาถึงแล้วเพคะ”
ไม่นานนักหมอหลวงก็มาถึงอย่างที่แพทริเซียปรารถนา ลูซิโอซิโอรีบตะโกนเรียก
“รีบเข้ามาเดี๋ยวนี้”
หมอหลวงรีบเข้ามาในห้องและวิ่งไปที่เตียง เขาหอบหายใจและเอ่ยทำความเคารพคนทั้งคู่
“ถวายบังคมสุริยันและจันทราแห่งจักรวรรดิ ขอให้มาวินอสจง…”
“ไม่ต้องมากพิธี รีบมาดูอาการจักรพรรดินีเร็วเข้า”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
ได้ยินน้ำเสียงเร่งร้อนของลูซิโอ หมอหลวงก็รีบขยับตัวเข้าไปใกล้แพทริเซีย แกะผ้าพันแผลออกและตรวจดูบาดแผลอย่างละเอียด ครู่หนึ่งหลังจากนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายลงราวกับโล่งใจ
“แผลยาวก็จริงแต่โชคดีที่ไม่ลึกจึงไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตพ่ะย่ะค่ะ เพียงทายาให้ดี อีกไม่นานก็จะหายเป็นปกติ”
ได้ยินคำวินิจฉัยของหมอหลวง ลูซิโอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ระหว่างที่หมอหลวงทำการรักษาแพทริเซีย ลูซิโอก็คอยสังเกตนางอย่างละเอียด ความสนใจและสายตาที่ไม่ทราบจุดประสงค์นั้นทำให้แพทริเซียรู้สึกลำบากใจ แต่นางก็ทำเพียงดูหมอหลวงรักษาตนเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรเท่านั้น
หมอหลวงพันแผลด้วยผ้าขาวสะอาดให้แพทริเซียเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่จะออกจากห้องไป แพทริเซียนิ่งเงียบอยู่สักครู่ก่อนจะเอ่ยออกมาคำหนึ่ง
“หม่อมฉันมิได้มาที่นี่เพื่อรับการรักษานะเพคะ รบกวนฝ่าบาทโดยไม่ตั้งใจเสียแล้ว”
“รบกวน?” คำนั้นทำให้ลูซิโอรู้สึกจุกอก “นี่หาใช่…การรบกวน”
“…”
“ดังนั้น เจ้าไม่ต้องพูดเช่นนั้นก็ได้”
“ฝ่าบาท…”
“บอกมาเถอะ จักรพรรดินี เกิดอะไรขึ้นหรือ”
ดวงตาของเขาดูแดงขึ้นมาอีกครั้ง แพทริเซียจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวเสียงอ่อนต่างจากที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก
“หม่อมฉันพบนักฆ่าระหว่างทางกลับพระราชวัง โชคดีที่หม่อมฉันติดต่อกับกองอัศวินหมู่สองไว้ก่อนจึงรอดชีวิตมาได้ ทั้งยังจับนักฆ่ากลับมาได้สองคน แต่…”
“…”
“หากมีอะไรผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย องครักษ์ของหม่อมฉันคงสิ้นชีวิตไปแล้ว”
นางบอกเล่าเรื่องราวที่มีการแต่งเติมเล็กน้อย ลูซิโอได้ฟังดังนั้นก็ทำสีหน้าซับซ้อน ส่วนหนึ่งคล้ายโล่งใจ อีกส่วนคล้ายเป็นทุกข์ แพทริเซียรู้สึกฉงนในสีหน้านั้นจึงเอ่ยถาม
“ไฉนจึงมีสีพระพักตร์เช่นนั้นเพคะ”
“ดูเหมือนเราจะช้าเกินไป”
“…หมายความว่าอย่างไรเพคะ”
“เราคาดคะเนเวลาที่เจ้าจะกลับและส่งอัศวินออกไป”
“…”
นางไม่รู้เรื่องนั้นมาก่อน แพทริเซียถามอย่างงุนงง
“ทำไมหรือเพคะ”
“…”
“ฝ่าบาท…ทรงทราบอยู่แล้วหรือว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้? หรือทรงอยู่เบื้องหลัง…”
“ไม่ใช่ แพทริเซีย ไม่ใช่อย่างนั้น”
ลูซิโอรีบปฏิเสธก่อนที่แพทริเซียจะพูดจบ แพทริเซียจ้องมองลูซิโอด้วยดวงตาแดงก่ำ ลูซิโอเห็นดังนั้นสีหน้าก็พลันร้อนใจ
“…เราแอบได้ยินจากมาร์เชอเนสเอธิลเลอร์”
“…”
“จึงส่งอัศวินออกไปเผื่อว่าเกิดอะไรขึ้นเท่านั้น หาได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เราหวังว่า…เจ้าจะไม่เข้าใจผิดไป”
“นั่นมัน…”
“แต่นั่นก็ยังช้าไปสินะ ถ้ากองอัศวินหมู่สองไปไม่ทันการ…”
เขาหลับตาแน่น สีหน้าดูเจ็บปวด ขณะเดียวกันภาพที่เขาไม่ต้องการแม้แต่จะคิดก็ปรากฏขึ้นมาในหัว
“ขอโทษนะ แพทริเซีย ทั้งหมดนี้เรา…” เขาพูดอย่างเจ็บปวด
“เอ่อ…”
เห็นเขาโทษตัวเอง แพทริเซียก็ทำอะไรไม่ถูก นางกะพริบตาปริบๆ อย่างทึ่มทื่อ ทันใดนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“ใจเย็นๆ ก่อนเพคะ ฝ่าบาท”
ชายคนนี้มีแผลในใจ เขาสังหารมารดาแท้ๆ ของตัวเอง เรื่องในวันนี้อาจกลายเป็นภาพสะท้อนของเรื่องในวันนั้นก็เป็นได้ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของแพทริเซียก็ยิ่งฟังดูร้อนใจ
“หากจะว่ากันตามจริง เรื่องนี้หาใช่ความผิดของฝ่าบาทเพคะ”
“…”
“อย่างที่พระองค์กล่าว นี่เป็นความผิดของมาร์เชอเนสเอธิลเลอร์ เมื่อเรื่องนี้จบนางจะหายไปจากพระราชวังเพคะ”
“…”
“แม้ฝ่าบาทจะไม่พอทระทัย แต่หม่อมฉัน…”
“ทำตามใจเจ้าเถิด” ลูซิโอเอ่ยขัดด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า
“จริง…หรือเพคะ” แพทริเซียถามอย่างงุนงง
“เจ้าบอกว่าจับนักฆ่ากลับมาได้มิใช่หรือ หลักฐานก็มีแล้ว ขอเพียงนางรับสารภาพ อย่างไรความผิดก็เป็นที่ประจักษ์ เราจะมอบสิทธิ์ในการสอบสวนแก่เจ้าทั้งหมด”
“…รับสั่งเหมือนไม่เหลือเยื่อใยให้นางแล้วเลยนะเพคะ”
“…”
เยื่อใยหรือ เยื่อใยที่มีให้นางนั้นสิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่นางบอกความจริงที่ปิดบังมาตลอดให้เขารู้ที่งานเลี้ยงแล้ว ที่เหลืออยู่มีเพียงบาดแผลที่ปวดร้าวเท่านั้น
ลูซิโอยิ้มเยาะ “ใช่แล้วล่ะ”
ตอนนี้เขาไม่เหลือเยื่อใยแล้ว ทั้งหมดนี้คือฝันร้ายที่เกิดจากความโง่ของเขา หากเขายังอาลัยอาวรณ์โรสมอนด์และอ้อนวอนจักรพรรดินีให้ปล่อยนางไปอีกครั้งคงน่าขันสิ้นดี
“ทำทุกอย่างให้ถูกต้องทีเถิด ทำแทนเราผู้โง่เขลาคนนี้” เขากล่าว
“…”
การปัดความรับผิดชอบเช่นนี้เป็นทั้งเรื่องดีและไม่ดีในเวลาเดียวกัน แพทริเซียกัดริมฝีปากเงียบๆ รู้สึกสองจิตสองใจ แพทริเซียไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดและด้วยเหตุผลอะไรเขาถึงได้มีท่าทีเช่นนี้ต่อโรสมอนด์ ทำได้เพียงคาดเดาว่าอาจเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นระหว่างคนทั้งคู่
“หม่อมฉันขออนุญาตทูลถามได้หรือไม่ว่าเหตุใดฝ่าบาทถึงเปลี่ยนใจกะทันหัน” นางถาม
“ไม่มีอะไรพิเศษหรอก เราเพียงแต่ได้รู้ในวันที่สายว่าเรื่องที่เราคิดว่าเป็นความจริงมันเป็นเพียงเรื่องโกหกเท่านั้น”
“…”
นางไม่รู้ว่าเขาตระหนักรู้เรื่องอันใด แต่อย่างน้อยก็ไม่น่าใช่เรื่องที่นางกำลังจะเปิดเผยต่อจากนี้ หากเขาได้รู้เรื่องนั้นเขาจะมีสีหน้าอย่างไรนะ เขาจะรู้สึกอย่างไร
“หม่อมฉันมีเรื่องจะกราบทูลเพคะ” แพทริเซียเอ่ยปากเสียงเบา
“เรื่องอันใด”
“เป็นเรื่องเกี่ยวกับโรสมอนด์…มาร์เชอเนสเอธิลเลอร์เพคะ”
“เราไม่อยากคุยเรื่องนั้นตอนอยู่กับเจ้าเลย”
“มิใช่ตอนนี้เพคะ ตอนนี้หม่อมฉันเองก็เหนื่อยล้าเกินกว่าจะกราบทูลสิ่งใด อีกทั้งเวลานี้ก็ยังไม่เหมาะ”
แพทริเซียพูดต่ออย่างสงบนิ่ง “มันเป็นเรื่องที่จะกระทบกระเทือนจิตใจของฝ่าบาทเพคะ”
“…”
“หม่อมฉันกังวลว่าพระองค์จะรับไม่ไหว”
“กังวลหรือ” เขายิ้มหยัน “น่าแปลกที่เจ้าเป็นห่วงเรา”
“…”
“เจ้าเกลียดเรามิใช่หรือ”
แพทริเซียตอบเสียงเบาหวิว ในขณะที่มาร์เชอเนสกำลังหัวเราะ
“ค่ะ”
“อายอะไรกัน เจ้าก็โตแล้ว”
“เรื่องนี้ยังน่าอายเกินกว่าจะคุยต่อหน้าท่านแม่ค่ะ”
“ตายจริง แต่ก็น่าตกใจนะ เห็นเจ้าเย็นชากับท่านผู้นั้นเหลือเกิน นึกว่าจนถึงตอนนี้จะยังไม่มีอะไรเกินเลยกันเสียอีก”
“…แค่เรื่องบังเอิญน่ะค่ะ”
ที่จริงก็เกือบเป็นอย่างที่มาร์เชอเนสกล่าว แต่ถึงอย่างไรเรื่องนั้นก็เป็นเพียงอุบัติเหตุหรือเหตุบังเอิญเท่านั้น เพราะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน นางกับเขาจึงได้ร่วมเตียงกัน
“ตอนนั้นอยู่ในสถานการณ์ที่ช่วยไม่ได้จึงต้องทำเช่นนั้น ไม่ได้ทำเพราะมีใจให้กันหรอกค่ะ” แพทริเซียพูดเสริม
“อย่างนั้นหรือ”
แม้น้ำเสียงของมาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์จะไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่ความจริงในใจกลับรู้สึกเศร้าเล็กน้อย การได้ยินคำพูดเช่นนี้จากปากของบุตรสาวหาใช่เรื่องที่น่ายินดี มาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์แอบถอนหายใจในใจ ก่อนจะกล่าวกับแพทริเซียด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“เอาเถอะ ไม่มีผู้ใดรู้เสียหน่อยว่าในภายภาคหน้าจะเกิดอะไรขึ้น”
“อย่างน้อยข้าก็คงไม่รักเขาหรอกค่ะ”
“เรื่องนั้นก็ไม่มีใครรู้หรอกจ้ะ ริซซี่” มาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์ยิ้มจนปรากฏริ้วรอยแห่งวัยบนใบหน้าพลางกล่าวเสริม “ยังเร็วเกิรไปที่จะด่วนสรุป เจ้าเพิ่งจะเป็นจักรพรรดินีของท่านผู้นั้นได้ไม่ถึงปีเลยมิใช่หรือ”
“น่าตกใจนะคะที่ข้าเพิ่งมาอยู่ตรงนี้ได้ไม่ถึงปี ข้ารู้สึกเหมือนอยู่มาเป็นสิบปีแล้วอย่างไรอย่างนั้น”
“เพราะเจ้าเบื่อหน่ายกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้น่ะสิ” มาร์เชอเนสตอบด้วยน้ำเสียงขมขื่น ก่อนจะกล่าวกับแพทริเซียอย่างระมัดระวัง “ดูเหมือนเจ้าจะต้องรับภาระอันยิ่งใหญ่ทั้งที่อายุยังน้อย แม่ไม่เคยสบายใจเลย”
“ไม่เพียงแต่ข้า แต่จักรพรรดินีรุ่นก่อนๆ ต่างก็เป็นเช่นนี้ทั้งนั้น… มันเป็นเรื่องที่ใครสักคนจะต้องเจอค่ะ”
“แม่คนนี้โง่เขลานัก เรื่องการบ้านการเมืองก็ไม่ค่อยรู้ ไหนจะการแก่งแย่งชิงดีอันตึงเครียดของฝ่ายในอีก แต่แม่หวังเพียงเจ้าจะมีความสุข หวังให้เจ้าไม่เจ็บไม่ป่วย และอยู่ในพระราชวังนั้นอย่างสุขกายสบายใจ”
“ข้ากำลังพยายามทำเช่นนั้นค่ะ”
แต่อย่างน้อยคำว่า ‘สุขกาย’ กับ ‘สบายใจ’ คงมิอาจเกิดขึ้นในพระราชวังพร้อมกันได้ หากแสวงหาความสงบสุขและความสบายใจก็จะถูกกำจัด หากแสวงหาความสุขก็ต้องก้าวนำผู้อื่นหนึ่งก้าวและต้องปกป้องตัวเอง ความจริงแล้วทั้งสองทางต่างล้วนมิใช่ทางเลือกที่ดี
“ข้าคงต้องไปแล้วค่ะ กลับช้าเกินไปจะลำบากข้ารับใช้เสียเปล่าๆ” แพทริเซียกล่าว
“ใช่แล้ว เจ้าไปเถอะ”
มาร์เชอเนสพยายามข่มความเสียดายพลางลุกจากที่นั่งและเข้าไปสวมกอดแพทริเซีย
“แม่ไม่ได้กอดเจ้าเช่นนี้มานานเพียงใดแล้ว”
“…”
“เจ้าต้องแข็งแรงและปลอดภัยจนกว่าเราจะได้พบกันอีกครั้ง เข้าใจไหม”
“ค่ะ”
แพทริเซียตอบไปด้วยน้ำเสียงเจือความเบิกบานและจุมพิตที่หน้าผากของผู้เป็นมารดา
หลังจากร่ำลาสมาชิกในครอบครัวทีละคนจนครบ ในที่สุดแพทริเซียก็ต้องก้าวขึ้นรถม้า เมื่อประตูรถม้าปิดลง ในรถก็เหลือเพียงแพทริเซียคนเดียว หญิงสาวมีสีหน้าเคร่งเครียดคล้ายกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก ดูเหมือนว่าหลังจากได้พบกับครอบครัวแล้วนางก็มีเรื่องที่ต้องคิดให้ลึกยิ่งขึ้น แพทริเซียถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัวพลางพึมพำ
“ข้าไม่อยากไปเลย”
ใจนางอยากจะอยู่ที่คฤหาสน์มาร์ควิสต่อไปเรื่อยๆ แต่นางก็ทำเช่นนั้นไม่ได้ นี่เป็นเพียงการเรียกร้องงอแงของเด็กเท่านั้น
“ออกเดินทางช้าไปหรือไม่ ดูเหมือนจะทำให้เจ้าลำบากอย่างที่ท่านแม่กล่าวจริงๆ”
“อย่าได้ตรัสเช่นนั้นเลยเพคะ ฝ่าบาท กลับเป็นหม่อมฉันอยากให้พระองค์อยู่ต่ออีกสักหน่อย”
จากนั้นราฟาเอลาก็เอ่ยถาม “เหตุใดไม่อยู่ต่ออีกสักหน่อยเล่าเพคะ ออกเดินทางตอนนี้ทั้งมืดและอันตราย”
“ยิ่งข้าทิ้งวังนานเท่าใดก็จะยิ่งจับตาดูโรสมอนด์ได้ยากขึ้น…ยิ่งไปกว่านั้นประมุขหญิงแห่งราชวงศ์ทิ้งวังไปเกินหนึ่งวันย่อมดูไม่ดีในสายตาผู้อื่น”
“อืม…ก็จริงเพคะ”
จากนั้นการสนทนาของทั้งคู่ก็นิ่งเงียบไปพักใหญ่ แพทริเซียนึกถึงเรื่องที่คุยกับดยุกวีเธอร์ฟอร์ดตอนบ่ายเมื่อวานขึ้นมา ภรรยาของเขาจะเป็นคนปล่อยข่าวลือ ส่วนดัชเชสเอเฟรนียกให้เป็นหน้าที่ของเปโตรนิยา เช่นนั้นนางก็ต้องเป็นคนรับมือกับจักรพรรดิ…
‘เขาจะเชื่อคำพูดข้าไหมนะ’
นางมีหลักฐานที่ยากจะโต้แย้ง แต่ปัญหาคือหัวใจของเขาจะยอมรับเรื่องนั้นได้หรือไม่ ทันใดนั้นแพทริเซียก็สะดุ้งเฮือก ทำไมข้าต้องกังวลถึงเรื่องนั้นด้วยเล่า?
‘เขาจะเสียใจหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวอันใดกับข้า’
เพราะความสัมพันธ์ของเขาและนางมีเพียงเท่านั้นมาตั้งแต่แรก แพทริเซียขยุ้มชุดเดรสอย่างไม่สบายใจ
“ใครน่ะ!”
ตอนนั้นเอง นางก็ได้ยินน้ำเสียงเฉียบขาดของราฟาเอลา แพทริเซียรีบเปิดหน้าต่างออกไปหน้าตาตื่น
“เกิดอะไร…กรี๊ด!”
นักฆ่าสวมหน้ากาก น่าจะมีราวๆ เจ็ดถึงแปดคน ไม่สิ… สิบคนได้ มุมปากของแพทริเซียยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว สถานการณ์ในตอนนี้ช่างน่าเบื่อหน่ายเสียจนอดหัวเราะไม่ได้
“ราฟาเอลา เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ฝ่าบาท” ราฟาเอลาตอบอย่างเยือกเย็น “หม่อมฉันเชื่อใจฝ่าบาทอย่างไรเล่าเพคะ”
ใช่แล้ว เชื่อใจข้าได้ แพทริเซียเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ปลายนิ้วของนางก็ยังคงสั่นอย่างมิอาจควบคุมราวกับนางกำลังกระวนกระวายใจ แพทริเซียหลับตาลงและนึกถึงเรื่องเมื่อสองวันก่อน
กองอัศวินราชองครักษ์หมู่ที่สองรับหน้าที่ในอารักขาจักรพรรดินีของจักรวรรดิ แต่การที่อัศวินทั้งกองจะออกมาเคลื่อนไหวเพื่ออารักขาจักรพรรดินีนั้นเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก เพราะมีน้อยครั้งที่จักรพรรดินีตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายร้ายแรง อีกทั้งการเคลื่อนพลทั้งกองก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากวุ่นวาย
สองวันก่อนแพทริเซียปล่อยข่าวออกไปในตำหนักจักรพรรดินีว่านางจะไม่อยู่ที่วังเป็นระยะเวลาสั้นๆ ถ้านางคิดถูก ในตำหนักของนางจะต้องมีหนอนบ่อนไส้ที่คอยส่งข่าวให้ตำหนักเวนอยู่เป็นแน่ นางออกคำสั่งกับมีร์ยาและเป็นไปได้ว่าตอนนี้มีร์ยาน่าจะหาหนอนตัวนั้นเจอแล้ว แต่ต่อให้หาไม่เจอ นางก็แค่เปลี่ยนข้ารับใช้ทั้งหมดก็สิ้นเรื่อง
อย่างไรก็ตาม ต่อหน้านางเพียงแต่พูดออกไปเช่นนั้น แต่เบื้องหลังนางได้ออกคำสั่งกับราฟาเอลาอย่างลับๆ ให้ระดมพลกองอัศวินฯ หมู่สองจำนวนหนึ่งในสามมาคอยคุ้มกันนาง แต่หากนางพาคนเหล่านั้นไปด้วยตั้งแต่เดินทางออกจากวังก็เสี่ยงว่าโรสมอนด์จะรู้ตัวว่าแผนแตก นางจึงสั่งให้กองอัศวินคำนวณระยะเวลามาอารักขาระหว่างทางกลับพระราชวัง เพราะหากโรสมอนด์หมายจะเอาชีวิตนาง ย่อมไม่มีโอกาสไหนเหมาะสมไปกว่าระหว่างทางกลับพระราชวังในตอนดึกสงัดอีกแล้ว
‘หวังว่าพวกเขาจะไม่มาช้าเกินไป’
แพทริเซียขยุ้มชุดเดรสสีแดงด้วยสีหน้าพะวักพะวน ราฟาเอลาเป็นอัศวินที่มีฝีมือ กลุ่มองครักษ์ที่ติดตามมาด้วยก็ไม่ได้มีแค่ราฟาเอลาเพียงคนเดียว นางไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไป ทว่า จำนวนของนักฆ่ามีมากนัก ดังนั้น การที่กองอัศวินหมู่สองยังเดินทางมาไม่ถึงจึงนับว่าเป็นปัญหา นางฟังเสียงราฟาเอเลฟันร่างของอีกฝ่ายอย่างไม่ปรานีและดึงปิ่นอำพันที่ปักอยู่บนผมออกมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อไม่มีปิ่นเส้นผมยาวสลวยสีน้ำเงินเขียวอมเทาก็สยายลงมาพาดบ่าราวกับน้ำตก
เคร้ง! เคร้ง!
เสียงการต่อสู้ด้านนอกยังดังให้ได้ยินอย่างแจ่มชัด ในตอนนั้นเองเสียงร้องอันคุ้นเคยก็เสียดแทงเข้ามาในหู นั่นเป็นเสียงของราฟาเอลา
“อึก!”
“เอล…?”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ”
ดูเหมือนนางจะได้รับบาดเจ็บ แพทริเซียเริ่มนั่งไม่ติดขึ้นทุกที ทำไมยังไม่มากันอีก นางกัดริมฝีปาก และในจังหวะนั้นเองประตูรถม้าก็ถูกเปิดออก แพทริเซียตกใจจนลุกพรวดขึ้นจากที่นั่ง ในขณะเดียวกันนักฆ่าก็แทงดาบมาที่นาง
“อึก!”
ทว่า เสียงที่ดังขึ้นในรถม้าหาใช่เสียงของแพทริเซีย จู่ๆ นักฆ่าคนนั้นก็หยุดเคลื่อนไหวและทรุดตัวลงไปกองกับพื้นทั้งอย่างนั้น แพทริเซียหลุดถอนหายใจอย่างแรง
“ถวายบังคมจันทราแห่งจักรวรรดิ”
เสียงดึงดาบออกจากร่างดังขึ้นพร้อมกับน้ำเสียงอันหนักแน่น นั่นเป็นเสียงของหัวหน้ากองอัศวินราชองครักษ์หมู่สอง เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งและกล่าวขออภัย
“ขอประทานอภัยที่พวกกระหม่อมมาถึงล่าช้าพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“ในส่วนของโทษทัณฑ์นั้น…เจ้าจงชดใช้ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ให้เต็มที่เถิด” แพทริเซียตอบรับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “เป็นไปได้ก็ขอให้จับเป็น แต่หากสถานการณ์ไม่อำนวยก็ฆ่าเสีย”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
หัวหน้ากองตอบสั้นๆ ก่อนจะปิดประตู แพทริเซียอยู่ในรถม้าคนเดียวนั่งฟังเสียงการต่อสู้ที่ดังชัดมาจากด้านนอกพร้อมกับกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก นางเป็นห่วงราฟาเอลาที่ได้รับบาดเจ็บ นางได้แต่หวังว่าแผลนั้นจะไม่สาหัสจนเกินไป
“ฝ่าบาท!”
ครู่หนึ่ง ประตูก็ถูกเปิดออกปรากฏร่างของหัวหน้ากองอัศวิน แพทริเซียก้าวลงมาจากรถม้าอย่างสง่าผ่าเผย นักฆ่าทุกคนตายหมดไม่เหลือ หัวหน้ากองอัศวินกล่าวรายงานอย่างจนใจ
“จับเป็นได้สามคน แต่ทั้งหมดกัดลิ้นฆ่าตัวตายพ่ะย่ะค่ะ”
“…”
ดูท่าจะจ่ายไปไม่น้อย แพทริเซียพึมพำอย่างเย้ยหยัน
“เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้ รับเงินไปแล้วย่อมต้องทำให้คุ้มค่าเงินนั้น”
แพทริเซียว่าพลางหันไปถามราฟาเอลาด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“เอล่า เจ้าเป็นอะไรไหม”
“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ ฝ่าบาท”
“…แผลเจ้าสาหัสนัก”
แพทริเซียขมวดคิ้ว คิดเชื่อมโยงไปถึงความทรงจำก่อนย้อนเวลากลับมา เรื่องในตอนนั้นยังคงตามหลอกหลอน ตอนนั้นราฟาเอลาสละชีวิตเพื่อปกป้องเปโตรนิยาที่เป็นจักรพรรดินี ครั้นเห็นแพทริเซียกัดริมฝีปาก ราฟาเอลาก็ลูบที่ริมฝีปากของแพทริเซียอย่างแผ่วเบา
“อย่าทำเช่นนี้เลยเพคะ”
“…”
“หม่อมฉันไม่เป็นไรจริงๆ”
“เจ้าคงลำบากยิ่งที่ต้องคอยรับใช้จักรพรรดินีที่ไร้สามารถเช่นข้า”
“โปรดอย่าได้ตรัสเช่นนั้น ฝ่าบาทเป็นผู้เลือกหม่อมฉัน พระองค์นั้นห่างไกลจากคำว่าไร้สามารถมากนักเพคะ”
ราฟาเอลายิ้มสดใส เห็นดังนั้นแพทริเซียก็รู้สึกปวดใจยิ่ง นางออกคำสั่งในทันใด
“เจ้าเข้ามาในรถม้า เรื่องอารักขาให้คนอื่นทำไป”
“แต่ว่า ฝ่าบาท…”
“ราฟาเอลา เจ้าคิดจะทำให้ข้าปวดใจไปมากกว่านี้หรือ”
“…”
ได้ยินดังนั้นราฟาเอลาก็ยอมขึ้นรถม้าแต่โดยดี แพทริเซียเห็นรอยเลือดสีแดงฉานที่ไหล่ด้านขวา ดูเหมือนอีกฝ่ายจะได้รับบาดเจ็บบริเวณนั้น แพทริเซียกัดริมฝีปากอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
“รีบออกเดินทางเถอะ”
สิ้นเสียงของแพทริเซีย รถม้าก็เริ่มเคลื่อนตัว แพทริเซียถอดชุดเดรสออกเงียบๆ บนร่างของนางจึงเหลือแต่ชุดซับในสีขาว
“ฝ่าบาท…?” ราฟาเอลาถามอย่างงุนงง
แต่แล้วความงุนงงก็ต้องเปลี่ยนเป็นความตกใจเมื่อเห็นแพทริเซียฉีกชุดเดรสตัวนั้นอย่างไม่ลังเล ระหว่างที่ฉีกนางก็นึกไปถึงเรื่องในลักษณะเดียวกันที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ตอนที่ชีวิตของลูซิโอและนางต้องแขวนอยู่บนเส้นด้าย
“ต้องห้ามเลือด”
“ไม่เป็นไรเพคะ”
“พวกอัศวินเป็นเช่นนี้กันหมดหรือไร เจ็บก็แสร้งทำเป็นไม่เจ็บ ถ้าไม่เจ็บก็เท่ากับสบายดีอย่างนั้นหรือ”
“…”
“เจ้าไม่เป็นไรแต่ข้าเป็น”
น้ำเสียงของแพทริเซียเต็มไปด้วยความห่วงใยก่อนจะเปลี่ยนเป็นเฉียบขาดขณะเอ่ยกับราฟาเอลา
“ถอดเสื้อที”
“…”
ราฟาเอลาถอดเสื้อออกเงียบๆ แพทริเซียพันไหล่ข้างที่ได้รับบาดเจ็บด้วยผ้าสีขาวสะอาดอย่างคล่องแคล่ว นางได้ยินเสียงครวญครางในลำคอเป็นระยะ และทุกครั้งที่ได้ยิน แพทริเซียก็จะกัดริมฝีปาก คราวนี้ราฟาเอลาก็…เกือบจะต้องสละชีวิตอีกแล้ว เมื่อคิดเช่นนั้นในอกของแพทริเซียก็วูบโหวง
“ขอโทษนะ”
“เป็นเพราะกองอัศวินมาถึงช้าต่างหาก หาใช่ความผิดของฝ่าบาทไม่เพคะ”
“ไม่หรอก ข้าควรคิดได้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้” แพทริเซียถอนหายใจพลางเอ่ยขอโทษ “ข้าจะไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”
“คำพูดนั้นหม่อมฉันควรเป็นคนพูดเพคะ ฝ่าบาทที่เคารพรัก” ราฟาเอลายิ้มกว้างพลางปลอบแพทริเซียอย่างอ่อนโยน “เมื่อกลับถึงวัง แค่หม่อมฉันได้รับการรักษาก็ไม่เป็นไรแล้ว ทรงอย่าเป็นกังวลเกินไปนักเลยนะเพคะ”
“จะไม่กังวลได้อย่างไร เลือดยังไหลเป็นน้ำตกเช่นนี้”
แพทริเซียโต้กลับด้วยความปวดใจและมัดผ้าอย่างแน่นหนา นางได้ยินเสียงร้องเบาๆ ดังผ่านหู
“ดียิ่งที่มีเจ้าคอยปกป้องข้า แต่ข้าก็หวังว่าเจ้าจะไม่บาดเจ็บ” แพทริเซียกำชับกับราฟาเอลา
“รับด้วยเกล้าเพคะ”
ราฟาเอลายิ้มสดใส แพทริเซียเห็นดังนั้นสีหน้าก็คลายกังวล จากนั้นนางก็ควักเอามีดสั้นออกมาราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ หญิงสาวกรีดร่างของตนตั้งแต่บ่าไปจนถึงแขนเป็นทางยาว เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของแพทริเซียทำเอาราฟาเอลาตกใจรีบคว้าแขนของนางไว้
“ฝ่าบาท!”
ท่านพ่อเพียงแค่ไม่มาเยือนตำหนักจักรพรรดินีเท่านั้น แต่สำหรับเรื่องราวในพระราชวังท่านกลับรู้ทุกอย่าง
“ทราบเรื่องนั้นได้อย่างไรคะ” นางถามบิดา
“พ่อบอกว่าจะอยู่เงียบๆ แต่ไม่ได้บอกว่าจะปิดหูปิดตานะ ริซซี่” มาร์ควิสโกรเชสเตอร์หัวเราะเบาๆ “และพ่อยังได้ยินมาอีกว่าช่วงนี้ฝ่าบาทดูจะให้ความสนพระทัยในตัวเจ้า”
“…ท่านพ่อส่งสายสืบเข้าไปในวังหรือคะ”
แพทริเซียหัวเราะขบขันราวกับได้ฟังเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก ส่วนมาร์ควิสโกรเชสเตอร์เพียงแต่ยักไหล่แทนคำตอบเท่านั้น
“เรื่องแค่นั้นใครๆ ก็รู้ หาใช่เรื่องสำคัญเสียหน่อย ว่าแต่ที่พ่อได้ยินมามิใช่ข่าวโคมลอยใช่หรือไม่”
“ก็แค่ความสนใจชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นค่ะ ท่านพ่อ แม้ว่าตอนนี้พระทัยของฝ่าบาทอาจจะอยู่ที่ข้า แต่สักวันมันอาจจะเปลี่ยนไปเหมือนกับที่เกิดกับมาร์เชอเนสเอธิลเลอร์ก็ได้มิใช่หรือคะ”
“นั่นเป็นทัศนคติที่ชาญฉลาด ริซซี่ กษัตริย์ทุกคนล้วนเป็นเช่นนี้”
ได้ฟังดังนั้นแพทริเซียก็หัวเราะ นางครุ่นอะไรอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก
“แต่การต่อสู้นี้อาจจะจบลงในไม่ช้าก็ได้ค่ะ”
“ทำไม มาร์เชอเนสป่วยใกล้ตายอย่างนั้นหรือ”
ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดีน่ะสิ แพทริเซียพร่ำภาวนาถึงความปรารถนาที่เป็นไปได้ยากในใจและเอ่ยตอบ
“เปล่าค่ะ แต่ข้าพบสิ่งที่สามารถลากคอนางลงมาได้แล้ว”
“เก่งกาจนัก”
“เพราะนีย่าน่ะค่ะ”
“เป็นเรื่องที่น่ายินดี”
มาร์ควิสโกรเชสเตอร์ดูมีความสุขจริงๆ ที่ได้ยินดังนั้น เดิมทีความกลมเกลียวระหว่างพี่น้องย่อมสร้างความปลาบปลื้มให้แก่บุพการีอยู่แล้ว นี่จึงมิใช่เรื่องแปลก
“ข้าจะไม่ทำให้ตระกูลตกอยู่ในอันตราย” แพทริเซียพูด
“แต่หากเจ้าเสี่ยงอันตรายเพื่อพวกเรา ริซซี่ พ่อขอพูดไว้ตรงนี้ว่านั่นไม่จำเป็นเลยสักนิด”
“…ค่ะ แน่นอนค่ะ” แพทริเซียหัวเราะพลางเอ่ยถามบิดา “แล้วครอบครัวเราเป็นอย่างไรบ้างคะ”
“เรื่องนีย่าเจ้าน่าจะรู้ดีกว่าพ่อ…ส่วนพ่อกับแม่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกลูก”
การไม่มีข่าวคราวคือข่าวดีมิใช่หรือ เขาว่าพลางหัวเราะอย่างเซ่อๆ ท่านพ่อยังเหมือนเดิมเลย แพทริเซียหัวเราะตาม
“ได้ยินเช่นนั้นข้าก็โล่งอกค่ะ”
“ต้องเป็นเช่นนั้นเจ้าจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง แม้จะช่วยอะไรลูกไม่ได้ แต่ก็ต้องไม่ไปขัดขวาง จริงหรือไม่” พูดจบมาร์ควิสโกรเชสเตอร์ก็ดูลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถาม “ว่าแต่เจ้าไม่มีใจให้ฝ่าบาทบ้างเลยหรือ”
“…”
แพทริเซียเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบอย่างไม่ยี่หระ
“ไม่รู้สิคะ ถ้าใจที่ท่านพ่อพูดถึงรวมความเกลียด ความสงสาร และความเห็นใจเข้าไปด้วย ข้าก็คงมี”
“ความสงสารกับความเห็นใจนั่นคืออะไร”
“…ท่านพ่อรู้เรื่องในอดีตของฝ่าบาทไหมคะ”
“เจ้าพูดถึงเรื่องอันใด”
“เคยเกิดเรื่องน่าอดสูขึ้นกับฝ่าบาทค่ะ” แพทริเซียเอ่ยเสียงค่อย “ข้าเห็นใจฝ่าบาทเรื่องนั้น แต่นั่นไม่มีทางกลายเป็นความรักไปได้”
“เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ”
“ดูเหมือนท่านพ่ออยากให้ข้ามีใจให้ท่านผู้นั้นนะคะ”
“นั่นย่อมเป็นอิสระของเจ้า แต่ในฐานะพ่อแม่ หากฝ่าบาทมิได้มีพระทัยให้เจ้า พวกเราก็หวังว่าเจ้าจะไม่มีใจให้ฝ่าบาท แต่หากมิได้เป็นเช่นนั้น พวกเราก็อยากให้เจ้ามีครอบครัวที่รักใคร่กลมเกลียว”
“หากนั่นคือความกตัญญู อย่างน้อยข้าก็คงทำในตอนนี้ไม่ได้ค่ะ”
เพราะตอนนี้มาร์เชอเนสเอธิลเลอร์ก็ยังอยู่ แพทริเซียถอนหายใจในใจ
“ข้าคิดว่าตอนนี้ก็ไม่แย่นักนะคะ ข้ามีท่านพี่ แล้วก็ได้มาเจอครอบครัวบ้างในบางครั้ง…”
“นั่นสิ เช่นนั้นก็ดีแล้ว” มาร์ควิสโกรเชสเตอร์ยิ้มอย่างอบอุ่นและพยักหน้า “เพราะความสุขหาได้มีเพียงรูปแบบเดียว”
“ค่ะ” แพทริเซียยิ้ม “ว่าแต่เตรียมของขวัญวันเกิดท่านแม่หรือยังคะ”
“เจ้าเตรียมแล้วหรือ”
“แน่นอนสิคะ…ไม่ใช่ว่าลืมนะคะ”
“พ่อจะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร อย่าห่วงเลย” มาร์ควิสโกรเชสเตอร์ยิ้มอย่างนุ่มนวลพลางเอ่ย “ของขวัญไว้ค่อยเปิดด้วยกันตอนมื้อเย็นก็แล้วกัน พ่อก็สงสัยว่าเจ้าเตรียมอะไรมา”
“ไม่มีอะไรพิเศษหรอกค่ะ”
แพทริเซียหน้าแดงราวกับเขินอาย มาร์ควิสโกรเชสเตอร์มองบุตรสาวอย่างรักใคร่เอ็นดู โชคดีที่หลังจากเข้าวังแล้วบุตรสาวของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เขาเอ่ยกับแพทริเซียด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เอาล่ะ ไปหาคนอื่นๆ เถอะ”
***
“คราวนี้ห้ามพลาดเด็ดขาดเลยนะ” โรสมอนด์พูดกับคลาราอย่างเฉียบขาด
“อย่าห่วงไปเลยค่ะ มาร์เชอเนส คราวนี้จัดการได้แน่” คลาราตอบเบาๆ
“คราวนี้ทุกอย่างต้องจบ หากยังยืดเยื้อไปมากกว่านี้ รังแต่จะความเสียหายให้กับข้า”
ปีนี้นางอายุยี่สิบเจ็ด อายุเท่านี้ก็ไม่ได้เหมาะแก่การให้กำเนิดบุตรเท่าใดนัก แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องให้กำเนิดเจ้าชายก่อนอายุสามสิบ จากนั้นนางก็ต้องทำให้เจ้าชายกลายเป็นรัชทายาท และทำให้ตนเองกลายเป็นพระพันปี นี่คือสิ่งที่นางต้องการทั้งหมดในตอนนี้
“กำชับดีแล้วใช่หรือไม่ว่าให้เก็บกวาดให้เรียบร้อย”
“มาดามแจนยูเอรีมิใช่คนโง่ค่ะ มาร์เชอเนส ท่านอย่าได้กังวล”
“ใช่แล้ว ถูกต้อง นางเป็นคนฉลาดนัก”
โรสมอนด์พึมพำราวกับนึกอะไรได้ก่อนจะเอ่ย
“หากจักรพรรดินีตายข้าคงตกเป็นผู้ต้องสงสัย แต่แล้วอย่างไร ในเมื่อไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน ใครจะมากล่าวหาข้าว่าเป็นคนร้ายได้”
“เพียงท่านแจนยูเอรีปิดปากเงียบ ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามที่ท่านต้องการค่ะ”
“แจนยูเอรีหักหลังข้าไม่ได้หรอก หากข้าล่มจม นั่นเท่ากับว่าดยุกเอเฟรนีก็จะจบเห่ไปด้วยทันที หากเป็นเช่นนั้นแล้วแจนี่จะไปไหนได้”
โรสมอนด์หัวเราะคิกคักก่อนจะยกถ้วยชาเขียวที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาจิบ นางรู้สึกร้อนผ่าวในลำคอ แต่เพราะกำลังมัวเมาในชัยชนะอันใกล้ นางจึงลืมความรู้สึกนั้นไป โรสมอนด์กล่าวด้วยน้ำเสียงแช่มชื่น
“จริงสิ แล้วก็บอกดยุกเอเฟรนี…”
สวบ
ตอนนั้นเองโรสมอนด์ก็ได้ยินเสียงคล้ายว่ามีคนแอบฟังจึงหยุดพูด ตั้งแต่ถูกยึดตำแหน่งบารอเนสคืนไปในตอนนั้น นางก็เชื่อใจคนได้ยากขึ้น หลังจากกลายมาเป็นมาร์เชอเนสแล้ว นางก็เก็บข้ารับใช้ไว้ข้างกายเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่คุยเรื่องสำคัญเช่นนี้นางจะให้ข้ารับใช้ออกไปทั้งหมด เพราะฉะนั้น ในห้องของนางตอนนี้ไม่มีทางมีเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ เด็ดขาด โรสมอนด์เสียวสันหลังวาบ
“คลารา ออกไปดูที”
“ค่ะ มาร์เชอเนส”
คลารารับรู้ได้ถึงความตึงเครียดของสถานการณ์จึงรีบวิ่งไปที่ประตูและเปิดออกไปดู แต่ข้างนอกนั้นไม่มีใครเลย คลาราเห็นดังนั้นก็ทำอะไรไม่ถูกและเอ่ยบอก
“มาร์เชอเนส ไม่มีใครเลยค่ะ”
“มันคงหนีไปแล้วแน่ๆ”
โรสมอนด์ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและออกคำสั่ง
“ไปหาตัวมาเดี๋ยวนี้ เรื่องนี้จะหลุดออกไปไม่ได้!”
***
อีกด้านหนึ่ง แพทริเซียกำลังใช้เวลากับครอบครัวอย่างเพลิดเพลินในรอบหลายเดือน หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จ ครอบครัวของแพทริเซียก็มอบของขวัญและอวยพรมาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์เนื่องในวันเกิด
แพทริเซียมอบที่รองถ้วยชาที่นางทำเอง เปโตรนิยามอบชุดถ้วยชาจากจักรวรรดิทางตะวันออก และสุดท้ายมาร์ควิสโกรเชสเตอร์ผู้เป็นสามีมอบชุดเดรสจากฝีมือช่างตัดเสื้อชั้นสูงที่กำลังเป็นที่นิยมในเมืองหลวงอยู่ขณะนี้ มาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์ประทับใจในความตั้งใจของคนในครอบครัวอย่างมาก
“ตายจริง ไม่คิดเลยว่าทุกคนจะทำให้ข้าประทับใจได้ขนาดนี้”
“สุขสันต์วันเกิดนะ ที่รัก”
“สุขสันต์วันเกิดนะคะ ท่านแม่”
“ขอบคุณทุกคนมาก”
เห็นมาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์ยิ้มจนตาปิด แพทริเซียก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานาน ไม่รู้เลยว่านางไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกที่สวยงามแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว ความทรงจำอันเลือนลางทำให้นางรู้สึกประหลาดใจ มาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ได้อย่างรวดเร็วจึงเอ่ยถาม
“ริซซี่ ลูกจะกลับวังเมื่อใด”
“คิดว่าจะกลับก่อนเที่ยงคืนค่ะ”
“ลำบากราฟาเอลาแย่เลย”
“อุ๊ย สบายมากค่ะ มาร์เชอเนส”
คำตอบที่เบิกบานของราฟาเอลาทำให้มาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์ยิ้มบางๆ จากนั้นนางก็กวาดตามองคนในครอบครัวและเอ่ยปากขอ
“ข้าอยากจะพูดคุยกับลูกสาวคนเล็กสักหน่อยได้หรือไม่”
“ได้สิคะ ท่านแม่ ถ้าไม่คุยตอนนี้ก็ไม่รู้จะได้คุยกันอีกเมื่อไร”
“เมื่อกี้ข้าเองก็คุยกับลูกไปแล้ว เจ้าก็ควรได้คุยบ้าง”
“ขอบคุณทุกคน”
เมื่อทุกคนเห็นชอบ มาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์ก็เผยรอยยิ้มอบอุ่นและถามแพทริเซีย
“ฝ่าบาท ไปคุยกับแม่หน่อยได้หรือไม่”
“ได้ค่ะ ท่านแม่”
แพทริเซียยิ้มน้อยๆ และลุกจากที่นั่ง ทั้งสองย้ายไปสนทนากันที่ห้องของมาร์เชอเนส สาวใช้นำชานมคาโมไมล์อุ่นๆ และคุกกี้เนยสดมาให้ทั้งคู่ เมื่อประตูปิดลงและเหลือกันอยู่สองคนในห้อง มาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์ก็เป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อนด้วยความเสียดาย
“เมื่อคิดว่าอีกเดี๋ยวก็จะต้องแยกกับเจ้าแล้ว แม่ก็รู้สึกเสียดายนะ ริซซี่”
“ข้าก็เช่นกันค่ะ ท่านแม่” แพทริเซียพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “ข้าคิดว่าแม้เป็นจักรพรรดินีก็สามารถกลับบ้านได้บ่อยๆ แต่มันยากกว่าที่คิด”
“แม่ก็แค่พูดไปอย่างนั้น เด็กน้อย จักรพรรดินีกลับบ้านบ่อยๆ มิใช่เรื่องที่ดีนัก” มาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์ปลอบโยนบุตรสาวอย่างนุ่มนวลและพูดต่อ “สงสัยจังว่าเจ้าคุยอะไรกับพ่อเขา”
“ไม่มีอะไรพิเศษหรอกค่ะ” แพทริเซียหัวเราะพลางยักไหล่ “แค่เรื่องชีวิตความเป็นอยู่…เรื่องเล็กน้อยน่ะค่ะ”
“โธ่ ลูก เล็กน้อยอะไรกัน สำหรับคนเป็นพ่อแม่ไม่มีเรื่องใดสำคัญไปกว่าความเป็นอยู่ของลูกอีกแล้ว”
“อย่างนั้นหรือคะ”
น่าเสียดายที่เรื่องราวมิได้มีแต่ความสดใส แต่ยังมีเรื่องที่น่าเศร้าอยู่ด้วย
“ที่จริงก็มีเรื่องที่อยากเก็บซ่อนไว้ด้วยค่ะ อย่างที่ท่านแม่ทราบ สถานการณ์ของข้าตอนนี้มองอย่างไรก็ยังห่างไกลจากความสุขมากนัก” แพทริเซียกล่าว
“ความสุขอยู่ที่มุมมองของเราจ้ะลูก ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร ขอเพียงเจ้ามีความสุขก็พอแล้วมิใช่หรือ” มาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์พูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “รอบตัวเจ้ามีคนดีอยู่มากมาย แม้จะมีคนไม่ดีด้วยก็ตาม”
“เพราะคนดีๆ เพียงไม่กี่คนนั้น ข้าจึงอดทนกับชีวิตในวังได้ค่ะ”
“เช่นนั้นก็โล่งอก” มาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์พูดต่ออย่างมีเลศนัย “กับฝ่าบาทล่ะ…เป็นอย่างไร”
“อืม…” แพทริเซียครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบไปตามจริง “ทั้งเกลียด ทั้งสงสาร”
“…”
“แล้วก็เห็นใจค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ”
“เป็นความสัมพันธ์ที่ดีไหมคะ”
“ไม่รู้สิ” มาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์ตอบอย่างไม่มั่นใจ “หากจะมองว่าเป็นความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาทั่วไปก็ไม่ปกตินัก อย่างที่แม่บอกไปเมื่อครู่ จะดีหรือเลว สิ่งสำคัญคือความคิดของลูก”
“…”
“เจ้าชอบความสัมพันธ์นั้นไหม”
“ที่จริงข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจค่ะ”
แพทริเซียยักไหล่อีกครั้ง มาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์เงียบไป นางรู้ว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นนิสัยของบุตรสาวที่มักจะทำตอนที่ต้องการหลบเลี่ยงสถานการณ์
และแล้วแพทริเซียก็พูดต่อ
“ก็ไม่ได้ไม่ชอบถึงขนาดนั้น แต่หากเป็นเช่นนี้ไปชั่วชีวิตย่อมต้องพบกับความเหนื่อยยากลำบากในทุกๆ วัน”
“ไม่มั่นคงสินะ”
“ค่ะ คิดว่าเป็นเช่นนั้น”
“ความสัมพันธ์ที่มั่นคงก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป เพราะความมั่นคงจะสร้างความเบื่อหน่ายขึ้นในที่สุด”
“ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่สงบ แต่ไม่รู้สิคะ ตอนนี้ความเบื่อหน่ายอาจทำให้รู้สึกดีกว่า”
“เจ้าเคยร่วมหอกับฝ่าบาทหรือไม่”
“…”
แพทริเซียหน้าแดงซ่านเมื่อถูกถามอย่างกะทันหัน
“ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดมาแล้วเพคะ ฝ่าบาท”
แม้แพทริเซียไม่ได้พูดอะไร ประตูก็เปิดออกโดยอัตโนมัติ ขณะนั้นแพทริเซียกำลังเรียบเรียงความคิดพลางจิบชาเปเปอร์มินต์ที่นางชอบอยู่ในห้องรับรองชั้นสูงที่เก็บเสียงได้ดีที่สุด
“ถวายบังคมพระจักรพรรดินี จันทราแห่งจักรวรรดิ” ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดกล่าวแสดงความเคารพ
“…มาแล้วหรือ ดยุก เชิญนั่งทางด้านนี้”
แพทริเซียปฏิบัติต่อดยุกวีเธอร์ฟอร์ดอย่างสุภาพกว่าปกติ เห็นสีหน้าของจักรพรรดินีดูคล้ายคนมีอะไรในใจ ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดก็นึกกลัวไปล่วงหน้าและเอ่ยถาม
“มีเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“ดยุก” แพทริเซียเริ่มกล่าว “เราขอถามตรงๆ เลยก็แล้วกัน ท่านคิดอย่างไรกับดยุกเอเฟรนี”
“…”
เมื่อถูกถามอย่างกะทันหันย่อมเป็นธรรมดาที่จะมิอาจตอบได้ในทันที นางจึงพูดต่ออย่างใจเย็น
“เรื่องที่ท่านกับดยุกเอเฟรนีไม่ถูกกันเป็นเรื่องที่ใครต่อใครต่างก็เล่าลือ เราพูดผิดหรือไม่”
“ฝ่าบาท แม้จะน่าละอาย แต่เป็นเช่นนั้นจริงพ่ะย่ะค่ะ”
“นั่นสินะ” แพทริเซียถามอย่างจริงจัง “ดยุก หากเรามีวิธีที่สามารถโค่นดยุกเอเฟรนีลงได้”
“…”
“ท่านจะทำอย่างไร”
“ฝ่าบาท นั่นมันเรื่องอันใด…”
“ตอบเรา เราหมายความตามที่พูด”
นางเสนอทางเลือกให้อีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเย็นชาไม่สูงไม่ต่ำ
“เราให้ท่านเลือก ตอนนี้มีโอกาสที่จะทำลายเขาแล้ว เรามีไพ่ตายอยู่ในมือ”
“…”
“เราต้องการผู้ช่วย หากเป็นไปได้เราก็ไม่อยากให้มือเราต้องแปดเปื้อน”
“เช่นนั้น พระองค์กำลังจะบอกกระหม่อมว่ามีไพ่ตายที่ใช้ทำลายดยุกเอเฟรนีได้…” ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดกลืนน้ำลายอย่างลำบาก “จึงให้กระหม่อมเลือกใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่แล้ว คนเดียวหัวหายสองคนเพื่อนตายมิใช่หรือ” นางหัวเราะเบาๆ พลางกล่าว “ความหมายของเราก็คือแม้ท่านจะปฏิเสธ แต่ความตั้งใจของเราก็ไม่เปลี่ยน”
“…ฝ่าบาท” ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดยกยิ้ม “เพื่อกำจัดคนผู้นั้นกระหม่อมยินดีทำทุกวิถีทางพ่ะย่ะค่ะ”
ดยุกเอเฟรผู้นี้เกิดในตระกูลบารอนแต่กลับตกถังข้าวสาร[1] เพียงเท่านั้นก็ทำให้ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดผู้ซึ่งเกิดในตระกูลดยุกโดยแท้ไม่ชอบใจแล้ว
แท้จริงแล้วปัญหาที่เป็นฟางเส้นสุดท้ายเกิดขึ้นหลังจากนั้น ในอดีตดยุกเอเฟรนีได้ลอกเลียนธุรกิจของดยุกวีเธอร์ฟอร์ดและประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ นั่นสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ให้กับดยุกวีเธอร์ฟอร์ด ด้วยเหตุนั้นดยุกวีเธอร์ฟอร์ดจึงเกลียดดยุกเอเฟรนีอย่างมาก
“ฝ่าบาท รับสั่งมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมสามารถถวายความช่วยเหลืออันใดได้บ้าง”
“…”
แพทริเซียยื่นจดหมายทั้งสิบเจ็ดฉบับให้ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดโดยไม่เอ่ยคำพูดใด เขาถามทางสายตาว่ามันคืออะไรก่อนจะเริ่มอ่านจดหมายช้าๆ เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็ตกใจมือสั่นเทา
“ฝ่าบาท นี่มัน…”
“ท่านทราบเรื่องในอดีตของฝ่าบาทหรือไม่”
“ทราบพ่ะย่ะค่ะ…”
ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดตอบอย่างระมัดระวัง ได้ยินดังนั้นแพทริเซียก็พูดขึ้นอีกครั้งอย่างนิ่งขรึม
“ท่านทราบใช่หรือไม่ว่าเรื่องนั้นจะส่งผลกระทบอย่างไร”
“แน่นอน…พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” เขาเสนอความเห็นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ทว่า แค่จดหมายพวกนี้เกรงว่าจะไม่พอพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“เรารู้ แต่…” แพทริเซียเอ่ยเนิบช้า “ที่จริงแค่จดหมายพวกนี้ก็พอแล้ว ดยุก จักรพรรดินีอลิซาก็ถูกประหารไปแล้ว ดยุกออสวินไม่มีทางออกมาพูดเรื่องนี้ และไม่มีอะไรรับประกันว่าเขารู้เรื่องอย่างละเอียด ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ที่เหลืออยู่ก็มีเพียงสองคนที่ปรากฏในจดหมายและดยุกเอเฟรนีเท่านั้น การหาหลักฐานคงเป็นเรื่องยาก”
“วิธีที่ดีที่สุดคือกราบทูลต่อองค์จักรพรรดิและนำจดหมายนี้เข้าที่ประชุม…”
“ไม่ใช่แบบนั้นสิ ดยุก” แพทริเซียส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด “ดูเหมือนท่านกำลังเข้าใจผิดไป นี่มิใช่โทษกบฏ และมิใช่การจาบจ้วงราชวงศ์ จะนำจดหมายนี้ไปให้ฝ่าบาททอดพระเนตรก็ย่อมได้ แต่หากฝ่าบาททรงตัดสินโทษดยุกเอเฟรนีด้วยเรื่องนี้มันก็จะกลายเป็นเพียงการแก้แค้นส่วนพระองค์เท่านั้น ฝ่าบาทจะกลายเป็นทรราช ท่านอยากให้เป็นเช่นนั้นหรือ”
“เช่นนั้นพระองค์อยากให้เรื่องดำเนินต่อไปอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“วิธีที่ดีที่สุดคือให้ดัชเชสเอเฟรนีเป็นคนจัดการดยุกเอเฟรนี แทนที่จะเป็นฝ่าบาท ที่จริงเพียงเท่านี้ก็กำจัดเขาได้อย่างสิ้นซากแล้วมิใช่หรือ” แพทริเซียยิ้มและพูดต่อ “และหากมันกลายเป็นที่โจษจันในหมู่ชนชั้นสูงด้วยก็ไม่เลว จริงหรือไม่”
“เช่นนั้นกระหม่อมจะถวายความช่วยเหลือพระองค์ได้อย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เราได้ยินมาว่าดัชเชสวีเธอร์ฟอร์ดเป็นคนกว้างขวางในวงสังคม”
“เอ่อ พ่ะย่ะค่ะ…”
ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย แพทริเซียฉีกยิ้มแช่มช้า จุดเริ่มต้นของความวิบัติคือข่าวลือ
“นำเรื่องนี้ไปสร้างข่าวลือ ท่านเองก็น่าจะรู้ ยิ่งลือกันไปไกลเท่าใด เรื่องราวย่อมถูกบิดเบือนให้รุนแรงยิ่งขึ้นเท่านั้น”
“กระหม่อมเข้าใจในพระราชประสงค์ ทว่า พระองค์จะกราบทูลองค์จักรพรรดิและบอกดัชเชสเอเฟรนีอย่างไร…”
“เลดี้โกรเชสเตอร์จะจัดการเรื่องดัชเชสเอง ส่วนฝ่าบาท…”
ข้าจะบอกเขาด้วยตัวเอง เรื่องทั้งหมดจะต้องจบ ใครเป็นคนผูกปม คนนั้นก็ต้องเป็นคนแก้
“ให้เป็นหน้าที่ของเราเถอะ ดยุกวีเธอร์ฟอร์ด”
ใช่แล้ว ตอนนี้ดูเหมือนจะถึงเวลาที่มันจะต้องจบลงจริงๆ เสียที
***
“หมู่นี้เราพบกันได้ยากขึ้นหรือเปล่าครับ”
รอธซีกล่าวด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย เปโตรนิยาหัวเราะเบาๆ นางรู้สึกว่าปฏิกิริยาของเขาดูน่ารักอย่างประหลาด
“ขอโทษค่ะ โร ช่วงนี้ข้ามีงานสำคัญ…”
“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้ แต่…” รอธซีจุมพิตที่หน้าผากเปโตรนิยาเบาๆ และกระซิบ “ช่วงนี้ข้าคิดถึงนิลมากจนไม่เป็นอันทำอะไรเลยครับ”
“ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ”
เมื่ออีกฝ่ายแสดงความรักอย่างตรงไปตรงมา เปโตรนิยาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา นางส่ายหน้าคล้ายจะบอกว่านางห้ามผู้ชายคนนี้ไม่อยู่จริงๆ
“คำพูดแบบนั้นไปเรียนมาจากไหนคะ”
“ท่านพ่อท่านแม่ท่านชอบบอกกันแบบนี้น่ะ”
ใช่แล้ว ถ้อยคำหวานหูของชายคนนี้ล้วนมาจากคู่สามีภรรยาเบรดิงตันทั้งหมด ทั้งสองท่านนั้นช่างเป็นคู่แต่งงานที่อยู่ร่วมกันอย่างรักใคร่ปรองดองจริงๆ นางคิดเช่นนั้นและพึมพำ
“ในอนาคตข้าเองก็อยากเป็นแบบนั้นบ้างจัง”
“ไม่ต้องห่วงนะครับ นีย่า” รอธซียิ้มหวานที่สุดในโลกพลางกระซิบกับเปโตรนิยา “ข้าก็เหมือนกับท่านพ่อและท่านแม่ ข้าสามารถพูดให้ฟังได้ทั้งวันเลย”
“นี่ท่านกำลังขอข้าแต่งงานหรือคะ”
ท่านจะเนียนขอแต่งงานเช่นนี้หรือคะ? เปโตรนิยาหัวเราะกระเซ้า รอธซีจึงกล่าวอย่างมีเลศนัย
“ข้าไม่คิดจะของ่ายๆ แบบนี้แน่นอนครับ”
คาดหวังอยู่หรือครับ? เขาถาม และเปโตรนิยาก็ตอบอย่างจริงใจ
“อืม…ที่จริงก็นิดหน่อย”
“อ้าว” แย่แล้วสิ เขาพูดต่อ ฉีกยิ้มจนเห็นฟันขาว “แบบนี้ไม่ใช่การขอแต่งงานหรอกนะครับ นิล ตั้งตารอได้เลยครับ”
“ข้ายังไม่ได้บอกเลยนะคะว่าจะตกลง มั่นใจเกินไปหรือเปล่าคะ”
“ถ้าไม่ตกลง” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าก็จะขอจนกว่านิลจะตกลงครับ”
“…”
ความจริงใจในคำพูดของเขาทำให้วินาทีนั้นเปโตรนิยารู้สึกตื้นตัน ตัวนางในตอนนี้มีความสุขมากอย่างที่ตัวนางในอดีตมิอาจเทียบได้ นางพยายามกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลพลางกระซิบ
“ขอบคุณนะคะ”
ขอบคุณจริงๆ
***
สองวันต่อมา แพทริเซียขึ้นรถม้าที่จะมุ่งหน้าไปบ้านของนางอย่างร่าเริง นางไม่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านหลายเดือนแล้ว แพทริเซียพึมพำด้วยสีหน้าแช่มชื่น
“นานแค่ไหนแล้วนะ”
“ดีใจขนาดนั้นเชียวหรือ ริซซี่”
ราฟาเอลามาเป็นผู้ร่วมทางเพื่อคอยอารักขา ส่วนมีร์ยาอยู่รอที่ตำหนักจักรพรรดินี แพทริเซียพยักหน้าพลางยิ้มสดใสอย่างที่ไม่ได้เห็นมานาน
“ไม่ได้เจอท่านพ่อท่านแม่มานานแล้ว ตื่นเต้นจัง”
“นั่นสิ เจ้าก็ลำบากมานาน” ราฟาเอลาพยักหน้าอย่างเห็นใจ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมความหวัง “อยู่จนถึงค่ำให้หายคิดถึงแล้วค่อยกลับแล้วกันนะ”
กลับไปวันนี้แล้วก็ไม่รู้จะได้กลับไปอีกเมื่อใด พูดง่ายๆ ก็คือนี่เป็นการจากลาอย่างไม่มีกำหนด แพทริเซียพยักหน้าเห็นด้วย
“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว แต่เจ้าจะไม่เบื่อหรือ”
“นีย่าก็อยู่ เจ้าก็อยู่ มาร์ควิสกับมาร์เชอเนสก็อยู่ แล้วข้าจะเบื่อได้อย่างไร ถ้าไม่มีอะไรทำข้านอนก็ได้ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
“เช่นนั้นก็โล่งอก”
แพทริเซียยิ้มอ่อนโยนและเอนกายไปด้านหลัง ราฟาเอลาเห็นดังนั้นก็พูดอย่างรู้ใจ
“นอนพักหน่อยเถอะ ฝ่าบาท หมู่นี้เจ้านอนน้อยนัก”
นั่นเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เพราะแพทริเซียมีงานล้นมือ แพทริเซียยิ้มบางๆ คล้ายจะขอความเห็นใจก่อนจะหลับไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อแพทริเซียลืมตาขึ้น รถม้าก็เดินทางมาถึงหน้าคฤหาสน์มาร์ควิสโกรเชสเตอร์แล้ว ราฟาเอลาเปิดประตูให้แพทริเซียค่อยๆ ก้าวลงจากรถ ผู้ที่นางเห็นเป็นคนแรกก็คือสองสามีภรรยาโกรเชสเตอร์ แพทริเซียยิ้มกว้างและเดินเข้าไปให้บิดามารดากอด
“ท่านแม่ ท่านพ่อ”
“ถวายบังคมพระจักรพรรดินี จันทราแห่งจักรวรรดิ”
ทว่า แทนที่จะได้รับอ้อมกอด มาร์ควิสและมาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์กลับทักทายบุตรสาวด้วยคำกล่าวถวายความเคารพ ใจหนึ่งนางก็เข้าใจแต่อีกใจนางก็อดผิดหวังและเสียใจไม่ได้ นางเบะปากโดยไม่รู้ตัว
“ข้ามาในฐานะบุตรีตระกูลโกรเชสเตอร์นะคะ มิใช่จักรพรรดินีแห่งมาวินอส”
“ถึงกระนั้นความจริงที่ว่าพระองค์เป็นมารดาของพสกนิการทั้งปวงก็มิได้เปลี่ยนแปลงเพคะ”
“ทรงอย่าเสียพระทัยไปเลยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท นี่เป็นสิ่งที่พึงกระทำในฐานะข้าราชบริพารของพระองค์”
“รีบเข้าไปข้างในเถอะค่ะ ท่านแม่ ท่านพ่อ”
แพทริเซียยิ้มซุกซนก่อนจะเข้าไปในบ้านพร้อมกับทั้งสองคน เมื่อเข้ามาแล้วนางก็เห็นเปโตรนิยากำลังวิ่งมาสมทบ
“ริซซี่?”
“นิล”
แพทริเซียยิ้มกว้างก่อนจะทักทายพี่สาว นานแล้วที่ไม่ได้เจอกันที่บ้านแบบนี้ไม่ใช่ที่วัง
“ทำไมรีบร้อนแบบนั้น” แพทริเซียเอ่ยถาม
“เมื่อคืนนอนดึกน่ะ”
แพทริเซียพอจะเข้าใจเหตุผลว่าพักนี้นางอยู่กับลอร์ดเบรดิงตันจนดึก นางเอาแต่ยิ้มก่อนจะถาม
“จะมีข่าวดีเร็วๆ นี้ไหม”
“พวกเราไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบนั้นเสียหน่อย!” เปโตรนิยาตกใจรีบปฏิเสธ
อีกฝ่ายต้องเข้าใจคำพูดของตนผิดไปเป็นแน่ แพทริเซียพอจะคาดเดาได้จึงหัวเราะคิกคัก
“ข้าหมายถึงเรื่องแต่งงานนะ”
“…ข้ารู้”
เปโตรนิยาหน้าแดงขึ้นเล็กน้อยและก้มหน้ามองพื้น นางเอ่ยปากอย่างเขินๆ ว่า
“เอาล่ะ เรื่องพูดคุยเอาไว้ทีหลัง…พวกเรากินข้าวกันก่อนไหมคะ”
มื้อเที่ยงแพทริเซียต้องยัดอาหารปริมาณมากลงท้อง ตอนอยู่ในวังนางก็ไม่ได้อดอยากแต่มาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์ก็ป้อนนางไม่หยุด โชคดีที่นางไม่ใช่คนอ้วนง่าย นางจึงกินได้อย่างสบายใจ แต่ถึงกระนั้นปริมาณอาหารก็ยังคงมากเกินไป ช่วงท้ายของมื้ออาหารแพทริเซียถึงกับหายใจลำบาก
แพทริเซียจิบชาหวานเป็นของว่างเพื่อผ่อนคลาย หลังจากนั้นครู่หนึ่งนางก็ใช้เวลาร่วมกับบิดาสองคนในห้องรับรอง
“เป็นอย่างไร ริซซี่ ชีวิตในวังราบรื่นดีหรือไม่”
เมื่อได้ยินคำถาม แพทริเซียก็ตอบด้วยสีหน้าเป็นทุกข์เล็กน้อย
“สงสัยเรื่องนั้นแต่กลับไม่เคยมาเยือนตำหนักจักรพรรดินีเลยนะคะ”
“พ่อนึกว่าลูกจะเข้าใจเสียอีก” มาร์ควิสยิ้มอย่างอารีและพูดต่อ “เจ้าก็รู้ ตอนนี้หากเจ้ากับพ่อไปมาหาสู่กันก็รังแต่จะตกเป็นที่ครหา พ่อไม่อยากทำให้เจ้าลำบาก ไหนจะราชวงศ์และฝ่าบาท พ่อมิบังควรทำอะไรให้ระคายเบื้องพระยุคลบาท”
“ถึงอย่างนั้นก็มาเยี่ยมเยียนได้ค่ะ ท่านพ่อไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเสียหน่อย”
“สิ่งสำคัญคือคนภายนอกหาได้มองเช่นนั้น” มาร์ควิสยิ้มกว้างและถามบุตรสาวอีกครั้ง “สรุปแล้ว ชีวิตในวังเป็นอย่างไรล่ะ แม้พ่อจะพอได้ยินได้ฟังอะไรมาบ้างก็เถอะ”
“รู้แล้วไยจึงต้องถามล่ะคะ” แพทริเซียยิ้มมุมปากและบอกกล่าวตามตรง “ความสัมพันธ์กับฝ่าบาทค่อนข้างห่างเหินค่ะ ส่วนกับมาร์เชอเนสเอธิลเลอร์ก็เอาแต่เขม่นเข่นเขี้ยวกัน”
แม้นางจะแสร้งพูดอย่างเบิกบาน แต่มาร์ควิสโกรเชสเตอร์ก็รับรู้ได้ในทันทีว่าความนัยที่แฝงอยู่หาได้เบิกบานเหมือนภายนอก เขารีบเก็บซ่อนสีหน้าอึดอัดใจและเอ่ยกับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“พ่อช่วยอะไรเจ้าไม่ได้เลย พ่อขอโทษ”
“ขอโทษอะไรกันคะ ท่านพ่อ ข้าเป็นบุตรีของตระกูลโกรเชสเตอร์นะคะ” นางส่ายหน้าอย่างเยือกเย็นและพูดแย้ง “เพียงได้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านพ่อ ลูกก็รู้สึกขอบคุณอย่างมากแล้ว”
“ว่าแต่เจ้ากับฝ่าบาทยังไม่คุ้นเคยกันอีกหรือ” เขาเอียงคอ สีหน้าคล้ายไม่เข้าใจ “แต่พ่อได้ยินว่าพระองค์มิได้โปรดปรานมาร์เชอเนสเอธิลเลอร์แล้ว…”
“…”
สีหน้าของแพทริเซียในตอนนี้คล้ายว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องเหลวไหล
[1] ตกถังข้าวสาร หรือหนูตกถังข้าวสาร เป็นสำนวนไทย หมายถึงผู้ชายที่มีฐานะไม่ค่อยดีได้แต่งงานกับผู้หญิงที่ร่ำรวย
อีกด้านหนึ่ง แพทริเซียต้อนรับเปโตรนิยาที่เพิ่งมาถึงวังในตอนบ่ายด้วยความยินดี
“นีย่า เจ้ามาสายนะ”
“…”
แม้แพทริเซียจะทักทายอย่างสดใส แต่เปโตรนิยากลับมีสีหน้าหม่นหมอง ถึงกระนั้นแพทริเซียก็ยิ้มอย่างใจเย็นและเอ่ยถาม
“ดูจากสีหน้าเจ้าแล้ว”
“…”
“คล้ายจะได้เรื่องอะไรมา”
“ริซซี่…ฝ่าบาท” แม้เปโตรนิยาจะเอ่ยอย่างลังเล แต่นางก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “บางทีเราอาจกำจัดนางได้”
“เช่นนั้นก็ดี” แพทริเซียยิ้มกว้างพลางพยักหน้า “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าไปเจออะไรมา…แต่ก็พอจะเดาได้”
ความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างดยุกเอเฟรนีกับโรสมอนด์สินะ ทว่า มันไม่จบเพียงเท่านั้น เปโตรนิยากล่าวอย่างลำบากใจ
“ถ้ากำจัดโรสมอนด์ ดยุกเอเฟรนีก็จบเห่ไปด้วย”
“…ขนาดนั้นเชียวหรือ”
แพทริเซียให้ความสนใจกับสิ่งที่เปโตรนิยาบอกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ
“แต่ก็ช่างเถิด สิ่งที่ข้าต้องการคือความพินาศของโรสมอนด์ หากดยุกเอเฟรนีจะพินาศไปด้วยนั่นก็หมายความเขาเองก็มีความผิดเช่นนั้น”
แพทริเซียหัวเราะอย่างอ่อนแรงพลางพึมพำ
“เพราะฉะนั้น ต่อให้อีกฝ่ายไม่ใช่ดยุกเอเฟรนีแต่เป็นดยุกวีเธอร์ฟอร์ด ข้าก็ไม่สนใจ”
“สิบปากว่าย่อมไม่เท่าตาเห็น”
เปโตรนิยาให้นางกำนัลที่อยู่รอบๆ ออกไปก่อน จากนั้นนำจดหมายทั้งหมดที่นางนำมาจากห้องของแจนยูเอรีให้แพทริเซียดู สิ่งที่อยู่ในกล่องเครื่องประดับของแจนยูเอรีดูเหมือนจะเป็นจดหมายที่โรสมอนด์เขียนให้คร่าวๆ แพทริเซียรับจดหมายทั้งสิบเจ็ดฉบับจากเปโตรนิยาและค่อยๆ เปิดอ่าน เริ่มแรกสีหน้าของแพทริเซียยังคงเรียบเฉย แต่เมื่ออ่านไปถึงฉบับที่สี่สีหน้าของนางก็เริ่มบิดเบี้ยว และเมื่ออ่านไปถึงฉบับที่เก้านางก็มีสีหน้าคล้ายไม่อยากจะเชื่อ จนกระทั่งนางอ่านฉบับสุดท้ายจบ…
“เฮอะ”
แพทริเซียแค่นหัวเราะ เนื้อหาในจดหมายพวกนั้นมากพอที่จะทำให้นางหัวเราะออกมา แพทริเซียเริ่มหัวเราะราวกับคนเสียสติ
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
แพทริเซียหัวเราะในขณะที่สีหน้ามีแววของความตกใจ ‘โดนเล่นงานเข้าแล้ว’
***
การตายของผู้สืบทอดทำให้ตระกูลดยุกเอเฟรนีตกอยู่ในความโศกเศร้า สมาชิกตระกูลดยุกเอเฟรนีทุกคนต่างไว้อาลัยให้กับลอร์ดเฮนรีผู้มีจิตใจที่อบอุ่นและใจดีกับทุกคน
ยกเว้นคนผู้หนึ่ง
“ฮ่ะฮ่าฮ่าฮ่า”
แจนยูเอรีนั่งเงียบอยู่ในห้องครู่หนึ่งก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ เฮนรีตายแล้ว! ทายาทเพียงคนเดียวของดัชเชสตายแล้ว! แม้ปกติแล้วเฮนรีจะไม่ถึงขั้นอ่อนโยนกับนาง แต่เขาก็ปฏิบัติกับนางอย่างสุภาพในฐานะที่นางเป็นแม่เลี้ยง ทว่า ในสถานการณ์นี้แจนยูเอรีก็มิใช่คนที่ใจกว้างมากพอจะสรรเสริญเยินยอเฮนรี
นางเพียงแต่คิดถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้และหัวเราะอย่างมีความสุข บุตรชายของนางจะกลายเป็นผู้สืบทอดของตระกูลดยุกอย่างเป็นทางการ จากนั้นโรสมอนด์ก็จะขึ้นเป็นจักรพรรดินี และลากดัชเชสเอเฟรนีลงมาจากตำแหน่ง แน่นอนว่าถ้าใครเห็นนางมีความสุขในช่วงเวลาแบบนี้ ผีบ้านผีเรือนคงไล่ตะเพิดนางก่อนใคร นางจึงทำได้เพียงหัวเราะอย่างเงียบๆ เท่านั้น
-ก๊อกก๊อก
ครั้นได้ยินเสียงเคาะประตูนางก็รีบเก็บรอยยิ้มบนหน้าและตีหน้าเศร้า การกระทำเช่นนี้ช่างน่ารังเกียจ หากใครได้เห็นการกระทำนั้นตั้งแต่ต้นจนจบคงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและด่าทอให้กับความหน้าไม่อาย นางแตะน้ำลายมาทารอบดวงตาให้เหมือนคราบน้ำตาของคนที่คร่ำครวญราวกับเสียลูกของตัวเองและขยี้ตาให้ตาแดง จากนั้นนางค่อยเปิดประตูออกไปและได้พบกับพ่อบ้าน นางจึงเอ่ยถาม
“พ่อบ้าน มีอะไรหรือ”
“…”
เขายื่นจดหมายมาให้ฉบับหนึ่งโดยไม่พูดอะไร จากพระราชวัง… กล่าวให้ชัดเจนคือเป็นจดหมายจากโรสมอนด์
“จดหมายจากมาร์เชอเนสเอธิลเลอร์ขอรับ มาดาม” เขากล่าว
“อุ๊ย จากมาร์เชอเนสหรือ”
นางจงใจทำสีหน้าตกใจตอนรับจดหมาย ขณะปิดประตูใบหน้าของนางยังคงมีร่องรอยของความเศร้าอยู่รอบดวงตา ทันทีที่ประตูปิดสนิทพ้นสายตาของพ่อบ้านนางก็ฮัมเพลงในใจสีหน้าระรื่นพลางเปิดอ่านจดหมาย โรสมอนด์ ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงส่งจดหมายมาบ่อยนัก ในซองจดหมายสีขาวปรากฏกระดาษที่ถูกเขียนไว้ด้วยตัวหนังสือวิจิตร นางอ่านเนื้อความเหล่านั้นก่อนจะหัวเราะออกมาอีกครั้ง
“สามวัน สามวันให้หลังอย่างนั้นหรือ…”
แจนยูเอรีพึมพำก่อนจะเขียนจดหมายไปหาใครคนหนึ่ง เนื้อความมีเพียงสั้นๆ
[ สามวันให้หลัง สังหารจักรพรรดินีระหว่างทางกลับจากคฤหาสน์มาร์ควิสเสีย ]
***
“สุดท้ายลอร์ดเอเฟรนีก็เสียชีวิต”
เปโตรนิยากล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ ลอร์ดเอเฟรนีอายุยังน้อยนัก ข่าวการจากไปของคนที่ยังเยาว์วัยทำให้เปโตรนิยารู้สึกหดหู่ แพทริเซียเอ่ยอย่างใจหาย
“แย่จริง” ดัชเชสเอเฟรนีคงใจสลาย แพทริเซียคิดพลางเอ่ยถาม “เช่นนั้นดัชเชสน่าจะเดินทางกลับจักรวรรดิเลยกระมัง”
“กลับมาพร้อมร่างของบุตรชาย ดูเหมือนจะประกอบพิธีที่นี่”
“โธ่”
นางอุทานอย่างเห็นใจและก้มหน้าลง ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลดยุกสิ้นไปแล้ว เช่นนั้นทายาทที่เหลืออยู่ก็มีเพียงบุตรชายที่ยังเล็กของอนุภรรยาเท่านั้นน่ะสิ…
“ริซซี่”
“หืม?”
“แล้วบุตรชายของมาดามแจนยูเอรีจะกลายเป็นประมุขตระกูลคนต่อไปหรือไม่”
ได้ยินดังนั้นแพทริเซียก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเรียกชื่อเล่นของพี่สาว
“นิล”
“หืม?”
“ถ้าเนื้อความในจดหมายเป็นความจริง…” แพทริเซียลากเสียงอย่างเนิบช้าและพูดต่อ “เรื่องอาจไม่เป็นอย่างที่เจ้าคิด”
“หมายความว่าอย่างไร”
“หากเรื่องเป็นไปตามที่เราคิด ดัชเชสย่อมต้องรับบุตรบุญธรรม และประมุขตระกูลคนต่อไปก็จะเป็นคนที่นางต้องการ”
“จริงสิ ดัชเชสมีอำนาจมากพอที่จะทำเช่นนั้น”
เปโตรนิยาพยักหน้า ดัชเชสเอเฟรนีไม่ได้ใช้นามสกุลสามี เดิมทีนางมีศักดิ์เป็นท่านหญิงเอเฟรนี บุตรีของดยุก ส่วนประมุขตระกูลเอเฟรนีคนปัจจุบันเป็นเพียงบุตรชายของบารอนเท่านั้น เท่านี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเขาแต่งงานกับท่านหญิงเอเฟรนีและเปลี่ยนมาใช้นามสกุลของภรรยา อย่างไรก็ตามที่บุตรชายของบารอนเล็กๆ ได้ครองตำแหน่งดยุกก็เป็นเพราะในตอนนั้นท่านหญิงเอเฟรนีเป็นบุตรีคนเดียวของดยุกเอเฟรนีรุ่นก่อน
ดังนั้น ตำแหน่งดยุกของเขาจึงได้มาเพราะเขาเป็นสามีของท่านหญิงเอเฟรนี นั่นหมายความว่าที่ดัชเชสเอเฟรนียังไม่แตะต้องตำแหน่งของเขาก็เพราะนางยังรักเขาอยู่ แต่หากความรักนั้นจืดจางลงเมื่อใด ดยุกเอเฟรนีก็ต้องคืนตำแหน่งดยุก และหากเป็นเช่นนั้น แจนยูเอรีก็คงคว้าน้ำเหลว
“งานนี้ข้าคงมิอาจเตรียมการคนเดียวได้ คงต้องขอความช่วยเหลือจากดยุกวีเธอร์ฟอร์ดแล้วล่ะ”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น ริซซี่ หากเจ้าเปิดโปงเรื่องนั้นด้วยตัวเองจะดูน่าสงสัย เพราะทุกคนจะคิดว่าเจ้าไม่เป็นกลางในเรื่องของโรสมอนด์”
“มีร์ยา”
แพทริเซียตัดสินใจทำตามที่คิดทันที ไม่จำเป็นต้องรอให้ช่วงเวลาแห่งความพินาศสุกงอม กว่าช่วงเวลานั้นจะมาถึง ไม่รู้ว่านางต้องใช้ความอดทนอดกลั้นมากเพียงใด และต้องรออีกนานแค่ไหน ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับเรื่องแบบนี้ ยิ่งลงมือเร็วเท่าไรยิ่งดี ถ้าคนไหวพริบดีอย่างแจนยูเอรีเริ่มระแคะระคายเรื่องที่เปโตรนิยาทำ แพทริเซียอาจจะต้องปวดหัวกับเรื่องนี้มากขึ้นก็เป็นได้ ตัดไฟเสียแต่ต้นลมน่าจะดีที่สุด
“เรียกดยุกวีเธอร์ฟอร์ดมาพบข้าที บอกไปว่าเมื่อใดที่สะดวกให้มาสนทนากันสักหน่อย”
“เพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันจะแจ้งตามนั้น”
“ได้ยินว่าอีกสองวันเจ้าจะกลับบ้าน?”
เปโตรนิยาเอ่ยถาม นางคงได้ยินจากราฟาเอลา
แพทริเซียพยักหน้า “เป็นวันเกิดท่านแม่พอดีด้วย ยิ่งไปกว่านั้นข้าไม่ค่อยได้ใส่ใจครอบครัวเลย”
“ทั้งสองท่านคงเข้าใจ เจ้าจะกลับบ้านก็ไม่มีอะไรเสียหาย และไม่น่าจะมีปัญหาอะไรด้วย”
“…อืม ข้าก็คิดเช่นนั้น”
แพทริเซียเอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างอ่อนแรงพลางพึมพำเบาๆ
“คิดถึงท่านพ่อท่านแม่จัง”
ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดส่งจดหมายมาแจ้งว่าจะขอเข้าเฝ้าในวันรุ่งขึ้น หลังจากได้รับจดหมายฉบับนั้น แพทริเซียก็มีสีหน้าสับสนว้าวุ่นใจ แม้เป็นเรื่องที่ยากจะเปิดโปงสุ่มสี่สุ่มห้า แต่สักวันเรื่องนี้ก็ต้องแดงออกมา และหากเป็นเช่นนั้นนางจะต้องเปิดโปงให้ถูกจังหวะเพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น จะปล่อยให้มันถูกฝังกลบไปไม่ได้ แพทริเซียถอนหายใจขณะเดินทอดน่องอย่างเงียบๆ อยู่ในสวนดอกไม้
“จำเป็นต้องสืบเพิ่มอีกสักหน่อย”
“อะไรหรือ ริซซี่”
“เกี่ยวกับเรื่องนี้” นางกล่าวย้ำ “ข้าต้องการหลักฐานที่ชัดเจนกว่านี้ หลักฐานที่จะส่งนางขึ้นแท่นประหาร…”
ตอนนั้นเองคำพูดของแพทริเซียก็หยุดชะงัก คนแปลกหน้าผู้หนึ่งดูสะดุดตา แต่จะเรียกว่าคนแปลกหน้าก็รู้สึกแปลกๆ แพทริเซียลังเลเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยทักทายราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
“จักรพรรดินี”
เขาหลบตาอย่างประหม่า หลังจากวันที่มีอาการชัก ทั้งสองก็ไม่ได้พบกันอีกเลย แพทริเซียรู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาดในสถานการณ์นี้ นางจึงทำเพียงก้มหน้าเงียบๆ
“เอ่อ…สบายดีไหม”
หลังจากกล่าวออกไปเช่นนั้น ลูซิโอก็รู้สึกเสียใจภายหลังให้กับความโง่เขลาของตัวเอง ไม่มีคำอื่นจะพูดแล้วหรือไร ระหว่างที่เขาตีอกชกหัวตัวเองอยู่ในใจ แพทริเซียก็เอ่ยตอบอย่างเรียบเฉย
“เพคะ”
คำตอบสั้นๆ ของอีกฝ่ายทำให้ลูซิโอรับมือลำบาก หากเป็นเช่นนี้บทสนทนาก็จะสิ้นสุดลง ถึงอย่างไรนางก็ไม่อยากพูดคุยกับเขาตั้งแต่แรกแล้ว ช่างดูน่าขันที่เขาพยายามจะต่อบทสนทนา ในตอนนั้นเอง เสียงที่ราวกับเป็นปาฏิหาริย์ก็ดังขึ้น
“พระวรกาย…”
“…หืม?”
“เป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
แพทริเซียเอ่ยถามอย่างนิ่งเฉยไร้อารมณ์ แต่สำหรับลูซิโอ คำถามนี้นับว่าเป็นเกียรติยิ่งกว่าคำถามใดๆ เขารีบตอบอย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นไร”
“…”
“ขอบคุณนะที่ถาม”
“…เพคะ”
แพทริเซียตอบสั้นๆ และเดินต่อ ขณะที่ร่างบางจะเดินผ่านข้างตัวลูซิโอเพื่อไปอีกทางเขาก็รีบเรียกอีกฝ่ายไว้
“จักรพรรดินี”
“…เพคะ?”
แพทริเซียหันหลังกลับมาอย่างเนิบช้าและมองมาที่เขา หญิงสาวช่างดูงดงามและโดดเด่น ลูซิโอลังเล สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะเอ่ยถึงเรื่องอื่น มิใช่เรื่องที่อยู่ในใจ
“เรื่องวันนั้นเราขอโทษนะ”
“…ไม่จำเป็นต้องใส่พระทัยเพคะ”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…เราขอโทษด้วย” เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่แหบลงเล็กน้อย “ฟังว่าอีกสองวันเจ้าจะกลับคฤหาสน์มาร์ควิสใช่หรือไม่”
“เพคะ”
ข้าว่าข้าไม่เคยเอาเรื่องนี้ไปพูดที่ไหนนะ ดูเหมือนว่าการรักษาความปลอดภัยในตำหนักจักรพรรดินีจะหละหลวมกว่าที่คิด ระหว่างที่นางกำลังคิด ลูซิโอก็รีบเอ่ย
“เจ้าจะ…อยู่ที่นั่นนานเท่าใดก็ได้นะ”
“…เพคะ?”
“เราหมายถึงให้เจ้าพักผ่อนให้สบายแล้วค่อยกลับ ที่ผ่านมาเจ้าก็ลำบากมามาก”
“…”
เช่นนั้นควรจะต้องนานเพียงใดเพคะ ฝ่าบาท แพทริเซียยิ้มเยาะ ทว่า ภาระหน้าที่ที่นางต้องแบกรับนั้นยิ่งใหญ่อย่างประเมินค่ามิได้ นางจึงมิอาจหยุดพักนานๆ เพราะน้ำหนักของเอกสารที่นางต้องกลับมาตรวจทานก็จะเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
“หม่อมฉันจะออกไปตอนเช้าและกลับมาตอนค่ำเพคะ ฝ่าบาท”
“…”
ได้ยินดังนั้นลูซิโอก็ถอนหายใจในใจอย่างโล่งอก แต่แพทริเซียกลับเห็นปฏิกิริยาของเขาได้อย่างชัดเจน นางหันหลังเดินออกไปและยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ท่าทางเช่นนั้นไม่เข้ากับเขาสักนิด”
นางพึมพำทิ้งท้าย
“พูดอีกที เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ”
อีกด้านหนึ่ง โรสมอนด์ที่เพิ่งตื่นนอนกำลังซักถามคลาราเสียงเกรี้ยวกราด คลาราแจ้งข่าวแก่โรสมอนด์อีกครั้งอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“มีข่าวว่าเมื่อวานพระจักรพรรดิและพระจักรพรรดินีร่วมหอกันค่ะ”
“ร่วมหอรึ เมื่อวาน? ได้อย่างไร? ทำไม?”
“เมื่อวานองค์จักรพรรดิมีอาการชัก…”
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องปลุกข้าสิ!”
ปลุกแล้ว แต่… คลาราแก้ตัวด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้
“เมื่อวานก็มีคนจากตำหนักกลางมาที่นี่ แต่ท่านหญิงบอกว่าจะนอนต่อ ห้ามปลุก ก็เลย…”
“…”
บ้าเอ๊ย โรสมอนด์สบถ ถ้าเกิดเรื่องนั้นขึ้นก็เป็นไปได้ว่าจะมีการร่วมหอกันจริงๆ เมื่อจิตใจอยู่ในจุดที่อ่อนแออย่างถึงที่สุดจนต้องการที่พึ่งและความเมตตา… นอกจากนี้สองคนนั้นยังเคยร่วมหอกันมาแล้วครั้งหนึ่ง เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่ทั้งคู่จะ…!
“กรี๊ดดดด!” โรสมอนด์กรีดร้องอย่างโกรธเกรี้ยว
“มาร์เชอเนส ใจเย็นๆ ก่อนค่ะ!”
“ทำไมอะไรๆ ก็ไม่ได้ดั่งใจเลยสักอย่าง”
แน่นอนว่าต่อให้ทั้งคู่ร่วมหอกัน แต่สิ่งที่สำคัญคือจักรพรรดินีเป็นหมัน นั่นคือความจริง ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการตั้งครรภ์ แต่… โรสมอนด์แค่รู้สึกไม่สบอารมณ์ นางเคยคิดว่าผู้ชายคนนั้นเป็นของนางแต่เพียงผู้เดียว แม้ความสัมพันธ์จะไม่เป็นไปดั่งใจนึกแต่นางก็คิดว่าเขาจะอยู่เงียบๆ ไปอีกสักระยะหนึ่ง
‘ข้าตัดสินใจผิดอย่างนั้นหรือ’
“คลารา”
โรสมอนด์เรียกคลาราเสียงสั่นด้วยโทสะ คลารารีบตอบรับเพราะไม่อยากโดนลูกหลงมากไปกว่านี้
“ค่ะ มาร์เชอเนส”
“ติดต่อแจนยูเอรีให้นางว่าจ้างนักฆ่าที”
“ฝ่าบาท อีกแล้วหรือเพคะ”
แต่เรื่องคราวก่อนเพิ่งผ่านไปได้ไม่นานเองนะเพคะ… คลาราอ้างอย่างคนขี้ขลาดแต่โรสมอนด์ก็ดื้อดึง
“เร็วสิ! มิเช่นนั้นข้าอาจจะพลาดตำแหน่งจักรพรรดินีไปตลอดกาลก็ได้ เจ้าต้องการเช่นนั้นหรือ”
“มาร์เชอเนสคะ หากท่านมองการณ์ไกลเรายังมีวิธีอื่นอีกมาก ทำไมถึงใช้วิธีอันตราย…”
“คราวก่อนล้มเหลวแต่ก็ไม่มีใครจับได้มิใช่รึ” น้ำเสียงของโรสมอนด์ช่างน่าขนลุก “คราวนี้ก็อย่าให้จับได้เป็นพอ คลารา ตราบใดที่ยังเป็นความลับก็เท่ากับไร้ความผิด”
“…ทราบแล้วค่ะ”
ความดื้อรั้นของโรสมอนด์ทำให้คลาราจำต้องพยักหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ข้าจะส่งจดหมายไปให้มาดามแจนยูเอรี แต่มาร์เชอเนสคะ แล้วเรื่องช่วงเวลา…”
“ก็ต้องดูก่อน บอกนางไปว่าเรื่องนั้นจะบอกทีหลัง ตอนนี้ให้อ้างชื่อข้าไปก่อน”
“ค่ะ มาร์เชอเนส ข้าจะจัดการตามนั้นค่ะ”
โรสมอนด์คิดจะใช้โอกาสนี้จบเรื่องทั้งหมด ความอดทนของนางกำลังจะถึงขีดสุด และอายุของนางก็เพิ่มมากขึ้นทุกที
***
“เห็นข้าเป็นคนรับใช้หรืออย่างไร”
แจนยูเอรีอ่านจดหมายแล้วแอบบ่นอยู่ในห้องของตัวเอง นางร่วมมือกับโรสมอนด์เพื่อผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายก็จริง แต่หมู่นี้การกระทำของโรสมอนด์ชักจะมากเกินไปหน่อยแล้ว นางได้แต่บ่นพึมพำอย่างไม่มีทางเลือก
“เอาเถอะ เมื่อโรสมอนด์ได้เป็นจักรพรรดินีและข้าได้เป็นดัชเชส ปัญหาทุกอย่างก็จบ”
ทนอีกหน่อยจนกว่าจะถึงตอนนั้นก็แล้วกัน แจนยูเอรีบอกตัวเองเบาๆ ก่อนจะเก็บจดหมายของโรสมอนด์ลงในกล่องเครื่องประดับเช่นเคย โรสมอนด์มักจะเขียนลงท้ายจดหมายว่า ‘เผาจดหมายนี้ทิ้งเสีย’ พูดบ้าๆ สำหรับคนที่รู้จักนิสัยของโรสมอนด์ดีกว่าใครเช่นนางไม่มีทางเชื่อคำพูดนั้นเด็ดขาด ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไรกัน แจนยูเอรีแค่นหัวเราะ
โรสมอนด์เป็นคนที่พร้อมจะทิ้งนางในทันทีเมื่อนางตกที่นั่งลำบากหรือขอความช่วยเหลือ ไม่สิ ดีไม่ดีอีกฝ่ายอาจจะโยนความผิดทุกอย่างมาให้นางก็เป็นได้
-ก๊อกก๊อก
ตอนนั้นเองใครบางคนก็เคาะประตูห้อง แจนยูเอรีร้อง ‘อุ๊ย’ ออกมาก่อนจะปิดฝากล่องและรีบตอบรับ
“ค่ะ เชิญค่ะ”
ประตูถูกเปิดเข้ามาตามด้วยร่างของพ่อบ้าน นางเอ่ยถามเขาด้วยสีหน้าปกติ
“มีอะไรหรือ พ่อบ้าน”
“เลดี้โกรเชสเตอร์นำขนมหายากมา บอกว่าอยากจะรับประทานกับมาดามแจนยูเอรีขอรับ จะให้ข้าเรียนว่าอย่างไรดีขอรับ”
“ขนมหายากหรือ”
“ฟังว่าเป็นขนมรสเลิศที่ทำถวายราชวงศ์สปลอรีเท่านั้นขอรับ”
“อย่างนั้นหรือ”
นี่นับเป็นข่าวที่ทำให้คนรักขนมหวานอย่างแจนยูเอรีตาลุกวาว นางฮัมเพลงพลางพยักหน้า
“ได้ เดี๋ยวข้าลงไป”
นางตื่นเต้นเสียจนลืมว่าต้องเก็บกล่องเครื่องประดับที่ซ่อนจดหมายไว้กลับเข้าที่และเดินลงบันไดไปทันที
“ตายจริง อร่อยมากเลยนะคะ”
แจนยูเอรีอุทานอย่างประทับใจก่อนจะกัดขนมที่เปโตรนิยานำมาเสียงดังกรวบ รสชาติหวานนิดๆ บวกกับความหอมมันช่างถูกปากแจนยูเอรีนัก เปโตรนิยายิ้มพลางกล่าว
“ทานเยอะๆ นะคะ มาดาม ถ้าต้องการข้าจะส่งมาให้อีกค่ะ”
“อุ๊ยตาย จริงหรือคะ”
“แน่นอนสิคะ”
ได้ยินดังนั้นแจนยูเอรีก็ยิ้มอย่างแปลกประหลาดและเอ่ยถาม
“ว่าแต่ทำไมจู่ๆ ถึงมาทำดีกับข้า…”
“ตายจริง จู่ๆ อะไรกันคะ มาดาม ข้าเสียใจนะคะ”
เปโตรนิยาแสดงความสามารถในการตีสนิทอย่างไม่มีเงื่อนไข เหมือนกับที่นางชอบใช้กับเลดี้คนอื่นๆ ในชาติที่แล้ว
“เดิมทีข้าก็อยากสนิทสนมกับมาดามอยู่แล้วนะคะ”
“กับข้าหรือคะ”
แม้แจนยูเอรีจะมองด้วยสายตาเคลือบแคลงแต่เปโตรนิยาก็ตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ค่ะ มาดาม ก็มาดามงดงามออกขนาดนี้” เปโตรนิยาว่าพลางยกชาแดงขึ้นดื่ม ชาคีมุน[1]หรือเปล่านะ เปโตรนิยาพึมพำในใจก่อนจะพูดต่อ “ข้าชอบคนที่หน้าตางดงามน่ะค่ะ”
“ตายจริง ปากหวานนะคะ”
เพราะเป็นเพียงอนุภรรยา ชีวิตของแจนยูเอรีจึงถูกจำกัดอยู่แต่ในบ้านอย่างน่าอึดอัด การปรากฏตัวของเปโตรนิยาจึงไม่ใช่แค่เรื่องที่ไม่น่ายินดีเท่านั้น ตั้งแต่เปโตรนิยานำขนมมาให้ นางก็ค่อยๆ ลดความหวาดระแวงลง และเมื่อการสนทนาดำเนินไปถึงช่วงท้าย นางก็เริ่มพูดคุยกับเปโตรนิยาได้อย่างเป็นธรรมชาติ
“เพราะฉะนั้นชุดเดรสที่ข้าขอใต้เท้าซื้อมา…”
“อ๊ะ เดี๋ยวค่ะ” เปโตรนิยายิ้มอย่างงดงามพลางกล่าว “ขอโทษนะคะ มาดาม ดูเหมือนข้าจะดื่มชามากเกินไป”
ครั้นได้ยินน้ำเสียงแปลกๆ ของอีกฝ่าย แจนยูเอรีก็พยักหน้ารับรู้ว่าเปโตรนิยาต้องการจะพูดอะไร นางตอบอย่างใจกว้าง
“รีบไปรีบมานะคะ ข้าจะรอ”
“ขอบคุณค่ะ มาดาม”
เปโตรนิยาโค้งให้อย่างสง่างามก่อนจะรีบร้อนเดินขึ้นชั้นบนไปราวกับรีบไปเข้าห้องน้ำจริงๆ ระหว่างที่เปโตรนิยาไม่อยู่ แจนยูเอรีที่กำลังกินขนมอย่างเอร็ดอร่อยก็นึกสงสัยขึ้นมา
‘เดี๋ยวนะ…ห้องน้ำชั้นหนึ่งก็มีมิใช่หรือ’
แจนยูเอรีคิดมาถึงตรงนี้ก็รีบลุกจากที่นั่ง หรือว่าผู้หญิงคนนี้จะเอาอีกแล้ว… แจนยูเอรีรีบขึ้นไปที่ห้องของตัวเอง ในนั้นไม่มีใครอยู่ นางเร่งมือค้นกล่องเครื่องประดับ
“หนึ่ง สอง สาม สี่…”
จดหมายมีทั้งหมดสิบเจ็ดฉบับ โชคดีที่ไม่มีฉบับใดหายไป แจนยูเอรีถอนหายใจด้วยความโล่งใจก่อนจะปิดฝากล่อง ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากด้านหลัง
“…ทำอะไรอยู่หรือคะ”
แจนยูเอรีตกใจจนร้อง ‘กรี๊ด’ นางสงบจิตใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะก่อนจะมองไปที่เปโตรนิยาที่กำลังมองมาที่นาง
“ไม่ทานขนมอีกหน่อยหรือคะ” เปโตรนิยาถาม
“เอ่อ…ข้า…มีเรื่องต้องตรวจดูนิดหน่อยน่ะค่ะ”
“อ้อ”
‘อย่างนั้นหรือคะ’ เปโตรนิยาพึมพำออกมาเบาๆ
“ห้องน้ำชั้นล่างก็มี…” แจนยูเอรีถามเปโตรนิยาด้วยน้ำเสียงอิหลักอิเหลื่อ
“…เอ่อ”
“ทำไมถึงขึ้นมาชั้นสองล่ะคะ”
แจนยูเอรีฝืนยิ้มพลางถาม ตอนนั้นเองเปโตรนิยาจึงทำท่าทีตกใจราวกับไม่รู้มาก่อนพร้อมกล่าว
“ตายจริง ข้าไม่รู้เลยค่ะ มาดาม”
“…”
“แต่คราวก่อนดัชเชสบอกว่าห้องน้ำอยู่ที่ชั้นสอง ข้าถึงได้รู้จักห้องน้ำชั้นสอง…ไม่รู้เลยค่ะว่ามีห้องน้ำข้างล่างด้วย”
“…”
“ข้าไม่อยากจะถามอะไรแบบนี้หรอกนะคะ…แต่ถ้ามาดามไม่พอใจ…”
“ไม่ค่ะ ไม่เลย” แจนยูเอรียิ้มอย่างเป็นธรรมชาติพลางกล่าว “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรล่ะคะ เลดี้ อย่าใส่ใจเลยค่ะ”
“ขอบคุณที่กรุณาค่ะ มาดาม”
เปโตรนิยายิ้มอย่างน่ารักและแสร้งขยับตัวเข้าไปกระแซะแจนยูเอรีอย่างสนิทสนม
“เอาล่ะค่ะ ถ้าอย่างนั้นพวกเราลงไปคุยกันต่อดีไหมคะ”
***
“นีย่าไปไหนเสียล่ะ”
แพทริเซียถามขึ้นขณะอ่านเอกสารอยู่ที่ตำหนักจักรพรรดินี และมีร์ยาก็เอ่ยตอบในทันที
“ไปคฤหาสน์ดยุกเอเฟรนีเพคะ”
“อ้อ” นางพึมพำอย่างเข้าใจ “คงวิ่งวุ่นอยู่กับการจัดการเรื่องนั้นกระมัง”
“อะไรหรือเพคะ”
“ไม่มีอะไรหรอก” แพทริเซียตอบอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเอ่ยถามเรื่องอื่น “ไม่มีข่าวคราวจากทางบ้านข้าบ้างเลยหรือ หมู่นี้ข้าละเลยครอบครัวไปมากทีเดียว”
แม้ว่ามาร์ควิสโกรเชสเตอร์ บิดาบังเกิดเกล้าของแพทริเซียจะเป็นขุนนางระดับสูงที่มีส่วนร่วมในทางการเมืองของส่วนกลาง แต่ท่านไม่ค่อยเปิดเผยตัวนัก เดิมทีท่านเป็นคนเช่นนั้นอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อบุตรสาวได้เป็นจักรพรรดินี ท่านก็ยิ่งเจียมตัว แพทริเซียทั้งรู้สึกขอบคุณและรู้สึกผิดต่อบิดาของตน
“อีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะถึงวันเกิดของท่านแม่แล้วสินะ”
แพทริเซียครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนจะเอ่ยถาม “ข้ากลับบ้านได้หรือไม่”
“ไม่มีปัญหาเพคะ ฝ่าบาท”
“อืม”
แพทริเซียคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
“ราฟาเอลา เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะออกไปข้างนอก ฝากเจ้าเตรียมการทีได้หรือไม่”
“แน่นอนเพคะ ฝ่าบาท”
แพทริเซียยิ้มและออกคำสั่งต่อไปอย่างเนิบช้า
“มีร์ยา ส่งจดหมายถึงท่านพ่อให้ที บอกว่าอีกสามวันข้าจะไปเยี่ยมที่บ้าน”
***
“จะให้ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาในบ้านนี้อีกไม่ได้”
แจนยูเอรีพึมพำพลางเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง เลดี้เปโตรนิยา ผู้หญิงคนนั้นอันตราย สัญชาตญาณของแจนยูเอรีบอกอย่างนั้น เป็นความรู้สึกที่เหมือนกับตอนที่ได้พบดัชเชสเอเฟรนีครั้งแรก ความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้นดัชเชสเอเฟรนียังตั้งตนเป็นศัตรูกับนางอย่างเปิดเผย แต่เปโตรนิยากลับไม่เป็นเช่นนั้น
นางเหมือนคนที่รอให้เหยื่อมาติดกับ… แจนยูเอรีเดินไปเดินมาทั่วห้องอย่างกระวนกระวายก่อนจะนำกล่องเครื่องประดับไปซ่อนไว้ในที่ที่ไม่สะดุดตาคน หลังจากนั้นครู่หนึ่งนางก็คิดใคร่ครวญด้วยสีหน้าจริงจัง
“ดัชเชสเอเฟรนีจะกลับมาเมื่อใดนะ”
ให้ตายเถอะ อนุภรรยาจะกลายเป็นภรรยาหลวงสักทีช่างยากนัก ขณะที่แจนยูเอรีกำลังบ่นอย่างหงุดหงิด ทันใดนั้นใครคนหนึ่งก็เปิดประตูพรวดเข้ามาทำเอานางใจหายใจคว่ำ หลังบานประตูเป็นร่างของคนที่นางคาดไม่ถึง หลังจากมั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร สีหน้าของแจนยูเอรีก็พลันสดใสขึ้น
“ตายจริง เจคอบ”
คนผู้นั้นคือบุตรชายตัวน้อยของนางนั่นเอง แจนยูเอรีรีบเข้าไปหาเจคอบและอุ้มเขาขึ้นมาแนบอกก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“มีอะไรหรือลูก มาหาแม่ทำไม”
แม้เจคอบจะเป็นบุตรของอนุภรรยาแต่ถึงอย่างไรเลือดของขุนนางชนชั้นสูงก็ไหลเวียนอยู่ในตัวเขา เจคอบจึงต้องได้รับการเลี้ยงดูจากแม่นม แจนยูเอรีซึ่งเป็นบุตรีของสามัญชนหาได้เข้าใจธรรมเนียมนั้น แต่นางก็ยอมทำตามแต่โดยดีเพื่อผลประโยชน์ในอนาคต
“ท่านแม่ จู่ๆ แม่นมก็ร้องไห้” เจคอบที่ยังเยาว์วัยงอแงกับมารดาของตน
“แม่นมน่ะหรือ”
นางถามอย่างสงสัย อิลเลนา แม่นมของเจคอบเป็นผู้หญิงที่ไม่ค่อยร้องไห้ให้เห็นบ่อยนัก นางจึงถามเหตุผล
“ทำไมล่ะจ๊ะ”
“ไม่รู้ฮะ”
เจคอบส่ายหน้าพลางยักไหล่ แจนยูเอรีรู้ได้ในทันทีว่าในบ้านจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเป็นแน่ นางจึงเปิดประตูออกไป
“เกิดอะไรขึ้นหรือ พ่อบ้าน”
นางเรียกหาพ่อบ้านด้วยสีหน้าที่ติดจะเย็นชาเล็กน้อย พ่อบ้านมองนางด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกเช่นเคย ไม่รู้ทำไม แต่นางไม่ชอบใจสีหน้านั้นเท่าใดนัก แจนยูเอรีจึงเอ่ยถามอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ดุดันขึ้นเล็กน้อย
“ได้ยินว่าอิลเลนาร้องไห้ต่อหน้าลูกข้า ระวังหน่อยสิ เขายังเด็ก…”
“โปรดเข้าใจด้วยเถิด มาดาม”
น้ำเสียงของพ่อบ้านฟังดูห้วนอย่างประหลาด ปฏิกิริยานั้นทำให้แจนยูเอรีถึงกับสะดุ้งเฮือกโดยไม่รู้ตัว นางรับรู้โดยสัญชาติญาณว่าสถานการณ์ไม่ปกติจึงถาม
“…มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นใช่หรือไม่”
“…”
พ่อบ้านไม่พูดอะไร เมื่อสังเกตดูดีๆ ก็พบว่าส่วนของตาขาวที่เคยกระจ่างใสของเขาดูแดงขึ้น แจนยูเอรีรอคำตอบจากพ่อบ้านอย่างใจเย็น ไม่นานพ่อบ้านก็ขยับปากที่แห้งผากเพื่อเอ่ย
“คุณชาย…”
ในบ้านหลังนี้คนที่ถูกเรียกว่า ‘คุณชาย’ มีเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือเฮนรี ทายาทโดยชอบธรรมที่เกิดจากดัชเชสเอเฟรนี สัญชาตญาณของนางนางคาดเดาถึงเรื่องหนึ่งได้จึงเร่งเร้าพ่อบ้านให้พูดต่อ
“คุณชาย…? ทำไม? เกิดอะไรขึ้น”
“…เธอเสียแล้วขอรับ”
สิ้นคำของพ่อบ้าน วินาทีนั้นแจนยูเอรีทำได้เพียงกลั้นเสียงหัวเราะที่เกือบจะหลุดออกไปเอาไว้
[1] ชาคีมุน (อังกฤษ: Keemun จีน: Qímén-hóngchá (祁门红茶)) เป็นชาแดงชนิดหนึ่งของจีน มีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นกล้วยไม้และกลิ่นผลไม้ และมีความฝาดเพียงเล็กน้อย
หลังจากส่งเปโตรนิยากลับเข้างาน แพทริเซียก็ยังคงนั่งใช้ความคิดอยู่ที่ม้านั่ง นางไม่รู้เลยว่าการที่มีผู้ช่วยที่คาดไม่ถึงปรากฏตัวขึ้นเช่นนี้จะส่งผลอย่างไรต่อการต่อสู้ในอนาคต ขณะที่แพทริเซียใคร่ครวญถึงเรื่องที่ต้องทำ นางก็ได้ยินเสียงคุ้นหูดังมาจากด้านบน
“ดอกไม้สวยนะ”
“อะ…?”
แพทริเซียเงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ เป็นเขานี่เอง หญิงสาวคิดในใจโดยไม่กล่าวอันใด
โชคดีจริงๆ ที่ไม่เกิดอะไรขึ้น
“ที่เจ้าพูดเมื่อครู่คือเรื่องอันใด”
“พระองค์หมายถึงเรื่องใดหรือเพคะ”
“ที่ว่าอย่าตกใจ ให้ทำเหมือนไม่เป็นอะไร…”
“…”
“เจ้าพูดเช่นนั้นมิใช่หรือ”
“เพคะ ฝ่าบาท” แพทริเซียยิ้มเก้อและเลือกที่จะโกหกออกไป “ฝ่าบาทไม่ตกพระทัยเลยนะเพคะ หม่อมฉันนึกว่าพระองค์จะตกพระทัยเพราะดอกไม้สวยมากเสียอีก”
ได้ยินดังนั้นลูซิโอก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้หญิงสาวและกระซิบเสียงทุ้มต่ำ
“โกหก”
“…”
“เจ้านี่โกหกไม่เก่งเลยนะ”
“…หมายถึงเรื่องอันใดหรือเพคะ”
“บอกเราไม่ได้หรือ”
เขาถามอย่างตรงไปตรงมา แพทริเซียหลับตาลงและกล่าวพลางถอนหายใจ
“เป็นเช่นนั้นเพคะ ฝ่าบาท”
“แปลกนัก”
“…อะไรหรือเพคะ”
“เรายังไม่น่าเชื่อถือเท่าไรสินะ เราเข้าใจ”
“…”
“หากเราล้ำเส้นไปต้องขอโทษด้วย”
“…หามิได้เพคะ”
แพทริเซียปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติก่อนจะตอบ ลูซิโอดูคล้ายมีอะไรอยากจะบอกนางแต่เขากลับพูดเรื่องอื่นขึ้นมาแทน
“เจ้าดูไม่ค่อยสบาย กลับไปพักดีกว่านะ”
“เพคะ ฝ่าบาท”
“…”
เขาพูดทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก่อนจะเดินจากไป เหมือนเขามีอะไรจะพูด… แพทริเซียพึมพำเบาๆ ก่อนจะส่ายหน้า อย่าไปสนใจเลย
แพทริเซียกลับตำหนักจักรพรรดินีทันทีตามที่ลูซิโอบอก นางปิดปากคนรอบตัวไม่ให้พูดถึงเรื่องวันนี้ เพราะถ้าจะเปิดโปงความชั่วร้ายของโรสมอนด์ก็ต้องพูดถึงเรื่องของลูซิโอกับอลิซาด้วย นางไม่อยากให้เรื่องนั้นแพร่งพรายออกไป ถึงอย่างไรมันก็เป็นความลับของผู้อื่น การเปิดเผยเรื่องอัปยศของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นเรื่องที่ไม่สมควร แพทริเซียคิดเช่นนั้น และนางก็หวังว่าคนรอบตัวนางจะคิดเช่นเดียวกัน
‘ป่านนี้คงใช้น้ำหอมหมดแล้วกระมัง’
น้ำหอมนั้นมีกลิ่นหอมยิ่ง ต่อให้เป็นโรสมอนด์ก็คงปฏิเสธไม่ลง แพทริเซียยิ้มพลางหลับตาลง คนขายยาบอกว่ามันจะเห็นผลในทันที
“…บาท ฝ่าบาท”
เวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้วนะ แพทริเซียตื่นเพราะเสียงเรียก นางเห็นมีร์ยาเลือนลางในความมืด แพทริเซียสะลึมสะลือกล่าวด้วยน้ำเสียงแกมรำคาญ
“…ก่อนนอนข้าไม่ได้บอกหรือว่าอย่าปลุก”
“ขอประทานอภัยเพคะ ฝ่าบาท”
สีหน้าของมีร์ยาดูร้อนรน แพทริเซียพอจะเดาได้ว่าน่าจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นจึงค่อยๆ ยันร่างกายที่หนักอึ้งให้ลุกขึ้นจากที่นอนและเอ่ยถาม
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“หัวหน้านางกำนัลตำหนักกลางมีเรื่องด่วน…”
“…ตำหนักกลาง?”
ทันใดนั้นแพทริเซียก็สังหรณ์ใจไม่ดี
แพทริเซียสวมเสื้อคลุมทับชุดซับในก่อนจะรีบร้อนเดินออกไป ระหว่างทางนางถามนางกำนัลตำหนักกลางด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“พระอาการกำเริบมานานแค่ไหนแล้ว”
“กำเริบได้ประมาณสิบนาทีหม่อมฉันก็ออกมาหาพระองค์เพคะ”
“…โรส ไม่สิ มาร์เชอเนสล่ะ”
นางเอ่ยชื่อที่ไม่อยากเอ่ยถึงออกมา แต่หัวหน้านางกำนัลก็ส่ายหน้า
“มาร์เชอเนสแจ้งว่าเหนื่อย ไม่ต้องการให้ปลุกเพคะ…”
“…”
แพทริเซียเดินต่อไปเงียบๆ ในที่สุดนางก็เริ่มวิ่ง อาจเพราะนางเคยเห็นเขาทำร้ายตัวเองมาก่อน ในสมองจึงเอาแต่คิดถึงสถานการณ์ที่เลวร้าย ไม่นะ อย่าทำเช่นนั้น แพทริเซียเอาแต่พึมพำโดยที่นางเองก็ไม่รู้ว่าตนกำลังพูดกับใคร
“ฝ่าบาท พระองค์จะไม่เป็นไรใช่ไหมเพคะ”
เมื่อมาถึงห้องนอนของลูซิโอหัวหน้านางกำลังตำหนักกลางก็เอ่ยถาม แพทริเซียได้ยินดังนั้นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“เจ้าเป็นคนตามเรามานะ”
“…ด้วยเหตุนั้นหม่อมฉันจึงทูลถามเพคะ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย “หม่อมฉันทูลขอความช่วยเหลือจากพระองค์โดยมิได้มีแผนสำรอง ฝ่าบาท… หากเรื่องนี้เกินกำลังของพระองค์ หม่อมฉันก็ไม่ขอบีบบังคับเพคะ”
“…”
“น่าจะ…สิบปีแล้วเพคะ อาการประชวรนี้ดำเนินมาอย่างยาวนาน หม่อมฉันไม่คิดว่ามันจะหยุด…”
“เจ้า” แพทริเซียพูดด้วยน้ำเสียงมีโทสะเล็กน้อย “มีใจภักดีต่อผู้ที่เจ้ารับใช้ไม่มากพอ หรือเจ้าแค่เป็นห่วงเราซึ่งเป็นภรรยาของท่านผู้นั้นกันแน่”
“…ฝ่าบาท”
“หากเป็นอย่างหลังก็ดี แต่นั่นหาใช่สิ่งที่เจ้าต้องกังวล หากเจ้านึกถึงองค์จักรพรรดิจริงๆ เจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงเราหรอก เรามิใช่คนใจแคบถึงขนาดที่จะไม่เข้าใจเรื่องนั้น”
“…ขอประทานอภัยเพคะ”
แพทริเซียอยากพูดว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาขอโทษแต่นางกลับพูดเรื่องอื่นขึ้นมาแทน
“เจ้าดูแลฝ่าบาทมานานแค่ไหนแล้ว”
“…หลังจากที่ฝ่าบาทได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาท หม่อมฉันก็ถวายการรับใช้มาโดยตลอดเพคะ”
“นานทีเดียว” แพทริเซียพึมพำอย่างขมขื่น “เจ้าคงเห็นใจฝ่าบาทสินะ และคงจะขยาดเรื่องนี้เต็มที”
แน่ล่ะ นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อสุขภาพจิตของผู้พบเห็น แพทริเซียกล่าวเช่นนั้นก่อนจะเปิดประตูเข้าไปอย่างไม่ลังเล
“อ๊ากกกกกกก!”
“…”
ครั้นได้เห็นภาพที่เขายังคงกรีดร้องคลุ้มคลั่ง และทำร้ายตัวเอง ทันใดนั้นแพทริเซียก็นึกสงสัยว่า ผู้ชายคนนี้ต้องเบื่อหน่ายกับเรื่องนี้มากเพียงใดกัน แพทริเซียก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
“ฝ่าบาท”
ยิ่งกว่าผู้ที่พบเห็นคือผู้ที่ประสบกับเรื่องนี้ด้วยตนเอง เขาต้องทุกข์ทรมานและเข็ดขยาดมากเพียงใด เขาจะสาปแช่งตัวเองมากเพียงใด จะเกลียดชังตัวเองมากเพียงใด หากเป็นข้า…
“ฝ่าบาท”
หากเป็นข้า…ก็คงจะเกลียด ขยะแขยง และอยากจะหลุดพ้นไปจากเรื่องนี้ แต่เขากลับตกอยู่ในสภาพนี้มานานจนมันกลายเป็นบ่วงที่ยากจะหลุดพ้นเสียแล้ว สุดท้ายแล้วสิ่งที่เหลืออยู่…
“หยุดเถิดเพคะ”
ก็มีเพียงความเสียใจที่น่าเวทนาและความละอายใจ
แพทริเซียก้าวขาที่สั่นเทาไปข้างหน้าอีกก้าว ระยะห่างระหว่างนางกับเขาหดสั้นลงโดยไม่รู้ตัว นางกัดริมฝีปากตัวเอง
“หยุดเถิดเพคะ”
“อ๊ากกกก! แฮ่ก…”
เขาจ้องมองแพทริเซียด้วยดวงตาแดงก่ำ น้ำตาของหญิงสาวไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
ทำไมท่านถึง…
“ทำไมพระองค์ถึงชอบทดสอบหม่อมฉันนักเล่าเพคะ”
“…แฮ่ก”
เขาดูสงบลง แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังคงร้องไห้ต่อไป
“ทำไมถึงชอบทำให้หม่อมฉัน…เมินเฉยต่อพระองค์ไม่ได้”
“…ฮึก”
“หากท่านยังเป็นเช่นนี้…ข้าก็ใจอ่อนน่ะสิ ข้าก็อยากกอดท่าน อยากปลอบท่านน่ะสิ”
“…”
“เพราะฉะนั้นโปรดอย่าทำเช่นนี้ต่อหน้าข้า อย่าทำให้ข้าหวั่นไหว ข้าไม่มั่นใจในตัวเองเลย”
ข้าไม่มีความมั่นใจที่จะรับมือกับท่าน ข้าไม่มีความมั่นใจที่จะรักท่าน และยิ่งไปกว่านั้นคือข้าไม่มีความมั่นใจที่จะกอดท่าน
แพทริเซียพึมพำพลางเข้าไปกอดอีกฝ่าย ร่างแกร่งที่เคยสั่นไหวเหมือนต้นหลิวค่อยๆ สงบลง นางรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของเขาด้วยหัวใจ และเอ่ยถามอย่างระทมทุกข์
“ท่านจะให้ข้าทำเช่นไร”
“แฮ่ก…”
“ข้าอยากจะเมินท่าน แต่ภาพของท่านก็ปรากฏขึ้นมาเสมอ ข้าไม่อยากสนใจท่าน แต่หากท่านยังเป็นเช่นนี้…”
“…อึก”
“ข้าก็ทำแบบนั้นไม่ได้น่ะสิ”
นางทรุดตัวลงนั่งโดยที่ยังกอดลูซิโอไว้และเริ่มสะอึกสะอื้น
“ทั้งๆ ที่ข้าชิงชังท่าน เหยียดหยามท่าน…”
“…”
“แล้วเหตุใดข้าถึงยังมาที่นี่อีก”
แพทริเซียกลั้นน้ำตาพลางจุมพิตที่หน้าผากของอีกฝ่าย
“ทำไมท่านถึงชอบคาดหวัง…ให้ข้าทำอะไรเกินตัวอยู่เรื่อย”
แพทริเซียคิดว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดนางก็ไม่สนแล้ว ก่อนจะซุกหน้าลงกับอกของเขา
“…”
ลูซิโออยู่ในอ้อมกอดของแพทริเซียและยังคงมีอาการชักต่อไปอีกครู่หนึ่งก่อนจะสงบลงได้ในที่สุด จากนั้นเขาก็ผล็อยหลับไป ด้วยความช่วยเหลือจากข้ารับใช้ ร่างของลูซิโอจึงถูกย้ายไปนอนบนเตียง ในขณะเดียวกันแพทริเซียก็ยังคงนั่งขบคิดอยู่ข้างเตียงไม่จากไปไหน
นางกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เช่น ทำไมนางถึงฟังคำขอร้องของหัวหน้านางกำนัลและมาถึงที่นี่? ทำไมนางถึงเมินเฉยต่อเขาไม่ได้?
ทำไมนางต้องเป็นห่วงเขา ทำไมนางถึงร้องไห้เพื่อเขาทั้งๆ ที่ปากก็บอกว่าเกลียด
ทำไมนางถึงขอร้องเขาว่าอย่ามาทำให้นางหวั่นไหว ทำไมนางถึง…
“บ้าจริง”
แพทริเซียสบถออกมา นางไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย
“ยังจะปิดบังอะไรอีก แพทริเซีย คำตอบก็ออกมาแล้ว”
นางพึมพำด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทันใดนั้นแพทริเซียก็มีสีหน้าราวกับจะร้องไห้ มันเป็นสีหน้าของคนที่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ ทั้งที่ข้าอยากจะทำอีกอย่างแต่ใจข้ากลับเป็นอีกอย่าง ความเป็นจริงช่างเหมือนกับขนมดั๊กกวซที่ถูกเคี้ยวแล้วคายออกมา
“ไม่รู้แล้ว จากนี้ข้าไม่รู้ด้วยแล้ว”
แม้นางจะรู้คำตอบอยู่แล้วแต่นางก็ทำเป็นไม่รู้ นางเกาศีรษะด้วยสีหน้ารำคาญ ก่อนจะฟุบลงข้างเตียงและหลับไปโดยลืมแม้กระทั่งว่าต้องกลับตำหนักของตน
***
หลังจากวันที่มีอาการชัก เขามักจะทำลายสุขภาพจิตของตัวเองไปด้วย เพราะความรู้สึกเกลียดตัวเองที่ก่อขึ้นในใจประกอบกับความรู้สึกผิดเมื่อสายไปที่ถาโถมเข้ามาในยามที่รู้สึกตัว ลูซิโอคิดว่าวันนี้ก็คงไม่ต่างจากวันก่อนๆ มากนัก
“…แพทริเซีย?”
เพราะฉะนั้นเขาจึงอดตกใจไม่ได้ขณะที่เอ่ยเรียกหญิงสาวที่นอนฟุบอยู่ข้างเตียงด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง นางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร…? เขารีบเรียกหาหัวหน้านางกำนัล เมื่อหัวหน้านางกำนัลเข้ามานางก็อธิบายทุกอย่างก่อนที่เขาเอ่ยจะถาม
“พระจักรพรรดินี…ประทับอยู่ข้างๆ ฝ่าบาทตั้งแต่เมื่อคืนเพคะ”
“…”
ลูซิโออยากเอาศีรษะจุ่มน้ำในถาดแล้วกลั้นใจตายไปเสีย เขาตำหนิหัวหน้านางกำนัลด้วยสีหน้าปวดร้าว
“เรียกนางมาทำไม เราก็เป็นเช่นนี้ตลอดอยู่แล้ว”
“…ฝ่าบาท”
“เจ้าไม่ควรเรียกนางมาเลย เจ้ามีเหตุผลอะไรถึงเรียกนางมาดูสภาพอันน่าขยะแขยงนั่น”
“เมื่อวานพระจักรพรรรดินีได้ตรัสไว้เพคะ” หัวหน้านางกำนัลตอบด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ว่าหม่อมฉันควรคิดถึงแต่ผู้ที่หม่อมฉันรับใช้เท่านั้น”
“…”
“หากเรื่องนี้ทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัย หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะ ฝ่าบาท แต่หากย้อนเวลากลับไปได้…หม่อมฉันก็จะกระทำเช่นเดิมเพื่อฝ่าบาทเพคะ”
“…อย่าทำเช่นนี้อีก”
“…เพคะ ขอประทานอภัยเพคะ”
“ออกไปเถอะ”
น้ำเสียงทุกข์ระทมของลูซิโอทำให้หัวหน้านางกำนัลรู้สึกเสียใจ แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังคงปลอบใจตัวเองอย่างถึงที่สุดว่านางไม่ได้ทำอะไรผิด เมื่อวานนางได้รับพลังจากคำพูดของจักรพรรดินีแพทริเซีย และนางคิดว่าบางทีครั้งต่อไปนางก็คงจะขัดคำสั่งของจักรพรรดิอีก
“ถึงอย่างนั้นทำไมเจ้าถึง…”
ลูซิโอพึมพำอย่างปวดร้าว ดวงตาว่างเปล่าของเขาจดจ้องไปที่แพทริเซีย
“ทั้งที่เจ้าไม่ค่อยสบาย”
“…”
เขามองแพทริเซียอย่างเศร้าใจก่อนจะลูบผมของนางอย่างแผ่วเบา เห็นได้ชัดว่าเขาระวังอย่างมากด้วยกลัวว่านางจะตื่น ลูซิโอเอ่ยขอโทษด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“ข้าขอโทษ”
“…”
“ข้ามีแต่จะสร้างบาดแผลให้เจ้าสินะ”
“…”
แพทริเซียตื่นตั้งแต่ตอนที่หัวหน้านางกำนัลเข้ามาแล้ว แต่นางกลับหลับตาลงอีกครั้งด้วยกริ่งเกรงบรรยากาศอันแปลกประหลาดรอบตัว ครั้นได้ฟังสิ่งที่ลูซิโอกล่าวนางก็รู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก
‘น่าหงุดหงิดเสียจริง…’
นางไม่ชอบที่เขากล่าวเช่นนั้น และนางก็ไม่พอใจที่เขาขอโทษนางด้วยสายตาแบบนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขาดูขัดหูขัดตาไปเสียหมด
‘ข้าจะลืมตาขึ้นอย่างไรดี…’
เรื่องนั้นนับเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้ หากไม่นับเรื่องความรู้สึกของนาง นี่เป็นสถานการณ์ที่นางไม่แน่ใจว่านางควรลืมตาขึ้นหรือหลับตาต่อไป ระหว่างที่หญิงสาวคิดหาวิธีรับมืออย่างลำบากใจ จู่ๆ เขาก็ช้อนร่างของนางขึ้นอย่างแผ่วเบา วินาทีนั้นแพทริเซียแทบจะกรีดร้องออกมา แต่โชคดีที่นางกลั้นเสียงไว้ได้
“ไม่รู้ว่าเมื่อตื่นขึ้นมาเจ้าจะโกรธข้าอีกหรือไม่…”
“…”
“แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็อยากให้เจ้าได้นอนอย่างสบาย”
“…”
แพทริเซียแอบกัดริมฝีปากเงียบๆ ในตอนที่เขาไม่ได้มองมา
“ข้าจะออกไปเอง เจ้านอนต่ออีกหน่อยให้สบายเถอะ”
“…”
ปัง
เสียงปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆ ห่างออกไป ในตอนนั้นแพทริเซียจึงลืมตาขึ้นและลูบที่นอนตำแหน่งที่เขาเคยนอนโดยไม่เอ่ยคำพูดใด มันอบอุ่นอย่างน่าเศร้า
ส่วนที่ 4 The truth is bound to come to light anyway.
(ถึงอย่างไรความจริงย่อมต้องปรากฏ)
หญิงสาวที่เลือกคู่ผิด ท้ายที่สุดก็ได้รับการลงทัณฑ์ที่โหดร้าย
นั่นคือเรื่องราวของเปโตรนิยา ลอว์รา เลอ โกรเชสเตอร์
ตอนเห็นผู้ชายคนนั้นครั้งแรกเปโตรนิยาก็หลงใหลไปกับความรู้สึกที่สร้างขึ้นเอง หัวใจรู้สึกวูบวาบราวกับมีผีเสื้อบินอยู่ภายใน ชายหนุ่มรูปงามและเพียบพร้อมทำให้สองตาของนางมืดบอด หัวใจของนางหยุดเต้น เปโตรนิยาที่ยังเป็นเพียงหญิงสาวที่อ่อนต่อโลกจึงไม่นึกสงสัยและเชื่อว่าชายคนนั้นคือเนื้อคู่ของตน
‘หากข้าได้เป็นเจ้าสาวของชายคนนั้น…’
เพราะข่าวลือเรื่องคนรักของจักรพรรดิที่ลือกันอย่างหนาหูทำให้ไม่มีควิเนสคนใดปรารถนาที่จะเป็นเจ้าสาวของจักรพรรดิ ด้วยเหตุนี้จึงมีเพียงเปโตรนิยาที่ต้องการตำแหน่งนั้น
เดิมทีเลดี้วาเซียร์ได้รับคัดเลือกให้เป็นจักรพรรดินี แต่ที่สุดแล้วบิดาของนางก็วิ่งเต้นเพื่อให้นางถูกคัดออก จากนั้นเปโตรนิยาก็ได้ขึ้นเป็นจักรพรรดินีอย่างราบรื่น
เปโตรนิยาดีใจจนเนื้อเต้นที่ทุกอย่างเป็นไปตามพรหมลิขิต ทว่า ความสุขนั้นก็พังทลายลงหลังจากแต่งงานกันได้ไม่ถึงครึ่งวัน สามีของนางปฏิบัติกับนางอย่างเย็นชาและบอกนางว่าอย่าคาดหวังความรักจากเขา สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะไปกกกอดอนุภรรยาตั้งแต่คืนแรกของการแต่งงาน
แต่ก็ไม่เป็นไร นางรักเขา และยิ่งไปกว่านั้นนางเป็นอัครมเหสี เขาไม่มีทางทอดทิ้งภรรยาหลวงได้ เปโตรนิยาคิดอย่างชะล่าใจ
นางไม่ได้รับความรัก และตระกูลของนางก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่คับฟ้าเหมือนกับตระกูลของอดีตจักรพรรดินีอลิซา ที่ยืนของนางค่อยๆ แคบลง ในขณะเดียวกันหญิงคนรักของจักรพรรดิก็คอยแต่จะหาทางสั่นคลอนตำแหน่งของนาง ความเย็นชาและเมินเฉยของสามีตลอดจนชีวิตในรั้วในวังที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงทำให้นางเริ่มเหนื่อยล้าขึ้นทุกที
อุปนิสัยที่เคยสงบเสงี่ยมค่อยๆ เปลี่ยนไปในทางที่ไม่ดีทีละน้อย แม้ว่านางจะรู้ตัวแต่ก็ยากจะหันหลังกลับ นางสาปแช่งตัวเองที่กลายเป็นนางมารร้าย แต่ในขณะเดียวกันนางก็ไม่อาจหยุดตัวเองได้ แม้นางจะสาปแช่งตัวเองอยู่เสมอแต่นางก็ยังคงกระทำสิ่งที่เลวร้ายต่อไป
และนั่นยิ่งทำให้จักรพรรดิไม่ชายตามองนาง คนที่เคยอยู่เคียงข้างนางก็ทยอยจากไปหรือไม่ก็ปกป้องนางจนตัวตาย ซึ่งนั่นก็รวมถึงมีร์ยาและราฟาเอลาด้วย
ในที่สุดนางก็ได้รู้ความลับทั้งหมดของเขาและนั่นทำให้นางรู้ว่าเขาและนางมิใช่พรหมลิขิตของกันและกัน เขามีบาดแผลที่ลึกล้ำเกินกว่าที่นางจะยอมรับและมอบความรักให้ได้ นางไม่สามารถโอบอุ้มบาดแผลของเขาไว้ได้
ยิ่งได้รู้จากสามีว่าอนุภรรยาคนนั้นยอมรับและมอบความรักให้เขาได้ นางก็ยิ่งตระหนักได้อีกครั้งว่าผู้หญิงคนนั้นต่างหากที่เป็นคู่แท้ของเขา ส่วนความรักในวัยแรกแย้มของนางเป็นเพียงความรู้สึกอันถือดีของสาวน้อยเท่านั้น นางคิดผิดและหลงผิด แต่ต่อให้เสียใจแค่ไหน ตอนนี้นางก็เป็นผู้หญิงของจักรพรรดิไปเสียแล้ว
อนุภรรยาคนนั้นเป็นคนฉลาด เป็นนางมารร้ายที่เหนือกว่านางขุมหนึ่ง ในที่สุดนางก็ถูกผู้หญิงคนนั้นป้ายสีจนถูกปลดจากตำแหน่งจักรพรรดินี แม้กระทั่งตระกูลของนางก็ล่มสลายไปด้วย บิดามารดาและน้องสาวฝาแฝดที่นางรักต้องมารับโทษไปกับนาง นางแหลกสลายไปพร้อมกับหยาดน้ำค้าง[1]บนกิโยตีน หลังจากที่นางตายแล้ว ครอบครัวของนางก็คงต้องพบจุดจบเช่นเดียวกัน
ในวินาทีสุดท้ายของชีวิต นางคิดว่าชีวิตของตนช่างเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความแค้น หากได้เกิดใหม่อีกครั้ง หากทำเช่นนั้นได้ ไม่สิ หากได้ย้อนเวลากลับไปก่อนที่จะเจอเขา นางจะไม่ผูกสัมพันธ์กับเขาอีก นางจะไม่ชายตามองเขา จะใช้ชีวิตอย่างคนไม่รู้จักกัน และเป็นคนแปลกหน้าต่อกันอย่างสิ้นเชิง
นางหลับตาลงอย่างรวดร้าวพร้อมกับตั้งปณิธานในใจ
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งนางก็ย้อนเวลากลับมาแล้ว หลังจากขอบคุณพรจากพระเจ้าได้เพียงไม่นานนางก็ต้องพบกับความสิ้นหวังอีกครั้งเพราะคราวนี้น้องสาวของนางกลายเป็นจักรพรรดินี
เปโตรนิยารู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าแพทริเซียก็ย้อนเวลากลับมาเช่นกัน และที่อีกฝ่ายทำเช่นนั้นก็เพื่อช่วยพี่สาวที่ไม่ได้เรื่องคนนี้ น้ำตาของนางหลั่งริน นางรู้สึกผิดต่อแพทริเซียอย่างมาก
จากคนที่เคยร่าเริงสดใสกลับกลายเป็นคนหม่นหมอง นางตั้งปณิธานเอาไว้แล้ว ในเมื่อเรื่องกลายเป็นแบบนี้ สิ่งที่นางต้องทำมีเพียงการเปลี่ยนอดีต ไม่สิ เปลี่ยนอนาคตที่ยังมาไม่ถึงเท่านั้น เปโตรนิยาตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่ให้โศกนาฏกรรมซ้ำรอยอีกในชาตินี้
นางตั้งมั่นว่าจะต้องช่วยน้องสาวให้ได้ โชคดีที่แพทริเซียเป็นคนฉลาด ไม่ได้โง่เขลาเหมือนนาง และไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากนางขนาดนั้น บางครั้งแม้นางจะเห็นอยู่กับตาว่าแพทริเซียไม่มีความสุข แต่นางก็ทำได้แค่ปวดใจเท่านั้น
หากจะมีจุดที่พอจะปลอบประโลมนางได้ก็คงเป็นการที่น้องสาวของนางเป็นผู้ใหญ่มากกว่านางและจัดการทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างสุขุม เห็นดังนั้นนางจึงตระหนักได้อีกครั้งว่านิสัยของนางไม่เหมาะที่จะเป็นจักรพรรดินี
นางเคยเจ็บปวดเพราะรูปลักษณ์ภายนอกของความรักที่คิดไปเองว่าเป็นพรหมลิขิตมาแล้วครั้งหนึ่ง นางจึงคิดว่าตนคงรักใครไม่ได้อีกแล้ว คงไม่มีผู้ชายคนไหนมาหลงรักนาง และนางก็เชื่อว่าตัวเองเข็ดขยาดกับความรัก แต่พระเจ้าก็เล่นตลกทำให้นางต้องหวั่นไหวอีกครั้ง
“ข้าตกหลุมรักท่านตั้งแต่แรกพบ เลดี้ ข้ารักเลดี้ครับ”
ชายคนหนึ่งสารภาพรักกับนาง หากเป็นเมื่อก่อนนางคงจะดีใจและตอบรับความรักนั้น แต่นางกลัว กลัวว่าชายคนนี้จะเป็นเหมือนกับนางที่เข้าใจผิดว่าความรักแบบเด็กๆ เป็นความรักที่แท้จริง และหากเป็นเช่นนั้นนางอาจจะต้องเจ็บปวดอีกครั้งและอาจทำให้เขาเจ็บปวดไปด้วย
“ข้าคงรับความรู้สึกนั้นไว้ไม่ได้ค่ะ”
ด้วยเหตุนั้นนางจึงปฏิเสธ หลีกหนี และหลบเลี่ยง จนกระทั่งหญิงชราช่วยเตือนสตินาง
“อย่าหนีอีกเลย”
จงอยู่กับปัจจุบัน Carpe diem (คาเพเดียม) หลังจากได้ฟังคำนั้น เปโตรนิยาก็ตั้งใจจะแสดงความกล้าออกมาอีกครั้ง ต่อให้ชาตินี้นางจะต้องผิดหวังกับความรักอีกครั้งก็ตาม แต่ใครจะรู้ ครั้งหน้าพระเจ้าอาจจะส่งนางย้อนเวลากลับมาอีกก็เป็นได้ เปโตรนิยาตัดสินใจแล้ว นางจะต้องดึงความกล้าออกมา
ในระหว่างนั้นเองโอกาสที่นางจะได้ช่วยเหลือน้องสาวก็มาถึง โรสมอนด์ หญิงชั่วคนนั้นสับเปลี่ยนดอกไม้ที่แพทริเซียเตรียมไว้เป็นดอกซัลเวียที่จักรพรรดิเกลียด มิหนำซ้ำยังลงมือในวินาทีสุดท้ายก่อนจะถึงพิธีมอบดอกไม้! เปโตรนิยาตัดสินใจแล้วว่านี่เป็นโอกาสที่นางจะต้องก้าวออกมา
“ในที่สุดก็ได้พูดออกไป”
และผลของมันก็คือ
“ข้าเองก็ย้อนเวลากลับมาเหมือนเจ้า”
ความสำเร็จ
***
ไม่มีทางที่แพทริเซียจะไม่ตกใจ นีย่าก็ย้อนเวลากลับมาเหมือนข้า! แพทริเซียมองเปโตรนิยาด้วยความแววตาสับสน
“จริงหรือ” นางถาม
“อืม”
“เจ้าพูดจริงหรือ”
“ก็บอกว่าจริงอย่างไรเล่า”
แม้จะถามซ้ำ แต่เปโตรนิยาก็ยังคงยืนยันคำเดิม
“พระเจ้าช่วย ทำไมเรื่องแบบนี้…” แพทริเซียอุทาน
“เป็นความลับของเราสองคนนะ ริซซี่”
“แน่นอนอยู่แล้ว…ข้ายังไม่เคยบอกใครเลย”
แพทริเซียทรุดตัวลงนั่งด้วยสีหน้าเหม่อลอย เปโตรนิยามองน้องสาวด้วยความสงสารพลางอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
“ข้าย้อนเวลากลับมาหลังจากที่เจ้าได้เป็นจักรพรรดินีแล้ว เพราะฉะนั้นข้าจึงรู้สึกผิดต่อเจ้ามาก”
“ต่อให้เจ้าย้อนเวลากลับมาก่อนหน้านั้นข้าก็จะทำเหมือนเดิม ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอกนะ นีย่า”
“…ขอบใจนะ” เปโตรนิยาฝืนกล่าวเสียงสะอื้น “เปลี่ยนที่กันไหม คนอยู่กันเยอะเลย”
ทั้งสองคนย้ายไปสนทนากันที่ระเบียง แพทริเซียอุทานอย่างตกใจเป็นระยะระหว่างที่ฟังพี่สาวเล่า แต่ที่นางตกใจที่สุดย่อมเป็นตอนที่ได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้
“พระเจ้าช่วย” นางอุทานออกมาอีกครั้ง “นีย่า ขอบใจเจ้าจริงๆ หากไม่มีเจ้าป่านนี้คงเกิดเรื่องไปแล้ว”
เพราะคนผู้นั้นเกลียดดอกไม้นั้นมากจริงๆ เปโตรนิยาได้ยินดังนั้นก็พยักหน้ารับด้วยสีหน้าแข็งทื่อ
“โชคดีที่ไม่สายเกินไป”
“เป็นฝีมือโรสมอนด์ใช่หรือไม่”
“ใช่”
เปโตรนิยาพยักหน้า เห็นดังนั้น สีหน้าของแพทริเซียก็พลันโกรธเกรี้ยว
“ให้ตายสิ…”
“อย่าโมโหไปเลย ริซซี่ เรื่องก็จบด้วยดีแล้วมิใช่หรือ”
“…นั่นสินะ นิล เจ้าพูดถูก” แพทริเซียตอบเสียงสั่นก่อนจะถามต่อ “ขอกอดสักครั้งได้ไหม”
“ทำเหมือนคนเพิ่งพบหน้ากันไปได้”
แม้จะพูดเหมือนรู้สึกแปลกๆ แต่เปโตรนิยาก็ขยับตัวเข้าไปในอ้อมกอดของแพทริเซีย และแล้วน้ำตาของนางก็ไหลออกมาขณะที่พูดกับอีกฝ่าย
“ที่ผ่านมาเจ้าคงลำบากมากสินะ ริซซี่”
“นิล…”
“จากนี้ข้าจะอยู่กับเจ้าเอง”
“…ขอบใจนะ” แพทริเซียเค้นเสียงพูด “โชคดีเหลือเกินที่มีเจ้าอยู่ด้วย”
***
-เพี๊ยะ
โรสมอนด์ตบหน้าคลารา สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความโกรธ นางโกรธอย่างเงียบๆ
“ไยจึงเป็นเช่นนี้เล่า คลารา นี่เจ้าพลาดมากี่ครั้งแล้ว”
“…ขอประทานโทษค่ะ มาร์เชอเนส”
อันที่จริงนี่หาใช่ความผิดของคลารา นางทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพียงแต่เปโตรนิยาดันแทรกเข้ามากลางคันเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นคลาราก็คล้ายคนไม่มีอะไรจะแก้ตัว นางต้องทำให้โรสมอนด์หายโกรธเสียก่อน
“ถ้าเลดี้โกรเชสเตอร์ไม่เข้ามาขวาง”
“…เฮ้อ ใช่ เจ้าพูดถูก” โรสมอนด์ตอบรับอย่างพูดไม่ออก “แล้วนางนั่นมันรู้ได้อย่างไรกันแน่”
“เรื่องนั้นข้าเองก็สงสัยค่ะ มาร์เชอเนส”
คลาราสั่งให้คนงานเปลี่ยนกล่องดอกไม้ก่อนจะนำเข้าไปในงาน เปโตรนิยารู้เรื่องนั้นได้อย่างไรถึงได้เตรียมดอกไม้มาแก้สถานการณ์ได้ คลาราส่ายหน้า นี่เป็นเรื่องที่นางไม่อาจรู้ได้ ในตอนนั้นเองโรสมอนด์ก็พึมพำอย่างเหม่อลอย
“หรือว่า…”
“คะ?”
“ไม่มีอะไร ไม่แน่นางอาจจะรู้อะไรมา” โรสมอนด์สั่งคลาราเสียงแข็ง “หากเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่องจะยิ่งยุ่ง คลารา เจ้าเขียนจดหมายถึงแจนยูเอรีเดี๋ยวนี้ บอกให้นางระวังตัวให้มากขึ้น เปโตรนิยารู้เรื่องทุกอย่างแล้ว”
***
“เปโตรนิยา”
เปโตรนิยาหันไปตามเสียงเรียก
“รอธซี”
“หาตั้งนานแน่ะครับ”
“ขอโทษค่ะ” เปโตรนิยาเอ่ยขอโทษหน้าเจื่อน แต่นางก็มีเรื่องให้ใช้แก้ตัว “มีธุระด่วนน่ะค่ะ”
“ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นนะครับ เกี่ยวกับพระจักรพรรดินีหรือครับ”
เปโตรนิยาพยักหน้าเงียบๆ รอธซีกล่าวด้วยสีหน้าเข้าอกเข้าใจ
“ข้ามิได้จะตำหนิ เพียงแต่เป็นห่วงเท่านั้นครับ”
“ข้ารู้ค่ะ โร”
รอธซีได้ยินดังนั้นก็งุนงง เปโตรนิยาจึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“เรียกว่าโรได้ไหมคะ”
“ได้สิครับ นีย่า ข้าดีใจยิ่ง”
รอธซียิ้มกว้างเหมือนดอกไม้บาน แต่เพียงครู่เดียวหลังจากนั้นเขาก็เร่งเร้าเปโตรนิยา
“ข้าอยากเต้นรำกับเลดี้ครับ”
“เอ่อ…”
นั่นสิ จะว่าไปแล้วนางยังไม่เคยเต้นรำกับอีกฝ่ายเลยสักครั้ง
“จะว่าไปแล้วนี่เป็นครั้งแรกเลยนะคะ” หญิงสาวพึมพำ
“ครับ ครั้งแรก” รอธซีตอบรับอย่างอ่อนโยนก่อนจะกล่าวเสริม “แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ ในอนาคตก็ยังมีเวลาอีกมาก”
หากข้าไม่ต้องย้อนเวลาอีกครั้ง ข้าคงได้ใช้เวลาร่วมกับชายผู้นี้อีกมาก เปโตรนิยาคิดเช่นนั้นพลางยิ้มเศร้า ไม่มีเรื่องให้ต้องย้อนเวลาอีกแล้ว นางพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ในขณะเดียวกันนางก็รู้สึกหดหู่กับความจริงที่ว่าช่วงเวลานี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตที่แล้วของนาง
“ใช่ค่ะ ยังมีเวลาอีกมาก” เปโตรนิยาตอบรับด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
ถึงอย่างไรข้าก็ขออยู่กับปัจจุบัน เปโตรนิยาคิดในใจ
[1] น้ำค้างในที่นี่มาจากสำนวน น้ำค้างในลานประหาร (형장의 이슬) น้ำค้างเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนเช้ามืดและมักจะสลายหายไปในตอนเช้าที่อุณหภูมิสูงขึ้น จึงใช้เปรียบเปรยกับชีวิตที่เปราะบางของมนุษย์ที่มีเกิดย่อมมีดับ และใช้เปรียบเปรยกับผู้ที่เสียชีวิตโดยการถูกประหารชีวิต
แพทริเซียคิดว่าแทนที่จะฟังจากปากของโรสมอนด์สู้ถามเจ้าตัวเสียเลยดีกว่า
“ถามมาเถอะ”
“ฝ่าบาทมีดอกไม้ที่ไม่ชอบไหมเพคะ”
“…”
ครั้นได้ฟังคำถาม สีหน้าของลูซิโอก็แข็งทื่อไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวคล้ายว่าคาดเดาได้
“มาร์เชอเนสสินะ ใช่หรือไม่”
“..เพคะ”
“ดอกไม้ที่ไม่ชอบหรือ มีสิ แทบจะเกลียดเลยล่ะ”
แพทริเซียพอจะเดาได้ว่าสาเหตุมาจากอะไรแต่นางก็เลือกที่จะเงียบไว้ก่อน
“ดอกซัลเวียน่ะ เป็นดอกไม้ที่อดีตจักรพรรดินีอลิซาชอบ” ลูซิโอตอบด้วยน้ำเสียงระทมทุกข์
“…”
“นางมักจะแอบทำร้ายเราในสวนที่ดอกซัลเวียบานสะพรั่ง กระทั่งตอนนี้เราก็ยังมีอาการเกร็งชักเมื่อเห็นดอกไม้นั้น”
เขาหันมามองแพทริเซียด้วยสีหน้าราวกับพูดเรื่องทั่วไป แต่วินาทีนั้นแพทริเซียกลับทำตัวไม่ถูกไม่รู้จะย้ายสายตาไปวางตรงที่ใด ลูซิโอเห็นดังนั้นก็เอ่ยถามด้วยสายตาเจ็บปวด
“ทำไมหรือ เราดูเหมือนปิศาจอย่างนั้นหรือ”
“หม่อมฉันไม่เคยคิดเช่นนั้นเพคะ” แพทริเซียอธิบายอย่างใจเย็น “อดีตจักรพรรดินีที่ทำร้ายพระองค์ต่างหากที่เป็นปิศาจ ผู้ถูกกระทำจะเป็นปิศาจไปได้อย่างไร”
“เห็นเจ้าไม่กล้าสบตาเรา”
“หม่อมฉันเพียงแต่…ไม่รู้ว่าต้องมีปฏิกิริยาเช่นไรกับสิ่งที่พระองค์ตรัสเท่านั้นเพคะ หาได้มีเหตุผลอื่น ฝ่าบาทโปรดอย่าเข้าพระทัยผิดไป”
“เรารู้ อย่างน้อยเจ้าก็มิได้เป็นคนเช่นนั้น”
ลูซิโอยิ้มอย่างอ่อนแรง แพทริเซียไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
“ว่าแต่ทำไมนางถึงพูดเรื่องนั้นขึ้นมา…” นางพึมพำด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูมีเรี่ยวแรงกว่าเมื่อครู่
ทันใดนั้นร่างกายของแพทริเซียก็สั่นราวกับถูกอะไรบางอย่างกระแทกอย่างแรง หรือว่า…หรือว่า? ไม่หรอกน่า ไม่มีทาง แพทริเซียสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ลูซิโอเห็นดังนั้นก็ถามอย่างร้อนใจ
“แพทริเซีย? เป็นอะไรไป ไม่สบายตรงไหน…”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันต้องไปเดี๋ยวนี้…!”
ตอนที่นางลุกพรวดขึ้นจากที่นั่งทำท่าจะวิ่งออกไป มีร์ยาก็โผล่มาขวางทาง แพทริเซียเอ่ยถามมีร์ยาหน้าตาตื่น
“มีเรื่องอะไรหรือ มีร์ยา”
“เฮ้อ โล่งอกไปที ประทับอยู่ที่นี่นี่เอง ฝ่าบาท” มีร์ยายิ้มอย่างโล่งใจ “ได้เวลามอบดอกไม้แล้วเพคะ”
“…ถึงเวลาแล้วหรือ”
แพทริเซียถามอย่างตื่นตระหนก มีร์ยาได้ยินดังนั้นก็ถามกลับด้วยความสงสัย
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าเพคะ”
“…”
แพทริเซียหันกลับไปมองลูซิโอด้วยสีหน้าเคร่งเครียด บ้าจริง นางหลุดคำสบถออกมา
***
รอธซีกำลังวุ่นอยู่กับการตามหาเปโตรนิยา อีกฝ่ายบอกว่าหายป่วยแล้วและสามารถมาร่วมงานเลี้ยงได้แต่เขาก็ยังไม่เห็นวี่แววของนางเลย หรือจะยังไม่หายดีนะ เขาบ่นพึมพำอย่างเป็นกังวล
รอธซีรู้สึกเป็นห่วงเพราะเปโตรนิยาดูไม่ค่อยแข็งแรง เมื่อกลับถึงบ้านเขาคงต้องหายาบำรุงให้เปโตรนิยาสักหน่อย เขาเองก็เปียกฝนเหมือนกัน ไม่สิ เขาช่วยกันฝนให้ด้วยซ้ำเพราะฉะนั้นคนที่เปียกฝนมากกว่าก็น่าจะเป็นเขา แต่เขากลับสบายดี ส่วนเปโตรนิยากลับล้มป่วยเสียนี
รอธซียังคงสอดส่องมองหาเปโตรนิยาด้วยสายตาเป็นกังวล ก่อนจะพบสตรีนางหนึ่งที่ดูคล้ายเปโตรนิยาโดยบังเอิญ รอธซียิ้มออกมา
“เปโตรนิ…”
แต่เสียงของรอธซีก็หยุดอยู่เพียงเท่านั้น หญิงสาวกำลังวิ่งไปยังสถานที่หนึ่งอย่างเร่งรีบ เขาลดมือที่ยกสูงเพื่อโบกให้อีกฝ่ายลงมาอย่างเงียบๆ และเกาท้ายทอยแก้เก้อ บางทีเขาอาจจะต้องถามเปโตรนิยาทีหลัง
***
แพทริเซียกลับเข้างานพร้อมกับลูซิโอและเป็นฝ่ายจับมือลูซิโอ ลูซิโอมองแพทริเซียอย่างตกใจที่จู่ๆ นางก็เป็นฝ่ายถึงเนื้อถึงตัวเขาก่อน แต่แพทริเซียกลับมองมาด้วยสีหน้าราวกับจะร้องไห้ ลูซิโอรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติจึงเอ่ยถาม
“มีอะไรหรือเปล่า จักรพรรดินี ดูเหมือนเจ้ามีอะไรในใจ”
ไม่เหมือนปกติ แพทริเซียได้ยินดังนั้นก็ออกแรงบีบมืออีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว
“…ฝ่าบาท” แพทริเซียเรียกเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “หม่อมฉันมีเรื่องอยากกราบทูลเพคะ”
“พูดมาเถอะ”
“หากอีกสักครู่เกิดอะไรขึ้น…ทรงอย่าตกพระทัยนะเพคะ”
“…อะไรนะ”
“สัญญากับหม่อมฉันได้หรือไม่ ช่วยทำเหมือนพระองค์ไม่เป็นอะไรได้หรือไม่”
“เจ้ากำลังพูดอะไร…”
ลูซิโอซักถามด้วยความสงสัย แต่แพทริเซียกลับดูร้อนใจอย่างมากและทำสีหน้าคล้ายว่าไม่ต้องการให้เขาถามอะไรอีกพร้อมทั้งพยักหน้า เกิดอะไรขึ้นกันแน่ นางถึงร้องขอให้สัญญาด้วยสีหน้าเช่นนั้น ลูซิโอมีสีหน้าตึงเครียด
“หม่อมฉันไม่ได้ทำ ไม่มีทาง…”
“เป็นอะไรไปหรือ จักรพรรดินี วันนี้เจ้าดูแปลกนัก”
“ทรงคิดเสียว่าเพื่อเกียรติยศและศักดิ์ศรีของเราสองคน หรือเพื่อเกียรติของราชวงศ์นะเพคะ”
แพทริเซียตัดบทด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ได้โปรด…”
“เข้าใจแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเจ้าอย่าได้กังวล”
ได้ยินดังนั้นแพทริเซียจึงวางใจได้บ้าง แต่สีหน้าของนางก็ยังดูไม่สบายใจนัก ท่าทีนั้นทำให้ทั้งลูซิโอและมีร์ยาต่างก็สงสัยมากขึ้น ลูซิโอกลับเข้าไปในงานอย่างกังวลใจ เมื่อเขานั่งลงบนเก้าอี้ที่ตำแหน่งสูงสุด ทุกคนก็ทำความเคารพ
“ถวายบังคมพระจักรพรรดิ ถวายบังคมพระจักรพรรดินี ขอให้มาวินอสจงมีแต่ความรุ่งเรือง”
“ขอบคุณทุกท่านอย่างมากที่มาในวันนี้”
เขากล่าวสั้นๆ ในขณะที่แพทริเซียก็ยังคงมีท่าทีไม่สบายใจ เขาจับมือนางเพื่อให้นางรู้สึกผ่อนคลาย แต่นางกลับวางมือของตนไว้บนมือของเขาพลางคิดด้วยสีหน้าหวาดระแวง
‘ถ้าเขาทนไหวก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นและจะไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น แพทริเซีย’
เพราะฉะนั้นสุขุมเข้าไว้ แพทริเซียทวนคำนั้นซ้ำไปซ้ำมาในหัวและฝืนยิ้ม
“ฝ่าบาท ต่อไปจะเป็นพิธีมอบดอกไม้จากพระจักรพรรดินี ให้นางกำนัลเข้ามา…”
“เดี๋ยวค่ะ!”
ในตอนนั้นเองใครบางคนก็เอ่ยขัดอย่างเร่งร้อนทำเอาสายตาทุกคู่ไปหยุดอยู่ที่คนผู้เดียว เมื่อแพทริเซียเห็นคนผู้นั้นก็พึมพำอย่างตกใจ
“เปโตรนิยา…!”
“ถวายบังคมพระจักรพรรดิ ถวายบังคมพระจักรพรรดินี ขอให้มาวินอสจงมีแต่ความรุ่งเรือง”
คนผู้นั้นคือเปโตรนิยา ลูซิโอเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เลดี้โกรเชสเตอร์? เจ้ามีธุระอันใดหรือ”
“ทูลฝ่าบาท พระจักรพรรดินีทรงมีรับสั่งไว้ว่า นับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งจักรพรรดินี นี่เป็นงานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพปีแรกของฝ่าบาทที่พระนางเป็นผู้จัดเตรียม จึงมีพระราชดำริว่าคงเป็นที่ประทับใจไม่น้อยหากหม่อมฉันเป็นผู้มอบดอกไม้เพคะ ฝ่าบาท ข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อยคนนี้ขอบังอาจทูลเกล้าฯ ถวายดอกไม้แด่พระองค์ได้หรือไม่”
“เราย่อมไม่ขัดข้อง ทุกท่านว่าอย่างไร”
“ฝ่าบาท นี่ขัดกับธรรมเนียม…!”
โรสมอนด์รีบร้อนทัดทานเสียงดังลั่น แต่แพทริเซียก็ขัดขึ้นเสียก่อน
“มาร์เชอเนสเอธิลเลอร์” แพทริเซียปรามด้วยน้ำเสียงที่ยังติดจะสั่นอยู่เล็กน้อย
“…”
“เราซึ่งเป็นจักรพรรดินีแห่งจักรวรรดิเป็นผู้อนุญาตด้วยตัวเอง มีอันใดเป็นปัญหาอย่างนั้นหรือ”
“…”
ท่าทางกัดริมฝีปากของอีกฝ่ายนั้น… ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางคิดจะเป็นความจริง สีหน้าของแพทริเซียเย็นชาขึ้นโดยไม่รู้ตัวแต่เพียงครู่เดียวก็กลับมาเป็นปกติ
“ดำเนินการต่อเถิด เลดี้เปโตรนิยา” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“ดอกไม้นี้ถูกจัดเตรียมขึ้น…” เปโตรนิยายิ้มอย่างเยือกเย็น “ด้วยความรักและเอาใจใส่ของพระจักรพรรดินีเพคะ ฝ่าบาท”
พร้อมกันนั้นเปโตรนิยาก็ดึงผ้าที่คลุมกล่องไว้ออก และภายในกล่องนั้น…
“นี่เป็นความตั้งใจของพระจักรพรรดินีเพคะ ฝ่าบาท หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพระองค์จะโปรด”
มันคือว่านสี่ทิศสีแดงและสีขาว เปโตรนิยากำลังยิ้มผิดกับแพทริเซียที่ยิ้มไม่ออก หญิงสาวพึมพำแผ่วเบา สีหน้าดูสะเทือนใจเล็กน้อย
“ทำไม…”
“ดอกไม้งามยิ่ง จักรพรรดินี การจัดดอกไม้สีแดงสลับกับสีขาวเช่นนี้เราประทับใจมาก เจ้าชอบว่านที่ทิศหรือ” ลูซิโอยิ้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นพลางกล่าว “ได้รับของขวัญที่วิเศษเช่นนี้ เราเองก็ควรจะให้ของขวัญเจ้าเช่นกัน จริงไหม”
“…หามิได้เพคะ”
“ห้ามปฏิเสธ”
เขายิ้มกว้าง ในขณะที่แพทริเซียพูดเสียค่อยอย่างเหม่อลอย
“ตอนนี้หม่อมฉัน…ยังไม่อยากได้อะไรเพคะ”
“น่าจะมีของที่อยากได้อยู่บ้างกระมัง”
“หากพระองค์อยากมอบของขวัญให้หม่อมฉันจริงๆ…” แพทริเซียพูดต่อไปโดยไม่รู้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่ “ในภายภาคหน้าพระองค์ช่วยฟังคำขอของหม่อมฉันสักข้อได้หรือไม่เพคะ”
“มิใช่เรื่องยาก เรารับปากเจ้า”
ลูซิโอว่าพลางยิ้มอย่างพอใจและชูแก้วค็อกเทลขึ้น
“แด่ความรุ่งโรจน์ของจักรวรรดิ”
หลังจบพิธีมอบดอกไม้แพทริเซียก็เดินโซเซลงจากเวที นางมองพี่สาวฝาแฝดด้วยสายตาตกตะลึง เปโตรนิยาเผชิญหน้ากับน้องสาวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เปโตรนิยา” แพทริเซียเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“…ว่าอย่างไร ริซซี่”
“นีย่า นี่เจ้า…”
แพทริเซียเอามือปิดปาก มีสีหน้าคล้ายจะร้องไห้ นางพึมพำราวกับไม่อยากจะเชื่อ
“นิล ข้า… นี่เจ้า… เป็นอย่างที่ข้าคิดไว้หรือไม่”
“…”
“เป็นเช่นนั้นหรือ”
“เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ ริซซี่”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” แพทริเซียเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงว่างเปล่า “ทำไม… ทำไมเจ้าถึง…”
“เพราะครั้งหนึ่งข้าเองก็…” เปโตรนิยายิ้มอย่างเยือกเย็น “เคยเป็นภรรยาของสามีเจ้า”
ตุบ
หัวใจของแพทริเซียหล่นวูบ นางทรุดฮวบลงกับพื้น เปโตรนิยาเดินเข้าไปนั่งคุกเข่าลงข้างหนึ่งก่อนจะกล่าวทักทายอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้
“ไม่เจอกันนานเลยนะ เลดี้แพทริเซีย”
“…อา”
“น้องสาวฝาแฝดที่รักของข้า”
ดวงตาของเปโตรนิยาเอ่อล้นด้วยน้ำตา
เป็นดยุกเอเฟรนี และโรสมอนด์ บุตรีของเขา แพทริเซียฝืนยิ้มต้อนรับคนทั้งคู่แม้จะยังวิงเวียนศีรษะ
“ไม่พบกันนานเลยนะคะ ทั้งสองคน”
“โอ้…พระจักรพรรดินีก็อยู่ด้วยหรือเพคะ”
“ถวายบังคมจันทราแห่งจักรวรรดิ ขอพระพรแห่งพระเจ้าจงสถิตแด่มาวินอส”
โรสมอนด์ซึ่งมีตำแหน่งเป็นมาร์เชอเนสเอธิลเลอร์ทำความเคารพแพทริเซียอย่างถูกต้องสมบูรณ์ นี่คงเป็นเพราะจักรพรรดิอยู่ด้วยล่ะสิ หากเขาไม่อยู่นางอาจจะไม่ทักทายตนเลยก็ได้ แพทริเซียเยาะหยันในใจก่อนจะเอ่ยถามดยุกเอเฟรนี
“ฟังว่าดัชเชสยังไม่กลับมาใช่ไหมคะ”
ได้ยินดังนั้นสีหน้าของดยุกเอเฟรก็หม่นลงเล็กน้อย
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท โรคอันเกิดแก่บุตรของกระหม่อมรุนแรงนัก…”
“แย่จริง ขอให้หายไวๆ นะคะ ใช่ไหมคะ มาร์เชอเนส?”
“หม่อมฉันเองก็เป็นห่วงน้องชายอย่างมากเพคะ หากมิได้ผูกติดอยู่กับราชวงศ์ หม่อมฉันคงไปหาเขาแล้ว…”
เห็นโรสมอนด์แสดงละครอย่างน่ารังเกียจแพทริเซียก็ได้แต่ยิ้มมุมปากเงียบๆ
“ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องต้องกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ” ดยุกเอเฟรนีเอ่ยกับลูซิโอ
“ด่วนหรือไม่”
“เกี่ยวกับราชการแผ่นดินพ่ะย่ะค่ะ เรื่องการกำหนดงบประมาณช่วยเหลือราษฎรที่ยากไร้ในครานี้”
“เฮ้อ…”
เขาถอนหายใจออกมาอย่างไม่ปิดบังก่อนจะพูดกระเซ้า
“ในวันแบบนี้เราควรได้ใช้เวลาร่วมกับจักรพรรดินีบ้างมิใช่หรือ”
ลูซิโอหัวเราะเสียงเย็นให้กับลูกไม้ตื้นๆ ของอีกฝ่าย ดยุกเอเฟรนีเห็นดังนั้นถึงกับสะดุ้ง ลูซิโอมองแพทริเซียแต่นางกลับพยายามหลบตาเขา เขามองต่อไปอีกครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวห้วนๆ
“ได้สิ ส่วนจักรพรรดินีก็อย่าลืมที่เราพูดเมื่อครู่เสียล่ะ”
“…”
คล้อยหลังลูซิโอกับดยุกเอเฟรนีก็เหลือแค่แพทริเซียกับโรสมอนด์สองคนเท่านั้น ขณะที่แพทริเซียมีสีหน้าอ่อนล้าทำท่าจะเดินไปที่อื่น โรสมอนด์ก็รั้งไว้
“พระจักรพรรดินี ไยจึงหมางเมินหม่อมฉันเช่นนี้เล่าเพคะ หม่อมฉันรู้สึกเศร้านัก”
“เจ้าก็พูดเกินไป เราเพียงแต่จะหาที่พักเพราะไม่ค่อยสบายเท่านั้น ไม่ว่าเมื่อก่อนหรือตอนนี้เจ้าก็ตีตนไปก่อนไข้เสมอเลยนะ”
“ไม่รู้สิเพคะ นั่นก็ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของพระองค์กระมัง”
“…คำพูดคำจาระวังไว้บ้างก็ดี เราคิดมาตลอดว่าปากเจ้านี่มันสามหาวนัก”
“หากหม่อมฉันล้ำเส้นไปต้องขอประทานอภัยด้วยเพคะ”
โรสมอนด์เผยยิ้มขัดกับคำพูดก่อนจะเอ่ยถามแพทริเซียอย่างไม่ยี่หระ
“หม่อมฉันขออนุญาตทูลถามได้หรือไม่ว่าพระองค์จะมอบดอกไม้อะไรให้องค์จักรพรรดิ”
“ไยจึงสงสัยเรื่องนั้น”
“หม่อมฉันค่อนข้างขี้สงสัยเพคะ”
“…แพนโดราก็ถึงกาลวิบัติเพราะความสงสัยนะ”
แพทริเซียเอ่ยเตือนด้วยเสียงทุ้มต่ำ ได้ยินดังนั้นโรสมอนด์ก็กล่าวด้วยท่าทีตื่นตระหนกเกินเหตุ
“ตายจริง ฝ่าบาทนี่ล่ะก็ แค่หม่อมฉันถามเรื่องดอกไม้ ไยต้องเปรียบหม่อมฉันกับผู้หญิงแบบนั้นด้วยเล่าเพคะ”
“เพราะเจ้ากับนางไม่ต่างกัน แพนโดราเองก็ ‘แค่’ สงสัยว่าในกล่องมีอะไรเท่านั้นก่อนจะพบกับโศกนาฏกรรม”
“หากฝ่าบาทไม่ประสงค์ที่จะบอกกล่าวก็พูดมาตามตรงเถอะเพคะ”
“หากเจ้ารู้ความลับแต่เพียงผู้เดียวมันก็ไม่ยุติธรรมน่ะสิ”
“แต่หม่อมฉันกลับคิดว่า แค่เรื่องดอกไม้หม่อมฉันมีสิทธิ์ที่จะรู้ในฐานะสนมขององค์จักรพรรดินะเพคะ”
โรสมอนด์ว่าพลางยิ้มเหี้ยมเกรียมและเริ่มพูดเรื่องอื่นต่อ “จริงสิ ฝ่าบาททรงทราบหรือไม่เพคะ”
“เรื่องอันใด”
“เรื่องจักรพรรดินีอลิซา”
“…”
แพทริเซียเขม้นมองโรสมอนด์ คนที่รู้เรื่องจักรพรรดินีอลิซาอย่างถ่องแท้นั้นแทบไม่มี สาเหตุที่ทำให้นางถูกปลดจากตำแหน่งจักรพรรดินีก็หาใช่เพราะนางทำให้บุตรสังหารมารดาบังเกิดเกล้า แต่เป็นเพราะความฟุ้งเฟ้อของนางเท่านั้น แน่นอนว่าครอบครัวของอดีตจักรพรรดินีอย่างตระกูลดยุกออสวินย่อมทราบถึงความจริงข้อนี้ พวกเขาจึงต้องยอมรับเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นนั้นด้วยความขอบคุณ
“เจ้าบังอาจกล่าวถึงความอับยศของฝ่าบาทอย่างนั้นรึ” แพทริเซียคำรามเสียงต่ำอย่างน่าขนลุก
“ว่าแล้วเชียว” สีหน้าของโรสมอนด์พลันเปลี่ยนเป็นหน้าเย็นชาไม่แพ้กัน “ทรงทราบสินะเพคะ หม่อมฉันก็คาดไว้แล้ว”
“เห็นได้ชัดว่าเจ้ามีสาเหตุให้คิดเช่นนั้น”
แพทริเซียกระซิบเบาๆ ที่หูของโรสมอนด์ “เจ้าคงคิดว่าเราใช้เรื่องนั้นมาครอบครองความรักของฝ่าบาทล่ะสิ และเจ้าก็คงจะคิดว่าฝ่าบาทเปลี่ยนพระทัยจากเจ้ามาหาเราก็เพราะเรื่องนั้นเช่นกัน”
“ตายจริง” โรสมอนด์อุทานออกมาอย่างเสียดาย “ทรงทราบทุกเรื่องเชียวหรือ ฝ่าบาท เพราะเหตุนี้หม่อมฉันจึงได้กริ่งเกรงพระองค์ยิ่ง”
“เจ้าหาได้เกรงกลัวผู้ใดนอกจากตัวเองแท้ๆ เสแสร้งเก่งนัก”
“กระทั่งเรื่องนี้ก็ยังมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง หม่อมฉันจะไม่กลัวพระองค์ได้อย่างไรเพคะ” โรสมอนด์ยิ้มอย่างชั่วร้ายพลางกล่าว “เช่นนั้นพระองค์ก็คงจะทราบดีกระมัง ฝ่าบาท”
“…”
“หากวันใดมีสตรีที่เหมือนกับพระองค์ปรากฏตัวขึ้น พระองค์ก็จะเจริญรอยตามหม่อมฉัน”
“ดูเหมือนเจ้าจะคิดว่าเรากลัวเรื่องพรรค์นั้น” แพทริเซียส่ายศีรษะ สีหน้ามีแววขบขัน “ช่างน่าเสียดายที่เจ้าคิดผิด เพราะเราหาได้รักพระจักรพรรดิไม่”
แม้ว่าพระองค์จะรักข้าก็ตาม
ได้ยินดังนั้นมือของโรสมอนด์ก็สั่นเทิ้ม แพทริเซียเห็นดังนั้นก็ยิ่งขบขัน
“ดูเหมือนเจ้ากำลังหึงหวง”
“หาได้เป็นเช่นนั้นเพคะ”
“ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ เราเข้าใจ ได้ยินว่าตั้งแต่งานรำลึกฯ ที่ผ่านมา…เจ้าก็ยังไม่ได้ถวายการรับใช้ฝ่าบาทเลยสักครั้งใช่หรือไม่”
“…ฝ่าบาท เหตุใดจู่ๆ ถึงทำเช่นนี้กับหม่อมฉันล่ะเพคะ” โรสมอนด์ถามอย่างหงุดหงิด “ทั้งที่ส่งน้ำหอมและดอกกุหลาบมาให้หม่อมฉันแท้ๆ”
โรสมอนด์กระซิบข้างหูแพทริเซียด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม “หากทรงตระหนักถึงสถานะของจักรพรรดินีที่เป็นหมัน จากนี้ก็ถึงเวลาที่พระองค์จะอยู่เงียบๆ แล้วมิใช่หรือเพคะ ของขวัญพวกนั้นมิได้หมายความเช่นนั้นหรอกหรือ”
“ถูกแล้ว มาร์เชอเนส” แพทริเซียแค่นยิ้มพลางตอบ “เราคิดจะอยู่ร่วมกับเจ้าอย่างสงบ”
“ในเมื่อมันออกมาเป็นเช่นนี้แล้วจะให้หม่อมฉันทำอย่างไรล่ะเพคะ ฝ่าบาท”
โรสมอนด์ข่มขู่กลายๆ ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น แต่แพทริเซียก็โต้กลับโดยไม่กะพริบตา
“เราบอกว่าอยากอยู่ร่วมกับเจ้าอย่างสงบ แต่มิได้บอกว่าจะยอมเสียเกียรติ”
“…”
“และฝ่ายที่มาหาเรื่องก่อนก็น่าจะ…เป็นเจ้านะ”
“ว่าแล้วเชียว” โรสมอนด์พูดราวกับคาดการณ์ไว้แล้ว “พระองค์มิได้คิดที่จะอยู่ร่วมกับหม่อมฉันอย่างสงบเลยแม้แต่น้อย”
“เราก็บอกอยู่ว่าไม่ใช่ เจ้านี่ขี้ระแวงนัก” แพทริเซียยิ้มพลางปฏิเสธข้อกล่าวหา “บางครั้งก็ต้องฟังคำของผู้อาวุโสบ้าง”
“ขอประทานอภัยแต่หม่อมฉันอายุมากกว่าพระองค์อยู่โขนะเพคะ”
“นั่นสำคัญด้วยหรือ”
แพทริเซียหัวเราะเบาๆ ขณะที่โรสมอนด์ไม่พอใจนักที่แพทริเซียมาจี้ใจดำเรื่องอายุของนางแบบนี้ เฮอะ ข้าก็คิดอยู่แล้ว ของขวัญพวกนั้นก็แค่กลลวงสินะ เปลือกนอกอย่างนั้นรึ? โรสมอนด์เขม้นมองแพทริเซียอย่างระวังระไวก่อนจะร้อง ‘อ้อ’ ราวกับนึกอะไรได้
“จริงสิ เมื่อครู่หม่อมฉันพูดเรื่องจักรพรรดินีอลิซาค้างไว้”
“เรื่องนั้น…”
“พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่านางชอบดอกอะไรมากที่สุด”
“…ไม่รู้สิ”
“ย่อมเป็นดอก…”
“จักรพรรดินี”
ในตอนนั้นเองลูซิโอก็พูดแทรกขึ้นมาทำให้บทสนทนาของทั้งสองหยุดชะงัก แพทริเซียหันไปมองตามเสียงเรียกพลางพึมพำ
“ฝ่าบาท…”
“ไปเต้นรำกับเรา”
“หม่อมฉันไม่คิดจะเต้นรำเพคะ”
“เดิมทีคู่เต้นเปิดงานย่อมต้องเป็นจักรพรรดิกับจักรพรรดินีสิ” ลูซิโอว่าพลางก้มลงกระซิบข้างหูหญิงสาว “การรักษาเกียรติของกันและกันเป็นหน้าที่ของสามีภรรยามิใช่หรือ”
“…”
โรสมอนด์กำลังมองอยู่ แน่นอนว่าไม่ได้มองด้วยสายตาที่ดีงาม
ลูซิโอพูดถูก แพทริเซียถอนหายใจในใจ นางไม่ใช่เด็กแล้ว ต้องไม่ปล่อยให้อารมณ์ชักนำและทำอะไรตามใจตัวเอง มิเช่นนั้นนางก็คงไม่ต่างอะไรจากผู้หญิงคนนั้น แพทริเซียพยักหน้าเงียบๆ รอยยิ้มจึงขยายกว้างบนใบหน้าของลูซิโอ
“เช่นนั้นเราขออนุญาต”
เขาก้าวนำออกไปอย่างสุภาพ แพทริเซียก้าวเท้าตามไป รู้สึกราวกับตัวเองเป็นตุ๊กตา ทันใดนั้นดนตรีก็เริ่มบรรเลง ลูซิโอกุมมือแพทริเซียอย่างแผ่วเบาพลางกล่าว
“จะเหยียบเท้าเราก็ไม่ว่าอะไร”
“…อะไรนะเพคะ?”
“เราบอกให้เจ้าทำได้ตามใจ”
เขากล่าวทิ้งท้ายด้วยถ้อยคำที่มีความหมายลึกซึ้งและเริ่มเต้นรำ แพทริเซียไม่เคยเต้นรำในงานเต้นรำมาก่อนแต่เพราะได้รับการฝึกฝนอย่างหนักหน่วงสมัยที่ยังเป็นเลดี้ นางจึงเต้นรำได้อย่างถูกต้องแม่นยำราวกับเครื่องจักร
การเต้นรำนั้นง่ายต่อการแลกเปลี่ยนลมหายใจและรับกลิ่นของกันและกัน จู่ๆ แพทริเซียก็นึกถึงเรื่องในคืนนั้น ค่ำคืนที่ลมหายใจและกลิ่นกายของนางและเขาผสานรวมกัน และในท้ายที่สุดกระทั่งเรือนกายก็หลอมรวม…เป็นหนึ่ง หญิงสาวร้องออกมาโดยไม่รู้ตัวราวกับว่าความเจ็บปวดในตอนนั้นหวนกลับมาอีกครั้ง
“เป็นอะไรไหม” ลูซิโอถามอย่างห่วงใย
แพทริเซียส่ายหน้าอย่างแรง บ้าจริง นางไม่ลืมสบถในใจ ขณะเดียวกันก็พึมพำเสียงเบาราวกับพูดกับตัวเอง
“รู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยเพคะ”
ได้ฟังดังนั้นลูซิโอก็เต้นช้าลง แพทริเซียทั้งไม่ยินดีทั้งขอบคุณในความเอาใจใส่ของเขา สองความรู้สึกที่ขัดแย้งกันทำให้นางต้องหลับตาในขณะที่ร่างกายยังคงขยับไปตามจังหวะ
“แพทริเซีย”
เขาเรียกชื่อนางเป็นครั้งแรกของวัน
เหมือนกับตอนนั้น ตอนที่ไฟปรารถนาพุ่งทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุด เขาเอ่ยชื่อของนาง และนางก็เอ่ยเรียกเขา
แพทริเซียร้องในลำคอและเรียกอีกฝ่าย “ฝ่าบาท”
แน่นอนว่าไม่ได้เรียกด้วยความรัก แพทริเซียรู้สึกวิงเวียนจนซวนเซ มือแกร่งของลูซิโอคว้าร่างบางเอาไว้และถามด้วยความตกใจ
“จักรพรรดินี เจ้าเป็นอะไรไป”
“ไม่เป็นไรเพคะ”
นางฝืนเต้นรำต่อไปอย่างทุลักทุเล แต่แล้วก็ต้องสารภาพออกไปตามตรง
“หม่อมฉันอยากพักเพคะ ได้โปรด…เวียนหัวเหลือเกิ…”
เข้าสู่ช่วงกลางเพลงแล้วแต่ลูซิโอก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเต้นรำอีกต่อไป โชคดีที่ทุกคนกำลังเต้นรำกันอยู่ ทั้งคู่จึงไม่ได้รับความสนใจมากนัก ลูซิโอประคองแพทริเซียออกไปยังระเบียงที่ไร้ผู้คน หลังจากให้หญิงสาวนั่งบนม้านั่งแล้ว ลูซิโอก็เอ่ยถามอย่างกังวล
“เป็นอะไรมากไหม เรียกหมอหลวงดีหรือไม่”
“ไม่ต้องถึงขั้นนั้นหรอกเพคะ พักสักครู่ก็น่าจะดีขึ้น”
หญิงสาวว่าพลางยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก ลูซิโอเห็นดังนั้นสีหน้าก็แข็งค้างไปชั่วครู่ แต่เพราะสีหน้านั้นคงอยู่เพียงพริบตาเดียว แพทริเซียที่อาการไม่ค่อยดีนักจึงไม่ทันสังเกต
“เสด็จกลับเข้าไปในงานเถอะเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันพักสักครู่แล้วจะตามเข้าไป” นางกล่าว
“ไม่เป็นไรหรอก”
“แค่หม่อมฉันไม่อยู่ในงานคนเดียวก็น่าแปลกแล้ว อย่างน้อยฝ่าบาทก็ควรจะอยู่…”
“หากไม่เห็นเราทั้งคู่ พวกเขาก็คงคิดว่าเราไปจูบกันอยู่ที่ใดสักที่กระมัง” เขาตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
แพทริเซียเงียบไป นางนั่งพิงพนักครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม
“ฝ่าบาท หม่อมฉันมีเรื่องสงสัยเพคะ”
เรื่องที่โรสมอนด์จะพูดเมื่อครู่
“นั่นสินะ ช่วงนี้สติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวจึงลืมไปเลย เตรียมการไปถึงไหนแล้ว”
“ติดสินบนไว้เรียบร้อยแล้วเพคะ คราวนี้น่าจะเป็นไปตามแผน”
“ใช่แล้ว…ต้องเป็นเช่นนั้นสิ”
โรสมอนด์พยักหน้าด้วยสีหน้าพอใจ คราวนี้นางจะไม่ยั่วโทสะแค่จักรพรรดินี แต่ยังรวมถึงลูซิโอ ถ้าได้เห็นผู้ชายคนนั้นถูกหักหน้าบ้างก็คงไม่เลว
“อย่าให้มีอะไรผิดพลาด หากพลาดเหมือนตอนงานเลี้ยงรับรองภริยาคณะทูตอีกข้าไม่อยู่เฉยแน่”
“ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย เรื่องนี้ไม่มีใครจับได้แน่นอน”
คลารามั่นอกมั่นใจและอันที่จริงโรสมอนด์ก็มั่นใจกับเรื่องคราวนี้มากเช่นกัน โรสมอนด์ยิ้มอย่างคาดหวัง ในใจก็เริ่มคิดว่าต้องทำอย่างไรจึงจะทำลายงานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพให้ย่อยยับได้มากยิ่งขึ้น
***
“…”
ลูซิโอค่อยๆ ลืมตาก่อนจะยกศีรษะขึ้นและมองไปรอบๆ สภาพแวดล้อมรอบตัวทำให้เขาแน่ใจว่าตนนอนอยู่บนเตียงของตัวเองในตำหนักกลาง ลูซิโอพึมพำอย่างเลื่อนลอย
“…ฝันไปหรืออย่างไร”
เมื่อคืนเขามัวเมาด้วยฤทธิ์ยาจนไม่อาจแยกแยะความฝันกับความจริง สุดท้ายแล้วเขาก็ยังไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใดกันแน่ ลูซิโอมุ่นหัวคิ้วด้วยคิดไม่ตก ในตอนนั้นเองนางกำนัลคนหนึ่งก็เข้ามา
“ฝ่าบาท เสวยน้ำหน่อยไหมเพคะ”
“…เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน” เขาถามอย่างสับสน “เมื่อคืนเราอยู่ที่ใด”
“…เอ่อ” นางกำนัลมีท่าทีลำบากใจก่อนจะตอบออกมาในที่สุด “พระองค์ร่วมหอกับพระจักรพรรดินีที่ตำหนักอีสเตเพคะ”
“เราหรือ?”
“เพคะ ฝ่าบาท เมื่อเช้าองครักษ์ตำหนักกลางพาพระองค์กลับมาที่นี่เพคะ”
“…แล้วจักรพรรดินีอยู่ที่ใด”
“…”
สำหรับคำถามนี้ นางกำนัลได้แต่ปิดปากเงียบ แต่ไม่นานนางก็ตอบตามสัตย์จริง
“ประทับอยู่ที่ตำหนักจักรพรรดินีเพคะ”
“…”
สีหน้าของลูซิโอดูราวกับได้รับความสะเทือนใจเล็กน้อย แต่เพียงพริบตาเดียวก็กลับมาเป็นปกติ เขาตอบรับก่อนจะให้นางกำนัลออกไป ครู่หนึ่งให้หลังเขาจึงจิบน้ำอุ่นๆ ที่นางกำนัลยกมาให้เมื่อครู่และตกอยู่ในภวังค์ ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกผิด
“…ข้ามันบ้าไปแล้ว”
แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกของเขา แต่ก็เป็นครั้งแรกของแพทริเซีย เขาควรจะถนอมอีกฝ่ายให้มากกว่านี้… เขาตำหนิตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งยังทุบศีรษะด้วยกำปั้น ข้ามันก็แค่ขยะชิ้นหนึ่ง
“เฮ้อ…”
จะเป็นอะไรไหมนะ ลูซิโอกลุ้มใจ สีหน้าเคร่งเครียด เขาควรไปที่ตำหนักจักรพรรดินีหรือไม่ ถึงไปเขาก็คงไม่มีหน้าจะพบแพทริเซีย แต่ถ้าไม่ไปเขาซึ่งถูกเกลียดอยู่แล้วก็คงถูกเกลียดมากขึ้นไปอีก ลูซิโอนั่งนิ่งกว่าชั่วโมงเพื่อตัดสินใจว่าจะเลือกทางใด สุดท้ายเมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะไป เขาก็ลุกขึ้นเต็มความสูง
***
ความตั้งใจอันใหญ่ยิ่งที่จะนอนพักผ่อนตลอดทั้งบ่ายของแพทริเซียสุดท้ายก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า นางมีงานที่ต้องสะสางมากมายจนไม่อาจเสียเวลาทั้งวันไปกับความเจ็บปวดที่ได้รับชั่วข้ามคืน นอกจากนี้งานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพก็ใกล้เข้ามาทุกที
แม้จะบอกไว้ก่อนแล้วว่าจะไม่สนใจ ให้นางกำนัลจัดการกันเอง และจะเตรียมงานอย่างส่งๆ แต่กระนั้นงานที่นางต้องทำตามหน้าที่ก็ยังคงมีอยู่ สุดท้ายภาระงานของนางจึงแทบไม่ลดลงเลย
ระหว่างที่แพทริเซียกำลังตรวจสอบค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อช็อกโกแลตที่จะใช้ในงานฉลองฯ นางกำนัลก็นำข่าวมาแจ้ง
“ฝ่าบาท พระจักรพรรดิเสด็จเพคะ”
“…”
แพทริเซียมุ่นหัวคิ้ว เรื่องเมื่อวานน่าจะทำให้ความสัมพันธ์ที่น่าอึดอัดอยู่แล้วยิ่งน่าอึดอัดมากกว่าเดิม นางไม่เข้าใจว่าจักรพรรดิมีเจตนาอันใดจึงทำให้มันแย่ลงไปอีก ใจนางอยากจะขับไล่ไสส่ง แต่ก็อดกลั้นไว้และกล่าวเชิญ
“…เชิญเสด็จ”
สิ้นเสียง จักรพรรดิก็ปรากฏตัวขึ้น เขาเดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทางปกติ ทันใดนั้นแพทริเซียก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างไม่ทราบสาเหตุ ข้าเจ็บปวดถึงเพียงนี้ เหตุใดท่านถึง! หากจะพูดกันตามตรงแน่นอนว่าลูซิโอไม่อาจทำอะไรกับเรื่องนั้นได้ แพทริเซียจึงใช้ความเยือกเย็นเข้าข่มและระงับอารมณ์ไว้
“ถวายบังคมฝ่าบาท สุริยันและประมุขแห่งจักรวรรดิอันเกรียงไกร ขอมาวินอสจงมีแต่ความรุ่งเรือง” นางทำความเคารพอีกฝ่าย
“ร่างกายเจ้าเป็นอย่างไร”
คำแรกก็ถามเรื่องสภาพร่างกายเลยหรือ แพทริเซียเอ่ยด้วยสีหน้าแปลกๆ
“…ขอประทานอภัยที่ต้องกราบทูลว่า หากจะบอกว่าไม่เป็นไรก็คงเป็นเรื่องโกหกเพคะ”
“เช่นนั้นให้ตามหมอ…”
“…ไม่ต้องถึงขั้นนั้นเพคะ”
ทำเช่นนั้นไยมิใช่ประกาศให้ทุกคนรู้ว่าเมื่อคืนเป็นครั้งแรกของเราสองคน ลูซิโอคล้ายเพิ่งรู้ตัวว่าตนพูดไม่คิดจึงเอ่ยขอโทษ
“…ขอโทษ เป็นเราคิดไม่ถ้วนถี่”
“เรื่องที่พระองค์ต้องขอโทษ…หม่อมฉันคิดว่าไม่มีนะเพคะ” นางฝังกลบเรื่องเมื่อคืนด้วยน้ำเสียงเฉยชา “คนที่เข้าไปในอ้อมกอดของพระองค์ก่อนเป็นหม่อมฉันเองมิใช่หรือ พระองค์หาได้บังคับข่มเหง และอย่างที่พระองค์ทรงทราบ พวกเราต่างเป็นสามีภรรยากัน”
แม้แพทริเซียจะกล่าวเช่นนั้น แต่สีหน้าของนางก็ดูไม่ค่อยดีนัก
“เพราะฉะนั้น ไม่เป็นไรหรอกเพคะ ฝ่าบาท หากเรื่องเมื่อวานทำให้ไม่สบายพระทัย ทรงลืมมันไปเสียก็ได้”
“…เจ้าจะลืมหรือ”
“หากเป็นพระประสงค์ของพระองค์ หม่อมฉันก็จะลืมเพคะ”
สีหน้าของลูซิโอดูเจ็บปวดกับคำพูดนั้น แพทริเซียสะดุ้งเฮือกชั่ววูบ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้นางไม่อาจลดความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีลงได้
“หากเราบอกให้ลืม เจ้าก็จะลืม ช่วงเวลานั้นมันคงไม่สำคัญกับเจ้าเลยสินะ”
“ฝ่าบาทหาได้กอดหม่อมฉันด้วยความรัก เพียงแต่เป็นไปด้วยฤทธิ์ยา หม่อมฉันจึงไม่คิดว่าเรื่องเมื่อคืนมีความหมายอันใดต่อทั้งพระองค์และหม่อมฉันเพคะ”
“…แต่มันเป็นคืนแรก”
“นั่นมีความหมายอันใด” แพทริเซียพูดอย่างเย็นชา “สำหรับหม่อมฉันมันเป็นเพียงค่ำคืนแห่งความทุกข์ทรมานครั้งแรกเท่านั้นเพคะ”
“…ดูเหมือนเจ้าตั้งใจจะทำให้เราเจ็บปวด”
“เช่นนี้ก็แย่สิเพคะ ฝ่าบาท” นางหัวเราะอย่างขบขันราวกับฟังเรื่องไร้สาระ “ผู้ที่เป็นฝ่ายสร้างบาดแผลให้หม่อมฉันก่อนก็คือพระองค์ และผู้ที่ยอมรับว่าได้กระทำเช่นนั้นจริงก็คือพระองค์ ในขณะเดียวกัน… ผู้ที่ยอมให้พระองค์กอดเพื่อดูแคลนพระองค์มากยิ่งขึ้นก็คือหม่อมฉัน”
“…”
“เพราะฉะนั้น ลืมมันไปเสียเถิดเพคะ ลืมเรื่องเมื่อคืน ลืมทุกอย่าง”
“…ตอนที่กอดเจ้าเมื่อวานเราคิดอะไรตื้นๆ”
“…”
“คิดว่าเจ้าจะเห็นเราในสายตาบ้างหรือไม่ หลังจากร่วมหอกันแล้วเจ้าจะเปิดใจให้เราสักนิดได้หรือไม่”
“ว่ากันว่าสตรีมิอาจร่วมรักกับบุรุษโดยไร้ใจ… ไม่รู้สิเพคะ แต่เมื่อคืนหม่อมฉันกลับสามารถ” แพทริเซียกีดกันหัวใจของเขาอย่างแน่นหนา “เหล่าสตรีในย่านเริงรมย์เองก็ร่วมรักเพียงกายหาได้รวมใจ หากฝ่าบาทไม่สบายพระทัยก็ทรงคิดเสียว่า…”
“ไยเจ้าต้องลดเกียรติของตนด้วยความคิดเช่นนั้น หรือเจ้าคิดว่านั่นจะทำให้เราเจ็บปวดยิ่งขึ้น?”
“…”
“หากเป็นดังนั้นก็นับว่าเจ้าทำสำเร็จแล้ว เพราะเราฟังแล้วปวดใจยิ่ง”
“ทำไมหรือเพคะ” แพทริเซียถามตาใส “เหตุใดพระองค์ถึงปวดพระทัย”
ได้ยินคำถามของแพทริเซีย ลูซิโอก็ลังเล แต่สุดท้ายเขาก็เอ่ยปาก
“เรา…”
“…”
ไม่นะ อย่า
“เราคิดว่า…”
หุบปากนั้นเสีย อย่าพูดมากไปกว่านี้
“เราคิดว่าเรารักเจ้า”
และแล้วกล่องแพนโดราก็เปิดออก
รัก
ตอนที่เขาพูดคำนี้ออกมาแพทริเซียอดที่จะเย้ยหยันในใจไม่ได้
“รักหรือเพคะ”
“…”
“ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันพระองค์ยังรักมาร์เชอเนสอยู่เลยมิใช่หรือ”
“…”
“หม่อมฉันก็เป็นความรักประเภทนั้นหรือเพคะ ฝ่าบาท พระองค์ทรงกำลังเข้าพระทัยผิดแล้ว” แพทริเซียกล่าวด้วยแววตาเศร้า “ฝ่าบาทกำลังเห็นหม่อมฉันเป็นเหมือนมาร์เชอเนสเพคะ หม่อมฉันที่เวทนาในแผลใจของพระองค์”
ตัวข้าที่ถูกท่านหลอกด้วยแผลใจนั้นและเผยใจจริงให้ท่านราวกับคนโง่
“หากมิใช่หม่อมฉัน แต่เป็นใครสักคนที่ฟังเรื่องราวของพระองค์และร้องไห้เพื่อพระองค์ พระองค์จะรักคนผู้นั้นไหมเพคะ”
“…เรา”
ความพลาดพลั้งในอดีตนั้นแจ่มชัด จักรพรรดิจึงไม่อาจพูดจาส่งเดช สิ่งที่แพทริเซียกล่าวมาถูกต้องทุกถ้อยคำ
“ปฏิเสธไม่ได้ใช่ไหมเพคะ ผลงานก็มีให้เห็นอยู่ทนโท่”
“…”
“แล้วก็เรื่องเปิดใจ เปิดใจอย่างนั้นหรือ” นางยิ้มหยัน “หม่อมฉันเปิดใจแล้วเพคะ ในอดีต ตอนที่ได้ฟังเรื่องของพระองค์”
ตอนนั้นข้าไม่ควรฟังเลย
“เพราะฉะนั้นโปรดทรงอย่าคาดหวังอะไรไปมากกว่านี้ คำว่ารักนั้นก็อย่าได้ตรัสออกมาอีกเลยเพคะ”
ข้าควรจะรู้ตัวได้แล้วว่าความรู้สึกสงสารที่มีให้ท่านเป็นเพียงความโอหังและการให้ที่เสียเปล่า
“เมื่อวานไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเราทั้งนั้น”
คำพูดนั้นเปรียบดั่งคมมีดที่แทงทะลุหัวใจของลูซิโอ
***
ในที่สุดงานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพก็มาถึง แพทริเซียสวมชุดเดรสสีขาวปลอด แม้ว่านางกำนัลจะแนะให้นางสวมชุดที่มีสีสันกว่านี้สักหน่อย ทว่า แพทริเซียไม่ได้มีใจจะอวยพรวันเกิดถึงเพียงนั้น
“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอเกียรติภูมิจงสถิตแด่จักรวรรดิ”
“ไม่พบกันนานนะคะ เคานต์กรังเซีย”
แพทริเซียยืนนิ่งเหมือนตุ๊กตาคอยทักทายขุนนางนับไม่ถ้วน นางท่องจำชื่อขุนนางจนขึ้นใจ เพียงสะกิดเล็กน้อยก็นึกออก การพูดชื่อเหล่านั้นซ้ำไปซ้ำมาช่วยขจัดความคิดต่างๆ ที่อยู่ในหัวและช่วยให้ลืมความกังวลไปจนหมดสิ้น แต่พร้อมกันนั้นมันก็ทำให้สติของนางไม่แจ่มชัดด้วยเช่นกัน ราวกับตุ๊กตาที่ไร้ความรู้สึก
“วันนี้พระองค์ดูอ่อนเพลียนะเพคะ ฝ่าบาท”
มีร์ยาทนไม่ได้จึงกล่าวกับนางคำหนึ่งด้วยน้ำเสียงห่วงใย แต่แพทริเซียกลับตอบอย่างเฉยเมย
“แต่ข้าไม่เป็นอะไรเลยนะ มีร์ยา”
“พระองค์รับสั่งเช่นนั้นเสมอเพคะ”
“เพราะข้าเพิ่งมีรอบเดือนกระมัง”
แพทริเซียกระซิบกระซาบแผ่วเบา มีร์ยาพยักหน้าเข้าใจ
“หากได้ปลีกตัวไปพักเร็วหน่อยคงดีไม่น้อย จังหวะไม่ดีเลยนะเพคะ”
“ช่วยไม่ได้นี่นะ”
แพทริเซียไหว้วานมีร์ยาด้วยสีหน้ากล้ำกลืนฝืนทนเล็กน้อย “ช่วยไปหยิบค็อกเทลหวานๆ ให้ข้าสักแก้วได้หรือไม่”
“ได้เพคะ ฝ่าบาทโปรดรอสักครู่ หม่อมฉันจะรีบกลับมา”
“อืม ค่อยๆ เดินเถอะ”
มีร์ยาพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มบางๆ และเดินไปหยิบค็อกเทล ในระหว่างนั้นแพทริเซียมีอาการวิงเวียนศีรษะเล็กน้อยจนซวนเซ คนผู้หนึ่งคว้าร่างนางไว้
“ระวังหน่อยสิ”
“…”
น้ำเสียงที่คุ้นเคยจนน่าขนลุกทำให้สีหน้าของแพทริเซียแข็งทื่อ นางค่อยๆ ยืดตัวให้ตรงก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับเขา
“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญเพคะ”
“ทุกคนที่เราพบล้วนกล่าวเช่นนี้”
เขายิ้มขื่น สีหน้าแสดงออกชัดว่าเบื่อหน่ายเต็มที
“…”
แพทริเซียไม่กล่าวอันใด ทันใดนั้นภาพเหตุการณ์ตอนพบกับเขาครั้งแรกหลังจากใช้เวลาร่วมกันทั้งคืนก็ฉายวาบขึ้นมาในหัว ในตอนนั้นหากนึกถึงเรื่องในคืนนั้นขึ้นมา ความรู้สึกต่างๆ ก็จะหวนกลับมาอยู่บ้าง แต่ตอนนี้นางกลับไม่รู้สึกอะไรแล้ว ทว่า กลับกลายเป็นติดค้างในใจว่าไม่น่าผลักเขาให้จนมุมเช่นนั้น…
“ไม่สบายตรงไหนหรือไม่ สีหน้าดูซีดเซียวนัก”
“เครื่องสำอางไม่ค่อยติดผิวกระมังเพคะ”
“ว่าไปนั่น”
เขาแย้งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แพทริเซียไม่ได้พูดอะไร นางรู้สึกวิงเวียนศีรษะมากขึ้นเรื่อยๆ วันนี้รอบเดือนของนางมามากผิดปกติ เมื่อทนไม่ไหว นางก็สารภาพไปตามตรง
“…รอบเดือนของหม่อมฉันมาพอดี”
“อ้อ” เขาพยักหน้าด้วยสีหน้าประหม่าเล็กน้อย “คงลำบากแย่ เจ้าไปพักไม่ดีกว่าหรือ”
“ต้องทนเพคะ หม่อมฉันต้องรักษาหน้าที่”
“หากเร่งพิธีมอบดอกไม้ให้เร็วขึ้นเจ้าก็น่าจะไปพักได้แล้วกระมัง”
“…หม่อมฉันทนได้เพคะ ไม่ทำให้ฝ่าบาทและราชวงศ์ต้องเสียเกียรติ…”
“สุขภาพของจักรพรรดินีต้องมาก่อนสิ”
“…”
แพทริเซียไม่อาจพูดอะไรต่อได้ ลูซิโอกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มรื่นหู
“เราจะเปลี่ยนลำดับของงานสักหน่อย เสร็จจากพิธีมอบดอกไม้แล้วเจ้าก็ไปพักเสีย นี่เป็นคำสั่ง”
“…เพคะ”
สิ้นคำตอบของแพทริเซียคล้ายว่าสีหน้าของลูซิโอดูสดใสขึ้น เห็นดังนั้นใจของแพทริเซียก็ปั่นป่วน
“ว่าแต่วันนี้เจ้าก็อยู่คนเดียวสินะ”
“วันนี้มีร์ยาก็ไปหยิบค็อกเทลให้อีกเช่นเคยเพคะ ส่วนองครักษ์ของหม่อมฉันไปทำธุระส่วนตัว พี่สาวนั้นแจ้งว่ามีธุระจึงจะมาสายเล็กน้อย”
“พระจักรพรรดิ”
น้ำเสียงไม่น่าฟังดังแทรกขึ้นมา แพทริเซียได้ยินดังนั้นก็แทบจะเก็บซ่อนสีหน้าไว้ไม่อยู่
ลูซิโอที่นิ่งเฉยมาจนถึงเมื่อครู่เอ่ยปากอย่างยากลำบาก ตอนนี้เขาดูทรมานมากเสียจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่ ครั้นเห็นเขาซวนเซ แพทริเซียก็เข้าไปประคองตามสัญชาตญาณ
“ระวังด้วยเพคะ”
“แฮ่ก…ถอยห่างจากเราเสีย เราไม่รู้ว่าจะทำอะไรให้เจ้าดูหมิ่นเราไปมากกว่านี้หรือไม่”
“เช่นนั้นไฉนจึงไม่ฟังคำของหม่อมฉันเล่าเพคะ นางกำนัลมีมากมาย หม่อมฉันจะไปพามาให้เดี๋ยวนี้ มีร์ยา มัวทำอะไรอยู่ ยังไม่รีบไปอีก”
“…”
สุดท้ายมีร์ยาก็วิ่งไปทางตำหนักจักรพรรดินีด้วยสีหน้าราวกับจะร้องไห้ ส่วนราฟาเอลาก็ดูเก้ๆ กังๆ ทำอะไรไม่ถูก ลูซิโอทรุดลงนั่งคล้ายจะถึงขีดจำกัดเต็มที แพทริเซียถลันเข้าไปประคองอย่างตกใจ
“ฝ่าบาท”
“แฮ่ก…เราบอกให้ถอยออกไป”
เขากัดริมฝีปากตัวเองด้วยสีหน้าทรมานเหลือแสนจนเลือดไหลซิบ ดูเหมือนว่าการข่มสัญชาตญาณดิบของตนจะเป็นเรื่องที่เกินกำลัง บ้าจริง ทำไมมีร์ยายังไม่มาอีกนะ แค่พานางกำนัลมาสักคนมันยากนักหรือไร นางเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากราฟาเอลาด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน
“ราฟาเอลา”
“เพคะ ฝ่าบาท”
“รีบพาฝ่าบาทไปยังตำหนักที่ใกล้ที่สุดเถอะ”
ราฟาเอลาพยักหน้ารับคำก่อนจะเข้าไปพยุงร่างของลูซิโอและพาไปที่ตำหนักอีสเตซึ่งอยู่ใกล้สุด ระหว่างทางลูซิโอคอยสร้างบาดแผลให้ตัวเองอยู่เนืองๆ เพื่อระงับความปรารถนา ตอนนี้ริมฝีปากของเขาถูกกัดจนยับเยินหมดแล้ว ในปากก็ใกล้จะได้แผลเต็มที แพทริเซียระบายโทสะอันไร้ที่มาใส่ลูซิโอที่นั่งหมดสภาพอยู่ในตำหนักอีสเตด้วยความขุ่นเคือง
“ไฉนจึงดื้อดึงถึงเพียงนี้เพคะ ฝ่าบาท สตรีทั่วจักรวรรดิล้วนเป็นของพระองค์ หากทรงมีพระประสงค์…!”
“แล้วมันจะมีประโยชน์อันใดเล่า” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า “ต่อให้สตรีทั้งใต้ฟ้าเป็นของเราแล้วจะมีประโยชน์อันใด หากจักรพรรดินีมิใช่ของเรา”
“ตรัสอะไรออกมาเพคะ…!”
“ทั้งสองคนออกไปเดี๋ยวนี้ เรา…ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว”
ลูซิโอเค้นเสียงพูด เขาดูทรมาน ลมหายใจหนักหน่วงกว่าเมื่อครู่ แพทริเซียมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเคร่งเครียดก่อนจะเอ่ยปากอย่างเนิบช้า
“ราฟาเอลา”
“เพคะ ฝ่าบาท”
“เจ้าออกไปก่อน และช่วยคุ้มกันให้ที ปิดประตูให้แน่นหนา อย่าให้ใครเข้ามาจนกว่าข้าจะออกไป”
“ฝ่าบาท หรือว่า…?”
“ออกไปก่อน”
“จักรพรรดินี นี่เจ้าจะทำอะไร…”
แพทริเซียออกคำสั่งอย่างเฉียบขาดโดยไม่ฟังเสียงทัดทานของลูซิโอ
“ออกไปเดี๋ยวนี้”
ในตอนนั้นเองราฟาเอลาถึงได้พยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง
“เพคะ ฝ่าบาท”
ราฟาเอลารีบออกจากตำหนัก จากนั้นแพทริเซียจึงค่อยๆ ย่างเท้าเข้าไปหาลูซิโอ ชายหนุ่มมุ่นหัวคิ้วเอ่ยถาม
“คิดจะทำอะไร เจ้าเองก็รีบออก…”
“ฝ่าบาทเกรงว่าจะทำอะไรให้หม่อมฉันดูแคลนพระองค์ยิ่งขึ้นใช่หรือไม่เพคะ” แพทริเซียยิ้มเศร้า “เช่นนั้นก็คงไม่เลว จะเป็นอย่างไรหากหม่อมฉันเหยียดหยามพระองค์ยิ่งขึ้นด้วยสถานการณ์นี้…”
“เราบอกให้ออกไป!”
“ฝ่าบาท อย่างไรเสียหม่อมฉันก็เป็นหมันมิใช่หรือเพคะ ต่อให้วันนี้เกิดอะไรขึ้นก็หามีใครรู้ไม่”
พูดจบแพทริเซียก็ค่อยๆ ถอดชุดออก
“เราบอกให้หยุด!” ลูซิโอร้องตะโกน
“…”
แต่แพทริเซียไม่ฟัง นางตั้งหน้าตั้งตาถอดชุดที่สวมอยู่ราวกับลอกคราบจนเหลือเพียงชุดซับในสีดำบางเบาแขวนอยู่บนร่าง ในตอนนั้นลูซิโอใกล้จะสิ้นสติเต็มที แพทริเซียเห็นดังนั้นก็คิดว่าต้องเร่งมือแล้วและค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าของเขาออก กระดุมหลุดออกทีละเม็ดพร้อมกับความรู้ผิดชอบชั่วดีของแพทริเซียที่ค่อยๆ เลือนลาง หรือนี่จะเป็นความรู้สึกก่อนลงมือทำสิ่งที่ไม่อาจหวนคืน…
“เจ้าจะต้องเสียใจกับเรื่องในวันนี้”
“ตั้งแต่พบกับฝ่าบาทก็ไม่มีวันไหนที่หม่อมฉันไม่เสียใจเพคะ”
แพทริเซียยิ้มเย็นชาและโน้มตัวไปจุมพิตลูซิโอที่อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า
“ต่อให้เรื่องนี้จะทำให้หม่อมฉันเสียใจยิ่งกว่านี้ ก็ไม่มีอะไรต่างหรอกเพคะ”
แพทริเซียลืมตาขึ้นอย่างเหม่อลอย นางเหม่อมองอากาศอยู่ครู่ใหญ่ราวกับยังปะติดปะต่อเหตุการณ์ไม่ได้ ทันใดนั้นทัศนียภาพที่ไม่คุ้นตาก็ทำให้นางจำเรื่องเมื่อวานขึ้นมาได้ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างหดหู่และหันไปมองด้านข้าง
“…”
แพทริเซียไม่คิดไม่ฝันว่าตนจะต้องมาร่วมเตียงกับลูซิโอในลักษณะนี้ นางรู้สึกพูดไม่ออก ความทรงจำเมื่อคืนวานยังคงเด่นชัดจนนางรำคาญใจ หญิงสาวนอนนิ่งกัดริมฝีปากของตัวเองอยู่อย่างนั้น ความจริงที่ว่านางเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียงเดียวกับชายที่ตนชิงชังเรียกความรู้สึกแปลกประหลาดให้ปรากฏขึ้นในใจ
“เฮ้อ…”
แพทริเซียถอนหายใจก่อนจะหันไปมองสามีของตนที่ยังคงนอนกระสับกระส่ายอยู่ข้างๆ ร่วมเตียงกันครั้งแรกโดยปราศจากความรักอย่างนั้นหรือ ทั้งยังอาศัยฤทธิ์ของยาอีกด้วย ข้าเองก็กู่ไม่กลับแล้วสินะ นางพึมพำว่าร้ายตนเอง
“อึก!”
แพทริเซียลุกขึ้นอย่างไม่ทันระวังจึงหลุดร้องครางออกมา ฤทธิ์ของยาเร้ากำหนัดจะรุนแรงขึ้นเมื่อผู้ที่กินเข้าไปขาดสติและคนที่รองรับความรุนแรงทั้งหมดนั้นไว้ก็คือแพทริเซียซึ่งเป็นสาวบริสุทธิ์ นางลูบช่วงเอวด้วยสีหน้าเจ็บปวด เมื่อวานเขาบอกว่าจะเบามือแต่ถึงกระนั้นความเจ็บปวดที่ตามมาก็เป็นเรื่องที่มิอาจเลี่ยง อาจเป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกของนาง
“…โอย”
หญิงสาวยังคงโอดครวญขณะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีเพื่อลุกขึ้นจากเตียง แพทริเซียสวมชุดเดรสตัวเดิมที่สวมมาเมื่อวานด้วยตัวเองก่อนจะค่อยๆ เดินกะเผลกออกจากตำหนักอีสเต
ก่อนจะเปิดประตูออกไป นางหันหลังกลับไปมองลูซิโอที่ยังคงนอนอยู่บนเตียงเป็นครั้งสุดท้ายและกล่าวเสียงค่อยด้วยสีหน้าขื่นขม
“นี่เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของเรา”
จากนั้นแพทริเซียก็เปิดประตูเดินออกไปอย่างไม่ลังเล จนถึงตอนนี้ลูซิโอก็ยังคงหลับตาอยู่
“พระจักรพรรดินี”
สีหน้าของราฟาเอลาดูอิดโรยเพราะต้องตื่นอยู่ตลอดทั้งคืน แพทริเซียรู้สึกผิดขึ้นมาจึงเอ่ยถาม
“เจ้าเป็นอะไรไหม”
“ข้าน่ะสบายดี ว่าแต่ฝ่าบาทเถอะ”
“อา…” แพทริเซียส่ายศีรษะด้วยสีหน้าขัดเขินเล็กน้อย “ก็…เหนื่อยอยู่เหมือนกัน”
“ข้าให้ขี่หลังดีหรือไม่”
“โธ่ เห็นแก่หน้าจักรพรรดินีคนนี้ด้วยเถอะ”
ครั้นกล่าวถึงเรื่องนั้น จู่ๆ แพทริเซียก็นึกถึงโรสมอนด์ขึ้นมา แน่นอนว่าคนที่เป็นฝ่ายล่อลวงก่อนคือนาง เช่นนั้นก็หมายความว่าสุดท้ายแล้วลูซิโอไม่ได้เลือกนาง… นางคงเจ็บใจไม่ใช่เล่น แพทริเซียคิดในใจพลางเอ่ยถามราฟาเอลา
“มีร์ยาล่ะ”
“เตรียมน้ำให้ฝ่าบาทลงสรงอยู่น่ะสิ วุ่นวายเผาหินตั้งแต่เช้าแล้ว”
“ฮ่ะฮ่ะ…”
แพทริเซียเกาท้ายทอยพร้อมทำสีหน้าแปลกๆ แม้จะไม่ใช่เรื่องน่าอายแต่นางก็รู้สึกอายชอบกล หญิงสาวกระแอมไอและกล่าวกับราฟาเอลา
“จะประคองหรือขี่หลังก็ดูแปลกๆ เช่นนั้นข้าเดินไปเองแล้วกัน”
“อัศวินราชองครักษ์มีไว้ใช้งานในเวลาแบบนี้นั่นล่ะ หากฝ่าบาทไม่ชอบสองวิธีนั้น เช่นนั้นหม่อมฉันก็จะอุ้มพระองค์ไป ส่วนพระองค์ก็อยู่เงียบๆ ให้หม่อมฉันอุ้มไปเสียดีๆ เถอะเพคะ”
ราฟาเอลาดึงดันอย่างถึงที่สุด แพทริเซียจึงต้องยอมให้ราฟาเอลาอุ้มไปจนถึงตำหนักจักรพรรดินีอย่างเลี่ยงไม่ได้ นางหลับตาแน่นอยู่นานด้วยกลัวว่าใครจะมาเห็นเข้า รู้สึกตัวอีกทีนางก็มาถึงตำหนักแล้ว ทันทีที่เข้าไปในตำหนักมีร์ยาก็มาต้อนรับเหมือนปกติ มิได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด
“เสด็จกลับมาแล้วหรือเพคะ ฝ่าบาท”
“ขอข้าอาบน้ำก่อน”
“เพคะ ฝ่าบาท”
มีร์ยาเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมสรรพ นางเข้าไปประคองแพทริเซียและพาไปยังอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ที่มีนางกำนัลรออยู่ เมื่อแพทริเซียถอดชุดออก รอยแดงที่ปรากฏอยู่ทั่วเรือนร่างบอบบางก็เป็นที่ประจักษ์แก่สายตา ทำให้บรรยากาศในห้องอาบน้ำกระอักกระอ่วนขึ้นมาในทันใด โชคดีที่การอาบน้ำดำเนินไปไม่นานนัก ทุกอย่างเป็นไปอย่างสงบหากไม่นับคำพูดของนางกำนัลอายุน้อยที่พลั้งปากขณะช่วยขัดถูกทุกซอกทุกมุมให้แพทริเซียอย่างเบามือ
“…ยาที่ฝ่าบาทเสวยเข้าไปเมื่อวานดูเหมือนจะแรงมากเลยนะเพคะ”
“…”
ในตอนนั้นแพทริเซียรู้สึกอายแทบแทรกแผ่นดินหนี
ครั้นถึงวินาทีแห่งการปลดปล่อย ลูซิโอก็คิดจะป้องกันการตั้งครรภ์โดยไม่รู้ตัว นางจึงเอ่ยสบประสาทตัวเอง
‘ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็เป็นหมัน ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นหรอกเพคะ’
“หรือข้าควรบอกให้เขาทำไปเลยนะ”
“เพคะ?”
“ไม่มีอะไร”
แพทริเซียถอนหายใจสั้นๆ ก่อนจะถูกเหล่าข้ารับใช้เช็ดตัวให้อย่างเอาใจใส่ด้วยผ้าสะอาดหลายผืน เพราะเพิ่งผ่านการร่วมหอครั้งแรกมา พวกนางจึงทะนุถนอมแพทริเซียอย่างเห็นได้ชัด แพทริเซียรู้สึกขอบคุณความใส่ใจของเหล่านางกำนัลแต่อีกใจนางก็รู้สึกลำบากใจด้วยเช่นกัน
“จริงสิ ฝ่าบาทเพคะ เมื่อเช้ามีจดหมายมาจากคฤหาสน์มาร์ควิสโกรเชสเตอร์แจ้งว่าเลดี้เปโตรนิยาล้มป่วยเป็นไข้หวัดจึงขอพักรักษาตัวที่คฤหาสน์สักระยะ แต่อย่างไรก็น่าจะหายทันมาร่วมงานฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระจักรพรรดิเพคะ”
“ตายจริง” แพทริเซียหัวเราะน้อยๆ “ท่าทางนีย่าของข้าจะสนุกกับการเดตจนยอมเปียกฝนอยู่นอกชายคาเลยทีเดียว”
“เลดี้เองก็ต้องได้พบและแต่งงานกับคนที่ดีเช่นกันเพคะ”
“เจ้าไม่ควรใช้คำว่า ‘เช่นกัน’ กระมัง มีร์ยา”
แพทริเซียหัวเราะอย่างขมขื่นขณะแก้คำพูดของมีร์ยา ในขณะที่มีร์ยาก็ได้แต่ยิ้มเจื่อน หลังจากนั้นแพทริเซียก็ออกคำสั่งกับนางกำนัลคนหนึ่งด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างขึ้นเล็กน้อย
“เจ้าไปดูสถานการณ์ที่ตำหนักเวนทีว่าตอนนี้มาร์เชอเนสเป็นอย่างไร และบรรยากาศในตำหนักเวนเป็นอย่างไร ที่จริงข้าก็พอจะเดาได้…แต่อย่างไรตรวจดูให้แน่ชัดย่อมดีกว่า”
“เพคะ ฝ่าบาท”
“ส่วนมีร์ยา ช่วยบอกนางกำนัลตำหนักกลางให้ไปดูแลฝ่าบาทที พระองค์บรรทมอยู่ที่ตำหนักอีสเต หากฝ่าบาทตื่นบรรทมแล้วไม่พบใคร พระองค์อาจทำตัวไม่ถูก”
“…เพคะ”
ครั้นสั่งงานเสร็จแล้ว แพทริเซียจึงได้รู้สึกว่าอะไรๆ เริ่มเข้าที่เข้าทาง นางหลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้า เมื่อวาน ไม่สิ วันนี้ข้าได้นอนไปกี่ชั่วโมงนะ? สาม ไม่สิ สองชั่วโมง? แพทริเซียพยายามรื้อฟื้นความทรงจำที่เลือนลางและพึมพำว่า
“…อย่างไรข้าก็คงต้องพักสักหน่อย”
***
โรสมอนด์นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าเย็นชา ทุกอย่างยังมีสภาพเหมือนกับเมื่อวาน ทั้งชุดซับในที่นางยังไม่ได้เปลี่ยนและเครื่องสำอางจัดจ้านที่ยังไม่ถูกลบ เหล่าข้ารับใช้รวมถึงคลาราต่างคอยสังเกตท่าทีของโรสมอนด์อยู่ข้างๆ
“เช่นนั้น…เมื่อวานฝ่าบาทก็เลยได้หลับนอนกับจักรพรรดินีอย่างนั้นรึ”
“ได้ยินว่า…เป็นเช่นนั้นค่ะ มาร์เชอเนส”
เช่นนั้นก็หมายความว่าเมื่อคืนจักรพรรดิและจักรพรรดินีร่วมหอกันเป็นครั้งแรก ทว่า โรสมอนด์กลับสงบนิ่งกว่าที่คิด นางหัวเราะเสียงเย็นและพูดกับตัวเอง
“เอาเถอะ ถึงอย่างไรสตรีที่เป็นหมันก็มิอาจมีลูกได้ ช่างมัน”
“…”
เพราะตำแหน่งนั้นหาใช่ตำแหน่งที่จะรักษาไว้ได้ด้วยความรักเพียงอย่างเดียว เวลานี้ฝ่าบาทอาจกระซิบคำหวานกับดอกไม้ดอกใหม่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ก็อีกไม่นานหรอก เพราะเดิมทีเขาก็เป็นคนที่ไม่สามารถรักใครได้อยู่แล้ว เมื่อคิดได้ดังนั้นสีหน้าของโรสมอนด์ก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังคงหงุดหงิดที่เมื่อวานพลาดช่วงเวลาที่เหมาะสมไป แต่นางก็ตั้งสติด้วยการปลอบใจตัวเอง
“ไม่เป็นไร ทั้งข้าและฝ่าบาทก็ยังอายุไม่มาก โอกาสย่อมมีเข้ามาเรื่อยๆ”
จะติดก็เพียงเรื่องคราวนี้น่าจะทำให้นางสูญเสียความไว้วางใจจากเขาอย่างสิ้นเชิงแล้ว แต่ขอเพียงหาข้อแก้ตัวและสร้างโอกาสขึ้นมาใหม่เป็นพอ ทว่า หากยังไม่ได้ผล…
“ฝ่าบาท เหนือสิ่งอื่นใด”
คลาราเปลี่ยนเรื่องพูดเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศเย็นยะเยือกในตำหนัก
“เรามาคิดเรื่องวันเฉลิมฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพไม่ดีกว่าหรือเพคะ”
“…อะไร? อ้อ!”
โรสมอนด์พยักหน้าพลางหัวเราะออกมาราวกับว่านางลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิท
โรสมอนด์แต่งแต้มใบหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึมยิ่งกว่าครั้งไหนๆ คืนนี้จะเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิตของนาง คนที่ลำบากก็คือเหล่าข้ารับใช้ แต่พวกนางเองก็รู้ดีว่าคืนนี้สำคัญอย่างไรจึงไม่มีใครปริปากบ่น
หลังจากเตรียมตัวถึงสามชั่วโมงโรสมอนด์จึงค่อยมีสีหน้าพึงพอใจ ทุกอย่างสมบูรณ์แล้ว
“ไวน์กับยาอยู่ไหน” นางเอ่ยถามคลารา
สิ้นคำถามของโรสมอนด์ คลาราก็ยกขวดไวน์และยาขึ้นมาราวกับรออยู่แล้ว โรสมอนด์พยักหน้า ขณะที่ข้ารับใช้อีกคนก็นำผ้าคลุมไหล่สีดำที่คลุมได้ทั้งตัวมาคลุมให้นาง
“ตอนนี้ฝ่าบาทประทับอยู่ที่ตำหนักกลางแน่ใช่ไหม”
โรสมอนด์ถามให้แน่ใจอีกครั้ง ถ้าออกไปทั้งอย่างนี้แล้วพบว่าเขาไม่อยู่คงเสียเรื่องแย่ คลาราพยักหน้าเพื่อให้ผู้เป็นนายคลายกังวล
“แน่นอนค่ะ มาร์เชอเนส ไม่ต้องกังวลนะคะ”
“ดีมาก”
โรสมอนด์สูดหายใจลึกๆ เพื่อคลายความตึงเครียด หญิงสาวสวมรองเท้าส้นสูงสีแดงเดินออกจากตำหนักเวนไป ตอนนี้เป็นเวลาราวๆ สี่ทุ่ม โชคดีที่รอบข้างค่อนข้างมืด ชุดสีฉูดฉาดของนางจึงไม่เตะตาคนเท่าไรนัก
“ฝ่าบาท มาร์เชอเนสเอธิลเลอร์ขอเข้าเฝ้าเพคะ”
เวลานั้นลูซิโอกำลังจดจ่ออยู่กับงานดังเช่นทุกวัน ครั้นได้ยินเสียงของนางกำนัลเขาก็ขมวดคิ้วมุ่น ตั้งแต่เกิดเรื่องที่ระเบียงเขาก็ไม่ได้เจอโรสมอนด์เลย ตอนแรกเขาคิดจะส่งนางกลับไปแต่ก็เปลี่ยนใจเชิญเข้ามาเพราะถึงอย่างไรนางก็เป็นสนมของจักรพรรดิอย่างเป็นทางการแล้ว ไม่นานโรสมอนด์ที่คลุมทั้งตัวไว้ด้วยผ้าคลุมไหล่ก็เดินเข้ามา
“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอความรุ่งเรืองจงมีแด่มาวินอส”
“เจ้ามีธุระอะไร”
เขาถามเสียงเย็นแต่โรสมอนด์กลับไม่สลดเลยสักนิด นางเดินอย่างไม่สะทกสะท้านมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะรับแขกก่อนจะวางขวดไวน์ลงบนนั้น ริมฝีปากที่แต่งแต้มด้วยชาด[1]จนแดงก่ำเผยอออกเป็นรอยยิ้มทรงเสน่ห์
“ไม่ทราบว่าฝ่าบาทพอจะมีเวลาจิบไวน์กับหม่อมฉันไหมเพคะ”
“…ตอนนี้ข้ายุ่งมาก เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
“เย็นชาจังนะเพคะ”
โรสมอนด์พึมพำราวกับเขาทำเกินไปแต่ลูซิโอก็ยังคงเย็นชาไม่เปลี่ยน โรสมอนด์รู้สึกเสียใจเล็กน้อยกับท่าทีของอีกฝ่าย จากนั้นนางก็งัดไพ่ใบสุดท้ายออกมา
“ดื่มกับหม่อมฉันสักหน่อยเถอะเพคะ ทรงคิดเสียว่าเมตตาคนรักเก่าเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้”
“…”
“นะเพคะ”
“…เฮ้อ”
เขาถอนหายใจและเดินไปนั่งที่โต๊ะรับแขก โรสมอนด์ยิ้มอย่างพอใจและเดินไปหยิบแก้วไวน์จากตู้เก็บของที่อยู่ในห้อง นางหันหลังบังสายตาของอีกฝ่ายและรีบเทยาเร้ากำหนัดลงไปในแก้วไวน์ของลูซิโอก่อนจะรินไวน์ลงไป จากนั้นโรสมอนด์ก็หันหลังกลับมาอย่างสง่าผ่าเผย สองมือถือแก้วไวน์เดินมาที่โต๊ะ หญิงสาวยื่นแก้วที่มียาให้ลูซิโอพร้อมทั้งกล่าวอย่างสุภาพ
“ชนแก้วหน่อยไหมเพคะ”
***
“ฝ่าบาท มีข่าวว่าโรสมอนด์ไปที่ตำหนักกลางเพคะ”
ได้ฟังดังนั้น แพทริเซียที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ก็มีสีหน้าสงสัย
“โรสมอนด์หรือ?”
แต่เท่าที่นางรู้ความสัมพันธ์ของสองคนนั้นแตกหักไปแล้ว เช่นนั้นทำไม…? แพทริเซียเอียงคออย่างไม่เข้าใจ
“มีแผนการอะไรอีกล่ะเนี่ย”
“ก็คงจะไปยั่วยวนฝ่าบาทกระมังเพคะ”
“…ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น”
“เจ้าไม่กังวลบ้างเลยหรือ ข้ายังหงุดหงิดเลยนะเนี่ย” ราฟาเอลาเอ่ยถามอย่างไม่พอใจ “จู่ๆ จะมาไม้ไหน? หรือจู่ๆ นึกอยากจะมีลูกขึ้นมา?”
“…ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะถ้ามีลูกก็จะชิงตำแหน่งจักรพรรดินีได้ง่ายขึ้น”
“ทำไมเจ้าถึงสงบใจได้ขนาดนี้”
“ราฟาเอลา” แพทริเซียยิ้มบางๆ ให้กับราฟาเอลาที่กำลังโกรธ “ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุผลของมัน สิ่งที่ข้าต้องระวังในคืนนี้คือเรื่องที่ความรักของเขาจะกลับไปหาโรสมอนด์ หาใช่เรื่องอื่น”
“…?”
“อย่าห่วงไปเลย ข้าเองก็ไม่คิดที่จะถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียวอีกต่อไปแล้ว”
ทั้งราฟาเอลาและมีร์ยาต่างฉงนกับความมั่นอกมั่นใจที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนของแพทริเซีย แต่เพราะบรรยากาศไม่อำนวย ทั้งคู่จึงไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ แพทริเซียซึ่งเป็นคนเดียวในที่นี้ที่ดูผ่อนคลายลุกขึ้นจากที่นั่งเงียบๆ
“พวกเราไปเดินเล่นกันไหม แสงจันทร์งามทีเดียว”
***
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีแผนการอันใดจึงมาที่นี่” ลูซิโอเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แต่เจ้ามีเจตนาอะไรกันแน่ จู่ๆ ถึงมาทำเช่นนี้”
“เจตนาที่แท้จริงหรือเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันก็คนนะเพคะ ได้ยินถ้อยคำเช่นนั้นหม่อมฉันปวดใจยิ่งนัก”
“เฮอะ”
ลูซิโอหัวเราะขึ้นจมูก แต่โรสมอนด์กลับยกไวน์ขึ้นจิบอย่างไม่ยี่หระ เห็นดังนั้นลูซิโอก็ยกแก้วไวน์ขึ้นจิบตามโดยอัตโนมัติ มุมปากของโรสมอนด์ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“ร้อนเหมือนกันนะเพคะ”
โรสมอนด์ไม่ยอมพลาดโอกาส นางถอดผ้าคลุมไหล่ออกเผยให้เห็นผิวกายขาวผ่อง แต่ทว่าลูซิโอกลับเอาแต่จิบไวน์อย่างไม่สนใจ โรสมอนด์จึงกล่าวอย่างเสียดาย
“ตายจริง ฝ่าบาท หม่อมฉันพยายามถึงขนาดนี้แต่พระองค์ก็ยังไม่ชายตามองสินะเพคะ”
“สำหรับความสัมพันธ์ที่จบไปแล้ว เรื่องแบบนี้คงไม่เหมาะนัก ทั้งสำหรับเจ้า และข้า”
“ใช่แล้วเพคะ ฝ่าบาท เพราะพระองค์ช่างสูงศักดิ์นัก”
โรสมอนด์ที่เหลือแต่ชุดซับในบนร่างยิ้มอย่างยั่วเย้าพลางลุกขึ้น นางเดินไปหยุดอยู่ข้างกายลูซิโอ แนบร่างของตนกับร่างกายท่อนบนของเขา และพูดจายั่วยวนด้วยน้ำเสียงแหบต่ำ
“ทว่า แม้แต่มหาจักรพรรดิก็ต้องลุ่มหลงหญิงงามเมืองเพคะ”
“เจ้าต้องดูถูกตัวเองเช่นนั้นด้วยหรือ”
“หากได้ใช้เวลาทั้งคืนกับฝ่าบาท คงมีเลดี้มากมายในเมืองหลวงที่เต็มใจจะเป็นหญิงงามเมือง”
โรสมอนด์ไม่ได้ปฏิเสธ นางเป่าลมข้างหูอีกฝ่าย แต่ลูซิโอกลับถอนหายใจและผลักออก
“กลับไปเสียดีกว่า ไวน์ข้าก็ดื่มแล้ว…”
เสียงของลูซิโอเงียบไป โรสมอนด์ยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าใบหน้าของเขาเริ่มแดงและยับยู่อย่างทรมาน ต้องตกรางวัลให้หมอหลวงเสียหน่อยแล้ว นางไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะเข้าไปประชิดตัวเขาอีกครั้ง
“ตายจริง ฝ่าบาท? ทรงเป็นอะไรไปเพคะ”
“เจ้า…ใส่อะไรลงไปในไวน์…”
แค่พูดเขาก็ยังดูลำบาก โรสมอนด์ยิ้มอย่างชั่วร้ายทั้งยังทำเป็นไขสือ
“ตายจริง ฝ่าบาท ตรัสอะไรเช่นนั้นเพคะ หม่อมฉันก็ยังปกติดีแท้ๆ”
“แฮ่ก…ออกไปเดี๋ยวนี้”
“ตายจริง ฝ่าบาท ทรงอย่าทำเช่นนั้นสิเพคะ”
โรสมอนด์นั่งลงบนตักแกร่งก่อนจะโน้มตัวไปจ่อริมฝีปากที่ข้างหูของอีกฝ่ายและกระซิบ
“ทำแค่ครั้งเดียวก็สบายตัวแล้วเพคะ ฝ่าบาท”
“…”
“ไม่มีใครรู้จักร่างกายของฝ่าบาทดีไปกว่าหม่อมฉันแล้วมิใช่หรือ และผู้ที่รู้จักร่างกายของหม่อมฉันดีเท่าฝ่าบาทก็ไม่มีอีกแล้วเช่นกัน”
“ดูเหมือนในอดีตจะเป็นเช่นนั้น” เขาสะกดกลั้นไฟปรารถนาเอาไว้พลางเค้นเสียงลอดไรฟัน โชคดีที่เขายังทนได้ “แต่มันไม่ใช่แบบนั้นอีกต่อไปแล้ว”
“โง่เขลานัก”
โรสมอนด์ทาบริมฝีปากของตนลงบนริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง นางตั้งใจจูบเขายิ่งกว่าครั้งไหนๆ ก่อนจะถอนริมฝีปากออกนางก็กระซิบกับลูซิโอ
“มอบโอรสให้หม่อมฉันสักคนเถอะเพคะ ฝ่าบาท”
“สุดท้ายนี่ก็เป็นแผนของเจ้าสินะ ความทะเยอทะยานนั้นช่างน่าชื่นชมนัก”
“หากชมเชยหม่อมฉันบนเตียงจะเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่งเพคะ”
“ออกไปเดี๋ยวนี้”
เขาคำรามเสียงต่ำอย่างอดกลั้นแต่โรสมอนด์กลับยิ้มและยั่วโมโห
“ไม่เพคะ”
“อย่างนั้นรึ?” ลูซิโอหัวเราะด้วยสีหน้าทรมาน “ถ้าเจ้าไม่ไป ข้าคงต้องไปเอง”
ลูซิโอว่าพลางสลัดโรสมอนด์ออกจากตัวและเดินออกจากห้อง แต่ละก้าวของเขาดูทรมานด้วยฤทธิ์ของยาเร้ากำหนัดแต่เขาก็พยายามเดินต่อไป เมื่อถูกทิ้งไว้คนเดียวโรสมอนด์ก็นิ่วหน้าและกดยิ้มมุมปาก
“โถๆ ดิ้นรนไปก็เท่านั้น ถึงอย่างไรท่านก็ต้องตกอยู่ในอ้อมกอดของข้า”
***
มีร์ยารู้สึกได้ว่าแพทริเซียกำลังว้าวุ่นใจ แม้เจ้าตัวจะทำเหมือนไม่เป็นไร ทว่า คงมีแต่คนเสียสติเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าแพทริเซียกำลังจินตนาการถึงสถานการณ์ในตำหนักกลาง แค่ยอมรับออกมาตรงๆ น่าจะสบายใจกว่าแท้ๆ มีร์ยาถอนหายใจก่อนจะเอ่ยถาม
“หม่อมฉันไปดูลาดเลาที่ตำหนักกลางให้ดีไหมเพคะ”
“หมายความว่าอย่างไรหรือ มีร์ยา” แพทริเซียถามกลับด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เหตุใดเจ้าถึงพูดว่าจะไปที่นั่น”
“…”
“ตอนนี้น่าจะกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม ข้าในฐานะจักรพรรดินีไม่ควรเข้าไปขัด…”
ทันใดนั้นคำพูดของแพทริเซียก็หยุดชะงักกลางคัน นางยืนนิ่งทอดมองไปยังจุดหนึ่งอย่างใจลอย มีร์ยามองตามแพทริเซียไปโดยอัตโนมัติก่อนจะพึมพำออกมาอย่างประหลาดใจในทันใด
“ท่านผู้นั้น…พระจักรพรรดิมิใช่หรือเพคะ”
“ดูเหมือนจะใช่…อะไรกัน?”
แพทริเซียเอียงคออย่างสงสัยก่อนจะก้าวไปข้างหน้าอย่างเนิบช้าโดยไม่รู้ตัว ใจนางเอาแต่คิดปลอบใจตัวเองว่านี่เป็นเพียงความสงสัยตามปกติเท่านั้น ขณะที่มีร์ยาและราฟาเอลาก็เดินตามไปด้วย
ตอนที่แพทริเซียเกือบจะไปถึงตัวลูซิโอ นางก็ต้องตกใจกับสภาพของเขา
“…ฝ่าบาททำอะไรอยู่เพคะ” หญิงสาวเอ่ยถามอย่างสับสน
ใบหน้าของเขาเห่อแดงราวกับมีไข้ ลมหายใจหอบถี่ สองขาสั่นเทา และสีหน้าดูทรมานราวกับกำลังอดกลั้นอะไรบางอย่าง แพทริเซียตระหนักได้ในทันทีว่าโรสมอนด์เล่นพิเรนทร์อีกแล้ว นางนึกเย้ยหยันในใจ เฮ้อ โรสมอนด์ เจ้านี่มันกู่ไม่กลับจริงๆ
“ดูท่ามาร์เชอเนสจะทำอะไรต่ำช้าลงไปสินะเพคะ”
“…แฮ่ก”
“รีบไปกกกอดนางสิเพคะ ฝ่าบาท ทำเช่นนั้นแล้วคงจะสบายตัวขึ้น”
แพทริเซียว่ากล่าวอีกฝ่ายเสียงดังด้วยสายตาเย็นชา ด้านลูซิโอ แม้สีหน้าของเขาจะไร้เรี่ยวแรง แต่ก็ยังคงเผยยิ้มพลางพึมพำ
“ขอโทษนะ จักรพรรดินี แต่เรามิอาจทำเช่นนั้นได้”
“…หมายความว่าอย่างไรเพคะ”
“หมายความว่าเราไม่คิดจะกอดนางเลยสักนิด”
“เช่นนั้นก็ไปกอดนางกำนัลคนอื่นก็ได้นี่เพคะ ขอแสดงความยินดีด้วยนะเพคะ ฝ่าบาท หากเป็นไปด้วยดี พรุ่งนี้คงมีสนมเพิ่มขึ้นมาอีกคน”
“แฮ่ก…เรื่องเช่นนั้นเราก็ไม่คิดจะทำ”
“เช่นนั้น… ทรงคิดจะทำอะไรกันแน่เพคะ ผู้ที่กินยาเร้ากำหนัดเข้าไป หากไม่ได้ปลดปล่อยความปรารถนา ฤทธิ์ของยาจะไม่คลายนะเพคะ ฝ่าบาทอยากจะสิ้นสติไปทั้งอย่างนี้หรือเพคะ” แพทริเซียเอ่ยถาม นางรู้สึกว่าคำพูดของอีกฝ่ายช่างเหลวไหล และนางไม่สามารถเก็บซ่อนความรู้สึกนั้นได้
“เราไม่สน เรื่องนี้คงไม่เกี่ยวกับเจ้ากระมัง”
“…”
แพทริเซียรู้สึกจุกอกจึงตะคอกใส่อีกฝ่าย
“เพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันล้ำเส้นไป ขอประทานอภัยด้วยเพคะ”
“…”
“ทว่า หม่อมฉันเป็นอัครมเหสีของพระองค์ ในเมื่อพระองค์ตกอยู่ในสภาพที่ลำบากเช่นนี้ หม่อมฉันย่อมต้องถวายความช่วยเหลือเพคะ” จากนั้นแพทริเซียก็หันไปออกคำสั่งกับมีร์ยา “มีร์ยา เจ้าไปเชิญมาร์เชอเนสเอธิลเลอร์มา”
“ฝ่าบาท…”
“เร็วสิ! เจ้าคิดจะขัดคำสั่งข้าหรือ”
ทว่า มีร์ยากลับส่ายศีรษะด้วยสายตาแน่วแน่ราวกับนางจะไม่ทำตามคำสั่งนั้นเด็ดขาด ลูซิโอฉีกยิ้มพลางกล่าวกับแพทริเซีย
“เสียใจด้วยนะ แต่เราเป็นฝ่ายปฏิเสธมาร์เชอเนสเอง”
“มีร์ยา เจ้าไปพานางกำนัลตำหนักจักรพรรดินีที่มีรูปโฉมงดงามมาคนหนึ่ง เอาคนที่จิตใจดีมีมารยาทนะ”
“ฝ่าบาท… เรื่องแบบนั้นหม่อมฉัน…”
“เร็วสิ! ฝ่าบาทกำลังลำบาก เจ้ายังจะมีปัญหาอะไรอีก”
“…เจ้านี่มีพรสวรรค์ในการทำให้เราดูน่าสมเพชนะ”
[1] ชาด คือ วัตถุสีแดงสดชนิดหนึ่ง มีทั้งชนิดที่เป็นผงและเป็นก้อน ใช้ทำยาไทยหรือผสมกับนํ้ามันสำหรับประทับตราหรือทาสิ่งของ
“…”
เปโตรนิยาสะดุ้งตกใจกับคำพูดของเจ้าของแผงลอย นางมองไปที่อีกฝ่ายด้วยสีหน้าตกใจ นางเป็นหญิงชราที่สวมเสื้อคลุมสีดำ เรือนผมสีดอกเลาของนางยาวถึงหน้าอก นางดูแปลกประหลาดอาจเป็นเพราะเสื้อคลุมสีดำตัวนั้น
“ทะ…ท่านพูดเรื่องอันใด…”
“…”
“ไม่ว่าใครต่างก็กลัวอนาคตที่ยังมาไม่ถึงกันทั้งนั้นมิใช่หรือคะ แต่คำพูดของท่านยายดูราวกับว่าท่านไม่กลัวอย่างไรอย่างนั้น”
“แม่หนูกล่าวได้ถูกต้อง ทว่า…” หญิงชรายิ้มจนเห็นฟันที่เหลืออยู่ไม่กี่ซี่ “ต่อให้กลัว แต่หากมีโอกาสดีๆ เข้ามาเช่นแม่หนู ก็ใช่ว่าพวกเขาจะไม่คว้าเอาไว้”
“….”
สีหน้าของเปโตรนิยาซีดเผือดราวกับถูกมองทะลุความคิด รอธซีมองสำรวจใบหน้าของหญิงสาวราวกับจะถามว่านางเป็นอะไรหรือไม่ แต่เปโตรนิยาก็ทำเพียงพยักหน้าให้เขาครั้งหนึ่งเพื่อบอกว่าไม่เป็นไรเท่านั้น และคำพูดของหญิงชราก็ยังไม่จบแต่เพียงเท่านั้น
“แม่หนูกลัวล่ะสิ กลัวว่าเรื่องจะซ้ำรอย”
“ท่านรู้เรื่องได้อย่างไรคะ”
“แค่กลตื้นๆ น่ะ”
คำพูดอันไร้ที่มาที่ไปของหญิงชราทำให้เปโตรนิยาสับสน จากนั้นนางก็กล่าวต่อไปด้วยรอยยิ้ม
“ดูเหมือนเจ้าจะชอบลูกแก้วนั่น รับไปสิ”
“แล้วราคา…”
“ไม่จำเป็น”
ได้ยินคำพูดของรอธซี หญิงชราก็ตอบอย่างเฉียบขาด จากนั้นนางก็หัวเราะน้อยๆ และกล่าวเสริม
“จ่ายด้วยพ่อหนุ่มก็แล้วกัน”
“…ครับ?”
ต่อให้เป็นรอธซี แต่เจอคำพูดแบบนี้ก็ตกใจอยู่เหมือนกัน
“เอาล่ะ แม่หนู คาเพ เดียม[1] จงมีความสุขกับปัจจุบัน” หญิงชราพูดต่อ
“…”
“ถึงอย่างไรเรื่องมันก็ผิดเพี้ยนมาตั้งแต่แรกแล้วมิใช่หรือ”
“ท่านรู้ได้อย่าง…”
เปโตรนิยาพูดพึมพำราวกับถูกปิศาจสูบวิญญาณไป รอธซีรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ จึงเร่งเปโตรนิยาให้รีบออกจากตรงนี้
“เลดี้ ข้าว่าเราไปกันดีกว่าครับ”
“เอ่อ…เดี๋ยวก่อนค่ะ”
เปโตรนิยาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ท่านยายเป็นใครคะ? พระเจ้าหรือคะ? หรือว่า…”
“พระเจ้าหรือ… เป็นคำที่ข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อยคนนี้มิอาจเอื้อมกระมัง”
หญิงชรายิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะยื่นลูกแก้วที่มีสีคล้ายกับท้องฟ้ายามค่ำคืนให้เปโตรนิยา เปโตรนิยารับสิ่งนั้นมาอย่างงุนงง
“เอาล่ะ แม่หนู หากมีเรื่องกลุ้มใจก็ลองมองเข้าไปในลูกแก้วดูนะ” หญิงชราชี้แนะอย่างอารี
“…”
“ใครจะรู้ ไม่แน่อาจจะได้คำตอบก็เป็นได้”
เปโตรนิยายืนนิ่งงันอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าสับสนวุ่นวาย ก่อนจะถูกรอธซีดึงออกจากร้านมาด้วยรู้สึกถึงอันตราย คล้อยหลังคนทั้งคู่ หญิงชราก็เดาะลิ้นและหัวเราะออกมา จากนั้นนางก็เริ่มเช็ดฝุ่นที่เกาะอยู่บนลูกแก้วใบอื่นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
***
ในอีกด้านหนึ่ง โรสมอนด์กำลังมองดูดอกกุหลาบหนึ่งร้อยดอกที่ถูกส่งมาจากตำหนักจักรพรรดินีด้วยสีหน้าตกตะลึง นางมองมีร์ยาคล้ายจะถามว่าเอาความว่าคิดจะทำอะไร แต่ดูไปดูมาสีหน้าของมีร์ยาก็ดูไม่ค่อยพอใจเช่นกัน เช่นนั้นก็หมายความว่านี่เป็นการกระทำของจักรพรรดินีแต่เพียงผู้เดียว… เมื่อคิดได้ดังนั้นนางก็ยิ่งรู้สึกงงงัน
พอรู้ว่าตัวเองเป็นหมันก็เลยเสียสติไปแล้วกระมัง
“จักรพรรดินีพระราชทานมาให้?”
“เป็นเช่นนั้นค่ะ มาร์เชอเนส”
“เฮอะ” นางส่ายหน้าพลางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ฝากขอบพระทัยฝ่าบาทด้วยแล้วกัน แล้วก็ทูลถามด้วยว่าพระองค์ประชวรตรงไหนหรือเปล่า”
“…”
มีร์ยาอยากจะสวนกลับไปว่าถามแล้ว แต่สุดท้ายนางก็เลือกที่จะเงียบไว้และออกจากตำหนักเวนไปทันทีด้วยสีหน้าไม่พอใจ สีหน้าของคลาราเองก็ดูไม่มีชีวิตชีวาเช่นกัน คล้ายว่านางไม่เข้าใจสถานการณ์เลยแม้แต่น้อย
“อะไรล่ะเนี่ย แผนหลอกให้ตายใจหรืออย่างไร” โรสมอนด์เอ่ยถาม
“…คนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างพระจักรพรรดินีน่ะหรือคะ”
“ก็ไม่เห็นว่าจะวางแผนอะไรไว้นี่” โรสมอนด์เอียงคอพลางบ่นพึมพำ “นี่ คลารา จักรพรรดินีเป็นหมัน นางมีลูกไม่ได้ และนางก็ไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่เหมือนอดีตจักรพรรดินีอลิซา หากข้ามีพระโอรส นางก็ยากที่จะรักษาตำแหน่งไว้ได้…”
อืม… โรสมอนด์ครุ่นคิดหาคำตอบที่พอจะเป็นไปได้
“คิดจะประจบสอพลอกระมัง?”
“เห็นเป็นอื่นไปมิได้แล้วค่ะ มาร์เชอเนส”
“เฮอะ” โรสมอนด์พ่นลม “ทำเป็นสูงส่งหนักหนา ที่แท้ก็ไม่เท่าไร”
“ถึงอย่างไรก็เป็นหมัน นางจะไปทำอะไรได้ล่ะคะ”
“แต่ก็อย่าเพิ่งวางใจไป เจ้าจับตาดูสถานการณ์ของตำหนักจักรพรรดินีอยู่ใช่ไหม”
“ค่ะ มาร์เชอเนส ท่านอย่าได้กังวล”
ได้ฟังดังนั้นโรสมอนด์ก็มีสีหน้าผ่อนคลายและยิ้มออกมา
“ใช่สิ นี่แหละถูกต้องแล้ว”
“…”
“เพราะเดิมทีมันก็เป็นที่ของข้าอยู่แล้ว”
โรสมอนด์คิดว่าตอนนี้ทุกอย่างเริ่มจะเข้าที่เข้าทาง ตำแหน่งจักรพรรดินีก็เป็นของนาง ยิ่งตำแหน่งพระพันปียิ่งแล้วใหญ่ นางจะต้องเป็นสตรีที่สูงศักดิ์ที่สุดในจักรวรรดินี้ให้จงได้ ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรก็ตาม
***
“หญิงชราคนนั้นดูแปลกๆ นะครับ เลดี้ไม่คิดเช่นนั้นหรือ”
รอธซีพูดด้วยสีหน้าคาใจ แต่เปโตรนิยากลับตอบราวกับไม่รู้สึกอะไร
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ลอร์ด”
“อืม…”
รอธซีครุ่นคิดด้วยสีหน้ายากจะคาดเดา ทันใดนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงเสียดาย
“ว่าแล้วเชียว…”
“…?”
“มีอีกหลายเรื่องที่ข้ายังไม่รู้สินะครับ”
“…”
“เลดี้”
รอธซีสบตากับหญิงสาวด้วยรอยยิ้มอบอุ่น นี่เป็นครั้งแรกที่เปโตรนิยาไม่หลบตา
“ขอให้ข้าได้อยู่ข้างๆ เพื่อทำความรู้จักเลดี้ต่อไปจะได้ไหมครับ” เขาถาม
“…”
แปะ แปะ
ในตอนนั้นเองท้องฟ้าที่เคยปลอดโปร่งก็มีเม็ดฝนร่วงลงมา ก่อนจะได้ฟังคำตอบ รอธซีก็รีบถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกมาคลุมศีรษะให้เปโตรนิยาและกล่าวอย่างเร่งร้อน
“หาที่หลบฝนกันดีกว่าครับ”
“…”
“ไปร้านตรงนั้นกันเถอะครับ เลดี้”
“เปโตรนิยา”
เปโตรนิยาพูดชื่อของตนออกมาลอยๆ รอธซีทำสีหน้าสงสัยขณะที่มือก็ยังคงถือเสื้อคลุมศีรษะให้หญิงสาว
“เลดี้ครับ ไว้เราค่อยคุยกันทีหลัง…”
“เรียกว่าเปโตรนิยาเถอะค่ะ รอธซี”
“…เปโตรนิยา”
ทั้งคู่ยืนมองหน้ากันราวกับลืมไปแล้วว่าฝนกำลังตก ผู้คนรอบตัวกำลังวุ่นวายกับการหาที่หลบฝนที่จู่ๆ ก็เทลงมา ครั้นเห็นทั้งสองคนยืนเด่นอยู่กลางถนนก็นึกขำ แน่นอนว่าสำหรับคนทั้งคู่แล้วนี่เป็นสถานการณ์ที่จริงจังอย่างมาก
“ข้า…” เปโตรนิยาเอ่ยปากอย่างเนิบช้า “กลัวมากเหลือเกินค่ะ”
“หมายความว่าอย่างไรครับ”
“ข้ากลัวการตกหลุมรัก” เปโตรนิยาพูดต่อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ข้าไม่เชื่อเรื่องพรหมลิขิต ข้าเคยเชื่อและต้องพบกับความเจ็บปวดแสนสาหัส ข้าเคยคิดว่าเขาคือคู่แท้ของข้า แต่ความจริงมันไม่ใช่เลย”
เปโตรนิยายิ้มอย่างขมขื่น ในขณะที่รอธซีก็ยังคงตั้งใจฟัง แม้สายฝนจะเทกระหน่ำลงมา
“ข้าสาบานกับตัวเองไว้ว่าจะไม่รักใครอีก ข้าคิดว่าความรักไม่เหมาะกับข้า ข้าไม่สามารถรักใครได้ตั้งแต่แรกแล้วและนั่นคือโชคชะตาที่แท้จริงของข้า เพราะเชื่อเรื่องไร้สาระอย่างเรื่องพรหมลิขิต คนรอบตัวข้าถึงต้องเดือดร้อน”
“…”
“เพราะฉะนั้นข้าจึงไม่คิดที่จะรักใครจนวันตายค่ะ ข้าตั้งใจว่าจะไม่แต่งงาน ต่อให้ข้าต้องหยุดความรักเอาไว้ก็ตาม”
“…เปโตรนิยา”
“ข้าอาจจะยังไม่คุ้นชินและยังอ่อนประสบการณ์ บางทีข้าอาจมิใช่คนที่น่าสนใจและไม่มีเสน่ห์ด้วยก็ได้ค่ะ”
เปโตรนิยาเงยหน้ามองรอธซีที่เปียกปอนด้วยสายฝนอย่างเศร้าสร้อย
“แต่ถึงกระนั้นหากท่านไม่ว่าอะไร… หากท่านพึงใจที่ข้าเป็นเช่นนี้…”
“…”
“ข้าก็อยากจะคบหากับท่านค่ะ”
“…”
เปโตรนิยารอคอยคำตอบด้วยร่างกายสั่นเทา รอธซีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเรียกหญิงสาวด้วยน้ำเสียงที่สั่นยิ่งกว่า
“เปโตรนิยา”
“…คะ”
“ในงานรำลึกฯ ข้าได้พูดไปแล้ว และเมื่อครู่ข้าก็เพิ่งจะพูดไปเช่นกัน”
“…”
เขาขยับเข้าไปใกล้เปโตรนิยา หญิงสาวขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว รอธซีเห็นดังนั้นก็ช่วยคลายหัวคิ้วให้อย่างแผ่วเบาและพูดอย่างอ่อนโยน
“เปโตรนิยา”
“…คะ”
“ข้ารักท่าน”
“…”
“มากเหลือเกิน”
“…”
“ท่านเป็นสตรีที่วิเศษมากพอที่จะมีความรัก และมากพอที่จะได้รับความรัก ต่อให้ไม่ใช่ข้า ผู้ชายที่ไหนก็ทนไม่ได้หรอกครับที่จะไม่ตกหลุมรักท่าน”
“…แต่ว่า”
“ชู่ว เพราะฉะนั้นเลิกดูถูกตัวเองเถอะนะครับ เปโตรนิยา ท่านกำลังประเมินตัวเองต่ำเกินไป”
“…ขอบคุณนะคะ”
เปโตรนิยายอมเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของรอธซีที่สูงกว่านางหนึ่งคืบด้วยสีหน้าตื้นตัน ตอนแรกรอธซีดูตกใจทำอะไรไม่ถูก แต่ทันใดนั้นเขาก็กอดเปโตรนิยาอย่างแผ่วเบา เปโตรนิยาหลั่งน้ำตาเงียบๆ มือของนางขยุ้มเสื้อของอีกฝ่ายแน่น
และสายฝนก็ยังคงกระหน่ำลงมาไม่หยุด
***
“เป็นอย่างไรบ้าง”
มีร์ยามีสีหน้าลำบากใจกับคำถามของแพทริเซีย เป็นอย่างไรน่ะหรือ? ไม่รู้สิ ข้ายังต้องกราบทูลอะไรอีกหรือ แต่ถึงกระนั้นมีร์ยาก็ตอบออกไปตามจริง
“…ท่าทีดูไม่ดีเท่าไรเพคะ ดูตกตะลึง”
“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น”
แพทริเซียพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ
“หากนางไม่ตกใจก็คงเป็นข้าที่จะตกใจ”
“ฝ่าบาท ขอประทานอภัยที่หม่อมฉันต้องกราบทูลเช่นนี้” มีร์ยากล่าวด้วยสีหน้าอัดอั้นตันใจ “หม่อมฉันเบาปัญญานักจึงมิอาจเข้าใจความคิดของพระองค์ได้เพคะ”
“ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก”
แพทริเซียหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยคำพูดที่ไม่รู้ว่าพูดคนเดียวหรือกำลังอธิบายให้ฟัง
“ก็แค่…ข้าคิดว่าการแสดงให้นางเห็นว่าข้ากำลังทำอย่างที่นางต้องการเป็นเรื่องสำคัญ”
“…เพคะ?”
“ที่เหลือเป็นความลับ อาจไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลยตลอดกาลหรือสักวันข้าอาจจะพูดออกมาก็เป็นได้”
“ฝ่าบาทกำลังตรัสถึงเรื่อง…”
“สิ่งที่สำคัญคือข้ารู้ว่าข้ากำลังทำอะไร แต่หากมีผู้อื่นล่วงรู้ เรื่องอาจจะรั่วไหลออกไปได้น่ะสิ”
แพทริเซียยังคงทำเป็นไขสืออย่างเสมอต้นเสมอปลาย และมีร์ยาก็รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้อีก ข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ต้องเข้าใจความคิดของผู้เป็นนายและปฏิบัติตัวตามนั้น สุดท้ายนางก็เลือกที่จะเงียบปาก
“ฝนตกนี่”
แพทริเซียมองสายฝนนอกหน้าต่างที่เริ่มหนาเม็ดขึ้นพลางพูดพึมพำ
“เดตของนีย่าคงจะไม่ล่มใช่ไหมนะ ช่างน่าเป็นห่วง”
“เดิมทีความสัมพันธ์ของคนเราจะพัฒนาก็ต่อเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายที่เหมาะสมเพคะ”
มีร์ยายิ้มกว้างพลางกล่าวกับหญิงสาว “ทรงอย่าเป็นกังวลไปเลยเพคะ เลดี้ทั้งสวยทั้งฉลาด”
“…ใช่แล้ว เป็นเช่นนั้นจริง”
ข้าก็เป็นห่วงไม่เข้าเรื่อง ตัวเองยังจะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว แพทริเซียพึมพำอย่างขมขื่น จากนั้นก็ออกคำสั่งกับมีร์ยาเบาๆ ให้ชงชาลาเวนเดอร์เข้มๆ มาให้
***
“ฮัดเช่ย!”
เปโตรนิยาจามเสียงดังหลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกออกแล้ว เพราะตากฝนจนเปียกโชก รอธซีจึงเป็นห่วงสุขภาพของนางอย่างมาก แม้นางจะยืนยันว่าไม่เป็นไร เขาก็ยังพานางมาส่งที่คฤหาสน์มาร์ควิส แต่สุดท้ายผลลัพธ์ที่ออกมาก็ไม่ค่อยดีนัก
“คุณหนูก็เหลือเกิน ไปเดตก็ดีอยู่หรอกแต่ต้องคิดถึงสุขภาพด้วยสิคะ” สาวใช้เอ็ด
“ก็มัน…เกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อยน่ะ”
“ถ้าเป็นหวัดจะทำอย่างไร”
สาวใช่บ่นพึมพาอย่างเป็นทุกข์ ในขณะที่เปโตรนิยาได้แต่ยิ้มแหย การสารภาพรักกลางสายฝนอาจทำให้นางเป็นหวัดแต่มันก็ทำให้นางมีความรักครั้งใหม่ด้วย เมื่อลองคำนวณส่วนได้ส่วนเสียแล้วก็ไม่นับว่าขาดทุน เปโตรนิยาถามสาวใช้ที่กำลังเช็ดลูกแก้วที่นางได้รับมาจากร้านแผงลอยเมื่อครู่อย่างแผ่วเบา
“ถ้าเป็นหวัดจะทำอย่างไรดี”
“ไม่รู้สิคะ คุณหนู ทำอะไรไว้ก็ได้รับผลเช่นนั้นแหละค่ะ”
ท่าทางอีกฝ่ายจะยังรู้สึกไม่ดีที่นางไม่สบาย
“จะว่าไปแล้วลูกแก้วนี่คืออะไรคะ คุณหนูแอบไปเรียนวิธีตรวจดวงชะตามาหรือ”
“เอ่อ…เปล่า มันไม่ได้มีไว้ใช้แบบนั้น”
“ถ้าอย่างนั้น?”
“ก็แค่…” เปโตรนิยาคิดหาคำตอบดีๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “อุปกรณ์ช่วยแก้ปัญหาคิดไม่ตกน่ะ เห็นว่าเวลามีเรื่องให้คิดก็ให้เอามือวางลงบนลูกแก้วแล้วจะช่วยได้”
“…ฟังดูเหมือนลัทธินอกรีตเลยนะคะ”
“ข้าไม่ได้ถูกหลอกหรอกน่า วางใจได้”
เปโตรนิยาพูดด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มก่อนจะไหว้วานสาวใช้
“ถามไปทางคฤหาสน์เคานต์เบรดิงตันให้ทีได้ไหม ข้าเป็นหวัดเสียแล้ว ไม่รู้ลอร์ดจะเป็นหวัดด้วยหรือไม่”
“ไว้ข้าจะไปถามมาให้นะคะ คุณหนู เลิกกังวัลแล้วรีบพักผ่อนเถอะค่ะ”
“อืม เข้าใจแล้ว”
พูดจบ สาวใช้ก็ห่มผ้าให้เปโตรนิยาที่เอนตัวนอนอยู่บนเตียงจนปิดถึงคอก่อนจะออกจากห้องไป เปโตรนิยาหลับตาลงพลางหวนคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นท่ามกลางสายฝนเมื่อครู่แล้วหลับไป
[1] Carpe Diem อ่านว่า คา-เพ-เดียม มาจากบทกวีละติน แปลว่า “Seize the day” หรือ “จงฉกฉวยเวลา” เป็นการเตือนคนให้อยู่กับปัจจุบัน
ตอนนี้เปโตรนิยากำลังประหม่าเพราะนางเพิ่งเคยทำอะไรแบบนี้เป็นครั้งแรก นางค่อยๆ เหลือบมองรอธซีที่เอาแต่เดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ข้างๆ พลางคิดว่าแสงแดดพอเหมาะที่ส่องกระทบใบหน้าของเขาดูคล้ายกับแสงรัศมีอย่างไรอย่างนั้น ในตอนนั้นเองรอธซีก็เอ่ยปากถาม
“มีอะไรติดที่หน้าข้าหรือเปล่าครับ เลดี้”
“ปะ เปล่าค่ะ” เปโตรนิยาตกใจพลางรีบแก้ตัว “ข้ากำลังชมการแต่งกายของท่านอยู่ค่ะ วันนี้ท่านดูดีมาก”
“ดีจังเลยครับที่ถูกใจเลดี้” เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดต่อ “ข้ากังวลทีเดียวครับ หากเลดี้ไม่พอใจข้า…จะทำอย่างไร”
“…หากเป็นเช่นนั้นข้าคงไม่รับข้อเสนอของลอร์ดหรอกคะ”
“ขอบคุณครับ เลดี้” รอธซีกล่าวขอบคุณก่อนจะเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “เลดี้มีเรื่องที่อยากทำหรือเปล่าครับ”
“เรื่องที่อยากทำหรือคะ”
“ข้าวางแผนจะใช้เวลาในวันนี้กับเลดี้ทั้งวัน ดังนั้นข้าจึงอยากจะทำอะไรที่เลดี้อยากทำครับ”
“อ่อ…”
เปโตรนิยาไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าตนจะต้องมานำเดตเช่นนี้ นางจึงอดตกใจกับคำพูดของรอธซีไม่ได้ หญิงสาวพึมพำด้วยสีหน้าลำบากใจ
“ที่จริง…ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยค่ะ”
“อ้าว อย่างนั้นหรือครับ”
รอธซีกล่าวอย่างเสียดาย
“ถ้าอย่างนั้นเริ่มคิดตอนนี้เลยก็ได้ครับ ไม่ต้องกังวัลนะครับ”
“ลอร์ดมีอะไรที่อยากทำไหมคะ”
“ข้าไม่ได้บอกไปแล้วหรือครับ” รอธซียิ้มอย่างทรงเสน่ห์ “ข้าสนุกกับทุกเรื่องที่ได้ทำกับเลดี้ครับ”
“…”
“ไม่ว่าจะทำอะไร ขอแค่มีเลดี้อยู่ข้างๆ ก็พอแล้วครับ”
“…ค่ะ”
ผู้ชายคนนี้ชอบพูดอะไรน่าอายอยู่เรื่อย ไปเรียนมาจากที่ไหนกัน เปโตรนิยาคิดอย่างไม่พอใจก่อนจะพึมพำกับตัวเองว่าต้องทำอย่างไรให้วันนี้กลายเป็นวันสุดท้ายที่จะได้พบกัน
เรื่องนั้นก็ง่ายๆ แค่ทำให้ชายคนนี้เอือมนางก็พอแล้ว เมื่อคิดได้ดังนั้นสีหน้าของเปโตรนิยาก็พลันสดใสขึ้นมา หญิงสาวเรียกอีกฝ่าย
“ลอร์ดคะ”
“ครับ เลดี้ เชิญกล่าวมาได้เลยครับ”
“ข้ามีเรื่องที่อยากทำแล้วค่ะ”
“อะไรหรือครับ”
แพทริเซียยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์พลางตอบ
“ข้าอยากไปลานประลองค่ะ”
“…ลานประลองหรือครับ”
สีหน้าของรอธซีในตอนนี้ใครได้เห็นก็ต้องดูออกว่าเขากำลังตกใจ เขาถามย้ำอีกครั้ง และเปโตรนิยาก็พยักหน้ารับคำ
“ค่ะ ลานประลอง”
“ลานประลองที่มีนักสู้ถือดาบมาสู้กัน ที่…”
“ค่ะ ลานประลองนั้นแหละค่ะ” เปโตรนิยากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ที่มีคนออกมาสู้กันจนกว่าจะตายกันไปข้างนั่นแหละค่ะ”
ที่จริงแล้วเปโตรนิยาไม่เคยไปลานประลองมาก่อน นางไม่เข้าใจพวกขุนนางที่สนุกกับการเสียเลือดเสียเนื้อโดยไม่จำเป็นด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม สำหรับตอนนี้นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด ใครจะมาชมชอบสตรีที่ใจเหี้ยมขนาดนี้ เปโตรนิยาคิดว่าแผนการของตนจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอนจึงยิ้มอย่างพออกพอใจ แต่นางคงลืมอะไรไปอย่าง
“…”
“เลดี้ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ว้าย จะไม่เป็น…! ไม่เป็นไรค่ะ!”
สิ่งที่นางลืมไปก็คือนางไม่เคยชมการต่อสู้มาก่อน เปโตรนิยารู้สึกว่าตัวเองแพ้น็อคตั้งแต่สิบนาทีแรกหลังเริ่มการต่อสู้และอยากจะออกไปจากที่นี่เต็มที แต่หากนางพูดออกไปนางก็จะกลายเป็นคนขี้โกหก อ๊ะ เดี๋ยวนะ แบบนี้ก็ไม่เลว?…เสียที่ไหนล่ะ หากเจอกันครั้งหน้านางคงรู้สึกตะขิดตะขวงใจอย่างมาก เปโตรนิยาเปลี่ยนความคิด
“ไม่เป็นไรหรือครับ เลดี้? จริงๆ หรือครับ?” แต่ในสายตารอธซีดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้นเลย “ถ้าไม่อยากดูต่อแล้วจะออกไปก็ได้นะครับ เลดี้”
“แต่ว่า…” เปโตรนิยาไม่อาจปฏิเสธเป็นครั้งที่สอง นางบ่นพึมพำ “เงินก็จ่ายไปแล้วนะคะ”
น่าเสียดายออก… เปโตรนิยาพึมพำทั้งหลับตาแน่นอย่างทำอะไรไม่ถูก รอธซีรู้สึกว่าหญิงสาวน่ารักเป็นบ้าและพูดราวกับเขาไม่ได้สนใจเรื่องเงิน
“ออกไปกันเถอะครับ เลดี้”
“แต่เงิน…”
“ข้ามีเงินเยอะครับ ไม่เป็นไรหรอกครับ”
พูดจบรอธซีก็อุ้มร่างบางขึ้นโดยไม่ถามความสมัครใจของเจ้าตัวสักคำ แน่นอนว่าสายตาของคนรอบข้างย่อมพุ่งเป้ามาที่ทั้งสองคน เปโตรนิยาแหวออกมาเบาๆ และหลับตาแน่นด้วยความอับอายเหลือทน
“ทำอะไรคะ นี่มันที่สาธารณะนะ!”
“พวกเรากำลังเดตกันอยู่คงไม่เป็นไรหรอกครับ ทุกคนน่าจะเข้าใจ”
…หากจะพูดกันตามตรงคือ สายตาของผู้ชายโดยรอบดูคล้ายอยากจะโยนทั้งคู่ลงไปในสนามประลอง แต่ในเมื่อเปโตรนิยาหลับตาอยู่ เพราะฉะนั้นก็ช่างเถอะ รอธซีก้มลงไปกระซิบข้างหูเปโตรนิยาอย่างแผ่วเบา
“รอสักครู่นะครับ เดี๋ยวก็จะได้ออกไปแล้ว”
“…”
เปโตรนิยาเอาแต่หลับตาไม่พูดอะไร ในระหว่างนั้นก็มีเสียงโห่ร้องดังกระหึ่มจนแก้วหูแทบแตก ดูเหมือนจะมีนักสู้คนหนึ่งตายไปแล้ว ทำไมคนพวกนี้ถึงมองเป็นเรื่องสนุกได้นะ เปโตรนิยาขมวดคิ้วมุ่นทั้งที่ยังหลับตา ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงของรอธซีอีกครั้ง
“คิดเสียว่าที่นี่คืองานเลี้ยงสิครับ”
“…”
“รอบข้างเต็มไปด้วยของหวานมากมาย”
“…อา”
ได้ฟังดังนั้น ใจของเปโตรนิยาก็สงบลงได้บ้าง ขณะที่นางกำลังคิดถึงบราวนีในงานรำลึกวันสถาปนาจักรวรรดิที่นางกินไม่หมด แสงแดดก็ส่องลงมากระทบเปลือกตา เมื่อลืมตาขึ้น นางก็สบเข้ากับสายตาของรอธซีที่หวานยิ่งกว่าช็อคโกแลตในบราวนี เปโตรนิยารู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องโดยไม่รู้ตัว
“เอ่อ…”
“ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วนะครับ เลดี้”
“…ขอบคุณค่ะ” เปโตรนิยากล่าวขอบคุณก่อนจะสำรวจท่าทีของอีกฝ่ายและร้องขอ “เอ่อ…ปล่อยข้าลงตรงนี้เลยก็ได้ค่ะ”
“ไม่ครับ”
ได้ยินดังนั้นเปโตรนิยาก็ตะลึงงัน
“ทำไมล่ะคะ”
“ไม่ปล่อยให้ลงหรอกครับ”
“ตอนนี้ข้าอายมากๆ เลยค่ะ”
คนที่เดินผ่านไปผ่านมากำลังมองมาทางนี้ ให้ตกเป็นเป้าสายตาเช่นนี้ข้าไม่เอาด้วยหรอก นางเอ่ยปาก
“รีบปล่อยข้าลงไปเถอะค่ะ”
“เรียกชื่อข้าสักครั้งสิครับ” เขาขอร้องพลางยิ้มอย่างซุกซน “แค่ครั้งเดียวครับ”
“…”
ขี้โกงนี่นา เปโตรนิยาถอนหายใจในใจพลางเอ่ยชื่อหนึ่งออกมา
“…รอธซี”
“ขอบคุณครับ เปโตรนิยา”
รอธซีทำเนียนเรียกชื่อของหญิงสาวก่อนจะปล่อยร่างบางลงยืนบนพื้น เปโตรนิยาหน้าแดงโดยไม่ได้รับรู้ว่าเมื่อครู่เขาเรียกชื่อของนางออกมา ไม่รู้ทำไมนางถึงรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นเด็กเลี้ยงแกะเพราะเหตุการณ์เมื่อครู่
เมื่อค่อยๆ หันไปมองด้านข้างก็พบว่ารอธซีกำลังมองนางราวกับมองเด็กน้อยคนหนึ่ง เปโตรนิยารู้สึกลำบากใจกับสายตาที่เต็มไปด้วยความรักนั้น ปากก็เอ่ยถาม
“มะ…มีอะไรหรือคะ”
“แผนการของเลดี้ดูออกง่ายมากเลยครับ”
“…”
“น่ารักมากเลย”
“…ไม่ใช่เรื่องน่าชมเชยหรือเปล่าคะ”
“เลดี้โกหกไม่เก่งเลยนะครับ” รอธซียิ้มอย่างอ่อนโยนพลางกล่าว “ไม่ต้องห่วงนะครับ เลดี้ ข้าไม่มีทางเบื่อหรือผิดหวังในตัวเลดี้แน่นอนครับ ขอสาบานด้วยเกียรติของตระกูลเบรดิงตันเลย”
“…”
“และข้าขอสาบานอีกว่า ข้าจะไม่เปลี่ยนใจจนกว่าเลดี้จะยอมรับข้าด้วยครับ”
“ทำไมคะ” น้ำเสียงของเปโตรนิยาเจือด้วยความเศร้าสร้อยเล็กน้อย “ทำไมถึงดีกับข้าขนาดนี้”
“คำตอบนั้นง่ายมากครับ เลดี้เปโตรนิยา”
รอธซีสารภาพด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“เพราะข้ารักเลดี้น่ะสิครับ”
***
“มีร์ยา”
แพทริเซียเรียกมีร์ยา ครั้นถูกเรียกมีร์ยาก็รีบเดินเข้ามาหา
“เพคะ ฝ่าบาท เรียกหาหม่อมฉันหรือเพคะ”
“อืม ข้ามีเรื่องจะไหว้วานน่ะ” แพทริเซียยิ้มพลางกล่าว “ช่วยส่งดอกกุหลาบร้อยดอกไปที่ตำหนักเวนทีได้ไหม เอาเป็นกุหลาบที่งดงามเหมือนกับเจ้าของตำหนักนั้น แล้วก็ห่อให้สวยๆ ด้วยนะ”
“อะไรนะเพคะ ฝ่าบาท” มีร์ยาเบิกตาโพลงพลางกล่าวเสียงดัง “ฝ่าบาทกำลังตรัสถึงเรื่องอันใดเพคะ ประชวรตรงไหนหรือเปล่าเพคะ”
“ขอโทษนะ มีร์ยา แต่ข้าสบายดี”
“ไม่เพคะ ฝ่าบาท พระองค์ต้องประชวรที่ไหนสักแห่งไม่ผิดแน่”
ปกติแล้วมีร์ยาไม่ใช่คนที่จะตื่นเต้นกับอะไรง่ายๆ แต่คราวนี้นางควบคุมตัวเองไม่ได้จริงๆ
“กุหลาบหรือเพคะ ซ้ำยังให้ถึงหนึ่งร้อยดอก ที่หม่อมฉันมีปฏิกิริยาเช่นนี้มันแปลกหรือเพคะ”
“ไม่นะ ก็ปกติดีนี่” แพทริเซียว่าพลางยกยิ้มมุมปาก “ปกติมากเลยทีเดียว”
“…”
เช่นนั้นจะบอกว่าคนที่ไม่ปกติคือฝ่าบาทเองหรือเพคะ มีร์ยาบ่นพึมพำในใจ แพทริเซียหัวเราะราวกับอ่านใจมีร์ยาได้
“ใช่แล้ว มีร์ยา ข้าต้องการปฏิกิริยาเช่นนี้ล่ะ เจ้าช่างภักดีต่อข้าจริงๆ”
“…เพคะ?”
“เอาล่ะ รีบไปจัดการเถอะ มาร์เชอเนสเอธิลเลอร์จะได้ดีใจอย่างไรล่ะ”
“…”
มีร์ยาคิดว่าฝ่าบาทต้องมีบางอย่างผิดปกติเป็นแน่ พร้อมกันนั้นนางก็เดินออกจากห้องไปอย่างไร้สติ คล้อยหลังมีร์ยา แพทริเซียก็ฮัมเพลงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นพลางพลิกหน้าหนังสือที่อ่านค้างไว้ไปยังหน้าต่อไป เนื้อหานั้นเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมที่ตัวร้ายเป็นฝ่ายสังหารผู้กล้า
***
และแล้วเปโตรนิยากับรอธซีก็ตัดสินใจจะใช้เวลาร่วมกันอย่างประนีประนอมและสงบสุข เปโตรนิยาคิดอย่างแน่วแน่ว่าอย่างน้อยก็อย่าไปลานประลองเลย และสถานที่ที่ทั้งคู่เลือกไปก็คือตลาด เปโตรนิยาถูกใจสถานที่เดตที่รอธซีเป็นคนเลือกอย่างมาก เพราะนางชอบซื้อของเป็นชีวิตจิตใจ แต่รอธซีกลับเป็นกังวลว่าหากหญิงสาวยังไม่ถูกใจจะทำอย่างไรดี เปโตรนิยาเรียกรอธซี
“ลอร์ดคะ”
“ครับ เลดี้ ว่ามาเถอะครับ”
“ท่านไม่ค่อยชอบอะไรแบบนี้หรือคะ”
“อะไรแบบนี้หรือครับ”
“ก็พวกซื้อของ ไม่ก็…เดินชมตลาดน่ะค่ะ” เปโตรนิยาเอ่ยถามอย่างลังเลใจ “ได้ยินว่าปกติพวกผู้ชายมักไม่ชอบอะไรแบบนี้…”
“พวกผู้ชายทั่วไปจะชอบหรือไม่แล้วมันสำคัญอย่างไรหรือครับ” แววตาของเขายิ้มอย่างอ่อนโยน ปากก็ปลอบใจเปโตรนิยา “สิ่งที่สำคัญคือข้าชอบการเดินซื้อของกับเลดี้ครับ”
“…”
เขาต้องไปร่ำเรียนจากที่ไหนมาไม่ผิดแน่ น่าจะเรียนมาจากหนุ่มเจ้าสำราญหาตัวจับยากเสียด้วย เปโตรนิยาเอาแต่ย้ำกับตัวเองว่าอย่าหลงคารมอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันก็เดินต่อไปโดยไม่พูดอะไร รอธซีมองเบื้องหลังของเปโตรนิยาด้วยสีหน้าพึงพอใจพลางยิ้ม
แน่นอนว่าของที่ซื้อมาล้วนมุ่งเน้นไปที่ตัวเปโตรนิยาเป็นหลัก ทั้งเครื่องประดับและสิ่งของฟุ่มเฟือยสำหรับผู้หญิงที่ไม่มีผู้ชายที่ไหนสนใจ แต่เท่าที่เปโตรนิยาเห็น ดูเหมือนว่ารอธซีเองก็เพลิดเพลินกับการเลือกดูสิ่งของเหล่านั้นเช่นกัน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขาสนุกเพราะได้เดินซื้อของกับนางจริงๆ หรือแค่แกล้งทำเพื่อเอาใจนาง แต่หากจะบอกว่า ‘แกล้งทำ’ ขีดความอดทนของรอธซีก็คงสูงมากทีเดียว
เพราะนางเดินไปเดินมาทั่วตลาดถึงสามชั่วโมงเพื่อหาทางสลัดเขาทิ้ง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงเดินตามโดยไม่ปริปากบ่นแม้ครึ่งคำ ทั้งยังช่วยนางเลือกของอีกด้วย อันนี้เหมาะกับเลดี้ อันนี้ไม่เหมาะกับเลดี้ สีนี้น่าจะเหมาะกับเลดี้มากกว่าสีนั้น… ดูเหมือนเขาจะคุ้นชินกับเรื่องแบบนี้ ในที่สุดเปโตรนิยาก็ต้องเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เหตุใดท่านถึงดูเชี่ยวชาญนักล่ะคะ”
“อะไรหรือครับ”
“การซื้อของกับผู้หญิงน่ะค่ะ”
“แย่จริง” รอธซีส่ายหน้าราวกับว่านางพูดอะไรผิดไปพร้อมกับแก้คำพูดของนาง “คำพูดของเลดี้มีจุดที่ผิดมหันต์อยู่นะครับ”
“ผิดมหันต์เลยหรือคะ”
“เลดี้มิได้เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดานี่ครับ”
เขากล่าวอย่างจริงจัง
“เลดี้เป็นผู้หญิงที่ข้ารักครับ”
“…”
“ไม่ใช่แค่ผู้หญิงธรรมดา”
“…เข้าใจแล้วค่ะ”
เขาช่างเป็นผู้ชายที่ทำให้นางพูดไม่ออกอยู่เรื่อย เปโตรนิยาคิดดังนั้นและเดินต่อ ขณะที่นางเริ่มรู้สึกเมื่อยขาและไม่มีอะไรจะทำแล้ว นางคิดว่าควรจะพอแค่นี้ ในตอนนั้นเองนางก็รู้สึกสะดุดตากับของสิ่งหนึ่ง
“ว้าว”
นางอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัวทำให้ความสนใจของรอธซีมุ่งไปทางนั้นโดยอัตโนมัติ เขาเอ่ยถามด้วยความคาดไม่ถึง
“ลูกแก้วหรือครับ”
“น่าจะใช่นะคะ”
เปโตรนิยาเดินไปที่แผงลอยด้วยความอยากรู้อยากเห็น แน่นอนว่ารอธซีก็เดินตามไปด้วย เปโตรนิยามองสำรวจ ลูกแก้วที่ส่องประกายหลากสีด้วยความอัศจรรย์ใจ รอธซีคิดว่าหญิงสาวอยากได้ลูกแก้วนั้นจึงตั้งใจจะซื้อให้ ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปาก เจ้าของแผงลอยก็พูดขึ้นมาเสียก่อน
“ช่างเป็นคุณหนูที่กังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึงเสียจริง”
ลูซิโอมองจักรพรรดินีของตนที่นอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย นางดูซูบผอม เท้าเรียวถูกพันด้วยผ้าพันแผล เขาเรียกชื่อของนางอย่างระมัดระวังด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง
“แพทริเซีย…”
เขาได้แต่เรียกนางเบาๆ ด้วยกลัวว่าหากอีกฝ่ายได้ยินเสียงของตนแล้วจะโกรธขึ้นมาอีกครั้ง เขาหลับตาพลางก้มหน้าลงอย่างสลด
“ข้า…ทำกับเจ้า…”
ข้าทำอะไรลงไป ข้าเป็นคนดึงนางเข้ามาในเกมนี้ ข้าทำอะไรลงไปกับผู้หญิงที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่คนนี้ ลูซิโอหลั่งน้ำตาแห่งความทุกข์ระทม แม้เขามีใจจะไถ่บาป แต่ทุกอย่างก็สายเกินไปแล้ว นางมีแต่จะรังเกียจ เกลียดชัง และโกรธแค้นเขา
ลูซิโอพึมพำอยู่ข้างกายของหญิงสาวด้วยสีหน้าเจ็บปวด
“มีวิธีใด…”
“…”
“ที่ข้าจะไถ่บาปได้บ้างหรือไม่”
มันจะมีความหมายกับเจ้าและข้าหรือไม่ มีอะไรที่ข้าพอจะทำได้เพื่อความจริงใจ ความรู้สึก และความรักที่ข้าเพิ่งตระหนักได้เมื่อสายไปบ้างหรือไม่ ลูซิโอกัดริมฝีปากพลางหลับตาลง
เจ้าต้องเจ็บปวดเพราะข้าเสียแล้ว เจ้าคงจะไม่ยกโทษให้ข้าแล้วใช่ไหม
“ใช่แล้ว อย่ายกโทษให้ข้าเลย”
ถึงเจ้าจะโกรธจะเกลียดข้าก็ไม่เป็นไร เจ้าอยากจะฆ่าข้าก็ทำได้เลย หากนั่นจะทำให้เจ้าหายขุ่นเคืองได้บ้าง ข้าก็ยินดี
“ขอเพียงเจ้าอยู่เคียงข้างข้าเช่นนี้”
เจ้าจะโหดร้ายกับข้าอย่างไรก็ได้ แม้แต่ความเกลียดชังของเจ้าก็ยังดีเกินไปสำหรับข้า เพราะฉะนั้นช่วยเกลียดข้า…และอยู่เคียงข้างข้าตราบชั่วนิรันดร์ อย่าได้จากไปไหนเลย
“เจ้าจะบอกว่าข้าเห็นแก่ตัวก็ได้”
เดิมทีข้าก็ชั่วช้าเกินเยียวยาอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะสาปแช่งข้าอย่างไร ข้าก็ไม่สนใจ ขอเพียงเจ้าอยู่เคียงข้างข้าในฐานะจักรพรรดินีก็พอ แม้ว่าใจเจ้าจะไม่ได้อยู่ที่ข้าก็ไม่เป็นไร ขอเพียงกายเจ้าอยู่เคียงข้างข้าก็พอ
“ใช่แล้ว เพียงเท่านั้นข้าก็พอใจ”
เท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับคนโหดร้ายอย่างข้า
***
“…”
ครั้นลืมตาตื่น สิ่งแรกที่แพทริเซียเห็นก็คือเพดานสีขาวปลอดสะท้อนแสงอาทิตย์ เห็นดังนั้นนางก็ตกใจ สีหน้าของหญิงสาวยับยู่
“ข้า…”
นางลุกพรวด แต่แล้วความเจ็บปวดที่เท้าก็แล่นขึ้นมาจนนางต้องขมวดคิ้วและหลุดปากร้องครางโดยอัตโนมัติ
“อืออ…”
นางกัดริมฝีปากกลั้นเสียงร้องไว้ในลำคอ สีหน้าของนางยังคงบูดบึ้งขณะมองไปรอบๆ บ้าจริง สถานที่นี้ช่างคุ้นตานัก ที่นี่มัน…
“ตื่นแล้วหรือ”
ห้องของจักรพรรดิ แพทริเซียก่นด่าในใจ ตอนนี้นางนอนอยู่บนเตียงในห้องของสามีที่นางเกลียดแสนเกลียด แพทริเซียสำรวจร่างกายของตนด้วยความหวาดระแวง โชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากเกิดเรื่องน่าสยดสยองที่สุดอย่างที่คิดไว้ นางคงอยากจะกัดลิ้นตายไปเสียตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด
“…เหตุใดหม่อมฉันถึงมาอยู่ที่นี่เพคะ”
“เราไม่ได้ลักพาตัวเจ้ามาหรอก วางใจได้”
หากเขากำลังเล่นตลกก็ต้องขอโทษด้วยที่นางไม่ขำสักนิด
“เหตุใดหม่อมฉันถึงมาอยู่ที่นี่เพคะ” แพทริเซียถามอีกครั้ง
“คนที่ออกมาวิ่งเท้าเปล่ากลางดึกมิใช่เราแต่เป็นเจ้า จักรพรรดินี เจ้าถามตัวเองน่าจะได้คำตอบเร็วกว่า”
“เรื่องนั้นหม่อมฉันรู้เพคะ ฝ่าบาท ดูเหมือนพระองค์จะไม่เข้าใจคำถามของหม่อมฉันนะเพคะ”
แพทริเซียถามเสียงเย็น “ที่หม่อมฉันสงสัยคือต่อให้หม่อมฉันทำเช่นนั้นแล้วเหตุใดหม่อมฉันถึงมาอยู่บนพระแท่นบรรทมของพระองค์ได้ล่ะเพคะ”
“…”
“หม่อมฉันต้องการคำตอบเพคะ”
“…เราเป็นคนอุ้มเจ้ามา มันก็แน่อยู่แล้วมิใช่หรือ”
“แล้วพาหม่อมฉันมาที่นี่ทำไมหรือเพคะ”
“ก็เจ้าบาดเจ็บ”
“เอ๊ะ เอาแต่ตอบไม่ตรงคำถามมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้วนะเพคะ”
แพทริเซียถามอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ไร้รอยยิ้ม “หม่อมฉันไม่คิดว่าฝ่าบาทจะทรงเข้าใจอะไรยากนะเพคะ หม่อมฉันขอทูลถามอีกครั้ง เหตุใดพระองค์ถึงพาหม่อมฉันมาที่นี่ มาที่พระแท่นบรรทมของพระองค์ แทนที่จะเป็นเตียงของหม่อมฉัน”
“…หากเจ้ารู้สึกไม่ดี เราก็ขอโทษ”
“เพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันรู้สึกไม่ดี ตอนที่ลืมตาตื่นขึ้นมาหม่อมฉันอยากจะฆ่าตัวตายไปเสียเลยด้วยซ้ำ”
แพทริเซียพูดถ้อยคำรุนแรงเพื่อทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายก่อนจะยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก
“เหตุใดถึงพาหม่อมฉันมาที่นี่หรือเพคะ”
“เป็นความต้องการของเรา”
“ทรงเห็นแก่ตัวเหลือเกินเพคะ พระองค์ไม่คิดเลยสักนิดว่าตอนที่หม่อมฉันตื่นขึ้นมาจะรู้สึกแย่เพียงใด”
“…เราขอโทษ”
“พอเถอะเพคะ เรื่องที่ฝ่าบาทต้องขอโทษหม่อมฉันคงไม่ได้มีแค่เรื่องนั้น”
แพทริเซียยิ้มเยาะราวกับมันไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับนางอีกแล้ว ปฏิกิริยาเช่นนั้นทำให้สีหน้าของลูซิโอยิ่งดูเคร่งขรึม
“โอ๊ย!”
ทันใดนั้นแพทริเซียก็ร้องออกมาพลางเดินโซเซ นางตั้งใจจะยืนด้วยตัวเองแต่ความเจ็บปวดก็แล่นไปทั่วทั้งร่าง บ้าจริง แค่เจ็บเท้าแค่นี้… นางระบายความหงุดหงิดภายในใจ ในตอนนั้นเองคนผู้หนึ่งก็เข้ามาประคองนางไว้
“ระวังหน่อย”
เป็นเขา แพทริเซียกล่าวอย่างดื้อรั้นด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง
“หม่อมฉันเดินเองได้เพคะ”
“อย่าพูดอะไรที่เป็นไปไม่ได้สิ”
“อย่างน้อยก็ดีกว่ารับความช่วยเหลือจากพระองค์” แพทริเซียพึมพำอย่างทุกข์ใจพลางยิ้ม “ปล่อยหม่อมฉันด้วยเพคะ”
“ไม่”
“ฝ่าบาท!”
แพทริเซียระเบิดอารมณ์ออกมา แต่ลูซิโอก็ยังคงไม่ขยับตัว
“เจ้าจะพูดอะไร จะทำอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่ในสภาพนี้”
“นี่เป็นร่างกายของหม่อมฉัน พระองค์ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย”
“เราเป็นสามีของเจ้า เรื่องแค่นี้น่าจะทำได้นะ”
“เฮอะ ทรงทำอะไรเพื่อหม่อมฉันตั้งแต่เมื่อไรหรือเพคะ” แพทริเซียยิ้มเยาะพลางกล่าว “ได้ยินว่าทรงหมางใจกับมาร์เชอเนสเอธิลเลอร์แล้วใช่ไหมเพคะ ทำไมหรือเพคะ ทรงเอือมระอานางแล้วหรือ ต้องการผู้หญิงคนอื่นมาถวายการรับใช้บนพระแท่นบรรทมไหมเพคะ”
“…ไม่ใช่อย่างนั้น”
“ไม่ใช่แล้วอย่างไร” แพทริเซียกดเสียงพูด “เหตุใดจึงปฏิบัติกับหม่อมฉันเช่นนี้หรือเพคะ คนที่เหยียบย่ำหัวใจของหม่อมฉัน คนที่ทำลายศักดิ์ศรีของหม่อมฉันหาใช่ใครอื่นแต่เป็นพระองค์เองนะเพคะ หม่อมฉันเหมือนจะเข้าใจ แต่สุดท้ายก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดจู่ๆ จึงทรงทำเช่นนี้”
“…”
เขาไม่ได้ตอบคำถาม แต่แพทริเซียก็อ่านคำตอบจากความเงียบนั้นได้ นางเย้ยหยันและบ่นพึมพำในใจ ใช่สิ หากยังมีความละอายอยู่บ้างท่านคงไม่กล้าพูดคำนั้นกับข้าหรอก หากท่านมิใช่ขยะใช้แล้วทิ้งล่ะก็นะ
“ปล่อยเพคะ”
“จักรพรรดินี ได้โปรดเถอะ” เขาขอร้องด้วยน้ำเสียงร้อนใจ “จะทำอะไรเราไม่ว่า แต่อย่าไปไหนมาไหนคนเดียวด้วยเท้าที่มีสภาพเช่นนั้นเลย”
“…เก็บไว้สอนคนอื่นเถอะเพคะ”
“เราจะเรียกนางกำนัลตำหนักจักรพรรดินีมาให้ เราให้เจ้าไปคนเดียวไม่ได้”
แพทริเซียหลับตาลงด้วยสีหน้าคล้ายปล่อยวางก่อนจะลืมตาขึ้นและกล่าว
“…ทำตามพระทัยเถอะเพคะ”
ในที่สุดแพทริเซียก็ได้กลับตำหนักของตัวเองด้วยความช่วยเหลือจากนางกำนัลตำหนักจักรพรรดินี เมื่อกลับถึงตำหนักนางก็ไม่ได้ถือสาหาความเหล่านางกำนัล ทางด้านนางกำนัลเองก็ไม่ได้เอ่ยปากถามอะไรเช่นกัน สุดท้ายเรื่องเมื่อคืนก็ถูกฝังกลบไปเช่นนั้น
***
เปโตรนิยายืนวุ่นวายอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าผิดกับวันอื่นๆ
“ชุดนี้มันวาบหวิวเกินไปไหมนะ”
เปโตรนิยาหยิบชุดเดรสสีขาวแหวกช่วงอกเล็กน้อยออกมาทาบตัวพลางครุ่นคิด ในตอนนั้นเองสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นมาราวกับว่านางพูดอะไรเพ้อเจ้อ
“ไม่วาบหวิวหรอกค่ะ คุณหนู”
“ชุดนี้น่ะหรือ”
ปฏิกิริยาของเปโตรนิยาทำให้สาวใช้อึดอัดใจคล้ายอกจะแตก นี่ท่านมาจากบ้านไหนเมืองไหนหรือคะ!
“คุณหนูขา หากคุณหนูลองออกไปยืนดูตามถนนจะพบว่าชุดเดรสแบบเดียวกันนี้แต่ผ่าไปถึงกลางหลังยังมีให้เห็นกันเกลื่อนเลยค่ะ นี่คุณหนูมาจากโลกอื่นหรือคะ”
“ยะ…อย่างนั้นหรือ”
เปโตรนิยาถามอย่างเก้อเขิน สาวใช้จึงพยักหน้ารัวๆ หญิงสาวถอนหายใจและปล่อยชุดเดรสที่ถืออยู่ร่วงลงบนพื้น นี่ข้าตื่นเต้นเรื่องอะไรกัน ทึ่มเซ่อนัก เปโตรนิยาพูดเสียงอ่อยๆ
“เลือกให้ข้าทีสิ อะไรก็ได้”
“คะ? แต่คุณหนูบอกว่าจะไปออกเดตมิใช่หรือคะ”
“มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละที่ตื่นเต้นกับเรื่องแบบนั้น” นางพูดด้วยสีหน้าหดหู่ “ข้าไม่อยากคาดหวังอะไรอีกแล้ว”
ได้ยินดังนั้น สาวใช้ก็งงงัน คุณหนูคนนี้กำลังพูดอะไรน่ะ
“คุณหนู ท่านถูกใครทิ้งมาหรือ ไฉนจึงกล่าวเช่นนั้นเล่า”
พูดเหมือนคนเคยหย่าอย่างไรอย่างนั้น สาวใช้พึมพำ เปโตรนิยาหัวเราะคิกคัก ช่างเป็นคำที่สงบสุขนัก คำว่าหย่าเป็นคำที่นิ่มนวลจะตายไป เปโตรนิยาเอ่ยปาก
“เลือกมาเถอะ อะ-ไร-ก็-ได้”
สุดท้ายเปโตรนิยาก็เลือกสวมชุดเดรสสีเทาตุ่นๆ แม้สาวใช้จะค้านหัวชนฝาว่าไม่มีใครที่ไหนใส่ชุดแบบนี้ไปออกเดตแต่เปโตรนิยาก็ไม่คิดจะเปลี่ยนใจ ชุดเดรสนี่กว่าจะใส่กว่าจะถอดแต่ละครั้งน่ารำคาญจะตาย
ตอนนั้นเอง เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นมาจากชั้นล่าง สายตาของเปโตรนิยาซึ่งอยู่ที่ระเบียงชั้นสองจึงพุ่งไปจับจ้องที่ชั้นล่างโดยอัตโนมัติ พ่อบ้านเป็นผู้เปิดประตู หลังบานประตูปรากฏร่างสูงของรอธซีที่แต่งองค์ทรงเครื่องมาอย่างดี ครั้นเห็นความหล่อเหลาของอีกฝ่าย เปโตรนิยาก็ใจกระตุกวูบหนึ่ง นางก้าวเดินลงไปชั้นล่างอย่างไม่รีบร้อน เมื่อรอธซีเห็นเปโตรนิยา เขาก็หน้าแดง
‘สวย’
“ลอร์ด?”
เปโตรนิยาเอ่ยถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายแดงระเรื่อ
“ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าคะ”
“ไม่เลยครับ สบายมาก” รอธซีพูดเสียงเบาราวกับกระซิบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เพียงแต่วันนี้เลดี้สวยมาก ข้าเลยตกหลุมรักอีกครั้งเท่านั้นครับ”
“…”
ความรักบังตาแน่ๆ เปโตรนิยาคิดเช่นนั้น
***
“…มาร์เชอเนส วันนี้เหมาะมากขอรับ”
ได้ยินหมอหลวงกล่าวเช่นนั้น โรสมอนด์ก็ยิ้มออกมา วันนี้เป็นวันหนึ่งในไม่กี่วันที่เหมาะแก่การตั้งครรภ์ นางถามหมอหลวงด้วยสีหน้าชื่นบาน
“อย่างนั้นหรือ แล้วยาที่สั่งล่ะ”
“…เตรียมมาแล้วขอรับ”
หมอหลวงว่าพลางยื่นห่อสีขาวที่บรรจุผงยาไว้ภายในให้โรสมอนด์ โรสมอนด์รับยามามองอย่างพึงพอใจ ทันใดนั้นนางก็สั่งให้หมอหลวงปิดปากด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“จงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ…หากเรื่องนี้หลุดออกไป ข้าตาย เจ้าก็ตายด้วย รู้ใช่ไหม”
“…ขอรับ มาร์เชอเนส”
“ไปได้”
เมื่อหมอหลวงจากไปแล้วโรสมอนด์ก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง สิ่งที่นางข่มขู่หมอหลวงให้หามาให้คือยาเร้ากำหนัด โรสมอนด์พูดเบาๆ ด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย
“ข้าต้องเอาสิ่งนี้ให้ฝ่าบาทเสวยอย่างไรจึงจะออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด หืม?”
“เรียนมาร์เชอเนส ข้าหาไวน์ที่ฝ่าบาทโปรดปรานที่สุดมาให้แล้วค่ะ”
ตอนนั้นเองคลาราก็ถือไวน์ขวดหนึ่งเข้ามาในห้อง มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นไวน์ราคาแพง โรสมอนด์พยักหน้าเป็นเชิงชื่นชมก่อนจะออกคำสั่ง
“ดีมาก เก็บไว้ให้ดีล่ะ ประเดี๋ยวข้าคงได้ใช้ เจ้าเตรียมชุดเดรสไว้หรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ มาร์เชอเนส”
“ดีมาก พร้อมสรรพจริงๆ”
ชุดเดรสชุดนั้นนางสั่งมาเป็นพิเศษจากย่านเริงรมย์เพื่อวันนี้โดยเฉพาะ ได้ยินว่าแม้แต่บุรุษที่เป็นพวกรักร่วมเพศ เมื่อเห็นสตรีสวมชุดเดรสนี้ก็ต้องพุ่งเข้าหาด้วยความใคร่ โรสมอนด์ฮัมเพลงพลางยื่นยาเร้ากำหนัดให้คลารา บอกให้อีกฝ่ายเก็บไว้ให้ดี ขณะเดียวกันในหัวก็เริ่มวางแผนการยั่วยวนจักรพรรดิในคืนนี้
“พระจักรพรรดิ”
“ไม่ต้องทักทายหรอก อยู่ตั้งไกล”
แม้แพทริเซียจะพูดเช่นนั้นแต่เปโตรนิยาก็ยังคงโค้งคำนับด้วยเกรงว่าจะเกิดผลเสียต่อน้องสาว แพทริเซียไม่ชอบใจการกระทำนั้นสักเท่าไรแต่นางก็ไม่ได้กีดกัน เพียงแต่มองลูซิโอด้วยความไม่พอใจเท่านั้น
คนที่ปวดใจกับสายตานั้นมากที่สุดกลับกลายเป็นเปโตรนิยา นางลังเลใจพลางสังเกตท่าทีของน้องสาว แต่แพทริเซียกลับเดินต่อไปโดยไม่พูดอะไร ยิ่งเห็นจักรพรรดิมองน้องสาวของนางด้วยสายตาที่ยากจะอธิบายยิ่งทำให้นางไม่สบายใจ
“ทำไมถึงมองด้วยสายตาแบบนั้นนะ”
“หืม?”
“พระจักรพรรดิน่ะ” เปโตรนิยาพึมพำอย่างไม่ชอบใจ “ตัวเองทำความผิดไว้แท้ๆ”
“…นั่นสิ หน้าด้านไร้ยางอายนัก”
แพทริเซียไม่ได้แย้งคำพูดนั้นพลางเดินต่อไป ตอนนี้นางไม่รู้สึกอะไรกับลูซิโออีกแล้ว ท่าทีของนางดูสงบนิ่งยิ่งกว่าตอนที่เพิ่งเข้าวังมาเสียอีก
ใช่แล้ว แพทริเซียได้รับความเจ็บปวดมามากเกินพอจนดูเหมือนว่านางไม่จำเป็นต้องแสดงความรู้สึกใดๆ ต่ออีกฝ่ายอีกต่อไป ความจริงแล้วเปโตรนิยารู้สึกเสียดายอย่างมากที่ผลลัพธ์ออกมาเป็นเช่นนี้ แต่นี่ก็มิใช่เรื่องที่นางจะเข้าไปแทรกแซงได้ เปโตรนิยาได้แต่เดินตามน้องสาวไปเงียบๆ เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ความสบายใจมักจะคงอยู่ได้ไม่นาน เพราะตำแหน่งจักรพรรดินีเป็นตำแหน่งที่งานล้นมือเสมอ แพทริเซียขมวดคิ้วซื่อๆ ในรอบหลายวัน
“งานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพหรือ”
“…ขอประทานอภัยเพคะ”
“ไม่หรอก มิใช่เรื่องที่เจ้าต้องขอโทษเสียหน่อย”
แพทริเซียถอนหายใจ ใกล้ถึงวันเกิดของจักรพรรดิแล้ว แน่นอนว่าภรรยาหลวงซึ่งเป็นจักรพรรดินีอย่างแพทริเซียต้องรับหน้าที่จัดเตรียมงานเฉลิมฉลอง ทว่า ใจจริงของแพทริเซียไม่ได้อยากทำเลยสักนิด นางอยากจะยกหน้าที่นี้ให้กับโรสมอนด์ไปเสียเลยด้วยซ้ำ แต่นั่นก็เป็นไปไม่ได้ นางจึงได้แต่พยักหน้าเงียบๆ
“เจ้าช่วยจัดการเรื่องนี้เท่าที่จะทำได้ทีนะ ข้าจะทำแค่เซ็นเอกสารจ่ายเงินเท่านั้น เจ้าก็ส่งแผนขั้นสุดท้ายมาแล้วกัน”
“แต่ฝ่าบาท นั่นมันเกินหน้าที่…”
“ข้าเองก็ต้องพักผ่อนสักหน่อย มีร์ยา ยิ่งไปกว่านั้น…” แพทริเซียยิ้มพลางกล่าว “หากแม้แต่เจ้า ข้ายังไว้ใจไม่ได้ แล้วข้ายังจะไว้ใจใครในพระราชวังอันกว้างใหญ่นี้ได้อีกล่ะ”
“…”
“แพทริเซีย เจ้ายังมีข้านะ”
ราฟาเอลาพูดทะลุกลางปล้อง แพทริเซียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะออกมา
“ฮ่ะฮ่าฮ่า ใช่แล้ว ถูกต้อง ขอโทษนะเอล่า เจ้าโกรธหรือ”
“ล้อเล่นอยู่แล้วน่า จริงสิ แต่มีเรื่องหนึ่งที่เจ้าต้องทำด้วยตัวเองนะ”
“อะไรหรือ”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก เรื่องดอกไม้น่ะ”
“ดอกไม้?”
“เจ้าต้องเลือกดอกไม้อวยพรวันเกิดด้วยตัวเอง เพราะนั่นเป็นเรื่องที่มีความหมายมากทีเดียว สั่งให้ข้ารับใช้ทำแทนไม่ได้หรอก”
“ดอกไม้อวยพรวันเกิด อา นั่นสินะ”
แพทริเซียพึมพำราวกับลืมไปแล้ว จักรวรรดิมาวินอสมีธรรมเนียมในการให้ดอกไม้เป็นของขวัญในวันเกิด หากเจ้าของวันเกิดยังไม่แต่งงาน บิดามารดาจะเป็นผู้ให้ แต่หากแต่งงานแล้ว คู่แต่งงานจะเป็นผู้ให้ มีความเชื่อว่าดอกไม้นี้สื่อถึงหัวใจของผู้ให้ เพราะฉะนั้นโดยทั่วไปแล้วหากเจ้าของวันเกิดยังไม่แต่งงานก็มักจะได้รับดอกไม้ที่สื่อความหมายถึงความรักของบุพการี แต่หากแต่งงานแล้วก็จะได้รับดอกไม้ที่สื่อความหมายถึงรักนิรันดร์
ในใจแพทริเซียอยากมอบดอกไม้ที่มีสื่อถึงการสาปแช่งให้เขา แต่น่าเสียดายที่ดอกไม้นั้นอ่อนโยนและบริสุทธ์เกินไปไม่เหมือนกับนาง พวกมันจึงไม่ควรถูกนำมาสื่อถึงถ้อยคำไม่เป็นมงคลเช่นนั้น แพทริเซียนิ่งคิด
“ชัน…”
“หืม?”
“คาร์เนชัน เอาตามนี้แล้วกัน”
“หืม ผิดคาดนะ”
“ทำไมล่ะ”
“ปกติแล้วมันเป็นดอกไม้ที่บิดามารดาและบุตรมอบให้กันมิใช่หรือ”
“…ใช่”
แพทริเซียครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากอย่างเนิบช้า
“สีแดง สีชมพู สีม่วง…”
ความหมายของดอกคาร์เนชันสีต่างๆ ล้วนไพเราะและงดงาม ข้ารักท่าน ขอให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรง ข้ารักท่านมากเหลือเกิน
ทว่า ลูซิโอ จักรพรรดิของข้า ดอกคาร์เนชันที่แท้จริงที่ข้าอยากมอบให้ท่านเป็นของขวัญคือดอกคาร์เนชันสีสุดท้ายนี้
“แล้วก็ผสมสีเหลืองเข้าไปด้วยนะ”
ข้าดูแคลนท่าน ท่านทำให้ความคาดหวังและความสงสารอันน้อยนิดในใจข้ากลายเป็นความชิงชัง เช่นนี้ข้าจะไม่ดูแคลนท่านได้อย่างไร
“นั่นคือความรู้สึกของข้า”
ข้าจะใส่ความรู้สึกดูแคลนนี้ลงไปในดอกคาร์เนชันสีเหลืองและมอบให้แด่ท่าน ท่านมิใช่คนโง่ เพราะฉะนั้นท่านคงจะรู้กระมังว่าข้าคิดกับท่านเช่นไร ข้าดูแคลนท่านเพียงใด ในวันเกิดที่ควรจะได้รับคำอวยพรมากที่สุด ท่านอย่าได้ขุ่นเคืองที่หญิงชั่วคนนี้สาปแช่งท่านเลยนะ ลูซิโอ
“ฝ่าบาทเองก็คงจะทราบกระมัง”
เพราะผู้ที่ทำให้ข้ากลายเป็นเช่นนี้ก็คือท่าน ท่านเพียงคนเดียว
***
“หญิงสาวผู้มิอาจให้กำเนิดชีวิต”
คนผู้หนึ่งกำลังชี้นิ้วต่อว่าแพทริเซีย
“เป็นหมันแท้ๆ แต่กลับได้เป็นจักรพรรดินี!”
“สายเลือดของมาวินอสคงถึงกาลอวสานแล้วกระมัง!”
“เจ้ากลืนกินสายเลือดของจักรวรรดิ!”
คนที่มีใบหน้าดำทะมึนรุมเย้ยหยันนางอย่างไม่หยุดหย่อน แพทริเซียตกอยู่ในวงล้อมของคนพวกนั้น นางส่ายศีรษะไปมาด้วยสีหน้าเหยเก
“ไม่นะ…นั่นไม่ใช่ความผิดของข้า…”
แต่คนพวกนั้นก็โต้กลับมาทันที
“ทำไมจะไม่ใช่! หากคนที่ได้เป็นจักรพรรดินีมิใช่เจ้า แต่เป็นพี่สาวของเจ้า สายเลือดของมาวินอสคงไม่สิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้!”
“เจ้าทำให้สายเลือดของมาวินอสจบสิ้นด้วยน้ำมือตัวเอง เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ”
“ไม่นะ…ไม่!”
“ปฏิเสธไปก็เปล่าประโยชน์ เจ้าคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง บังอาจให้สนมตั้งครรภ์แทนอย่างนั้นรึ!”
สิ่งที่คนพวกนี้พูดช่างเหลวไหลสิ้นดี ถึงอย่างไรจักรพรรดิองค์ปัจจุบันก็มิใช่ผู้สืบสายเลือดที่เกิดจากภรรยาหลวงอยู่แล้ว หากจะว่ากล่าวเรื่องนี้ พวกเขาต้องไปต่อว่าอดีตจักรพรรดินีอลิซาที่ตายไปแล้วต่างหาก แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้สติของแพทริเซียไม่มั่นคงพอที่จะคิดถึงเรื่องนั้นได้
“ไม่ใช่!”
“ฝ่าบาท!”
ในตอนนั้นเองคนผู้หนึ่งก็เขย่าปลุกนางให้ตื่น ใบหน้าของมีร์ยาเลือนลางในความมืด แพทริเซียหลั่งน้ำตาออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ฮึก…”
“ฝ่าบาท ทรงฝันร้ายอีกแล้วหรือเพคะ”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่…”
แพทริเซียส่ายหน้าอย่างลำบาก นางปาดน้ำตา ลุกพรวดขึ้นจากเตียง และวิ่งออกนอกตำหนักไปในทันใด มีร์ยาพยายามร้องห้ามด้วยความตกใจแต่ก็ไม่เป็นผล แพทริเซียเริ่มออกวิ่งและวิ่งต่อไป
บ้าเอ๊ย บ้าเอ๊ย บ้าเอ๊ย! แพทริเซียพึมพำไม่หยุดขณะวิ่งด้วยเท้าเปล่า นางรู้สึกแย่มาก
โธ่เว้ย โธ่เว้ย โธ่เว้ย! สายเลือดหลัก[1]มันจบสิ้นไปตั้งแต่รัชกาลก่อนแล้วมิใช่หรือไร ถ้าจะโทษก็ไปโทษจักรพรรดินีอลิซาสิ! ไม่ใช่ข้า นางก็เป็นหมันเหมือนกันนะ!
“อั่ก!”
หญิงสาวสะดุดล้มร้องเสียงหลง นางสะดุดก้อนหินจนหกล้ม ความรู้สึกอุ่นวาบที่เท้าและความเจ็บปวดอย่างรุนแรงแล่นไปทั่วร่างกายช่วงล่าง ร่างบางใช้มือยันพื้นขณะร้องครวญครางออกมา
“อา…”
อนาถนัก ลำเค็ญนัก ไฉนจึงน่าสมเพชถึงเพียงนี้
แพทริเซียรู้สึกว่าน้ำตาที่หยุดไหลไปแล้วกลับมาไหลอีกครั้ง น้ำตาของหญิงสาวไหลอาบแก้มลงไปถึงคาง นางร้องไห้ต่อไปโดยไม่คิดว่าควรจะลุกขึ้น
“…แพทริเซีย?”
ในตอนนั้นเอง ใครคนหนึ่งก็เรียกชื่อของนาง ชื่อแสนรักของนาง แต่ตอนนี้นางรู้สึกรังเกียจชื่อตัวเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เป็นอะไรไหม เจ้าบาดเจ็บหรือ”
ลูซิโอนั่งคุกเข่าลงข้างๆ และตรวจดูอาการ เพียงเห็นเลือดที่ไหลซึมออกมาจากเท้าก็รู้แล้วว่าอาการไม่ดีเอาเสียเลย เขาดุด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ออกมาวิ่งเท้าเปล่ากลางดึกเช่นนี้เจ้าคิดจะทำอะไร”
“ข้า…” แทนที่จะตอบคำถาม แพทริเซียกลับพูดเรื่องอื่น “…เกลียดท่านเพียงใดรู้บ้างหรือไม่”
“…”
“ข้าชิงชังท่าน ลูซิโอ ข้ามิอาจยกโทษให้ท่าน…ที่หลอกลวงเอาความสงสารและความจริงใจแม้เพียงน้อยนิดไปจากข้าได้”
“…”
ข้าเสียใจที่ย้อนเวลากลับมา ปล่อยให้เรื่องมันจบไปเสียตั้งแต่ตอนนั้นยังจะดีเสียกว่า ข้าน่าจะหยุดจองเวรจองกรรมท่านแล้วตายไปเสีย
แพทริเซียพึมพำอยู่ในใจและหมดสติไป
ลูซิโอกอดแพทริเซียที่หมดสติพลางร้องตะโกน
“จักรพรรดินี? จักรพรรดินี!”
“…”
“โธ่เว้ย”
แต่ก็สายไป ดูเหมือนนางจะหมดสติไปแล้ว เสียงเรียกของเขาดังก้องในอากาศ ทันใดนั้นเหล่าอัศวินราชองครักษ์ในชุดเกราะโลหะสีเงินสามสี่คนก็ปรากฏตัวต่อหน้า
“ตามหมอหลวงและพาจักรพรรดินีกลับไปที่ตำหนักของนาง” ลูซิโอพูดด้วยความร้อนใจ
แต่เขาก็เปลี่ยนคำสั่งในทันใด
“ไม่สิ ข้าจะพานางไปที่ตำหนักกลางเอง”
***
แพทริเซียไม่เคยเสียใจที่ได้รับชีวิตใหม่ สำหรับนางแล้วชีวิตใหม่นี้เป็นดั่งของขวัญ ชีวิตที่ได้รับมาอีกครั้งและโอกาสในการย้อนคืนโศกนาฏกรรม โอกาสเช่นนี้หาใช่ของขวัญที่หาได้ทั่วไป
ในชีวิตใหม่นี้นางได้อยู่กับครอบครัวที่รักอีกครั้ง พี่สาวของนางไม่ต้องถูกกิโยตีนตัดศีรษะอีกต่อไป และหากนางระวังตัวสักหน่อย ตระกูลของนางก็จะคงความรุ่งเรืองต่อไปได้อีกนานแสนนาน แม้จะต้องสละความสุขส่วนตัว แต่นางก็มองว่ามันเป็นผลลัพธ์ที่ไม่แย่นัก
คนที่เคยเป็นพี่เขยในชาติก่อนได้กลายมาเป็นสามีของนางในชาตินี้โดยบังเอิญ นางได้รู้เรื่องราวความบอบช้ำที่ฝังอยู่ในจิตใจของเขา และได้รู้ว่าอนุภรรยาที่มีส่วนทำให้พี่สาวของนางต้องตายได้หัวใจเขาไปอย่างไร นางเห็นใจผู้ชายคนนั้น แม้แต่อนุภรรยาคนนั้นนางก็ยังสงสาร นางในตอนนั้นไม่ได้รู้เลยว่านั่นเป็นการกระทำที่โง่เขลาเพียงใด
ความสงสารและความจริงใจของนางแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อได้รู้ว่าสองคนนั้นเล่นตลกกับนางตั้งแต่ก่อนจะเข้าวังมาเป็นจักรพรรดินี นางแสดงความจริงใจให้เขาเห็น แต่สิ่งที่นางได้รับกลับมาคือการหลอกลวงและการทรยศ นางได้รับความเจ็บปวดก้อนใหญ่อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง คงไม่มีใครไม่สะเทือนใจ หากหัวใจที่ค่อยๆ เปิดกว้างถูกทำลายลงอย่างไม่มีชิ้นดี
ใช่แล้ว พวกเขาเล่นตลกกับนางมาตั้งแต่ต้น หากพวกเขาไม่หลอกลวงนางเช่นนั้น ผู้ที่จะได้เป็นจักรพรรดินีก็คงจะเป็นคนอื่น หากเป็นเช่นนั้น ตัวนางก็คงจะได้แต่งงานกับผู้ชายคนอื่นและใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุข และต่อให้นางไม่ได้แต่งงานเพราะเรื่องที่นางเป็นหมัน นางก็ยังสามารถใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุขอยู่กับครอบครัวของนางได้
แต่เมื่อนางกลายเป็นจักรพรรดินี นางก็ไม่เหลืออะไรเลย นางจะต้องถูกเหยียดหยาม ถูกตราหน้าไปตลอดชีวิตว่าไม่สามารถมีลูกได้ ดีไม่ดีนางอาจเจริญรอยตามอดีตจักรพรรดินีอลิซา
เรื่องนั้นมิใช่ไร้เหตุผล เดิมทีอดีตจักรพรรดินีอลิซาก็เป็นคนดีมิใช่หรือ พระราชวังเป็นสถานที่ที่สามารถเปลี่ยนความดีงามของมนุษย์ให้กลายเป็นความชั่วร้ายได้ราวกับพลิกฝ่ามือ นางสาบานกับตัวเองไว้ว่าหากนางกลายเป็นเช่นนั้น นางจะจบชีวิตด้วยมือของนางเอง
และตอนนี้จิตใจของนางก็พังทลาย เช่นเดียวกับตอนที่เห็นความตายของพี่สาว เช่นเดียวกับความรู้สึกสุดท้ายก่อนความตายจะมาเยือน
ใช่แล้ว สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปทั้งนั้น นางทำได้เพียงร้องคร่ำครวญให้กับความเจ็บช้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าและความโศกเศร้าที่ถูกสร้างขึ้นมาอีกครั้งเท่านั้น
ด้วยเหตุนั้นทุกคนจึงควรจะตายไปด้วยกันเสียตั้งแต่ตอนนั้น ไม่ควรเริ่มต้นใหม่และควรจะจบไปเสียตั้งแต่ตอนนั้น ข้าเกลียดชังพระเจ้าที่ส่งข้าย้อนเวลากลับมาเช่นนี้ สิ่งนี้หาใช่ของขวัญแต่เป็นโทษทัณฑ์ นางคิดอย่างโศกเศร้า
[1] สายเลือดหลัก คือ ทายาทที่เกิดจากภรรยาหลวง
แม้ว่าโรสมอนด์จะถูกแต่งตั้งเป็นมาร์เชอเนสเอธิลเลอร์แล้ว นางก็ยังคงพำนักอยู่ที่ตำหนักเวนเช่นเดิม เพราะนางไม่ต้องการย้ายไปอยู่ตำหนักที่ใหญ่กว่า หลังจากที่นางกลายเป็นบุตรีของดยุกและได้รับบรรดาศักดิ์มาร์เชอเนส ช่วงนี้นางจึงมีชีวิตที่สะดวกสบายพรั่งพร้อม
“มาร์เชอเนส คนจากตำหนักจักรพรรดินีขอเข้าพบค่ะ”
ได้ยินดังนั้น โรสมอนด์ที่กำลังอ่านหนังสือแก้เบื่อก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้จะเป็นอาคันตุกะที่ไม่ยินดีจะพบเท่าไรนักแต่ก็ไม่อาจเมินเฉยได้เพราะอีกฝ่ายมาจากตำหนักจักรพรรดินี นางตอบรับห้วนๆ ว่า ‘เข้ามาได้’ ทันใดนั้นมีร์ยาก็เข้ามาในห้องพร้อมกล่องที่ผูกริบบิ้นสีชมพู
“มีธุระอะไร หายากนะที่พระจักรพรรดินีจะส่งคนมาเช่นนี้” โรสมอนด์ถามอย่างเย่อหยิ่ง
“ฝ่าบาททรงไม่สบายพระทัยที่ไม่ได้แสดงความยินดีกับท่านเป็นการส่วนตัวตอนที่ท่านได้เป็นบุตรีของดยุก ตอนนี้ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นถึงมาร์เชอเนสแล้ว เห็นทีจะรีรอต่อไปไม่ได้ ฝ่าบาทจึงพระราชทานของขวัญมาให้ค่ะ”
“ของขวัญรึ”
โรสมอนด์พยักหน้าอย่างสนอกสนใจ ในสายตาของหัวหน้านางกำนัลตำหนักจักรพรรดินี แม้อีกฝ่ายจะเป็นถึงมาร์เชอเนสแต่ท่าทีเช่นนั้นก็ช่างโอหังนัก ถึงกระนั้นโรสมอนด์ก็มิได้ยี่หระ ในขณะเดียวกันนางก็แกะกล่องของขวัญที่แพทริเซียส่งมาให้ ครั้นเห็นว่าเป็นน้ำหอมนางก็หรี่ตาราวกับมันไม่มีค่า
“แค่…น้ำหอม?”
“เป็นน้ำหอมจากสมุนไพรที่มีชื่อว่าสเตอรินค่ะ ฟังว่าเป็นสมุนไพรที่ปลูกเฉพาะในแถบประเทศทางตะวันออก เป็นของหายากทีเดียวค่ะ”
มีร์ยาไม่พอใจกับปฏิกิริยาของโรสมอนด์อย่างมากแต่ก็ไม่ได้แสดงอาการออกไปและอธิบายอย่างสุภาพ โรสมอนด์ฉีดน้ำหอมในอากาศเพื่อทดลองกลิ่น ในตอนนั้นเองนางก็มีสีหน้าพึงพอใจ
“กลิ่นหอมมากทีเดียว ฝ่าบาทตาถึงจริงๆ”
“ขอบคุณค่ะ มาร์เชอเนส”
มีร์ยาออกจากตำหนักเวนไปทันที คลารามองของขวัญจากแพทริเซียด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก ขณะที่โรสมอนด์ฉีดน้ำหอมที่ข้อมือพลางดมกลิ่นของมัน นางก็สังเกตเห็นสีหน้าของคลาราจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ทำไมสีหน้าของเจ้าดูไม่ค่อยดีเลย ไม่ชอบของขวัญที่จักรพรรดินีส่งมาหรือ”
“ไม่เชิงค่ะ… แต่จู่ๆ ก็ส่งของมาให้แบบนี้ไม่แปลกไปหน่อยหรือคะ”
“นางฉลาดน่ะสิ” โรสมอนด์ยิ้มพลางปิดฝาขวดน้ำหอม “จักรพรรดินีเป็นหมัน แค่รักษาตำแหน่งจักรพรรดินีไว้ได้ก็ปาฏิหาริย์แล้ว ในตอนนี้สตรีที่ได้รับการยอมรับให้ตั้งครรภ์ทายาทของพระจักรพรรดิได้ก็มีแต่ข้า หากข้าเป็นนางก็คงเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่เหมือนกัน”
“อย่างนั้นหรือคะ”
“ใช่สิ ตอนนี้สิ่งที่ข้าต้องทำคือการให้กำเนิดพระโอรสและคอยเฝ้าดูเขากลายเป็นรัชทายาทเท่านั้น เมื่อพระจักรพรรดิเสด็จสวรรคต เราก็แค่วางยาพระจักรพรรดินี เท่านี้ตำแหน่งพระพันปีก็จะกลายเป็นของข้าโดยปริยายมิใช่รึ”
“ค่ะ มาร์เชอนิส ท่านคิดถูกแล้ว”
คลารายิ้มมุมปาก แต่นางก็ยังคาใจอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือหลังจากที่โรสมอนด์และลูซิโอมีปากเสียงกันในวันนั้น ลูซิโอก็ไม่มาที่ตำหนักเวนอีกเลย คลาราถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
“จู่ๆ ถอนหายใจอีกทำไม” โรสมอนด์ถาม
“ฝ่าบาท…ไม่เสด็จมาที่ตำหนักเวนนานมากแล้วนะคะ”
“ตอนนี้ข้าอายุแค่ยี่สิบเจ็ด ยังเหลือเวลาให้มีลูกอีกมากนัก”
โรสมอนด์ว่าพลางฉีดน้ำหอมสเตอรินที่ต้นคอ กลิ่นหอมหวานอย่างมีระดับฟุ้งกระจายไปทั่ว
“อย่างไรเรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ฝ่าบาททรงเคร่งครัดในธรรมเนียมปฏิบัติ พระองค์คงไม่ไปมีลูกกับนางกำนัลแทนที่จะเป็นสนมหรอก ต่อให้เป็นเช่นนั้น ข้าแค่ทำให้ตัวเองท้องก็จบแล้ว”
“ท่านมีแผนแล้วสินะคะ”
“ไม่ใช้ยาแฝดก็ยากำหนัด” โรสมอนด์พูดราวกับว่านั่นไม่ใช่ปัญหา “แค่ทำอะไรสักอย่างก็พอแล้ว”
***
อีกด้านหนึ่ง เปโตรนิยาตัดสินใจไปเยือนคฤหาสน์เคานต์เบรดิงตันหลังจากใคร่ครวญดีแล้ว สถานการณ์ช่วงนี้ไม่มีอะไรแปลกใหม่และนางเองก็เลื่อนนัดเดตกับรอธซีมาสักพักแล้ว ถึงอย่างไรนางก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากอนุญาตก่อน ดังนั้นนางจึงต้องรักษาสัญญา การมาเยือนของเปโตรนิยาทำให้พ่อบ้านคฤหาสน์เบรดิงตันตกใจไม่น้อย
“พระเจ้าช่วย เลดี้เปโตรนิยา ท่านมาจริงๆ ที่จริงตอนที่ท่านติดต่อมา ข้ายังตกใจอยู่เลย…”
“เอ่อ…ลอร์ดอยู่ไหมคะ”
“รออยู่ที่ห้องรับรองแล้วขอรับ เชิญขอรับ”
เปโตรนิยารู้สึกประหม่ากับคฤหาสน์เคานต์ที่เพิ่งมาเป็นครั้งแรก แต่นางก็รักษามารยาทและเดินไปจนถึงห้องรับรองอย่างสง่าผ่าเผย เมื่อเปิดประตูเข้าไปนางก็พบรอธซีในชุดที่สุภาพเรียบร้อย เปโตรนิยายิ้มอย่างเก้อเขินโดยไม่รู้ตัว
“ไม่พบกันนานเลยนะคะ ลอร์ด”
“ข้าชะเง้อคอรอจนคอแทบหลุดแล้วครับ นั่งก่อนสิ”
รอธซีกล่าวเชิญก่อนจะนำชามาเสิร์ฟด้วยตัวเอง ครั้นได้ชิมชา เปโตรนิยาก็อุทานออกมา
“ฝีมือการชงชาของคฤหาสน์เคานต์ยอดเยี่ยมจริงๆ ค่ะ ข้าไม่เคยดื่มชาที่รสชาติดีขนาดนี้มาก่อนเลย”
“ขอบคุณสำหรับคำชมครับ เลดี้เปโตรนิยา ข้าไม่ได้ชงชานานแล้วจึงกังวลอยู่เหมือนกัน ได้ยินเช่นนั้นก็โล่งใจครับ”
“…คะ?”
เปโตรนิยาถึงกับพูดติดอ่างทำตัวไม่ถูก เดี๋ยวนะ ถ้าอย่างนั้นชาถ้วยนี้… ขณะที่เปโตรนิยาไปต่อไม่ถูก รอธซีก็พูดขึ้นมาแทน
“ชานี้ข้าเป็นครชงเองครับ โชคดีที่ถูกปากเลดี้”
รอธซีว่าพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน ขณะที่เปโตรนิยาพึมพำด้วยสีหน้าทึ่มเซ่อ
“เอ่อ ข้า…ตกใจเพราะไม่คิดว่าลอร์ดจะเป็นคนชงเองน่ะค่ะ คือ…ผู้ชายที่ข้ารู้จักไม่มีใครชงชาเป็นเลย”
“ครับ ข้าคงเป็นกรณีที่หาได้ยากน่ะครับ”
รอธซียิ้มน้อยๆ ราวกับว่าตนก็เห็นด้วยกับคำพูดของหญิงสาวก่อนจะรินชาลงในถ้วยที่ว่างเปล่าของเปโตรนิยา
“ได้รับคำชมจากเลดี้เช่นนี้ข้าก็ดีใจที่สุดแล้วครับ เป็นเกียรติมากครับ”
“…”
เดี๋ยวสิ เป็นเกียรติอะไรกัน เปโตรนิยายิ้มอย่างประหลาดให้กับถ้อยคำที่สละสลวยเกินไปนั้น นางจิบชาอีกสองสามอึกก่อนจะเอ่ยถึงเหตุผลที่นางไม่ได้ติดต่อเขาในช่วงที่ผ่านมา
“ช่วงนี้ข้า…ข้าไม่ค่อยว่างเลยค่ะ หากท่านสนใจเรื่องในรั้วในวังคงจะรู้ว่าเมื่อไม่นานมานี้…”
“ครับ ข้ารู้ ข้าพยายามจะไม่สนใจเรื่องการเมืองหรือราชวงศ์ แต่เรื่องการแต่งตั้งพระสนมอย่างเป็นทางการนั้นอย่างไรก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว”
รอธซีพูดถึงตรงนั้นก่อนจะปรับโทนเสียงให้ต่ำลงเล็กน้อยแล้วพูดต่อเสียงค่อย
“คงเป็นห่วงฝ่าบาทสินะครับ”
“เด็กคนนั้นทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรแต่นางต้องเจ็บช้ำน้ำใจไม่น้อยเป็นแน่ค่ะ” เปโตรนิยาพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “ข้าควรจะเป็นจักรพรรดินีเสียเอง…”
“ครับ?”
“ไม่มีอะไรค่ะ”
เปโตรนิยากลบเกลื่อนคำพูดที่หลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจก่อนจะรีบยิ้มอย่างเป็นปกติ เมื่อเห็นรอยยิ้มนั้นรอธซีก็ไม่ถามอะไรต่อและกลับไปพูดเรื่องที่พูดค้างไว้
“ข้าเข้าใจครับ ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องสำคัญ เลดี้ซึ่งคอยอยู่ข้างพระวรกายของฝ่าบาทย่อมต้องยุ่งเป็นธรรมดา”
“ขอบคุณที่เข้าใจนะคะ ลอร์ด หมู่นี้ข้าเหนื่อยทั้งกายและใจเลยค่ะ”
“แย่จริง เช่นนั้นน่าจะเลื่อนการเดตของเราออกไปก่อนนะครับ”
“ข้าคิดว่าข้าเลื่อนจนมิอาจจะเลื่อนออกไปได้อีกแล้วจึงตัดสินใจมาหาท่านค่ะ อย่างไรสัญญาก็ต้องเป็นสัญญา…” เปโตรนิยาปรับน้ำเสียงเล็กน้อยก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ชัดถ้อยชัดคำยิ่งขึ้น “ข้าคิดว่าข้าต้องรักษาสัญญาค่ะ ท่านสะดวกเวลาใด ข้าก็จะตกลงตามนั้นเลยค่ะ”
“อย่างที่ข้าเคยบอกไป จะวันไหนเวลาใด ข้าก็สะดวกทั้งนั้นครับ”
ขอเพียงได้ใช้เวลาร่วมกับเลดี้
ในที่สุดใบหน้าของเปโตรนิยาผู้ที่มีภูมิต้านทานถ้อยคำหวานซึ้งของบุรุษเป็นศูนย์ก็ขึ้นสีระเรื่อ แต่นั่นก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น เปโตรนิยากระแอมไอ ไฉนจู่ๆ ก็รุกเข้ามาในหัวใจของข้าเช่นนี้ น่าตกใจจริงเชียว
“ถ้าอย่างนั้น…เอ่อ เมื่อไรดีนะ…”
“ไม่เป็นไรครับ นีย่า เอาที่สะดวกเถอะครับ”
“คะ?”
เปโตรนิยาถามด้วยความตกใจ ในขณะที่รอธยิ้มราวกับเขินอายพลางแก้ตัว
“เอ่อ…หากเลดี้ไม่พอใจ…”
“…”
“ว่าแล้วเชียว จะเรียกชื่อเล่นตอนนี้มันก็…กระไรอยู่ใช่ไหมครับ”
“เอ่อ…”
เปโตรนิยากลัดกลุ้ม ด้วยบรรยากาศในตอนนี้ หากนางว่ากล่าวอะไรออกไป นางคงดูเป็นผู้หญิงที่ปิดกั้นตัวเองอย่างแน่นหนา เปโตรนิยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ตอนนี้มันก็ยังแปลกๆ ค่ะ…เก็บไว้เรียกวันหลังได้ไหมคะ ลอร์ด?”
ใช่แล้ว นี่ไม่ใช่การปฏิเสธอย่างเด็ดขาด รอธซีรับข้อเสนอของหญิงสาวอย่างยินดี
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ เลดี้”
“เป็นเกียรติอะไรกันคะ…”
เปโตรนิยาเบนสายตาไปทางอื่นด้วยความเก้อเขิน รอธซีเห็นดังนั้นก็ยิ้มพราย มองผู้ชายที่แทบจะยิ้มทุกๆ สองนาทีแล้วเปโตรนิยาก็อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้
“พรุ่งนี้…มาหาข้าที่คฤหาสน์มาร์ควิสนะคะ”
ถึงกระนั้นเปโตรนิยาก็ยังครุ่นคิดไม่หยุด นีย่า นิล แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว อย่าให้ใจ อย่าเปิดใจ คอยเฝ้าดูและตั้งข้อสงสัย ระมัดระวังและรอบคอบ
“ข้าจะรอ”
ถึงกระนั้นนางก็ยังคิดว่า
อา ไม่ได้ใจเต้นแรงแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ
“…พรุ่งนี้ก็เลยมาไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
ครั้นได้ฟังเรื่องของเปโตรนิยา แพทริเซียก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม เปโตรนิยาพยักหน้ารับเงียบๆ ในขณะที่แพทริเซียหัวเราะคิกคัก
“ในที่สุดนีย่าของข้าก็จะได้ออกเรือนแล้วหรือนี่ ไปทั้งวันเลยก็ได้นะ นิล”
“อย่าล้อสิ”
แพทริเซียหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้งด้วยรู้สึกว่าพี่สาวของตนตอนที่ค้อนทั้งหน้าแดงว่า ‘อย่าล้อ’ นั้นช่างน่ารักเสียจริง
“แพทริเซีย” เปโตรนิยาเรียกชื่อของน้องสาวขณะที่ทั้งคู่เดินชมสวนอย่างสบายใจ
“ว่าอย่างไร เปโตรนิยา”
“เจ้าดูเปลี่ยนไปนะ”
คำพูดนั้นทำให้แพทริเซียหยุดเดิน คนที่เดินตามมาจึงต้องหยุดไปด้วย แพทริเซียถามกลับราวกับไม่รู้สึกอะไร
“ข้าหรือ”
“อืม”
“เปลี่ยนอย่างไร ไหนลองว่ามา”
“เจ้าดูผ่อนคลายกว่าเมื่อก่อน”
“ผ่อนคลาย” แพทริเซียหัวเราะ “ใช่แล้ว ผ่อนคลาย”
“ทำไมล่ะ”
แพทริเซียคิดถึงเหตุผลอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นนางกดยิ้มมุมปาก
“เพราะเป็นหมันกระมัง”
“…”
คำพูดอันสิ้นหวังขัดกับรอยยิ้มนั้นทำให้เปโตรนิยาสะดุ้งเฮือก แต่ในความเป็นจริงผู้พูดกลับดูไม่ทุกข์ไม่ร้อน แพทริเซียพูดต่อเสียงเรียบ
“เมื่อละทิ้งความปรารถนาแล้วย่อมผ่อนคลายเป็นธรรมดา”
“…”
“และคนที่ไม่มีอะไรจะเสียก็ผ่อนคลายเช่นกัน”
แพทริเซียยังคงพูดกับเปโตรนิยาทั้งรอยยิ้ม
“ท่านพี่ ตอนนี้ข้าไม่มีอะไรจะเสีย และไม่ปรารถนาสิ่งใด ตราบใดที่พระเจ้าไม่ทอดทิ้งข้า ตำแหน่งนี้ก็จะเป็นของข้าไปตลอดกาล และหากเป็นเช่นนั้นก็จะไม่มีอะไรมาทำอันตรายตระกูลโกรเชสเตอร์ได้”
“…”
ใช่แล้ว ตรงนี้แหละที่เจ้าเปลี่ยนไป แพทริเซีย เจ้ามีอะไรบางอย่าง…
“เพราะฉะนั้นตอนนี้ข้าอยู่ในจุดที่จะทำอะไรก็ได้”
…ที่เปลี่ยนไป เจ้าดูลึกลับขึ้น เปโตรนิยาพึมพำในลำคอ
“แล้วที่เป็นอยู่ในตอนนี้ล่ะ เจ้าพอใจแล้วหรือ?”
“มันมีความหมายอะไรด้วยหรือ” แพทริเซียหัวเราะเสียงต่ำ “ในที่แห่งนี้ไม่มีอะไรไร้ประโยชน์ไปกว่าความพอใจส่วนตัวอีกแล้ว หากจะหาความพอใจจากที่นี่จริงๆ …ก็คงเป็นนิลและคนอื่นๆ ที่ติดตามข้า…กระมัง”
“…นั่นสินะ”
เปโตรนิยาตอบได้เพียงเท่านั้น จากนั้นการเดินเล่นก็ดำเนินต่อไป เมื่อเดินมาถึงสวนที่แสนคุ้นเคย แพทริเซียก็พบใครอีกคนที่นางคุ้นเคยอยู่ที่นั่นด้วย รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงสาวหายไปโดยพลัน ด้วยเหตุนั้น เปโตรนิยาจึงตระหนักได้ทันทีว่าคนผู้นั้นเป็นใคร
แพทริเซียมุ่งหน้าไปยังตำหนักกลางเป็นอันดับแรก ลูซิโอมีสีหน้าเจ็บปวดใจเมื่อได้ยินข่าวว่าแพทริเซียจะมาเยือน และเขาก็พอจะเดาออกว่านางจะมาด้วยเรื่องใด ไม่มีทางที่แพทริเซียจะไม่ได้ยินเรื่องนั้นเว้นแต่ว่านางจะหูหนวก ไม่สิ แม้จะหูหนวกนางก็ต้องรู้เป็นแน่
“พระจักรพรรดินีขอเข้าเฝ้าเพคะ”
“…เข้ามาได้”
แพทริเซียเข้ามาในห้องอย่างเงียบๆ แม้ภายนอกจะดูสงบ แต่ลูซิโอรู้ดีว่าก่อนที่มรสุมจะพาดผ่าน ท้องทะเลนั้นเงียบสงบเพียงใด เขาหลับตาลงเงียบๆ ก่อนจะลืมตาขึ้น ความผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจในอดีตกลายเป็นชนักติดหลัง แต่นั่นเป็นความผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจจริงๆ หรือ? ลูซิโอขบคิด ไม่สิ นั่นเป็นความผิดพลาดจากความโง่เขลาเบาปัญญาต่างหาก ไม่อาจเรียกด้วยคำที่สวยหรูอย่างความผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจได้
“ฝ่าบาท”
“ว่าอย่างไร จักรพรรดินี”
“ได้ยินว่ามีข้อเรียกร้องให้แต่งตั้งพระสนมอย่างเป็นทางการหรือเพคะ มิหนำซ้ำยังมาจากตระกูลดยุกเอเฟรนีเสียด้วย”
“เป็นเช่นนั้น”
“ไม่สิ ก่อนจะพูดเรื่องนั้น” แพทริเซียฝืนหัวเราะออกมา “หม่อมฉันเป็นหมันอย่างนั้นหรือเพคะ”
“…แค่เสนอให้ลองตรวจดูเท่านั้น จักรพรรดินี”
“เลดี้เอเฟรนีมิใช่คนโง่นะเพคะ”
ในที่สุดแพทริเซียก็ระเบิดอารมณ์ออกมาก่อนจะเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย
“บอกหม่อมฉันทีเถอะเพคะ ฝ่าบาท มีบางสิ่งที่หม่อมฉันยังไม่รู้ใช่หรือไม่ เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่”
“…จักรพรรดินี”
“หม่อมฉันเป็นหมันหรือเพคะ”
“…”
“แล้ว…แล้วนางรู้ได้อย่างไร!” แพทริเซียถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “นางรู้ได้อย่างไร หม่อมฉันไม่เคยรับการตรวจเช่นนั้นเลยสัก…อ้อ!”
ทันใดนั้นแพทริเซียก็นึกถึงการตรวจร่างกายในวันนั้นขึ้นมาได้ การตรวจร่างกายซึ่งเป็นหัวข้อที่สามในการคัดเลือกจักรพรรดินี…
“การตรวจร่างกาย”
แพทริเซียพึมพำ สีหน้าของนางราวกับเข้าใจแล้วว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาล้วนสูญเปล่า ลูซิโอหลับตาลงอย่างเศร้าใจ
“ฮ่ะฮ่าฮ่าฮ่า”
แพทริเซียหัวเราะราวกับคนเสียสติ เพราะแบบนี้…เพราะแบบนี้พวกท่านถึงเลือกข้า…
“เพราะแบบนี้…เพราะแบบนี้หรือเพคะ ฝ่าบาท เพราะแบบนี้!” แพทริเซียแผดเสียงปนสะอื้นไห้ “เพราะแบบนี้หม่อมฉัน! …จึงถูกเลือกเป็นจักรพรรดินีทั้งๆ ที่มีลูกไม่ได้อย่างนั้นหรือเพคะ”
“…”
เขามิอาจพูดอะไรได้ สิ่งที่หญิงสาวกล่าวมาล้วนเป็นความจริง แพทริเซียถือว่าความเงียบของลูซิโอคือการยอมรับแต่โดยดี และนั่นทำให้นางสะเทือนใจอย่างมาก นางพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ท่าน…”
“…”
“ท่านทำเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร…”
แม้จะเป็นบทพูดที่ซ้ำซากจำเจแต่ตอนนี้ไม่มีคำพูดใดเหมาะสมไปมากกว่านี้อีกแล้ว แพทริเซียร้องไห้อย่างหนักด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว
“เหตุใดท่านถึงโหดร้ายกับข้าถึงเพียงนี้…”
ทำลายชีวิตคนคนหนึ่ง จากนั้นคนอีกคนที่รักคนผู้นั้นก็ถูกส่งกลับมายังอดีต และสุดท้ายสิ่งที่เขาทำก็คือการมอบความอาภัพและความเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า… แพทริเซียไม่อาจยกโทษให้ผู้ชายคนนี้ คนที่อยู่ตรงหน้านางได้
“ข้าชิงชังตัวเองนักที่มีความสงสารเล็กๆ น้อยๆ ให้กับท่าน”
“…จักรพรรดินี”
“อย่าเรียกข้า” แพทริเซียพูดอย่างรังเกียจ “อย่าเรียกข้าด้วยปากอันโสมมนั่น”
“…”
“ข้าเกลียดท่านและเกลียดตัวเอง ข้าอยากจะฆ่านางโรสมอนด์นั่น”
แพทริเซียพูดทุกเรื่องในใจต่อหน้าลูซิโอเป็นครั้งแรก ยิ่งนางได้รับความกระทบกระเทือนทางใจมากเท่าไร คำพูดของนางก็ยิ่งตรงไปตรงมามากเท่านั้น แพทริเซียพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงที่เอ่อล้นด้วยความเสียใจ
“ท่านกับอลิซาต่างกันตรงไหน”
“…”
“สำหรับข้า ไม่ว่าท่านหรืออลิซาก็ไม่ต่างกันเลยสักนิด ท่านทำให้ข้าตกนรกทั้งเป็น ทำไม…”
“…”
“ทำไมไม่พูดอะไรหน่อยล่ะ ท่านมีอะไรจะพูดก็พูดมาสิ ขอโทษ? ผิดไปแล้ว? ถ้ามีปากก็พูดออกมา!”
“…เรา…มีสิทธิ์พูดอะไรด้วยหรือ”
“…ก็รู้นี่”
แพทริเซียหลั่งน้ำตาพลางพูดทิ้งท้ายอย่างคับแค้นใจ
“ท่านมันเลวที่สุด”
“…”
“ข้าขอให้ท่านเจ็บเท่าที่ข้าเจ็บ ไม่สิ ขอให้เจ็บยิ่งกว่าข้าเป็นเท่าทวีคูณ”
สิ้นคำแพทริเซียก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ปัง เสียงปิดประตูดังสนั่น ลูซิโอทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้นและร้องไห้ให้กับหญิงสาวที่เดินจากไปเงียบๆ
***
“ถวายบังคมพระจักรพรรดินี”
โรสมอนด์ บุตรสาวคนเดียวของตระกูลดยุกได้รับการแต่งตั้งเป็นสนมของจักรพรรดิอย่างเป็นทางการ และได้รับบรรดาศักดิ์มาร์เชอเนสเอธิลเลอร์ หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์แพทริเซียก็ได้พบนางอีกครั้ง เลดี้วาเซียร์ออกเรือนไปยังราชรัฐชั้นดัชชี[1]ทันทีหลังพ้นจากตำแหน่งควิเนส ปัจจุบันเลดี้ตระกูลดยุกจึงเหลือเพียงโรสมอนด์คนเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นเรื่องสนมจึงไม่มีทางเลือกมาตั้งแต่แรกแล้ว แพทริเซียคิดว่าจากนี้ไปจะเป็นอย่างไรก็ช่าง หญิงสาวจ้องมองโรสมอนด์ที่เข้ามาทักทายตน ตอนนี้อีกฝ่ายกลายเป็นมาร์เชอเนสเอธิลเลอร์ไปแล้ว
“อืม สีหน้าดูดีทีเดียว ช่วงนี้พระจักรพรรดิคงเสด็จไปหาเจ้าบ่อยสินะ”
“…”
ใครๆ ต่างก็รู้ว่าหลังจากการโต้เถียงในวันนั้น ลูซิโอก็ไม่ได้ไปที่ตำหนักเวนอีกเลย โรสมอนด์ไม่มีทางที่จะไม่รู้ความจริงข้อนี้ นางกัดฟันกรอดก่อนจะตอบโต้อย่างไม่รู้สึกรู้สาในทันใด
“ช่วงนี้สีพระพักตร์ของฝ่าบาทเองก็ดูผ่องใสนะเพคะ”
“เราหรือ”
“เพคะ ฝ่าบาท”
แพทริเซียตอบรับการทักทายที่ไร้ความหมายของโรสมอนด์ด้วยรอยยิ้มเย็นชา หลังจากเผชิญหน้ากับลูซิโอวันนั้นนางก็ยื่นคำขาดกับเขาว่า ‘หากท่านอยากรับสนมแม้ว่านั่นจะเป็นการลดเกียรติของข้าก็เชิญตามสบาย’ จากนั้นก็ไม่มีการตอบรับใดๆ จากเขาแม้แต่น้อย นางจงใจไม่ตรวจความสามารถในการตั้งครรภ์และไม่ได้ยื่นคัดค้านผลการคัดเลือก
หลายวันมานี้แพทริเซียดูราวกับคนหมดอาลัยตายอยาก แม้นางจะยังคงตรวจเอกสารของฝ่ายใน อ่านหนังสือ และเดินเล่นตามปกติ แต่คนรอบกายกลับรู้สึกว่านางดูว่างเปล่ากว่าเมื่อก่อน ความเปลี่ยนแปลงนี้ชัดเจนจนเปโตรนิยารู้สึกได้
“เพราะเจ้า ทุกวันนี้เราจึงได้อยู่อย่างสบายใจเป็นอย่างยิ่ง”
แม้แพทริเซียจะพูดในเชิงแดกดันแต่โรสมอนด์ก็ตอบโต้อย่างไม่ยี่หระ
“หม่อมฉันก็อยู่อย่างสบายใจด้วยพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทเพคะ”
“เช่นนั้นก็ดีทีเดียว”
แพทริเซียโต้ตอบด้วยรอยยิ้มกว้างก่อนจะพูดเรื่องอื่นขึ้นมา
“แต่ตามที่เราได้ยินมาดูเหมือนจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นนะ”
“เพคะ? พระองค์กำลังตรัสถึงเรื่องอันใด…”
“เรื่องบิดามารดาแท้ๆ ของเจ้าน่ะสิ” แพทริเซียเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย “เมื่อวานเราได้ยินข่าวน่าขนลุกมาว่าปราสาทของบารอนแดโรว์เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่จนไม่เหลือซาก”
“…”
“ถึงแม้ตอนนี้บิดามารดาของเจ้าจะเป็นดยุกและดัชเชสเอเฟรนีก็เถอะ…แต่ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นบิดามารดาที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเจ้ามามิใช่หรือ ฟังว่าทั้งบารอนและบารอเนสเสียชีวิตในกองเพลิงทั้งคู่”
“โชคร้ายยิ่งนัก เป็นเช่นนั้นจริงเพคะ”
“นั่นสิ โชคร้ายจริงๆ มิหนำซ้ำตระกูลไวเคานต์เพอร์ที่พี่ชายของเจ้าแต่งเข้าตระกูลไปก็ล้มละลายด้วยใช่หรือไม่ หากเป็นผู้ที่หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของชนชั้นสูง นี่คงเป็นความอัปยศที่ยากจะทานทน”
พูดจบแพทริเซียก็เดินเฉียดกรายเข้าไปใกล้โรสมอนด์ ก่อนจะเดินผ่านไปนางก็แวะกระซิบที่ข้างหูของอีกฝ่าย
“ฆ่าได้แม้กระทั่งครอบครัวแท้ๆ เจ้านี่จะเลวไปถึงไหนกัน โรสมอนด์ ช่างไม่เกรงกลัวพระเจ้าลงทัณฑ์เอาเสียเลย”
“หม่อมฉันไม่รู้ว่าพระองค์กำลังตรัสถึงเรื่องอันใดเพคะ พระจักรพรรดินี” โรสมอนด์ยิ้มพลางกระซิบข้างหูแพทริเซียกลับไป “สำหรับหม่อมฉัน ครอบครัวแท้ๆ มีเพียงดยุกและดัชเชสเอเฟรนีกับบุตรชายของพวกเขาเท่านั้น”
“…ได้ หากนั่นเป็นความตั้งใจของเจ้าแล้วล่ะก็นะ”
แพทริเซียพูดทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นและออกเดินต่อ นางรู้สึกว่าโรสมอนด์เขม้นมองไล่หลังมา หญิงสาวฉีกยิ้มและพึมพำถ้อยคำแปลกๆ
“เช่นนั้นข้าลองบังอาจทำตัวเป็นพระเจ้าดูดีไหมนะ”
“เสด็จกลับมาแล้วหรือเพคะ ฝ่าบาท”
เมื่อแพทริเซียก้าวเข้ามาในตำหนัก มีร์ยาก็เข้ามาต้อนรับอย่างนอบน้อมทันที แพทริเซียยิ้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะและเริ่มเปิดเอกสาร นางอ่านเอกสารไปได้ไม่เท่าไรก็เอ่ยถามมีร์ยา
“เปโตรนิยามาช้าจัง มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“เลดี้แจ้งว่าวันนี้จะไปทำธุระที่ตลาด อาจจะมาสายเล็กน้อยเพคะ”
“แย่จริง ข้าคงงอแงเกินไปแล้ว”
รู้สึกผิดเลย แพทริเซียพึมพำพลางหัวเราะเบาๆ จู่ๆ วันนี้มีร์ยาก็รู้สึกขนลุกอย่างประหลาด นางไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แม้กระทั่งตอนที่แพทริเซียรอดตายอย่างหวุดหวิดในงานเทศกาลล่าสัตว์นางก็ยังไม่รู้สึกเช่นนี้…
“มีร์ยา”
เมื่อได้ยินเสียงเรียกของแพทริเซีย มีร์ยาก็หลุดจากภวังค์และรีบขานรับ
“เพคะ พระจักรพรรดินี”
“เจ้ารู้จักสเตอรินไหม”
“สเตอรินหรือเพคะ”
มีร์ยาส่ายหน้า นางเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก
“มันคืออะไรหรือเพคะ” มีร์ยาถามกลับ
“กลิ่น…ที่หอมมากๆ ได้ยินว่าประเทศหนึ่งทางตะวันออกเรียกมันด้วยชื่ออื่น… แต่เอาเป็นว่ากลิ่นของมันหอมมากจนคนในแถบตะวันออกนำมาใช้เป็นกำยาน”
“กำยานหรือเพคะ”
“คล้ายๆ กับน้ำหอมน่ะ ว่ากันว่าเมื่อจุดกำยาน กลิ่นของมันจะติดตัวและให้กลิ่นหอม” แพทริเซียว่าพลางหัวเราะอย่างมีเสน่ห์ “ก่อนหน้านี้ข้ามิได้ใส่ใจ การมีท่านหญิง[2]คนใหม่ก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดี อีกทั้งนางยังได้รับการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์มาร์เชอเนส หากข้านิ่งเฉยคงจะผิดธรรมเนียม”
“เพคะ…?”
ท่าทีที่เปลี่ยนไปของแพทริเซียทำให้มีร์ยารู้สึกสงสัย เพียงครู่เดียวแพทริเซียก็ยิ้มกว้างและกวักมือเรียก มีร์ยาเข้าไปใกล้ผู้เป็นนาย จากนั้นแพทริเซียก็หยิบกล่องขนาดเล็กออกมาจากลิ้นชักและยื่นให้
“สิ่งนี้…คืออะไรหรือเพคะ ฝ่าบาท” มีร์ยาถามด้วยความสงสัย
“ทางตะวันตกคงไม่คุ้นเคยกับกำยานเท่าไรนักเพราะไม่ค่อยได้ใช้ ข้าจึงทำเป็นน้ำหอมแทน เจ้าช่วยนำไปส่งที่ตำหนักเวนที”
“รับด้วยเกล้าเพคะ ฝ่าบาท”
มีร์ยารับกล่องจากแพทริเซียอย่างอ่อนน้อมก่อนจะออกจากห้องไป แพทริเซียมองไล่หลังมีร์ยา ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มบางๆ แต่เพียงครู่เดียวก็จางหายไป นางกลับไปนั่งที่โต๊ะและเริ่มทำงานราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
[1] ราชรัฐชั้นดัชชี (Duchy) คืออาณาเขตปกครองที่มีดยุกเป็นประมุข
[2] ท่านหญิง (공녀/คง-นยอ) เป็นคำเรียกยกย่องบุตรีของดยุก เพราะถือว่าเป็นเลดี้ที่มีศักดิ์สูงที่สุดในบรรดาบุตรีตระกูลขุนนาง แต่คำนี้เป็นเพียงคำยกย่องที่ใช้ในบริบทของภาษาเกาหลีเท่านั้น ไม่มีการใช้ในยุโรป
“…”
เปโตรนิยาสังหรณ์ใจว่าข้อเรียกร้องของผู้ชายคนนี้ชักจะสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อรอธซีเห็นสีหน้าของเปโตรนิยาเขาก็พึมพำด้วยความผิดหวังว่า ‘สงสัยจะไม่ได้จริงๆ…’ ท่าทางที่ดูราวกับลูกแมวถูกทิ้งของเขาทำให้เปโตรนิยารู้สึกไม่สบายใจ สุดท้ายนางก็ถอนหายใจและเอ่ยปาก
“ก็ได้ค่ะ”
เพียงคำเดียวสีหน้าไร้ชีวิตก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมา
“จริงหรือครับ” เขาถาม
“ข้าไม่กลับคำหรอกค่ะ”
เปโตรนิยาตั้งเงื่อนไข “แต่ต้องมาส่งข้าที่คฤหาสน์ก่อนค่ำนะคะ”
“แน่นอนครับ เลดี้ ข้ามิใช่คนไม่รู้กาลเทศะหรอกครับ”
เปโตรนิยาอยากจะตอบว่า ‘แต่ท่านดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นนะคะ’ แต่นางก็ยั้งปากไว้ เมื่อเปโตรนิยาอนุญาต รอธซีก็ถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“เมื่อไรดีครับ เลดี้ หากเลดี้สะดวกจะไปตอนนี้เลยก็…”
“เอ่อ ขออภัยด้วยค่ะ ไปตอนนี้คงไม่ได้…” เปโตรนิยาขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้าจะส่งคนไปแจ้งที่คฤหาสน์เคานต์อีกทีค่ะ ได้ไหมคะ”
“ได้ครับ”
เขาตอบพลางหัวเราะดังลั่นราวกับจะบอกว่าเขาพร้อมเสมอ ท่าทีของอีกฝ่ายทำให้เปโตรนิยาพลอยหัวเราะตามไปด้วยโดยไม่รู้ตัว รอธซีเห็นดังนั้นก็กดยิ้มมุมปาก
“เอ๊ะ? เมื่อครู่เลดี้หัวเราะ”
“…”
“ใช่ไหมครับ” เขาถาม
“…แล้วมันสำคัญด้วยหรือคะ”
“สำคัญสิครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มสบายหู “นี่เป็นครั้งแรกที่เลดี้คุยกับข้าแล้วหัวเราะ”
“…”
ไม่น่าจะใช่ครั้งแรกนะ… ในระหว่างที่เปโตรนิยากำลังนึกย้อนถึงความทรงจำอันสับสน รอธซีก็ลุกขึ้น
“จะไปแล้วหรือคะ” เปโตรนิยาถาม
“เลดี้กำลังยุ่งมิใช่หรือครับ ข้าไม่คิดจะรบกวนเวลาของเลดี้หรอกครับ”
“…”
“เช่นนั้น วันนี้ข้าขอตัว”
พูดจบเขาก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งต่อหน้าเปโตรนิยา ขณะที่เปโตรนิยาเหม่อมองท่าทีของอีกฝ่าย เขาก็จุมพิตที่หลังมือขวา การจุมพิตอันเป็นสัญลักษณ์ของอัศวินทำให้สีหน้าของเปโตรนิยาเต็มไปด้วยความเก้อเขินทำตัวไม่ถูก รอธซีไม่ได้สนใจปฏิกิริยาของอีกฝ่าย เขายิ้มกว้างกล่าวเสียงหวาน
“เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะมารับนะครับ เลดี้”
“…”
สุภาพบุรุษมารยาทงามคนนั้นกลับไปแล้ว ในขณะที่เปโตรนิยายังคงนั่งอยู่ตรงนั้นครู่ใหญ่ เมื่อได้สตินางก็รีบส่ายหน้าพลางลุกขึ้นจากที่นั่ง
“เป็นอย่างไรบ้างลูก” มาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์ถามบุตรสาวที่เดินออกมาจากห้องรับแขก
“อะ อะไรหรือคะ”
“บุตรชายของเคานต์คนนั้นน่ะสิ แม่ถูกใจเขาเหลือเกิน”
“ยะ…อย่าพูดอะไรไร้สาระสิคะ ท่านแม่”
เปโตรนิยาค้อนทั้งหน้าแดงระเรื่อก่อนจะรีบเดินกลับเข้าห้องของตัวเองไป ทำไมจู่ๆ ท่านแม่ถึงพูดอะไรแบบนั้น! ขณะจัดชุดเดรสที่สวมอยู่ให้เรียบร้อยเปโตรนิยาก็คิดว่าต้องรีบเข้าวังเสียแล้ว
กว่าเปโตรนิยาจะมาถึงตำหนักจักรพรรดินีก็สองโมงเข้าไปแล้ว แพทริเซียต้อนรับพี่สาวอย่างยินดี
“วันนี้ทำไมช้าจังล่ะ นีย่า”
“เอ่อ…”
ได้ยินคำถามของแพทริเซีย เปโตรนิยาก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายก็ตอบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“แค่…ตื่นสายน่ะ”
“แปลกจัง เจ้าเนี่ยนะตื่นสาย”
แพทริเซียพึมพำด้วยความประหลาดใจ เปโตรนิยายิ้มเจื่อนและพยักหน้า ไม่นานมีร์ยาก็เข้ามาพร้อมของว่างมากมายสำหรับทั้งสองคน แพทริเซียหยิบขนมดั๊กกวซรสช็อกโกแลตเข้าปากชิ้นหนึ่งและเริ่มเกริ่น
“ข้ามีอะไรจะบอก”
“อะไรหรือ”
“ก็…เรื่องอนุภรรยาของดยุกเอเฟรนีน่ะ”
“อ้อ”
ตอนนั้นเองเปโตรนิยาก็รู้ว่าแพทริเซียจะพูดเรื่องอะไรจึงชิงพูดก่อน
“ถ้าเป็นเรื่องนั้นข้าขอพูดก่อน”
“หืม? เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“อนุภรรยาคนนั้นชื่อแจนยูเอรี” เปโตรนิยาพูดรวบรัดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “และมาดามแจนยูเอรีกับโรสมอนด์น่าจะแอบติดต่อกันอย่างลับๆ อยู่”
“ให้ตายเถอะ ว่าแล้วเชียว!”
แพทริเซียส่ายหน้าไปมาราวกับสิ่งที่นางคาดการณ์เอาไว้ถูกต้องทั้งหมด
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” เปโตรนิยาถาม
“เมื่อวานข้าบังเอิญได้ยินสองคนนั้นคุยกันที่ระเบียง แต่ไม่รู้รายละเอียดมากนัก ได้ยินว่าลงเรือลำเดียวกัน…หรืออะไรทำนองนี้”
“เท่าที่ข้าดู ผู้หญิงที่ชื่อแจนยูเอรีน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องลึกซึ้งกับเรื่องทั้งหมดมากกว่าที่เราคิด”
พูดจบ เปโตรนิยาก็ยื่นอะไรบางอย่างให้แพทริเซีย มันคือจดหมายที่นางได้มาจากห้องของแจนยูเอรี
“นี่คืออะไรหรือ นิล” แพทริเซียถาม
“จดหมายที่ข้าค้นเจอในห้องของแจนยูเอรี ส่วนผู้ส่ง แค่เห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นโรสมอนด์”
แพทริเซียรีบคลี่จดหมายอ่าน และเนื้อความมีอยู่ว่า
ถึงแจนยูเอรีที่รัก นี่โรสมอนด์เอง
ข้าได้ยินข่าวเรื่องที่ดัชเชสเอเฟรนีจะเดินทางออกนอกจักรวรรดิแล้ว ฟังว่านางฝากฝังให้เปโตรนิยาช่วยจัดการเรื่องในบ้าน เฮอะ ให้ตายเถอะ ผู้หญิงคนนั้นเสียสติไปแล้วเป็นแน่ เอาเรื่องในบ้านไปฝากผู้หญิงจากตระกูลที่เป็นปฏิปักษ์กับสามีได้อย่างไร นางรู้บ้างหรือไม่ว่านั่นมันอันตรายเพียงใด
เอาเป็นว่าเจ้าก็ระวังด้วยนะ แจน เปโตรนิยาเป็นพี่สาวฝาแฝดของจักรพรรดินี และนางก็มิใช่คนโง่ หากเจ้าทำตัวผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อย เรื่องอาจแดงขึ้นมาได้ในทันที
อย่าลืมเสียล่ะ แจน เราร่วมมือกัน และมีชะตาให้ลงเรือลำเดียวกัน
ข้าเชื่อใจเจ้า
เผาจดหมายนี้เสีย
จากโรสของเจ้า
“ร่วมมือกัน…”
คำคำนั้นเตะตาเป็นพิเศษ แพทริเซียเห็นแล้วก็ขมวดคิ้ว หรือว่านางคอยให้ความช่วยเหลือในแผนการร้ายต่างๆ ของโรสมอนด์
“เป็นไปได้นะ ริซซี่ ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่” เปโตรนิยากล่าวกับแพทริเซียราวกับอ่านใจได้
“…”
“แต่ถึงจะบอกว่าร่วมมือกัน แต่ทั้งคู่ต่างก็ไม่ได้เชื่อใจกันเต็มร้อยเป็นแน่”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น”
โรสมอนด์กำชับหนักหนาว่าให้ ‘เผา’ จดหมายนี้เสีย แต่แจนยูเอรีกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น นี่ย่อมหมายความว่าแจนยูเอรีคิดจะเก็บสิ่งนี้ไว้เพื่อเป็นหลักประกันความปลอดภัยของตนในกรณีที่แผนล้มเหลว…อย่างนั้นหรือ? แพทริเซียหัวเราะออกมา ไม่มีสัจจะในหมู่โจรสินะ เพราะคนพวกนั้นมักหักหลังกันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
“ก่อนอื่น…จับตาดูไปก่อนคงไม่เสียหาย เจ้าต้องเข้าออกบ้านนั้นจนถึงเมื่อไรหรือ นิล?”
“เมื่อวานซืนข้าเพิ่งได้รับจดหมายจากดัชเชสเอเฟรนีพอดี” เปโตรนิยาว่าพลางถอนหายใจ “ท่าทางอาการของลอร์ดจะสาหัส ดัชเชสเป็นกังวลมากทีเดียว”
“…”
มาถึงตอนนี้แพทริเซียรู้สึกราวกับเป็นตลกร้าย นางกับตระกูลดยุกเอเฟรนีเป็นคู่แข่งในทางการเมืองไม่ผิดแน่ แต่พี่สาวฝาแฝดของนางกลับได้ทำหน้าที่ดูแลเรื่องภายในของบ้านนั้น นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
แต่เดิมทีโลกใบนี้ก็ไม่อาจแบ่งเป็นสองด้านได้อย่างชัดเจนอยู่แล้วนี่นะ
“ทำตัวลื่นไหลไปตามสถานการณ์ก็ไม่เลวนะ”
“เชื่อมือข้าได้เลย ริซซี่”
“เชื่ออยู่แล้ว”
แพทริเซียหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะเก็บจดหมายลงในกล่องเก็บอัญมณีอย่างดี นางคิดว่าวันใดวันหนึ่งนางอาจได้นำมาใช้ประโยชน์ นางสั่งให้มีร์ยานำกล่องไปเก็บในที่ที่มิดชิดที่สุด จากนั้นก็หันไปคุยกับเปโตรนิยาต่อด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง
“เช่นนั้น… ท่านพี่ เมื่อวานเจ้าได้เจอเนื้อคู่บ้างหรือไม่”
“…”
ได้ยินดังนั้นเปโตรนิยาก็หน้าแดงทันที ปฏิกิริยาเช่นนั้น นอกจากแพทริเซียแล้วคนอื่นๆ ที่อยู่ตรงนั้นต่างก็คาดเดาคำตอบได้ อ้อ มีเรื่องอะไรสินะ แพทริเซียยิ้มพลางเอ่ยถาม
“ใครหรือ”
“ไม่มี”
“โกหก”
แพทริเซียหัวเราะคิกคักอย่างนึกสนุก ในขณะที่เปโตรนิยาเลือกที่จะเงียบ แต่แทนที่จะแกล้งเปโตรนิยาต่อ แพทริเซียกลับทำเพียงหัวเราะเสียงต่ำและเปลี่ยนเรื่อง
“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว นิลนี่ช่าง…”
“ฝ่าบาทเพคะ!”
ในตอนนั้นเองใครคนหนึ่งก็รีบร้อนวิ่งเข้ามาในห้อง แพทริเซียตาเบิกโพลงมองความวุ่นวายที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
“ไฉนเจ้าจึงทำตัวเสียมารยาทต่อหน้าฝ่าบาทและเลดี้” มีร์ยาตำหนินางกำนัลที่ทะเล่อทะล่าเข้ามา
“ไม่เป็นไร มีร์ยา” แพทริเซียปรามมีร์ยาและขมวดคิ้วถาม “มีอะไรอย่างนั้นหรือ”
“คือว่า…ตอนนี้เลดี้เอเฟรนีอยู่ในที่ประชุมขุนนาง…”
โรสมอนด์น่ะหรือ? แพทริเซียขมวดคิ้วมุ่นอีกครั้ง และคำพูดต่อมาของนางกำนัลก็ทำให้นางไม่สบอารมณ์อย่างช่วยไม่ได้
“เลดี้เอเฟรนียืนกรานว่าฝ่าบาททรงเป็นหมัน และต้องมีการแต่งตั้งพระสนมเพคะ”
“…”
สีหน้าของทุกคนในที่นั้นเคร่งเครียดไปตามๆ กัน ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่แพทริเซียจะทำลายความเงียบนั้น นางถามนางกำนัลอย่างใจเย็น
“เล่ามาให้ละเอียดที”
“ตามที่หม่อมฉันกราบทูลไป เรื่องนี้ถูกยกขึ้นมาพูดในที่ประชุมเมื่อสักครู่นี้เองเพคะ นางบอกว่าฝ่าบาทเป็นหมันจึงต้องแต่งตั้งพระสนม… นอกจากตระกูลดยุกเอเฟรนีแล้วยังมีขุนนางท่านอื่นๆ ที่เห็นด้วยกับเรื่องนี้เพคะ”
“เฮอะ”
แพทริเซียแค่นหัวเราะอย่างพูดไม่ออก เปโตรนิยามีสีหน้าเคร่งเครียด สีหน้าของราฟาเอลาและมีร์ยาก็ไม่ได้สดใสเช่นกัน ทันใดนั้นแพทริเซียก็เริ่มคิดอย่างจริงจัง
‘ทำไมนางถึงยึดติดกับเรื่องเป็นหมันขนาดนั้น’
แพทริเซียครุ่นคิด โรสมอนด์ไม่ใช่คนที่จะเอาชีวิตไปเสี่ยงโดยไม่มีสาเหตุ นางมิได้โง่เขลาถึงเพียงนั้น เช่นนั้นหรือว่า…?
“ข้า…” แพทริเซียพึมพำ หรือว่าที่จริงแล้วข้า… “เป็นหมันอย่างนั้นหรือ…”
เป็นไปไม่ได้ เรื่องนี้… แพทริเซียบ่นพึมพำราวกับไม่อยากจะเชื่อ ในตอนนั้นเองใครอีกคนก็วิ่งเข้ามาเข้ามา คราวนี้อะไรอีกล่ะ ลางร้ายประเดประดังเข้ามาไม่เว้นช่วงให้พักหายใจ
“พระจักรพรรดินีเพคะ”
นางกำนัลที่นำข่าวมาบอกมีสีหน้าราวกับจะร้องไห้ แพทริเซียกลืนน้ำลายแห้งๆ
“มีอะไร”
“ที่ประชุมมีมติให้ตรวจความสามารถในการตั้งครรภ์ของฝ่าบาทเพคะ”
นางกำนัลกล่าวประโยคที่เหลือด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ฝ่าบาท ถ้าหาก… ถ้าหากว่า…!”
“พอที”
แพทริเซียพูดตัดบท หญิงสาวมีสีหน้าเคร่งเครียดและลุกพรวดขึ้นจากที่นั่ง ทุกคนในที่นั้นหันมามองนางเป็นจุดเดียว แพทริเซียพึมพำด้วยสีหน้าเย็นชา
“หากเป็นเช่นนั้นจริง เราคงต้องหาแผนรับมือ”
“ท่านมิใช่คนของฝ่ายใน เราจึงไม่สามารถลงโทษท่านเช่นที่ทำกับเลดี้ได้ตามอำเภอใจ”
“…”
“แต่คำพูดของท่านก็มิต่างอะไรกับการหมิ่นราชวงศ์มิใช่หรือ เราเพิ่งรับตำแหน่งจักรพรรดินีได้ไม่ครบปี อายุก็ยังไม่มาก อายุของเราอาจน้อยกว่าอนุภรรยาของท่านตอนให้กำเนิดบุตรชายเสียด้วยซ้ำ แล้วนี่ท่านกำลังถกเรื่องความสามารถในการตั้งครรภ์ของเราอย่างนั้นหรือ…”
แพทริเซียพึมพำเสียงเบา “เช่นนี้เราควรจะเข้าใจว่าอย่างไร หืม? ไหนท่านลองบอกเรามาที”
แพทริเซียแสดงออกเป็นนัยอย่างนุ่มนวลว่าหากยังพูดต่อไป นางจะไม่ยอมอยู่เฉยแน่ เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นก็ไม่มีใครปริปากพูดอะไรอีก นี่เป็นครั้งที่สองที่จักรพรรดินีผู้อยู่เงียบๆ มาโดยตลอดเสียจริตถึงขนาดนี้
“สถานการณ์น่าอึดอัดใจเช่นนี้ เราคงอยู่ในงานต่อไม่ได้แล้ว ขออภัยหากเราทำให้เสียบรรยากาศ ขอให้ทุกท่านสนุกกับช่วงเวลาที่เหลือ”
พูดจบแพทริเซียก็เดินออกจากห้องจัดงานไปทันทีโดยมีมีร์ยา เปโตรนิยา และราฟาเอลาวิ่งตามหลังไป ภายในห้องจัดงานตกอยู่ในความเงียบครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาครึกครื้นอีกครั้ง แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีสองคนที่ยังไม่หลุดพ้นจากความเงียบ ลูซิโอดึงโรสมอนด์ออกมาที่ระเบียงอันแสนสงบก่อนจะเอ่ยถาม
“โรส ทำไมเจ้าทำอะไรบุ่มบ่ามเช่นนี้”
“ไม่นะเพคะ ฝ่าบาท ไม่บุ่มบ่ามเลยสักนิด”
ทั้งคู่ไม่ได้มองกันด้วยสายตาที่อบอุ่นของคู่รักอีกต่อไปแล้ว
“หม่อมฉันเพียงแต่เป็นกังวลและตั้งคำถามในเรื่องที่ถูกต้องในฐานะบุตรีของดยุกและข้าราชบริพารของฝ่าบาททั้งสองพระองค์เท่านั้น ผู้ที่เข้าใจผิดไปเองว่านี่คือการดูหมิ่นก็คือพระจักรพรรดินีนะเพคะ”
โรสมอนด์ประท้วงด้วยน้ำเสียงเจ็บช้ำน้ำใจ “เช่นนี้แล้วยังทรงกล่าวโทษหม่อมฉัน กล่าวโทษบิดาของหม่อมฉันอีกหรือเพคะ”
“อย่างที่จักรพรรดินีพูด นางอายุยังน้อย เพิ่งแต่งงานได้ไม่ถึงปี แต่เจ้ากลับพูดเรื่องรัชทายาทขึ้นมาในตอนนี้ นี่ไม่เรียกว่าบุ่มบ่ามแล้วจะเรียกว่าอะไร เจ้า…เจ้ายังเป็นคนเดิมที่ข้ารู้จักอยู่หรือไม่? เจ้าใช่โรสมอนด์แน่หรือ”
“คนที่เปลี่ยนไปหาใช่หม่อมฉัน แต่เป็นฝ่าบาทต่างหากเพคะ”
โรสมอนด์ย้ายสายตาไปมองลูซิโออย่างเย็นชา ใช่ เขาเปลี่ยนไปแล้ว แม้ไม่อยากยอมรับแต่เขาก็เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ และที่เขาบอกว่านางเปลี่ยนไปนั้นโกหก เพราะนางก็เป็นของนางแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว ข้าเป็นคนแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว ผู้ที่สวมหน้ากากที่ไม่เหมาะกับข้าให้ตัวข้าและมองเห็นแต่สิ่งที่อยากจะเห็นก็คือท่าน มิใช่ข้า โรสมอนด์ยิ้มอย่างเย็นชา
“ตอนนี้พระองค์ไม่ได้รักหม่อมฉันแล้วสินะเพคะ ฝ่าบาท เพียงมองพระเนตรของพระองค์ หม่อมฉันก็รู้แล้ว”
“…”
“ฝ่าบาท ตอนนี้ไม่คิดจะปฏิเสธแล้วสินะเพคะ”
โรสมอนด์พึมพำอย่างสิ้นหวัง สุดท้าย…ก็จบเพียงเท่านี้หรือ สุดท้ายก็ไม่มีอะไรแตกต่าง…
“จักรพรรดินี ผู้หญิงคนนั้นทำอะไรลงไปสินะ เป็นเช่นนั้นใช่ไหมเพคะ? ฝ่าบาท นางล่อลวงฝ่าบาทอย่างไร นางเปลื้องผ้าต่อหน้าพระพักตร์ หรือนางทำตัวเหมือนโสเภณีบนเตียง?”
“พอได้แล้ว เลดี้ คำพูดของเจ้ามันเกินกว่าที่ข้าจะรับได้แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น!”
โรสมอนด์ตะเบ็งเสียง นางรู้สึกราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่นางคอยปกป้องรักษามาตลอดกำลังพังทลาย ทั้งๆ ที่นางทุ่มเททุกอย่างเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นอีก ทั้งๆ ที่เป็นอย่างนั้น…!
“ทำไมเพคะ ทำไม! เพราะอะไรกันแน่!”
“…”
“ทำไมพระองค์ถึงเปลี่ยนไป ทำไม!”
“…นั่นสิ พวกเราอาจเปลี่ยนไปด้วยกันทั้งคู่ก็เป็นได้” ลูซิโอพึมพำอย่างเศร้าใจ “ที่เจ้าพูดเช่นนั้น ดูเหมือนว่าเจ้าเองก็ไม่ได้รักข้าแล้วสินะ ไม่สิ เจ้าเคยรักข้าบ้างหรือไม่”
“ฝ่าบาท รู้อะไรไหมเพคะ” โรสมอนด์ยิ้มเยาะ “หม่อมฉันแสนจะเบื่อหน่ายที่พระองค์งมงายในความรักมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วเพคะ”
“…”
“เหมือนเด็กที่ยังไม่หลุดพ้นจากแผลเก่าในอดีต…!”
“พอ”
“ไม่เพคะ หม่อมฉันต้องพูด”
โรสมอนด์สังหรณ์ใจถึงจุดจบ นางตะเบ็งเสียงออกมาราวกับดิ้นรนอย่างสุดชีวิต
“พูดกันตรงๆ ไปเลยดีกว่า หม่อมฉันไม่ได้รักฝ่าบาท ไม่สิ หม่อมฉันรักตำแหน่ง อำนาจ และเงินทองของฝ่าบาทเพคะ”
“…”
“ในโลกนี้ไม่มีใครรักคนอย่างพระองค์ได้ทั้งนั้น ทรงตื่นจากฝันเถอะเพคะ ฝ่าบาท”
โรสมอนด์ยังคงโหดร้ายกับลูซิโอและจิตวิญญาณของเขาจนวินาทีสุดท้าย
“ใครจะกล้ารักฆาตกรที่ฆ่าแม่แท้ๆ ของตัวเองได้ลงคอ”
ในที่สุดนางก็ผลักจิตวิญญาณของเขาให้ร่วงดิ่งลงไปถึงก้นบึ้งของความสิ้นหวัง
“เจ้า…พูดกับข้าเช่นนั้นได้อย่างไร…”
ลูซิโอยืนโงนเงนด้วยความสะเทือนใจ แต่โรสมอนด์กลับพูดต่อไปโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา
“หากรู้ว่าความรักของพระองค์จะสั่นคลอนง่ายถึงเพียงนี้ หม่อมฉันคงไม่ยื้อไว้จนถึงตอนนี้”
“…”
“ใช่แล้วเพคะ หม่อมฉันโง่เอง”
เจ้ามันโง่ โรสมอนด์
“หม่อมฉันโง่เอง…”
เจ้าก็รู้อยู่แล้วว่าความรักมันไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคืออำนาจเท่านั้น
เพราะฉะนั้นเจ้าถึงได้ตั้งปณิธานไว้มิใช่หรือ ว่าเจ้าจะขึ้นไปให้สูงกว่าใคร ขึ้นไปจนถึงจุดที่ไม่มีใครเอื้อมถึงและไม่มีใครมาแตะต้องเจ้าได้
“หม่อมฉันจะเป็นจักรพรรดินีเพคะ ฝ่าบาท”
“…”
“ตำแหน่งจักรพรรดินีที่พระองค์เคยให้สัญญากับหม่อมฉันไว้ หม่อมฉันจะคว้ามันมาด้วยตัวเอง”
“โรสมอนด์”
ไม่นะ โรสมอนด์ อย่าทำเช่นนั้น
อย่าพังทลายไปมากกว่านี้ อย่าถลำลึกไปมากกว่านี้เลย
ได้โปรด
“อย่าทำเช่นนั้น”
“ไม่เพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันจะทำ” โรสมอนด์ยิ้มอย่างเลือดเย็น “หม่อมฉันจะได้ยืนเคียงข้างฝ่าบาท และเมื่อฝ่าบาทเสด็จสวรรคต หม่อมฉันก็จะเป็นพระพันปีของจักรวรรดินี้”
โรสมอนด์ร่ายแผนการของตนอย่างพึงใจพลางยิ้ม
“คอยจับตาดูให้ดีเถอะเพคะ ฝ่าบาท”
ว่าข้าจะได้ครอบครองตำแหน่งข้างกายท่านอย่างไร และข้าจะเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวของท่านได้อย่างไร
คอยดูให้ดี ดูให้ชัดๆ อย่าได้พลาดอะไรไปแม้แต่อย่างเดียว
“คาดหวังไว้ได้เลย”
นี่คือจุดเริ่มต้น ข้าจะไม่เชื่อในความรักของท่านและวิ่งเต้นไปตามความเชื่อนั้นอีกต่อไป แต่ข้าจะกุมอำนาจที่แท้จริงและคว้าตำแหน่งจักรพรรดินีมาครอง ก้าวแรกของแผนการอันยิ่งใหญ่นี้ ข้าขอมอบให้แด่ท่าน
แด่ท่าน…ผู้ชายที่ครั้งหนึ่งข้าเคยรักด้วยใจจริง
***
การโต้เถียงกันระหว่างแพทริเซียและโรสมอนด์ทำให้งานรำลึกวันสถาปนาจักรวรรดิปิดฉากลงอย่างคลุมเครือ แพทริเซียไม่ยินดีนักที่งานที่ตนทุ่มเทเตรียมการหามรุ่งหามค่ำมาร่วมเดือนต้องจบลงเช่นนี้ แต่นางก็ไม่เสียใจ นางคิดไว้แล้วว่าสักวันหนึ่งนางต้องแสดงให้อีกฝ่ายได้เห็น
เช้าวันรุ่งขึ้น แพทริเซียพูดและทำตัวเหมือนปกติ แต่การกระทำเช่นนั้นกลับทำให้คนรอบข้างทำตัวไม่ถูก แพทริเซียพยายามทำให้พวกเขาสบายใจด้วยการบอกว่านางไม่เป็นไร แต่ถึงกระนั้นราฟาเอลา มีร์ยา รวมถึงเหล่าข้ารับใช้ก็ยังคอยสังเกตท่าทีของนาง แพทริเซียจึงปล่อยเลยตามเลย เพราะหากนางเป็นพวกเขา นางก็คงทำเช่นเดียวกัน
“ฝ่าบาท ได้ยินเรื่องนั้นหรือยังเพคะ”
ก่อนมื้อเที่ยงของวันราวหนึ่งชั่วโมง มีร์ยาก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“หม่อมฉันก็เพิ่งได้ยินมาเมื่อครู่ ฟังว่าเมื่อวานหลังจากที่ฝ่าบาทเสด็จกลับตำหนัก มีหลายคนเห็นพระจักรพรรดิกับเลดี้เอเฟรนีโต้เถียงกันที่ระเบียงเพคะ”
“…”
“โต้เถียงกันใหญ่โตเลยเพคะ”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้าอย่างนั้นหรือ”
แพทริเซียพึมพำอย่างขมขื่น “เรื่องของสองคนนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับข้ามาตั้งแต่แรกแล้ว เจ้าก็รู้”
“…เพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันรู้ แต่…”
“แต่ก็นะ นับว่าดีต่อฝ่ายเรากระมัง”
แต่ก็ไม่รู้สิ เป็นนางเองที่สังเกตเห็นก่อนใครว่าพระจักรพรรดิเริ่มเอาใจออกห่างจากเลดี้เอเฟรนี ข่าวนี้จึงไม่ได้แปลกใหม่สำหรับนาง แต่นางก็ยังตกใจอยู่ดี
“ว่าแต่ทำไมวันนี้นีย่ามาช้าจัง” แพทริเซียเอ่ยถามมีร์ยาเพื่อเปลี่ยนเรื่อง
***
เปโตรนิยาไม่อาจสลัดความอึดอัดใจได้ตั้งแต่เมื่อวาน เรื่องของแพทริเซียก็เรื่องหนึ่ง แต่ที่ยิ่งกว่านั้น…
‘ผู้ชายคนเมื่อวาน เขาบอกว่าชื่อรอธซีใช่ไหมนะ’
รอธซีเป็นสาเหตุข้อใหญ่กว่า เปโตรนิยาเดินไปเดินมาในห้องด้วยสติที่ไม่แจ่มชัดนัก
‘เขาคงไม่มาหาข้าหรอกใช่ไหม’
นางกัดเล็บด้วยความกระวนกระวาย นางมักจะทำเช่นนี้ในยามที่รู้สึกไม่สบายใจ แต่แล้วนางก็รู้สึกสงสัยว่าทำไมตนต้องคิดถึงเรื่องของผู้ชายที่เจอกันแค่สองครั้ง คิดได้ดังนั้นนางก็เลิกกัดเล็บ
“ทำอะไรน่าขนลุก นิล ตั้งสติหน่อยสิ”
พูดไปขนาดนั้นแล้วยังมาพร่ำเพ้อเรื่องพรหมลิขิตอีก เปโตรนิยาได้แต่ส่ายหน้าพลางพึมพำว่า ‘เกินเยียวยาแล้ว’ อีกทั้งตอนนี้เรื่องนั้นไม่ได้สำคัญ
‘ถึงอย่างไรก็ต้องบอกเรื่องที่รู้มาให้ริซซี่รู้ก่อน’
เรื่องความสัมพันธ์ของโรสมอนด์กับแจนยูเอรี แน่นอนว่าภายนอกสองคนนั้นดูเหมือนไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน แต่ความจริงแล้วพวกนางอาจเกี่ยวข้องกันอย่างลึกซึ้ง เปโตรนิยาครุ่นคิดอย่างถ้วนถี่อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าแพทริเซียน่าจะรอตนอยู่ จึงตัดสินใจเข้าวังก่อนแล้วค่อยหาข้อสรุป นางเปลี่ยนไปสวมชุดเดรสสีน้ำเงินโคบอลต์บลู (Cobalt blue) และให้สาวใช้ช่วยสวมสร้อยเงินห้อยจี้ไพลินให้ ในตอนนั้นเองมาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์ผู้เป็นมารดาก็เข้ามาในห้อง
“ท่านแม่มีอะไรหรือคะ” เปโตรนิยาเอ่ยถาม
“นีย่า มีคนมาหาเจ้าน่ะ”
“ใครหรือคะ”
เปโตรนิยาลงมาที่ห้องรับแขกพร้อมกับสีหน้าสงสัย ครั้นเห็นว่าผู้มาเยือนเป็นใคร นางก็ตกใจจนแทบจะลงไปกองกับพื้น
“ละ…ลอร์ดเบรดิงตัน” หญิงสาวเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ
“ไม่พบกันนานเลยนะครับ เลดี้”
เดี๋ยวสิ จะนานได้อย่างไร เมื่อคืนเรายังเจอกันอยู่เลย เปโตรนิยามองหน้ามารดาเป็นเชิงถามความเป็นมาของสถานการณ์นี้ แต่มาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์เพียงแต่ยิ้มและกล่าวว่า
“ตอนที่พบกับเจ้าเมื่อวาน ลอร์ดเขาประทับใจมาก วันนี้จึงมาเยี่ยมเยียนอีกครั้ง”
“ท่านแม่คะ แต่ว่าข้า…”
“หากเลดี้ไม่สบายใจ ข้าก็จะกลับครับ”
รอธซีรีบพูดแทรก ในระหว่างนั้นมาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์ก็ปลีกตัวออกไป เปโตรนิยามองรอธซีด้วยสีหน้าลุกลี้ลุกลน
“ท่านมาที่บ้านข้าได้…” เปโตรนิยาเอ่ยถาม
เปโตรนิยาไม่ได้ถามจนจบ อา แน่นอนอยู่แล้ว ตำแหน่งที่ตั้งของคฤหาสน์มาร์ควิสโกรเชสเตอร์หาได้เป็นความลับอะไร เปโตรนิยากระแอมไอก่อนจะถามคำถามต่อไป
“ไม่ทราบว่าท่านมีธุระอะไร…”
“อ้อ”
ได้ฟังคำถามของเปโตรนิยารอธซีก็ยิ้มกว้าง เปโตรนิยาคิดว่าอีกฝ่ายช่างเป็นผู้ชายที่มีรอยยิ้มงดงามนัก
“พอดีข้ากำลังยุ่งน่ะค่ะ ช่วยบอกธุระมาเลยได้ไหมคะ” นางว่า
“จริงสิ เลดี้เป็นนางกำนัลระดับสูงของตำหนักจักรพรรดินีสินะครับ ข้าลืมไปเลย”
รอธซีไม่ยอมแพ้ เขายิ้มพลางยื่นช่อดอกไม้ให้เปโตรนิยา หญิงสาวกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
“วันนี้ข้าเจอดอกไม้ที่เหมือนกับเลดี้ระหว่างออกไปเดินเล่น…”
“…”
“ก็เลยซื้อมาช่อหนึ่งน่ะครับ”
“…อา”
เปโตรนิยาพยักหน้าด้วยสีหน้าเก้อเขิน นี่ข้าได้ช่อดอกไม้จากผู้ชายเป็นของขวัญหรือนี่ ขนาดท่านพ่อยังไม่เคยซื้ออะไรแบบนี้ให้ข้าเลย
“ขอบคุณค่ะ ลอร์ด แต่ทำไมถึงให้ของแบบนี้กับข้า…” เปโตรนิยากล่าวขอบคุณเสียงค่อย
“ข้าบอกไปแล้วนี่ครับ เลดี้” เขายิ้มอย่างงดงาม “ว่าข้าจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อคนที่ข้ารัก”
“…”
“ข้าได้ทำตามที่ข้าคิดว่าดีที่สุดแล้ว หวังว่าเลดี้จะชอบ”
“…”
“ไม่ชอบหรือครับ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น…ขอบคุณนะคะ ลอร์ด”
คำตอบในทางบวกของเปโตรนิยาทำให้สีหน้าของรอธซีเบิกบาน เห็นดังนั้นเปโตรนิยาก็หัวเราะพรืด
“เหตุใดเมื่อวานถึงรีบร้อนจากไปล่ะครับ”
อ้อ เมื่อวาน
“เมื่อวานเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น ข้าก็เลยไม่มีสติน่ะค่ะ หากทำให้ท่านรอต้องขออภัยจริงๆ” เปโตรนิยาตอบไปตามจริง
“ไม่หรอกครับ ข้าเข้าใจ เป็นข้าข้าก็คงลืมเหมือนกัน เลดี้ทำดีแล้วครับ”
“…”
“ถ้าอย่างนั้น…”
“กล่าวมาเถอะค่ะ”
เปโตรนิยาเร่งเร้ารอธซีที่ดูเหมือนจะเขินอายจนไม่ยอมพูดต่อ ได้ยินดังนั้นรอธซีก็พูดออกมาราวกับรอจังหวะนี้อยู่แล้ว
“เมื่อวานพวกเราไม่ได้เต้นรำด้วยกัน…”
แล้ว…? เปโตรนิยาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง
“หากเลดี้ไม่รังเกียจ ช่วยไปออกเดตกับข้าได้ไหมครับ”
“…คะ?”
เปโตรนิยาถามกลับด้วยสีหน้างงงัน รอธซีพูดซ้ำอีกครั้งโดยไม่มีความเขินอายแม้แต่น้อย
“ข้าถามว่าท่านจะช่วยเต้นรำกับข้าได้ไหมครับ เลดี้”
“ข้า…”
เปโตรนิยาลังเลใจและเลี่ยงตอบคำถาม แต่รอธซีก็รอคอยคำตอบอย่างใจเย็น
“ข้า…ไม่คิดเช่นนั้น”
นางปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม แต่รอธซีก็ไม่ยอมง่ายๆ
“ให้โอกาสข้าสักครั้งไม่ได้หรือครับ”
“ไยท่านจึงรบเร้าข้าเช่นนี้ล่ะคะ”
“ข้า…” ใบหน้าของรอธซีขึ้นสีระเรื่อขณะที่เอ่ยปาก “ข้าคิดว่าข้าตกหลุมรักเลดี้เข้าแล้ว”
“…”
เพียงคำพูดเดียวทำเอาสีหน้าของเปโตรนิยาแข็งทื่อ
***
ช่างน่าเศร้าที่ความลำบากของแพทริเซียยังไม่จบเพียงเท่านั้น
“…”
“อุ๊ย พระจักรพรรดินีมิใช่หรือเพคะ”
เสียงอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้คิ้วของแพทริเซียขมวดมุ่นโดยไม่รู้ตัว แต่เพียงวูบเดียวก็กลับเป็นปกติขณะหันไปมองโรสมอนด์
“เลดี้เอเฟรนี”
“ถวายบังคมจันทราแห่งจักรวรรดิ ขอความรุ่งเรืองจงสถิตแด่มาวินอส”
“ท่าทางเจ้าจะถูกใจครอบครัวใหม่นะ สีหน้าดูแช่มชื่นกว่าคราวก่อนนัก”
“…ขอบพระทัยเพคะ”
โรสมอนด์ฝืนยิ้มและพยักหน้าในขณะที่แพทริเซียยิ้มแห้งๆ แม้อีกฝ่ายจะได้เป็นถึงบุตรีของดยุกแล้ว แต่กลับไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าโรสมอนด์มีอำนาจมากกว่าตอนเป็นบุตรีของบารอน แต่ถึงกระนั้นแพทริเซียก็ยังคงเป็นจักรพรรดินีผู้สูงส่งเพียงหนึ่งเดียวของจักรวรรดิ ต่อให้โรสมอนด์เป็นดัชเชส มิใช่แค่บุตรีของดยุก ความจริงข้อนั้นก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
“จะว่าไปแล้ว ฝ่าบาทเพคะ”
“พูดมาเถอะ”
“ตอนออกนอกวังคราวก่อน หม่อมฉันได้ยินข่าวลือประหลาดมาด้วยเพคะ”
คราวนี้นางจะมาปั่นประสาทข้าด้วยเรื่องอะไรอีกล่ะ แพทริเซียเลิกคิ้วข้างหนึ่งเป็นเชิงถาม
“ข่าวลือประหลาดหรือ”
“ไม่รู้สิเพคะ ฟังว่าฝ่าบาททั้งสองพระองค์ยังไม่เคยร่วมหอกันแม้แต่ครั้งเดียว”
“…”
สิ้นคำของโรสมอนด์ รอยยิ้มของแพทริเซียก็บิดเบี้ยว เจตนาของนางชัดเจน แม้แพทริเซียจะคาดการณ์ไว้บ้างแล้วแต่นางก็ไม่ได้จัดการอะไร เพราะปัญหาเช่นนี้นางมิอาจทำอะไรได้
“ที่เจ้าพูดก็ถูก ช่างเป็นข่าวลือที่ประหลาดเสียจริง” แพทริเซียโกหกหน้าตาย “ทว่า แม้จะบอกว่าไม่ใช่เรื่องจริง เจ้าก็ไม่มีทางรู้มิใช่หรือ ในห้องหอคืนแรกมีเพียงเรากับฝ่าบาทสองคนเท่านั้น เพราะฉะนั้นเรื่องนั้นก็มิใช่เรื่องที่เจ้าจะบังอาจมาสอดปากได้”
“เช่นนั้นหม่อมฉันก็สงสัยเหลือเกินว่าเหตุใดจึงยังไม่มีข่าวคราวเรื่องพระครรภ์ของฝ่าบาท”
“เลดี้รับใช้ฝ่าบาทมาก่อนเราถึงหนึ่งปี นั่นเป็นเรื่องที่รู้กันทั่ว” แพทริเซียแสยะยิ้มพลางจ้องโรสมอนด์เขม็ง “แล้วตอนนี้ในท้องของเจ้ามีเด็กหรือไม่? เด็กที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของฝ่าบาทน่ะ”
“…”
อย่างน้อยเรื่องนี้โรสมอนด์ก็แย้งไม่ได้ ทว่านางกลับมีท่าทีมั่นใจ
“มีวิธีที่ดีที่สุดอยู่มิใช่หรือเพคะ พระจักรพรรดินี”
“…”
“หน้าที่ของจักรพรรดินีย่อมเป็นการให้กำเนิดรัชทายาท เราสองคนต่างก็คอยรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทแต่กลับยังไม่มีใครตั้งครรภ์…เช่นนั้นก็ลองตรวจดูว่ามีใครเป็นหมันหรือเปล่าก็สิ้นเรื่องแล้วนี่เพคะ”
***
“ชะ…ชอบหรือคะ”
“ครับ”
“ข้าน่ะหรือคะ”
“ครับ”
“ทำไมล่ะคะ” เปโตรนิยาถามด้วยน้ำเสียงงงงัน “ดูเหมือนท่านจะลืมไปว่าพวกเราเพิ่งพบหน้ากันเพียงสองครั้งเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นตอนพบกันครั้งแรกก็เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เองนะคะ”
“สำหรับความรัก ระยะเวลาไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกครับ สิ่งสำคัญคือพรหมลิขิตและหัวใจมิใช่หรือครับ”
ช่างเป็นผู้ชายที่ชื่นชอบเรื่องพรหมลิขิตเสียเหลือเกิน เปโตรนิยาหัวเราะแห้งๆ ในใจ
“น่าเสียดายนะคะที่ข้าไม่เชื่ออะไรแบบนั้น…”
“ข้าตกหลุมรักท่านตั้งแต่แรกพบแล้วครับ เลดี้”
จู่ๆ รอธซีก็เข้ามาประชิดตัว เปโตรนิยาจึงทำอะไรไม่ถูกยิ่งกว่าเดิม นางเอ่ยถามด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ
“เดี๋ยวสิ แล้วท่านมาตกหลุมรักข้าได้อย่าง…”
“ดูเหมือนเลดี้จะไม่เชื่อเรื่องรักแรกพบนะครับ”
“ข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหลน่ะค่ะ”
“แต่ตัวข้าคือหลักฐานครับ ท่านพ่อท่านแม่ของข้าก็ได้แต่งงานกันเพราะเรื่องนั้น”
“…”
ถ้าอย่างนั้นชายคนนี้ก็คงเหมือนเคานต์เบรดิงตันอย่างไม่ต้องสงสัย เปโตรนิยาคิดดังนั้นก่อนจะพูดออกไป
“ขออภัยแต่ข้าไม่ค่อยชอบเรื่องพรรค์นั้น ข้าคิดว่าการคบหาดูใจกันเป็นเวลานานน่าจะ…”
“อา แย่จริง” รอธซีพึมพำด้วยสีหน้าตกใจ “ขออภัยด้วยครับ เลดี้”
ในตอนนั้นเปโตรนิยาคิดว่าในที่สุดเขาก็เข้าใจคำพูดของนาง แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่
“เป็นความผิดของข้าเองที่ไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของเลดี้ ขออภัยจริงๆ ครับ”
“หามิได้ค่ะ ไม่ถึงกับต้องขอโทษ…”
“ถ้าอย่างนั้น เลดี้ครับ” รอธซีเงยหน้ามองเปโตรนิยาด้วยรอยยิ้มหวาน “ช่วยคบหาดูใจกับข้า ‘นานๆ’ ได้ไหมครับ”
“…”
…คะ? ท่านพูดว่าอะไรนะคะ?
“เดี๋ยวสิคะ ทำไมจู่ๆ ถึงได้…”
“ข้าอยากคบหากับเลดี้อย่างเป็นทางการครับ”
“…”
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่คนทั้งคู่เพิ่งพบกันได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เมื่อนึกถึงความจริงข้อนั้น เปโตรนิยาก็รู้สึกหมดแรง แต่นางก็ฝืนอดทนไว้ก่อนจะกล่าวกับอีกฝ่าย
“ขอโทษนะคะ ลอร์ด ข้าไม่ได้ชอบท่านค่ะ”
“ข้าหวังว่าเลดี้จะมอบโอกาสให้เราได้ทำความรู้จักกันนะครับ”
“ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านต้องมาทำตัววุ่นวายเช่นนี้ แต่ข้าพูดชัดเจนแล้วนะคะว่าข้าไม่ได้ชอบท่าน”
ได้ยินคำพูดรุนแรงเช่นนั้นรอธซีก็ชะงักไป เปโตรนิยาเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่ายก็ผงะไปเช่นกัน แต่คำพูดต่อมาของเขาต่างจากที่นางคิดไว้มากนัก
“…เพราะรักครับ”
“คะ?”
“ข้ารักท่านตั้งแต่แรกเห็น”
“…”
“และข้าจะไม่ทำตัวครึ่งๆ กลางๆ กับคนที่ข้ามอบใจให้หรอกครับ”
รอธซียิ้มหวานอย่างมีเอกลักษณ์พลางขอร้องเปโตรนิยาอีกครั้ง
“เพราะฉะนั้น เลดี้ครับ ได้โปรด…”
“…”
“เต้นรำกับข้าสักเพลงได้ไหมครับ”
“…”
“นะครับ เลดี้”
“…เฮ้อ”
ในที่สุดเปโตรนิยาก็ต้องตอบรับอย่างเลี่ยงไม่ได้
***
สิ้นคำพูดอันน่าตกใจของโรสมอนด์ รอบข้างก็ส่งเสียงอื้ออึง บทสนทนาของโรสมอนด์และแพทริเซียไม่ได้เป็นเรื่องที่รู้กันแค่สองคนอีกต่อไป ดูเหมือนโรสมอนด์คิดจะเรียกร้องความสนใจจากทุกคนด้วยวิธีนี้ ช่างเป็นแผนตื้นๆ ที่น่าขัน
“เลดี้เอเฟรนี” แพทริเซียเอ่ยเสียงเรียบ
“เพคะ ฝ่าบาท?”
“คำพูดของเจ้าไม่ต่างอะไรกับการดูหมิ่นเราและราชวงศ์ บุตรีดยุกเช่นเจ้ากล้าดีอย่างไรมาสงสัยว่าจักรพรรดินีเป็นหมัน”
แพทริเซียแผดเสียงด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว
“นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของพระจักรพรรดิกับเรา และเกี่ยวพันถึงเกียรติยศของราชวงศ์ แล้วบุตรีดยุกกล้าดีอย่างไรมาสั่งให้เราตรวจความสามารถในการตั้งครรภ์ ทั้งยังมาสอดปากเรื่องหน้าที่ของจักรพรรดินี ไฉนเจ้าจึงไร้มารยาทเช่นนี้ ดยุกเอเฟรนีสั่งสอนให้เจ้าทำตัวไร้มารยาทต่อหน้าจันทราแห่งจักรวรรดิอย่างนั้นหรือ”
“ทรงเข้าใจผิดแล้วเพคะ หม่อมฉันไม่คิดว่าฝ่าบาทจะอ่อนไหวเช่นนี้”
“เลดี้คงไม่เห็นว่าการทำลายเกียรติของเราผู้เป็นจักรพรรดินีเป็นเรื่องสำคัญอันใดกระมัง นี่เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังหมิ่นเกียรติของราชวงศ์อยู่”
เมื่อบรรยากาศตึงเครียดขึ้นก็เป็นธรรมดาที่จะดึงดูดสายตาของคนโดยรอบ ขณะที่สถานการณ์เข้าขั้นวิกฤต เปโตรนิยาที่กำลังเดินเตร่อยู่ในงานหลังแยกกับรอธซีก็เพิ่งรู้สึกถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนางจึงรีบวิ่งไปทางที่สองคนนั้นอยู่ทันที จากนั้นนางก็พบว่าโรสมอนด์กำลังดูหมิ่นน้องสาวของนางอยู่
“…”
ขณะที่แพทริเซียซึ่งมีสีหน้าโกรธเกรี้ยวคิดจะพูดอะไรสักคำ ใครคนหนึ่งก็ก้าวออกมาข้างหน้า การปรากฏตัวที่ไม่คาดคิดของเขาทำให้คนที่อยู่บริเวณนั้นตกใจ
“พอได้แล้ว”
ผู้ที่สร้างความตกใจให้กับทุกคนก็คือจักรพรรดินั่นเอง เขาเอ่ยปรามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ แพทริเซียจ้องมองลูซิโอ ในขณะที่โรสมอนด์มีสีหน้ายินดีราวกับพระเจ้ามาโปรด นางทำความเคารพลูซิโออย่างมีจริต
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
“…ถวายบังคมสุริยันแห่งจักรวรรดิ”
แพทริเซียทำความเคารพด้วยสีหน้าเหมือนกินยาขม จากนั้นลูซิโอก็ถามความเป็นมาของสถานการณ์จากแพทริเซียเพื่อทำความเข้าใจ
“เกิดอะไรขึ้นหรือ จักรพรรดินี? ในงานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้…”
“ขอประธานอภัยเพคะ ฝ่าบาท เลดี้เอเฟรนีบังอาจดูหมิ่นหม่อมฉันและราชวงศ์เพคะ”
“เลดี้เอเฟรนี ที่จักรพรรดินีพูดมาเป็นความจริงหรือ”
เมื่อเห็นสีหน้าโกรธเกรี้ยวของลูซิโอเป็นครั้งแรก โรสมอนด์ก็ผงะไป แต่เพียงวูบเดียวนางก็ตอบกลับไปอย่างมาดมั่น
“พระจักรพรรดินีตรัสเกินเหตุไปแล้วเพคะ นั่นหาใช่ความจริงไม่”
คำกล่าวของทั้งคู่ขัดแย้งกัน ลูซิโอถอนหายใจก่อนจะหันไปถามแพทริเซีย
“แพทริเซีย เลดี้พูดดูหมิ่นเจ้าว่าอย่างไร”
“…!”
โรสมอนด์มองลูซิโอด้วยสีหน้าตกตะลึง เมื่อก่อนไม่ว่านางจะอยู่ต่อหน้าเขาหรือไม่ เขาไม่เคยเรียกชื่อของแพทริเซียเลยสักครั้ง เขามักเรียกแพทริเซียว่า ‘จักรพรรดินี’ เสมอ ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น โรสมอนด์มองลูซิโอสลับกับแพทริเซียด้วยแววตาโกรธเคือง
“นางกล่าวว่าฝ่าบาทและหม่อมฉันไม่เคยร่วมหอกัน จึงยกเรื่องที่หม่อมฉันยังไม่มีครรภ์มาเป็นข้ออ้างให้หม่อมฉันไปตรวจความสามารถในการตั้งครรภ์”
“เลดี้ คำกล่าวนี้อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดได้ นี่เจ้าไม่ทราบกระมังว่าสิ่งที่เจ้าพูดหมายความว่าอย่างไร”
“แต่ฝ่าบาทเพคะ เรื่องนี้ก็เป็นปัญหาที่สำคัญมากมิใช่หรือเพคะ”
โรสมอนด์โต้กลับด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด สีหน้าของนางเย็นเยียบ
“ฝ่าบาทก็ทรงมีพระชนมายุพอสมควรแล้ว อีกไม่นานพระองค์ก็จะครบสามสิบพรรษาแล้วนะเพคะ ตอนนี้ราชวงศ์ไม่มีผู้สืบราชบัลลังก์อื่นใดอีกแล้ว การที่ฝ่าบาทยังไม่มีรัชทายาทย่อมเป็นปัญหาที่สำคัญยิ่งกว่าเรื่องใดๆ และเหนือสิ่งอื่นใดหน้าที่ของจักรพรรดินีก็คือการให้กำเนิดรัชทายาทมิใช่หรือเพคะ หม่อมฉันเพียงแต่ถวายคำแนะนำด้วยเกรงว่าจะทรงลืมเรื่องนี้ไปเท่านั้น พระจักรพรรดินีตีความคำพูดของหม่อมฉันผิดไปเช่นนี้ หม่อมฉันรู้สึกไม่เป็นธรรมนัก พระองค์ทรงทำเช่นนี้กับหม่อมฉันได้หรือ”
แม้ว่าคำพูดตอนท้ายจะไม่ค่อยสอดคล้องกับตอนต้น แต่บรรดาคำพูดเหล่านั้นคือสิ่งที่นางอยากพูดกับลูซิโอจากใจจริง
ท่านทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร ท่านบังอาจทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร!
“แม้ใจจริงของเลดี้จะเป็นเช่นนั้น แต่การมาพูดพร่ำเรื่องหน้าที่ของจักรพรรดินีนับเป็นการกระทำที่อวดดี เรื่องการตรวจความสามารถในการตั้งครรภ์ก็เช่นกัน เท่านี้ก็เพียงพอที่จะนับว่าเป็นการดูหมิ่นแล้วมิใช่หรือ”
“หม่อมฉันมิได้บอกให้พระจักรพรรดินีทรงรับการตรวจเพียงผู้เดียวนี่เพคะ หม่อมฉันก็จะตรวจด้วย แต่การที่ทรงมีปฏิกิริยาเช่นนี้…” มุมปากของโรสมอนด์ค่อยๆ ยกขึ้น “มิใช่ว่าทรงกังวลอะไรอยู่หรือเพคะ”
-เพี้ยะ
พูดจบใบหน้าของโรสมอนด์ก็หันข้างด้วยแรงตบ แพทริเซียง้างมือขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าอำมหิตอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
-เพี้ยะ
“นี่พระองค์ทรงทำอะไรเพคะ!”
“ทำสิ่งที่ถูกต้องน่ะสิ เลดี้ เราเพียงแต่ทำตามกฎในฐานะประมุขหญิงของพระราชวังเท่านั้น”
แพทริเซียยกยิ้มมุมปากพลางพูดต่อ “แน่นอนว่าเราเองก็เสียใจที่อาจทำให้เลดี้ต้องอับอายในที่แห่งนี้ แต่มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ จริงหรือไม่”
แพทริเซียมองหาดยุกเอเฟรนี เขาอยู่กับหญิงสาวที่นางคุ้นหน้า ครั้นตระหนักได้ว่าหญิงสาวคนนั้นคือคนที่อยู่กับโรสมอนด์เมื่อครู่ นางก็หัวเราะออกมา อา ว่าแล้วเชียว เป็นเช่นนั้นสินะ
“ดยุกเอเฟรนีอยู่ที่ใด” แพทริเซียเอ่ยปาก
“พระจักรพรรดินี”
เมื่อถูกเรียกดยุกเอเฟรนีก็ปรากฏตัวอย่างเงียบๆ แพทริเซียฉีกยิ้มก่อนจะกล่าว
“แสดงความยินดีด้วยนะ ดยุก ที่มีบุตรสาวแสนสวยเช่นนี้”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“ว่าแต่ มีบุตรสาวทั้งที ท่านไม่คิดจะอบรมสั่งสอนบ้างเลยหรือ”
แพทริเซียพูดต่อไปด้วยรอยยิ้ม “คนที่สวยแต่รูปจูบไม่หอมสักวันจะต้องพบกับความพินาศ ดยุก ท่านคงไม่คิดจะมอบโชคชะตาเช่นนั้นเป็นของขวัญให้กับบุตรสาวเพียงคนเดียวหรอกกระมัง”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” ดยุกเอเฟรนีขอโทษเสียงแผ่ว “เป็นความผิดของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท โปรดทรงมีเมตตาประทานอภัยให้บุตรีของกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“…”
“ทว่า ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ถึงอย่างไรเรื่องนั้นก็เป็นปัญหาที่ควรขบคิดมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ?”
“ตอนนี้เราจำเป็นต้องมีรัชทายาทโดยเร็ว จึงควรใส่พระทัยในเรื่องนี้…”
“ดยุกเอเฟรนี”
แพทริเซียเอ่ยขัดอย่างสุดกลั้น
“คนในรถม้าเมื่อตอนนั้น! ใช่ไหมคะ?”
เขาคือลอร์ดที่นั่งอยู่บนรถม้าคันที่ชนกับรถม้าของนางระหว่างทางไปคฤหาสน์เอเฟรนีนั่นเอง ขณะที่เปโตรนิยาคิดจะทักทายเขาด้วยความยินดี นางก็พบว่าเขาเป็นฝ่ายยื่นมือมาให้ก่อน ชายหนุ่มพูดกับนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“จับมือนี้แล้วลุกขึ้นก่อนเถอะครับ เลดี้”
“เอ่อ…ค่ะ”
ในตอนนั้นเองเปโตรนิยาก็นึกอายจึงรีบทำตามที่อีกฝ่ายบอก นางวางแก้วค็อกเทลที่หกคว่ำไว้บนโต๊ะก่อนจะมองผู้ชายตรงหน้า เขาสูงกว่านางประมาณหนึ่งคืบ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเติบโตมาภายใต้การอบรมของตระกูลชั้นสูง แน่นอนว่าภาพของเปโตรนิยาในสายตาของเขาก็เป็นเช่นเดียวกัน
“ต้องขออภัยเลดี้ ข้าควรจะระวังให้มากกว่านี้ ทำให้เลดี้ต้องลำบากแล้ว”
“หามิได้ค่ะ ลอร์ด ข้าเองก็ไม่ระวังเช่นกัน เช่นนั้นข้าขอตัว…”
ในตอนนั้นเองเปโตรนิยาก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา นางจึงมีท่าทีระมัดระวังตัว แต่ฝ่ายชายกลับเด็ดเดี่ยวกว่าที่คิด
“เดี๋ยวครับ”
เขารั้งเปโตรนิยาไว้ นางเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างงุนงง เขายิ้มอย่างอ่อนโยนและกล่าว
“นี่คงเป็นพรหมลิขิตนะครับ”
“…”
“โบราณว่าไว้ เพียงชายเสื้อเฉียดกันก็นับเป็นพรหมลิขิตแล้ว”
‘เชื่อเรื่องแบบนั้นด้วยหรือ’
เปโตรนิยาหัวเราะเยาะอีกฝ่ายในใจ ชายผู้นี้ต้องยังไม่เคยลิ้มรสความโหดร้ายของโลกใบนี้เป็นแน่จึงได้คิดไปเองเป็นตุเป็นตะ แม้นางจะคิดเช่นนั้น แต่ชายหนุ่มก็ยังคงแนะนำตัวอย่างหนักแน่น
“ข้า รอธซี ไอล์ ลี เบรดิงตันครับ”
“…”
อ้อ บุตรชายคนโตของตระกูลเคานต์เบรดิงตันที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศนี่เอง เปโตรนิยาไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนว่าควรจะแนะนำตัวกับคนที่เพิ่งพบหน้ากันเพียงสองครั้งหรือไม่ แต่ในเมื่อเขาแนะนำตัวแล้ว นางจะจากไปเสียเฉยๆ ก็กระไรอยู่ สุดท้ายหญิงสาวก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ยนามของตน
“เปโตรนิยา ลอว์รา เลอ โกรเชสเตอร์…ค่ะ”
เปโตรนิยาแนะนำตัวด้วยความระแวง ก่อนจะกล่าว ‘เช่นนั้นข้าขอตัว…’ เพื่อจะขอปลีกตัวออกไปจริงๆ เสียที แต่น่าเสียดายที่รอธซีเมินความต้องการของนางอย่างง่ายดาย
“เอ่อ เดี๋ยวก่อนครับ”
“…”
อะไรอีกล่ะ…ปล่อยข้าไปเถอะ เปโตรนิยามองเขาด้วยสีหน้าที่เริ่มส่อแววหงุดหงิดใจ แต่สีหน้าของรอธซีกลับอ่อนโยนเสียจนเปโตรนิยาไม่อาจแสดงความรำคาญใจได้เกินสามวินาที เปโตรนิยาเหม่อลอย ทั้งชีวิตนางไม่เคยเห็นมุมอ่อนโยนเช่นนั้นของผู้ชายมาก่อน
“ชุดของเลดี้เปื้อน…” น้ำเสียงของรอธซีเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“…”
“หากปล่อยเลดี้ไปเช่นนี้ ข้าคงรู้สึกผิดมาก”
“เอ่อ ไม่เป็นไรเลยค่ะ…”
“แต่ข้าเป็นครับ”
รอธซีดื้อดึง เปโตรนิยามองเขาด้วยสีหน้างุนงงปนรำคาญ ปากก็พร่ำพูดว่า ‘ไม่เป็นไร’ จนในที่สุดรอธซีก็ยอมยกธงขาว
“ช่างเป็นเลดี้ที่ดื้อรั้นจริงๆ นะครับ”
“ค่ะ ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น”
“ข้าไม่ใช่คนน่าสงสัยเสียหน่อย…”
“ข้าก็ไม่เคยบอกว่าท่านเป็นคนน่าสงสัยนะคะ ลอร์ด”
“เช่นนั้นไยจึงเอาแต่หลบเลี่ยง… ข้าเพียงแต่รู้สึกผิดต่อเลดี้เท่านั้นจริงๆ นะครับ”
“…”
เปโตรนิยาหลับตาด้วยความเหนื่อยใจและลืมตาขึ้น สุดท้ายนางก็เลือกที่จะรับฟังคำพูดของคุณชายขี้สงสัยและช่างเอาใจใส่คนนี้
“ก็ได้ค่ะ ลอร์ด ท่านต้องการอะไรจากข้ากันแน่คะ…” นางถาม
ข้าชักจะสงสัยขึ้นมาแล้วเหมือนกัน ได้ยินดังนั้นรอธซีก็ฉีกยิ้มกว้างอย่างเบิกบาน อา ชายคนนี้ช่างเหมาะกับรอยยิ้ม เปโตรนิยาคิดเช่นนั้นระหว่างที่รอคำตอบจากอีกฝ่าย
“ก่อนอื่นข้าจะชดใช้เรื่องชุดเดรสที่เลดี้สวมในวันนี้ให้ครับ”
“…ชุดสีเข้มนะคะ คงไม่เป็น…”
เปโตรนิยาตั้งใจจะปรามแต่สุดท้ายนางก็หยุดคำพูดของตัวเองไว้ ปล่อยให้เขาทำอะไรที่อยากทำไปดีกว่า เรื่องจะได้จบๆ ไป
“ค่ะ เช่นนั้นส่งชุดไปที่คฤหาสน์มาร์ควิสโกรเชสเตอร์…”
“ยังมีอีกเรื่องครับ”
“…อะไรหรือคะ”
สิ้นคำถามของเปโตรนิยา รอธซีก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนที่สุดในโลกและคุกเข่าลงข้างหนึ่งต่อหน้าหญิงสาว เมื่อสายตาอยู่ในระดับที่สูงกว่า เปโตรนิยาก็ทำตัวไม่ถูก ในตอนนั้นเองเสียงนุ่มทุ้มของเขาก็ดังก้องในหูของนาง
“วันนี้ช่วยเต้นรำกับข้าสักเพลงได้ไหมครับ เลดี้?”
***
แพทริเซียชอบลมเย็นๆ ด้านนอกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก หากมีร์ยาอยู่ข้างๆ คงจู้จี้บอกให้นางรีบสวมเสื้อหนาๆ ด้วยเกรงว่าจะเป็นไข้หวัด แต่โชคดีที่ตอนนี้อีกฝ่ายไม่อยู่ แพทริเซียเดินเนิบช้าอยู่บนระเบียงพลางใช้มือปิดปากหาว นางเตรียมสถานที่เช่นนี้ไว้สำหรับชนชั้นสูงที่อยากปลีกตัวออกมาอยู่เงียบๆ คนเดียวเหมือนนาง แต่สุดท้ายมันกลับกลายเป็นที่สำหรับคนที่ไม่ชอบงานสังสรรค์อย่างนางไปเสียแล้ว แพทริเซียเดินเตร่อยู่ที่ระเบียงครู่ใหญ่ก็เริ่มรู้สึกหนาวจึงคิดว่าควรจะกลับเข้าไปในงาน
“…ไปแล้ว?”
ในตอนนั้นเองเสียงที่คุ้นเคยก็ทำให้แพทริเซียเกร็งไปทั้งร่าง นั่นเป็นเสียงของโรสมอนด์ หญิงสาวแนบตัวหลบหลังเสาต้นหนึ่งก่อนจะสอดส่ายสายตามองรอบๆ เพื่อมองหาต้นเสียง และพบว่าโรสมอนด์กำลังคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ไม่ไกลเท่าไรนัก นางเห็นเพียงแผ่นหลังของโรสมอนด์และด้านข้างของผู้หญิงอีกคน ฝ่ายนั้นมีผมและนัยน์ตาสีน้ำตาลแดงดูโดดเด่น นางแอบฟังบทสนทนาของทั้งคู่พลางคิดในใจว่ารูปลักษณ์ของผู้หญิงคนนั้นช่างดูสะดุดตา
“ใช่ค่ะ ดูเหมือนผู้หญิงคนนั้นจะทำอะไรสักอย่าง”
“บ้าจริง ทำไมจัดการอะไรกันแบบนี้”
“แล้วมันเป็นความผิดข้าหรือคะ ข้าก็บอกตั้งแต่แรกแล้วว่านางเข้าไปตามอำเภอใจ”
“หุบปาก นี่เจ้ากำลังต่อล้อต่อเถียงข้ารึ”
น้ำเสียงของโรสมอนด์ดูโกรธมาก
“หายไปแล้ว? นี่เจ้ายังมีสติอยู่หรือไม่ ไม่รู้หรือว่าถ้าสิ่งนั้นถูกเปิดเผยออกมาจะเกิดอะไรขึ้น”
“ข้าถึงได้หาวิธีแก้ปัญหาอยู่นี่อย่างไรเล่า! ไม่ใช่แค่เจ้าที่จะตาย ข้าเองก็จะตายไปด้วย ถึงอย่างไรเราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว เพราะฉะนั้นเจ้าก็หุบปากแล้วรีบช่วยกันคิดหาวิธีเสียสิ”
“…”
แม้จะเห็นเพียงด้านหลังแต่นางก็รู้สึกได้ว่าทั้งสองกำลังเขม้นมองกันอยู่ ลงเรือลำเดียวกัน? สองคนนั้นร่วมมือกันทำอะไรอยู่กันแน่ หรือว่าโรสมอนด์จะวางแผนอะไรไว้…
“จักรพรรดินี?”
ครั้นได้ยินน้ำเสียงคุ้นหู แพทริเซียก็หันหลังขวับด้วยความตกใจตาเบิกโพลง ลูซิโอยืนอยู่ตรงนั้น แววตาดูงุนงง
“ทำอะไรอยู่ที่นี่คนเดี…”
“ชู่ว!”
แพทริเซียรีบใช้มือปิดปากอีกฝ่ายและดึงร่างสูงมาหลบหลังเสาด้วยความตกใจ ลูซิโอพลอยตกใจไปด้วยขณะถูกดึงเข้าไปหลบหลังเสาด้วยแรงของหญิงสาว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยคำถามมากมายแต่ตอนนี้แพทริเซียไม่มีเวลาจะไปสนใจ
“เงียบก่อนเพคะ”
“…”
ในระหว่างนั้นเองบทสนทนาของโรสมอนด์และสาวผมแดงก็จบลง ทั้งคู่รีบร้อนแยกย้ายกันไปเสียแล้ว เท่าที่เห็นดูเหมือนว่าสองคนนั้นไม่ได้ไปมาหาสู่กันอย่างเปิดเผย ในตอนนั้นเองแพทริเซียก็ปล่อยมือที่ปิดปากลูซิโอไว้ ร่างสูงยังคงงุนงง ในขณะที่แพทริเซียบ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
“เพราะฝ่าบาท หม่อมฉันจึงไม่ได้ยินส่วนที่เหลือเลยเพคะ”
“…นี่มันเรื่องอะไรกันหรือ”
“เรื่องสำคัญเพคะ”
แพทริเซียว่าพลางถอนหายใจ ลูซิโอยังคงมีสีหน้าสงสัย เห็นดังนั้นแพทริเซียก็ยิ้มหยันพลางกล่าว
“พวกเราไม่ได้สนิทกันถึงขั้นจะเล่ารายละเอียดให้ฟังมิใช่หรือเพคะ”
“…”
ก็ถูกของนาง ลูซิโอไม่พูดอะไร ในขณะที่แพทริเซียกัดริมฝีปาก ไม่รู้ทำไมนางถึงรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นผู้ร้ายอยู่ฝ่ายเดียว เมื่อบรรยากาศเริ่มอึดอัด นางก็เอ่ยปาก
“…ฝ่าบาทเสด็จมาด้วยเหตุใดหรือเพคะ”
“เห็นเจ้าหายไปนาน เราจึงมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ดีแล้วล่ะ”
“ทรงเป็นกังวลเสียเปล่าแล้วเพคะ”
“เสียเปล่าหรือไม่เราจะเป็นคนตัดสินเอง”
ได้ยินน้ำเสียงเฉียบขาดของอีกฝ่าย แพทริเซียก็เบือนสายตาหนี แปลกคน ในตอนนั้นเองร่างกายของแพทริเซียก็ถูกคลุมด้วยอะไรบางอย่าง นางเงยหน้าขึ้นมาด้วยความตกใจ
“ทรงคิดจะทำอะไร…!” นางแหว
“หากไม่สบายจะลำบากเอาได้ คลุมไว้เถิด”
“…”
ทำไมถึงได้…
“ฝ่าบาท” แพทริเซียเรียกลูซิโอ
“ทำไมหรือ”
“หม่อมฉันมีเรื่องหนึ่งอยากจะถามให้แน่ใจเพคะ”
แพทริเซียถามด้วยสีหน้าจริงจัง “เหตุใดจึงทำเช่นนี้กับหม่อมฉันหรือเพคะ”
“…”
“ทำไมจู่ๆ พระองค์ถึงเป็นเช่นนี้ เรื่องแบบนี้…สำหรับพวกเรามันผิดปกติมิใช่หรือเพคะ”
แพทริเซียพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “นี่เป็นเรื่องที่ควรจะทำกับเลดี้เอเฟรนีมิใช่หรือเพคะ ฝ่าบาทน่าจะทรงจำคืนแรกของเราได้ ผู้ที่ประกาศกร้าวว่าไม่รักหม่อมฉันก็คือฝ่าบาทนะเพคะ”
“…”
ถูกต้องทุกถ้อยคำ ลูซิโอไม่อาจแก้ตัว
“ฝ่าบาททรงทำร้ายจิตใจหม่อมฉัน ทำให้หม่อมฉันถูกอนุภรรยาดูแคลน…”
อา ให้ตายเถอะ ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกรันทดใจอย่างประหลาด แพทริเซียกัดริมฝีปากอย่างแรงเพื่อกลั้นน้ำตา
“หม่อมฉันโง่เขลานัก มิอาจเข้าใจเหตุผลที่จู่ๆ ฝ่าบาทก็ทรงทำเช่นนี้หรอกเพคะ”
“…นั่นสินะ” ลูซิโอตอบเบาๆ “เราเองก็โง่เขลาเกินกว่าจะให้คำตอบเจ้าเช่นกัน”
“…อะไรนะเพคะ”
“เราเพียงแต่อยากทำหน้าที่ของสามีให้ภรรยาของเราเท่านั้น”
“เฮอะ หน้าที่ของสามีหรือเพคะ”
แพทริเซียอดหัวเราะออกมาไม่ได้ หน้าที่ของสามีหาได้เป็นเช่นนั้นเพคะ พระจักรพรรดิแห่งมาวินอส
“หน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสามี…”
แพทริเซียเอื้อมมือไปค้ำเสา ขณะที่ลูซิโอถอยหลังชนกำแพงโดยไม่รู้ตัว เขาทอดสายตามองแพทริเซียเขม็ง แพทริเซียยิ้มอย่างเย็นชาและกระซิบข้างหูอีกฝ่าย
“คือการซื่อสัตย์ต่อครอบครัวและทำทุกอย่างเพื่อรักษาความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาไว้”
“…”
“ฝ่าบาททรงทำให้หม่อมฉันไม่ได้เลยสักอย่าง หม่อมฉันพูดผิดหรือไม่เพคะ”
“…จักรพรรดินี”
“ฉะนั้น ใช้ชีวิตอย่างที่ฝ่าบาทต้องการในคืนแรกก็คงไม่เลวร้ายนักหรอกเพคะ ความหมายของหม่อมฉันก็คือ มาถึงขั้นนี้แล้วทรงอย่าแสร้งทำตัวเป็นสามีที่ดี ทำตัวเป็นจักรพรรดิผู้อ่อนโยนเลยเพคะ” แพทริเซียพูดด้วยน้ำเสียงอดกลั้น
“…ถ้าหาก”
“…”
“ถ้าหากเราทำได้ทั้งสองข้อนั้น ถึงตอนนั้นเจ้าจะว่าอย่างไร”
“ไม่เพคะ ฝ่าบาท” แพทริเซียขีดเส้นอย่างเด็ดขาด “ไม่ว่าข้อไหน ฝ่าบาทก็ทำให้หม่อมฉันไม่ได้ทั้งนั้น ความเชื่อใจระหว่างเราสองคนถูกทำลายไปตั้งแต่คืนแรกของการแต่งงานแล้วเพคะ”
“…”
“ต่อให้ทรงปรารถนาและวิงวอน เราก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้แล้วเพคะ และหม่อมฉันเองก็ขอปฏิเสธที่จะทำเช่นนั้น หม่อมฉันได้ให้โอกาสพระองค์ไปแล้วตั้งแต่แรก โอกาสที่พวกเรา…จะอยู่ด้วยกันได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“จักรพรรดินี”
แม้เขาจะเรียกนางด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดใจ แต่หญิงสาวก็ยังหนักแน่น นางยังคงตำหนิตัวเองเสมอที่ครั้งหนึ่งเคยหวั่นไหวเพราะเขาแม้เพียงเสี้ยววินาที และคอยขีดเส้นกั้นระหว่างนางและเขาเรื่อยมา นี่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แพทริเซียคิดเช่นนั้น
“โปรดทำตามที่ให้สัญญาไว้ด้วยเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันขอเพียงมีรัชทายาทหนึ่งเดียวในการสืบบัลลังก์เท่านั้น”
“…”
“…หม่อมฉันทูลลา”
แพทริเซียหันหลังเดินเนิบๆ กลับเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง นางได้พูดทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากพูดมานานและได้ละทิ้งหัวใจที่ค่อยๆ หวั่นไหวทีละน้อยไปหมดแล้ว ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่นางปรารถนาเรื่อยมา และให้สัญญากับตัวเองว่าจะต้องทำต่อไป แต่ทำไม…
‘น่าหงุดหงิดนัก’
นางถึงรู้สึกไม่พอใจเช่นนี้
เพียงหนึ่งวันหลังจากนั้นเปโตรนิยาก็กลับไปที่คฤหาสน์ดยุก พ่อบ้านยังคงต้อนรับนางอย่างนอบน้อมเช่นเคย เปโตรนิยาดื่มชาที่พ่อบ้านเตรียมไว้ให้ก่อนจะเริ่มเข้าเรื่อง
“รบกวนบอกมาดามแจนยูเอรีว่าให้เขียนรายการสิ่งของที่ต้องการซื้อพร้อมคำนวณรายจ่ายคร่าวๆ มาทีนะคะ คุณพ่อบ้าน แล้วพวกเราค่อยมาตรวจดูและพิจารณากันอีกที”
“ขอรับ เลดี้ เป็นคำตอบที่หลักแหลมมากขอรับ”
“จริงสิ ว่าแต่…” เปโตรนิยาเอ่ยปากอย่างระมัดระวัง
“เชิญกล่าวมาได้เลยขอรับ เลดี้”
“มาดามแจนยูเอรีไม่อยู่หรือคะ”
“ออกไปข้างนอกน่ะขอรับ”
“อ้อ อย่างนั้นหรือคะ”
เปโตรนิยาพึมพำอย่างเสียดาย ก่อนจะพูดกับพ่อบ้านต่อ
“ดูเหมือนข้าจะดื่มชามากไป”
“อ้อ ห้องน้ำอยู่ชั้นสองขอรับ เลดี้ ให้ข้าพาไปไหมขอรับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณพ่อบ้าน แค่บอกทางก็พอแล้วค่ะ”
เปโตรนิยากล่าวดังนั้นและขึ้นชั้นสองไปคนเดียว นางทำทีเป็นเดินไปที่ห้องน้ำตามทางที่พ่อบ้านบอกก่อนจะย่องออกนอกเส้นทางไปยังห้องของแจนยูเอรีที่นางแอบจำทางไว้ตั้งแต่คราวก่อน หญิงสาวลอบเข้าไปในห้องที่เจ้าของไม่อยู่ก่อนจะค้นหีบทุกหีบที่อยู่ในห้องนั้น
‘ต้องหาให้เจอ…’
ขอเพียงหาเจออาจจะมีประโยชน์อะไรก็ได้ อีกทั้งเรื่องอาจจะต่างไปจากที่นางรู้ ถึงอย่างไรตัวแปรก็ถูกนำมาใช้ตั้งแต่ต้นแล้ว เปโตรนิยาเริ่มเร่งมือค้นหา และแล้วนางก็พบอะไรบางอย่างในกล่องหลายเหลี่ยมใบที่ห้า หญิงสาวเกือบจะอุทานออกมาแต่ก็รีบปิดปากและหยิบของในนั้นยัดใส่อกเสื้อ
-แกร๊ก
ตอนนั้นเองประตูก็เปิดออก หัวใจของเปโตรนิยาหดเกร็ง
“มาทำอะไรที่นี่หรือคะ”
แจนยูเอรีนั่นเอง นางมองมาที่เปโตรนิยาด้วยสีหน้าเย็นชาผิดไปจากปกติ
“อ้อ พอดีข้าจะมาเข้าห้องน้ำแต่หลงทาง…จึงลองสุ่มเปิดดูสักห้องเผื่อจะเจอสาวใช้ให้ถามทางน่ะค่ะ แต่ห้องนี้สวยเหลือเกินข้าจึงอยู่ชม เอ หรือนี่จะเป็นห้องของมาดามคะ”
“…ค่ะ”
เมื่อเปโตรนิยาบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ แจนยูเอรีจึงจนใจที่จะซักไซ้อาคันตุกะว่าเหตุใดจึงเข้ามาอยู่ในห้องของคนอื่นตอนที่เจ้าของไม่อยู่ นางทำสีหน้าไม่เต็มใจอย่างเปิดเผย เปโตรนิยาแสร้งยิ้มอ่อนหวานพลางชื่นชมการตกแต่งห้อง
“ตกแต่งห้องได้งดงามมากเลยนะคะ ข้าประทับใจมาก ห้องของข้าไม่เห็นสวยเช่นนี้เลย”
“ก็…ถ้ามีเงินก็ทำได้ทุกอย่างนั่นแหละค่ะ”
แจนยูเอรีตอบอย่างไม่จริงใจ ก่อนจะยิ้มร้ายพลางเอ่ย
“ทีนี้ช่วยออกไปหน่อยได้ไหมคะ เลดี้ พอดีข้าไม่ชอบให้ใครเข้ามาในห้องน่ะค่ะ”
“ตายจริง ขอโทษด้วยค่ะ มาดาม ข้านี่เสียมารยาทจริงเชียว”
“ไม่หรอกค่ะ ไม่เป็นไร”
“เช่นนั้นข้าขอตัวนะคะ”
พูดจบเปโตรนิยาก็ปลีกตัวออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว นางรู้สึกว่าแจนยูเอรียังคงมองมาที่นางด้วยสายตาเคลือบแคลง แต่นางก็เดินต่อไปอย่างสงบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยิ่งทำตัวงุ่นง่านจะพาลให้ยิ่งน่าสงสัยเสียเปล่าๆ
***
แพทริเซียสูดหายใจเข้าลึกๆ นางรู้สึกว่ามงกุฎที่อยู่บนศีรษะหนักกว่าครั้งไหนๆ ราฟาเอลาที่อยู่ด้านข้างดูเหมือนจะรู้ว่านางกำลังประหม่าจึงพยายามช่วยให้ผ่อนคลาย
“เป็นอะไรไป ฝ่าบาท ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
“เฮ้อ…ไม่หรอก แค่ประหม่านิดหน่อยน่ะ”
แพทริเซียตอบพลางยิ้มอย่างอ่อนแรง นั่นทำให้ราฟาเอลาในชุดเดรสสีเงินแปลกตาระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ฝ่าบาท เจ้าคงไม่ได้ส่องกระจกดูให้ดีใช่ไหมว่าตอนนี้เจ้างดงามเพียงใด”
“…”
คำพูดนั้นทำให้แพทริเซียหน้าแดง ถึงอย่างไรนางก็เป็นนางตัวร้ายได้แค่ลมปากเท่านั้น ในยามนี้ไม่มีใครใสซื่อไปกว่านางอีกแล้ว ราฟาเอลายิ้มอ่อนโยนเหมือนมารดายิ้มให้บุตรสาวก่อนจะกล่าว
“เจ้าสวยจริงๆ นะ ริซซี่ อย่างกับนางฟ้าลงมาจากสวรรค์”
“นั่นก็เกินไป”
“พูดจริงนะเนี่ย”
ระหว่างที่พวกนางหยอกเย้าหัวเราะคิกคักกันอยู่นั้น เปโตรนิยาก็ปรากฏตัวในชุดเดรสผ้ากำมะหยี่สีเขียวเข้มรับกับเรือนผมสีแดงเพลิงอย่างงดงาม แพทริเซียยิ้มและกล่าวต้อนรับอีกฝ่าย
“มาสิ นีย่า วันนี้เจ้าสวยมาก”
“พระจักรพรรดินีก็ทรงพระสิริโฉมเช่นกันเพคะ”
แพทริเซียถึงกับหลุดขำเมื่อได้ยินเปโตรนิยาตอบรับด้วยคำพูดทางการต่างไปจากปกติ ช่างน่าอายนัก
“ท่านพ่อท่านแม่ล่ะ” แพทริเซียเอ่ยถาม
“พวกท่านน่าจะสายหน่อย ข้าออกมาก่อน”
“อ้อ”
แพทริเซียยิ้มน้อยๆ
“จะว่าไปแล้ววันนี้น้องสาวฝาแฝดข้างดงามยิ่ง”
“ว่าไปนั่น”
“ไม่นะ สวยจริงๆ”
เปโตรนิยาว่าพลางจับชุดที่แพทริเซียสวม
“ชุดก็สวย ผมก็เกล้าอย่างงดงาม มงกุฎก็เปล่งประกาย”
“ทำไมวันนี้เจ้าเป็นแบบนี้”
“น้องข้างามยิ่ง ข้าชักจะอิจฉาแล้วสิ”
เปโตรนิยาหัวเราะคิกคักด้วยสีหน้าหยอกเย้าก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดาย
“ถ้ายังโสดพวกผู้ชายคงร้องฮือ”
“หา…”
แพทริเซียทำสีหน้าเก้อเขินก่อนจะพูดราวกับแก้ตัว
“ตอนนี้ก็ไม่เลว ไม่มีเรื่องกวนใจ”
“นั่นสิ ดีแล้วล่ะ ว่าแต่พระจักรพรรดิประทับอยู่ที่ใดล่ะ”
“ใครสนกัน”
ครั้นได้ยินอีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา เปโตรนิยาก็ยิ้มแปลกๆ
“นั่นสินะ เจ้ายังมีคนอยู่ด้วยตั้งมากมาย มีทั้งข้า ทั้งเอล่า”
“เจ้าต้องหาว่าที่เจ้าบ่าวสิ ท่านพี่ ท่านพ่อท่านแม่กังวลแย่แล้ว”
“ถึงเจ้าไม่พูด ท่านแม่ก็เร่งเร้าไม่เว้นวันแล้ว ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปอาจจะพาข้าไปเร่ขายก็เป็นได้”
เปโตรนิยาหัวเราะอย่างนึกสนุกก่อนจะเดินไปที่โต๊ะอาหารเพื่อหยิบค็อกเทล แพทริเซียเอียงศีรษะเล็กน้อย ดูเหมือนว่านางจะเหนื่อยเสียแล้ว
“งานยังไม่ทันจะเริ่มเลย ฝ่าบาท เจ้ามาทำตัวห่อเหี่ยวเสียแล้วได้อย่างไร” ราฟาเอลาพูด
“ข้าตื่นเต้นน่ะ คงเพราะเป็นครั้งแรกกระมัง…แล้วก็ประหม่าด้วย ว่าแต่เจ้าไม่ไปเดินชมงานหรือ”
“หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของอัศวินราชองครักษ์คือการอารักขาผู้เป็นนาย วันนี้ข้าจะทำตัวติดกับเจ้าทั้งวันเลย”
“ข้าขอปฏิเสธแล้วกันนะ คิดว่าในวันแบบนี้จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรืออย่างไร”
“ใครจะรู้ล่ะ ทำไม? หรือเจ้าคิดจะไปเดตกับฝ่าบาท?”
“ใช่เลย นั่นคงเป็นไปได้หรอก” แพทริเซียตัดบทอย่างรับไม่ได้ “ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก สนิทกันหรือก็เปล่า”
“จ้าๆ”
ในตอนนั้นเองคนที่อยู่อีกด้านก็เรียกหาราฟาเอลา ฟังจากน้ำเสียงที่ใช้เรียกแล้วน่าจะเป็นญาติพี่น้องของนาง ราฟาเอลาแอบส่งสายตาให้แพทริเซีย เห็นดังนั้นแพทริเซียก็กล่าวอย่างไม่คิดอะไร
“รีบไปเถอะ”
“ข้าไปได้หรือ ฝ่าบาท?”
“แน่นอนสิ วันนี้เจ้าเองก็มีสิทธิ์ที่จะได้เพลิดเพลินกับงานฉลอง และเจ้าก็ควรทำเช่นนั้นด้วย เจ้าก็รู้ว่าข้าทุ่มเทมากเพียงใดกับการเตรียมงานนี้”
ได้ฟังดังนั้น มุมปากของราฟาเอลาก็ยกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้ม ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางหนากว่าปกติดูเหมาะกับนางทีเดียว
“ขอบใจนะ ข้าจะรีบไปรีบมา” ราฟาเอลาพูดราวกับกระซิบ
แม้แต่ราฟาเอลาก็ไม่อยู่แล้ว แพทริเซียจึงเริ่มรู้สึกสงบขึ้นมาเล็กน้อย ขณะที่ความเหงาเริ่มก่อตัว หญิงสาวก็พบว่าลูซิโอกำลังเดินเข้ามาหา เห็นดังนั้นแพทริเซียก็ทำสีหน้างุนงง
“ทำไมเจ้าอยู่คนเดียว”
แล้วทำไมต้องมาหาเรื่องกันแม้กระทั่งในวันเช่นนี้ หว่างคิ้วของแพทริเซียขมวดชนกัน
“หม่อมฉันอยู่คนเดียวมิได้หรือเพคะ”
“องครักษ์ก็ไม่อยู่ นางกำนัลก็ไม่อยู่”
“นางกำนัลไปหยิบค็อกเทล ส่วนราฟาเอลาขอตัวไปจัดการธุระของตระกูลบริงสโตนสักครู่เพคะ”
“อันตรายนะ”
“นี่เป็นงานเลี้ยงที่หม่อมฉันจัดเตรียมด้วยตัวเอง อย่างน้อยหม่อมฉันก็มั่นใจว่าจะไม่เกิดอันตรายใดๆ ในที่ที่มีคนมาชุมนุมเป็นจำนวนมากเช่นนี้ ฝ่าบาททรงเป็นกังวลเกินไปแล้วเพคะ”
“…จะไม่กังวลได้อย่างไร”
“…”
แพทริเซียเบือนหน้าหนีไม่พูดอะไร แม้นางจะปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาแต่ลูซิโอก็ไม่คิดจะถอย ในที่สุดแพทริเซียก็ต้องเป็นฝ่ายเปิดปากอีกครั้ง
“ไม่ไปหาเลดี้เอเฟรนีหรือเพคะ”
ไม่กี่วันก่อนโรสมอนด์ได้ละทิ้งนามสกุลแดโรว์และเข้าตระกูลเอเฟรนีในที่สุด ตอนนี้ชื่อของนางจึงกลายเป็น โรสมอนด์ แมรี รูน เอเฟรนี
“ภรรยาหลวงที่ไล่สามีไปหาอนุภรรยาก็คงมีแต่เจ้า” ลูซิโอกล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาด
“จะเป็นเช่นนั้นหรือเพคะ” แพทริเซียพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “น่าจะมีอยู่ทั่วไปกระมัง หากผิดหวังในตัวสามีมากพอและไม่คิดจะคาดหวังอะไรอีกแล้วก็ย่อมทำได้ทั้งนั้น”
“…นั่นสินะ”
แม้นางจะพูดจารุนแรงไปมากแต่เขาก็ยังคงสงบนิ่ง ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่เขาได้กระทำลงไป หากเขามีจิตสำนึกก็คงไม่สามารถว่ากล่าวอะไรนางได้
“แล้วเหตุใดฝ่าบาทถึงอยู่คนเดียวล่ะเพคะ” แพทริเซียพูดต่อไป
“เราปลีกตัวออกมา”
“ทำไมหรือเพคะ”
“รอบตัวเสียงดังเกินไปน่ะ เดิมทีเราก็ไม่ค่อยชอบเสียงดังอยู่แล้ว”
“…”
แค่เรื่องนี้เท่านั้นที่เขาและนางเหมือนกัน แพทริเซียทำเป็นไม่สนใจในทันใด ครู่หนึ่งให้หลังมีร์ยาก็ถือค็อกเทลอ่อนๆ เข้ามาหา เมื่อเห็นลูซิโอนางก็ทำความเคารพ
“ถวายบังคมฝ่าบาท สุริยันแห่งจักรวรรดิอันเกรียงไกร ขอความรุ่งเรืองจงมีแด่มาวินอส”
“นางกำนัลก็มารยาทดีเหมือนเจ้าเลยนะ”
“…”
แพทริเซียทำเมินราวกับคำพูดนั้นไม่มีค่าพอให้ตอบ นางดื่มค็อกเทลรวดเดียวก่อนจะยื่นแก้วเปล่าให้มีร์ยา เมื่อนางทำท่าจะเดินไปที่อื่น มีร์ยาก็เอ่ยทักก่อนลูซิโอ
“ฝ่าบาท? จะเสด็จไปไหนหรือเพคะ”
“คนเยอะ ข้าอึดอัด จะออกไปรับลมข้างนอกเสียหน่อย”
แพทริเซียพูดทิ้งท้ายและเดินไปราวสามก้าวก่อนจะหันกลับมาย้ำกับลูซิโอ
“แค่พูดเผื่อเอาไว้ หวังว่าฝ่าบาทจะไม่ตามหม่อมฉันมานะเพคะ”
แม้จะถูกปฏิเสธอย่างชัดเจน ลูซิโอก็ยังคงเฉยชา กลายเป็นมีร์ยาที่รู้สึกเก้อเขิน แพทริเซียเดินไปที่ระเบียงคนเดียวด้วยสีหน้าไม่ยี่หระ
***
อีกด้านหนึ่ง เปโตรนิยากำลังดื่มค็อกเทลที่นางหยิบมาจากโต๊ะอาหารและคิดอะไรไปพลาง ซึ่งก็มีสาเหตุมาจากของที่นางนำออกมาจากห้องของแจนยูเอรีเมื่อหลายวันก่อน นางยืมพลังของแอลกอฮอล์มาขยายกรอบความคิดให้มีอิสระมากขึ้น ทันใดนั้นนางก็ส่ายศีรษะอย่างแรงคล้ายว่าสมองตัน เรื่องช่างซับซ้อนเสียเหลือเกินจนนางปวดหัว
ต้องดื่มอีกแก้วแล้วล่ะ เปโตรนิยาคิดดังนั้นก่อนจะหยิบแก้วที่บรรจุค็อกเทลสีแดงสดขึ้นมาอีกแก้ว
“อ๊ะ!”
หญิงสาวอุทานออกมาเบาๆ ไม่ทันไรนางก็ทำค็อกเทลแก้วนั้นหกราดชุดเดรสของตนเสียแล้ว เปโตรนิยาชนกับใครบางคนจนล้มลงไปกองกับพื้น นางขมวดคิ้วและหยิบแก้วค็อกเทลที่ตกอยู่ข้างตัวขึ้นมา โชคดีที่มันไม่แตก
“อือ…”
“เป็นอะไรไหมครับ เลดี้?”
ในตอนนั้นเองเปโตรนิยาก็ได้ยินเสียงที่คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน นางเงยหน้าขึ้นมองอย่างเหม่อลอย ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลรับกับนัยน์ตาสีน้ำตาลแดง… ข้ารู้สึกเหมือนเคยพบเขามาก่อนนะ? แต่พบที่ไหนกัน? ราวกับใจตรงกัน ชายผู้นั้นเองก็มองมาที่นางด้วยสีหน้ายินดี
“เอ๊ะ!”
หลังจากนั้นครู่หนึ่งเปโตรนิยาก็นึกออก
อีกด้านหนึ่ง เปโตรนิยาไปเยือนคฤหาสน์ดยุกเอเฟรนีในรอบหลายวันเนื่องด้วยพ่อบ้านของคฤหาสน์เรียกหา หญิงสาวสวมชุดเดรสสีเหลืองเรียบๆ มีเพียงริบบิ้นเส้นหนึ่งประดับอยู่ที่เอว เมื่อไปถึงพ่อบ้านก็ออกมาต้อนรับนางอย่างนอบน้อม
“ยินดีต้อนรับเลดี้เปโตรนิยา เชิญทางนี้เลยขอรับ”
“สวัสดีค่ะ คุณพ่อบ้าน”
เปโตรนิยาทักทายกลับอย่างสุภาพก่อนจะเดินอย่างสง่าผ่าเผยเข้าไปในคฤหาสน์ดยุก ที่นี่ดูไม่ต่างจากตอนที่มาครั้งที่แล้วเท่าไรนัก พ่อบ้านนำทางไปจนถึงห้องรับแขก เปโตรนิยานั่งลงและจิบชาเปเปอร์มินต์ที่สาวใช้นำมาให้หนึ่งอึกก่อนจะเอ่ยถาม
“มีเรื่องอะไรหรือคะ”
“มิใช่เรื่องใหญ่หรอกขอรับ แต่เกรงว่าข้าจะตัดสินใจเองไม่ได้จึงต้องเรียนเชิญเลดี้มา ขออภัยที่ทำให้วุ่นวายนะขอรับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณพ่อบ้าน เดิมทีคนที่ได้รับการไหว้วานจากดัชเชสก็คือข้า ดัชเชสเองก็สั่งเอาไว้แล้ว ท่านทำเช่นนี้นับว่าถูกต้องแล้วค่ะ ว่าแต่มีเรื่องอะไรหรือคะ”
“เรื่องการจับจ่ายซื้อของเกินจำเป็นของมาดามแจนยูเอรีขอรับ เลดี้”
พ่อบ้านกระแอมไอพลางปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติก่อนจะเริ่มอธิบายสถานการณ์ให้เปโตรนิยาฟังอย่างชัดเจน
“รายจ่ายในส่วนนั้นนับเป็นเงินก้อนใหญ่ของค่าใช้จ่ายครึ่งปีแรกเลยทีเดียวขอรับ ด้วยอำนาจของข้าคงจะอนุมัติให้ไม่ได้”
ตายจริง เปโตรนิยาอุทานขึ้นเบาๆ ปัญหายุ่งยากนี่เอง
“ข้าอยากทราบท่าทีของใต้เท้าค่ะ”
“ใต้เท้า…แม้ท่านจะเป็นเช่นนั้นเสมอมา แต่สำหรับเรื่องนี้ท่านใจกว้างขอรับ”
“อ้อ”
เปโตรนิยาทำสีหน้า ‘ข้าถามอะไรไม่เข้าเรื่องเสียแล้ว’ พลางพยักหน้า ก็แน่ล่ะ เดิมทีพวกขุนนางชั้นสูงก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้วมิใช่หรือ อะไรที่ทำให้ภรรยาหลวงไม่ได้กลับทำให้อนุภรรยาได้อย่างเปิดเผย เช่นเดียวกับที่จักรพรรดิทำอยู่ตอนนี้ เปโตรนิยาเก็บซ่อนสีหน้าดูหมิ่นพลางถามพ่อบ้าน
“เช่นนั้นท่านอยากให้ข้าทำอย่าง…”
“อุ๊ย เลดี้เปโตรนิยา”
ในตอนนั้นเองเสียงแหลมสูงก็ดังขึ้นขัดบทสนทนาของทั้งสอง เปโตรนิยารับรู้ได้ทันทีว่านั่นเป็นเสียงของใครแม้จะเคยได้ยินเพียงครั้งเดียว นางฝืนยิ้มขณะกล่าวทักทายแจนยูเอรี
“สวัสดีค่ะ มาดาม ไม่เจอกันนานนะคะ”
“นั่นสิคะ เลดี้ ไม่เจอกันนานเลย” แจนยูเอรีเอ่ยถามต่อด้วยรอยยิ้ม “ว่าแต่เลดี้มาทำอะไรหรือคะ…”
“ข้าเรียนเชิญมาขอรับ”
สีหน้าของแจนยูเอรีดูเย็นชาขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของพ่อบ้าน แต่ถึงกระนั้นรอยยิ้มก็ยังคงแขวนอยู่บนใบหน้าของนาง
“อ้อ อย่างนั้นหรือคะ ไม่ทราบว่าด้วยเหตุใด…?”
“ข้าคงไม่จำเป็นต้องอธิบายถึงขนาดนั้นกระมังขอรับ มาดาม”
“…”
แจนยูเอรีดูไม่สบอารมณ์แต่พ่อบ้านก็ยังมีท่าทางขึงขังไม่ยอมจำนนต่อท่าทีของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย เปโตรนิยาคิดว่าพ่อบ้านคนนี้ช่างใจกล้าเสียจริง และรีบเปลี่ยนเรื่องโดยพลัน
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่เรื่องเล็กน้อย”
“…อ้อ อย่างนั้นหรือคะ”
ข้าไม่ทราบเลย ขอโทษนะคะ แจนยูเอรีว่าพลางยิ้มบางๆ และพูดต่อทันทีว่า ‘เช่นนั้นก็ทำตัวตามสบายนะคะ’ ก่อนจะเดินจากไป ลับหลังแจนยูเอรีพ่อบ้านก็ถอนหายใจออกมาอย่างลืมตัว ท่าทางเขาจะมั่นใจแล้วว่าเปโตรนิยาเป็นพวกเดียวกัน
“ที่สำคัญที่สุดย่อมเป็นท่าทีของดัชเชสสินะคะ”
“…”
“เอาล่ะค่ะ คุณพ่อบ้าน พูดมาเถอะค่ะ ดัชเชสคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้คะ”
“ท่านก็รู้ดีอยู่แล้วมิใช่หรือขอรับ เลดี้”
ได้ฟังดังนั้นเปโตรนิยาก็ยิ้มพราย
“ไม่รู้สิคะ ทำไมคุณพ่อบ้านถึงคิดว่าข้ารู้เรื่องทั้งหมดอยู่แล้วล่ะคะ”
“เป็นเรื่องธรรมดามิใช่หรือขอรับ”
“บางครอบครัวก็ไม่คิดว่านั่นเป็นเรื่องธรรมดานะคะ แต่หากข้าคิดไม่ผิด ดัชเชสไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น ถูกต้องไหมคะ”
“แน่นอนขอรับ เลดี้ ดัชเชสคอยควบคุมมาดามแจนยูเอรีมาตลอด ท่านเกลียดที่นางใช้จ่ายเกินตัวยิ่งกว่าผู้ใด”
“เช่นนั้นก็ได้ข้อสรุปแล้วมิใช่หรือคะ”
“เรื่องมิได้เรียบง่ายเช่นนั้นขอรับ ใต้เท้ากับดัชเชสโต้เถียงกันด้วยเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง”
อนิจจา ก็เป็นไปได้ เปโตรนิยาพยักหน้า
“มีโอกาสที่จะโต้เถียงกันสูงจริงๆ ค่ะ”
“ขอรับ เราควรหาวิธีประนีประนอม แต่เรื่องนั้นไม่ง่ายเลยขอรับ”
“นั่นสินะคะ” เปโตรนิยาพยักหน้าก่อนจะเอ่ยถาม “คุณพ่อบ้านคะ ข้าต้องให้คำตอบตอนนี้เลยไหมคะ”
“ไม่จำเป็นขอรับ แต่ถ้าเร็วหน่อยน่าจะดีกว่าเพราะมาดามแจนยูเอรีเร่งเร้าเหลือเกิน”
ได้ฟังดังนั้นเปโตรนิยาก็พยักหน้ารับคำ
“ไม่ต้องห่วงนะคะ ข้าจะให้คำตอบท่านภายในสามวัน” เปโตรนิยาว่าพลางลุกขึ้น “ภายในสามวันข้าจะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับคำตอบที่ทุกฝ่ายน่าจะพอใจค่ะ”
“ขอบคุณมากขอรับ เลดี้”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
แพทริเซียยิ้มบางๆ ก่อนจะออกจากห้องรับแขกไป
***
“…เพราะฉะนั้นข้าจึงอยากให้เจ้าช่วยน่ะ ริซซี่”
แพทริเซียฟังที่เปโตรนิยาเล่าแล้วพยักหน้า เห็นได้ชัดว่านี่เป็นปัญหาที่ยุ่งยาก
‘ทำอย่างไรฝ่ายเราจึงจะได้ประโยชน์’ แพทริเซียคิด
“ถึงอย่างไรเราก็ต้องเลือกคนใดคนหนึ่ง”
แพทริเซียตอบสนองกับคำพูดของเปโตรนิยา
“นั่นสิ ภรรยาหลวงกับอนุภรรยาเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มีวันเฉียดเข้ามาใกล้กันได้ แม้ไม่จำเป็นต้องตั้งตนเป็นศัตรูกับอีกฝ่ายแต่อย่างน้อยก็ต้องใช้ชีวิตอย่างไม่ลำบาก”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น”
ถึงอย่างไรตอนนี้ตระกูลดยุกเอเฟรนีก็เป็นปฏิปักษ์กับแพทริเซีย อีกทั้งตัวนางก็มีตระกูลดยุกวีเธอร์ฟอร์ดอยู่แล้ว สิ่งที่น่าหนักใจคือไม่ว่าจะภรรยาหลวงหรืออนุภรรยาสุดท้ายแล้วทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นภรรยาของดยุก แต่ถึงกระนั้นไม่ว่าใครก็คิดได้ว่าการเลือกเข้าข้างภรรยาหลวงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
“อนุคนนั้นมีชาติกำเนิดอะไรเราก็ไม่รู้ เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนางเลย ระวังไว้ไม่เสียหาย”
“ถูกต้อง ไม่ว่าจะเลือกทางใดข้าก็ต้องจัดการให้เรียบร้อย ไม่ให้มีความยุ่งยากตามมา”
“ก่อนอื่นให้นางเขียนเสนอรายการสิ่งของที่ต้องการซื้อมาอย่างละเอียด หลังจากตรวจสอบแล้ว รายการไหนไม่จำเป็นก็ตัดทิ้ง อนุญาตให้ซื้อเฉพาะของที่จำเป็นก็พอ ในตอนนี้วิธีนี้น่าจะดีที่สุดแล้ว”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น หากเป็นไปได้ การเลือกทำประโยชน์ให้ดัชเชสเอเฟรนีน่าจะเป็นประโยชน์กับเราในอนาคต”
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อนางตอบรับคำขอของดัชเชสเอเฟรนี แจนยูเอรีก็คงถือว่านางเป็นพวกเดียวกับดัชเชสไปแล้ว เปโตรนิยาเปลี่ยนเรื่องคุย
“เรื่องนั้นพอแค่นี้… ริซซี่ ที่นี่ไม่มีเรื่องอะไรสนุกๆ บ้างหรือ ช่วงนี้ข้าไม่ค่อยได้เข้าวังจึงไม่รู้ข่าวคราวอะไรสักอย่าง”
“ที่พอจะเรียกได้ว่าข่าวคราวน่ะไม่มีหรอก…อ้อ มีอยู่เรื่อง ไม่สิ สองเรื่องกระมัง”
“อะไรหรือ”
“โรสมอนด์กลับมาเร็วกว่าที่คิด และได้ยินว่าอีกไม่นานนางจะได้เป็นบุตรีของดยุกแล้วล่ะ”
“…หา?”
นี่มันเรื่องอะไรกันอีกล่ะนี่ สีหน้าเครียดเขม็งด้วยความตกตะลึงของเปโตรนิยาช่างน่าดูชมทีเดียว แต่แพทริเซียก็พูดต่อไปด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อน
“ก็นะ ข้าก็คาดการณ์ไว้บ้างแล้ว ตั้งแต่ที่นางบอกว่าจะเดินทางไปบารอนี…”
“โธ่ ริซซี่ ว่าแต่ทำไมเจ้ายังนิ่งเฉยอยู่เช่นนี้”
“ที่จริงจะบอกว่านิ่งเฉยก็ไม่ได้ แต่เรื่องมันเกิดไปแล้ว นางคงคิดจะใช้ฐานันดรศักดิ์ที่สูงขึ้นมาเป็นอาวุธโจมตีข้ากระมัง”
เมื่อเช้าก็มาก่อความวุ่นวายทีหนึ่งแล้ว ได้ฟังดังนั้นเปโตรนิยาก็ก่ายหน้าผากพลางทำสีหน้าปวดเศียรเวียนเกล้า เพิ่งกลับมาได้ไม่ทันไร ไฉนจึงก่อเรื่องเสียแล้ว
“เจ้าต้องจัดการเรื่องนี้ให้ได้นะ ไม่ว่ามันจะสำเร็จเมื่อไรก็ต้องทำให้ได้”
“ข้ารู้ แต่นี่ยังเร็วเกินไป ต้องรอให้ถึงเวลาก่อน”
จนกว่าจะถึงตอนนั้นข้าก็แค่อุทิศตนทำงานที่ต้องทำและคอยหาจังหวะดีๆ เท่านั้นเอง เปโตรนิยาพยักหน้าให้กับคำพูดของแพทริเซีย สมแล้วที่เป็นน้องสาวฝาแฝดผู้แสนสุขุมของนาง
“งานรำลึกวันสถาปนาจักรวรรดิที่จะจัดขึ้นในสัปดาห์หน้าเตรียมการเสร็จหรือยัง” เปโตรนิยาถาม
“เกือบเสร็จแล้วล่ะ เหลือแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใส่ใจมากก็ได้”
“โล่งอกไปที”
เปโตรนิยายิ้มบางๆ และเอ่ยถาม “วันนั้นไปเดตกับพี่สาวสักหน่อยดีหรือไม่”
“อืม…ไม่ล่ะ ขอโทษนะ แต่เอาไว้ปีหน้าเถอะ”
“ทำไมล่ะ”
“วันนั้นข้าน่าจะเหนื่อยมาก ต้องพบปะกับขุนนางทั้งวัน”
“นั่นก็จริง”
เปโตรนิยาพยักหน้าอย่างเข้าใจ ตอนนั้นเองแพทริเซียที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เอ่ยถามขึ้นมา
“ท่านพี่ เจ้าไม่แต่งงานหรือ”
“…อะไรนะ?”
หัวข้อสนทนาที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันทำให้เปโตรนิยาอุทานถามอีกฝ่ายด้วยความงงงัน แพทริเซียพูดต่ออย่างไม่คิดอะไร
“อืม…ข้าก็แต่งงานแล้วจึงคิดว่าน่าจะถึงเวลาของท่านพี่แล้วหรือไม่”
“พระเจ้าช่วย ริซซี่ นี่เจ้าอยากให้พี่สาวรีบออกเรือนขนาดนั้นเชียวหรือ”
ถ้าข้าแต่งงานก็มาเป็นนางกำนัลให้เจ้าไม่ได้แล้วนะ ครั้นได้ยินน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยของอีกฝ่าย แพทริเซียก็ยิ้มพลางแก้ตัว
“ไม่ใช่นะ นีย่า ต้องไม่ใช่อย่างนั้นอยู่แล้ว”
“แล้วอย่างไหนล่ะ”
“อืม…ข้าแค่อยากให้เจ้าได้เจอคนดีๆ เร็วๆ และอยู่อย่างมีความสุขต่างหาก”
“พูดจาไม่เข้าท่า” เปโตรนิยาพูดตัดบทเสียงเข้ม “ตอนนี้ข้าก็มีความสุข”
“จริงหรือ”
“ข้ามีเจ้า มีท่านพ่อท่านแม่อยู่เคียงข้าง แค่นี้มีความสุขดีอยู่แล้ว ชีวิตข้าไม่ได้มีความสุขเพียงเพราะมีผู้ชายอีกคนเพิ่มเข้ามาในชีวิตหรอกนะ”
“โอ้ นิล เมื่อครู่เจ้าเท่มาก”
“ข้ารู้” เปโตรนิยาฉีกยิ้ม “ข้าชอบเวลาที่ได้อยู่กับเจ้าเช่นนี้ ข้ายังอยากมีอิสระอีกสักหน่อย”
“มิใช่ว่าจะไม่แต่งงานตลอดชีวิตใช่ไหม”
“ถ้ามีคนดีๆ โผล่มา ต่อให้เจอกันแค่ห้านาทีข้าก็แต่งได้”
ห้านาทีก็เกินไป แพทริเซียหัวเราะคิกคัก
“ข้าอยากเห็นหน้าหลานเร็วๆ”
“ข้าก็อยากเห็นหน้าหลานเร็วๆ” เปโตรนิยาพูดล้อเลียน “น้องสาวเอ๋ย เจ้าน่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่าข้านะ”
“ทำไมล่ะ”
“ข้ายังโสดแต่เจ้าแต่งงานแล้วนี่”
ครั้นได้ฟังสองพี่น้องสนทนากันในหัวข้อที่อ่อนไหวที่สุด มีร์ยาก็มีสีหน้าตะขิดตะขวงใจ แต่แพทริเซียกลับโต้ตอบอย่างไม่คิดอะไร
“นีย่า ข้ากับสามีคงไม่มีลูกด้วยกันไปอีกอย่างน้อยห้าปี ข้าจะอดทนจนกว่าจะตั้งครรภ์และถึงตอนนั้นข้าจะต้องมีบุตรชาย”
“ใครบอกว่าเจ้าจะได้บุตรชาย ขนาดฝันยังคิดการใหญ่นัก”
“ก็…ต้องพยายามจนกว่าจะได้สิ”
แพทริเซียตัดบทส่งๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง
“อย่างไรก็เถอะ งานรำลึกฯ ครานี้เจ้าก็ลองหาเจ้าบ่าวดีๆ ดู ใครจะรู้ เนื้อคู่ในพรหมลิขิตของเจ้าอาจจะปรากฏตัวขึ้นมาก็ได้”
“เพ้อเจ้อ เรื่องพรหมลิขิตอะไรนั่นตอนนี้ข้าเข็ดขยาดแล้ว”
“หืม?”
แพทริเซียถามด้วยสีหน้าสงสัย
“ตอนนี้หรือ?”
“ข้าไม่เชื่อเรื่องพรหมลิขิตหรอก ไม่สิ ต่อให้เชื่อแต่ข้าก็เลือกไม่ได้มิใช่หรือ”
นั่นก็จริง แพทริเซียพยักหน้าเงียบๆ ในตอนนั้นเองเปโตรนิยาก็ส่งเสียง ‘ฮึบ’ พร้อมกับลุกขึ้นจากที่นั่ง แพทริเซียเห็นดังนั้นก็เอ่ยถาม
“เป็นอะไรไป”
“ข้าอยากกินขนมปัง เจ้าไม่อยากกินหรือ”
“ถ้าเพิ่งอบเสร็จใหม่ๆ ก็น่าสนใจ”
ได้ยินดังนั้นเปโตรนิยาก็เผยยิ้ม น้องสาวข้าช่างน่ารักเสียจริง
“ดีเลย ริซซี่ รอเดี๋ยวนะ”
เมื่อแพทริเซียอนุญาต โรสมอนด์ก็เดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย ผิวพรรณของนางดูแย่ลงเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ แพทริเซียเบื่อหน่ายกับความโอหังนั้นจึงเอ่ยปากตำหนิ
“คนที่กล้าทำตัวไม่มีมารยาทในตำหนักจักรพรรดินีก็คงมีแต่เจ้าคนเดียวกระมัง”
“หม่อมฉันทำอะไรให้พระองค์มีรับสั่งเช่นนั้นหรือเพคะ ฝ่าบาท”
“เรากำลังบอกให้เจ้ารักษามารยาท ท่าทางเจ้าจะต้องศึกษาเรื่องมารยาทอย่างเร่งด่วนนะ”
ได้ยินดังนั้นโรสมอนด์ก็แผดเสียงออกมาอย่างทนไม่ได้
“คนที่จำเป็นต้องศึกษาเรื่องมารยาทคงมิใช่หม่อมฉันแต่เป็นฝ่าบาทต่างหากเพคะ”
“เราหรือ?”
“เพคะ ฝ่าบาท”
หญิงสาวถามแพทริเซียด้วยสีหน้าเย็นเยียบ “เหตุใดถึงตัดค่าใช้จ่ายของตำหนักเวนเพคะ”
“อ้อ”
แม้จะคาดการณ์ไว้แล้ว แต่เอาเข้าจริงๆ แพทริเซียกลับรู้สึกแปลกกว่าที่คิด หญิงสาวปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติก่อนจะตอบ
“แล้วมีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือ”
“จู่ๆ ฝ่าบาทจะมาสั่งตัดงบเช่นนี้ได้อย่างไรเพคะ แม้หม่อมฉันจะคืนตำแหน่งบารอเนสไปแล้วแต่หม่อมฉันก็ยังเป็นอนุภรรยาขององค์จักรพรรดินะเพคะ”
“ใช่แล้ว เจ้าเป็นอนุภรรยา ‘อย่างไม่เป็นทางการ’ ของฝ่าบาทสินะ ดูเหมือนจะไม่มีกฎมนเทียรบาลข้อไหนระบุว่าต้องจัดสรรงบประมาณให้อนุภรรยาของจักรพรรดิเสียด้วยสิ เพียงแต่ทำเป็นธรรมเนียมสืบต่อกันมาเท่านั้น”
“เช่นนั้นหม่อมฉันก็สงสัยเหลือเกินว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงเพิกเฉยต่อธรรมเนียมปฏิบัติและกระทำการตามอำเภอใจเช่นนี้”
“มันก็แน่อยู่แล้วมิใช่หรือ เลดี้โรสมอนด์ ตำหนักเวนเองก็มีข้ารับใช้อยู่แล้ว และอย่างที่เลดี้กล่าว เลดี้มิใช่บารอเนสอีกต่อไปแล้ว ดังนั้น เราในฐานะประมุขของฝ่ายในจึงเห็นสมควรที่จะลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงก็เท่านั้น”
พูดจบ แพทริเซียก็พูดเรื่องอื่นต่อด้วยสีหน้าไม่พอใจ “อีกอย่าง เป็นแค่บุตรีของบารอนแต่กลับมาพบเราโดยไม่แจ้งนัดเวลาล่วงหน้า เรื่องเช่นนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อน เลดี้โรสมอนด์ ที่เรายอมปล่อยให้เจ้าเข้ามาเพราะเราเห็นว่าเจ้าเป็นอนุภรรยาของฝ่าบาทเท่านั้น”
“เป็นแค่บุตรีของบารอนอย่างนั้นหรือเพคะ” โรสมอนด์ยิ้มพรายก่อนจะแก้คำพูดของแพทริเซีย “แต่ว่าฝ่าบาทเพคะ น่าเสียดายที่ตอนนี้หม่อมฉันมิใช่บุตรีของบารอนแดโรว์อีกต่อไปแล้ว นับแต่นี้นามสกุลนั้นไม่มีความหมายอะไรกับหม่อมฉันอีกแล้วเพคะ”
ได้ยินดังนั้นแพทริเซียก็เลิกคิ้วข้างหนึ่งและถามกลับ
“เรื่องนั้นหมายความว่าอย่างไร”
“บิดาแท้ๆ ของหม่อมฉันลงนามในเอกสารสละอำนาจปกครองบุตรแล้วเพคะ อีกไม่นานหม่อมฉันก็จะได้เป็นบุตรีบุญธรรมของตระกูลดยุกเอเฟรนี ดังนั้น ต่อไปนี้หม่อมฉันหาได้ ‘เป็นแค่บุตรีของบารอน’ แต่เป็นบุตรีของหนึ่งในสามตระกูลดยุกที่ยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิ”
“แล้ว?”
แพทริเซียถามกลับด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ซึ่งนั่นทำให้โรสมอนด์ไม่พอใจ
“หม่อมฉันกำลังบอกให้พระองค์หยุดดูหมิ่นดูแคลนหม่อมฉันได้แล้วเพคะ”
“เลดี้โรสมอนด์ เราไม่รู้หรอกนะว่าเราไปดูหมิ่นอะไรเจ้าตอนไหน เจ้าจะเป็นบุตรีของบารอนหรือบุตรีของดยุกก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา เพราะไม่ว่าเจ้าจะเป็นอะไร เราก็ยังคงเป็นสตรีที่สูงส่งที่สุดในจักรวรรดิ สตรีคนใดก็มิอาจเทียบเทียมเราได้ แล้วเราจะต้องใส่ใจอะไรกับคำพูดของเจ้า”
“…”
น่าเศร้าที่คำพูดของแพทริเซียเป็นเรื่องจริงทุกประการ
“แต่เรื่องนั้นก็น่ายินดีทีเดียว ก่อนอื่นก็ยินดีด้วยนะ เลดี้โรสมอนด์ เราคงต้องขอแสดงความยินดีกับเจ้าล่วงหน้า เท่าที่เรารู้มาทรัพย์สินของตระกูลเอเฟรนีมีไม่น้อยเลยทีเดียว เช่นนี้ยิ่งไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเพิ่มงบประมาณให้ตำหนักเวน ไม่สิ น่าจะต้องตัดเพิ่มด้วยซ้ำ”
“ฝ่าบาท!”
“อย่าขึ้นเสียงสิ เลดี้โรสมอนด์ ผู้ที่กำลังจะได้เป็นบุตรีของดยุกควรรักษาเกียรติและมารยาทให้เหมาะสม เจ้าคงต้องเข้ารับการอบรมมารยาทของตระกูลขุนนางอีกครั้งก่อนจะเข้าตระกูลดยุกกระมัง หากเจ้าอายที่จะพูดด้วยตัวเอง เราย่อมยินดีที่จะพูดกับดยุกให้”
“ไม่เพคะ พระองค์ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น” โรสมอนด์ตอบ นางสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง “บิดาของหม่อมฉันให้สัญญาแล้วว่าจะหาอาจารย์ให้ เพราะฉะนั้นหม่อมฉันคงไม่จำเป็นต้องพึ่งบารมีของฝ่าบาทหรอกเพคะ”
“เช่นนั้นก็ดีทีเดียว เพราะจักรพรรดินีมิใช่ตำแหน่งที่มีเวลาว่างมากพอจะไปใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนั้น”
“…”
“พูดจบแล้วใช่หรือไม่ รีบออกไปเถอะ ตอนนี้เรากำลังยุ่ง”
พูดจบแพทริเซียก็เรียกข้ารับใช้เข้ามาในห้อง เมื่อพวกนางถามว่ามีอะไรให้รับใช้ แพทริเซียก็ออกคำสั่งอย่างอ่อนโยน
“เลดี้โรสมอนด์จะกลับตำหนักเวนแล้ว พวกเจ้าช่วยพานางไปส่งทีนะ”
“เพคะ ฝ่าบาท”
คำสั่งไล่แขกทางอ้อมนั้นทำให้โรสมอนด์หน้าตึง แต่แพทริเซียไม่ได้สนใจ เพียงแต่กลับไปนั่งที่โต๊ะและตรวจทานกองเอกสารที่ค้างอยู่เท่านั้น โรสมอนด์เห็นดังนั้นก็ยิ้มเย็นชาอย่างผิดปกติก่อนจะหันไปพูดกับบรรดานางกำนัลตำหนักจักรพรรดินีด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“พวกเจ้าไปเถอะ ขาข้ามิได้พิกลพิการ”
พูดจบโรสมอนด์ก็เดินออกไปแต่เพียงผู้เดียวด้วยท่วงท่าแสนเย่อหยิ่ง แม้จะรู้สึกว่านางกำนัลกระซิบกระซาบกันอยู่ด้านหลังแต่โรสมอนด์ก็แสร้งทำเป็นไม่สนใจและเดินต่อไปอย่างรักษามาด นางกำลังอารมณ์ไม่ดีเพราะนางแพทริเซียคนนั้นจึงคิดว่าจะไปผ่อนคลายจิตใจที่ตำหนักกลางเสียหน่อย
***
“รอยช้ำรุนแรงทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ที่บาดเจ็บเมื่อคราวก่อนพระวรกายก็ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ โปรดระมัดระวังพระวรกายให้มากด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
“เรารู้แล้ว ลอร์ด เรื่องนี้เราผิดเอง ท่านเลิกพูดเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท อย่าลืมเสวยพระโอสถด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อลูซิโอพยักหน้ารับคำ หมอหลวงจึงมีสีหน้าโล่งใจและออกจากตำหนักกลางไป โรสมอนด์เห็นหมอหลวงเดินออกมาก็สงสัย
“ฝ่าบาท?”
“อ้อ โรส มาแล้วหรือ”
“เพคะ ว่าแต่ทำไมจู่ๆ หมอหลวงถึง…” โรสมอนด์ถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “ประชวรตรงไหนหรือเปล่าเพคะ”
“เปล่าหรอก โรส ข้าไม่เป็นไร” เขารีบเปลี่ยนเรื่อง
“ไม่เป็นไรหรือเพคะ ถึงขั้นเรียกหมอหลวงมาแบบนี้น่าจะร้ายแรง…”
“ไม่เป็นไรจริงๆ เจ้าไปคฤหาสน์บารอนมาแล้วหรือ”
“…เพคะ” โรสมอนด์ยิ้มด้วยสีหน้าขมขื่นก่อนจะเล่าโดยสรุปให้เขาฟัง “บารอนลงนามในเอกการสละอำนาจปกครองบุตรแล้ว นี่คือหลักฐานเพคะ”
พูดจบโรสมอนด์ก็ยื่นเอกสารให้เขา ลูซิโอรับเอกสารมาและพยักหน้า
“ดยุกเอเฟรนีน่าจะประกาศรับหม่อมฉันเข้าตระกูลในฐานะบุตรีบุญธรรมอย่างเป็นทางการในเร็ววัน เพราะฉะนั้นหม่อมฉันจะมิใช่แค่บุตรีของบารอนอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นบุตรีของดยุกผู้สูงส่งแล้วนะเพคะ”
“…ดูเหมือนเจ้าจะยึดติดกับฐานันดรศักดิ์เสียเหลือเกิน”
“มันก็แน่อยู่แล้วมิใช่หรือคะ ลูซิโอ ข้าต้องทำเช่นนั้นเพื่อจะได้รักกับท่านโดยไม่มีข้อบังคับใดๆ”
พูดจบโรสมอนด์ก็จุมพิตเบาๆ ที่หน้าผากของลูซิโอ สีหน้าของลูซิโอขณะได้รับจูบนั้นดูไม่อ่อนโยนเหมือนก่อน แต่โรสมอนด์หลับตานางจึงไม่รู้เรื่องนั้น
“ถ้าได้เป็นบุตรีของดยุกแล้วน่าจะครอบครองตำหนักจักรพรรดินีได้ง่ายขึ้นนะเพคะ”
“…”
ลูซิโอไม่ได้พูดอะไร โรสมอนด์จึงทึกทักเอาเองว่าความเงียบนั้นหมายถึงการเห็นด้วย นางเริ่มออดอ้อนเหมือนเด็กคล้ายว่าเมื่อครู่ไม่ได้สนทนาเรื่องจริงจังกันอยู่
“จะว่าไปแล้ว ฝ่าบาทเพคะ”
“อะไรหรือ โรส”
“พระจักรพรรดินีทรงทำเกินไปนะเพคะ”
นางพองแก้มเหมือนเด็กแสดงความไม่พอใจ ลูซิโอจึงให้ความสนใจและถามกลับ
“เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“ไม่รู้สิเพคะ มาสั่งตัดงบตำหนักเวนอะไรก็ไม่รู้”
ตัดไปตั้งครึ่งหนึ่ง มันไม่มากเกินไปหน่อยหรือเพคะ? ได้ยินโรสมอนด์บ่นเช่นนั้น ลูซิโอก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“ที่ผ่านมาตำหนักเวนได้รับงบประมาณมากเกินไปจริงๆ ที่ถูกตัดไปก็ไม่ได้มากมายมิใช่หรือ ต่อให้เหลือเพียงครึ่งเดียวก็น่าจะเพียงพอสำหรับเจ้าและข้ารับใช้นะ”
“…เพคะ?”
ตอนนั้นเองที่โรสมอนด์รับรู้ถึงความประหลาด นี่เป็นครั้งแรกที่ลูซิโอปกป้องแพทริเซียต่อหน้านาง เขาไม่เข้าข้างนาง! โรสมอนด์ถามกลับด้วยสีหน้าตกตะลึง
“ลูซิโอ…นั่นท่านพูดจริงหรือคะ”
“ข้าไม่ได้หวังให้เจ้าอยู่อย่างสมถะ แต่การฟุ่มเฟือยก็มิใช่เรื่องดี ยิ่งท้องพระคลังตอนนี้…”
“ฝ่าบาท!”
โรสมอนด์ตวาดแหวขึ้นมาด้วยสีหน้าตกตะลึง นี่เขามาถกปัญหาท้องพระคลังต่อหน้านางอย่างนั้นหรือ จักรพรรดิไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อนเลย
“จู่ๆ…จู่ๆ ไฉนจึงตรัสเช่นนั้นเพคะ ฝ่าบาท” โรสมอนด์ถามด้วยเสียงสั่นเครือ
“จู่ๆ อะไรกันโรส เจ้าก็ใช้จ่ายเกินตัวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนะ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าเพียงแต่มิได้ตำหนิอย่างเป็นทางการเท่านั้น ถึงอย่างไรอนุภรรยาก็เป็นตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับจักรพรรดิอย่างไม่เป็นทางการ ดังนั้นจึงไม่ควรใช้จ่ายฟุ่มเฟือย อีกทั้งตอนนี้เจ้าก็มิได้เป็นบารอเนสแล้วด้วย”
“…”
โรสมอนด์จ้องมองลูซิโอด้วยสีหน้าขุ่นเคืองและหุนหันออกจากตำหนักกลางไปโดยไม่พูดอะไร หญิงสาวเดินลงส้นเสียงดังออกจากห้องของลูซิโอ ใครมาเห็นก็รู้ว่านางกำลังโกรธ เมื่อเหลือลูซิโออยู่คนเดียว เขาก็ถอนหายใจยาวและบ่นพึมพำกับตัวเอง
“ถึงอย่างไรข้าก็คงทำถูกแล้วกระมัง”
***
“เขาทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร!”
เมื่อกลับมาถึงตำหนักเวน โรสมอนด์ก็แผดเสียงด้วยความโกรธสุดจะกลั้น เป็นไปไม่ได้ ลูซิโอหักหลังนางเช่นนี้ได้อย่างไร หญิงสาวหอบหายใจและกวาดของที่อยู่บนโต๊ะลงไปกองกับพื้น เศษแก้วกระจายไปทุกทิศทางพร้อมเสียงดังเพล้ง คลาราที่ยืนอยู่ด้านข้างถึงกับหลับตาแน่น
“เลดี้ ใจเย็นๆ นะคะ”
“ใจเย็น? ตอนนี้ข้ายังใจเย็นได้อีกรึ เห็นๆ อยู่ว่าจักรพรรดิรักข้าน้อยลง!”
สิ้นเสียงตวาด หญิงสาวก็โยนขวดแก้วไปอีกใบ ขวดแก้วนั้นเฉียดคลาราไปเพียงเล็กน้อยอย่างน่าหวาดเสียว นางยกมือขึ้นทาบอกพลางถอนหายใจแรงด้วยความอกสั่นขวัญหาย คงไม่มีอาชีพใดสมบุกสมบันเท่าการเป็นข้ารับใช้ของโรสมอนด์อีกแล้ว
“ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ฝ่าบาทต้องไปสมสู่กับนางนั่นไม่ผิดแน่!”
โรสมอนด์ระเบิดอารมณ์ด้วยคำผรุสวาท ทันใดนั้นสีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ คลาราสับสนไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรในสถานการณ์ที่ผู้เป็นนายเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็วเช่นนี้ โรสมอนด์ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“คลารา ติดต่อหาดยุกเอเฟรนีเดี๋ยวนี้”
“ด้วยเรื่องใด…”
“ก็มีอยู่เรื่องเดียว! รับข้าเป็นลูกให้เร็วที่สุด ไปสิ!”
“ค่ะ ค่ะ เลดี้ ข้าเข้าใจแล้วค่ะ โปรดสงบใจก่อนนะคะ”
แม้คลาราจะปลอบโรสมอนด์ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นแต่นางก็ดูยังมีน้ำโห คลาราจึงรีบออกจากตำหนักเวนเพื่อไม่ให้ถูกลูกหลงไปมากกว่านี้
คืนนั้นแพทริเซียฝัน
ภาพที่ปรากฏในฝันคือเหตุการณ์ทั้งหมดก่อนที่นางจะย้อนเวลา และวินาทีที่ใบมีดของกิโยตีนสะบั้นคอของเปโตรนิยา แพทริเซียก็กรีดร้องและตื่นขึ้น
“กรี๊ดดดดดดด!”
“ฝ่าบาท!”
มีร์ยาปรี่เข้ามาหาด้วยความตกใจ เช่นเดียวกับราฟาเอลาที่เข้ามาในห้องพร้อมกับดาบคู่ในมือทั้งสองข้างด้วยคิดว่ามีมือสังหารลอบเข้ามา เมื่อรู้ว่าเหตุการณ์ไม่ได้เป็นเช่นนั้นนางก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะเอ่ยปากถาม
“ริซซี่…ฝ่าบาท เกิดอะไรกันขึ้นหรือ”
“แฮ่ก…”
แพทริเซียยังคงสงบสติอารมณ์ไม่ได้ นางขอน้ำจากมีร์ยา และระหว่างที่มีร์ยาออกไปหาน้ำ ราฟาเอลาก็เข้ามาถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“เอาล่ะ ฝ่าบาท ใจเย็นๆ ตรงนี้มีแต่ข้า และเจ้าเองก็ปลอดภัยดี”
“แฮ่ก ราฟาเอลา…”
ในฝันนั้นนางเห็นแม้กระทั่งภาพการตายของตนอีกครั้งอย่างแจ่มชัด แพทริเซียอดคิดไม่ได้ว่าหากเทพแห่งความฝันมีจริง เขาคงอยากจะฆ่านางให้ตายเพราะตอนนี้ร่างกายและจิตใจของนางเหนื่อยล้าเหลือเกิน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะนางเพิ่งประสบกับความโชคร้ายในความโชคร้ายก่อนการย้อนเวลาทั้งหมดอีกครั้ง ขณะที่แพทริเซียพยายามปรับสีหน้าที่ยังคงซีดขาวให้กลับเป็นปกติ มีร์ยาก็กลับเข้ามาพร้อมกับน้ำอุ่น
“เสวยน้ำก่อนเถอะเพคะ ฝ่าบาท ทำใจให้สงบนะเพคะ”
“ฮา…”
แพทริเซียยังคงหายใจแรงด้วยความตกใจและดื่มน้ำอึกๆ เหมือนเด็กเล็ก มีร์ยาและราฟาเอลาต่างมองด้วยความเป็นห่วง แพทริเซียอยากจะบอกพวกนางว่า ‘ไม่เป็นไร ออกไปเถอะ’ ดังเช่นทุกครั้งแต่นางก็ทำไม่ได้ดั่งใจนึก
“ฝันร้ายหรือเพคะ” มีร์ยาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“…ข้าคิดว่าอย่างนั้น”
“หม่อมฉันไปหาอะไรมาให้เสวยดีไหมเพคะ พวกของหวานต่างๆ…”
“ไม่ต้องหรอก ไม่เป็นไร”
หลังจากดื่มน้ำ แพทริเซียก็เริ่มตั้งสติได้ประมาณหนึ่งจึงกล่าวกับมีร์ยา
“ข้าอยากออกไปเดินเล่นคนเดียวสักหน่อย ขืนเป็นเช่นนี้คงนอนไม่หลับ”
“เสด็จพระองค์เดียวหรือเพคะ แต่ว่า…”
“ตอนนี้โรสมอนด์ไม่อยู่คงไม่มีอะไรหรอก ข้าไม่เป็นไร”
พูดจบ แพทริเซียก็โซเซลุกขึ้นจากเตียง จิตใจของนางได้รับความกระทบกระเทือนมากเกินไปจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่ ราฟาเอลารีบเข้ามาประคอง ส่วนมีร์ยาไปหยิบเสื้อคลุมขนสัตว์อย่างหนามาให้ แพทริเซียรับเสื้อคลุมมาสวมและเดินเนิบช้าออกจากห้องไป
“…”
แพทริเซียไปที่สวนดอกไม้แห่งนั้น สวนดอกไม้ที่เก็บรวบรวมทุกความรู้สึกของนางเอาไว้ แพทริเซียไม่ต้องการการปลอบโยนจากใคร ในที่แห่งนี้มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้จักความรู้สึกนี้ แพทริเซียเชื่อว่าการยืนจัดการอารมณ์คนเดียวท่ามกลางดอกไม้จะช่วยบรรเทาอารมณ์อันเศร้าสลดในตอนนี้ได้
“…”
เมื่อเดินมาถึงสวน น้ำตาของนางก็ไหลออกมาอย่างน่าประหลาด นางคิดถึงเปโตรนิยาเหลือเกิน ทว่า ตอนนี้เป็นเวลาดึกสงัด ทั้งม้าและคนขับรถม้าคงจะนอนหลับกันอยู่ จะปลุกพวกเขาขึ้นมาเพียงเพราะความรู้สึกประหลาดของนางก็คงไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นนางก็ไม่อยากเดินร้องไห้ไปจนถึงคฤหาสน์มาร์ควิสเพื่อปลุกเปโตรนิยาและทำให้ครอบครัวต้องเป็นห่วง นางอดทนไว้คนเดียวก็พอ ถึงอย่างไรตอนนี้เรื่องที่นางประสบพบเจอมามันก็กลายเป็นแค่อดีตไปหมดแล้ว
แพทริเซียเดินมาถึงสวนโดยไม่คิดจะเช็ดน้ำตา นางเห็นใครบางคนยืนอยู่ไกลๆ แสงจันทร์บางเบาทำให้มองไม่เห็นว่าคนผู้นั้นเป็นใคร แต่อย่างน้อยนางก็รู้ว่าเขาไม่ใช่นักฆ่า เพราะนักฆ่าคงไม่มีรูปร่างเช่นนั้น แพทริเซียเดินเข้าไปหาใครคนนั้นเงียบๆ เป็นลูซิโอนั่นเอง
“…จักรพรรดินี?”
เสียงของเขาดังกังวานในสวนดอกไม้ที่เงียบสงัด แพทริเซียเดินเนิบช้าเข้าไปหาอีกฝ่ายและตั้งปณิธานในใจว่า ไม่ว่าตนจะยากลำบางเพียงใดก็จะไม่ยอมให้เขากอดปลอบเด็ดขาด แสงจันทร์สลัวเช่นนี้ หากนางพยายามทำเสียงให้เป็นปกติก็คงจะมีเพียงเหล่าดอกไม้เท่านั้นที่รู้ว่านางร้องไห้
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
“…เจ้าร้องไห้หรือ”
พลาดแล้ว ให้ตายเถอะ
“เพคะ หม่อมฉันคิดว่าอย่างนั้น” นางตอบ
“ร้องก็บอกว่าร้องสิ คิดว่าอย่างนั้นนี่คืออะไร”
“นั่นสิเพคะ”
แพทริเซียตอบกลับด้วยน้ำเสียงว่างเปล่า และน้ำเสียงนั้นทำให้สีหน้าของลูซิโอแย่ลง
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” เขาถาม
“…เป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้วเพคะ นานเสียจนหม่อมฉันคิดว่าตัวเองลืมไปแล้ว”
แต่นางก็ยังคงจดจำ ช่างเป็นเรื่องที่โหดร้าย
“แต่ดูเหมือนหม่อมฉันจะยังจำได้นะเพคะ”
“คำว่าเวลาจะเยียวยาทุกอย่างนั้นโกหกทั้งเพ”
เพราะสำหรับเรามันเป็นเช่นนั้น ลูซิโอว่าพลางยื่นผ้าเช็ดหน้าสีขาวให้แพทริเซีย มันคือผ้าเช็ดหน้าผืนเดียวกับที่เขาเคยให้นางก่อนหน้านี้ นางรับผ้าผืนนั้นมาและค่อยๆ เช็ดน้ำตา เขายืนมองนางอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะฉวยผ้าเช็ดหน้าไปจากมืออย่างนุ่มนวลและช่วยเช็ดในส่วนที่นางไม่ได้เช็ด แพทริเซียอยากออกไปจากสถานการณ์นี้แต่ตอนนี้นางไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะทำเช่นนั้น หากจะพูดตามตรงก็คือแค่พาตัวเองมาถึงที่นี่ได้ด้วยสติในตอนนี้ก็น่าชื่นชมแล้ว
“ตอนนั้นเจ้าไม่เห็นร้องไห้ขนาดนี้เลย”
“…”
“คงเป็นความทรงจำที่เลวร้ายกว่าคราวนั้นกระมัง”
“เลวร้ายกว่าอย่างเทียบไม่ได้เลยเพคะ”
คนอย่างโรสมอนด์จะมาเทียบเปโตรนิยาได้อย่างไร แพทริเซียถามลูซิโอกลับด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์อย่างเคย
“แล้วฝ่าบาท…เสด็จมาที่นี่ทำไมหรือเพคะ”
ขณะที่ถามแพทริเซียก็รู้สึกหวั่นใจ แม้นางจะสงสัยว่าอาการชักของเขากำเริบอีกหรือไม่ แต่นางก็ไม่ได้คาดหวังให้เขาตอบ โชคดีที่ลูซิโอยิ้มพรายและให้คำตอบที่ดีกว่านั้น
“เราแค่นึกถึงเรื่องแย่ๆ ขึ้นมาน่ะ”
“…เรื่องเมื่อตอนนั้น…”
“เปล่า ไม่ร้ายแรงขนาดนั้น”
ถึงกระนั้นก็ยังเป็นความทรงจำที่ทรมาน ความทรมานนั้นไร้ขีดจำกัด เจ็บก็คือเจ็บ การแยกแยะว่าเจ็บน้อยหรือเจ็บมากจะมีความหมายอะไร
“ตอนนี้คงลำบากน่าดูเลยนะเพคะ” แพทริเซียเอ่ยเสียงค่อย
“อืม ลำบาก”
ถึงจะพูดออกมาอย่างนั้น แต่เขาก็ยังคงยิ้ม
“แต่เราชินแล้วล่ะ ดังนั้นเราจึงไม่เสียน้ำตาอีก”
“การชินกับความเจ็บปวดหมายถึงอะไรหรือเพคะ”
“หมายถึงการยอมรับความเจ็บปวดเป็นส่วนหนึ่งของเราน่ะสิ ความจริงแล้ว…” ลูซิโอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “มันคือการถูกความเจ็บปวดครอบงำ ถูกกลืนกินน่ะ”
“ฟังดูไม่ใช่เรื่องดีเลยนะเพคะ”
“ก็เป็นทางเลือกที่ดีกว่าถูกความทรมานทิ่มแทงจนต้องร้องครวญครางล่ะนะ”
จะเป็นเช่นนั้นหรือ แพทริเซียคิดว่านางคงไม่สามารถเข้าใจได้ถึงขนาดนั้นพร้อมทั้งเอ่ยปากถามลูซิโอ
“พระองค์ไม่เป็นไรใช่ไหมเพคะ”
“แล้วจักรพรรดินีเป็นอะไรหรือไม่”
“หม่อมฉันเป็นเพคะ”
แพทริเซียพูดออกมาตามตรง และนั่นทำให้ลูซิโอยิ้มออกมา
“นั่นสินะ พูดออกมาตรงๆ เช่นนี้ดีทีเดียว”
“หม่อมฉันอาจจะไม่ดีขึ้นอีกเลยตลอดชีวิตก็ได้เพคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก บาดแผลและความเจ็บปวดย่อมเป็นเช่นนั้นมาตั้งแต่แรก เป็นความทรงจำที่ไม่มีวันลืม และไม่มีวันลบออกไปได้”
“ฝ่าบาทตรัสเหมือนผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นเลยนะเพคะ”
“มันเป็นกลไกป้องกันตัวเองอย่างหนึ่งน่ะ”
“…”
แพทริเซียทำเป็นเปลี่ยนเรื่อง อาจเพราะรู้สึกว่าหัวข้อสนทนาไม่ควรลงลึกไปมากกว่านี้
“ฝ่าบาทไม่เป็นไรใช่ไหมเพคะ”
“บอกแล้วมิใช่หรือว่าเราชินแล้ว”
“หม่อมฉันมิได้ชอบฝ่าบาท แต่หม่อมฉันรู้สึกเสียใจกับเรื่องของฝ่าบาทนะเพคะ”
แม้ไม่รู้ว่านั่นเป็นความเจ็บปวดทั่วไปที่สามารถพูดว่าเสียใจได้หรือไม่ แต่แพทริเซียก็เลือกที่จะพูดออกไป
“อืม เราก็รู้สึกขอบคุณจักรพรรดินีในเรื่องนั้นนะ”
“…เพคะ?”แพทริเซียถามด้วยสีหน้างุนงง
“จักรพรรดินี คนโดยทั่วไปหากได้ฟังเรื่องเช่นนี้แล้วย่อมเป็นไปได้ยากที่จะทำตัวเหมือนเดิม พวกเขาจะขีดเส้น พยายามไม่ไปแตะต้องบาดแผลนั้น แม้นั่นจะเป็นเจตนาดี แต่บางทีมันอาจกลายเป็นการสร้างบาดแผลที่ใหญ่กว่าเดิมให้กับอีกฝ่ายก็เป็นได้” ลูซิโอตอบพลางยิ้มบางๆ
“…”
“ขอบคุณที่เจ้ายังคงเกลียดเราเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“…”
ทำไมถึงพูดเรื่องแบบนั้นออกมาด้วยรอยยิ้มล่ะ แพทริเซียเผลอกัดริมฝีปาก ไม่รู้ว่าเขาไม่เห็นหรือแสร้งทำเป็นไม่เห็น แต่ลูซิโอก็ถามต่อไปโดยไม่ได้พูดถึงท่าทีของนาง
“แล้วตอนนี้เจ้ารู้สึกดีขึ้นหรือยัง”
“คิดว่าดีขึ้นแล้วเพคะ”
แพทริเซียตอบส่งๆ และจ้องมองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า
ความทรมานทั้งหมดที่นางได้รับในตอนนี้ล้วนเกิดจากผู้ชายคนนี้ คนที่ส่งเปโตรนิยาไปสู่กิโยตีนก็คือผู้ชายคนนี้ คนที่ทำลายตระกูลของนางก็คือผู้ชายคนนี้ แต่นั่นล้วนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนที่นางจะย้อนเวลากลับมา ผู้ชายคนนี้ในตอนนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับเรื่องในตอนนั้นเลยสักนิด เพราะตอนนี้เขาไม่ได้ทำลายตระกูลของนางและไม่ได้ส่งเปโตรนิยาเข้าเครื่องกิโยตีน
แต่ถึงกระนั้นคนที่มอบบาดแผลให้นางก็คือผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านางคนนี้ แพทริเซียมีสีหน้าว้าวุ่นใจ นางติดกับดักแห่งความย้อนแย้งอันไม่มีที่สิ้นสุดเข้าเสียแล้ว ถ้าอย่างนั้นตอนนี้นางคิดจะบำบัดความเจ็บปวดด้วยผู้ชายที่เป็นต้นเหตุของความเจ็บปวดกระนั้นหรือ? คงไม่มีสถานการณ์ใดตลกร้ายไปมากกว่านี้อีกแล้ว
“ดูเหมือนเจ้าจะชอบสวนนี้ เห็นเจ้ามาที่นี่ตลอด”
“…เอ่อ” ในตอนนั้นเองแพทริเซียถึงได้หลุดจากภวังค์และเอ่ยตอบ “ที่นี่เป็นที่ที่พิเศษเพคะ”
“ที่นี่ก็พิเศษสำหรับเราเช่นกัน น่าแปลกนะ”
“…”
“พอถูกเสด็จแม่ตีเราก็จะมาร้องไห้ที่นี่ วันนั้นหลังจากเกิดเรื่อง เราก็มาทำร้ายตัวเองที่นี่”
แม้เนื้อหาในคำพูดจะโหดร้ายแต่น้ำเสียงของเขากลับไม่มีความรู้สึกใดๆ ผู้ชายคนนี้พูดออกมาโดยไม่รู้สึกอะไรเลยได้อย่างไรกัน แพทริเซียเห็นใจอีกฝ่าย อีกด้านหนึ่งนางก็รู้สึกเศร้าใจ บางทีดอกไม้ในสวนนี้อาจจะเติบโตมาด้วยน้ำตาของเขาก็เป็นได้
“เราเอาแต่พูดเรื่องน่าเบื่อหรือเปล่า เจ้ากลับไปเถอะ นี่ก็ดึกแล้ว”
“…เพคะ”
แพทริเซียตอบเช่นนั้นก่อนจะทำความเคารพและออกจากสวนไป ทว่า หูของนางกลับได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินตามมา เมื่อหันไปดูก็พบว่าเป็นลูซิโอ
“เสด็จตามหม่อมฉันมาทำไมหรือเพคะ” นางเอ่ยถาม
“เราไปส่งเจ้าที่ตำหนักน่าจะดีกว่า”
“หม่อมฉันไปคนเดียวได้เพคะ”
“เราเห็นว่ามันอันตราย ไยเจ้าถึงมาคนเดียวโดยไม่พาองครักษ์มาด้วย”
“เพราะหม่อมฉันอยากอยู่คนเดียวเพคะ” แพทริเซียปฏิเสธอย่างสุภาพ “เพราะฉะนั้นหม่อมฉันจะเดินไปคนเดียวเพคะ ฝ่าบาทเสด็จกลับตำหนักกลางเถอะเพคะ”
“…”
แพทริเซียพูดดังนั้นแล้วเดินจากไปด้วยความเร็วที่มากกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย ขณะที่เดินไปได้ราวๆ สิบก้าว แพทริเซียก็รู้สึกตัวว่าลูซิโอแอบตามมา แต่จะเข้าไปต่อว่าก็กระไรอยู่ นางจึงปล่อยให้เขาทำตามใจ สุดท้ายลูซิโอก็ยืนมองแพทริเซียเดินไปจนถึงตำหนักจักรพรรดินี และได้ยินเสียงราฟาเอลาพร่ำบ่นด้วยความเป็นห่วง จากนั้นเขาก็เดินกลับตำหนักกลางไป
***
โรสมอนด์มาถึงพระราชวังเร็วกว่าที่คาดไว้ เพราะนางเร่งคนขับรถม้าให้ไสม้าให้เร็วที่สุด นางจ่ายเงินให้คนขับรถม้าในจำนวนที่มากกว่าที่ตกลงไว้ ก่อนจะเดินเข้าไปในพระราชวังด้วยท่าทีมั่นอกมั่นใจกว่าตอนอยู่ที่คฤหาสน์บารอน หญิงสาวมุ่งตรงไปที่ตำหนักเวนของนางเป็นอันดับแรกโดยมีข้ารับใช้เพียงหยิบมือรอต้อนรับ
“กลับมาแล้วหรือคะ เลดี้โรสมอนด์”
“อืม ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม”
โรสมอนด์มั่นใจว่าจะได้ยินคำตอบ ‘เรียบร้อยดีค่ะ’ แต่ปฏิกิริยาของพวกนางกลับไม่เป็นอย่างที่คิด ครั้นเห็นข้ารับใช้มีสีหน้าลังเลไม่รู้จะทำอย่างไร โรสมอนด์ก็รับรู้ได้ในทันทีว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้น หญิงสาวเค้นถามพวกนางด้วยสีหน้าถมึงทึง
“อะไร เกิดอะไรขึ้น”
“เอ่อ…คือว่า…”
“รีบพูดมา”
ครั้นถูกโรสมอนด์ซักไซ้ด้วยท่าทีแข็งกร้าวตาวาว สุดท้ายเหล่าข้ารับใช้ก็เปิดปากฟ้องกันเซ็งแซ่ เมื่อโรสมอนด์รู้ว่าตำหนักจักรพรรดินีมีคำสั่งตัดค่าใช้ของตำหนักเวนลงครึ่งหนึ่งทั้งยังจำกัดการซื้อของฟุ่มเฟือย นางก็โกรธจนควันออกหู
เดิมทีแค่ความเครียดที่ได้รับมาจากคฤหาสน์บารอนและความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกลก็ทำให้โรสมอนด์อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว ในท้ายที่สุดโรสมอนด์ก็พุ่งตรงไปยังตำหนักจักรพรรดินีที่แพทริเซียอยู่โดยไม่แม้แต่จะเปลี่ยนชุด
“ฝ่าบาท เลดี้โรสมอนด์ขอเข้าเฝ้าเพคะ”
ได้ยินน้ำเสียงกระด้างของมีร์ยา แพทริเซียก็รับรู้ได้ทันทีว่าโรสมอนด์มาด้วยเรื่องอะไร
โรสมอนด์จ้องบารอนแดโรว์ด้วยสีหน้าคล้ายจะถามว่าอะไรล่ะ และบารอนแดโรว์ก็พูดกับโรสมอนด์ด้วยสีหน้าขลาดกลัว
“จะไม่จ่ายค่าเลี้ยงดูที่พวกข้าเลี้ยงเจ้ามาจนโตป่านนี้บ้างเลยรึ”
“…เฮอะ”
ค่าเลี้ยงดูอย่างนั้นรึ? โรสมอนด์เงียบคิด คนที่จิกหัวใช้ข้าเยี่ยงทาสมาตั้งแต่สิบขวบ คนที่ให้ข้าสวมแต่เสื้อผ้าปุปะ คนที่ปล่อยให้พี่ชายต่างแม่มาข่มขืนข้า คนเหล่านั้นคือใครกัน คนพรรค์นั้นยังกล้าที่จะมาทวงเงินที่เสียไปในตอนนั้นอีกอย่างนั้นรึ? โรสมอนด์ตะลึงกับความหน้าไม่อายของพวกเขาจนพูดไม่ออก แต่ทันใดนั้นบนใบหน้าของนางก็ปรากฏรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ หญิงสาวหันไปกระซิบกระซาบกับคลารา
“ได้ ต้องการสิ่งนั้นสินะ” โรสมอนด์ยิ้มกว้าง “น่าจะบอกกันตั้งแต่แรก มิเช่นนั้นข้าคงได้ไปจากที่นี่ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
ช่างน่าเสียดาย โรสมอนด์พูดต่อด้วยความเสียดาย
“ได้ เงินสินะ ได้สิ”
โธ่ เงื่อนไขในการลืมความโชคร้ายในวัยเด็กของข้าคือเงินหรอกหรือนี่ น่าจะบอกกันตั้งแต่แรกสิ ข้ามีเงินมากพอที่จะยัดลงคอของพวกเจ้าจนขาดอากาศหายใจตายเลยทีเดียว
โรสมอนด์กระชากเอกสารสละอำนาจปกครองบุตรจากมือของบารอเนสแดโรว์ นางยิ้มอย่างเย็นชาและรับถุงที่เต็มไปด้วยเหรียญทองจากคลารา จากนั้นก็โปรยใส่สองสามีภรรยาแดโรว์ เหรียญสีทองเหลืองอร่ามไหลออกจากปากถุงที่เปิดอยู่และกระเด็นไปถูกร่างของบารอนและบารอเนส โรสมอนด์กล่าวอำลาทั้งสองเป็นครั้งสุดท้ายด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น
“ขอให้อายุยืนยาวค่ะ บารอนและบารอเนส”
จงมีอายุยืนยาว จนกว่าจะถึงวันที่ข้าได้เป็นจักรพรรดินีและกลับมาทำลายพวกเจ้าให้สิ้นซาก
………………………………………………
ส่วนที่ 3 I feel different about you.
(ข้ารู้สึกกับท่านแปลกไป)
เช้าวันนั้นแพทริเซียรู้สึกเสียใจอย่างมากที่ตัวเองได้ฟังเรื่องในอดีตของลูซิโอเมื่อคืนวาน นางนั่งก้มหน้าด้วยสีหน้าลำบากใจ
“อา…หลังจากนี้ข้าจะมองหน้าเขาอย่างไร”
การรู้ความลับของเขาก็เท่ากับรู้จุดอ่อนของเขา แพทริเซียรู้จุดอ่อนของลูซิโอเข้าเสียแล้ว ปัญหาก็คือ ‘จุดอ่อน’ นั้นใช้ได้ผลกับนาง หากเป็นเมื่อก่อนนางคงเย็นชากับเขา แต่หลังจากได้ฟังเรื่องราวอันน่าขนลุกนั้น ดูเหมือนว่านางจะไม่สามารถปฏิบัติกับเขาอย่างเย็นชาได้อีกต่อไป แพทริเซียรู้สึกเสียใจ นางไม่น่าฟังที่เขาเล่าเลย
“ฝ่าบาท ทรงเป็นอะไรไปหรือเพคะ”
มีร์ยาซึ่งไม่รู้สถานการณ์เอ่ยถามขึ้น แต่แพทริเซียก็ปิดปากเงียบ มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงราชวงศ์ แม้อีกฝ่ายจะเป็นมีร์ยา แต่นางก็ยังต้องระมัดระวังที่จะพูดออกไป แพทริเซียได้แต่ส่ายหน้าเงียบๆ และอ้างว่าไม่ค่อยสบายตัว ครั้นมีร์ยาได้ฟังดังนั้นก็ตื่นตระหนกพลางกล่าวว่าจะไปต้มซุปมาให้ ระหว่างที่นางหายเข้าไปในห้องครัว นางกำนัลคนอื่นๆ ก็เข้ามาช่วยแพทริเซียแต่งตัวและเกล้าผมขึ้นอย่างงดงาม
“เอล่า เหลือเวลาอีกเท่าไรกว่าโรสมอนด์จะกลับมา”
เมื่อถูกถามกะทันหัน ราฟาเอลาที่ยืนดูแพทริเซียแต่งองค์ทรงเครื่องอยู่ข้างๆ ก็ทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนจะตอบ
“ไม่รู้สิ ตอนนี้น่าจะเดินทางออกจากหัวเมืองแล้วกระมัง บารอนีของบารอนแดโรว์ค่อนข้างไกลจากพระราชวัง กว่าจะมาถึงคงใช้เวลาเกือบๆ หนึ่งสัปดาห์”
จะว่านานก็นาน แพทริเซียพึมพำ ในขณะเดียวกันมีร์ยาก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมซุปฟักทองในมือ แพทริเซียรู้สึกผิดเล็กน้อยเพราะที่นางบอกว่ารู้สึกไม่ค่อยสบายนั้นเป็นเรื่องโกหก แต่นางก็ไม่ได้แสดงอาการออกไป เพียงแต่ยิ้มน้อยๆ และกล่าวขอบคุณ
“มีร์ยา ข้าคงต้องคำนวนค่าใช้จ่ายสำหรับตำหนักเวนเสียใหม่”
แพทริเซียตักซุปเข้าปากคำหนึ่งก่อนจะพูดราวกับเป็นเรื่องทั่วไป ซึ่งมีร์ยาก็เห็นด้วยอย่างมาก
“หม่อมฉันก็คิดเช่นนั้นเพคะ ตอนนี้นางเป็นเพียงเลดี้ธรรมดาแล้ว หาใช่บารอเนสอีกต่อไป”
“นั่นสิ ช้าไปมากทีเดียว เช่นนั้นก็ลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยและรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกจากเดิมครึ่งหนึ่ง ถึงอย่างไรตอนนี้ตำหนักเวนก็เหลือข้ารับใช้อยู่ไม่มากแล้ว คงไม่เป็นไรหรอกกระมัง”
“เพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันจะรีบดำเนินการให้เร็วที่สุด”
แพทริเซียยิ้มกว้างพลางพยักหน้า นางรู้สึกว่าเรื่องรอบตัวเริ่มเข้าที่เข้าทางบ้างแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงวางใจไม่ได้ เพราะโรสมอนด์หาใช่เหยื่อที่เคี้ยวง่าย ความสบายใจเล็กๆ น้อยๆ ที่รู้สึกได้ในตอนนี้อาจเป็นเพียงสิ่งที่นางคิดไปเองเพราะผู้หญิงคนนั้นไม่ได้อยู่ตรงหน้าก็เป็นได้
แพทริเซียคิดว่าคราวนี้รีบชิงลงมือก่อนที่อีกฝ่ายจะวางแผนทำอะไรก็ไม่เลว แม้จะต้องเสี่ยงตายก็ช่วยไม่ได้ นางไม่จำเป็นต้องรักษาเกียรติกับคนที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี
“งานรำลึกวันสถาปนาจักรวรรดิเตรียมการไปถึงไหนแล้ว”
“เกือบจะเรียบร้อยดีแล้วเพคะ ฝ่าบาท ตอนนี้เหลือเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น”
มีร์ยากล่าวดังนั้น ก่อนจะฉีกยิ้มพลางพูดต่อ
“ขอแสดงความยินดีด้วยเพคะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพระองค์น่าจะทรงพักผ่อนได้บ้างแล้ว หมู่นี้ฝ่าบาททรงงานหนักจนหม่อมฉันกังวลเหลือเกินว่าพระองค์จะประชวรไปเสียก่อน”
“โชคดีที่ข้าแข็งแรงมาตั้งแต่เกิด”
พูดจบ แพทริเซียก็หัวเราะแห้งๆ ขนาดดูดพิษเข้าไปนางยังรอดมาได้ อย่างน้อยนางก็ต้องได้รับการยอมรับในเรื่องความแข็งแกร่งของร่างกายแล้วล่ะ แพทริเซียทานซุปจนหมดก่อนจะพูดขึ้นมาลอยๆ
“เช่นนั้นวันนี้แวะไปหอสมุดสักหน่อยดีกว่า”
หลังจากการปรากฏตัวของโรสมอนด์ในครานั้น นางก็รู้สึกแย่กับหอสมุดจึงไม่ได้ไปที่นั่นมานานมากแล้ว ในเมื่อตอนนี้โรสมอนด์ไม่อยู่ แพทริเซียยิ้มอย่างพึงใจพลางก้าวเดินเนิบๆ
แสงแดดไม่ร้อนอย่างที่คิดทำให้แพทริเซียเพลิดเพลินกับความสดชื่นในรอบหลายวัน
เมื่อเข้ามาในหอสมุด บรรณารักษ์ที่ไม่ได้พบกันหลายเดือนก็เข้ามาทำความเคารพทันที แพทริเซียเดินตรงไปยังหมวดหนังสือวิทยาศาสตร์เพื่อหาหนังสือที่นางอยากอ่านมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ แต่ก็ผัดวันเรื่อยมา
ยามว่างเช่นนี้สีหน้าของหญิงสาวดูผ่อนคลายยิ่งกว่าเวลาไหนๆ เมื่อพบหนังสือที่ต้องการ นางก็พึมพำออกมาอย่างยินดี
“อ๊ะ เจอแล้… เอ่อ”
ความยินดีนั้นคงอยู่ได้ไม่นาน คนที่อยู่ตรงหน้านางตอนนี้คือลูซิโอ ท่ามกลางชั้นหนังสือมากมายในหอสมุดอันกว้างใหญ่แห่งนี้นางกลับพบเขาที่นี่ แพทริเซียได้แต่ยืนกะพริบตาปริบๆ ด้วยความความตกใจ เหตุใดคนผู้นี้จึงมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้…? แพทริเซียตกใจจนลืมว่าต้องทำความเคารพและได้แต่ยืนเหม่อ ลูซิโอจึงเป็นฝ่ายทักก่อน
“จักรพรรดินี”
“อ๊ะ…”
“เจ้าดูตกใจมากทีเดียว”
เขาว่าพลางหัวเราะเบาๆ ในตอนนั้นเองแพทริเซียจึงได้สติและทำความเคารพอีกฝ่าย
“ถวายบังคมฝ่าบาท ราชันและสุริยันแห่งจักรวรรดิ ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ”
“เหมือนเดิมเลยนะ”
เขามองแพทริเซียที่ทำความเคารพอย่างไร้ที่ติและพึมพำด้วยสีหน้าขมขื่น แพทริเซียกัดริมฝีปากเงียบๆ ด้วยรู้สึกไม่ชอบใจสีหน้านั้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่หรือ” ลูซิโอเอ่ยถาม
“หม่อมฉันว่าจะมาอ่านหนังสือสักหน่อยเพคะ”
นางละประโยค ‘นานๆ ทีโรสมอนด์จะไม่อยู่’ เอาไว้ แม้นางจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับเขา แต่สำหรับโรสมอนด์นั้นน่าตะขิดตะขวงใจยิ่งกว่า ทว่า ลูซิโอก็พูดราวกับเขาล่วงรู้ความคิดของนาง
“นางไม่มาที่นี่แล้วล่ะ เจ้าคงไม่ต้องรู้สึกลำบากใจที่จะมาที่นี่แล้ว”
“ฝ่าบาททรงทราบรายละเอียดดีจริงๆ เพคะ”
ให้ตายเถอะ แพทริเซียประชดประชัน ในขณะที่ลูซิโอหน้าเจื่อน ตราบใดที่เขาไม่จัดการความสัมพันธ์ระหว่างเขากับผู้คนหญิงคนนั้นให้เรียบร้อย นางกับเขาก็คงต้องเป็นเช่นนี้ต่อไป แพทริเซียถอนหายใจออกมา กับโรสมอนด์นางแค่รับมือด้วยการปรามาสและความเกลียดชังดังเช่นที่ผ่านมาก็พอแล้ว แต่ปัญหาของนางกับผู้ชายตรงหน้านี้ไม่อาจแก้ได้ด้วยหลักการง่ายๆ เช่นนั้น สำหรับนาง เขาคือความซับซ้อนอย่างแท้จริง
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นสามีของนาง แม้ว่าเขาจะมีอนุภรรยาอย่างไร้ยางอายก็ตาม และหากจะพูดกันตามจริง การที่จักรพรรดิมีอนุภรรยาก็มิใช่เรื่องเสียหาย หากเรื่องมีเพียงเท่านั้น นางคงใช้ความอับอายเป็นข้ออ้างในการเกลียดเขาสุดขั้วหัวใจได้ แต่ในเมื่อนางรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับโรสมอนด์แล้ว นางจึงทำใจลำบาก ถึงอย่างไรมันก็เป็นเรื่องยาก หากนางได้พบเขาก่อนโรสมอนด์จะเป็นอย่างไรนะ? แพทริเซียคิดเช่นนั้นแม้มันจะไร้สาระก็ตาม
“หากเจ้าไม่สะดวกใจ เช่นนั้นเราจะออกไป”
“ไม่ต้องทำเช่นนั้นหรอกเพคะ”
แพทริเซียไม่อยากให้อีกฝ่ายจับได้ว่านางกำลังใส่ใจเขา นางจึงตอบไปห้วนๆ และหาหนังสือต่อ คำตอบที่ดีที่สุดคือจะทำอะไรก็รีบทำให้เสร็จแล้วกลับตำหนักจักรพรรดินี แพทริเซียตั้งอกตั้งใจหาหนังสือเสียจนไม่รู้ตัวว่าลูซิโอกำลังจ้องนางเขม็ง
แม้จะรู้สึกผิดกับความคิดนี้ของตน แต่ลูซิโอก็นึกขอบคุณแพทริเซีย โดยธรรมชาติแล้วหากใครได้ฟังเรื่องเช่นนั้น ก็มักจะปฏิบัติกับเจ้าของเรื่องแบบพิเศษ แต่คำว่า ‘พิเศษ’ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการปฏิบัติตัวดีขึ้น แต่เป็นการเพิ่มความระมัดระวังเสียมากกว่า เมื่อได้ฟังเรื่องราวเช่นนั้น คนส่วนใหญ่จะระมัดระวังในการเข้าหาคนผู้นั้น ราวกับอีกฝ่ายเป็นขวดแก้วที่เพียงแค่แตะแรงๆ ก็แหลกสลายได้
แต่แพทริเซียไม่ได้ทำเช่นนั้น ลูซิโอกลับรู้สึกว่านั่นคือความพิเศษ อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเรื่องที่ควรจะขอบคุณไม่ผิดแน่ ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกผิดต่อนางพอๆ กับที่รู้สึกขอบคุณ
“เหตุใดจึงมองหม่อมฉันเช่นนั้นหรือเพคะ”
ในตอนนั้นเองแพทริเซียก็รู้สึกถึงสายตาของเขาจึงเอ่ยปากถาม สีหน้าแปลกๆ นั้นเด่นชัดไร้มลทิน เขายิ้มบางๆ พลางตอบ
“หากทำให้รู้สึกไม่ดีต้องขอโทษด้วย”
“เปล่า คือ…”
นางไม่คิดว่าเขาจะตอบเช่นนี้ แพทริเซียรู้สึกแปลกๆ คล้ายว่าตัวเองทำอะไรผิด นางกระแอมไอและกลับไปสนใจกับการหาหนังสืออีกครั้ง ทันใดนั้นแววตานางก็เป็นประกาย
“อ๊ะ เจอแล้ว”
แพทริเซียเผลอพึมพำออกมาก่อนจะเขย่งเท้ายืดตัวเพื่อหยิบหนังสือที่อยู่บนชั้นสูง แต่เพราะชั้นหนังสือนั้นสูงเกินไป มือของนางจึงแตะถูกแตะไม่ถูกอยู่อย่างนั้น ในตอนนั้นเองนางก็ฉวยหนังสือเล่มหนึ่งไว้ได้แต่การกระทำนั้นกลับสะเทือนไปถึงหนังสือเล่มอื่นๆ ทำให้หนังสือจำนวนหนึ่งร่วงลงมาจากชั้นพร้อมกัน แพทริเซียหลับตาแน่นโดยไม่รู้ตัว
ทำไมถึงเก็บหนังสือไว้บนชั้นที่สูงขนาดนั้น แล้วคนตัวเล็กๆ จะหยิบมาอ่านได้อย่างไร!
“อึก…”
ทว่า เสียงที่นางได้ยินกลับเป็นเสียงร้องของคนอื่น แพทริเซียค่อยๆ ลืมตาที่ปิดแน่น ภาพตรงหน้าทำให้นางมองลูซิโออย่างไม่เชื่อสายตา
“ฝ่าบาท…?”
“อึก…ระวังด้วยสิ”
ลูซิโอใช้แขนข้างหนึ่งกันหนังสือที่ร่วงลงมาใส่นาง จากนั้นเขาก็หยิบหนังสือกลับขึ้นไปเก็บบนชั้นทีละเล่ม เขาดูปกติดีแม้จะรับแรงกระแทกจากหนังสือทั้งหมดนั้นไว้ แต่แพทริเซียก็ถามออกไปด้วยความเป็นห่วง
“ฝะ ฝ่าบาท ทรงเป็นอะไรไหมเพคะ”
“ไม่เป็นไร”
บอกตามตรงว่าเขาเจ็บมาก แต่เขาไม่คิดจะพูดออกไป หากบอกไปว่าเจ็บ ใบหน้าเล็กๆ ของผู้หญิงที่แสนใจดีคนนี้คงจะขมวดยุ่งพลางแสร้งทำเป็นไม่สนใจแต่ก็ห่วงใยเขา แม้นางจะเกลียดเขาถึงเพียงนั้น แต่สุดท้ายนางก็เป็นผู้หญิงแสนดีอย่างน่าเศร้าที่คอยเป็นห่วงเขา
“จักรพรรดินีเป็นอะไรไหม”
“…หม่อมฉันไม่เป็นอะไรเลยเพคะ แต่ฝ่าบาททรงไม่เป็นไรจริงๆ หรือเพคะ”
“เราบอกว่าไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก”
หนังสือที่หญิงสาวกำลังตามหาตกอยู่ตรงหน้า ลูซิโอหยิบหนังสือเล่มนั้นยื่นมาให้ แพทริเซียรับหนังสือมาอย่างงงๆ ยังไม่ทันได้กล่าวขอบคุณเขาก็เดินไปที่ประตูทางออกเสียก่อน ลูซิโอรับการคำนับของนางกำนัลตำหนักจักรพรรดินีอย่างไม่ใส่ใจ แพทริเซียมองภาพนั้นพลางพึมพำออกมา
“…ชอบทำให้คนอื่นเป็นห่วงเสียจริง”
“ฝ่าบาท เมื่อครู่เสียงดังทีเดียว ทรงเป็นอะไรไหมเพคะ”
เมื่อกลับมาถึงตำหนักจักรพรรดินีมีร์ยาก็เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ข้าไม่เป็นไร คนบาดเจ็บน่าจะเป็นฝ่าบาทมากกว่า” แพทริเซียตอบเสียงเบา
“พระจักรพรรดิหรือเพคะ”
“ใช่ พระองค์ทรงรับหนังสือที่ตกลงมาแทนข้า”
ทำให้คนเขาเป็นห่วง แพทริเซียทำสีหน้าไม่ชอบใจ มีร์ยาสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจของแพทริเซียก่อนใคร นางเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“ฝ่าบาท เช่นนั้นตามหมอหลวงหรือยังเพคะ”
“คงไม่กระมัง”
เขาไม่ได้รักร่างกายของตัวเองเท่าไร เมื่อคิดถึงตรงนี้แพทริเซียก็รู้สึกหดหู่ขึ้นเล็กน้อยกับเรื่องราวเบื้องหลังที่ส่งผลให้เขาเป็นเช่นนั้น นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดกับมีร์ยา
“มีร์ยา”
“เพคะ ฝ่าบาท”
“อย่างไรข้าก็รู้สึกว่าต้องเรียกหมอหลวง ถึงจะเป็นแค่หนังสือไม่กี่เล่ม แต่ขนาดก็หนาเอาการ ปล่อยไว้ไม่ได้ เผื่อเป็นอะไรขึ้นมา”
“เพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันจะส่งหมอหลวงไปที่ตำหนักกลางเพคะ”
มีร์ยาจับความนัยในคำพูดของแพทริเซียได้ นางเดินยิ้มออกจากห้องไป เมื่อเหลือแพทริเซียอยู่ในห้องเพียงคนเดียว สีหน้าของนางก็ผ่อนคลายลงราวกับคนที่เพิ่งปลดเปลื้องภาระทางใจ แน่นอนว่าตัวนางเองไม่ทันได้สังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงนั้น
“ลูกพ่อ”
โรสมอนด์รู้สึกขนลุกกับสรรพนามที่บารอนแดโรว์ใช้เรียกนาง ลูก? เฮอะ ลูกอย่างนั้นหรือ เจ้าคนน่ารังเกียจ… หากพระเจ้ามีจริงข้าก็อยากจะถามนัก ว่าตอนสร้างผู้ชายคนนี้ขึ้นมาพระองค์ทำจิตสำนึกกับความละอายใจของเขาหล่นหายที่ใดหรือไม่ โรสมอนด์เขม้นมองบารอนแดโรว์ด้วยท่าทีดูแคลน
“ท่านเสียสติไปแล้วหรือ บารอน” นางว่า
“พ่อไม่ได้บ้า ลูกพ่อ”
อารมณ์ของโรสมอนด์สับสนวุ่นวาย ราวกับคู่สามีภรรยาแดโรว์เกิดมาเพื่อปั่นประสาทนางโดยเฉพาะ ใจนางอยากจะฆ่าพวกเขาให้หมดแล้วออกไปจากที่นี่เสีย แต่หากทำเช่นนั้น นางคงมิอาจรับมือกับสิ่งที่ตามมา บารอนแดโรว์กล่าวด้วยรอยยิ้มราวกับเขาเล็งเห็นจุดนั้น
“ลูกพ่อ เจ้าเป็นลูกสาวคนสำคัญของพ่อจริงๆ”
“…”
“ไยเจ้าจึงคิดจะตัดญาติขาดมิตรกันเล่า การลงโทษของพระเจ้านี้…”
“การลงโทษของพระเจ้า!” โรสมอนด์ระเบิดเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะออกมา “พูดได้ดีนี่ การลงโทษของพระเจ้า…การลงโทษของพระเจ้าอย่างนั้นรึ!”
ครั้นตวาดออกไปแล้ว แววตาของโรสมอนด์ก็เย็นเยียบลงในขณะที่พึมพำ
“จะว่าไปแล้ว เจ้าบรูเชนกานั่นเป็นอย่างไรบ้างล่ะช่วงนี้”
“…”
บรูเชนกาเป็นทายาทเพียงคนเดียวของบารอนและบารอเนสแดโรว์ เขาเป็นบุตรเขยที่แต่งเข้าตระกูลไวเคานต์ โรสมอนด์ยิ้มเยาะพลางกล่าว
“ภรรยาของมันรู้หรือไม่ ว่ามันเคยขืนใจน้องสาวต่างมารดา”
“โรสมอนด์!”
“บอกว่าอย่าเรียกชื่อข้า!”
โรสมอนด์ตวาดอย่างเหลืออด ทำเอาสองสามีภรรยาผงะถอยหลัง ในที่สุดนางก็ต้องพูดถึงเรื่องต้องห้ามของตนออกมา โรสมอนด์คำรามในลำคออย่างดุร้าย
“ใจข้าอยากจะฉีกพวกท่านออกเป็นชิ้นๆ อยากให้พวกท่านตายด้วยวิธีที่ทรมานเกินจะบรรยาย”
“…”
“ใช่ว่าข้าจะทำไม่ได้ แต่ข้าไม่ทำ เพราะข้าไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับพวกท่านอีกแล้ว เพราะฉะนั้น เซ็นเอกสารนี่เสียตอนที่ข้ายังพูดดีๆ”
“…”
“หากพวกท่านไม่เซ็น ข้าก็มิอาจรับประกันว่าข้าจะทำอะไรกับพวกท่านบ้าง”
“…”
“เร็วสิ!”
เมื่อโรสมอนด์ขึ้นเสียง บารอนแดโรว์ก็รับคำอย่างใจเย็น
“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว”
สีหน้าของเขาดูไม่พึงใจเท่าใดนัก ย่อมเป็นเช่นนั้น ถึงอย่างไรนางก็เป็นลูกสาวแท้ๆ ของเขา การที่นางได้เป็นผู้หญิงที่จักรพรรดิรักและให้ความเอ็นดูทำให้เขายืดอกได้อย่างเต็มภาคภูมิ เพียงคิดถึงเรื่องนั้น โรสมอนด์ก็อยากจะให้จักรพรรดิเกลียดตนและอยากตายไปเสีย
“แต่วันนี้ค้างที่นี่สักคืนแล้วค่อยไปเถอะ”
บารอนแดโรว์ขอร้องด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่นั่นเป็นเพียงคำพูดไร้สาระสำหรับโรสมอนด์เท่านั้น
“ไยข้าต้องทำเช่นนั้นล่ะคะ”
นางไม่มีความรู้สึกว่าอยากจะอยู่ในบ้านที่สกปรกโสมมอันเป็นที่ที่นางถูกบังคับขืนใจนี้สักนิด ให้นอนข้างถนนยังจะดีเสียกว่า
บารอนแดโรว์รีบอธิบายต่อราวกับอ่านใจได้ “ถึงอย่างไรนี่ก็มืดค่ำแล้ว ออกเดินทางตอนนี้ก็ลำบาก เจ้าต้องคิดถึงม้าด้วยสิ”
“…”
“ค้างสักคืนแล้วค่อยไปเถอะ อย่างไร…นี่ก็เป็นคืนสุดท้ายที่เราจะเป็นพ่อลูกกันมิใช่หรือ”
“เฮอะ”
พ่อลูกอย่างนั้นรึ ท่านเคยเห็นข้าเป็นลูกด้วยรึ โรสมอนด์เขม้นมองสองสามีภรรยาแดโรว์ด้วยสายตาเหยียดหยามก่อนจะเดินตึงตังขึ้นชั้นบนไปยังที่ของนาง ที่ที่นางเคยปฏิญาณไว้ตอนที่ตัดสินใจออกจากบ้านหลังนี้ว่าจะไม่กลับมาเหยียบอีกเป็นครั้งที่สอง
โรสมอนด์ปิดประตูเสียงดังก่อนจะทรุดตัวลงนั่งในห้องโทรมๆ ของตน หลังจากประสบกับเรื่องนั้นนางก็มาร้องไห้อยู่ในห้องนี้เงียบๆ ด้วยความโศกเศร้าและหวาดกลัว แต่ตอนนี้ไม่มีสาวน้อยที่บอบบางและอ่อนต่อโลกคนนั้นอีกต่อไป เหลือเพียงนางมารร้ายที่มักใหญ่ใฝ่สูงและทะเยอทะยานเท่านั้น โรสมอนด์จ้องมองภายในห้องด้วยสายตาเย็นชา ทั้งๆ ที่เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำในวัยเด็ก แต่นางกลับรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา
“…”
นางเชื่อว่าตนมีชีวิตวัยเด็กที่แสนโชคร้าย แม้ว่าบารอนแดโรว์จะเป็นบิดาผู้ให้กำเนิด แต่บารอเนสแดโรว์นั้นมิใช่ มารดาผู้ให้กำเนิดนางเป็นหญิงโสเภณี นางเป็นชีวิตที่เกิดมาจากการเริงรักชั่วข้ามคืนของพวกเขา
‘ลืมมันไปเสียได้ก็คงจะดี’
โรสมอนด์หัวเราะอย่างขมขื่น แม่แท้ๆ ที่นางเกลียดไม่ลงถูกบารอเนสแดโรว์ที่ตามืดบอดด้วยความหึงหวงสังหารในภายหลัง โดยมีบารอนแดโรว์เฝ้ามองอย่างเงียบๆ อยู่เบื้องหลัง ตอนนั้นนางอายุได้สิบปี หลังจากที่มารดาถูกฆ่าตาย นางก็ถูกรับเข้าตระกูลแดโรว์ในฐานะบุตรสาวที่เกิดจากโสเภณีที่จะเรียกว่าอนุภรรยาก็กระดากปาก
‘ข้าควรจะตายไปเสียตั้งแต่ตอนนั้น’
หากนางตายไปเสียตั้งแต่ตอนนั้น ความโกรธแค้นในตอนนี้จะหายไปหรือไม่ ความโศกเศร้าและความชั่วร้ายที่หยั่งรากลึกอยู่ตอนนี้คงจะไม่เกิดขึ้นใช่ไหม เห็นได้ชัดว่านางไม่อาจก้าวข้ามความเสียใจไปได้ และในความเป็นจริงก็ไม่มีวิธีใดที่จะย้อนเวลากลับไป
***
“ได้ยินว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่พี่ชายของโรสมอนด์มองนางเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง”
ลูซิโอพูดต่อไปอย่างเป็นปกติ “สุดท้ายก็เกิดเรื่อง พี่ชายขืนใจน้องสาวต่างมารดา บารอเนสแดโรว์รู้ทั้งรู้แต่ก็ยังปิดปากเงียบ คงคิดว่าเป็นเรื่องน่าอับอายกระมัง”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงขมขื่น ในขณะที่แพทริเซียนั้นพูดไม่ออกไปชั่วขณะ นางเคยคิดว่าบนโลกจะมีใครที่โชคร้ายเหมือนนางอีกหรือไม่ แต่แล้วก็มีลูซิโอ และเมื่อนางคิดว่าจะมีใครโชคร้ายเหมือนลูซิโออีกหรือไม่ ก็ยังมีโรสมอนด์ จู่ๆ แพทริเซียก็รู้สึกหนักใจขึ้นมา ผู้หญิงคนนั้นน่ารังเกียจ แพทริเซียเกลียดนาง แต่ในขณะเดียวกัน แพทริเซียก็เห็นใจนางด้วยเช่นกัน
“ตอนนั้นนางถึงกับอยากตายเลยทีเดียว”
ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น แพทริเซียหลับตาลงด้วยสีหน้าหวาดหวั่นราวกับว่าแค่คิดนางก็รู้สึกขนลุกแล้ว ครู่หนึ่งให้หลังนางก็เอ่ยปากถาม
“…แล้วนางมาพบกับฝ่าบาทได้อย่างไรหรือเพคะ”
“บังเอิญน่ะ”
ใช่ มันเป็นเรื่องบังเอิญ แม้ว่าตอนนี้เมื่อลองคิดทบทวนดูแล้วจะรู้สึกว่าเรื่องนั้นก็อาจเป็นการจัดฉากด้วยเหมือนกัน แต่สำหรับลูซิโอ เรื่องในตอนนั้นเป็นเรื่องบังเอิญไม่ผิดแน่ หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีชมพูดงดงามที่บังเอิญได้พบระหว่างการเดินทางอันแสนยาวไกล เรื่องราวที่เขาได้รับรู้ การแบ่งปันความเจ็บปวดของชีวิตในวัยเด็กที่น่ากลัวและน่าเวทนาร่วมกัน
โรสมอนด์เป็นคนฉลาด นางลองเสี่ยงดวงเพื่อจะเปลี่ยนชีวิตของตัวเอง นางหอบเอาบาดแผลของตนมาขายให้กับลูซิโอเพื่อแลกกับความเห็นอกเห็นใจของจักรพรรดิ ไม่เพียงเท่านั้น นางยังแทรกซึมเข้าไปในบาดแผลของลูซิโออย่างชำนาญ จากนั้นก็ทำเป็นปลอบใจเขาและทำให้เขาต้องหันไปพึ่งพานาง ราวกับว่ามีเพียงนางเท่านั้นที่เข้าใจบาดแผลอันน่าสะเทือนใจที่เขาซุกซ่อนไว้ ราวกับว่านางเป็นคนเดียวที่จะเข้าใจและยอมรับเขาได้
ความบอบช้ำทางจิตใจของเขาเปรียบดั่งข้อเท้าของอะคิลีส[1]ที่ทำให้เขาอ่อนแอที่สุด ด้วยเหตุนี้อุบายของโรสมอนด์จึงประสบความสำเร็จ ลูซิโอหลงใหลนางอย่างมิอาจห้ามใจ มีผู้หญิงมากมายเปลื้องผ้าต่อหน้าเขา มีผู้หญิงมากมายยั่วยวนเขา แต่ไม่มีผู้หญิงคนใดเหมือนโรสมอนด์
นอกจากนี้ เรื่องที่นางมีบาดแผลทางใจอันใหญ่หลวงเหมือนกับเขายังกลายเป็นกลไกป้องกันที่ทำให้ลูซิโอไม่สามารถทอดทิ้งโรสมอนด์ได้ โรสมอนด์มั่นใจว่าลูซิโอไม่มีทางทอดทิ้งตนซึ่งมีแผลใจมากมายเด็ดขาด และโดยรวมแล้วความคิดของโรสมอนด์ก็ถูกต้อง
ครั้นฟังลูซิโอพูดจนจบ แพทริเซียก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะด้วยความสะเทือนใจ นี่คือธาตุแท้ของสายสัมพันธ์อันเหนียวแน่นที่ยากจะอธิบายของพวกเขา บาดแผลในวัยเด็กที่น่ากลัวและน่าสะเทือนใจที่บุตรีตระกูลขุนนางชั้นสูงเช่นนางมิอาจมีได้ ลูซิโอคิดว่าคนที่เติบโตมาอย่างเป็นปกติคงไม่มีวันเข้าใจตน
ความจริงแล้วสิ่งที่เขาพูดก็มิได้ผิดไปเสียทีเดียว แพทริเซียไม่อาจเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ เพราะนางไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นเลยสักครั้ง ทว่า โรสมอนด์เองก็เช่นกันมิใช่หรือ ไม่ว่าใครก็ตาม หากไม่เคยผ่านประสบการณ์เดียวกันกับอีกฝ่ายย่อมไม่มีทางเข้าใจได้อย่างแท้จริง
ทว่า โรสมอนด์ก็แค่หัวใสนิดหน่อยเท่านั้น ทำราวกับว่าตัวนางแตกต่างจากคนอื่น ราวกับว่ามีเพียงนางคนเดียวที่เข้าใจเขาทุกอย่าง แต่ถึงกระนั้นการที่ลูซิโอตกหลุมพลางของฝ่ายนั้นก็มิใช่เรื่องเลวร้าย เขาเพียงแต่ต้องการคนที่เข้าใจ คนที่พูดได้ว่านั่นไม่ใช่ความผิดของเขา คนที่ช่วยแบ่งเบาภาระอันหนักอึ้งในใจแม้เพียงน้อยนิด
“เราสงสารนาง เช่นเดียวกับที่นางสงสารเรา”
“…”
“ดังนั้น เราจึงถือว่านางเป็นหนึ่งเดียวกับเรา และนั่นคือเหตุผลที่เราทิ้งนางไม่ได้”
“…”
แพทริเซียเข้าใจ แม้จะน่าหงุดหงิดก็ตาม และหากจะพูดกันตามตรงแล้วนางก็ไม่ได้อยากจะเข้าใจ แต่นางก็ไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้เข้าใจได้ หากนางเป็นเหมือนโรสมอนด์หรือลูซิโอ นางเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตนจะไม่ทำเช่นนั้น
“ผู้หญิงคนนั้น…ฝ่าบาททรงรักนางหรือไม่เพคะ”
“…”
หากเป็นเมื่อก่อนลูซิโอคงตอบอย่างไม่ลังเลว่า ‘ใช่’ แต่น่าแปลกที่ตอนนี้เขาไม่อาจขยับปากพูดได้โดยง่าย เขารัก เขาเคยรักนางอย่างแน่แท้ แต่ตอนนี้ล่ะ? ตอนนี้เขายังรักนางอยู่หรือไม่?
ก่อนจะแต่งงานกับแพทริเซีย บางครั้งเขาก็เคยนึกสงสัย นางรักข้าจริงหรือ? ข้ารักนางจริงหรือ? ระหว่างพวกเราเป็นเพียงความสงสารหรือความรักกันแน่ หากเป็นความสงสารแล้วจะมองว่ามันเป็นความรักได้หรือไม่
ครั้งหนึ่งเขาเคยเชื่อว่าความสงสารคือความรัก แต่เมื่อได้สัมผัสกับเบื้องหลังของนาง ความเชื่อที่มีก็เริ่มเกิดรอยร้าว และมาถึงตอนนี้ลูซิโอกำลังคิดว่าเขา ‘ไม่แน่ใจ’ เขาไม่เคยเคลือบแคลงในความน่าสงสารของนาง ตอนนี้เขาก็ยังคงสงสารนางอยู่ แต่เขารักนางจริงๆ อย่างนั้นหรือ? นางเองก็รักเขาจริงๆ อย่างนั้นหรือ? ความรู้สึกระหว่างพวกเราสองคนเป็นความรู้สึกที่แท้จริงอย่างนั้นหรือ?
“นั่นสิ” ด้วยเหตุนั้นเขาจึงตอบออกไปอย่างกำกวม “เราเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
“…”
มันเป็นความรักที่เริ่มมาจากความสงสาร ความเมตตาหรือความเห็นอกเห็นใจนั้นไม่ยั่งยืน เป็นเพียงความรู้สึกชั่วครั้งชั่วคราว จึงไม่แปลกที่เขาจะรู้สึกสับสน และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือความเป็นไปได้ที่โรสมอนด์จะรักเขาก็มีไม่มาก อย่างน้อยแพทริเซียก็คิดเช่นนั้น
เพราะฉะนั้น แพทริเซียเอ๋ย เจ้าเองก็ต้องระวังให้ดี ความรักที่เกิดจากความสงสารนั้นไม่ยืนยาว หากไม่แยกแยะระหว่างความรักกับความสงสาร เจ้าเองก็จะโชคร้ายไปด้วย
***
วันรุ่งขึ้นโรสมอนด์ตื่นขึ้นมาอย่างไม่สบายตัวนัก ทันทีที่ลืมตาขึ้นนางก็กวาดตามองรอบๆ ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ อา ข้าอยู่ในห้องที่น่าขยะแขยงนั่นนี่เอง นางคิดว่าควรจะออกจากที่นี่ให้เร็วขึ้นสักนิดพลางลุกจากเตียง
“ตื่นแล้วหรือคะ ท่านโรสมอนด์”
“อืม”
ตอนนี้คลาราเองก็รู้เรื่องน่าอัปยศของนางแล้ว แต่นางกลับไม่ได้เอ่ยปากซักไซ้เกี่ยวกับเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย โรสมอนด์ทั้งรู้สึกโล่งใจและหงุดหงิด แน่นอนว่านางไม่ได้แสดงออก และพูดกับอีกฝ่ายอย่างเป็นปกติ
“ขอเพียงได้รับเอกสารจากสองสามีภรรยาแดโรว์ ข้าก็จะออกจากที่นี่ทันที เตรียมตัวไว้ด้วย”
“แต่ว่าท่านโรสมอนด์จะไม่อาบน้ำก่อนหรือคะ”
“ไว้อาบไปที่อื่น ข้ามิได้ขัดสนอะไรเสียหน่อย มีเหตุผลอะไรที่ข้าจะต้องอยู่ที่นี่นานกว่านี้?”
น้ำเสียงหงุดหงิดของโรสมอนด์ทำให้คลาราไม่พูดอะไรต่อ เพียงตอบว่ารับทราบและออกจากห้องไปเงียบๆ เมื่อโรสมอนด์เดินลอดประตูตามออกมาก็พบกับสามีภรรยาแดโรว์ พวกเขาเผชิญหน้ากับนางด้วยสีหน้าเดียวกับเมื่อวาน
“หลับสบายไหมลูก”
คลื่นไส้ คิดจะพูดจาไร้สาระเช่นนี้ไปจนถึงเมื่อไรกัน โรสมอนด์แสดงความหงุดหงิดทางสีหน้าพลางเอ่ยถาม
“เซ็นเอกสารหรือยังคะ”
“โถ่ ลูก เจ้าก็ใจร้อนเสียเหลือเกิน” บารอเนสแดโรว์พูดด้วยรอยยิ้ม “เมื่อวานข้าคุยกับพ่อของเจ้าทั้งคืนเลยนะ ว่าควรจะทำอย่างไรจึงจะเป็นประโยชน์ต่ออนาคตของเจ้า…”
“หยุดพูดอะไรตรงข้ามกับใจเถอะค่ะ”
โรสมอนด์หัวเราะอย่างเย็นชาพลางพูดตัดบท “ส่งเอกสารมา”
“อา รีบร้อนเสียจริง” บารอเนสแดโรว์ทำสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย “ก็ได้ หากเจ้าต้องการเช่นนั้นข้าก็จะเซ็นให้”
“ตอนนี้ เดี๋ยวนี้…”
“แต่มีข้อแม้”
บารอนแดโรว์เอ่ยแทรกบทสนทนาของทั้งคู่ด้วยรอยยิ้ม
[1] ข้อเท้าของอะคิลีส (Achilles’ heel) เป็นสำนวนที่หมายถึงจุดอ่อน มีที่มาจากเรื่องราวของอะคิลีส วีรบุรุษกรีกโบราณ ตำนานเล่าว่า เขาเป็นชายที่มีร่างกายแข็งแกร่ง เนื่องจากธีทิสมารดาของเขาจุ่มร่างของเขาลงในแม่น้ำสติกส์เพื่อความคงกระพัน ทว่า ตอนจุ่มลงไป ธีทิสต้องใช้มือกุมข้อเท้าของเขาไว้ ร่างกายของอะคิลีสจึงมีจุดอ่อนอยู่ที่ข้อเท้าซึ่งเป็นจุดเดียวที่ไม่ได้อาบน้ำศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง
น้ำตาของนางไหลออกมา ความหมายก็ตรงตัวคือมีน้ำใสๆ ไหลออกมาจากดวงตาของนาง
“อา…”
ตอนนั้นเองแพทริเซียถึงได้รู้สึกตัวว่าตนกำลังร้องไห้ นางรีบปาดน้ำตา แต่ถึงกระนั้นน้ำตาก็ยังคงไหลพรั่งพรูออกมาไม่หยุด
“ขะ ขอประทานอภัยเพคะ ฝ่าบาท” หญิงสาวพูดอึกอักขณะที่น้ำตายังคงไหลออกมา
“…”
“หม่อมฉันเพียงแต่…ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น”
แพทริเซียพึมพำด้วยน้ำเสียงว่างเปล่า “พระองค์…พระองค์ผ่านเรื่องเลวร้ายเช่นนั้นมาได้อย่างไร”
“…”
“พระองค์…ตรัสราวกับไม่รู้สึกอะไรเลยเช่นนี้ได้อย่างไร”
ในท้ายที่สุดแพทริเซียก็ถามออกไปราวกับจะคร่ำครวญ นี่เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น เขาต้องประสบกับเรื่องที่คนธรรมดาทั่วไปไม่ควรได้พบเจอ แต่เขาก็ยังเล่าเรื่องเช่นนั้นออกมาได้อย่างใจเย็นเกินไปราวกับไม่ได้สนใจ
ทำไมท่านถึง… ทำไมท่านถึงเฉยชาได้ถึงเพียงนี้? มีแต่ข้าหรือที่รู้สึกเจ็บปวด? มีแต่ข้าหรือที่รู้สึกสะเทือนใจ? มีแต่ข้าหรือ…ที่โศกเศร้า?
“ฮึก…ฮือ…”
แพทริเซียเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น นางไม่สามารถทำตัวเฉยชาได้ในเมื่อนางรับรู้เรื่องนี้แล้ว นางเป็นเพียงคนธรรมดา จึงไม่แปลกที่นางจะร้องไห้หลังจากได้ฟังเรื่องราวเช่นนี้ ไม่ใช่แค่นางเท่านั้น แต่ไม่ว่าใครก็คงจะมีปฏิกิริยาแบบเดียวกัน
“เจ้า…ทำไม…”
ทำไมถึงร้องไห้? ลูซิโอไม่เข้าใจ แม้ว่าคนทั่วไปจะมองว่าปฏิกิริยาเช่นนี้เป็นไปโดยธรรมชาติ แต่เขากลับไม่รู้สึกอย่างนั้น
เพราะไม่เคยมีใครร้องไห้เพื่อเขา ไม่มีใครเวทนาในความโชคร้ายของเขา ในฐานะคนคนหนึ่งที่ต้องประสบพบเจอกับเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับใคร สิ่งที่เขาได้รับกลับมาหาใช่คำปลอบใจหรือการให้กำลังใจอย่างอ่อนโยน แต่เป็นวาจาอันโหดร้ายของผู้คนที่พูดคุยกันถึงเรื่องของเขาในฐานะข่าวลือซุบซิบในพระราชวัง ดังนั้น ลูซิโอจึงไม่เข้าใจคนที่โศกเศร้า โกรธแค้น และร่ำไห้ให้กับเขา…
“ทำไม…เจ้าถึงร้องไห้”
เป็นเรื่องธรรมดามิใช่หรือ เป็นเรื่องที่ไม่ว่าใครก็พึงกระทำมิใช่หรือ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะโกรธ เศร้า และคร่ำครวญกับเหตุการณ์สะพรึงขวัญเช่นนี้มิใช่หรือ ทว่า ไม่เคยมีใครสอนเรื่องนี้แก่เขา
“หม่อมฉัน…เศร้าเหลือเกินเพคะ” แพทริเซียยังคงร้องไห้ขณะตอบ “หม่อมฉันเศร้าเหลือเกินที่…ฝ่าบาททรงต้องพบเจอกับเรื่องที่แม้แต่ผู้ใหญ่ยังทนรับไม่ไหวตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ แต่ฝ่าบาทกลับหวนคิดถึงเรื่องนั้นและเล่าออกมาได้อย่างสงบนิ่งเช่นนี้”
กว่าจะสามารถเล่าถึงความทรงจำในวันนั้นได้อย่างเฉยเมยเช่นนี้ ท่านต้องเสียน้ำตาไปมากเพียงใด ร่างกายต้องสั่นเทามากเพียงใด ต้องกล่าวโทษและทำร้ายตัวเองมามากเพียงใด ท่านต้อง…
“เหตุใด…เหตุใดพระองค์จึงทำสีหน้าราวกับไม่รู้สึกอะไร…”
เขาจะรู้สึกเศร้าบ้างหรือไม่ โธ่ คนผู้นี้ช่างน่าสงสาร ในที่สุดแพทริเซียก็ร้องไห้ฟูมฟายออกมา
“อย่าทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรได้ไหมเพคะ…”
ต่อให้ท่านเล่าทั้งน้ำตา ข้าก็ยังเศร้าอยู่ดี แต่เหตุใดท่านถึงไม่ร้องไห้? ท่านไม่รู้สึกเศร้าบ้างเลยหรือ? ไม่รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมบ้างเลยหรือ? ไม่รู้สึกอยากจะฆ่าผู้หญิงคนนั้นบ้างเลยหรือ?
ข้านั้น…ไม่ได้ชอบและไม่ได้รักท่าน แต่ข้ารู้สึกปวดใจเหลือเกินกับความทุกข์ทรมานที่ท่านได้รับ จักรพรรดินีองค์ก่อนที่มอบบาดแผนเช่นนั้นให้กับท่าน ข้าไม่นับว่านางเป็นมนุษย์ ท่านช่างน่าสงสารเหลือเกิน
แต่เหตุใด…ท่านถึงไม่ร้องไห้เพื่อตัวเอง? เหตุใดท่านถึงไม่โกรธแค้นเพื่อตัวเอง?
เพราะท่านชินชาเสียแล้วหรือ? ท่านชินชากับความเจ็บปวด ความโกรธ และความเศร้าเสียใจแล้วหรือ?
หากเป็นเช่นนั้น ท่านต้องทนทุกข์ทรมานอยู่คนเดียวมามากเพียงใด
“ร้องไห้ออกมาเถอะเพคะ ฝ่าบาท”
“…”
“นี่เป็นเรื่องที่ควรร้องไห้นะเพคะ…”
“…”
“หาใช่เรื่องที่พระองค์จะเล่าออกมาด้วยสีหน้าเฉยชาเช่นนั้น…”
ในที่สุดแพทริเซียก็คุกเข่าร้องไห้ต่อหน้าเขา ลูซิโอจ้องมองแพทริเซียที่นั่งร้องไห้ฟูมฟายอยู่ตรงหน้าไม่วางตา
ลูซิโอไม่เข้าใจการกระทำของแพทริเซีย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางถึงดูโศกเศร้าเสียใจกับเรื่องของเขาถึงเพียงนี้ เขามั่นใจว่านางเคยบอกว่านางไม่ได้รักเขา นางน่าจะชิงชังเขาด้วยเรื่องโรสมอนด์เสียด้วยซ้ำ
“เจ้า…” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ทำไมเจ้าถึง…ทำเพื่อเราขนาดนี้”
“…ทรงหมายความว่าอย่างไรเพคะ”
“เจ้ามิได้ชอบเรามิใช่หรือ” เขาพูดอย่างเรียบเฉย “เจ้าเกลียดเรา”
“หม่อมฉันมิได้ชอบฝ่าบาทเพคะ” แพทริเซียสารภาพออกไปด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้ “หม่อมฉันเกลียดฝ่าบาท”
“…แล้วทำไม…”
“แต่หม่อมฉันก็สงสารพระองค์”
แพทริเซียมองลูซิโอทั้งน้ำตานองหน้า สีหน้าของเขายังคงไม่แสดงอารมณ์ออกมาแม้แต่น้อย ครั้นเห็นดังนั้น แพทริเซียก็ยิ่งปวดใจ
“เรื่องที่พระองค์ทรงประสบมามันรุนแรงกว่าความเกลียดชังของหม่อมฉัน”
“…”
“มากขนาดที่ไม่อาจเทียบกันได้”
“…”
“ด้วยเหตุนั้นหม่อมฉันจึงร้องไห้เพคะ หม่อมฉันสงสารพระองค์”
นางปาดน้ำตาพลางพูดต่อ “หม่อมฉันสงสารที่พระองค์มิอาจหลั่งน้ำตาแม้สักหยดในสถานการณ์เช่นนี้”
“อา…”
สิ้นคำพูดของแพทริเซีย สีหน้าของลูซิโอก็เริ่มปรากฏร่องรอยของความรู้สึก แพทริเซียมองสีหน้านั้นอย่างเวทนา อา คนผู้นี้ช่างน่าสงสารจริงๆ ท่าน…ช่างเป็นคนที่น่าสงสาร
“อึก…”
ลูซิโอใช้สองมือปิดหน้า ไม่เคยมีใครร้องไห้เพื่อเขา ไม่เคยมีใครอนุญาตให้เขาร้องไห้ แม้กระทั่งโรสมอนด์ก็ไม่ทำเช่นนั้น
มีเพียงจักรพรรดินีของเขาเท่านั้น จักรพรรดินีผู้ซึ่งถูกเขาทำร้ายและตอกย้ำด้วยการสั่งห้ามไม่ให้รักเขา
เขาร้องไห้ ดูเหมือนเขากำลังร้องไห้ แพทริเซียเช็ดน้ำตาและมองดูเขาอย่างเศร้าสร้อย ในตอนแรกเขาเพียงแต่ร้องไห้เงียบๆ แต่ในที่สุดเขาก็ส่งเสียงร้องออกมา
“อา…ฮึก”
“…”
แพทริเซียพยายามกลั้นน้ำตาขณะที่เดินเข้าไปหาอีกฝ่ายช้าๆ นางกัดริมฝีปากพลางกอดเขาเอาไว้ เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นและน้ำตาอุ่นๆ ของอีกฝ่ายส่งผ่านมาถึงนางท่ามกลางอากาศหนาวเย็น จากนั้นหญิงสาวก็เริ่มร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
สวนดอกไม้แห่งนั้นถูกปกคลุมด้วยความโศกเศร้าอยู่พักใหญ่
***
“ถึงแล้วขอรับ เลดี้โรสมอนด์”
สิ้นเสียงคนขับรถม้า โรสมอนด์ก็ลงจากรถพร้อมด้วยสายตาเย็นชา ตรงหน้าคือปราสาทเก่าซอมซ่ออันเป็นที่พักอาศัยของคนสองคนที่นางไม่อยากเห็นหน้า โรสมอนด์ยิ้มอย่างเย้ยหยันขณะก้าวเดินบนรองเท้าส้นสูง
“…”
ระหว่างทางที่เดินมาถึงตัวปราสาท โรสมอนด์ไม่พูดไม่จาแม้สักคำ คลาราที่เดินอยู่ข้างๆ เห็นดังนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจ นายหญิงไม่เคยนิ่งเงียบนานขนาดนี้ แม้แต่ตอนที่ถูกจับขังคุกเมื่อคราวนั้นนางยังนั่งจิบชาสบายใจเฉิบ แต่ตอนนี้ที่เดินทางมาพบบิดาบังเกิดเกล้า นางกลับเดินจ้ำเอาๆ สีหน้าเคร่งเครียดไม่พูดไม่จา คลารามิอาจลบความรู้สึกผิดปกตินี้ออกไปจากใจได้
“เลดี้โรสมอนด์ มาแล้วหรือขอรับ”
เมื่อเข้ามาในปราสาท พ่อบ้านก็ออกมาต้อนรับอย่างสุภาพทันที แต่โรสมอนด์ก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและมองหาคู่สามีภรรยาแดโรว์ การตามหาพวกเขาไม่ใช่เรื่องยาก เพราะทันทีที่ได้ยินเสียงต้อนรับของพ่อบ้าน พวกเขาก็ออกมาต้อนรับนางราวกับเป็นพ่อบ้านไปด้วย
“มาแล้วหรือโรส ไม่พบกันนานทีเดียว”
“นั่นสิคะ ที่รัก กี่ปีแล้วนะ เดินทางมาไกลคงจะเหนื่อยแย่เลย”
แม้จะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น แต่โรสมอนด์ก็ไม่แสดงสีหน้าใดๆ นางไม่สนใจว่าพวกเขาจะชื่นชมหรือจะด่าทอ เพราะตอนนี้ความรู้สึกที่นางมีต่อพวกเขามีเพียงความเกลียดชังเท่านั้น ทั้งอีกไม่นานนางก็จะกลายเป็นบุตรีของดยุกแล้ว โรสมอนด์หยิบบางสิ่งออกมาจากอกเสื้อและยื่นให้บารอนแดโรว์
“ช่วยเซ็นด้วยค่ะ”
“อะไรหรือลูก”
ลูกอย่างนั้นรึ น่าสะอิดสะเอียน ผู้ชายคนนี้เคยทำเหมือนนางเป็นลูกสักครั้งด้วยอย่างนั้นหรือ
“พระเจ้าช่วย เอกสารสละอำนาจปกครองบุตร?”
อย่าทำหน้าเหมือนตกใจไปหน่อยเลย บารอเนสแดโรว์ มิใช่ว่าท่านหวังสิ่งนี้มาตลอด? หวังให้ข้าหายไปเสีย หายไปจากโลกนี้? ด้วยเหตุนั้นท่านจึงวางเฉย แม้ข้าจะถูกกระทำเช่นนั้นมิใช่หรือ? ไม่สิ สำหรับเรื่องนั้น ท่านมิใช่แค่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่ยังลอบปลุกปั่นอยู่เบื้องหลัง
“ใครให้เจ้าทำตามอำเภอใจ!”
“เจ้าเป็นลูกของข้า”
เมื่อเห็นพวกเขาคัดค้านเสียงแข็ง โรสมอนด์ก็มีสีหน้าเหนื่อยใจ เป็นไปได้นางก็ไม่อยากเปลืองน้ำลายกับคนพวกนี้ แผนการอันสมบูรณ์แบบของนางคือมาถึงที่นี่แล้วกลับออกไปภายในครึ่งชั่วโมง ตอนนี้ก็ผ่านมาราวสิบนาทีได้แล้ว เช่นนั้นก็เหลือเวลาอีกยี่สิบนาที นางยอมเปิดปากเพื่อจัดการเรื่องนี้ให้จบโดยไว
“การเซ็นเอกสารฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อพวกท่าน” โรสมอนด์พูดเสียงเย็น “เรื่องนี้ฝ่าบาททรงอนุญาตแล้ว จากนี้ข้าจะไม่ใช่แค่บุตรีของบารอนอีกต่อไป ข้ากำลังจะเป็นบุตรีของดยุก หากพวกท่านอยากจะทำอะไรเพื่อข้าสักนิด เช่นนั้นก็ช่วยหุบปากแล้วเซ็นเสีย ข้าอยากจะออกไปจากที่นี่เร็วๆ”
ทั้งหมดนั้นคือเรื่องจริง น่าเศร้าที่มันเป็นเช่นนั้น หญิงสาวอยากจะสลัดนามสกุลแดโรว์อันแสนสกปรกที่อยู่ต่อท้ายชื่อของนางทิ้งไปให้เร็วที่สุด แม้มันจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงชาติกำเนิดของนาง แต่ตอนนี้มันเป็นเพียงความอัปยศที่นางอยากจะลบทิ้งไปเท่านั้น
“ลูกแม่ ไฉนเจ้าจึงพูดเช่นนั้น…”
บารอเนสแดโรว์มีสีหน้าราวกับปวดใจเหลือแสน ซึ่งมันดูไร้สาระเสียจนโรสมอนด์หัวเราะไม่ออก การแสดงปฏิกิริยาแบบมนุษย์เช่นนั้นทำให้นางเกลียดชังครอบครัวนี้ยิ่งกว่าอะไร
“มาถึงขั้นนี้แล้ว เลิกสวมหน้ากากใส่กันเถอะค่ะ บารอเนส ช่างน่าสะอิดสะเอียนนัก”
“เจ้า…”
“ที่รัก พอเถอะ โรส เจ้าก็พอได้แล้ว”
บารอนแดโรว์เข้ามาขวางราวกับทนดูไม่ได้ แม้กระทั่งการเข้ามาขวางนี้ก็ยังทำให้โรสมอนด์รู้สึกคลื่นไส้ มาทำตัวเป็นพ่ออะไรตอนนี้
“ท่านนั่นแหละหยุด คิดว่าตัวเองยังมีสิทธิ์เรียกชื่อข้าอีกอย่างนั้นรึ”
“โรส…”
“ข้าบอกว่าอย่าเรียก”
โรสมอนด์เอ่ยเตือนด้วยแววตามาดร้าย นางรู้สึกคลื่นไส้มาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว นางพยายามไม่สนใจความรู้สึกพะอืดพะอมที่ตีรื้นขึ้นมาและพูดต่อไปอย่างเยือกเย็น
“ดูเหมือนพวกท่านอาจจะกำลังเข้าใจผิด นี่มิใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งที่พวกท่านต้องยอมรับ”
เช่นเดียวกับข้าในอดีต พวกท่านเองก็ต้องทำเช่นนั้น ถึงอย่างไรพวกท่านก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้วมิใช่รึ?
“เพราะฉะนั้น หุบปากแล้วก็เซ็นเสีย ข้าอยากจะรีบออกไปจากปราสาทที่น่าขยะแขยงนี่เต็มทนแล้ว”
“…”
บารอนแดโรว์มีสีหน้าเคร่งเครียด ในขณะที่สีหน้าของบารอเนสฉายแววของความหงุดหงิด บารอนนิ่งคิดก่อนจะเอ่ยปาก
“ลูกพ่อ”
***
ทั้งสองคนร้องไห้ด้วยกันอยู่นาน แต่เมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง พวกเขาก็หยุดร้อง แพทริเซียนั่งข้างๆ ลูซิโอโดยไม่รู้เลยว่าใบหน้าของตนกำลังบวมจากการร้องไห้อย่างหนัก อาจเพราะร่างกายเสียน้ำมากเกินไป พวกเขาจึงดูอ่อนเพลีย ขณะที่ทั้งคู่นั่งอยู่ข้างกันโดยไม่พูดอะไรอยู่ครู่ใหญ่ แพทริเซียก็เป็นฝ่ายเปิดปากพูดขึ้นมาก่อน
“ฝ่าบาท”
“…ว่าอย่างไร”
“หม่อมฉันมีเรื่องสงสัยเพคะ”
“ถามมาสิ”
แพทริเซียมองลูซิโอพลางเอ่ยปากถาม
“ที่ทรงรักโรสมอนด์ ที่ทรงให้ความสำคัญกับนางถึงเพียงนั้น”
“…”
“เกี่ยวข้องกับ…เรื่องที่พระองค์เล่าหรือไม่เพคะ”
“…ใช่”
ว่าแล้วเชียว เมื่อรู้แล้วว่าตนคาดเดาได้ถูกต้อง แพทริเซียก็หลับตาลงเงียบๆ
นางคิดว่ามันแปลกมาตั้งแต่แรก เพราะนั่นไม่ใช่แค่ความรักหรือการชอบพอทั่วๆ ไป นางจึงคิดมาตลอดว่ามันแปลก ท่าทีของเขามักจะดูไม่เป็นธรรมชาติ ทำราวกับผู้หญิงคนนั้นคือตัวเขาอีกคน นางจึงสงสัย…ว่าเพราะอะไรกันแน่ที่ทำให้เขาดูเป็นเช่นนั้น แต่หากเป็นเหตุผลนี้ก็เข้าใจได้
“นางเองก็มีเรื่องราวในอดีตมากมายไม่ต่างจากเราเท่าไร” ลูซิโอกล่าว
“…”
ครั้นได้ฟังดังนั้น แพทริเซียก็อดหัวเราะอยู่ในใจไม่ได้ ตัวเอกของเรื่องนี้มีอยู่สามคน และทั้งสามคนนั้นต่างก็มีอดีตที่โดดเด่นไม่แพ้กัน คนหนึ่งย้อนเวลากลับมาหลังจากที่ครอบครัวถูกประหารจนสิ้น อีกคนหนึ่งถูกแม่เลี้ยงโรคจิตหลอกใช้ให้ฆ่าแม่แท้ๆ ของตัวเอง แล้วอีกคนหนึ่งล่ะ? จู่ๆ แพทริเซียก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
“ที่เราทิ้งนางไปไม่ได้…ก็เพราะเรื่องนั้นเช่นกัน”
“…นางก็เหมือนกับฝ่าบาทหรือเพคะ”
“ไม่รู้สินะ” เขาตอบคำถามอย่างคลุมเครือ “เดิมทีแล้วขนาดของความเจ็บปวดเป็นนามธรรม[1]มิใช่หรือ”
แพทริเซียรู้สึกเห็นด้วย แต่ถึงกระนั้นความเจ็บปวดที่เป็นรูปธรรม[2]เช่นเดียวกับความเจ็บปวดของลูซิโอก็มีอยู่จริง แพทริเซียกลืนน้ำลายลงคอเงียบๆ
“ความเจ็บปวดของนางเป็นรูปธรรม”
เหมือนกับข้า
จากนั้นอีกหนึ่งเรื่องราวก็เริ่มต้นขึ้น
[1] นามธรรม คือ สิ่งที่ไม่มีรูปร่าง หรือสิ่งที่ไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า
[2] รูปธรรม คือ สิ่งที่มีรูปร่าง หรือสิ่งที่สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า หรือสิ่งที่สามารถปฏิบัติ ไม่ใช่แค่ทฤษฎี
แม้จะเป็นความคิดที่โหดร้ายแต่ก็เป็นสิ่งที่ลูซิโอสามารถคิดได้ ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น ไม่ว่าใครที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันนี้ย่อมคิดได้ทั้งนั้น การถูกทำร้ายอย่างทารุณทำให้ศีลธรรมในใจมัวหมอง ทำลายบรรทัดฐานการแยกแยะผิดชอบชั่วดี เพราะร่างกายของตนรับรู้แล้วว่าในสถานการณ์เช่นนี้ บรรทัดฐานนั้นไม่ได้ช่วยอะไร
สำหรับลูซิโอในเวลานั้น ความคิดเช่นนั้นคือกลไกป้องกันทางจิตอย่างหนึ่ง เขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป เขาต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่หากปล่อยไว้แบบนี้เขาอาจตายก็ได้ เด็กหนุ่มกรีดร้องทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดพลางเอ่ยปากร้องขอชีวิตจากอลิซาเป็นครั้งสุดท้ายราวกับเขาใกล้จะตายเต็มที
“ฝะ…ฝ่าบาท…ไว้ชีวิตด้วย ไว้ชีวิตด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
“…”
ครั้นสิ้นเสียงของลูซิโอ การทุบตีก็หยุดลงในทันใด แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าเขาจะไม่เจ็บ เพราะความเจ็บปวดมักจะตามมาทีหลังเสมอ อลิซามองแผลที่มีเลือดไหลซึมอย่างสงบนิ่ง นางฉีกยิ้มละไมพลางเอ่ยถาม
“หยุดดีไหม”
“ไว้ชีวิตด้วยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท…โปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วย…”
“ข้าบอกหรือว่าข้าจะฆ่าเจ้า?”
ครั้นพูดจบ อลิซาก็ยัดดาบยาวใส่มือเขา สีหน้าของเด็กหนุ่มคล้ายจะสลบไปได้ทุกเมื่อ แต่เขาก็ใช้แรงเฮือกสุดท้ายกำดาบไว้แน่น ไม่รู้ว่าหากเขาทำดาบหลุดมือไปจะมีการทารุณรูปแบบใดรออยู่ อลิซากระซิบกับเขาด้วยน้ำเสียงหวานหู
“ว่าอย่างไร? อยากให้ข้าหยุดตีหรือ”
“ฮึก…พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ได้โปรด…”
เขาอ้อนวอนอย่างร้อนรน แต่อลิซาไม่แม้แต่จะสนใจฟัง นางพูดสิ่งที่ตนต้องการต่อไป
“เช่นนั้นก็ฆ่า”
“…”
“ข้าจะให้เวลาหนึ่งนาที ในหนึ่งนาทีนั้นเจ้าจงปลิดชีวิตนางผู้นั้นเสีย”
“อา…”
เขามองผู้เป็นมารดาด้วยสีหน้าสิ้นหวัง ทว่า สีหน้าของอีกฝ่ายดูไม่เหมือนคนที่จะสั่งให้ลูกไปฆ่าคนได้เลย ลูซิโอคาดเดาอนาคตของตนด้วยสีหน้าขมขื่น ถ้าเขาไม่ฆ่าผู้หญิงคนนั้น มารดาต้องตีเขาอีกแน่ คราวนี้เขาอาจจะตายจริงๆ ก็ได้ ไม่สิ เขาไม่อยากพบเจอกับความทรมานที่โหดร้ายเช่นนั้นอีกแล้ว เขาไม่อยากเจอเรื่องแบบนั้นแล้ว…
“ฮือออออ”
ลูซิโอร้องคำรามด้วยน้ำเสียงที่ไม่เหมือนทั้งเสียงของมนุษย์หรือสัตว์พร้อมทั้งใช้ดาบยันตัวลุกขึ้นจากพื้นช้าๆ ดูเหมือนว่าการทำร้ายร่างกายเมื่อครู่จะทำให้กระดูกหัก ขาของเด็กหนุ่มจึงสั่นเทาด้วยความเจ็บปวดก้อนใหญ่ ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยรอยเลือดและรอยน้ำตาเหนียวเหนอะหนะ เขาค่อยๆ เข้าไปใกล้คนที่ถูกมัดในท่านั่งบนเก้าอี้ ผ้าขาวที่พันอยู่ด้านนอกทำให้ดูไม่ออกว่าคนด้านในเป็นใคร แต่ดูเหมือนนางจะรับรู้ได้ถึงความตายที่ใกล้เข้ามาทุกทีจึงร้องไห้ออกมา เด็กหนุ่มจ้องมองคราบน้ำเปียกชุ่มบนผ้าบริเวณที่น่าจะเป็นขอบตาด้วยสีหน้าว่างเปล่า
“ข้าขอโทษนะขอรับ”
แต่ข้าอยากมีชีวิตอยู่ ข้าอยากมีชีวิตอยู่ ข้าขอโทษ ข้าขอโทษขอรับ แม้ข้าจะร้องตะโกนว่าอยากมีชีวิตอยู่ แต่ท่านอย่าได้ยกโทษให้ข้าผู้ซึ่งเป็นคนปลิดชีพท่านเลย อย่ายกโทษให้ข้าเด็ดขาด…
– ฉึก
อย่ายกโทษให้ข้าเลย
– ฉึก
– ฉึก
– ฉึก
– ฉึก
…
ไม่แน่ใจว่าเขาแทงไปกี่ครั้ง แต่เขาหยุดมือในตอนที่ผ้าขาวชุ่มโชกไปด้วยเลือดอุ่นๆ เด็กหนุ่มทิ้งดาบลงบนพื้นด้วยสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก
เคร้ง ดาบร่วงลงบนพื้นพร้อมกับเลือดที่สาดกระเซ็น ใบหน้าและลำตัวของเขาเต็มไปด้วยรอยเลือด และเลือดที่กระเซ็นมาก็เปื้อนไปถึงขา ลูซิโอหันกลับไปมองอลิซาด้วยสีหน้าเหม่อลอยไร้สติ
อลิซากำลังหัวเราะ
ลูซิโอคิดว่าตนน่าจะเสียสติไปแล้ว ไม่เพียงแต่ตัวเขาเองเท่านั้น นางเองก็เช่นกัน เขาฆ่าคนไปแล้วจริงๆ และนางคือผู้สั่งการ เขาไม่ได้หัวเราะหรือร้องไห้ แต่นางกำลังหัวเราะ นางยินดีกับการที่คนคนหนึ่งตายไปอย่างนั้นหรือ? ลูซิโอพูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“ทีนี้…”
“…”
“ไว้ชีวิตลูกด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ…”
“ลูซิโอ”
ครั้นได้ยินดังนั้นนางก็ยิ้มกว้างและเดินเข้ามาหา ลูซิโอไม่เหลือเรียวแรงอีกแล้ว หากนางยังตีเขาอีก เขาคงจะตายไปจริงๆ ไม่สิ บางทีเขาอาจจะอยากตายไปเสียเลยก็เป็นได้ เขามองอลิซาที่เดินเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าว่างเปล่า รอยยิ้มของนางงดงามจนน่ากลัว
“ยินดีด้วยนะ ในที่สุดเจ้าเองก็ลงมือฆ่าคนแล้ว”
“…”
นางกำลังแสดงความยินดีกับเขาในเรื่องที่ไม่มีแม่ที่ไหนทำกัน ครั้นได้ฟังดังนั้นลูซิโอก็เริ่มร้องไห้ เมื่อเด็กหนุ่มเริ่มร้องไห้งอแงเหมือนเด็ก สีหน้าของอลิซาก็บูดเบี้ยวอย่างรำคาญใจ แต่นางก็เฝ้ารออย่างอดทนจนเสียงร้องไห้เริ่มเงียบไป นางจึงพูดออกมา
“ลูซิโอ”
“…”
“เจ้าอยากเปิดผ้าที่คลุมนางไว้หน่อยไหม”
“…”
“เร็วสิ”
ลูซิโอไม่กล้าทำเช่นนั้น แต่เขาฆ่าคนไปแล้วทั้งคน คิดว่าคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว เขาใช้นิ้วที่สั่นระริกดึงผ้าที่คลุมผู้ตายไว้ออก ผู้หญิงคนหนึ่งตายในสภาพน้ำตานองหน้า ราวกับว่านางร้องไห้อย่างหนักก่อนตาย เมื่อเห็นภาพนั้น คนที่อยู่โดยรอบก็หันหน้าหนี บ้างก็มีอาการคลื่นไส้ แต่ผู้ลงมือสังหารอย่างลูซิโอกลับไม่มีความรู้สึกอันใด สภาพจิตใจของเขาเหนื่อยล้าเกินกว่าจะมีความรู้สึกใดๆ แล้ว
“นางตายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่ ตายแล้ว”
อลิซายิ้มกว้าง นางเห็นด้วยกับคำพูดของเขา จากนั้นนางก็เรียกลูซิโอด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“ลูซิโอ”
“…”
“ลูซิโอจ๊ะ”
“…พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่ใคร”
ครั้นได้ฟังคำถาม ลูซิโอก็จ้องมองผู้ตายเป็นครั้งแรก นางเป็นสตรีที่น่าจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับอลิซา มีใบหน้างดงาม ดูจากที่นางสวมเสื้อผ้าธรรมดาทั่วไป บางทีนางอาจจะเป็นข้ารับใช้ในวัง ลูซิโอเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงว่างเปล่า
“…นางกำนัลหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ใกล้เคียง นางเป็นใครล่ะ”
“…”
หากจะพูดกันตามตรง เขาไม่รู้สึกสงสัยเลยสักนิด เขาเพียงแต่ต้องการไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวโดยเร็วแล้วเข้านอนเสีย ไม่สิ บางทีเขาอาจจะอยากตายไปเลยก็ได้ เขาแค่อยากจะไปให้พ้นๆ จากตรงนี้เร็วขึ้นแม้สักเสี้ยววินาทีก็ยังดี ได้โปรดเถอะ
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ฝนก็ตกหนักขึ้นและเริ่มมีเสียงฟ้าคะนอง เหล่านางกำนัลมีท่าทีลุกลี้ลุกลนคล้ายอยากจะออกไปจากที่นี่เร็วๆ แต่ท่าทีเช่นนั้นของพวกนางไม่ได้มีอิทธิพลอะไรต่อสถานการณ์ในตอนนี้เลยแม้แต่น้อย ลูซิโอยืนเหม่อลอยปล่อยให้สายฝนเทกระหน่ำลงบนร่างกาย ขณะเดียวกันอลิซาก็ยิ้มอย่างสดใสและก้มลงมากระซิบข้างหูเด็กหนุ่ม
“วันนี้เป็นวันเกิดของเจ้า ข้าจะเล่าอะไรสนุกๆ ให้ฟังดีหรือไม่”
“…”
“ลูกเอ๋ย ความจริงแล้วแม่มิได้เป็นคนคลอดเจ้าออกมาหรอก”
ลูกเอ๋ย ลูซิโอเพิ่งเข้าใจในตอนนั้นเองว่าคำเรียกแสนหวานนั้นไม่เหมาะกับความสัมพันธ์ระหว่างเขาและนางเลยสักนิด หลังจากได้รู้ว่าอลิซาไม่ใช่แม่แท้ๆ ของตน ลูซิโอก็ได้แต่หัวเราะออกมา
ใช่แล้ว เช่นนี้แหละถูกแล้ว หากอลิซาเป็นมารดาบังเกิดเกล้าของเขาจริง นั่นต่างหากที่น่าสะเทือนใจ แต่ถึงกระนั้นสีหน้าของลูซิโอที่พอจะดูได้ขึ้นมาบ้างกลับต้องแข็งค้างเพราะคำพูดต่อมาของอีกฝ่าย
“แม่แท้ๆ ของเจ้ายังมีชีวิตอยู่”
“…”
“ไม่สิ เคยมีชีวิตอยู่”
ประโยคเป็นรูปอดีต ลูซิโอตัวสั่นเทิ้ม วูบหนึ่งเขาเผลอจินตนาการถึงเรื่องน่าสำรอกโดยไม่รู้ตัว ไม่สิ ไม่หรอก เป็นไปไม่ได้ จะเป็นไปได้อย่างไร บ้าน่า ไม่มีทาง…
“แต่เจ้าสังหารนางไปเสียแล้วนี่นะ”
ไม่มีทาง…
“ทำได้ดีมาก”
“…”
สีหน้าของลูซิโอในตอนนั้นเป็นสีหน้าที่เขาไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต บางทีอาจจะเป็นสีหน้าที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนเลยก็เป็นได้ หากจะอธิบายสีหน้าของเขาด้วยคำคำเดียวล่ะก็…
“…อา!”
อสูร
“อ๊าาาาาาาาาาก”
เด็กหนุ่มร้องไห้คร่ำครวญ เขาทรุดลงไปกองกับพื้นก่อนจะใช้มือที่อ่อนแรงทุบลงไปบนพื้นหินจนเลือดไหลซึมพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสายเลือด เสียงฟ้าคะนองดังอยู่เบื้องหลัง อลิซาเฝ้ามองภาพนั้นด้วยสีหน้าพึงพอใจ
“อ๊าาาา…อ๊ากกกกกก!”
เขาค่อยๆ คลานเข้าไปหาร่างของจาเน็ตที่นอนแน่นิ่งโดยไม่สนใจใบหน้าของตนที่เปรอะเปื้อนด้วยน้ำตาสีเลือดที่หลั่งออกมา ร่องรอยถูกแทงยังคงอยู่ เมื่อพบว่ามารดาของตนตายไปแล้ว เด็กหนุ่มยิ่งร้องไห้ออกมาด้วยเสียงร้องที่ประหลาด
“อู…อ่อกกกกกกกกก”
ร่างที่ยังอุ่นของจาเน็ตค่อยๆ เย็นลงเพราะสายฝนที่เย็นเฉียบ ลูซิโอร้องไห้คร่ำครวญปล่อยให้น้ำตาไหลรินปนไปกับสายฝน ความรู้สึกด้านลบทั้งหมดเท่าที่มนุษย์จะรู้สึกได้กำลังถาโถมเข้ามา
ความสะเทือนใจครั้งใหญ่ทำให้เขาเสียสติ บางทีนี่อาจเป็นกลไกการป้องกันทางจิตอย่างหนึ่งเช่นกัน เขาฆ่าคน ทั้งยังเป็นมาตุฆาต[1] ต่อหน้าสถานการณ์เช่นนี้ ใครบ้างที่จะไม่เสียสติ
“อึก…อ๊ากกกก!”
เขาสัมผัสร่างไร้ชีวิตของจาเน็ตพลางร้องไห้ ฟูมฟาย และคร่ำครวญอย่างไม่จบสิ้น เขาดูราวกับปีศาจร้ายตนหนึ่งที่ตกอยู่ในสภาพคลุ้มคลั่ง เขากรีดร้องจนเสียงแหบแห้งด้วยหวังให้ตนเป็นบ้าไปเสียเลยยังจะดีกว่า เสียงร้องไห้อันโหดร้ายของเด็กหนุ่มดังก้องไปทั่วพระราชวังที่ไร้เงาของประมุข
และแล้วเขาก็สลบไปเนื่องจากได้รับความกระทบกระเทือนใจอย่างหนักประกอบกับร้องไห้คร่ำครวญเป็นเวลานาน อลิซาที่เฝ้ามองมาโดยตลอดหัวเราะออกมาด้วยสีหน้าพิลึกพิลั่น
“อ๊า ฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่า!”
อลิซาหัวเราะอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะร้องไห้ออกมา หลังจากนั้นไม่นานนางก็เริ่มส่งเสียงด้วยสีหน้าอัปลักษณ์พลางหัวเราะสลับกับร้องไห้ นางมองสองแม่ลูกที่นอนนิ่งไร้สติอยู่ครู่หนึ่งด้วยสีหน้าที่ยากจะอธิบายพร้อมทั้งหัวเราะและร้องไห้ไปพลาง
ฝนตกลงมาไม่หยุด เสียงฟ้าคะนองยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
***
“พระจักรพรรดิ…” ลูซิโอพูดต่อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เสด็จกลับพระราชวังหลังได้รับชัยชนะ”
“…”
“หลังจากนั้นก็ทรงได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมด พระจักรพรรดินีจึงถูกปลดออกจากตำแหน่ง”
ขณะพูด เสียงของเขาไม่สั่นอีกต่อไปแล้ว เป็นน้ำเสียงที่เยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง
“เรื่องวันนั้นมักจะโผล่ขึ้นมาในหัวเราเสมอ ภาพที่พระมารดาถูกสังหารด้วยมือที่แสนชั่วร้ายคู่นี้ เราฝันร้าย เราสังหารพระมารดาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วนางก็ยิ้ม พระจักรพรรดินีที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ยิ้มเช่นกัน เราจึงกลายเป็นบ้าเช่นนี้”
เขาพูดต่อไปด้วยสีหน้าว่างเปล่า “อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันครบรอบวันตายของพระมารดา…พระมารดา…ที่เราเป็นคนฆ่า…”
เขาทำหน้าราวกับทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายลงมา เขาหันไปมองแพทริเซียเป็นครั้งแรกหลังจากที่ยอมเปิดปากเล่าทุกอย่าง เขากลัว กลัวว่านางจะประณามเขา แม้ว่าการถูกประณามจะเป็นเรื่องที่สมควรและถูกต้อง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงกลัวการถูกประณาม ในขณะเดียวกันเขาก็มักจะตำหนิและกล่าวโทษตัวเอง
เจ้ายังคงเป็นเด็กที่เห็นแก่ตัวและสกปรกเช่นเคยสินะ
“เจ้าคง…ไม่เข้าใจเรา”
เขายิ้มอย่างขมขื่น และได้สบตากับแพทริเซียเป็นครั้งแรก แพทริเซียนั้น…
“อา…”
มีสีหน้าเหม่อลอย ราวกับคนที่ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ เมื่อเห็นปฏิกิริยาเช่นนั้น ลูซิโอก็พึมพำออกมา
“เจ้าเองก็คง…จะประณามเรา”
“…อา”
“นั่นย่อมเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว เพราะเรามันไม่ใช่คน เรา…” เขากลืนน้ำลายเหนียวๆ “เป็นสัตว์ประหลาด”
“…”
แพทริเซียไม่พูดอะไร แต่นางกลับ…
“จักรพรรดินี?”
“…”
“เจ้า… ทำไมถึง…”
ร้องไห้
[1] มาตุฆาต คือ การฆ่ามารดาของตนเอง
สิบปีก่อน
ลูซิโอซึ่งในตอนนั้นยังเป็นเพียงเจ้าชายรู้สึกตื่นเต้นกับวันเกิดปีที่ 15 ของตนที่ใกล้จะมาถึง แม้เขาจะเป็นหนุ่มน้อยที่อ่อนแอทั้งกายและใจ แต่ถึงอย่างไรวันนั้นก็เป็นวันเกิดของเขา เขาตื่นเร็วกว่าปกติและอวยพรวันเกิดให้ตัวเอง
แม้จะเป็นวันเกิดแต่ก็ไม่มีอะไรต่างไปจากเดิมเป็นพิเศษ หากจักรพรรดิอยู่ก็เป็นอีกเรื่อง แต่ตอนนี้เขาออกไปทำศึกอยู่ต่างเมือง ส่วนมารดาบังเกิดเกล้าก็ไม่มีทางจัดงานวันเกิดให้เขาอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเป็นไปได้สูงว่าวันนี้จะผ่านไปเหมือนวันธรรมดาวันหนึ่ง เขาทำได้เพียงมีความสุขกับการที่วันนี้ได้ชื่อว่าเป็นวันเกิดของเขาเท่านั้น
“องค์ชาย พระจักรพรรดินีทรงเรียกหาเพคะ”
ตอนที่อลิซาเรียกหาเขาคือตอนเที่ยงวันที่ฝนเริ่มตก เด็กหนุ่มรีบมุ่งหน้าไปยังตำหนักจักรพรรดินีด้วยคิดว่าควรจะรีบไปก่อนที่ฝนจะตกหนาเม็ดกว่านี้ ในใจของเขายังคงมีความหวังเล็กๆ ว่าอย่างน้อยวันนี้…นางอาจจะมอบของขวัญให้เขาแทนการทุบตี
อนิจจา เด็กหนุ่มยังเยาว์นัก เขามิได้ตระหนักถึงความเป็นจริงที่กำลังเผชิญอยู่เลยแม้แต่น้อย
ความหวังเล็กๆ นั้นขยายใหญ่ขึ้นเมื่อเขามาถึงตำหนักจักรพรรดินี นั่นเพราะจักรพรรดินีอลิซาต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้มผิดไปจากปกติ นางเป็นมารดาที่มักพูดจาโหดร้ายเมื่อเห็นหน้าเขา แต่วันนี้นางกลับต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้ม ทำให้ความหวังในใจของเด็กหนุ่มงอกเงย
“เสด็จแม่”
“เชิญจ้ะ องค์ชาย วันนี้อากาศดีนะคะ”
เขาคิดว่าคำพูดของนางฟังดูประหลาด แม้จะเป็นการพูดลอยๆ แต่อากาศวันนี้ก็ยากที่จะเรียกว่าดีได้ ทว่า มารดาของเขากลับพูดเช่นนั้น สุดท้ายลูซิโอก็ทิ้งความคิดนั้นไป หากมารดาของเขาบอกว่าอากาศดี มันก็คงจะดีจริงๆ กระมัง ท่านแม่อาจจะพูดออกมาเพราะฝนตกจึงทำให้อากาศสดชื่นขึ้นก็เป็นได้ เขาวิเคราะห์คำพูดของอลิซาตามอำเภอใจก่อนจะตอบ
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่ อากาศดีจริงๆ”
“วันนี้เป็นวันเกิดขององค์ชายใช่ไหมจ๊ะ”
คำพูดนั้นทำให้หัวใจของลูซิโอในวัยเด็กเต้นแรง อา ท่านแม่จำวันเกิดของข้าได้! หรือนางจะมอบของขวัญให้ข้ากันนะ เขารีบพยักหน้าด้วยหัวใจที่เต้นแรง
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่”
“ดังนั้นแม่จึงเตรียมของขวัญไว้ให้ลูกจ้ะ”
นางยิ้มอย่างผิดปกติพลางลุกขึ้น ลูซิโอตาไวสังเกตเห็นท่าทีของอีกฝ่ายที่เหมือนต้องการให้เขาตามไปด้วย เขาจึงเดินตามหลังนางไป แม้ฝนจะตกหนักขึ้น แต่นางก็ก้าวออกไปจากตำหนักจักรพรรดินีอย่างไม่ลังเล เหล่าข้ารับใช้รีบกางร่มให้ ส่วนลูซิโอซึ่งเดินตามอยู่ด้านหลังนั้นมีข้ารับใช้ประจำตัวคนหนึ่งคอยกางร่มให้เช่นกัน
ฝนที่ตกปรอยๆ ก่อนที่เขาจะมาถึงตำหนักจักรพรรดินี บัดนี้ค่อยๆ ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ลูซิโอสงสัยจนแทบทนไม่ไหวว่าจักรพรรดินีอลิซาเตรียมของขวัญอะไรไว้ให้ แต่เขาก็ทำได้เพียงเดินตามอีกฝ่ายไปเงียบๆ ด้วยกลัวว่านางจะยึดของขวัญคืนหากตนแสดงอาการสงสัยใคร่รู้ออกไป
ไม่นานอลิซาก็หยุดเดิน สถานที่ที่พวกเขามาเยือนคือตำหนักเดี่ยวแห่งหนึ่งในพระราชวัง ลูซิโอหยุดเดินด้วยสีหน้าสงสัย หรือท่านแม่จะยกตำหนักนี้ให้เป็นของขวัญ? เขาคิดแบบเด็กๆ
“เจ้าเห็นอะไร ลูซิโอ”
มารดาที่เรียกเขาว่า ‘เด็กโสโครก’ มาตลอดเรียกชื่อเขาเป็นครั้งแรก เขารู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นแรงพร้อมกับตอบคำถามของมารดาอย่างซื่อตรง
“เหมือนจะเป็นคนนะพ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่ ถูกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่แล้ว นั่นคือคน”
นั่นคือคน แม้จะถูกพันไว้ด้วยผ้าขาวทำให้เดารูปร่างไม่ออก แต่นั่นดูเหมือนจะเป็นคนจริงๆ เมื่อรู้ว่าคำตอบกึ่งเดานั้นเป็นคำตอบที่ถูกต้อง ลูซิโอก็แสดงความดีใจออกมาทางสีหน้า แต่แล้วคำพูดต่อมาของอลิซาก็ทำลายสีหน้าดีใจนั้นจนหมดสิ้นในทันที
“คนที่เจ้าจะฆ่า”
“…อะไรนะพ่ะย่ะค่ะ”
ลูซิโอมองผู้เป็นมารดาอย่างไม่เชื่อหู อลิซายิ้มอย่างงดงาม นางดูไม่เหมือนคนที่จะออกคำสั่งเช่นนั้นกับเด็กคนหนึ่งได้
“คนที่เจ้าจะต้องฆ่าวันนี้อย่างไรเล่า ลูซิโอ” นางกล่าวย้ำกับบุตรชายบุญธรรมอีกครั้ง
“เสด็จแม่…”
“หากเจ้าสังหารคนผู้นั้น ข้าจะดีใจอย่างมาก ลูซิโอ เจ้าเต็มใจทำเพื่อแม่คนนี้หรือไม่”
หากเป็นเรื่องที่ทำให้มารดาดีใจ เขาย่อมยินดีไปด้วย แต่มิใช่เรื่องนี้ ฆ่าคนอย่างนั้นหรือ? เด็กหนุ่มส่ายศีรษะโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นใบหน้าประดับรอยยิ้มของอลิซาพลันเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง ลูซิโอเห็นดังนั้นก็พลอยหน้าเสียไปด้วย
อา สีหน้าของพระจักรพรรดินีดูไม่ดีอีกแล้ว ลูซิโอคาดเดาถึงการถูกทรมานได้โดยสัญชาตญาณ คาดเดาถึงการถูกทารุณซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนสุนัขของปาฟลอฟ[1]
“ลูซิโอ”
ทว่า นางไม่ได้ทุบตีเขาในทันที เพียงแต่เรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงเดียวกับเมื่อครู่ ลูซิโอรู้สึกตะลึงเมื่อท่าทีของอีกฝ่ายผิดไปจากที่คิด เขาตอบรับด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวเล็กน้อย
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่…”
“นี่เจ้าคิดจะขัดคำสั่งแม่อย่างนั้นหรือ”
“เสด็จแม่ มิใช่อย่างนั้น…”
“ไม่ต้องแก้ตัว เจ้ามันลูกไม่รักดีจริงๆ”
ลูกไม่รักดี ครั้นได้ยินคำพูดนี้ ลูซิโอก็เกร็งไปทั้งตัว คำคำนี้เขาได้ฟังมานับครั้งไม่ถ้วนในยามถูกทุบตี ลูกไม่รักดี เด็กโสโครก เด็กต่ำช้า การประทุษร้ายของนางไม่เคยหยุดอยู่แค่ที่ร่างกาย อลิซารู้ดีเพราะนางผ่านมันมาแล้ว นางรู้ดีว่าสิ่งที่ทำให้มนุษย์เจ็บป่วยหาใช่แผลทางกายแต่เป็นแผลทางใจ
อีกทั้งอลิซายังเป็นคนที่ปรารถนาจะฝากรอยแผลไว้กับลูซิโอมากกว่าใคร นางรู้สึกต่ำต้อยและริษยาจาเน็ตที่ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างที่นางไม่อาจมีได้ นางเกลียดชังลูซิโอที่จะได้รับสืบทอดทุกอย่างโดยชอบธรรม แม้กระทั่งตำแหน่งจักรพรรดิอันทรงเกียรติ ความจริงแล้วสิ่งเหล่านั้นหาใช่ความผิดของพวกเขา แต่ก็ช่วยไม่ได้ อลิซาต้องการใครสักคนมารับผิดชอบความรู้สึกด้านลบของนาง และคนผู้นั้นไม่อาจเป็นพระจักรพรรดิผู้ทรงอำนาจ นางจะบังอาจว่าร้ายจักรพรรดิของจักรวรรดิได้อย่างไรกัน ดังนั้นผู้รับเคราะห์จึงต้องเป็นสองแม่ลูกจาเน็ตและลูซิโอที่อ่อนแอและไร้อำนาจ
“สนองความต้องการของแม่คนนี้ก็ไม่ได้ ลูกเนรคุณ”
“…ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่ ทว่า…การสังหารผู้อื่นนั้น…”
“ไม่ต้องมาแก้ตัว”
อลิซาพูดอย่างเย็นชาและเริ่มลงไม้ลงมือกับลูซิโอ ลูซิโอได้แต่เม้มปากก้มหน้ามองเบื้องล่าง ปกติแล้วเขามักจะทำทุกอย่างตามที่อลิซาสั่ง มิเช่นนั้นเขาจะถูกทำร้ายทันที แต่เรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ ฆ่าคนอย่างนั้นหรือ! มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่เขาทำให้ไม่ได้เด็ดขาด
แต่ในพจนานุกรมของอลิซาไม่มีคำว่า ‘ทำให้ไม่ได้เด็ดขาด’ นางเป็นถึงจักรพรรดินีของจักรวรรดิ และในระหว่างนี้ที่จักรพรรดิไม่อยู่ นางก็เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ คนที่ขัดใจนางได้ต้องมีแค่จักรพรรดิคนเดียวเท่านั้น มิเช่นนั้นนางคงจะดูน่าสมเพชเกินไป จักรพรรดินีที่ไม่ได้รับทั้งความรักและไม่มีทั้งอำนาจไม่ดูไร้ค่าเกินไปหน่อยหรือ
“ลูกเอย แม่ถือไม้เรียวครั้งสุดท้ายเมื่อไรกันนะ”
‘ถือไม้เรียว’ ไม่ได้มีความหมายตามตัวอักษร แต่เป็นคำเฉพาะที่หมายถึงการทำร้ายลูซิโอโดยไม่เลือกวิธีการ ซึ่งคำพูดนั้นทำให้ลูซิโอหวาดกลัวจนปัสสาวะแทบราด อา สุดท้ายแม้แต่ในวันเกิดของข้า…ท่านแม่ก็จะตีข้าอย่างนั้นหรือ ทำไมล่ะ เพราะข้าไม่ยอมฆ่าคนผู้นั้นหรือ? เด็กชายครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว และแล้วเขาก็ได้ข้อสรุป
ท่านแม่จะตีข้าเพราะข้าไม่ยอมฆ่าคนผู้นั้น
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ทำไม่ได้ เขามองมารดาอย่างหวาดหวั่นและนั่นก็คือการดิ้นรนที่น่าเวทนาของเด็กน้อยที่กำลังร้องขอความเมตตา เมื่อเด็กน้อยขอร้องด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยถึงเพียงนั้น ย่อมสมควรที่จะได้รับความเมตตา ทว่า อลิซาไม่มีความคิดเช่นนั้น สิ่งที่ถูกสลักไว้ในใจของนางมีเพียงสิ่งเดียว
ข้าไม่ได้อุ้มท้องเด็กคนนี้มา
“อัก!”
การทารุณเริ่มขึ้นแล้ว คติประจำใจในการทารุณของนางคือ ‘ศีรษะจรดปลายเท้า’ เสมอ นางจะเริ่มทำร้ายจากศีรษะจนกระทั่งไปจบที่นิ้วเท้าแต่ละนิ้ว ไม่เพียงแต่การทำร้ายร่างกายทั่วไป แต่ยังรวมไปถึงการคุกคามทางเพศอีกด้วย ความอำมหิตของนางชั่วร้ายและสกปรกเกินบรรยาย เป็นสิ่งที่ไม่คิดว่าคนเป็นแม่จะกล้าทำกับลูกได้ลงคอ
“ฮึก ฮึก!”
ลูซิโอครวญครางอย่างเจ็บปวดพลางปกป้องตัวเองด้วยการกุมมือเรียวบางนั้นไว้ ความเจ็บปวดที่ผู้เป็นมารดามอบให้มิได้เกิดขึ้นกับร่างกายเท่านั้น แต่การถูกคนที่ได้ชื่อว่าแม่ทำร้ายเช่นนี้ย่อมสั่นคลอนไปถึงค่านิยม ‘แม่ทุกคนรักลูก’ ซึ่งฝังลึกอยู่ในใจของเด็กน้อย ด้วยเหตุนี้ เขาจึงสงสัยมาตลอดว่าเหตุใดเขาจึงไม่เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ เหตุใดจึงมีแต่เขาที่ถูกมารดาบังเกิดเกล้าทำร้าย
และผลลัพธ์ก็มักจะออกมาในแง่ลบไปเสียทุกครั้ง เพราะจิตใจของเด็กนั้นแสนบริสุทธิ์ พวกเขาจึงมองหาสาเหตุของการถูกทำร้ายอย่างทารุณจากตัวพวกเขาเองซึ่งเป็นผู้ถูกกระทำ มิได้มองหาจากตัวผู้กระทำ เมื่อเป็นเช่นนั้นการทารุณกรรมทางร่างกายจึงไม่ได้ทิ้งบาดแผลไว้เพียงบนผิวหนังเปลือกนอก แต่ยังก่อให้เกิดการพังทลายลึกลงไปในจิตใจ รวมถึงความรู้สึกในแง่ลบอื่นๆ อีกด้วย
สิ่งเหล่านี้แม้แต่ผู้ใหญ่ทั่วๆ ไปก็ยังยากที่จะทนไหว จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เด็กหนุ่มที่ยังไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่จะทนได้ ในตอนนี้ลูซิโอจึงกำลังค่อยๆ ตายลงช้าๆ
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท…โปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วย…”
แม้เขาจะกำลังดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดแต่เขาก็ไม่อาจเรียกอลิซาผู้ที่เขาคิดว่าเป็นแม่แท้ๆ ว่า ‘แม่’ ได้ อาจเป็นเพราะเขารู้อยู่แล้วว่าอลิซาเกลียดการที่เขาเรียกนางว่าแม่ ดังนั้น เขาจึงกระเสือกกระสนอย่างน่าเวทนาและพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อแสดงให้นางเห็น หรืออย่างน้อยก็เพื่อซื้อความเมตตาจากนาง
ทว่า อลิซาเป็นคนไร้ความเมตตา นางไม่สนใจความทรมานของเด็กชายที่ไม่ใช่ลูกของตนสักนิด อะไรกันที่ทำให้นางกลายเป็นนางมารร้ายที่โหดเหี้ยมอำมหิตได้ถึงเพียงนี้ นางกลายเป็นเช่นนี้เพราะจักรพรรดิไม่ไยดีนางจริงหรือ? หรือเป็นเพราะอนุภรรยาและบุตรนอกสมรสของสามี?
บางทีนางอาจชินชากับการลงทัณฑ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่านี้แล้วก็เป็นได้ เช่นเดียวกับที่ลูซิโอชินชากับการลงทัณฑ์ของผู้เป็นมารดา แม้แต่ตัวอลิซาเอง ในท้ายที่สุดนางก็คุ้นชินกับการลงโทษนั้นเสียแล้ว โดยที่ไม่รู้เลยว่าความคุ้นชินนั้นหล่อหลอมให้ตนกลายเป็นปีศาจร้าย หรือบางทีนางอาจไม่ได้สนใจว่าตัวเองจะต้องกลายเป็นปีศาจหรือไม่
“เจ้าเด็กขอทาน! มีใครจะฆ่าเจ้าหรืออย่างไร เจ้านี่โง่เขลาเบาปัญญาเหมือนใครกัน?!”
แผลเดิมเมื่อไม่นานมานี้ยังไม่ทันสมานดีก็ปริแตกอีกครั้ง ลูซิโอกัดปากแน่นและร้องครางออกมาเบาๆ ด้วยความเจ็บปวด ในขณะเดียวกันเขาก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาด้วยสติที่เลือนรางเต็มที
ในระหว่างที่ทุบตีเขา ผู้เป็นมารดามักจะพูดว่า ‘เจ้านี่โง่เขลาเบาปัญญาเหมือนใครกัน’ อยู่บ่อยครั้ง แต่ลูซิโอที่ยังเล็กย่อมไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนั้น ตัวเขาเป็นบุตรของจักรพรรดิและจักรพรรดินีไม่ผิดแน่ หากเขาไม่เหมือนสองคนนั้น แล้วเขาเหมือนใครกันล่ะ? ตัวเขาซึ่งไม่ได้รู้ถึงชาติกำเนิดที่แท้จริงของตนจึงไม่อาจทำความเข้าใจได้
เมื่อถูกทุบตีหนักเข้าก็ยากที่จะประคองสติอันเลือนลางไว้ได้ ในท้ายที่สุดเขาก็รู้สึกว่าหัวสมองของตนว่างเปล่า แม้เขาจะชินชากับความเจ็บปวดซ้ำซากแล้วก็ตาม แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ทรมาน เช่นเดียวกับการถูกมีดบาด ไม่ว่าจะถูกบาดอีกกี่ครั้งก็ยังคงเจ็บอยู่ดี
เขาเพียงแต่อดทนไว้เท่านั้น อย่างน้อยตอนที่ถูกทำร้ายคราวก่อนเขาก็ไม่ตาย เขาจึงคิดว่าคราวนี้ก็คงไม่ตายเหมือนกัน เขาปกป้องตัวเองด้วยการคิดในแง่ดีอย่างน่าสงสาร อย่างน้อยลูซิโอที่ยังเยาว์วัยก็อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป
แต่คราวนี้ช่างหนักหนาเหลือเกิน ในชั่วขณะนั้นเองลูซิโอที่ยังคงอดทนต่อการทุบตีของอลิซามีความคิดหนึ่งผ่านเข้ามาในสมอง
‘หากข้าฆ่าคนคนนั้นเสีย ท่านแม่จะเลิกตีข้าไหมนะ’
[1] สุนัขของปาฟลอฟ คือ สุนัขที่ถูกใช้ในการทดลองของอีวาน เปโตรวิช ปาฟลอฟ เขาเป็นเป็นนักจิตวิทยาและสรีรวิทยาชาวรัสเซีย-โซเวียตที่ศึกษาเกี่ยวกับการทำงานของกระเพาะอาหารของสุนัขโดยการผ่าต่อมน้ำลายเพื่อเก็บ วัด และวิเคราะห์น้ำลายที่ตอบสนองเมื่อมีอาหารภายใต้สภาวะต่างๆ
“เจ้าไม่ถามเหตุผล?”
ลูซิโอเลือกที่จะถามกลับ แทนที่จะตอบคำถาม
“หากหม่อมฉันถาม ฝ่าบาทจะเล่าให้หม่อมฉันฟังหรือเพคะ” แพทริเซียตอบไปในทันที
“…”
“ก็ไม่”
“…เจ้าไม่เข้าใจหรอก”
“เรื่องนั้นใครจะรู้เพคะ หม่อมฉันเองก็ยังไม่ทันได้ฟัง ไม่รู้รายละเอียด ตอนนี้หม่อมฉันจึงไม่อาจเข้าใจอะไรได้ทั้งนั้น จะให้หม่อมฉันเข้าใจเรื่องที่เกิดในคืนนั้นได้อย่างไร ในเมื่อหม่อมฉันไม่รู้อะไรเลย”
“…”
“ฝ่าบาทอาจรู้สึกว่ามันไม่จำเป็น แต่หากทรงร้องขอการเข้าใจจากหม่อมฉัน พระองค์ก็ต้องเล่าให้หม่อมฉันฟังสิเพคะ หม่อมฉันไม่รู้วิชาอ่านใจ เพราะฉะนั้นหากฝ่าบาทไม่เล่าให้หม่อมฉันฟัง หม่อมฉันก็คงไม่เข้าใจพระองค์ไปจนวันตาย”
แต่เขาก็คงไม่เล่าให้ฟังหรอก มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องเล่าให้นางฟัง? หากเป็นโรสมอนด์ก็ว่าไปอย่าง แพทริเซียไม่ได้คาดหวังอะไร เพราะเขาและนางไม่ได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดถึงขั้นที่จะคาดหวังอะไรแบบนั้นได้อยู่แล้ว
“ฝ่าบาทจะเล่าให้หม่อมฉันฟังหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับหม่อมฉันหรอกเพคะ พระองค์คงจะทราบดีว่าหม่อมฉันไม่ได้รักและไม่ได้สนใจในตัวพระองค์ถึงขั้นจะเก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจ”
“…”
“แต่หากพระองค์จะตรัสถึงสาเหตุ หม่อมฉันก็จะรับฟัง และจะพยายามเข้าใจเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยพวกเราสองคนก็อยู่ในฐานะที่จะทำเช่นนั้นได้มิใช่หรือเพคะ”
ครั้นพูดจบแพทริเซียก็สังเกตเห็นความหวาดกลัวในแววตาของลูซิโอ นั่นมิใช่ความหวาดกลัวที่มีต่อนาง แต่เป็นอะไรที่ไกลกว่านั้น เขา…กำลังกลัวสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น
เขากลัวอะไรกันนะ เขากลัวว่าข้าจะไม่เข้าใจอาการคลุ้มคลั่งของเขาอย่างนั้นหรือ? มิเช่นนั้น หรือเขาจะกลัวข้าเปิดโปงว่าจักรพรรดิเป็นคนเสียสติ?
“พระองค์จะเล่าหรือไม่ก็ไม่เป็นไรเพคะ สำหรับเรื่องวันนั้นแค่ปิดเอาไว้ก็จบแล้ว อีกอย่าง…หม่อมฉันไม่คิดจะแพร่งพรายเรื่องนั้นเลยสักนิด ฉะนั้น ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย คนรอบตัวหม่อมฉันก็มิใช่คนปากเบา คงไม่มีเรื่องเสื่อมเสียถึงพระเกียรติของฝ่าบาทและราชวงศ์หรอกเพคะ” แพทริเซียพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว
“…”
ถึงนางจะพูดแบบนั้นแต่เขาก็ยังไม่ยอมพูดอะไร แพทริเซียเข้าใจว่าเรื่องนี้ต้องใช้เวลา แต่นางก็อดอึดอัดใจไม่ได้ที่ตนไม่ได้รับคำตอบในทันที นางเฝ้ารออย่างอดทน การเค้นคำตอบจากเด็กที่กำลังหวาดกลัวเป็นเรื่องที่โง่เขลา อย่างน้อยก็ต้องรอให้หายกลัวเสียก่อน นั่นคือสิ่งที่ควรทำ
“เจ้า…ไม่เข้าใจเราหรอก”
แม้เขาจะพูดเหมือนเดิมแต่แพทริเซียก็ไม่ได้มีสีหน้าเบื่อหน่าย นางเอ่ยถามอีกฝ่ายอีกครั้ง
“ความเข้าใจของหม่อมฉันสำคัญกับฝ่าบาทหรือเพคะ”
“…”
“หม่อมฉันอาจไม่เข้าใจพระองค์ก็เป็นได้เพคะ แต่มันก็แค่นั้น หม่อมฉันสงสัยเหลือเกินว่าพระองค์อาจกำลังต้องการการยอมรับจากหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันก็มิใช่เลดี้โรสมอนด์ที่ฝ่าบาททรงรักหนักหนาเสียหน่อย”
“…”
ลูซิโอมองมาด้วยดวงตาที่แดงขึ้น เขากำลังร้องไห้หรือ แพทริเซียเห็นเพียงตาแดงๆ ของเขาเท่านั้น แต่ไม่เห็นน้ำตาที่ไหลผ่านแก้ม หากมีแสงจันทร์สาดส่องลงมาสักนิดคงจะดีไม่น้อย ไม่สิ ที่เป็นอยู่ตอนนี้อาจจะดีกว่ากระมัง ไม่รู้ว่าม่านความมืดที่กั้นกลางระหว่างพวกเขาจะทำให้คนทั้งคู่ซื่อสัตย์ต่อกันได้มากขึ้นหรือไม่
ความเงียบห้อมล้อมทั้งสองคนอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นลูซิโอก็เริ่มบทสนทนาด้วยคำสารภาพอันน่าสะเทือนใจ
“เราเป็นฆาตกร”
แค่คำแรกก็ไม่ปกติเสียแล้ว
หากจะพูดกันตามตรง ช่างน่าอัศจรรย์ใจที่ตอนนี้เขายังไม่กลายเป็นคนบ้า หากเป็นคนปกติทั่วไปคงเป็นบ้าไปแล้ว เพราะฉะนั้น เขาช่างเป็นคนที่ชั่วร้ายเหนือความชั่วร้ายทั้งปวง เพราะแม้จะประสบกับความตายเช่นนั้นแต่เขาก็ยังขึ้นครองบัลลังก์และปกครองจักรวรรดิได้อย่างหน้าตาเฉย
เขาเป็นบุตรชายคนโตของจักรพรรดิองค์ก่อนก็จริง แต่เขาไม่ใช่บุตรชายคนโตที่เกิดจาก ‘ภรรยาหลวง’ มารดาบังเกิดเกล้าของเขาไม่ใช่จักรพรรดินีในจักรพรรดิองค์ก่อน
มารดาบังเกิดเกล้าของเขาเป็นอนุภรรยาของจักรพรรดิ นามว่าจาเน็ต นางเป็นบุตรีของตระกูลชาวบ้านยากจนที่โชคดีเป็นที่ถูกตาต้องใจของจักรพรรดิขณะออกเดินทางท่องเที่ยวจนได้มาเป็นอนุภรรยาของเขา แม้นางจะให้กำเนิดบุตรชาย แต่ก็น่าแปลกที่นางไม่ได้รับการตั้งแต่บรรดาศักดิ์เสียที
นั่นเป็นเพราะจักรพรรดิมัวแต่ให้ความสนใจกับตระกูลดยุกออสวินซึ่งเป็นตระกูลของจักรพรรดินี เป็นกังวลว่าพวกเขาจะคิดเช่นไร ในปัจจุบันตระกูลดยุกออสวินได้หายหน้าหายตาไปจากวงสังคมแล้ว แต่ในตอนนั้นพวกเขาแทบจะเป็นตระกูลเดียวในจักรวรรดิที่มีอิทธิพลล้นฟ้า แม้ตอนนี้ดยุกออสวินซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงตามกฎหมายของเขาจะเก็บตัวอยู่ในปราสาทที่หัวเมืองจึงไม่ได้แสดงอำนาจอะไร แต่หากดยุกออสวินต้องการล่ะก็ ตระกูลนั้นก็ยังคงมีอำนาจมากพอที่จะสั่นคลอนจักรวรรดิได้ทุกเมื่อ
มารดาตามกฎหมายของเขาคือจักรพรรดินีอลิซา นางเป็นคนมีเมตตา แน่นอนว่าในความทรงจำของเขานางคือปีศาจร้าย ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น แต่เขาก็ได้ยินมาเหมือนกันว่าเดิมทีนางเป็นคนที่อ่อนโยนมาก
เขาไม่เชื่อว่าคนเราจะเป็นคนดีโดยกำเนิด และไม่เชื่อว่าคนเราจะเป็นคนเลวโดยกำเนิดเช่นกัน สิ่งที่เขาเชื่อคือคนเราไม่ได้ดีหรือเลวโดยเนื้อแท้แต่ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม นิสัยโดยพื้นฐานของมนุษย์ไม่ได้ชัดเจนว่าดีหรือเลว และความดีกับความเลวก็สามารถอยู่ร่วมกันได้
แรกเริ่มเดิมทีอลิซาเป็นคนดีจริงๆ อย่างที่ทุกคนพูด แต่เมื่อสามีที่รักพาอนุภรรยาเข้าบ้าน และอนุภรรยาคนนั้นก็ให้กำเนิดบุตรชาย จิตใจของนางก็เริ่มบิดเบี้ยว เมื่อสถานการณ์เริ่มเลวร้ายลง ความดีที่คอยควบคุมนางให้อยู่กับร่องกับรอยก็หายไป ความชั่วร้ายที่ไม่เคยปรากฏให้เห็นก็ผงาดขึ้นมาแทนที่
เมื่อความชั่วร้ายปรากฏออกมาครั้งหนึ่ง จะถูกกลืนกินเมื่อใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น ยิ่งเจ้าตัวไม่มีความตั้งใจที่จะควบคุม ความชั่วร้ายนั้นจะยิ่งแผลงฤทธิ์
หากนางมีลูกน้อยที่สามารถช่วยผ่อนคลายอารมณ์ของนางได้ สถานการณ์อาจจะดีกว่านี้ไหมนะ แต่น่าเสียดายที่ร่างกายของนางไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้ หรือก็คือนางเป็นหมัน ตอนที่รู้ความจริงข้อนี้นางก็เสียสติไปแล้วครึ่งตัว การที่ไม่สามารถให้กำเนิดเลือดเนื้อเชื้อไขของคนที่ตนรักได้นั้น สำหรับจักรพรรดินีอย่างนางมันไม่ต่างอะไรกับคำสั่งประหาร
เมื่อจักรพรรดินีไม่อาจให้กำเนิดรัชทายาท ตัวตนของนางก็ไร้ค่า ต่อให้นางจะเป็นถึงบุตรีของดยุกออสวินก็เปลี่ยนความจริงข้อนั้นไม่ได้ แต่อลิซาก็อยากจะอยู่เคียงข้างสามีที่นางรักจนกว่าชีวิตจะหาไม่
ในที่สุดนางก็รับบุตรของอนุภรรยามาเลี้ยงเพื่อรับมือกับความสิ้นหวัง แน่นอนว่าจาเน็ตย่อมปฏิเสธ แต่ใครเล่าจะฟังคำทัดทานของอนุภรรยาต่ำต้อยที่ไม่มีแม้แต่บรรดาศักดิ์ อีกทั้งเจ้าของคำสั่งยังเป็นถึงบุตรีของตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิและเป็นจักรพรรดินีผู้แสนประเสริฐของประเทศ
สุดท้ายจาเน็ตก็ถูกพรากลูกไปจากอกโดยมิอาจต่อต้าน หากเรื่องทุกอย่างจบลงเพียงเท่านั้นก็คงไม่เป็นไร แต่ในตอนนั้นไม่มีใครรู้เลย
การรักลูกคนอื่นมิใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเมื่อเด็กคนนั้นเป็นลูกของสามีที่รักกับอนุภรรยาที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ช่างน่าเสียดาย อลิซามิใช่นางฟ้านางสวรรค์ที่จะทำคุณงามความดีเช่นนั้นได้
นางเป็นเพียงมนุษย์ที่แสนจะธรรมดาคนหนึ่ง เพียงแต่เติบโตมาในครอบครัวที่ร่ำรวยจึงมีอิสระมากกว่าคนอื่น มองโลกในแง่ดีมากกว่าคนอื่น และโอบอ้อมอารีมากกว่าคนอื่นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้นางจึงรู้สึกว่าความโชคร้ายที่เกิดขึ้นกับตนน่าเศร้าสลดยิ่งกว่าใคร
แม้จักรพรรดิจะเฝ้ามองอลิซาเลี้ยงดูเขาด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ แต่อลิซาก็บอกอีกฝ่ายอย่างมั่นใจว่านางจะเลี้ยงเขาอย่างดี ความจริงแล้วการเลี้ยงดูของอลิซาไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่า ‘ดี’ แม้แต่น้อย แค่บอกว่านั่นคือการเลี้ยงดู ‘อย่างดี’ ก็นับว่าเป็นการเข้าใจผิดแล้ว
นางทารุณเขา สถานที่ก็แตกต่างกันออกไป แต่โดยส่วนมากมักจะเกิดขึ้นในตำหนักจักรพรรดินีที่นางอาศัยอยู่ ตำหนักจักรพรรดินีจึงกลายเป็นสถานที่อันทุกข์ระทมที่ทำให้เขาหวนคิดถึงช่วงเวลาที่ถูกทารุณ นางทรมานเขาทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ นางไม่ลังเลที่จะด่าทอเขาด้วยถ้อยคำโหดร้าย แน่นอนว่าคำด่าทอเหล่านั้นมุ่งมาที่ตัวเขาเอง ช่างน่าอัศจรรย์ใจที่ตัวเขาในวัยเด็กได้ฟังถ้อยคำเหล่านั้นแล้วยังสามารถเติบโตขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์เช่นนี้
เขาถูกทำร้ายจนแทบจะกลายเป็นกิจวัตร นางทำร้ายเขาในจุดที่มองไม่เห็นเท่านั้นเพื่อมิให้จักรพรรดิสงสัย ผลลัพธ์ก็คือร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลน้อยใหญ่ที่หากจักรพรรดิไม่จับเขาถอดเสื้อผ้าออกจนหมดก็คงไม่มีวันเห็น
เขาถูกนางเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเล็กจึงไม่รู้ถึงการมีอยู่ของจาเน็ต เขาไม่รู้เลยว่าเหตุใดอลิซาซึ่งเป็นแม่แท้ๆ ถึงได้จงเกลียดจงชังเขาถึงเพียงนี้ เป็นธรรมชาติของเด็กทั่วไปที่จะคิดว่าตัวเองมีปัญหา แม้ว่าเขาจะเพียรพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อซื้อใจผู้เป็นแม่ แต่สิ่งที่เขาได้รับคืนมากลับมีแต่ความรุนแรงไปเสียทุกครั้ง
แม่แท้ๆ เอาแต่เรียกเขาว่า ‘เด็กโสโครก’ เด็กน้อยที่ไม่รู้ประสาก็คิดว่าปัญหาอยู่ที่ความสะอาดของตนจึงอาบน้ำวันละสองสามรอบให้สิ้นเปลืองเล่น หลังจากนั้นพักใหญ่เขาถึงได้รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่ไม่มีประโยชน์จึงได้เลิกทำ
ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไร มารดาก็ไม่มีวันรักเขา ลูซิโอเข้าใจความจริงข้อนั้นในที่สุดเมื่ออายุได้สิบสามปี แน่นอนว่าผลที่ตามมามีเพียงจิตใจที่อ่อนล้าและร่างกายที่บอบช้ำเท่านั้น
เดิมเขาเป็นคนสดใสร่าเริง แต่เมื่อถูกกระทำเช่นนั้นต่อเนื่องมาถึงสิบสามปี รอยยิ้มบนใบหน้าจึงหายไปนานมากแล้ว แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เด็กคนหนึ่งซึ่งถูกผู้หญิงที่เข้าใจว่าเป็นแม่แท้ๆ ทุบตีอย่างทารุนแล้วยังเติบโตขึ้นมาเป็นคนสดใสร่าเริงได้ แต่ตัวเขาในตอนนั้นอ่อนล้าเกินกว่าที่จะรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง
แม้เขาจะถูกทำร้ายเจียนตายแต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ ก่อนที่จะเกิด ‘เรื่องนั้น’ ขึ้น
จักรพรรดิองค์ก่อนมักออกไปพิชิตดินแดนอยู่บ่อยครั้ง อาณาเขตของจักรวรรดิมาวินอสในตอนนี้เพิ่มขึ้นจากเดิมถึงร้อยละสิบในรัชสมัยของเขานั่นเอง สงครามพิชิตดินแดนเกิดขึ้นเพื่อการนั้น จักรพรรดิออกไปทำศึกบ่อยครั้ง บัลลังก์ในพระราชวังจึงว่างอยู่เป็นประจำ และคนที่ต้องปฏิบัติหน้าที่แทนก็คือจักรพรรดินี
เมื่อจักรพรรดิไม่อยู่ อลิซาก็ทรมานลูซิโอหนักขึ้น ตั้งแต่เด็กจนโตเรื่องนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง เขาเจ็บป่วยทั้งกายและใจจนไม่อาจปัดป้อง อีกทั้งเขายังชินชากับการถูกนางทำร้ายเสียแล้ว เหมือนกับลูกช้างที่เคยพยายามดิ้นรนให้ตนหลุดพ้นจากโซ่ล่ามเท้า แต่เมื่อโตขึ้น มันกลับยอมรับโซ่นั้นเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย สำหรับลูซิโอ จักรพรรดินีอลิซาก็เหมือนกับโซ่ล่ามเท้าช้างเส้นนั้น
ตอนวันเกิดอายุครบสิบห้าปีของลูซิโอ จักรพรรดิต้องออกไปทำศึกอีกครั้งจึงไม่อยู่ในพระราชวัง และนั่นคือบ่อเกิดแห่งโศกนาฏกรรมที่ไม่อาจย้อนคืน
เปโตรนิยากลับจากห้องเครื่องแล้ว นางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“มีเรื่องสนุกอะไรหรือคะ ‘วันนั้น’ นี่คือ…”
“เอ่อ…”
มีร์ยามีสีหน้าลำบากใจ ในบรรดาพวกนางสามคน มีเพียงเปโตรนิยาคนเดียวที่ไม่รู้เรื่อง แล้วนางยังโผล่มาได้จังหวะแบบนี้อีก มีร์ยาคิดหาคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายนางก็ตัดสินใจตอบออกไปตามตรง ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นพี่สาวของจักรพรรดินี คงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องปิดบังนาง
“มิใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอกค่ะ พอดีเมื่อไม่กี่วันก่อนเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย”
“เรื่องวุ่นวายหรือคะ”
เปโตรนิยาถามด้วยสีหน้าใคร่รู้ หากเป็นเรื่องที่นางไม่รู้ก็แสดงว่าเรื่องนั้นน่าจะเกิดหลังจากที่นางกลับบ้านไปแล้ว ตกเย็นนางจะกลับคฤหาสน์มาร์ควิสทุกวัน หญิงสาวลองสุ่มถามออกไป
“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในคืนนั้นหรือคะ”
“ความสามารถในการได้ยินของฝ่าบาทค่อนข้างละเอียดอ่อน แค่เสียงเบาๆ ก็ทำให้พระองค์ตื่นจากบรรทมได้อยู่ร่ำไป เมื่อวันก่อนก็เป็นเช่นนั้นค่ะ แต่ระหว่างที่ตามหาที่มาของเสียงอยู่นั้นก็ไปพบพระจักรพรรดิเข้าน่ะค่ะ”
“…ในตำหนักจักรพรรดินีน่ะหรือคะ”
“ค่ะ”
“นั่นก็…แปลกจริงๆ นั่นแหละค่ะ”
เปโตรนิยาพึมพำออกมาด้วยความประหลาดใจ ในตอนนั้นเองราฟาเอลาที่ยืนเฉยมาจนถึงเมื่อครู่ก็เข้ามาผสมโรงด้วย
“ข้าก็คิดเช่นนั้น เหตุใดฝ่าบาทถึงประทับอยู่ที่นั่นในเวลานั้น…ที่จริงนี่เป็นเรื่องที่นางกำนัลตำหนักกลางขอร้องไว้ว่าไม่ให้พูด เกรงว่าจะเสื่อมเสียถึงพระเกียรติของฝ่าบาท แต่ข้าเองก็ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมพวกนางถึงต้องพูดเช่นนั้น…”
“…ก็…คงมีเหตุผลอยู่กระมัง เหตุผลที่พวกเราไม่ควรสงสัย”
“ใช่ไหมล่ะ?”
“จะว่าไปแล้ว เช่นนั้นริซซี่ก็อยู่กับฝ่าบาททั้งคืนเลยหรือ เอล่า”
“ใช่แล้ว จนกระทั่งก่อนรุ่งสางฝ่าบาทจึงมีรับสั่งให้พาพระจักรพรรดินีกลับมาที่ห้อง”
“…”
เปโตรนิยาทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ราฟาเอลาเห็นดังนั้นก็เอ่ยถามด้วยสงสัยในท่าทีของอีกฝ่าย
“ทำไมหรือ นิล? หรือเจ้ารู้อะไรมา?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร เพียงแต่…ข้าคิดว่ามันแปลกก็เท่านั้น แต่เท่าที่ดูแล้วเหมือนจะไม่มีใครรู้ต้นสายปลายเหตุเลยสินะ”
“ฝ่าบาทเองก็ดูเหมือนจะไม่รู้เช่นกัน ไม่พูดถึงอีกน่าจะดีกว่าจริงๆ นั่นแหละ”
“นั่นสินะ หาใช่เรื่องที่เราจะไปขุดคุ้ยให้เป็นเรื่องใหญ่โดยใช่เหตุ”
เปโตรนิยาจบบทสนทนาโดยสมบูรณ์ก่อนจะยกจานใส่ทาร์ตขึ้นมาด้วยรอยยิ้มสดใสราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“หัวหน้าห้องเครื่องเพิ่งอบเสร็จใหม่ๆ อร่อยมากทีเดียว ลองชิมกันดูสิคะ”
“นำไปถวายฝ่าบาทก่อนแล้วพวกเราค่อยทานที่เหลือแล้วกันค่ะ เลดี้เปโตรนิยา”
“ได้เลยค่ะ”
เปโตรนิยายิ้มยิงฟัน รอยยิ้มสดใสที่เป็นเอกลักษณ์ของนางให้ความรู้สึกสดใหม่เหมือนทาร์ต นางเดินไปถึงห้องที่น้องสาวอยู่ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป เมื่อแพทริเซียเห็นพี่สาวก็ต้อนรับอย่างยินดี
“นิล”
“ขยันจังนะ เสด็จน้อง”
“ขยันอะไรกันล่ะ”
เปโตรนิยาเดินเข้าไปหาแพทริเซียที่หน้าแดงเหมือนกำลังเขินอาย วางจานใส่ทาร์ตลงบนโต๊ะก่อนจะเอ่ยถาม
“ยุ่งมากหรือไม่ หากไม่ยุ่งเกินไปก็มาทานก่อนเถอะ หัวหน้าห้องเครื่องเพิ่งอบเสร็จใหม่ๆ รสชาติเยี่ยมยอด”
“อย่างนั้นหรือ”
แพทริเซียยิ้มกว้างและลุกจากโต๊ะ งานของนางก็ไม่ได้เร่งด่วนอะไรจึงพอจะมีเวลาให้ได้ลิ้มลองทาร์ตก่อน หญิงสาวเดินเนิบๆ ไปนั่งร่วมโต๊ะกับเปโตรนิยา เมื่อได้ชิมทาร์ตเข้าไปคำหนึ่ง นางก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขในทันใด ช่างหอมหวานนัก
“อา อร่อยจัง ฝีมือของหัวหน้าห้องเครื่องนี่เยี่ยมจริงๆ”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น”
พูดจบ เปโตรนิยาก็หาจังหวะยกเรื่องที่ได้ฟังเมื่อครู่ขึ้นมาพูด
“ริซซี่”
“หืม?”
“ได้ยินว่าคืนก่อนเจ้าพบกับฝ่าบาทหรือ”
“อ๊ะ…เรื่องนั้นนีย่ารู้ได้อย่าง…”
“ไม่สำคัญหรอก ริซซี่”
เปโตรนิยาคงรอยยิ้มไว้บนใบหน้าและพูดต่อ
“มี…เรื่องอะไรหรือเปล่า”
“เรื่อง…อะไรหรือ”
แพทริเซียรู้สึกประหม่าขึ้นมา อะไรกัน หรือว่านีย่าไปรู้อะไรมา? แพทริเซียรักษาความสุขุมเยือกเย็นเอาไว้และถามกลับไป
“เจ้าพูดถึง…เรื่องอะไรหรือ”
“ก็เรื่องทั่วๆ ไป เรื่องที่ข้าไม่รู้”
“…ไม่มีอะไรหรอก”
ไม่มีความลับระหว่างพี่น้อง ทว่า กฎข้อนั้นมีอันต้องสิ้นสุดลงในวันนี้ แพทริเซียโกหก แต่ไม่ใช่เพราะนางไม่เชื่อใจพี่สาวฝาแฝด นางเพียงแต่ระมัดระวังคำพูดของตนเท่านั้น
ขอเพียงเป็นเรื่องของนาง พี่สาวคนนี้จะคอยช่วยเหลือทุกอย่าง ใส่ใจทุกรายละเอียดไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด แพทริเซียไม่อยากพูดอะไรที่ไร้ประโยชน์กับเปโตรนิยา ไม่อยากทำให้อีกฝ่ายเป็นห่วง และที่สำคัญตัวนางเองก็จำไม่ค่อยได้ว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง สิ่งที่จำได้อย่างแม่นยำมีเพียงความบ้าคลั่งที่ลูซิโอก่อไว้ในคืนนั้น แน่นอนว่าในใจของเปโตรนิยาหมายถึงเรื่องทำนองนั้น แต่แพทริเซียคงไม่มีทางรู้ไปถึงจุดนั้น
“จริงๆ นะ ข้าหลับไปก่อนที่จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นเสียอีก”
“…เป็นเช่นนั้นนี่เอง ข้าก็…นึกว่ามีอะไรเสียอีก โล่งอกไปที”
“นิลนี่ล่ะก็ ห่วงข้ามากเกินไปแล้ว นี่ข้าดูเหมือนเด็กที่ถูกทิ้งไว้ริมแม่น้ำหรืออย่างไร”
ทั้งๆ ที่บางครั้งนีย่าเองก็ทำตัวเป็นเด็กเหมือนกันแท้ๆ เปโตรนิยาเห็นแพทริเซียบ่นงึมงำกับตัวเองพลางหัวเราะเบาๆ ก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย นั่นสินะ…ในเมื่อเจ้าตัวบอกว่าไม่มีอะไร ก็คงไม่มีอะไรจริงๆ นั่นแหละ เปโตรนิยาสลัดความกังวลใจโดยใช่เหตุทิ้งไปพร้อมกับเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
***
หลังจากวันนั้นอาการชักของลูซิโอก็ไม่ได้กำเริบอีก โชคดีที่อาการชักไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยเท่ากับการฝันร้าย หากอาการกำเริบติดต่อกัน คงมีข่าวลือว่า ‘จักรพรรดิวิปลาส’ แพร่สะพัดไปทั่วในทันที
เพื่อป้องกันอะไรก็ตามที่จะมาสั่นคลอนอำนาจในการปกครองของเขาตั้งแต่เนิ่นๆ ตราบใดที่ยังไม่ตาย เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากคอยปิดปากข้ารับใช้ในวังไม่ให้แพร่งพรายเรื่องนี้เท่านั้น นั่นคือความคิดของลูซิโอ และเพราะจัดการได้ดี จึงมีข้ารับใช้ที่ทำงานใกล้ชิดเขาเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้
นับจากวันนั้นที่อาการชักกำเริบ ลูซิโอก็ปวดหัวข้างเดียวเป็นพักๆ อยู่สองสามวัน นี่เป็นอาการที่ไม่อาจรักษาให้หายได้ด้วยยา ลูซิโอจึงนอนกลางวันและออกมาเดินเล่นคนเดียวในตอนกลางคืน เขารู้สึกว่าลมเย็นๆ ในตอนกลางคืนช่วยให้หัวสมองปลอดโปร่งขึ้น และในบางครั้งแสงขาวนวลของดวงจันทร์ก็ช่วยรักษาอาการที่ยารักษาไม่ได้
คล้ายว่าเป็นตลกร้ายที่สถานที่ที่เขาไปเดินเล่นบ่อยที่สุดคือสวนดอกไม้ที่แพทริเซียโปรดปรานทั้งในชาติก่อนและชาตินี้ แน่นอนว่าแพทริเซียไม่รู้เรื่องนี้ และตัวลูซิโอเองก็คิดว่าการพบกันระหว่างเขาและนางเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ
แพทริเซียชอบสวนดอกไม้นั้นเพราะความสวยงามของมัน แต่สาเหตุที่ลูซิโอไปที่นั่นบ่อยๆ ไม่ใช่เพียงเพราะเหตุผลเช่นนั้น แต่เป็นเหตุผลทางด้านจิตใจที่ลึกซึ้งกว่าเหตุผลของแพทริเซีย สำหรับแพทริเซีย ต่อให้ไม่ใช่สวนแห่งนี้ นางก็ยังไปสวนอื่นใดก็ได้ แต่สำหรับลูซิโอต้องเป็นสวนนี้เท่านั้น เป็นสถานที่พักผ่อนเพียงหนึ่งเดียว ไม่มีสอง
อย่างไรก็ดี ยามใดที่นึกขึ้นได้ พวกเขาก็มักจะมุ่งหน้าไปยังสถานที่เดียวกันทุกครั้งไป ดังนั้น การพบกันของทั้งคู่จึงแทบจะกลายเป็นเรื่องที่แน่นอนไปเสียแล้ว
“…”
“…”
คนสองคนได้พบกันแต่กลับไม่เอ่ยคำพูดใด ลูซิโอดูตกใจซึ่งแพทริเซียเองก็เช่นกัน มาที่สวนแห่งนี้ทีไร ไม่รู้ทำไมถึงต้องเจออีกฝ่ายเสียทุกครั้งไป แม้ภายนอกแพทริเซียจะไม่ได้แสดงอาการลำบากใจออกไป แต่ภายในกลับรู้สึกทำตัวไม่ถูก
แล้วทีนี้จะทำอย่างไรดี ข้าควรหลบออกไปหรือไม่ ข้าต้องเป็นฝ่ายออกไปจากสวนแห่งนี้ก่อนไหม แววตาของแพทริเซียฉายความลังเลใจขณะถอนฝีเท้าออกมา การเดินผ่านเขาไปทั้งอย่างนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด แพทริเซียก้าวเท้าเนิบๆ ปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไปเช่นนี้ก็ไม่เลวนัก
“เจ้าหลบหน้าเราหรือ”
“…”
ลูซิโอเป็นฝ่ายเอ่ยทักก่อน แม้แพทริเซียอยากจะหลบออกไปเสีย แต่สิ่งที่เขาพูดก็ดันเป็นเรื่องการหลบเลี่ยง แบบนี้นางก็เดินจากไปเฉยๆ ไม่ได้น่ะสิ แพทริเซียหลับตาแน่นพลางเอ่ยตอบ
“…ฝ่ายที่ต้องทำเช่นนั้นอย่างน้อยก็คงไม่ใช่หม่อมฉันกระมังเพคะ”
“เช่นนั้นต้องเป็นเราหรือ”
“…”
ไม่รู้สิ ได้ยินอีกฝ่ายถามเช่นนั้น แพทริเซียก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ ถ้าอย่างนั้นนางควรเป็นฝ่ายหลบเลี่ยงหรือ? ขณะที่แพทริเซียกำลังลังเลใจกับคำตอบที่คลุมเครือ ลูซิโอก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“มิเช่นนั้นก็เป็นเราทั้งคู่?”
“หม่อมฉันคิดว่าการที่ฝ่าบาทจะหลบเลี่ยงอาจไม่เป็นที่น่ายินดีนัก เพราะนั่นอาจเสื่อมเสียไปถึงพระเกียรติของพระองค์”
แพทริเซียพูดยืดยาวก่อนจะค่อยๆ หันไปมองด้านข้าง นางเห็นใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่าย คืนนี้ไม่มีทั้งแสงจันทร์และแสงดาว ใบหน้าของเขาจึงมีเพียงความมืดมิด
“บางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลที่หม่อมฉันควรจะหลบเลี่ยงพระองค์ก่อนเพคะ”
“เจ้าด่วนสรุปไปหน่อยนะ หรือบางทีอาจเป็นเพียงการปัดความรับผิดชอบ”
“…”
แพทริเซียคิดว่าอาจจะจริงอย่างที่เขาว่า แต่นางจะหลบหน้าเขาด้วยเหตุผลอะไรล่ะ นางไม่ได้ไม่พอใจเขา เพียงแต่รู้สึกไม่สบายใจเท่านั้น ไม่พอใจกับไม่สบายใจเขียนต่างกันเพียงคำเดียวแต่มีความหมายต่างกันอย่างชัดเจน อย่างน้อยนางก็ไม่ได้หงุดหงิดใจเพราะเขา เพียงแต่รู้สึกประหม่าและไม่เป็นธรรมชาติเท่านั้น หากนาง ‘ไม่พอใจ’ อีกฝ่ายขึ้นมาคงเป็นเรื่องใหญ่ ถึงอย่างไรในวันข้างหน้านางและเขาก็ต้องถูกเนื้อต้องตัวกันเพื่อให้กำเนิดทายาทมิใช่หรือ
เพราะฉะนั้น คิดเสียว่านางรู้สึกไม่คุ้นเคยก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาแล้วกระมัง เป็นความรู้สึกเดียวกับการอยู่ร่วมกับคนแปลกหน้า แม้จะบอกว่าไม่ได้ไม่พอใจ แต่ก็ใช่ว่านางจะพอใจ มันเป็นเพียงความรู้สึกแปลกแยก หรือไม่เป็นธรรมชาติ
“แล้วมิใช่หรือเพคะ”
นางคงทำได้เพียงแต่ถามกลับไปว่า ‘ก็ข้ารู้สึกกับท่านแบบนี้ แล้วท่านมิได้รู้สึกเหมือนกันหรอกหรือ?’
“…อย่างน้อยเราก็ไม่คิดว่าพวกเราสองคนจะต้องหนีหน้ากัน”
“…”
“มิใช่หรือ”
“ก็…อาจเป็นเช่นนั้นเพคะ”
และแล้วแพทริเซียก็หันไปมองอีกฝ่ายอย่างเต็มตา ลูซิโอเองก็หันกายมามองนางเช่นกัน คืนนี้ท้องฟ้ามืดมิดไร้แสงจันทร์และแสงดาว คนทั้งคู่จึงเห็นตา จมูก และปากของกันและกันเพียงเลือนรางเท่านั้น แพทริเซียเผยอปากคล้ายจะเอ่ยบางสิ่งแต่ลูซิโอกลับไวกว่า
“เจ้าจำ…”
“…”
“ตอนนั้นได้หรือไม่”
“…”
แพทริเซียแทบลืมหายใจเมื่อรับรู้ได้ว่า ‘ตอนนั้น’ ที่อีกฝ่ายพูดหมายถึงเมื่อไม่กี่คืนก่อน หญิงสาวพยักหน้านิ่งๆ
“ตอนนั้น…เราน่ากลัวหรือไม่” เขาเอ่ยปากถามอีกครั้ง
“หม่อมฉัน…ไม่ทราบว่าพระองค์ตรัสถึงเรื่องอันใด”
แพทริเซียรู้สึกตกใจกับคำถามที่ไม่คาดคิด แต่ลูซิโอก็ถามต่อไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เราเผยทุกสิ่งให้เจ้าเห็นหมดแล้ว แม้กระทั่งจุดที่ตกต่ำที่สุด สิ่งที่เจ้าเห็นหาใช่ความฝัน”
“…”
“ตอนนี้เรากำลังถามเจ้าว่าเห็นเราคลุ้มคลั่งเช่นนั้นแล้ว เจ้ามิกลัวหรือ”
“เหมือนกับว่าทรงอยากให้หม่อมฉันกลัวพระองค์เลยนะเพคะ”
“…หา?”
“ดูเหมือน…จะเป็นเช่นนั้นเพคะ เหมือนทรงอยากให้หม่อมฉันกลัวพระองค์ อยากให้หม่อมฉันพูดว่าพระองค์น่ากลัว อยากให้หม่อมฉันมีปฏิกิริยาเช่นนั้น” แพทริเซียพูดเสียงเรียบ
“…”
“หม่อมฉันแปลกใช่ไหมเพคะ”
ข้าจะไม่กลัวได้อย่างไร ตราบใดที่ข้ายังเป็นมนุษย์ธรรมดา ครั้นสิ้นคำถามของแพทริเซีย ลูซิโอก็เงียบไปครู่หนึ่ง หญิงสาวรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าจิตใจของเขากำลังปั่นป่วน นางจึงรอจนกว่าเขาจะสงบใจได้ และเมื่อเวลาผ่านไปครู่ใหญ่นางก็เอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“เห็นภาพเช่นนั้นแล้วคงไม่มีใครไม่หวาดกลัวและหวาดหวั่นหรอกเพคะ เพียงแต่…”
“…”
“น่าแปลกที่หูของหม่อมฉันฟังคำถามของฝ่าบาทแล้วรู้สึกว่ายังมีความนัยอื่นแฝงอยู่”
“…”
“หม่อมฉันพูดผิดหรือไม่เพคะ”
ความจริงแล้วนี่เป็น…อาการชักที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
ตั้งแต่ใช้คำว่า ‘บ่อยครั้ง’ มาขยายคำว่าอาการชัก ลูซิโอก็คิดแล้วว่าตนเป็นโรคทางจิต แน่นอนว่าสาเหตุของโรคไม่ได้เกิดจากตัวเขา ไม่สิ บางทีอาจจะเป็นตัวเขาเองจริงๆ ก็ได้
อาการชักเช่นนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไรไม่แน่ใจ หากลองคำนวนคร่าวๆ… อา ใช่แล้ว น่าจะประมาณหนึ่งเดือนหลังจากเกิด ‘เรื่องนั้น’? ไม่สิ หรือประมาณสองเดือน? น่าจะราวๆ ช่วงนั้น สมองของเขาน่าจะต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งในการซึมซับเรื่องที่มากระทบกระเทือนจิตใจ และต้องใช้เวลาในการสกัดกั้นอีกประมาณหนึ่งเพื่อให้หวนนึกถึงความโหดร้ายผิดมนุษย์มนานั้นได้อย่างต่อเนื่อง
ว่ากันว่าพระเจ้าจะทรมานมนุษย์เท่าที่มนุษย์จะทนได้ เขาเพิ่งตระหนักในตอนนั้นเองว่านี่ไม่ใช่คำพูดเพ้อเจ้อ พระเจ้าทำให้เขาทรมานเท่าที่เขาจะทนได้ ปัญหาคือความทรมานนั้นทำให้เขาเจียนตาย แต่ถึงอย่างไรก็ตาม พระเจ้าก็จะทำให้เขาทรมาน ‘เท่าที่จะทนได้’ เท่านั้น พระองค์ทรงคำนวณได้อย่างเฉียบแหลมนัก
เมื่ออาการชักกำเริบ ไม่ว่าใครก็หยุดเขาไม่ได้ อา มีอยู่คนหนึ่งกระมัง ไม่สิ สองคนต่างหาก แต่ปัญหาก็คือสองคนนั้นได้ตายไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่ยับยั้งเขาได้ในตอนนี้คงมีเพียงวิญญาณสองดวงนั้นเท่านั้น แต่ปัญหาก็คือทั้งสองปรากฏกายแค่ในความฝันและทำให้เขาเป็นบ้าอยู่แบบนี้
ปกติแล้วเขาจะได้สติหลังจากรุ่งสาง อาการชักนี้ก็เหมือนยาเสพติด ตอนที่กำเริบเขาจะไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป แต่เมื่อได้สติตื่นขึ้นมา ความรู้สึกผิดก็จะโหมกระหน่ำเข้ามาทันที ยิ่งเป็นกรณีของเขา ความรู้สึกพังทลายยิ่งรุนแรง เพราะอาการชักนี้ไม่ได้เกิดจากแค่อาการทางจิตเท่านั้น
ในวันนี้ก็เช่นกัน เมื่อตื่นขึ้นมาเขาก็พบว่าตะวันทอแสงอยู่นอกหน้าต่างแล้ว อีกทั้งนี่เป็นครั้งที่สองที่อาการชักของเขากำเริบในตำหนักจักรพรรดินี และสิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่านั้นคือร่างของจักรพรรดินีที่นอนอยู่ข้างๆ ลูซิโอตกใจแทบสิ้นสติ จากนั้นก็รีบเรียกหาข้ารับใช้อย่างเร่งร้อน
“เรียกหาหม่อมฉันหรือเพคะ ฝ่าบาท”
“ทำไมจักรพรรดินีถึงมาอยู่ที่นี่”
“…”
นางกำนัลไม่ตอบ ระหว่างที่นางยังคงอ้ำๆ อึ้งๆ เอาแต่มองสำรวจเขา ลูซิโอก็เร่งเร้า ในที่สุดนางกำนัลก็ทนความกดดันไม่ไหวจึงยอมเปิดปากบอกความจริงทั้งหมด เมื่อได้ฟังคำตอบ ความรู้สึกผิดที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนก็ถาโถมเข้ามาจนรู้สึกได้
บ้าเอ๊ย ให้นางเห็นภาพที่ไม่คิดจะเปิดเผยชั่วชีวิตเสียแล้ว
“ข้ารับใช้ตำหนักจักรพรรดินีถูกสั่งให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับแล้วเพคะ ฝ่าบาท แน่นอนว่าหัวหน้านางกำนัลและอัศวินราชองครักษ์เองก็เช่นกัน เพราะฉะนั้น ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย…”
“เรื่องนั้นจะมีประโยชน์อันใด ในเมื่อจักรพรรดินีเห็นเข้าแล้ว”
น้ำเสียงที่เขาใช้ไม่ได้แฝงไว้ด้วยความเย็นชาเพียงเท่านั้น ยังมีความรู้สึกสิ้นหวังและหมดหนทางระลอกใหญ่ ไหนจะความรู้สึกผิด บางทีอาจถึงขั้นรู้สึกว่าถูกฉกฉวย และสิ่งที่ถูกฉกฉวยไปก็คือศักดิ์ศรีสุดท้ายของเขาเอง
ดันเผยจุดอ่อนให้คนอื่นเห็นเสียเองแล้วหรือนี่ ชายหนุ่มแค่นหัวเราะ ช่างน่าสมเพช อัปลักษณ์ และน่ารังเกียจนัก
“จักรพรรดินี…เจ้าช่วยพานางกลับไปที่ห้องนอนที และกำชับทุกคนรอบตัวนางว่าอย่าพูดถึงเรื่องวันนี้”
“เพคะ ฝ่าบาท”
“เฮ้อ…”
ลูซิโอถอนหายใจยาว ตัวเขามาถึงตำหนักจักรพรรดินียังไม่พอ ยังถูกจักรพรรดินีเห็นเข้าเสียได้ แล้วเขาจะรับมือกับสิ่งที่ตามมาได้อย่างไรดี
ลูซิโอถอนหายใจยาวอีกครั้งและโงนเงนลุกขึ้น ข้ารับใช้ที่อยู่ด้านข้างรีบเข้ามาช่วยประคองแต่เขาก็โบกมือปฏิเสธ
“เราจะกลับตำหนักกลางทันที จัดการให้เหมือนทุกครั้ง ให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“เพคะ ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย”
นางกำนัลตอบอย่างภักดีก่อนจะหลบออกไป ลูซิโอเดินย่ำเท้ามาจนถึงประตูและตั้งใจจะเดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับ แต่สุดท้ายเขาก็หันกลับไปและกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง เมื่อหันกลับมาอีกครั้งสีหน้าของเขาดูบิดเบี้ยวอย่างมาก
**
“อา…”
แพทริเซียครางออกมาเบาๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นในทันใด นางเพ่งมองอากาศอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อสายตาเริ่มเข้าที่เข้าทาง หญิงสาวก็หันศีรษะไปด้านข้าง สีหน้าของนางดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย
“…”
ความเงียบดำเนินอยู่ไม่นาน นางก็ค่อยๆ หันกลับมามองด้านหน้าและลุกขึ้นจากเตียง รอบๆ ตัวนางไม่มีใครอยู่เลย ดูจากแสงแดดอ่อนๆ ที่ส่องเข้ามาในห้อง ตอนนี้น่าจะเช้าแล้ว แพทริเซียนั่งเงียบอยู่สักครู่ก่อนจะเรียกหามีร์ยา
“มีร์ยา”
“เพคะ ฝ่าบาท”
เพียงครู่เดียวมีร์ยาก็เข้ามาในห้อง แพทริเซียรู้สึกแปลกๆ ที่อีกฝ่ายแสดงสีหน้าได้เรียบนิ่งเหมือนปกติ แม้แต่การรู้สึกแปลกๆ กับสถานการณ์ที่ดูปกติเกินไปนี้ก็ยังแปลก แต่ถึงอย่างไรมันก็แปลกอยู่ดี แพทริเซียเรียกมีร์ยาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่แปลกไป
“มีร์ยา”
“ฝ่าบาทเชิญรับสั่ง ต้องการสิ่งใดหรือเพคะ…”
“มิแปลกหรือ”
“…เพคะ? ทรงหมายถึงสิ่งใด…”
“แปลก”
แพทริเซียพูดอย่างมั่นใจ นางนั่งก้มหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่ามีร์ยากำลังมองมาด้วยความประหม่า ครั้นเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายแพทริเซียก็มั่นใจ อา นางก็รู้เรื่องเมื่อวานสินะ นั่นมิใช่ความฝัน แพทริเซียอ้าปากเรียกมีร์ยาอีกครั้ง
“มีร์ยา”
“เพคะ ฝ่าบาท”
“วันนี้ทั้งข้าและเจ้าต่างก็ทำตัวแปลกๆ ใช่ไหม”
“…”
“เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อวานก็แปลก จริงไหม”
“ฝ่าบาท…”
“เมื่อวานข้าหลับเป็นตายทีเดียว ดึกมากแล้ว และข้าก็เหนื่อยมาก”
แพทริเซียบ่นเสียงเรียบเบาๆ และเหลียวมองมีร์ยา แม้ตนจะผล็อยหลับไป แต่อีกฝ่ายคงไม่เป็นเช่นนั้น ตนสั่งให้พวกนางรอ คนที่ซื่อสัตย์ภักดีอย่างพวกนางทั้งสองคนก็คงจะรอ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เรื่องคงจะต่างออกไปนับจากนั้น
“หลังจากที่ข้าหลับไปแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“…”
มีร์ยารู้สึกลำบากใจ ความจริงแล้วสิ่งที่นางเห็นเมื่อวานมีเพียงภาพที่นายหญิงของตนผล็อยหลับไปและจักรพรรดินั่งทำสีหน้าตายด้านอยู่ข้างๆ เท่านั้น เนื่องด้วยพวกนางรออยู่นานแต่ไม่เห็นแพทริเซียกลับมาเสียทีจึงเป็นห่วงและเดินมาดู
นางกำนัลตำหนักกลางยืนเฝ้าอยู่หน้าห้อง ขอให้นางและราฟาเอลาที่เดินเข้าไปใกล้เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แม้ทั้งคู่จะไม่ได้เห็นตอนที่ลูซิโอคลุ้มคลั่ง แต่ก็พอจะเดาได้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น สีหน้าของนางกำนัลตำหนักกลางตอนขอให้ปิดเป็นความลับนั้นดูจริงจังมากทีเดียว แน่นอนว่าพวกนางทั้งสองคนไม่ได้มีความคิดที่จะแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปอยู่แล้ว ในส่วนนี้จึงไม่เป็นปัญหา ทว่า ในกรณีนี้นางควรจะทำอย่างไรดี
“หลังจากที่พระองค์บรรทมไป ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้พาพระองค์กลับมาบรรทมที่ห้องเพคะ” มีร์ยากล่าวอย่างสงบนิ่ง
“…เท่านั้นหรือ”
“เพคะ”
มีร์ยาไม่มีอะไรให้พูดมากกว่านี้ และที่พูดไปก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง แม้ว่าระยะเวลาระหว่าง ‘พระองค์บรรทมไป’ กับ ‘ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้พาพระองค์กลับมาบรรทมที่ห้อง’ จะห่างกันมากก็ตาม แต่มีร์ยาก็เลือกที่จะไม่พูดออกไป
“…”
แพทริเซียตอบรับและให้มีร์ยาออกไป หลังจากที่มีร์ยาออกไปแล้ว หญิงสาวก็นั่งเหม่ออยู่บนเตียงอยู่นาน ที่นางตกใจยิ่งกว่านั้นคือเรื่องทั้งหมด…ไม่ใช่ความฝันแต่เป็นความจริง
เมื่อวานเขาดูราวกับคนเสียสติจริงๆ เขาร้องคร่ำครวญเหมือนสัตว์ จิกทึ้งตัวเองราวกับคนวิปลาส เรื่องนั้นมีสาเหตุมาจากอะไรกันนะ คนเราต้องทำอย่างไรจึงเสียสติได้ถึงเพียงนั้น แพทริเซียขบเม้มริมฝีปากโดยไม่รู้ตัวอย่างวุ่นวายใจ
ข้าควรต้องให้ความสนใจกับเรื่องเมื่อวานใช่ไหม? แพทริเซียพึมพำในใจ นางกับจักรพรรดิใช่ว่าจะได้พบหน้ากันบ่อยครั้ง เพราะฉะนั้นแม้นางจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องเมื่อวานก็ไม่น่าเป็นปัญหา บางทีเขาเองก็อาจต้องการเช่นนั้น เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถพูดได้ว่าเรื่องเมื่อวานมิใช่เรื่องน่าอาย
เช่นนั้น…ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นน่าจะดีกว่า แพทริเซียขยุ้มชุดเดรสสีขาวที่สวมอยู่เบาๆ โชคดีที่เมื่อวานนางผล็อยหลับไป เพราะหากนางตื่นอยู่ตลอดก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่เกินกำลังของนางจะรับมือ แพทริเซียถอนหายใจสั้นๆ
ใช่แล้ว ลืมๆ ไปเสีย คิดเสียว่าฝันไป หากเป็นเช่นนั้นก็น่าจะดีกับทั้งสองฝ่าย ไม่มีเรื่องให้ต้องใส่ใจ เขาเองก็จะได้ไม่มีเรื่องให้อึดอัดใจ เดิมทีเขาก็ไม่ได้สำคัญมากพอที่นางจะให้ความสนใจอยู่แล้ว การฝังมันไว้ทั้งอย่างนี้ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวนัก
เมื่อตัดสินใจได้แล้วแพทริเซียก็ลุกจากเตียง เรื่องเมื่อวาน…เป็นเพียงความฝันที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปเท่านั้น ไม่นับเป็นเรื่องอันใด ราวกับว่าเรื่องในคืนนั้นเป็นเพียงภาพลวงตาที่ถูกฝังกลบไว้ ณ มุมใดมุมหนึ่งในจิตใจของแพทริเซีย
***
“ฝ่าบาท นี่เป็นเอกสารฉบับสุดท้ายเพคะ”
แพทริเซียรับเอกสารมาโดยไม่มีแววของความเหน็ดเหนื่อย ทั้งมีร์ยาและราฟาเอลาก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นอีก แน่นอนว่าตัวแพทริเซียเองก็ไม่คิดจะพูดถึง เรื่องในวันนั้นถูกนับว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยสำหรับพวกนาง และแพทริเซียคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว
“เอกสารอนุมัติของประดับตกแต่งที่จะใช้ในงานเลี้ยงรำลึกวันสถาปนาจักรวรรดิยังไม่มาเลย เกิดอะไรขึ้น”
“วันก่อนเคาน์เตสวาเลนมีจดหมายมาแจ้งว่าอยู่ระหว่างการคัดสรรรอบสุดท้ายเพคะ ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย”
“เช่นนั้นก็โล่งอกไปที อีกเดี๋ยวก็คงส่งข่าวมากระมัง”
แพทริเซียตอบอย่างไม่ใส่ใจและรับเอกสารฉบับสุดท้ายมา อีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะถึงวันงานรำลึกวันสถาปนาจักรวรรดิแล้ว นางจึงต้องเร่งมือจัดการงานให้เรียบร้อย เมื่อแพทริเซียพูดว่า ‘ออกไปเถอะค่ะ’ มีร์ยาก็โค้งคำนับก่อนจะออกจากห้องทำงานไป สีหน้าของมีร์ยาที่กลับออกมายังระเบียงทางเดินดูซับซ้อนเล็กน้อย
“ฝ่าบาทไม่เอ่ยถึงเลย”
“เรื่องคืนนั้นน่ะหรือคะ”
ราฟาเอลาขยับเข้ามาข้างๆ พลางถาม มีร์ยาคิดว่าไม่มีใครอยู่บริเวณนั้นจึงตกใจอย่างมาก ราฟาเอลาซึ่งมิได้มีเจตนาจะทำให้อีกฝ่ายตกใจรู้สึกผิดขึ้นมา
“ตายจริง ไม่นึกว่าจะตกใจขนาดนี้ ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ” นางเอ่ยขอโทษมีร์ยา
“ไม่เป็นไรค่ะ เดม ว่าแต่เลดี้เปโตรนิยาไปไหนหรือคะ ไม่เห็นเลย”
“ได้ยินว่าหัวหน้าห้องเครื่องเพิ่งคิดทาร์ตสูตรใหม่ ตอนนี้ก็เลยไปรับทาร์ตที่ห้องเครื่องแล้วค่ะ นางบอกว่าอยากทาน”
บอกแล้วว่าถึงอย่างไรนางก็ยังมีมุมที่ไร้เดียงสาอยู่ ราฟาเอลาหัวเราะในลำคอ ทำให้มีร์ยาที่มองอยู่พลอยหัวเราะตามไปด้วย
“จะว่าไปแล้ว…ผิดคาดเหมือนกันนะคะที่ฝ่าบาทไม่เอ่ยถึงเรื่องนั้นเลย”
เมื่อราฟาเอลาวกเข้าเรื่องเดิมมีร์ยาก็ครุ่นคิดสักครู่ก่อนจะกล่าว
“…ก็…พระองค์คงอยากจะลืมไปเสียกระมังคะ”
“สรุปแล้ววันนั้นเกิดอะไรขึ้นในห้องนั้นกันแน่หรือคะ”
ราฟาเอลาขมวดคิ้วและเกาท้ายทอยราวกับนางไม่เข้าใจอะไรเลย อา ถ้ารู้ว่าจะน่าสงสัยขนาดนี้คงแอบตามไปด้วยแล้ว ราฟาเอลาบ่นเสียดายก่อนจะพูดต่อ
“ท่าทีของพวกนางกำนัลตำหนักกลางก็แปลกๆ…ที่จริงแล้วพวกเราไม่รู้ไม่เห็นอะไรเสียหน่อย ท่าทางจะมีเรื่องอะไรจริงๆ นะคะ”
“เอาเป็นว่า…ในฐานะนางกำนัลแล้วข้าไม่ควรสงสัยอะไรทั้งนั้นค่ะ เดมราฟาเอลาก็เหมือนกันนะคะ”
“คุยเรื่องอะไรกันอยู่หรือคะ”
น้ำเสียงใสซื่อนั้นทำให้ทั้งคู่ตกใจสะดุ้งโหยง
นางกำนัลจำนวนหนึ่งยืนรวมตัวกันอยู่ที่ต้นเสียงอย่างที่คิด แต่ก็มีจำนวนไม่มาก เพียงสามสี่คนเท่านั้น อาจด้วยเกรงว่าจะเป็นที่ผิดสังเกต ทั้งหมดเป็นนางกำนัลระดับสูงที่คอยรับใช้จักรพรรดิอย่างใกล้ชิด
แพทริเซียเดินเข้าไปหาพวกนางด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เมื่อเหล่านางกำนัลเห็นผู้มาใหม่ก็พากันตกใจก่อนจะโค้งคำนับอย่างรวดเร็ว แพทริเซียมองพวกนางด้วยแววตาสั่นไหวและเปิดปากพูด
“ตอนนี้…ในห้องนี้…”
“…”
ร่างกายของพวกนางสั่นเทา สีหน้าไม่สู้ดีนัก หรือว่า…จริงหรือนี่…
‘ที่ข้าเดา…เป็นเรื่องจริงหรือ’
แพทริเซียสูดหายใจสั้นๆ ก่อนจะถามคำถามที่เปรียบได้ดั่งกล่องแพนโดรา[1]
“ฝ่าบาท…ประทับอยู่อย่างนั้นหรือ”
“…”
ไม่มีใครพูดอะไรออกมา นั่นสินะ มาถึงขั้นนี้แล้วยังจะพูดอะไรได้อีก แพทริเซียค่อยๆ เปิดประตูเข้าไป เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังขึ้นอย่างเทียบไม่ได้กับเมื่อครู่ ประสานกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดของบานประตูที่ถูกเปิดช้าๆ
“อ๊ากกกก!”
ภาพที่อยู่หลังบานประตูช่างน่าเวทนาและประหวั่นพรั่นพรึง พระจักรพรรดิในชุดนอนกำลังร้องคร่ำครวญอยู่ในห้องนั้น ใช่แล้ว ที่จริงจะเรียกว่าร้องคร่ำครวญก็ยังเบาเกินไป สิ่งที่เขาทำมิใช่การร้องคร่ำครวญ แต่คล้ายกับ…ร้องคำรามเสียมากกว่า
“…ปิดประตู”
“ฝ่าบาท…”
“เร็วสิ”
แพทริเซียต้องออกคำสั่งอย่างเฉียบขาดประตูจึงปิดลง เมื่อเสียง ปัง! ดังขึ้นจิตใจของนางจึงสงบลงได้ หากมีใครมาเห็นภาพนี้อีกคงไม่ดีนัก ด้วยเหตุนี้พวกนางกำนัลถึงห้ามตนไว้สินะ แม้สุดท้ายแล้วตนจะใช้อำนาจจนเข้ามาในห้องนี้ได้ก็ตาม
“…”
แพทริเซียมองผู้ชายที่กำลังคร่ำครวญและคลุ้มคลั่งด้วยแววตาแข็งเกร็ง ลูซิโอ แคร์ริก จอร์ช เดอ มาวินอส ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนาง เป็นจักรพรรดิและเป็นดั่งดวงอาทิตย์ของจักรวรรดินี้ ผู้ชายคนนั้นกลับกลายเป็นคนเสียสติไปเสียแล้ว
“ฝ่าบาท”
เสียงของแพทริเซียยังคงสั่นเครืออยู่มาก ทำไมกันนะ? เพราะอะไรกัน? นางไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าจักรพรรดิป่วยเป็นโรคทางจิต ในยามปกติเขาก็ดูปกติดี เช่นนั้นแล้วนางควรจะอธิบายสภาพของอีกฝ่ายในตอนนี้อย่างไรดี
“ฝ่าบาท”
เพราะความกลัวหรือ? น้ำตาของหญิงสาวเอ่อคลอ ริมฝีปากสั่นระริก มือเย็นเฉียบ ใช่แล้ว นางคิดว่าตนกำลังกลัว กลัวที่ได้เห็นเขาเป็นเช่นนี้ครั้งแรก
แพทริเซียเบิกตากว้างมองลูซิโอ สภาพของเขาในตอนนี้ดูราวกับสัตว์ป่าตัวหนึ่ง ช่างน่าสะเทือนใจนัก แพทริเซียกัดริมฝีปากเบาๆ ก่อนจะลองเรียกเขาอีกครั้ง
“ฝ่าบาท”
ครั้นสิ้นเสียงเรียกครั้งที่สามเขาก็หันมา ดวงตาคู่นั้นดูแดงก่ำ ลมหายใจหนักหน่วงหอบพ่นออกมาจากปาก รอยน้ำตาแห้งเหือดอยู่ทุกอณูบนหน้า อา เขากำลังร้องไห้
“เหตุใด…”
นางรู้สึกวิงเวียนศีรษะด้วยความสะเทือนใจ เป็นความสะเทือนใจที่เหมือนกับตอนที่ศีรษะของเปโตรนิยาตกลงมาต่อหน้าต่อตา ร่างบางเดินเซโดยไม่รู้ตัว ภาพตรงหน้านี้รุนแรงเกินกว่าที่ร่างกายอ่อนแอของนางจะรับไหว แพทริเซียเรียกสติคืนมาอย่างยากลำบากและเรียกลูซิโออีกครั้ง
“ฝ่าบาท”
แม้นางจะเรียกเป็นครั้งที่สี่แล้วแต่เขาก็ยังคร่ำครวญไม่หยุด หวีดร้องทุรนทุรายคล้ายทรมานแทบขาดใจ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ภาพที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้คืออะไรกันแน่ นี่มันเรื่องอะไร…
“ฮือ…อ๊ากกกก!”
ภาพที่เขากรีดร้องนั้นดูไม่คุ้นตาเอาเสียเลย เขาเป็นเช่นนี้อยู่แล้วหรือ? ร่างของแพทริเซียซวนเซจนล้มลงไปกองกับพื้นโดยไม่รู้ตัว ในขณะเดียวกันอีกฝ่ายก็ยังคงร้องไห้คร่ำครวญ เสียงนั้นทำให้แพทริเซียปวดศีรษะขึ้นมา
พอเถอะ
“ฝ่าบาท เหตุใด…”
สติของนางพร่าเลือน ความคิดก็หยุดชะงัก ความคิดที่แวบเข้ามาในหัวเป็นครั้งคราวมีเพียงนางต้องหยุดความวุ่นวายนี้เท่านั้น
ลุกขึ้นสิ
แพทริเซียสั่งตัวเอง ในเวลาแบบนี้ หากนางมานั่งอยู่อย่างนี้แล้วจะทำอะไรได้ นางไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องถ่อมาถึงที่นี่เลยแท้ๆ นางไม่อยากได้ยินเสียงนี้มิใช่หรือ? นางอยากจะขจัดสิ่งที่มารบกวนการนอนของนางมิใช่หรือ? เช่นนั้น…
หยุดได้แล้ว
“หยุดเถอะเพคะ”
แต่เขาไม่หยุด
“หยุดเพคะ”
ความวุ่นวายยังคงดำเนินต่อไป
“ข้าบอกให้หยุด!”
แพทริเซียตวาดออกไปในที่สุด และแล้วในห้องก็เหลือเพียงเสียงลมหายใจหนักๆ ลูซิโอมองมาด้วยดวงตาที่เอ่อล้นด้วยน้ำตาราวกับจะทะลักออกมาเต็มแก่ จะเรียกว่าเขม้นมอง แววตานั้นก็ดูคลุมเครือ จะบอกว่าดูเป็นมิตร สีหน้าของเขาก็น่ากลัวเกินไป
เพราะฉะนั้นตัวเขาในตอนนี้ดูราวกับมองมาที่นาง แต่ก็คล้ายไม่ได้มอง ดูจากภายนอกเขากำลังมองนางอยู่ แต่ในใจเขาอาจเห็นนางเป็นใครอีกคน
“พระองค์ทรงเป็น…พระสุริยันของจักรวรรดิ โปรดรักษาพระเกียรติด้วยเพคะ ฝ่าบาท”
“…”
“เหตุใด…”
“…”
“เหตุใด…พระองค์จึงเป็นเช่นนี้”
“…”
นางปาดน้ำตาเงียบๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปหาผู้ชายที่กำลังจดจ้องมาที่ตน แต่ละก้าวหนักอึ้งคล้ายถูกถ่วงด้วยก้อนตะกั่ว ยากเหลือเกินที่นางจะปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ตอนนี้และเรื่องที่เกิดขึ้นรอบตัว แต่นางก็มีแต่ต้องยอมรับเท่านั้น เพราะนี่คือความเป็นจริงที่มิอาจเลี่ยง
“จู่ๆ ก็…”
แพทริเซียไม่สามารถพูดให้จบประโยคเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็พุ่งเข้ามากอด หญิงสาวตกใจจะดันตัวเขาออกโดยอัตโนมัติ แต่ครั้นได้ยินเสียงครวญของลูซิโอ นางก็ไม่กล้าจะทำเช่นนั้น
“ฮา…”
เขาร้องไห้พลางหอบหายใจ เขากำลังเจ็บปวด ทรมาน และทุรนทุราย สถานการณ์ตอนนี้ไม่ดีเอาเสียเลย และไม่ใช่สิ่งที่แพทริเซียต้องการ เป็นสถานการณ์ที่น่าตกใจเป็นที่สุด
“…”
แพทริเซียไม่ได้ไร้หัวใจถึงขนาดที่จะผลักคนที่ร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดออกไป ยิ่งเป็นคนที่เพิ่งจะอาละวาดราวกับคนวิปลาสยิ่งแล้วใหญ่ บ้าจริง แม้จะลอบก่นด่าในใจแต่นางก็กอดลูซิโอไว้อย่างระมัดระวัง
“…”
ความรักหรือ? ไม่ใช่ ความอาฆาตหรือ? นั่นก็ไม่ใช่ นี่เป็นเพียงความสงสารและความเห็นใจ แพทริเซียไม่รู้ว่าทำไม และมีเรื่องมากมายที่นางสงสัยแทบขาดใจ แต่อย่างน้อยตอนนี้นางก็รู้สึกสงสาร เขาน่าสงสารถึงเพียงนั้น น่าสงสารเหลือเกิน
แม้ว่าแพทริเซียจะสงสัยแทบตายว่าความรู้สึกนี้คืออะไรกันแน่ก็ตาม
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนเราจะมีสภาพตกต่ำขนาดนี้ในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ลูซิโอในตอนนี้กลับย่ำแย่ถึงขนาดนั้นแล้ว แพทริเซียสงสัยอย่างมากว่าสถานการณ์เช่นนี้คืออะไร เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ถ้านางอยากจะฟังเหตุผล นางต้องทำให้ผู้ชายคนนี้สงบลงเสียก่อน เพราะนางคงหาความอะไรกับคนเสียสติไม่ได้
“ฮา…”
ผ่านไปกี่นาทีแล้วนะ ไม่สิ ผ่านไปนานนับชั่วโมงแล้ว เมื่อเวลาผ่านไป ลูซิโอก็ค่อยๆ สงบลง ไม่สิ ยังยากจะพูดว่าเขาสงบลงแล้ว นางยังคงรู้สึกได้ถึงไอร้อนจากร่างกายของอีกฝ่าย ดวงตายังคงแดงก่ำ เนื้อตัวมีรอยแดงคล้ายว่าเขาทำร้ายตัวเอง แพทริเซียเอ่ยปากถามเมื่อพิจารณาแล้วว่าเขาน่าจะพอมีสติบ้างแล้ว
“ฝ่าบาท”
“…”
“ตอนนี้…ดีขึ้นหรือยังเพคะ”
“…”
ลูซิโอไม่พูด ก็ไม่แปลก เขาคงจะอาย แพทริเซียถอนหายใจและปล่อยมือที่โอบกอดเขา ดวงตาของนางหนักอึ้งเพราะความอ่อนเพลียที่ถาโถมเข้ามา แพทริเซียคิดว่าไม่ว่าเขาจะเป็นเช่นนี้เพราะอะไร หรือมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ไม่สำคัญไปกว่าการนอนของนางอีกแล้ว หญิงสาวผละตัวออกไป ยันตัวลุกขึ้นและพูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า
“ฝ่าบาทคงจะไม่สบายพระทัยที่หม่อมฉันอยู่ด้วย เช่นนั้นหม่อมฉันขอทูลลา ส่วนเรื่องวันนี้หม่อมฉันจะเก็บเป็นความลับ ฝ่าบาทโปรดวางพระทั…”
คำพูดของแพทริเซียหยุดชะงัก นางก้มลงมองลูซิโอที่ดึงชายกระโปรงของนางไว้ ดวงตาคู่นั้นดูแดงก่ำอย่างน่าประหลาด
“อย่าไป”
“…”
นี่คงเป็นคำพูดที่ทำให้นางใจสั่นหากนางพอจะมีใจให้เขาอยู่บ้าง น่าเสียดายที่แพทริเซียไม่ได้สนใจผู้ชายคนนี้ นางไม่ได้พิศวาส หรือสงสารเขา ยิ่งเป็นความชอบหรือความรักยิ่งไม่ใช่ คำพวกนั้นน่าจะเหมาะกับโรสมอนด์มากกว่า
แพทริเซียไม่พอใจในการกระทำของอีกฝ่ายเท่าใดนัก หากจะพูดกันตามตรง นางรู้สึกลำบากใจและรำคาญใจ เพราะตอนนี้นางกำลังเหนื่อยล้าจากความวุ่นวายเมื่อครู่
“อย่าไป”
“…”
ช่างน่าเสียดายที่จิตใจของนางเปี่ยมไปด้วยความเมตตา ความรู้สึกที่มากล้นนี้จึงเผื่อแผ่ไปถึงเขาด้วย แพทริเซียกัดริมฝีปากเบาๆ บ้าจริง เขาเรียกร้องความสนใจ
“พระองค์ไม่ค่อยชอบหม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ”
นางพูดกับลูซิโอเพียงเท่านั้น เตรียมจะหันกายจากไป แต่เขาก็รั้งไว้อีกครั้ง
“อย่าไป”
“…พระองค์มิได้ชอบหม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ เพราะฉะนั้น…”
“ชอบสิ เพราะฉะนั้นอย่าไปเลยนะ”
“…”
“ได้โปรด…”
อา และแล้วนางก็เข้าใจ ผู้ชายคนนี้ไม่ได้ชอบนาง สิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่เป็นเพียงคำพูดเพ้อเจ้อที่ใช้รั้งนางไว้เท่านั้น แพทริเซียไม่ได้โง่ขนาดที่จะแยกแยะความจริงข้อนั้นไม่ออก ดังนั้นหัวใจของนางจึงไม่ได้เต้นระรัวหรือหวั่นไหวกับน้ำคำของชายคนนี้
แพทริเซียเย็นชากับเรื่องนี้เป็นพิเศษ แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะนิสัยของนางเอง แต่สำหรับนาง เขาเคยทำผิดต่อนางมาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่สิ ต่อให้ตัดเรื่องพวกนั้นออกไป มันก็กะทันหันเกินไปอยู่ดีมิใช่หรือ จู่ๆ คนเราจะชอบพอกันได้อย่างไร
“…เฮ้อ”
หญิงสาวถอนหายใจออกมา เคยได้ยินมาว่าหัวใจของคนเราจะเต้นแรงในตอนที่รู้สึกกลัวและรู้สึกดี เพราะฉะนั้นบางครั้งเราอาจเข้าใจผิดว่าความกลัวคือความรู้สึกดี ผู้ชายคนนี้ก็เช่นเดียวกัน เขาคงคิดไปเองว่าความกลัวของเขาคือความรู้สึกดีกระมัง
ต่อให้มองในแง่ดี เรื่องนี้ก็ยังยากที่จะจบลงได้ด้วยดี แต่ถึงอย่างไรแพทริเซียก็นั่งลงอีกครั้ง นางรู้สึกว่าหากจากไปทั้งอย่างนี้ตนคงจะกลายเป็นคนไม่ดีเป็นแน่
“ไม่ต้องตรัสในสิ่งที่ไม่ได้คิดก็ได้เพคะ หม่อมฉันไม่ไปไหนหรอก”
“…”
“พระองค์ไม่ได้ไม่อยากให้หม่อมฉันไป แต่ไม่อยากอยู่ในห้องนี้คนเดียวสินะเพคะ”
“…”
“ใช่ไหมเพคะ”
ลูซิโอไม่พูดไม่จา ดูท่านางจะพูดแทงใจดำกระมัง เขาเพียงแต่จ้องมองมาด้วยแววตาหวาดกลัว ลูซิโอในตอนนี้แตกต่างจากปกติมากเกินไปจนดูแปลกตาสำหรับแพทริเซีย หญิงสาวกัดริมฝีปากพลางบ่นพึมพำในใจ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ
“หม่อมฉันเพลียเหลือเกินเพคะ หม่อมฉันต้องอยู่ที่นี่จนถึงเมื่อไร”
“…”
“ตรัสอะไรบ้างสิเพคะ หม่อมฉันอึดอัด”
“…”
แต่ถึงกระนั้นลูซิโอก็ยังเงียบ แพทริเซียตัดสินใจแล้วว่าหยุดสร้างบทสนทนากับเขาจะดีต่อสุขภาพจิตของตนมากกว่า เปลือกตาของนางเริ่มคล้อยลงทุกที อา จะทิ้งเขาไว้แบบนี้แล้วหลับไปก็คงไม่ดีกระมัง
แพทริเซียพยายามสุดกำลังบังคับไม่ให้ตัวเองหลับ แต่การใช้วิจารณญาณมาฝืนธรรมชาติของมนุษย์นั้นช่างเป็นเรื่องที่โง่เขลาที่สุด และแล้วหญิงสาวก็ล้มตัวลงนอนทั้งอย่างนั้นแม้ว่าเพิ่งจะตัดสินใจว่าจะไม่ไปไหนได้เพียงครู่เดียว
โรคนอนไม่หลับก็มิอาจเอาชนะความอ่อนเพลียได้ สิ่งที่แพทริเซียเห็นเป็นสิ่งสุดท้ายคือภาพลูซิโอใช้ดวงตาแดงก่ำที่ยังมีแววของความหวาดกลัวนั้นมองมาที่ตน
[1] กล่องแพนโดรา เป็นกล่องที่บรรจุความชั่วร้ายที่ทำให้จิตใจของมนุษย์ไม่บริสุทธิ์ ตำนานกล่าวไว้ว่าแพนโดราถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือที่ประณีตของเทพและเทพีหลายองค์โดยมีจุดประสงค์เพื่อจะลงโทษมนุษย์ กล่องแพนโดราถูกเรียกตามชื่อของ ‘แพนโดรา’ สตรีซึ่งเป็นผู้เปิดกล่องนี้จนทำให้ความชั่วร้ายที่ถูกกักเก็บไว้ภายในหลุดออกมา
“ข้ารู้ว่าทำไมท่านหญิงถึงขอร้องท่านขอรับ เลดี้”
“…ข้าก็รู้ค่ะ”
เปโตรนิยาถอนหายใจในใจและฝากฝังกับพ่อบ้าน “คงไม่มีใครชอบใจที่ข้าเข้าออกที่นี่ได้ตามใจ เพราะฉะนั้นคงต้องฝากคุณพ่อบ้านด้วยนะคะ”
“วางใจได้เลยขอรับ เลดี้ ข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องวุ่นวาย”
“ข้าก็เชื่อเช่นนั้นค่ะ ได้ยินว่าท่านเป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่”
เปโตรนิยายิ้มน้อยๆ ก่อนจะปิดหน้าต่างรถม้า ทันทีที่รถเคลื่อนตัว นางก็เอนหลังพิงพนักและค่อยๆ หลับตาลง
“เลดี้ ให้ไปส่งที่พระราชวังหรือขอรับ”
ครั้นได้ยินคำถามของคนขับรถม้า หญิงสาวก็ตอบสั้นๆ
“ไม่ค่ะ”
วันนี้นางอยากพัก ช่วงนี้นางรู้สึกเหนื่อยอย่างประหลาด อีกทั้งโรสมอนด์ก็ไม่อยู่ ตัวนางคงไม่มีความจำเป็นมากนัก
เปโตรนิยาตัดสินใจว่าจะพักผ่อนสักหน่อย หญิงสาวกล่าวกับคนขับรถม้าเนิบๆ
“ไปคฤหาสน์โกรเชสเตอร์ค่ะ”
***
“ฝ่าบาท เลดี้โกรเชสเตอร์แจ้งว่าจะขอกลับบ้านเร็วหน่อยเพคะ”
“อย่างนั้นหรือ”
แพทริเซียที่กำลังเดินเล่นอยู่ในสวนพึมพำออกมาด้วยความสงสัย “แปลกจัง ปกติจะอยู่ที่วังจนถึงเย็นแล้วค่อยกลับแท้ๆ”
“นางบอกว่ารู้สึกเพลียเล็กน้อยเพคะ อีกทั้งตอนนี้โรสมอนด์ก็ไม่อยู่ด้วย”
“นั่นสินะ นีย่าเองก็คงต้องการเวลาพักผ่อนเหมือนกัน”
แพทริเซียพยักหน้าและพูดอย่างเข้าอกเข้าใจ นานแล้วที่นางไม่ได้มาเดินทอดน่องอย่างสบายใจในสวนดอกไม้หลังวังเช่นนี้ ช่างน่าหงุดหงิดที่แค่โรสมอนด์ไม่อยู่ในวังก็ทำให้นางสบายใจได้ถึงขนาดนี้ แต่ถึงกระนั้นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แพทริเซียหัวเราะเยาะตัวเองพลางเด็ดดอกไม้สีแดงดอกเล็กในสวนขึ้นมาดอกหนึ่ง
“วันนี้พระจักรพรรดิคงเบื่อแย่เลย”
“ไม่มีเวลาให้เบื่อหรอกเพคะ ช่วงนี้พระองค์ยุ่งมากทีเดียว”
“ยุ่งแต่ก็ยังไปหาโรสมอนด์ได้ตลอดนี่”
แพทริเซียหัวเราะถากถางก่อนจะเดินต่อไปอย่างไม่คิดอะไร นางเดินเตร็ดเตร่อยู่นาน กระทั่งพบกับคนที่ถูกพูดถึงเมื่อครู่อยู่ในสวนดอกไม้ที่นางโปรดปราน แพทริเซียถอนหายใจและหันหลังกลับ นี่เราดวงตกหรือไร
“อุ๊ย นั่นฝ่าบาทนี่เพคะ”
ราฟาเอลาถามขึ้นมาอย่างไม่ดูสถานการณ์ มีร์ยารู้สึกตกใจแต่ก็ตอบรับในทันทีราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“นั่นสิคะ”
“อืม…” ราฟาเอลาสังเกตลูซิโออยู่ไกลๆ ก่อนจะพึมพำอย่างนึกประหลาดใจ “ดูแปลกๆ อยู่นะคะ”
“อะไรหรือคะ เดม?”
“หมายถึงฝ่าบาทน่ะค่ะ” ราฟาเอลาพูดด้วยน้ำเสียงเจือความสงสัยไม่คลาย “ไม่รู้สึกว่าพระองค์ดูผิดปกติหรือคะ”
“หมายความว่าอย่างไรหรือคะ”
“สีพระพักตร์น่ะค่ะ ดูไม่ค่อยดีชอบกล”
ราฟาเอลาพึมพำว่า ‘หรือเปล่านะ?’ พร้อมกับเอียงคอสงสัย ครั้นได้ยินราฟาเอลาพูดดังนั้น คราวนี้แม้แต่แพทริเซียก็เริ่มให้ความสนใจบ้างแล้ว หญิงสาวค่อยๆ เหลือบมองไปทางลูซิโอ ร่างสูงยืนนิ่ง สายตาจับจ้องดอกไม้ที่บานสะพรั่ง ใบหน้าของเขาขาวซีดเหมือนคนป่วยอย่างที่ราฟาเอลาบอก แพทริเซียให้ความสนใจอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าและกล่าวว่า
“ไปกันเถอะ”
เขามิใช่คนที่ข้าควรจะไปสนใจหรอก แพทริเซียคิดดังนั้นก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปอย่างเย็นชา
วันนั้นแพทริเซียเข้านอนเร็วกว่าปกติเล็กน้อย เดิมทีนี่เป็นช่วงเวลาที่นางต้องเตรียมงานรำลึกวันสถาปนาจักรวรรดิที่กำลังจะเกิดขึ้นในช้า แต่งานกลับไม่ค่อยคืบหน้าเท่าใดนัก นางรู้สึกว่าร่างกายเริ่มหนักอึ้งจึงนอนหลับตาอยู่บนเตียง
เดิมทีนางไม่ได้มีอาการนอนไม่หลับ แต่หลังจากรับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นางก็นอนหลับไม่ค่อยสนิทอยู่เนืองๆ ก่อนจะพบว่าสาเหตุเกิดจากการที่นางได้รับความเครียดมากเกินไปหลังจากเข้าวัง มิหนำซ้ำหลังจากขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นางก็ได้รับความเครียดมากกว่าตอนเป็นจักรพรรดินีหลายเท่าตัว
ขณะที่กำลังเคลิ้มใกล้จะหลับ หญิงสาวก็ต้องลืมตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ สลัดผ้าห่มให้พ้นตัวด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ และลุกขึ้นมานั่งพร้อมกับพึมพำด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
“นั่นมัน…เสียงอะไร”
นางได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นซ้ำๆ หากนั่นเป็นเสียงที่ไพเราะน่าฟังก็คงไม่เท่าไร แต่มันกลับเป็นเสียงที่แสนจะบาดหู แพทริเซียทนไม่ไหวจึงต้องเรียกหามีร์ยา มีร์ยารีบเข้ามาในห้องทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก
“ฝ่าบาท มีอะไรหรือเพคะ”
“เจ้าได้ยินไหม”
“เพคะ? พระองค์หมายถึง…”
มีร์ยาเอียงคอถามอย่างสงสัย
“เสียงน่ะสิ หรือเจ้าไม่ได้ยิน? นี่ข้าได้ยินอยู่คนเดียวหรือ” น้ำเสียงของแพทริเซียขณะอธิบายฟังดูอ่อนล้าเล็กน้อย
“หม่อมฉันไม่ได้ยินอะไรเลยเพคะ ฝ่าบาท หูแว่วหรือเปล่าเพคะ…”
“ไม่หรอก มีร์ยา หากเป็นเช่นนั้นข้าคงไม่เรียกหาเจ้ากลางดึก เจ้าลองตั้งใจฟังดูดีๆ”
น้ำเสียงของแพทริเซียแน่วแน่ มีร์ยาจึงเงียบเสียงลงและเพ่งสมาธิไปที่หู อา เหมือนจะมีเสียงอะไรบางอย่างจริงๆ ด้วยแต่เบามาก นางรู้สึกชื่นชมในความสามารถในการได้ยินของอีกฝ่ายที่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงที่เบาถึงขนาดนี้
“ได้ยินแล้วเพคะ ฝ่าบาท แต่เสียงเบามาก ระคายพระกรรณ (หู) หรือเพคะ”
“ขอโทษนะมีร์ยา ความจริงแล้วข้าเป็นคนที่ประสาทค่อนข้างไวน่ะ เสียงจะเบาแค่ไหนก็ทำให้ข้าตื่นได้ง่ายๆ”
“อย่าขอโทษหม่อมฉันเลยเพคะ ช่วงนี้ฝ่าบาททรงงานหนักเพียงใดใครบ้างไม่รู้ เดี๋ยวหม่อมฉันจะออกไปดูให้เองเพคะว่าเกิดอะไรขึ้น”
ในเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งก็ยากที่จะข่มตานอนอีกครั้ง แพทริเซียครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกจากเตียง นางใช้ผ้าคลุมไหล่คลุมทับชุดเดรสสีมุกที่สวมอยู่
“ไหนๆ ก็นอนไม่หลับแล้ว ข้าออกไปดูเองดีกว่า ข้าก็สงสัยเหมือนกันว่าใครมาทำเสียงอะไรในวังกลางดึกเช่นนี้” หญิงสาวกล่าวกับมีร์ยาที่มองมาด้วยความสงสัย
“จะดีหรือเพคะ หากเกิดอันตรายกับฝ่าบาท…”
“ไม่เป็นไรหรอก องครักษ์ก็อยู่ เจ้าไปหยิบตะเกียงมาให้ข้าทีได้หรือไม่”
“ได้เพคะ ฝ่าบาทโปรดรอสักครู่”
ไม่นานมีร์ยาก็กลับมาพร้อมกับตะเกียง แพทริเซียรับตะเกียงมาถือและออกจากห้องพร้อมกับมีร์ยาและราฟาเอลา ใครกันที่บังอาจมาก่อความวุ่นวายในตำหนักจักรพรรดินียามวิกาลเช่นนี้ แพทริเซียเดินอย่างสงบเสงี่ยมไปตามระเบียงทางเดิน
“…”
ระหว่างทางทั้งสามไม่ได้สนทนากันเพื่อจดจ่ออยู่กับเสียงที่ได้ยินเท่านั้น ต้นเสียงต้องอยู่ในตำหนักนี้เป็นแน่ เช่นนั้นผู้ที่ทำเสียงนี้คงเป็นข้ารับใช้คนหนึ่งในตำหนักกระมัง? แพทริเซียเดินต่อไปด้วยสีหน้าอ่านยาก
ด้วยขนาดอันใหญ่โตของตำหนักจักรพรรดินีทำให้การเดินรอบตำหนักต้องใช้เวลานานพอสมควร แต่โชคดีที่ดูเหมือนพวกนางจะไม่ต้องเสียเวลาโดยใช่เหตุเพราะแพทริเซียมุ่งไปตามทิศทางของเสียงที่นางได้ยินอย่างแม่นยำ
ครู่หนึ่งเสียงนั้นก็เริ่มดังขึ้น เป็นเสียงคล้ายเสียงร้องครวญครางของใครคนหนึ่ง ใครกันนะ? แม้จะแยกไม่ออกว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของบุรุษหรือสตรี แต่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เสียงร้องของเขาช่างน่าเวทนาเหลือเกิน
“พระจักรพรรดินีเพคะ”
ในตอนนั้นเอง คนผู้หนึ่งก็เรียกนางไว้ แพทริเซียหันไปมองหาเจ้าของเสียงเรียกโดยอัตโนมัติ หญิงที่ดูสูงวัยนางหนึ่งกำลังวิ่งเข้ามาหา เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่เป็นใคร คิ้วข้างหนึ่งของแพทริเซียก็เลิกขึ้นเล็กน้อย
“…นั่นนางกำนัลตำหนักกลางมิใช่หรือ”
นางจำได้ว่าอีกฝ่ายคือข้ารับใช้ที่ทำงานในตำหนักกลาง แพทริเซียมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเคลือบแคลง ฝ่ายนั้นหอบหายใจพลางเอ่ยถาม
“จะ…จะเสด็จไปที่ใดหรือเพคะ”
“เราจะไปไหนมาไหนจำเป็นต้องรายงานเจ้าด้วยหรือ”
แพทริเซียตอบด้วยความสงสัย เมื่อได้ยินคำตอบอีกฝ่ายก็ตัวสั่น แพทริเซียเห็นดังนั้นก็รู้สึกผิดจนต้องตอบคำถามของนางอีกครั้ง
“ตอนใกล้จะนอนเราได้ยินเสียงแปลกๆ จึงออกมาดู เจ้าถามทำไม”
“เรื่องนั้น…”
นางกำนัลเอาแต่กัดริมฝีปากไม่ยอมพูดอะไร แต่ในที่สุดก็ยอมเปิดปาก
“พระองค์ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น…”
“หมายความว่าอย่างไร”
“ระ เรื่องเช่นนั้น…หะ ให้ข้ารับใช้ไปทำให้ก็ได้มิใช่หรือเพคะ”
“แน่นอนว่าเป็นเช่นนั้น แต่เราจะทำอย่างไรก็เป็นเรื่องของเราเช่นกัน คงมิใช่เรื่องที่เจ้าจะมาก้าวก่ายกระมัง”
“ขะ ขอประทาน…”
นางหลับตาปี๋ก่อนจะพูดจบเสียอีก ตาของแพทริเซียกระตุกข้างหนึ่งด้วยรู้สึกแปลกๆ กับท่าทีประหลาดๆ ของอีกฝ่าย ราวกับว่านาง…กำลังขัดขวางตนอยู่ แพทริเซียเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ยิ่งไปกว่านั้น เหตุใดนางกำนัลตำหนักกลางเช่นเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ ฝ่าบาทส่งเจ้ามาหรือ”
“คือ…เรื่องนั้น…”
“ทำไมไม่ตอบ หากมิใช่ฝ่าบาทแล้วเป็นผู้ใด…”
ในตอนนั้นเองคำพูดของแพทริเซียก็หยุดชะงักเพราะเสียงร้องที่ดังกว่าเมื่อครู่ แพทริเซียเหลือบมองนางกำนัลที่อยู่ตรงหน้า ร่างกายของอีกฝ่ายสั่นระริก
“เจ้า มีเรื่องจะพูดกับเราอีกหรือไม่” นางถาม
“ฝ่าบาท จะเสด็จไปทางนั้นมิได้…”
“หากมิใช่ธุระสำคัญก็เอาไว้ก่อน ตอนนี้เรากำลังยุ่ง”
แพทริเซียพูดจบก็เดินจากไป และรู้สึกได้ว่านางกำนัลที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังกำลังกระวนกระวายทำอะไรไม่ถูก นางรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าอีกฝ่ายเรียกนางไว้เพื่อขัดขวาง
แต่ด้วยเหตุใด? มีอะไรในตำหนักจักรพรรดินีแห่งนี้ที่น่ากลัวจนนางกำนัลจากตำหนักกลางต้องเข้ามาขัดขวางเชียวหรือ? และแล้วเสียงนั้นก็เริ่มดังขึ้น แพทริเซียพอจะเดาที่มาของเสียงได้แล้ว สีหน้าของนางดูตึงเครียดขึ้นเช่นเดียวกับร่างกายที่แข็งเกร็งจนก้าวเท้าไม่ออก หรือว่า…เสียงนี้…
“…มีร์ยา ราฟาเอลา”
แพทริเซียเรียกทั้งสองคนเสียงกระด้าง คนถูกเรียกขานรับในทันที
“เพคะ ฝ่าบาท”
“ฝ่าบาทโปรดมีรับสั่ง”
“…พวกเจ้ารออยู่ที่นี่”
ทั้งสองมีสีหน้าตกตะลึงด้วยไม่คิดว่าแพทริเซียจะออกคำสั่งเช่นนี้
“ฝ่าบาท แต่ว่า…!”
“จะเสด็จพระองค์เดียวหรือเพคะ อันตรายนะเพคะ”
ไม่หรอก ถ้าตนคิดถูกล่ะก็ไม่เป็นอันตรายแน่นอน บางทีฝ่ายที่จะเป็นอันตราย…อาจไม่ใช่ข้าแต่กลับเป็นอีกฝ่ายเสียมากกว่า
“นี่เป็นคำสั่ง พวกเจ้ารอยู่ที่นี่ ข้า…ไม่เป็นอะไรหรอก ไม่ต้องเป็นห่วง” แพทริเซียกล่าวสำทับอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“…”
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนไม่อยากทำตามคำสั่งแต่ก็ขัดขืนไม่ได้ เพราะปกติแล้วแพทริเซียไม่ใช้คำว่า ‘คำสั่ง’ พร่ำเพรื่อ แต่ถึงแพทริเซียไม่พูดคำนั้น พวกนางก็ทำตามที่แพทริเซียสั่งอยู่แล้ว ถ้าถึงขนาดที่แพทริเซียต้องพูดคำนี้…ก็หมายความว่าพวกนางไม่สามารถทำอะไรได้จริงๆ ทั้งสองคนจึงต้องหยุดอยู่ตรงนั้น
“บางที…คงจะใช้เวลาไม่นานหรอก”
แพทริเซียพูดลอยๆ ก่อนจะรีบสาวเท้า ในขณะที่มีร์ยาและราฟาเอลาได้แต่มองแผ่นหลังที่ค่อยๆ ห่างออกไปด้วยความอึดอัดใจ
ฝ่าบาททำเช่นนี้…ทรงคิดอะไรอยู่กันแน่
“ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ”
“…ไม่เป็นไร”
เห็นโรสมอนด์ฝืนตอบเช่นนั้น สีหน้าของคลาราก็เต็มไปด้วยความสงสัย แต่สุดท้ายนางก็กลับไปทำงานต่อ โรสมอนด์นั่งโยกตัวช้าๆ บนเก้าอี้โยกที่ทำจากไม้ราคาแพงและใช้เวลาเรียบเรียงความคิดอยู่ครู่หนึ่ง
นางต้องออกจากวังหลายวัน ทั้งยังมีเรื่องที่ต้องจัดการ โรสมอนด์จึงใช้ความคิดนานกว่าปกติ นางคิดไตร่ตรองอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะออกคำสั่งกับคลาราอย่างสุขุม
“คลารา”
“ค่ะ เลดี้โรสมอนด์”
“ไปหยิบกระดาษเขียนจดหมายมาที”
คลารารีบหยิบปากกากับกระดาษมาตามคำสั่ง ครั้นได้ปากกามา โรสมอนด์ก็จรดลงบนกระดาษเพื่อเขียนจดหมายถึงใครคนหนึ่งอย่างไม่ลังเล การกระทำของนางทั้งดูจริงจังแต่ก็ดูสนุกสนานอยู่ในที
โรสมอนด์ใช้เวลาครู่ใหญ่ในการเขียนจดหมายจดเสร็จ นางพับจดหมายใส่ซองอย่างดีก่อนจะประทับตราประจำตัวลงไป และยื่นจดหมายนั้นให้คลารา
“บอกทางนั้นด้วยว่าอ่านจบให้เผาจดหมายทิ้งเหมือนทุกครั้ง” นางกำชับ
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ท่านโรสมอนด์ ข้าทำเช่นนั้นเสมอ”
คลารารับจดหมายมาด้วยความเคยชิน แม้โรสมอนด์ไม่ได้บอกว่าให้นำไปให้ใคร แต่คลาราก็รู้ได้เองว่าใครเป็นเจ้าของจดหมายฉบับนี้ นางเก็บจดหมายลงในเสื้อให้เรียบร้อยก่อนจะเอ่ยถามผู้เป็นนาย
“ท่านโรสมอนด์ จดหมายนี้ให้นำส่งเมื่อไรดีคะ”
“ยิ่งเร็วยิ่งดี เป็นไปได้ก็อย่าให้ใครเห็น ปิดเป็นความลับ เข้าใจไหม”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ท่านโรสมอนด์ ข้าทำเช่นนั้นมาตลอด”
คลารายิ้มอย่างชั่วร้ายและพยักหน้า เมื่อเห็นดังนั้น โรสมอนด์จึงวางใจได้
หัวสมองที่ยุ่งเหยิงของโรสมอนด์รู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย คลาราเป็นคนเฉลียวฉลาด นางคงไม่ทำให้ตนต้องเป็นกังวล เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ โรสมอนด์ก็อารมณ์ดีขึ้นและหัวเราะออกมาอย่างไม่มีเหตุผล
***
เมื่อยามเช้าของวันใหม่มาถึง โรสมอนด์ก็เดินทางออกจากเมืองหลวงทันทีตามแผนที่วางไว้ ระยะทางจากเมืองหลวงไปยังบารอนีแดโรว์[1]นั้นไกลพอสมควร ต่อให้นางเร่งเดินทางอย่างไรก็คงใช้เวลาสองถึงสามอาทิตย์กว่าจะกลับถึงพระราชวัง เมื่อแพทริเซียคิดว่าในช่วงสัปดาห์นั้นนางจะไม่ได้เห็นโรสมอนด์ แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่นางก็รู้สึกเหมือนได้ถอนฟันที่ปวดออกไป และเมื่อคิดได้ดังนั้นแพทริเซียก็ต้องยอมรับว่าโรสมอนด์ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของนางจริงๆ
ลูซิโอไม่อาจอวยพรโรสมอนด์ที่กำลังจะไปพบบารอนแดโรว์ให้มีความสุขกับการเดินทางครั้งนี้ เขาเพียงแต่อวยพรให้นางเดินทางปลอดภัย ลูซิโอออกไปส่งโรสมอนด์จากนั้นก็กลับไปที่ห้องทำงานและทำงานเหมือนกับทุกวัน เขานั่งลงที่โต๊ะก่อนจะหยิบปากกาขึ้นมาเพื่อเซ็นชื่อลงในเอกสารที่คั่งค้าง
“อึก!”
ในตอนนั้นเองเขาก็รู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัสจนต้องกำข้อมือเอาไว้ หัวหน้านางกำนัลที่อยู่ด้านนอกรีบเข้ามาในห้องทำงานเพราะได้ยินเสียงดัง
“ฝ่าบาท เกิดอะไรขึ้นเพคะ!”
“ฮา…”
ลูซิโอสูดลมหายใจอย่างยากลำบาก
“วะ วันนี้…” เขาถามหัวหน้านางกำนัลอย่างตะกุกตะกัก
“เพคะ?”
“วันนี้วันที่เท่าไร”
“21 เดือน 7…อ๊ะ!”
หัวหน้านางกำนัลตกใจจนต้องยกมือขึ้นมาปิดปากที่อ้าค้างราวกับนางเพิ่งนึกขึ้นได้ ลูซิโอสบถ ‘บ้าเอ๊ย’ ก่อนจะใช้อีกมือหนึ่งบีบข้อมือที่ยังคงรู้สึกปวดอย่างแรง โธ่เว้ย ทำไมกัน…
“ไม่เคยปล่อยผ่านสักครั้งเลยนะ”
“…”
หัวหน้านางกำนัลตำหนักกลางไม่พูดอะไร สีหน้าของลูซิโอดูขมขื่นอย่างน่าใจหาย เขาโบกมือข้างที่ไม่ปวดเพื่อบอกให้หัวหน้านางกำนัลออกไป นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะออกจากห้องไปตามคำสั่ง
ความเจ็บปวดนั้นคงอยู่อย่างยาวนาน ความเจ็บปวดนั้นไม่เคยหายสนิท เช่นเดียวกับช่วงเวลาที่เขาต้องร้องคร่ำครวญ เขาคิดว่าร่างกายนี้ช่างโหดร้ายกับเขาเสียจริง ร่างกายของเขาฉลาดและเจ้าเล่ห์เกินไป ลูซิโอหัวเราะออกมาด้วยความสมเพช
***
เปโตรนิยายิ้มอย่างอ่อนโยนขณะก้าวเข้าไปในคฤหาสน์ดยุกเอเฟรนี พ่อบ้านของคฤหาสน์จำนางได้ก็แสดงความเคารพอย่างนอบน้อมก่อนจะพานางเข้าไปด้านใน ครั้นดัชเชสเอเฟรนีเห็นเปโตรนิยาก็ต้อนรับอย่างยินดี
“มาแล้วหรือคะ เลดี้”
“ดัชเชส เดินทางวันนี้หรือคะ”
เปโตรนิยาถามด้วยน้ำเสียงเจือความเสียดาย ดัชเชสเอเฟรนีพยักหน้าตอบ
“ข้ารู้สึกผิดเหลือเกินค่ะ…เหมือนข้าสร้างภาระให้เลดี้อย่างไรอย่างนั้น”
“อย่ารู้สึกผิดเลยค่ะ ดัชเชส” เปโตรนิยาตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ดัชเชสสัญญาว่าจะฟังคำขอของข้าข้อหนึ่งใช่ไหมคะ”
“แน่นอนค่ะ เลดี้” ดัชเชสเอเฟรนีย้ำด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจเพื่อให้เปโตรนิยาคลายกังวล “ไม่ต้องห่วงนะคะ เลดี้ ข้าย่อมต้องคำนึงถึงความยากลำบากของเลดี้ในการรับหน้าที่นี้ ข้าจะรักษาสัญญาค่ะ”
“ข้าก็ไม่คิดว่าดัชเชสเป็นคนไม่รักษาคำพูดหรอกค่ะ หวังว่าดัชเชสจะเดินทางไกลโดยสวัสดิภาพและกลับมาพร้อมข่าวดีนะคะ”
“โอ้ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ เลดี้”
ดัชเชสเอเฟรนีกอดเปโตรนิยาไว้ด้วยสีหน้าปลื้มปิติราวกับว่าความรู้สึกในใจตีรื้นขึ้นมา แม้ในความเป็นจริงจะดูเหมือนดัชเชสอยู่ในอ้อมกอดของเปโตรนิยามากกว่าก็ตาม
“เรื่องสำคัญต่างๆ ข้าบอกพ่อบ้านไว้หมดแล้ว เขาเป็นคนเก่าคนแก่ ไว้ใจได้ค่ะ” ดัชเชสกล่าวเสริม
“ขอบคุณค่ะ ดัชเชส ออกเดินทางเถอะค่ะ ไม่ต้องกังวล”
“ขอบคุณอีกครั้งค่ะ เลดี้”
ในตอนนั้นเองพวกนางก็ได้ยินเสียงใครบางคนออกมาจากห้อง เปโตรนิยาหันไปมองทางต้นเสียง ใครคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาในห้องรับแขก
“อา…”
คนผู้นั้นเป็นหญิงสาว นางมีผมสีแดงเข้มรับกับนัยน์ตาสีน้ำตาลแดงที่มองปราดเดียวก็รู้สึกได้ว่าช่างเป็นหญิงสาวที่ทรงเสน่ห์ เปโตรนิยารับรู้ได้ในทันทีว่านางคืออนุภรรยาของดยุกเอเฟรนีนั่นเอง
เปโตรนิยาสังเกตท่าทีของดัชเชสเอเฟรนี นางสะกดกลั้นอารมณ์จนตัวสั่นระริกด้วยไม่ต้องการให้เปโตรนิยาซึ่งเป็นอาคันตุกะพบเห็นภาพที่ไม่งาม แต่สำหรับเปโตรนิยาซึ่งเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างอยู่แล้วนั้นเพียงแต่คิดว่าดัชเชสเอเฟรนีคงจะเกลียดอนุภรรยามากจึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้
เปโตรนิยาชั่งใจว่าตนควรจะทักทายผู้หญิงที่คาดว่าจะเป็นอนุภรรยาของดยุกเอเฟรนีหรือไม่ สุดท้ายนางก็ตัดสินใจที่จะนิ่งเฉย ฐานันดรศักดิ์ของนางไม่ได้ต้อยต่ำ ดังนั้นต่อให้ทำเช่นนี้ก็คงไม่เสียหายอะไร เปโตรนิยานั่งนิ่งและคอยสังเกตการเปลี่ยนแปลงของดัชเชสเอเฟรนี นางควบคุมมือที่กำลังสั่นเบาๆ ให้หยุดสั่นอย่างเยือกเย็นและถามผู้มาใหม่
“แจนยูเอรี เจ้ามีธุระอะไร”
“ข้าเห็นว่ามีแขกน่ะค่ะ คุณพี่”
เมื่อถูกอีกฝ่ายเรียกว่า ‘คุณพี่’ สีหน้าของดัชเชสเอเฟรนีก็ดูแข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด เปโตรนิยานั่งตัวเกร็ง นางสัมผัสได้ถึงบรรยากาศมาคุ
“ถึงอย่างนั้นก็มิใช่กงการอะไรของเจ้ามิใช่รึ” ดัชเชสเอเฟรนีพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“คุณพี่นี่ล่ะก็ ข้าเพียงแต่คิดว่าตัวเองอาจจะช่วยอะไรได้” หญิงสาวยิ้มน้อยๆ พูดกับดัชเชสเอเฟรนีอย่างนุ่มนวล “ตั้งแต่วันนี้คุณพี่จะไม่อยู่ที่คฤหาสน์นี่คะ ข้าเพียงแต่เป็นกังวล”
แม้นางจะพูดเฉไฉไปเรื่องอื่น แต่ก็เห็นได้ชัดว่านางจงใจพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อยั่วโทสะดัชเชสเอเฟรนี แม้แต่เปโตนิยายังรู้สึกได้ มีหรือที่คนเฉลียวฉลาดอย่างดัชเชสเอเฟรนีจะไม่รู้ นางข่มความโกรธและพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ข้าจะฝากเรื่องสำคัญเช่นนี้ไว้กับเจ้าได้อย่างไร จริงไหม?”
“…”
“ดังนั้น ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ ข้าตั้งใจจะฝากฝังกิจการงานต่างๆ ในตระกูลไว้กับเลดี้จากตระกูลมาร์ควิสที่มีประวัติยาวนาน ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกเจ้าแล้วมิใช่รึ”
“บอกแล้วค่ะ คุณพี่”
แจนยูเอรียิ้มอย่างงดงามและมองมาที่เปโตรนิยา บนใบหน้าเรียบเฉยของเปโตรนิยาปรากฏรอยยิ้มเพียงชั่วประเดี๋ยว เป็นรอยยิ้มตามมารยาทที่ไม่กว้างเกินไปและไม่ดูบึ้งตึงเกินไป เมื่อเห็นดังนั้นอีกฝ่ายก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย
“แค่มองผ่านๆ ก็รู้สึกได้แล้วค่ะว่าเป็นคนจิตใจดี คงจะช่วยได้มากระหว่างที่คุณพี่ไม่อยู่”
“…ข้าก็คิดเช่นนั้น” ดัชเชสเอเฟรนีฝืนยิ้มพูดกับแจนยูเอรี “ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ เลดี้โกรเชสเตอร์จะดูแลเรื่องภายในบ้านทั้งหมด หวังว่าเจ้าจะให้ความร่วมมือทำตามที่เลดี้สั่ง เพราะเจ้าก็นับเป็นสมาชิกในบ้านนี้เช่นกัน”
“…ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นค่ะ”
แจนยูเอรียิ้มอย่างว่าง่าย เปโตรนิยารับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าช่วงสั้นๆ ที่ต้องอยู่ร่วมกับผู้หญิงคนนี้จะต้องเหนื่อยมากแน่ๆ โชคดีที่ตนจะใช้เวลาอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้จริงๆ น้อยมาก เพราะตั้งใจว่าจะดูแลเฉพาะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่จำเป็นเท่านั้น
“ต้องออกเดินทางแล้วค่ะ ดัชเชส ขืนชักช้าจะสายเอาได้”
ครั้นได้ยินสาวใช้คนสนิทเอ่ยเร่ง ดัชเชสเอเฟรนีก็ลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้ นางกอดเปโตรนิยาเป็นครั้งสุดท้ายและพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเทียบไม่ได้กับน้ำเสียงที่ใช้กับแจนยูเอรีเมื่อครู่
“ฝากด้วยนะคะ เลดี้ แต่คงไม่มีเรื่องใหญ่อะไรให้เลดี้ต้องคิดมากหรอกค่ะ”
เพราะพ่อบ้านเองอยู่ เปโตรนิยาพยักหน้ารับคำ
“ค่ะ ดัชเชส รักษาสุขภาพด้วยนะคะ”
“ขอบคุณค่ะ ข้าไปก่อนนะคะ”
ดัชเชสเอเฟรนีกลับมาเป็นดัชเชสที่สุขุมคนเก่าและออกจากบ้านไป คนรับใช้ชายหญิงทั้งหมดรวมถึงแจนยูเอรีพากันออกไปส่ง แม้ดัชเชสเอเฟรนีจะแสดงท่าทีไม่แยแสแจนยูเอรีก็ตาม
เมื่อดัชเชสเอเฟรนีออกเดินทางไปแล้ว แจนยูเอรีก็ค่อยๆ เดินเข้ามาหาเปโตรนิยา ฝ่ายเปโตรนิยาไม่ได้ประหม่าทั้งยังส่งยิ้มให้
“ดูจากที่คุณพี่ฝากเรื่องในบ้านไว้กับคนอื่นแทนที่จะเป็นข้า ข้าคงดูไม่น่าไว้ใจในสายคุณพี่สินะคะ” แจนยูเอรีกล่าว
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรคะ มาดาม” เปโตรนิยายิ้มอย่างงดงามและออกปากปกป้องดัชเชสเอเฟรนี “ดัชเชสอาจจะไม่อยากให้มาดามลำบากก็ได้นะคะ”
“เลดี้คิดเช่นนั้นจริงๆ หรือคะ”
“ไม่ทราบสิคะ ข้าเองก็มิอาจเดาใจผู้อื่นได้”
เปโตรนิยาจบประโยคอย่างคลุมเครือ
“เอาเป็นว่า ข้าเพียงแต่รับฟังคำขอจากดัชเชสเท่านั้น หากรู้ว่ามีมาดามอยู่ ข้าคงไม่ตกปากรับคำหรอกค่ะ”
แม้ว่าความจริงนางจะตอบตกลงเพราะรู้อยู่แล้วก็ตาม เปโตรนิยาแสร้งทำเป็นไม่รู้และพูดต่อ
“ไม่ต้องห่วงนะคะ มาดาม ข้าเพียงแต่ช่วยจัดการงานเล็กๆ น้อยๆ ตามที่ดัชเชสขอไว้เท่านั้น ถึงอย่างไรข้าก็เป็นคนนอก ท่านดยุกคงไม่อยากให้คนนอกมารับรู้เรื่องราวภายในบ้าน และคงไม่ชอบให้คนนอกมาเข้าๆ ออกๆ บ้านเช่นนี้หรอกค่ะ”
“เลดี้ทั้งเฉลียวฉลาดและเพรียบพร้อมด้วยมารยาทจริงๆ ค่ะ”
“ชมเกินไปแล้วค่ะ”
เปโตรนิยาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองแจนยูเอรี แม้ตนจะไม่ได้ตัวเล็กแต่แจนยูเอรีก็สูงกว่า ปีนี้อายุของอีกฝ่ายน่าจะเข้าเลขสามแล้ว แต่ใบหน้าของนางหน้ายังดูอ่อนเยาว์ทีเดียว จะมองเป็นหญิงสาววัยยี่สิบก็ไม่เกินไป เปโตรนิยาที่รู้เรื่องราวในบ้านนี้ประมาณหนึ่งอดที่จะสงสารดัชเชสเอเฟรนีไม่ได้ ดยุกอะไรช่างไร้หัวคิดนัก
“เมื่อวานพ่อบ้านได้อธิบายเรื่องต่างๆ ในบ้านให้ข้าฟังบ้างแล้ว ข้าจะเข้ามาในยามที่จำเป็นเท่านั้นค่ะ เพราะต่อให้ไม่มีข้า พ่อบ้านก็น่าจะจัดการเรื่องต่างๆ ได้ดีอยู่แล้ว”
เพราะฉะนั้น นี่จึงเป็นเพียงการสวมบทบาทผู้จับตามองอย่างแท้จริง เรียกว่าเป็นการแสดงออกในเชิงสัญลักษณ์ก็มิผิด ทั้งแจนยูเอรีและดัชเชสเอเฟรนีต่างก็รู้ดี
“พระจักรพรรดินีน่าจะกำลังรอข้าอยู่ เช่นนั้นคงต้องขอตัวก่อนนะคะ”
“เดินทางปลอดภัยค่ะ เลดี้ พ่อบ้าน ส่งแขกด้วย”
“…ขอรับ”
“…”
เปโตรนิยาขึ้นรถมาโดยไม่มีคำพูดไม่เอ่ยคำพูดใด ก่อนที่รถม้าจะออกตัว พ่อบ้านก็พูดกับนางเบาๆ
[1] บารอนี (Barony) คืออาณาเขตปกครองของบารอน ดังนั้น บารอนีแดโรว์ คือ อาณาเขตหรือดินแดนของบารอนแดโรว์
คงไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ใครจะคิดว่าดัชเชสจะมาขอร้องนางเช่นนี้ แต่นี่แหละมนุษย์ เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาที่อ่อนไหวที่สุด มนุษย์จะหวั่นไหวกับปัญหานั้นยิ่งกว่าใคร
เมื่ออยู่ต่อหน้าปัญหานั้น มนุษย์จะเข้าตาจน และอาจต้องขอความช่วยเหลือจากคนที่เคยมองว่าเป็นศัตรู
“โธ่ ดัชเชส ไม่จำเป็นต้องตอบแทนหรอกค่ะ ท่านก็รู้ว่าบ้านข้ามิได้ขัดสนอันใด” เปโตรนิยาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“แต่จะให้ไหว้วานเฉยๆ …ข้าก็ละอายใจเป็นนะคะ”
“ถ้าดัชเชสพูดถึงขนาดนั้น เช่นนั้นในภายภาคหน้าท่านช่วยรับฟังคำขอร้องจากข้าสักข้อได้ไหมคะ ข้าขอเพียงเท่านั้น”
“แต่ว่า…แค่นั้นจะพอหรือคะ”
“พออยู่แล้วค่ะ ดัชเชส”
เปโตรนิยายิ้มอย่างอ่อนหวาน กุมมืออีกฝ่ายไว้แน่น แต่ถึงกระนั้นนางก็แสดงความกังวลออกมาผ่านทางน้ำเสียง
“ทว่า ตัวข้าไร้ประสบการณ์ทั้งยังขาดความชำนาญ…เกรงว่าข้าจะยิ่งสร้างปัญหาให้กับดัชเชสน่ะสิคะ”
“อย่างน้อยเลดี้ก็น่าจะทำได้ดีกว่าแม่นั่นล่ะค่ะ เพราะนางก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับงานพวกนี้เลยเช่นกัน เพราะฉะนั้นสู้ฝากฝังไว้กับเลดี้ซึ่งได้รับการอบรมจากตระกูลที่มีชื่อเสียงน่าจะทำให้ข้าเบาใจได้มากกว่า”
ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังเป็นถึงพี่สาวของจักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน นั่นหมายความว่าต่อให้นางก่อปัญหาอะไรก็ยังมีโอกาสได้รับเงินชดเชย แน่นอนว่าเมื่อคำนึงถึงตำแหน่งของน้องสาวของนางแล้ว นางคงไม่ทำอะไรผิดพลาด ดัชเชสเอเฟรนีเองก็ไม่ใช่คนที่จะพูดจาส่งเดชโดยไม่คิดถึงผลได้ผลเสีย
“ต้องเป็นประสบการณ์ที่ดีแน่ๆ ค่ะ ดัชเชส แม้จะยังไร้ความสามารถแต่ข้าจะพยายามทำอย่างเต็มที่ค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ เลดี้ คงไม่มีเรื่องใหญ่อะไรหรอกค่ะ แต่อาจจะรำคาญใจกับ…เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ้าง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดัชเชส ขอเพียงมิใช่เรื่องใหญ่ ข้าก็น่าจะทำได้ค่ะ”
พูดจบ เปโตรนิยาก็ค่อยๆ ลุกขึ้นจากที่นั่ง สำหรับวันนี้ต่อให้อยู่ที่นี่นานกว่านี้ก็คงไม่ได้อะไร เมื่อเห็นอีกฝ่ายขยับตัว ดัชเชสเอเฟรนีก็ถามราวกับเสียดาย
“ตายจริง จะกลับแล้วหรือคะ อยู่ต่ออีกหน่อยสิคะ เลดี้”
“เห็นจะไม่ได้ค่ะ ดัชเชส ฝ่าบาทคงกำลังรอข้าอยู่ ข้าไม่ได้แจ้งไว้ว่าจะออกมานานขนาดนี้ ฝ่าบาทอาจเป็นกังวลได้ อีกทั้งข้าต้องแวะไปที่บ้านสักครู่…”
“โธ่ เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้นะคะ”
ช่วงแรกเปโตรนิยาอาจรู้สึกอึดอัดและไม่สะดวกใจ แต่ตอนนี้ความรู้สึกเหล่านั้นไม่มีความหมายอะไรแล้ว เพราะตอนนี้นางคือผู้รับหน้าที่ดูแลงานต่างๆ ในคฤหาสน์ดยุกเอเฟรนี แม้จะแค่ชั่วคราวก็ตาม และนั่นย่อมหมายความว่าดัชเชสเอเฟรนีมีไมตรีจิตต่อเปโตรนิยา ความจริงข้อนี้ทำให้เปโตรนิยาแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ ตายจริง นางไม่รู้มาก่อนเลยว่าสามีภรรยาเอเฟรนีจะมีเจตนารมณ์ที่ต่างกันเช่นนี้
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะคะ ดัชเชส ท่านเองก็พักผ่อนเถอะค่ะ ไหนจะต้องเตรียมตัวออกเดินทางอีก…”
“ละเอียดลออจริงๆ เลยค่ะ เลดี้ ขอบคุณนะคะ”
“ขอบคุณอะไรกันคะ ข้าแค่หวังให้ท่านเดินทางไปกลับโดยสวัสดิภาพเท่านั้นเองค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ…”
เปโตรนิยาบอกลาและเดินออกจากประตูไป ดัชเชสเอเฟรนียืนส่งเปโตรนิยาจนลับตา เปโตรนิยาเผยรอยยิ้มที่เก็บซ่อนไว้ออกมาทันทีที่นางเดินห่างออกมาพอสมควรและหันไปอีกทางแล้ว ตัวนางเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าสิ่งที่ได้มาอย่างเหนือความคาดหมายนี้จะนำผลลัพธ์ใดมาให้
“ข้ากลับมาแล้ว ริซซี่”
“ท่านพี่”
แพทริเซียซึ่งอ่านเอกสารอยู่ที่โต๊ะต้อนรับเปโตรนิยาด้วยความยินดี เปโตรนิยาเข้าไปกอดอีกฝ่ายอย่างเป็นธรรมชาติและเอ่ยปากเล่า
“มีเรื่องเกิดขึ้นเยอะแยะเลยล่ะ ริซซี่”
“รีบเล่ามาเลย ข้าสงสัยจะแย่แล้ว”
“ข่าวนี้ต้องสนองความสงสัยนั้นได้แน่นอน”
เปโตรนิยาหัวเราะคิกคักพร้อมกับนั่งลง แพทริเซียตั้งตารอให้พี่สาวของตนเปิดปากเล่า
“ระหว่างที่ดัชเชสเอเฟรนีไม่อยู่ ข้าจะเป็นผู้ดูแลคฤหาสน์ดยุกเอเฟรนี” เปโตรนิยาเริ่มเล่าจากบทสรุปก่อน
“…หา?”
แพทริเซียถามอย่างงุนงง นี่มันเรื่องอะไรกันล่ะนี่ เปโตรนิยาจึงค่อยๆ อธิบายให้น้องสาวที่มีสีหน้าไม่เข้าใจฟัง
“ข้ารู้ ริซซี่ ไม่น่าเชื่อใช่ไหมล่ะ ตอนที่ข้าได้ฟังข้อเสนอนี้ข้าก็ตกใจเหมือนกัน”
“ได้อย่างไร ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ล่ะ”
“ฟังนะ ดยุกเอเฟรนีมีอนุภรรยา อนุภรรยาคนนั้นมีลูกชายหนึ่งคน และดัชเชสก็เกลียดแม่ลูกคู่นั้นมาก”
เปโตรนิยาพึมพำว่า ‘มันก็แน่อยู่แล้วล่ะนะ’ ก่อนจะเล่าต่ออย่างใจเย็น “ดัชเชสเอเฟรนีกลัวว่าอนุภรรยาคนนั้นจะมาเลื่อยขาเก้าอี้ภรรยาหลวงของนางตอนที่นางไม่อยู่ แน่นอนว่าตำแหน่งดัชเชสนั้นสูงเกินกว่าที่อนุภรรยาคนหนึ่งจะอาจเอื้อม…แต่ท่าทางดยุกเอเฟรนีจะเอ็นดูนางผู้นั้นน่าดู”
จะบ้านนี้หรือบ้านนั้นก็มีปัญหาเรื่องอนุภรรยา ไม่สิ ควรเรียกว่าปัญหาของพวกผู้ชายหรือเปล่านะ แพทริเซียพยักหน้าเข้าใจ
“มิหนำซ้ำตอนนี้ลูกชายซึ่งเป็นผู้สืบทอดก็อยู่ในสภาพเป็นตายเท่ากัน นางย่อมต้องร้อนใจอยู่แล้ว”
“ถึงขนาดฝากเรื่องภายในบ้านให้คนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันอย่างเจ้าเชียวหรือ? นั่นมันเกินไปหน่อยกระมัง”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อนั่นเป็นความคิดของเจ้าตัว”
“แล้วเจ้าก็ตอบตกลง?”
เปโตรนิยาพยักหน้าตอบคำถามของแพทริเซีย
“อืม ข้าจะทำ”
“ทำไมล่ะ”
แพทริเซียทำหน้ามุ่ยพลางถาม หากจะพูดกันตามตรง เปโตรนิยาไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรับข้อเสนอของดัชเชสเอเฟรนี แม้แต่ดยุกเอเฟรนีสามีของนางก็ยังตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับจักรพรรดินีคนปัจจุบันอย่างตน ในสถานการณ์เช่นนี้มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปญาติดีกับศัตรู ในเมื่อตนก็มีดยุกวีเธอร์ฟอร์ดอยู่แล้ว
เปโตรนิยาคล้ายอ่านใจแพทริเซียได้อย่างทะลุปรุโปร่ง นางพูดกับฝ่ายนั้นอย่างใจเย็น
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไร ริซซี่ ที่ข้ายอมรับข้อเสนอนี้ก็เพราะว่าแม้จะไม่รับ ข้าก็ไม่เสียอะไร แต่ถ้าข้ารับ บางทีอาจจะได้อะไรมาบ้าง”
“หมายความว่าอย่างไร”
“ถ้าจะยืมคำพูดเจ้ามาใช้ก็คือที่นั่นเป็นรังของศัตรู ซึ่งข้าจะได้ไปดูแลที่นั่น เรื่องนี้เป็นธุระของนายหญิงของบ้าน ดังนั้นดยุกเอเฟรนีคงขัดอะไรไม่ได้ อีกอย่าง จะให้คนนอกมาดูแลหรือให้อนุภรรยาดูแลก็มีค่าเท่ากัน”
“คือ…หมายความว่าเจ้าจะเป็นสายลับให้ข้า?”
“เจ้าไม่รู้ว่าดยุกเอเฟรนีเกลียดพวกเราเพราะอะไรใช่ไหม”
เปโตรนิยาถามอย่างใจเย็นและแพทริเซียก็พยักหน้า เปโตรนิยาหัวเราะออกมา
“ข้าอาจได้รู้เรื่องนั้นก็ได้ ถ้าโชคดีน่ะนะ”
“ก็ดี จริงๆ แล้วข้าก็ไม่ได้ใส่ใจหรอก” แพทริเซียกุมมือเปโตรนิยาไว้หลวมๆ “แต่ข้ากลัวว่าเจ้าจะลำบาก การดูแลคฤหาสน์ดยุกแม้จะแค่ชั่วคราวแต่ก็มิใช่เรื่องง่าย”
“ข้ารู้” เปโตรนิยายิ้มอย่างขมขื่น “แต่ข้าไม่เป็นไรจริงๆ”
“ประสบการณ์ก็ไม่มี”
“ก็บอกว่าไม่เป็นไรอย่างไรเล่า เจ้าอย่าห่วงเลย”
เปโตรนิยาตอบอย่างไม่ยี่หระ แพทริเซียรู้สึกแปลกๆ กับท่าทีของอีกฝ่าย แต่นางก็ไม่ได้สนใจและเปลี่ยนเรื่องพูด
“อืม ที่จริงทางนี้ก็มีเรื่องเหมือนกัน”
เพียงระยะเวลาสั้นๆ ไยจึงเกิดเรื่องขึ้นมากมาย เปโตรนิยายิ้มน้อยๆ และพยักหน้าให้พูดต่อ แพทริเซียจึงเริ่มอธิบาย
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ได้ยินว่าโรสมอนด์จะไม่อยู่สักพักน่ะ”
“ไม่อยู่ในวังน่ะหรือ”
เปโตรนิยาถามอย่างสงสัยและแพทริเซียก็พยักหน้ารับ
“ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใด แต่นางจะไปพบบารอนแดโรว์ นางวางแผนจะทำอะไรนะ”
“นั่นสิ…”
เปโตรนิยาพึมพำด้วยความสงสัย คราวนี้นางวางแผนอะไรไว้อีก? หากเป็นคนอื่นคงพอจะคิดได้ว่าเป็นเพียงการคิดถึงบิดามารดา แต่หลังจากถูกเล่นงานซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้จะเป็นเพียงการเคลื่อนไหวเล็กน้อยของโรสมอนด์ พวกนางก็ไม่อาจปล่อยผ่านได้ เปโตรนิยารู้สึกไม่สบอารมณ์กับสถานการณ์นี้นัก
“ในเมื่อไม่รู้สาเหตุ กังวลไปก็ไม่มีประโยชน์ พักนี้เจ้าอ่อนไหวง่ายนะ ริซซี่ ทำใจให้สบายหน่อยเถอะ” นางบอกแพทริเซีย
“ทำได้ยากยิ่ง นิล” แพทริเซียพูดด้วยน้ำเสียงอัดอั้น “บางครั้งข้าก็ฝันร้ายถึงเรื่องวันนั้น”
ครั้นได้ยินน้ำเสียงหม่นหมองของน้องสาว อารมณ์ของเปโตรนิยาก็พลอยดิ่งไปด้วย แต่แพทริเซียจะเป็นเช่นนี้ก็ไม่แปลก เพราะถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวพันถึงชีวิต จักรพรรดิลูซิโอซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดถึงกับหมดสติอยู่นาน เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์นั้นเป็นแผลใจที่รุนแรงที่สุดสำหรับแพทริเซีย เปโตรนิยากุมมือของอีกฝ่ายไว้แน่น
“ข้าควรจะช่วยแบ่งเบาภาระเจ้าแท้ๆ แต่ดูเหมือนข้าจะทำอะไรไม่ได้เลย ขอโทษนะ” นางว่า
“แค่มีเจ้าอยู่ก็เป็นกำลังให้ข้าได้มากแล้ว”
มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ท่านพี่ เพราะข้ามาที่นี่ด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าอยากช่วยชีวิตเจ้าก็เท่านั้น เพราะฉะนั้น ท่านพี่ แม้สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ค่อยสู่ดีนัก แต่ข้าไม่เป็นไร เพราะข้ายังมีชีวิตอยู่และท่านพี่ก็ยังไม่ถูกกิโยตีนบั่นคอ พ่อแม่ของพวกเราเองก็ยังปลอดภัยดี
“บอกแล้วมิใช่หรือว่าอย่าคิดเช่นนั้น แต่โรสมอนด์ก็ไม่เคยทำอะไรโดยเปล่าประโยชน์สักครั้ง แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม” แพทริเซียกล่าว
“ข้ารู้”
อย่างไรก็ตาม โรสมอนด์คือตัวการที่ใหญ่ที่สุด หรือไม่ลูซิโอก็อาจจะเป็นสาเหตุ เปโตรนิยาก่นด่าในใจก่อนจะพูดกับแพทริเซีย
“เอาเป็นว่าวันนี้เจ้าน่าจะเหนื่อยมากแล้ว สีหน้าไม่ค่อยดีเลย”
“สีหน้าไม่ดีเป็นประจำอยู่แล้ว”
แพทริเซียว่าพลางหัวเราะคิกคัก ที่จริงนี่ไม่ใช่เรื่องน่าขำเลย แต่จิตใจของนางในตอนนี้เพียงแค่อยากหัวเราะออกมา เปโตรนิยารับรู้ได้ถึงความรู้สึกของน้องสาวจึงพยายามข่มความสงสารไว้ในใจและจุมพิตที่หน้าผากของอีกฝ่าย
“เดี๋ยวข้าจะเข้าครัวไปทำช็อกโกแลตรสสตรอว์เบอร์รีที่เจ้าชอบ เย็นนี้กินแค่นั้นแล้วก็พักผ่อนสักหน่อยเถอะ” นางพูดเสียงเบาราวกับกระซิบ
“’โทษทีนะ ท่านพี่ แต่วันนี้คงไม่ได้”
แพทริเซียพูดกับเปโตรนิยาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายเต็มที
“มีเอกสารที่ต้องส่งพรุ่งนี้เป็นตั้งเลยทีเดียว แต่โชคดีที่ยังมีช็อกโกแลต”
***
โรสมอนด์สั่งให้ข้ารับใช้เก็บสัมภาระด้วยสีหน้าเรียบเฉย หญิงสาวยืนดูข้ารับใช้ที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดเตรียมข้าวของที่ตนจะต้องใช้ในหลายวันที่อยู่นอกวังพลางจมอยู่กับความคิดครู่หนึ่ง
จู่ๆ ข้าก็นึกสงสัยขึ้นมา หลังจากที่ข้าจากมาแล้วคนพวกนั้นอยู่กันอย่างไร บารอนจะเที่ยวคุยไปทั่วไหมว่าลูกสาวคนเดียวของเขากลายเป็นอนุภรรยาของฝ่าบาท โอ้ พระเจ้า ถ้ายังมีความละอายอยู่บ้างคงไม่ทำเช่นนั้นกระมัง
พวกไร้ยางอาย โรสมอนด์กัดฟันกรอด คลาราที่เห็นเช่นนั้นก็วิ่งแตกตื่นเข้ามาหา
“เลดี้โรสมอนด์ เป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ”
“…”
โรสมอนด์มองคลาราที่เข้ามาถามโดยไม่พูดอะไร คลาราเป็นนางกำนัลที่เป็นบุตรีตระกูลบารอนเช่นกัน แม้ว่าบิดาของพวกนางจะมีศักดิ์เสมอกัน แต่สถานะของนางกับอีกฝ่ายนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เมื่อโรสมอนด์นึกถึงความจริงข้อนั้น โทสะก็พวยพุ่งขึ้นมาในทันใด หากข้าเป็นแค่นางกำนัลระดับกลางเช่นนางก็คงจะดี หากมีชีวิตเช่นนั้นข้าก็คงมีความสุขไปแล้ว!
“ท่านโรสมอนด์?”
ครั้นได้ยินเสียงเรียกของคลารา ไฟโทสะของโรสมอนด์ก็ค่อยๆ มอดลง ปล่อยให้อารมณ์ครอบงำเช่นนี้ไม่สมกับเป็นนางเลย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเจ้านั่น เพราะบารอนแดโรว์ แค่คิดว่าในตัวนางมีสายเลือดของเขาไหลเวียนอยู่ครึ่งหนึ่ง นางก็แทบจะหยิบมีดมาเฉือนเนื้อให้เลือดส่วนนั้นไหลออกไปให้หมด แม้ว่าทำเช่นนั้นแล้วนางจะต้องตายก็ตาม สำหรับนางแล้วเลือดของเขาทั้งสกปรกและน่าขยะแขยง
คนผู้นั้นเป็นชายหนุ่มร่างสูง ผมสีน้ำตาล นัยน์ตาสีน้ำตาลแดง รูปร่างดูแข็งแรงล่ำสัน ขณะที่เปโตรนิยาได้แต่ยืนเหม่อ เขาก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากถามก่อน
“ขออภัยครับ เลดี้ ท่าทางคนขับรถม้าของข้าจะเสียมารยาทแล้ว”
“มิได้ค่ะ ลอร์ด ข้าไม่เป็นไร”
แม้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ดูจากการแต่งกายและสภาพของรถม้าแล้ว เขาต้องเป็นบุตรของตระกูลขุนนางเป็นแน่ เปโตรนิยาเอ่ยถามอย่างรักษามารยาท
“บาดเจ็บตรงไหนไหมคะ”
“ข้าไม่เป็นไรครับ แล้วเลดี้บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”
“ค่ะ ข้าก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร…”
เมื่อรู้แล้วว่าต่างฝ่ายต่างสบายดี ในที่สุดเปโตรนิยาก็เผยสีหน้าโล่งใจ
“โล่งอกไปทีค่ะ เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน เดินทางปลอดภัยนะคะ” นางกล่าว
“ดะ เดี๋ยวครับ เลดี้”
ฝ่ายชายตั้งใจจะรั้งเปโตรนิยาไว้แต่นางยังไม่ทันได้ฟังก็ขึ้นรถม้ามาเสียก่อน จากนั้นรถม้าของเปโตรนิยาก็เคลื่อนตัวออกไป ชายผู้นั้นยืนเหม่อลอยอยู่ที่เดิมสักพักจนคนขับรถม้าต้องเอ่ยเตือนว่าหากไม่รีบจะสายเอาได้ เขาจึงขึ้นรถม้าไป
ในวันเดียวกันนั้นลูซิโอมัวแต่จดจ่ออยู่กับงานจนยุ่งทั้งวัน เขาเติมเต็มช่วงเวลาที่ตนไม่อยู่อย่างรวดเร็วราวกับจะแสดงให้เห็นว่าช่องว่างในช่วงที่เขาหมดสติไปนั้นไม่มีความหมายอันใด เขานึกชื่นชมการทำงานอย่างเอาใจใส่ของแพทริเซียขณะอ่านเอกสารขอการอนุมัติที่ถูกส่งมาจากตำหนักจักรพรรดินี
“ฝ่าบาท เลดี้โรสมอนด์ขอเข้าเฝ้าเพคะ”
“โรสมอนด์หรือ”
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าและบอกให้นางเข้ามา โรสมอนด์มาในชุดเดรสที่ถูกตกแต่งอย่างงดงามเช่นเคย ทั้งยังมีรอยยิ้มประดับที่มุมปากเป็นของแถม หญิงสาวเรียกเขาด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“ฝ่าบาท”
“มาแล้วหรือโรส”
“ยุ่งอยู่หรือเพคะ ช่วงนี้ไม่ค่อยเสด็จไปที่ตำหนักเวนเลย”
“อย่างที่เจ้ารู้ ข้าหมดสติไปพักหนึ่ง ขอโทษนะ ไว้อีกเดี๋ยวจะไปหา”
“สัญญาแล้วนะเพคะ”
โรสมอนด์ยิ้มเหมือนเด็กพลางนั่งลงบนตักของชายหนุ่ม แขนเรียวโอบไหล่หนารั้งตัวเขาเข้ามาจูบเบาๆ ก่อนจะบอกเหตุผลของการมาเยือน
“ที่จริงข้ามาหาเพราะมีเรื่องจะบอกค่ะ ลูซิโอ”
“มีเรื่องจะบอก? เรื่องอะไรล่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกค่ะ ข้าว่าจะไปที่หัวเมืองสักหน่อย”
ครั้นได้ยินคำว่า ‘หัวเมือง’ คิ้วของลูซิโอก็เคลื่อนมาชิดกันคล้ายกำลังครุ่นคิด และเมื่อเขากระจ่างในคำพูดของอีกฝ่าย สีหน้าของเขาก็ยิ่งบึ้งตึง
“เจ้าจะไปหาบารอนแดโรว์หรือ”
“เพคะ ฝ่าบาท” โรสมอนด์กลับมาเรียกอีกฝ่ายเช่นเดิม
“ด้วยเหตุใด?”
“มีเรื่องจะไหว้วานเขาน่ะเพคะ”
“เขาน่ะหรือ?”
“เพคะ ฝ่าบาท”
นางยิ้มกว้างและอธิบาย “หม่อมฉันต้องการหนังสือสละอำนาจปกครองบุตรเพคะ”
“หนังสือสละอำนาจปกครองบุตร? จู่ๆ เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน”
“ตามที่กราบทูลเลยเพคะ ต่อไปหม่อมฉันจะมิใช่บุตรีของบารอนแดโรว์อีกแล้ว”
“เช่นนั้น?”
“ดยุกเอเฟรนีจะรับหม่อมฉันเป็นบุตรีบุญธรรมเพคะ เพราะฉะนั้นหม่อมฉันก็จะกลายเป็นบุตรีของดยุกเอเฟรนี มิใช่แค่บุตรีของบารอน”
“…”
ครั้นได้ฟังดังนั้นลูซิโอก็มีสีหน้าครุ่นคิด ด้านโรสมอนด์ที่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะต้องยินดีกับนางอย่างแน่นอน เมื่อเห็นท่าทีของเขานางก็เอ่ยถามอย่างว้าวุ่นใจเล็กน้อย
“อา…หรือพระองค์ไม่พอพระทัยที่หม่อมฉันจะทิ้งสกุลแดโรว์แล้วไปใช้สกุลเอเฟรนี?”
“ไม่หรอก เรื่องนั้นเป็นสิทธิ์ของเจ้า ข้าเพียงแต่สงสัยว่าอยู่มาจนป่านนี้ ไฉนจู่ๆ จึงคิดจะทำเช่นนั้น”
“อ๋อ มิใช่เพิ่งคิดจะทำหรอกเพคะ”
นางยิ้มสดใสและแก้ไขคำพูดของเขา “เรื่องคราวนี้กระทบกระเทือนจิตใจหม่อมฉันอย่างมากเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันถูกสบประมาทเช่นนั้นเพียงเพราะว่าหม่อมฉันเป็นบุตรีของบารอน ตอนนี้หม่อมฉันจึงต้องอยู่เคียงข้างพระองค์ในฐานะสตรีที่ไม่มีแม้แต่บรรดาศักดิ์ใดๆ”
“…”
“จักรพรรดินีที่คิดจะประหารหม่อมฉันด้วยโทษทัณฑ์ที่หม่อมฉันมิได้ก่อก็น่ากลัวเหลือเกิน พวกขุนนางคนอื่นๆ ก็ด้วยเพคะ โชคดีที่คราวนี้ใต้เท้าเอเฟรนีช่วยชีวิตหม่อมฉันไว้”
“…นั่นสินะ”
“ท่านยังบอกอีกว่าอยากมีบุตรีอย่างหม่อมฉัน หม่อมฉันก็เลยตกปากรับคำด้วยความยินดีเพคะ”
“…”
“โชคดีจังเลย จริงไหมเพคะ”
“…นั่นสินะ”
ลูซิโอเอ่ยตอบอย่างยากลำบาก เขารู้ว่านางมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องคราวนี้ แม้จะรู้สึกสิ้นหวังอยู่บ้างแต่เขาก็ไม่ได้แสดงออกและรับจุมพิตจากโรสมอนด์ที่ยื่นหน้าเข้ามาหาด้วยรอยยิ้ม
เขายังไม่อาจทอดทิ้งนางเพียงเพราะว่านางเสแสร้งได้ อย่างน้อยก็ในตอนนี้ เพราะหากเขาทำเช่นนั้นก็เท่ากับว่าตัวเขาเองก็เสแสร้งเช่นกัน
***
ดัชเชสเอเฟรนีดูตกใจมากทีเดียวที่เห็นเปโตรนิยามาหาตนถึงบ้าน นางเชิญเปโตรนิยาเข้ามาข้างในและพาไปยังห้องรับแขก ก่อนจะนำทาร์ตสตอรว์เบอร์รีและชาแดงฉีเหมินออกมารับรอง
“ไม่คิดเลยว่าเลดี้เปโตรนิยาจะมาหาข้าถึงที่นี่ คาดไม่ถึงเลยจริงๆ” ดัชเชสเอเฟรนีกล่าว
“เหตุใดจึงคิดเช่นนั้นล่ะคะ ในเมื่อดัชเชสเองก็มีตำแหน่งสำคัญในฝ่ายใน ส่วนข้าก็เป็นพี่สาวของพระจักรพรรดินีผู้ปกครองฝ่ายใน”
เปโตรนิยาตอบอย่างเรียบเฉย ก่อนจะยื่นจดหมายที่กอดไว้แนบอกให้อีกฝ่าย ผู้รับถามกลับมาด้วยความสงสัย
“นี่อะไรหรือคะ”
“จดหมายจากฝ่าบาทถึงดัชเชสค่ะ ส่งมาเพื่อแสดงความเสียพระทัยกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับลอร์ดเอเฟรนีน่ะค่ะ”
“อา ตายจริง…”
ดัชเชสเอเฟรนีอ่านจดหมายยังไม่ทันจบก็เริ่มร้องไห้ออกมา เปโตรนิยาตะลึงเล็กน้อยที่จู่ๆ คนตรงหน้าก็ร้องไห้จึงเริ่มปลอบนางอย่างใจเย็น
“ฝ่าบาททรงเป็นห่วงมากเลยนะคะ ดัชเชส หากท่านต้องการอะไรขอให้บอกมาเถอะค่ะ”
“ฮือ…ขอบคุณค่ะ เลดี้เปโตรนิยา…ขอบคุณจริงๆ”
หากจะพูดกันตามตรง เปโตรนิยารู้สึกไม่ชินกับเรื่องนี้ ดัชเชสเอเฟรนีในความทรงจำของนางเป็นคนจู้จี้จุกจิกเป็นที่สุด ทั้งยังใจแคบและเข้มงวดกับความผิดพลาด
คนเช่นนั้นมาร้องไห้อยู่แบบนี้เพราะลูกชายกำลังป่วยหรือนี่ นางเองก็ลืมไปว่าความจริงแล้วอีกฝ่ายก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เปโตรนิยาพยายามสลัดความรู้สึกแปลกๆ ออกไปและปลอบใจคนตรงหน้าต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะ ดัชเชส หวังว่าลอร์ดเอเฟรนีจะหายป่วยในเร็ววันนะคะ”
“ข้าไม่มีหน้าไปพบฝ่าบาทแล้วค่ะ กำลังจะมีงานใหญ่แท้ๆ แต่ข้ากลับเสียมารยาท…”
ครั้นได้ยินดังนั้นเปโตรนิยาก็ไม่พลาดที่จะถามต่อทันที
“เหนือสิ่งอื่นใด…ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นคือใครจะเป็นผู้ดูแลคฤหาสน์ระหว่างที่ดัชเชสไม่อยู่มิใช่หรือคะ”
“…”
เพียงคำพูดนั้นก็ทำให้ดัชเชสเอเฟรนีที่กำลังหดหู่เปลี่ยนสีหน้าเป็นแข็งกร้าวขึ้นทันที เปโตรนิยารับรู้โดยสัญชาตญาณว่านางไปสะกิดต่อมอะไรบางอย่างของดัชเชสเอเฟรนีเข้าให้แล้ว
อ้อ จะว่าไปแล้วดยุกเอเฟรนีมีอนุภรรยาอยู่คนหนึ่งสินะ ได้ยินว่าเด็กกว่าดยุกเอเฟรนีถึงสิบสามปีเลยกระมัง? และสาวกว่าดัชเชสถึงสิบปี คล้ายว่าลูกชายของนางเพิ่งฉลองวันเกิดครั้งแรกไปเมื่อปีก่อน เปโตรนิยาพยายามเก็บสีหน้าผิดปกติไว้ขณะรอคำตอบจากอีกฝ่าย ท่าทีของดัชเชสเอเฟรดูพลุ่งพล่าน สีหน้าไม่พอใจ
“ข้าเองก็กังวลเรื่องนั้นอยู่เหมือนกันค่ะ เลดี้ ตัวข้าไม่อยู่ พี่น้องข้าก็ไม่มี คนรู้จักก็ไม่มี เลยไม่รู้จะฝากบ้านไว้กับใคร ถ้ามีลูกสาวสักคนก็คงจะดี…”
ดัชเชสเอเฟรนีมองเปโตรนิยาด้วยสีหน้าเจือความเสียดาย หากมีลูกสาวเช่นนี้สักคนจะดีเพียงใด มีลูกชายที่โตเป็นหนุ่มอยู่คนหนึ่งแล้วอย่างไร ตอนนี้กลับป่วยจะเป็นจะตายอยู่ต่างบ้านต่างเมืองเสียนี่…
จู่ๆ ความเศร้าก็ตีรื้นขึ้นมาทำให้สีหน้าของดัชเชสเอเฟรนีเหยเก ราวกับความรู้สึกมากมายในใจปะทุออกมาพร้อมกัน เปโตรนิยาปลอบโยนอีกฝ่ายอย่างอบอุ่น
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ดัชเชส ตอนอยู่ต่อหน้าข้าไม่ต้องอดทนก็ได้นะคะ เราก็มิใช่คนอื่นไกลเสียหน่อย”
แน่นอนว่าเป็นคนอื่น แต่ในสถานการณ์เช่นนี้คำพูดนี้ก็เหมือนดินปืนชั้นดีที่จะช่วยทลายกำแพงในใจของอีกฝ่าย
“ฮึก…”
เปโตรนิยาคาดเดาได้ถูกต้อง ดัชเชสเอเฟรนีเริ่มร้องไห้ ตอนที่เห็นนางทำหน้าขึงขัง ท่าทางวางอำนาจบาตรใหญ่เป็นประจำนั้นแทบจะจินตนาการถึงตัวนางในสภาพนี้ไม่ออกเลย แต่ก็หาใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะในโลกนี้ไม่มีใครไม่มีจุดอ่อน ยิ่งจุดอ่อนที่เป็นลูกชายแสนรักหรืออนุภรรยาที่ตนอิจฉายิ่งแล้วใหญ่ เปโตรนิยาปลอบอีกฝ่ายด้วยความเห็นใจ
“ไม่เป็นไรนะคะ ไม่เป็นไรค่ะ ดัชเชส…”
“ฮึก…เลดี้ ข้าจะทำอย่างดี ลูกชายข้าจะปลอดภัยหรือไม่ หากไม่มีเขาแล้ว ข้าคง…”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ดัชเชส อย่าห่วงไปเลยนะคะ ลอร์ดเอเฟรนีต้องหายดีแน่ค่ะ”
“ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังกังวลอยู่ดี ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ ไม่รู้ว่านางชั้นต่ำนั่นจะแผลงฤทธิ์อะไรอีก…”
ดูเหมือนดัชเชสเอเฟรนีจะโกรธจัดจนเอ่ยถึงอนุภรรยาขึ้นมา ทั้งที่ปกติแล้วนางจะไม่เอ่ยถึงเรื่องน่าอดสูของตนเลย เปโตรนิยาสบโอกาสพูดต่อไป
“ข้ารู้ค่ะว่าใต้เท้าเอเฟรนีมีอนุภรรยา”
“…”
จะไม่รู้ได้อย่างไร ลูกก็มีเป็นตัวเป็นตนแล้ว ต่อให้เป็นลูกนอกสมรสอย่างไรก็ต้องรู้กันไปทั่ว อันที่จริงการที่คนระดับดยุกเอเฟรนีจะไม่มีอนุภรรยาเลยสักคนนั้นเป็นเรื่องที่น่าแปลกยิ่งกว่า ทว่า ความอัปยศอดสูที่ดัชเชสเอเฟรนีผู้เป็นบุตรีของตระกูลมาร์ควิสซึ่งมีประวัติอันยาวนานได้รับคงไม่มีใครหยั่งถึงเป็นแน่
เปโตรนิยาดึงจุดนั้นมาใช้ สตรีที่หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีอย่างดัชเชสเอเฟรนีไม่มีทางที่จะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแบบนี้เป็นแน่
“คงกังวลมากเลยสินะคะ ปลาเน่าตัวเดียวแต่พาลเหม็นไปทั้งข้องเช่นนี้[1]”
“…”
“ยิ่งไม่มีใครที่ไว้ใจได้เลยก็ยิ่ง…”
“เลดี้เปโตรนิยา”
ดัชเชสเอเฟรนีเรียกเปโตรนิยาด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองแต่เปโตรนิยาก็ไม่เปลี่ยนสีหน้า
“ท่านอยากจะพูดอะไรกันแน่”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ดัชเชส ข้าเพียงแต่เป็นห่วงเท่านั้น เพราะเสด็จน้องของข้าก็กำลังหัวเสียกับเรื่องทำนองนี้อยู่…”
คราวนี้เปโตรนิยาเป็นฝ่ายร้องไห้กระซิกๆ ส่วนดัชเชสเอเฟรนีมีสีหน้าประหลาด เปโตรนิยายังคงแสร้งทำเป็นร้องไห้พลางสังเกตอาการของอีกฝ่าย
อ๊ะ ติดกับแล้ว
“เลดี้โกรเชสเตอร์”
ดัชเชสเอเฟรนีเรียกเปโตรนิยา หญิงสาวนึกกระหยิ่มยิ้มย่องในใจก่อนจะปาดน้ำตา มองไปที่คนตรงหน้าพลางขานตอบ
“ค่ะ ดัชเชส”
“หากไม่เป็นการรบกวน…” นางพูดกับเปโตรนิยาด้วยสีหน้าฉายแววจริงจัง “ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ช่วยมาดูแลเรื่องในบ้านข้าให้หน่อยได้ไหมคะ”
“…อะไรนะคะ”
เปโตรนิยาถามย้ำด้วยสีหน้างุนงง ดัชเชสเอเฟรนีขอร้องนางด้วยสีหน้าจริงจังเป็นที่สุดอีกครั้ง
“ข้าขอร้องอย่างเป็นทางการค่ะ เลดี้เปโตรนิยา ข้าต้องไปดูลูก เขาเป็นทุกอย่างในชีวิตของข้า แต่ช่วงที่ข้าไม่อยู่ ข้าก็ไม่รู้ว่านางคนชั่วช้านั่นจะใช้เล่ห์เหลี่ยมอะไรมาสั่นคลอนตำแหน่งของข้าหรือไม่”
ดัชเชสเอเฟรนีพูดต่อเสียงพร่า “เพราะฉะนั้น ข้าขอร้องนะคะ เลดี้ โปรดช่วยข้าเพียงระยะหนึ่งเท่านั้น แล้วข้าจะหาทางตอบแทนท่านให้ได้”
[1] ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง เป็นสำนวนหมายถึง พฤติกรรมไม่ดีของบุคคลเพียงคนเดียวส่งอิทธิพลจากกลุ่มนั้นๆ ทั้งหมดหรือคนหลายคน
“หืม ข้าไม่ได้เขียนไว้ในจดหมายหรือคะว่าไม่มีใครรู้เรื่องราวเมื่อแปดปีก่อนดีเท่าข้าอีกแล้ว”
อ๊ะ แน่นอนว่ายกเว้นใต้เท้านะคะ โรสมอนด์ว่าพลางหัวเราะคิกคัก ดยุกเอเฟรนีแสร้งทำเป็นสุขุมอย่างสุดความสามารถแม้ใบหน้าจะซีดเผือดและเอ่ยถามอีกฝ่าย
“จะ…เจ้าเอาสิ่งนี้ให้ข้าดูเพื่ออะไร”
“เปล่าเลยค่ะ ใต้เท้า ไม่มีอะไรเลย”
นางส่ายหน้าปฏิเสธ ดยุกเอเฟรนีมองหญิงสาวด้วยดวงตาแดงก่ำ แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะออกมาอย่างสบายใจและพูดต่อไป
“หากใต้เท้าคิดว่านี่คือทั้งหมดที่ข้ามีก็แย่สิคะ หากข้ามี ‘แค่นี้’ ข้าคงไม่คิดจะเรียกท่านออกมาหรอกค่ะ”
“…อะไรนะ?”
“ใต้เท้า เวลานี้ดยุกออสวินคืนตำแหน่งที่ปรึกษาและเก็บตัวอยู่แต่ในคฤหาสน์สินะคะ และผู้ที่ได้รับตำแหน่งนั้นไปครองก็คือดยุกเอเฟรนีผู้นี้”
“เจ้าต้องการจะพูดอะไร”
“เบื้องหลังของเรื่องนั้นน่าสนุกทีเดียวค่ะ จนข้าแทบอยากจะกราบทูลฝ่าบาทเสียเดี๋ยวนี้”
โรสมอนด์หัวเราะคิกคิกต่างกับดยุกเอเฟรนีที่สีหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นขาวซีด โรสมอนด์พูดต่อไปราวกับจะตอกย้ำ
“อุ๊ยตาย ถ้าคิดว่าจบแค่นี้ก็แย่สิคะ เริ่มตั้งแต่ต้นเลยดีไหมคะ อืม…อย่างเช่น การพบกันระหว่างท่านกับภริยาคนปัจจุบัน?”
“เลดี้!”
ดยุกเอเฟรนีตวาดอย่างเหลืออดแต่ถึงกระนั้นโรสมอนด์ก็สบตากับเขาอย่างไร้วี่แววของความขลาดกลัว นางไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องกลัวเลย ไม่สิ ตอนนี้คนที่ต้องกลัวกลับเป็นดยุกเอเฟรนีเสียมากกว่า นางเผยความต้องการของตนแก่ดยุกเอเฟรนีด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจ
“ข้าอยากเป็นจักรพรรดินีค่ะ”
“…”
ได้ฟังดังนั้น ดยุกเอเฟรนีก็เผยสีหน้าเหลือเชื่อเกินจะบรรยาย เป็นแค่บุตรีของบารอนแต่ริอ่านหมายตาตำแหน่งจักรพรรดินีอย่างนั้นรึ? ฐานะของนางเป็นแม้กระทั่งควิเนสไม่ได้ด้วยซ้ำ โรสมอนด์หัวเราะเสียงสูงอีกครั้งราวกับมองทะลุความคิดของเขา
“แหม ตายจริง ดยุกนี่ล่ะก็ หากข้าปรารถนาที่จะเป็นควิเนส ข้าจะเรียนท่านเช่นนั้นหรือคะ ข้าเพียงแต่…อยากเป็นจักรพรรดินีเท่านั้นค่ะ”
“แต่หากมิได้เป็นควิเนสแล้วจะเป็นจักรพรรดินี…”
“ท่านนี่ใจแคบนะคะ ท่านสร้างเรื่องทั้งหมดนี้ด้วยความคิดเช่นนั้นได้อย่างไรกัน”
หลังถูกติเตียน ใบหน้าของดยุกเอเฟรนีก็เปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที หาใช่เพราะความอับอายหรือละอายใจ แต่เพราะความโกรธ แต่โรสมอนด์ก็หัวเราะออกมาอีกครั้งราวกับไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นและพูดต่อ
“แย่งตำแหน่งจักรพรรดินีมาจะไม่สนุกกว่าหรือคะ ใต้เท้า?”
“เลดี้ เรื่องนั้นมิบังควรนัก ไฉนจึงบังอาจคิดเรื่องเช่นนั้น…”
“ตายจริง ใต้เท้ากล่าวเช่นนั้นได้หรือคะ กว่าจะไต่เต้าขึ้นมาถึงจุดนี้ ใต้เท้าเองก็กระทำการชั่วช้าไปมากมายมิใช่หรือ?”
“…”
เขามิอาจปฏิเสธได้ เอกสารลับต่างๆ ที่อยู่ในมือของโรสมอนด์ตอนนี้ล้วนเป็นเครื่องพิสูจน์คำพูดของนางทั้งสิ้น ในสถานการณ์เช่นนี้เขาจะไม่ถูกนางหลอกใช้ได้อย่างไร เขาจะไม่ถูกนางเหยียดหยามได้อย่างไร
โรสมอนด์รู้ความจริงข้อนั้นดีกว่าใคร เช่นเดียวกับคู่สนทนาของนาง เพราะฉะนั้นเวลานี้โรสมอนด์จึงรู้สึกเบิกบานยิ่งกว่าใคร ในขณะที่ดยุกเอเฟรนีกลับรู้สึกโกรธเกินจะหาใครเปรียบ ความรู้สึกของทั้งคู่ต่างกันราวฟ้ากับเหว ดังนั้น นี่จึงเป็นสุขนาฏกรรมแสนหวานสำหรับฝ่ายหนึ่ง แต่เป็นโศกนาฏรรมที่เกินบรรยายสำหรับอีกฝ่ายหนึ่ง
“แล้ว…เจ้าอยากจะพูดอะไร”
“ช่วยข้าหน่อยนะคะ ใต้เท้า”
นางตอบในทันที มาถึงขั้นนี้อีกฝ่ายเองก็คงพอจะรู้แล้วว่าโรสมอนด์เป็นใคร เป็นคนอย่างไร ทำอะไรได้บ้าง และจะทำอะไร โรสมอนด์ยิ้มอย่างมีเสน่ห์พลางกล่าวกับดยุกเอเฟรนี
“ช่วยให้ข้าได้สวมมงกุฎจักรพรรดินีด้วยเถอะค่ะ ใต้เท้า หากข้าสมปรารถนาแล้วข้าจะตอบแทนท่านอย่างงาม”
“…”
คำพูดเหลวไหลนั้นทำให้ดยุกเอเฟรนีตกตะลึงจนอ้าปากค้าง นี่นางกำลังบอกให้เขาทรยศบุตรีจากตระกูลขุนนางชั้นสูงที่จะได้เป็นควิเนส และให้การสนับสนุนบุตรีจากตระกูลขุนนางชั้นต่ำกระนั้นหรือ
ตามหลักแล้วนี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ความจริงก็คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้นั้นกำลังเกิดขึ้น และนั่นคือความจริงที่ทำให้สถานการณ์ของเขาในตอนนี้กลายเป็นเรื่องตลก เพราะเรื่องน่าอดสูของเขา เขาจึงไม่สามารถอ้อนวอนเรื่องนี้ต่อใครได้ แต่เขาก็รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมอยู่ดี มนุษย์ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเช่นนี้ เขามิอาจคิดถึงสิ่งที่ตนกระทำไว้ในอดีตด้วยซ้ำ
“ถ้าข้าปฏิเสธล่ะ”
สมมติฐานที่ไร้ความหมายทำให้โรสมอนด์หัวเราะออกมา เปล่าเลย เขาย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าเขามีแต่ต้องให้ความช่วยเหลือนางเท่านั้น เขาต้องต่อต้านจักรพรรดินีในอนาคต และช่วยเหลือนางไม่ว่าจะพอใจหรือไม่ก็ตาม แล้วเขายังจะมาถามอะไรไร้สาระเช่นนี้อีกหรือ พวกขุนนางเป็นแบบนี้กันทุกคนหรือเปล่านะ หรือมีเพียงเขาคนเดียวที่เป็นแบบนี้ นางให้น้ำหนักกับความคิดอย่างแรกมากกว่าพลางเอ่ยปากกับอีกฝ่าย
“การถามเรื่องที่ทราบดีอยู่แล้วเป็นงานอดิเรกที่ไม่น่าพิสมัยเท่าไรนะคะ จะเป็นอย่างไรน่ะหรือ ชีวิตขุนนางของใต้เท้าคงจะถึงกาลวิบัติ อย่างน้อยก็ในรัชกาลนี้ เพราะต่อให้คนอื่นยกโทษให้ท่าน แต่ฝ่าบาทคงมิทำเช่นนั้นเป็นแน่ ยิ่งไปกว่า ภริยาของใต้เท้าก็คงจะสลัดท่านทิ้งก่อนใครเพื่อนเลยกระมังคะ”
“…”
“ให้ข้าพูดต่อไหมคะ ยังมีเรื่องให้พูดอีกเยอะทีเดียว”
“…ไม่ล่ะ พอแล้ว”
ดยุกเอเฟรนีเลิกใช้ความคิด ในเมื่อคำตอบได้ถูกกำหนดไว้แล้ว จะมาคิดวิเคราะห์ไตร่ตรองอะไรก็เปลืองแรงเปล่าๆ เขาไม่มีสิทธิ์เลือกมาตั้งแต่แรก เขาต้องเลือกโรสมอนด์เท่านั้น แม้ว่านั่นจะไม่ใช่สิ่งที่เขาปรารถนา แต่เขาก็ต้องทำ เพราะทางเลือกนั้นย่อมดีกว่าการทำลายหน้าที่การงานของตนเป็นร้อยเท่าพันทวี
“ได้ เลดี้โรสมอนด์ ข้าจะร่วมมือกับเจ้า” เขากล่าว
ด้วยเหตุนั้น คำว่าพันธมิตรสำหรับคนทั้งคู่จึงไม่ใช่พันธมิตรอย่างที่ควรจะเป็น นี่เป็นเพียงความคิดของโรสมอนด์ฝ่ายเดียว เขาเพียงต้องสนองเมื่อนางต้องการ และทำตามเมื่อนางร้องขอ เขาไม่สามารถคิดหาหนทางอื่นใดได้มาตั้งแต่แรกแล้ว
แน่นอนว่าเขาไม่ได้อยากจะร่วมมือกับนางแต่กลับไม่มีใครเข้าใจสถานการณ์ของเขา สีหน้าของดยุกเอเฟรนีขณะเดินไปบนทางเดินยังคงหม่นหมอง เขาได้แต่ทอดถอนใจ
ที่สุดแล้วนี่ก็คือชะตากรรมของข้า โชคชะตาของข้า แต่ถึงกระนั้นข้าก็ไม่เสียใจในสิ่งที่ได้ทำลงไป
***
แพทริเซียยุ่งอยู่กับงานจนไม่มีเวลามานั่งเสียดายเรื่องโรสมอนด์ นางต้องจดจ่ออยู่กับการทำงานเท่านั้น เพราะงานรำลึกวันสถาปนาจักรวรรดิกำลังจะถูกจัดขึ้นในอีกไม่ถึงสองเดือน หญิงสาวรู้สึกประหม่าอย่างมาก เพราะนี่เป็นงานรำลึกวันสถาปนาจักรวรรดิครั้งแรกหลังจากที่นางได้ขึ้นเป็นจักรพรรดินี
“ฝ่าบาท ดัชเชสเอเฟรนีมีจดหมายแจ้งมาว่าไม่สามารถเข้าร่วมงานรำลึกวันสถาปนาจักรวรรดิครั้งนี้ได้เพคะ”
“อะไรนะ?”
แพทริเซียถามด้วยความตกใจ สำหรับฝ่ายใน ดัชเชสเอเฟรนีเป็นสตรีที่มีอำนาจทัดเทียมแพทริเซีย คนอื่นไม่มาไม่เท่าไร แต่ภริยาขุนนางที่รู้จักงานนี้ดีเท่าดัชเชสเอเฟรนีนั้นหายากนัก นี่นางกลับบอกว่ามาช่วยเตรียมงานไม่ได้อย่างนั้นหรือ แพทริเซียรีบถามต่อในทันที
“เหตุผลล่ะ”
“ฟังว่าบุตรที่ศึกษาอยู่ต่างอาณาจักรติดโรคระบาดอาการสาหัสเพคะ อาการในตอนนี้ไม่สามารถลุกขึ้นเดินเหินได้ ทั้งยังเรียกหาแต่มารดา”
“เช่นนั้นนางจะออกไปต่างอาณาจักรเชียวหรือ หมายความว่าตำแหน่งของดัชเชสเอเฟรนีจะว่างลง?”
“เป็นเช่นนั้นเพคะ ฝ่าบาท ฟังว่าบุตรชายอยู่ระหว่างความเป็นความตายจึงมิอาจใส่ใจหน้าที่ของดัชเชสได้เท่าที่ควร”
“ร้ายแรงถึงขนาดนั้นเชียวหรือนี่ ดยุกเอเฟรนีก็อนุญาตแล้วหรือ”
“เพคะ ฝ่าบาท ได้ยินว่าในระหว่างนี้เรื่องภายในบ้านจะมอบหมายให้อนุภรรยาของดยุกเอเฟรนีดูแลเพคะ”
“ตายจริง”
แพทริเซียพึมพำด้วยความเห็นอกเห็นใจ นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดกับเปโตรนิยา
“นีย่า เจ้าเขียนจดหมายถึงตระกูลดยุกเอเฟรนีให้ทีได้หรือไม่ บอกไปว่าหากต้องการความช่วยเหลือให้แจ้งมาได้เต็มที่”
“เขียนน่ะเขียนได้…แต่จะให้ส่งไปหาตระกูลนั้นน่ะหรือ”
สีหน้าของเปโตรนิยาดูบูดบึ้งขณะที่ถามกลับมา นางเองก็รู้ว่าตระกูลเอเฟรนีตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับน้องสาวของนาง แต่ไฉนคนตรงหน้าจึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้ เปโตรนิยาไม่เข้าใจเอาเสียเลย
“ไม่เห็นต้องลำบากขนาดนั้น…ข้าไม่ค่อยอยากทำเลย”
“ไม่เห็นต้องใจแคบกับเรื่องแบบนั้นเลยนี่นา หาใช่เรื่องยากลำบากอันใดด้วย ข้าขอร้องล่ะนะ”
“ก็…ถ้าเจ้าว่าอย่างนั้นล่ะก็นะ”
เปโตรนิยาตอบรับแม้สีหน้าจะยังดูไม่เต็มใจ หญิงสาวหยิบกระดาษเขียนจดหมายออกมาจากลิ้นชักแผ่นหนึ่ง ส่วนแพทริเซียกลับไปจดจ่ออยู่กับกองงานอีกครั้งก่อนจะเอ่ยถามมีร์ยา
“เช่นนั้นงานที่มอบหมายให้ดัชเชสเอเฟรนีไปจะให้ใครทำแทนดีล่ะ ลำบากใจจัง”
“หม่อมฉันจะคัดเลือกคนมาให้เองเพคะ ฝ่าบาท ทรงข้ามเรื่องนั้นไปทำเรื่องเล็กๆ ก่อนดีไหมเพคะ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงต้องทำอย่างที่เจ้าว่า”
แพทริเซียตอบกลับอย่างเสียไม่ได้พลางพยักหน้า ในตอนนั้นเองนางก็ได้ยินเสียงของราฟาเอลาที่เพิ่งกลับจากสนามฝึกดังมาจากนอกประตู
“ฝ่าบาท ราฟาเอลาเพคะ ขอเข้าไปได้หรือไม่เพคะ”
“เข้ามาเถอะ เดม”
ราฟาเอลาเดินเข้ามาในสภาพมีเม็ดเหงื่อเกาะพราวอยู่บนหน้าผาก แพทริเซียคิดในใจว่า ‘คงจะฝึกหนักมาสินะ’ พลางเอ่ยถาม
“เอาน้ำสักแก้วไหม เจ้าดูร้อนมากเลย”
“ไม่เป็นไรเพคะ ฝ่าบาท ยิ่งไปกว่านั้น…” ราฟาเอลายังคงหอบหายใจพลางเอ่ยปากพูดกับแพทริเซีย “เมื่อครู่หม่อมฉันเห็นอะไรแปลกๆ ด้วยเพคะ”
“อะไรแปลกๆ นี่คือ?”
“ดยุกเอเฟรนีออกมาจากตำหนักเวนเพคะ นี่มิใช่ว่ากำลังวางแผนอะไรกันอยู่หรอกหรือเพคะ”
“…”
แพทริเซียถอนหายใจในใจพลางนึกชมโรสมอนด์ว่านางช่างเป็นผู้หญิงที่ขยันขันแข็งนัก ขยันถึงขนาดที่ตัวนางเองมิบังอาจไล่ตาม ซึ่งมันก็แน่นอนอยู่แล้ว เพราะชีวิตนางมีภาระหน้าที่มากมาย ในขณะที่ฝ่ายนั้นไม่มีอะไรต้องทำหรือรับผิดชอบ แต่แพทริเซียก็คิดว่าหากนางอยู่ในจุดเดียวกับอีกฝ่าย นางก็คงไม่ขยันถึงขนาดนี้แน่ๆ
“เดมราฟาเอลา ข้าคงต้องรบกวนเจ้าอีกแล้ว ไม่รู้ว่าคราวนี้จะมีแผนอะไรอีกกันแน่…”
แพทริเซียพูดด้วยความหนักใจ ครั้นได้ยินดังนั้นราฟาเอลาก็พูดให้วางใจหายกังวล
“ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย หม่อมฉันจะจับตาดูตำหนักเวนอย่างใกล้ชิดเพคะ”
“อืม”
แพทริเซียพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณ ในขณะเดียวกันเปโตรนิยาก็เขียนจดหมายเสร็จพอดี
“เสร็จแล้ว ริซซี่ ไหนๆ ก็ไหนๆ เดี๋ยวข้านำไปส่งที่คฤหาสน์ดยุกให้เองนะ” หญิงสาวพูดกับแพทริเซีย
“จำเป็นต้องทำขนาดนั้นเชียวหรือ ส่งคนไปก็ได้นี่…”
เห็นแพทริเซียถามด้วยความสงสัย เปโตรนิยาก็ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะอธิบายให้ฟัง
“ข้าว่าจะแวะไปที่บ้านอยู่แล้ว ไปไม่นานหรอก ข้าไปได้ใช่ไหม”
“แน่นอนสิ เดินทางระวังนะ”
เปโตรนิยาตอบรับความความหวังดีของแพทริเซียและออกจากตำหนัก นางถือจดหมายถึงดัชเชสเอเฟรนีอย่างหวงแหนและขึ้นรถม้าไป หญิงสาวพิงศีรษะกับพนักพิงด้วยความอ่อนล้าเล็กน้อย เมื่อคืนนางนอนหลับๆ ตื่นๆ ตอนนี้จึงมีอาการเหมือนคนนอนไม่พอ
เปโตรนิยาหลับตาลงหมายจะหลับสักงีบก่อนถึงคฤหาสน์ดยุกเอเฟรนี ขณะที่สติของนางกำลังเลือนลางเพราะความง่วงรุนแรงนั้นเอง…
“โอ๊ย!”
เปโตรนิยาร้องเสียงหลงพร้อมทั้งสะดุ้งตื่น รถม้าของนางสะเทือนอย่างรุนแรงด้วยแรงกระแทก หญิงสาวผลักหน้าต่างออกไปเพื่อดูสถานการณ์
“เกิดอะไรขึ้นหรือคะ”
“อา ขออภัยขอรับ เลดี้ ข้าเกือบไสม้าไปชนรถม้าอีกคันเข้า…”
คนขับรถม้าพูดด้วยน้ำเสียงลำบากใจก่อนจะหันไปตวาดคนขับรถม้าอีกคัน
“ปัดโธ่ ระวังหน่อยสิท่าน! รู้หรือไม่ว่าผู้ใดนั่งอยู่บนรถม้าคันนี้”
“เดี๋ยวสิ ข้าก็ขอโทษแล้วมิใช่รึ!”
“คนผิดพูดขึ้นเสียงเช่นนี้ได้หรือ”
สถานการณ์ไม่ดีเอาเสียเลย เปโตรนิยาถอนหายใจก่อนจะลงมาจากรถม้า ทันใดนั้นคนขับรถม้าก็ตกใจเบิกตาโพลงราวกับจะถามนางว่าลงมาทำไม
“โธ่ เลดี้ อยู่ในรถม้าก็ดี…” เขากล่าว
“ไม่เป็นไรค่ะ อย่าทะเลาะกันเลยนะคะ ว่าแต่ท่านที่อยู่ในรถม้าคันนั้นปลอดภัยไหมคะ…”
ขณะที่สายตาของเปโตรนิยาไปหยุดอยู่ที่รถม้าอีกคัน คนผู้หนึ่งก็ก้าวออกมา
“ข้าต้องพบดยุกเอเฟรนีโดยเร็วที่สุด”
“ท่านโรสมอนด์ คราวนี้ท่านจะทำอะไร…”
“ข้าบอกว่าจะพบก็คือพบสิ เจ้าจะพูดอะไรมากมาย หากดยุกเอเฟรนีไม่อยากจบชีวิตขุนนางของตัวเองแล้วล่ะก็เขาไม่มีทางปฏิเสธข้าอย่างแน่นอน ฉะนั้นอย่ามัวพูดให้มากความ รีบไปส่งจดหมายเสียว่าข้าต้องการพบเขาเดี๋ยวนี้ ให้เขามาหาข้าที่ตำหนักเวนโดยเร็วที่สุด”
“ทราบแล้วค่ะ”
พระเจ้าช่วย ชาวบ้านจะรู้กันหรือไม่ว่าหนึ่งในสามมหาเสนาบดีถูกอนุภรรยาของจักรพรรดิที่ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์สั่งให้ทำโน่นทำนี่ แม้สามัญสำนึกจะบอกว่าเรื่องนี้ยากเกินกว่าจะทำความเข้าใจ แต่สำหรับคลาราที่รู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องนี้คงมิอาจพูดอะไรได้
อันที่จริงในเรื่องคดีของโรสมอนด์นั้นหากดยุกเอเฟรนีทำพลาดไปแม้เพียงนิด ชีวิตขุนนางของเขาก็อาจจบสิ้นลงได้ในชั่วพริบตาเลยทีเดียว
แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ดยุกเอเฟรนีเพียงคนเดียว อย่างไรก็ตาม ตอนนี้โรสมอนด์เพียงแต่ยังไม่ได้เปิดไพ่ในมือจนหมดเท่านั้น จู่ๆ คลาราก็นึกประทับใจความเฉลียวฉลาดของผู้เป็นนายขณะย้ายตัวเองไปเขียนจดหมายถึงดยุกเอเฟรนี
ดยุกเอเฟรนีมาถึงตำหนักเวนอย่างรวดเร็วจริงๆ คลารารู้สึกถึงอำนาจของโรสมอนด์ขึ้นมาขณะที่วางถ้วยชาสองถ้วยลงบนโต๊ะที่คนทั้งคู่นั่งอยู่
ชาที่โรสมอนด์ดื่มเป็นประจำคือชาโรสแมรี แต่สำหรับดยุกเอเฟรนีที่จำต้องมาเยือนตำหนักเวนบ่อยครั้ง การดื่มชานี้ช่างเป็นสิ่งที่เขาขยาดเสียจริง
แน่นอนว่าสำหรับเขาแล้วการที่ต้องมาเยือนตำหนักเวนแห่งนี้นี่แหละที่น่าเข็ดขยาด แต่เขาก็พยายามข่มความรู้สึกหงุดหงิดใจนั้นไว้พลางเอ่ยถามโรสมอนด์
“เลดี้โรสมอนด์เรียกข้ามาด้วยเรื่องอันใดหรือ”
แม้การหลุดจากตำแหน่งบารอเนส กลายมาเป็นแค่บุตรีของบารอนในชั่วพริบตาจะเป็นสถานการณ์ที่น่าเวทนา แต่โรสมอนด์ก็ไม่ได้แสดงอาการใดๆ นางเพียงแต่ยกชาขึ้นจิบหนึ่งอึก ครั้นเห็นอีกฝ่ายเอาแต่จิบชาโดยไม่พูดอะไร ในที่สุดดยุกเอเฟรนีก็เผยความในใจโดยการบ่นอย่างไม่พอใจ
“ข้าก็ทำตามที่เลดี้ต้องการแล้วมิใช่หรือ ข้าช่วยท่านจากโทษกบฏ โทษทัณฑ์ก็จบแค่ที่การยึดตำแหน่งบารอเนส ข้าขอถามท่าน หากมิใช่ข้าแล้วจะมีใครหน้าไหนทำให้ท่านได้ถึงเพียงนี้”
“ข้ารู้ค่ะ ดยุก ข้าเองก็นึกขอบคุณท่านอยู่เช่นกัน”
เป็นเพียงบุตรีของบารอน กลับพูดจาเทียมจักรพรรดินี มิหนำซ้ำยังฟังดูโอหังกว่าแพทริเซียตอนก่อนจะประสบกับเรื่องนี้เสียอีก
ดยุกเอเฟรนีซึ่งเป็นผู้ช่วยบิดเบือนผลการสืบสวนนึกอยากจะกระทืบเท้าจากไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่เขาก็เลือกที่จะนั่งอยู่เฉยๆ เพราะไม่คิดว่าตนจะรับมือกับเรื่องที่จะตามมาได้
ในที่สุดโรสมอนด์ก็ละริมฝีปากจากถ้วยชาและพูดอย่างใจเย็น
“เรื่องคราวนี้ทำให้ข้าตระหนักได้อย่างหนึ่งค่ะ ดยุก”
“อะไรหรือ”
“สิ่งที่ทรงพลังที่สุดในโลกก็คือฐานันดรศักดิ์”
ไม่จริง ดยุกเอเฟรนีไม่เห็นด้วยกับคำพูดนั้น หากที่โรสมอนด์พูดเป็นความจริง เขาคงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องมานั่งอยู่ตรงนี้ในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม ในโลกนี้มีบางสิ่งที่อยู่เหนือฐานันดรศักดิ์ และเพราะเหตุนั้น ตอนนี้เขาจึงต้องทนแบกรับความอัปยศอดสูอยู่แบบนี้ มันเป็นเรื่องที่ทั้งน่าสมเพชและเวทนา แต่เขาก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร อย่างที่พูดไป ตอนนี้เขาไม่อยู่ในฐานะที่จะต่อล้อต่อเถียงกับคนตรงหน้าได้
“ดังนั้นข้าก็เลยมีความคิดอันยอดเยี่ยมอยู่อย่างหนึ่งค่ะ”
“ความคิดที่ว่านั้นคืออะไรหรือ”
“ดยุก ท่านมีแต่ลูกชายใช่ไหมคะ”
ครั้นได้ฟังคำถามของโรสมอนด์ ดยุกเอเฟรนีก็พยักหน้ารับโดยไม่คิดอะไร เขามีบุตรชายคนหนึ่งที่เกิดจากภรรยาเอก และมีบุตรชายอีกคนที่เกิดจากอนุภรรยา โรสมอนด์พูดต่อด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจ
“โถ น่าเศร้าจังเลยนะคะที่ท่านไม่มีลูกสาวเลยสักคน”
“เลดี้โรสมอนด์ ท่านต้องการจะพูดอะไรกันแน่”
“ดยุก ท่านไม่อยากเป็นพ่อตาของฝ่าบาทหรือคะ”
คำพูดนั้นทำให้ดยุกเอเฟรนีเข้าใจเหตุผลที่โรสมอนด์เรียกตนมาในวันนี้ได้ในทันที นี่นางกำลัง…
“รับข้าเป็นบุตรีบุญธรรมของท่านด้วยเถอะค่ะ”
…จะบอกให้เขารับนางเป็นลูกบุญธรรม ดยุกเอเฟรนีไม่อาจเก็บสีหน้าตะลึงงันไม่อยากจะเชื่อเอาไว้ได้ เมื่อเห็นดังนั้น โรสมอนด์ก็แค่นหัวเราะและถาม
“ทำไมหรือคะ ท่านมิอาจยอมรับนางเด็กที่เกิดจากบารอนชั้นต่ำเป็นบุตรีได้อย่างนั้นหรือคะ”
“หะ…หาได้เป็นเช่นนั้นไม่”
เมื่อถูกมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ดยุกเอเฟรนีจึงกล่าวปฏิเสธด้วยสีหน้าตื่นตระหนก แต่โรสมอนด์กลับเอาแต่ยิ้มอย่างคาดเดาความหมายไม่ได้ บางทีนางคงจะรู้อยู่แล้ว รอยยิ้มของนางช่างน่าพิศวงนัก ดยุกเอเฟรนีกระแอมสองสามครั้งก่อนจะเอ่ยคำแก้ตัวที่ไม่เหมือนคำแก้ตัวออกไป
“ทว่า เรื่องนั้นยังคงต้องถามความเห็นจากภรรยาของข้า….”
“ดยุก ดูเหมือนท่านจะยังมองสถานการณ์ไม่ออกกระมัง”
โรสมอนด์เตือนให้เขารู้ด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า
“ให้ข้ากราบทูลฝ่าบาทเดี๋ยวนี้เลยไหมคะ ว่าเมื่อก่อนท่านทำอะไรเอาไว้บ้าง”
“…”
“อ้อ เรื่องนั้นก็ไม่เลวนะคะ ใต้เท้าเองก็รู้ใช่หรือไม่ ว่าฝ่าบาททรงต้องลำบากเพราะเรื่องใน ‘วันนั้น’ มากเพียงใด… และที่ ‘นางเด็กที่เกิดจากบารอนชั้นต่ำ’ ได้มาอยู่ข้างพระวรกายของพระองค์ก็เพราะเรื่องในวันนั้นมิใช่หรือคะ”
“…”
ดยุกเอเฟรนีได้แต่ปิดปากเงียบนั่งฟังอีกฝ่ายพูด เพราะนอกจากนางพูดจะถูกทุกคำแล้ว เรื่องที่นางพูดถึงยังแทงใจดำเขาเป็นอย่างมาก โรสมอนด์ไม่มีทางไม่รู้ความในใจของอีกฝ่าย นางยิ้มกว้างพลางพูดกับคนตรงหน้า
“จะรับข้าเข้าตระกูลเมื่อไรดีคะ สำหรับข้าคิดว่ายิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี ท่านเองก็อยากจะรับลูกสาวแสนสวยเข้าตระกูลเร็วๆ เหมือนกันมิใช่หรือคะ”
“…ข้าจะจัดการตามนั้น ว่าแต่ เลดี้โรสมอนด์…” ดยุกเอเฟรนีตอบเสียงเบาก่อนจะเอ่ยถาม “ท่านหารือเรื่องนี้กับบารอนแดโรว์แล้วหรือ”
“…”
การเอ่ยถึงบิดาแท้ๆ ทำให้โรสมอนด์หน้าตึงขึ้นเล็กน้อยแต่เพียงวูบเดียวนางก็ต่อบทสนทนากับอีกฝ่ายราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“การหารือจะสำคัญอันใดเล่า คนผู้นั้นจะบังอาจมาขวางทางข้าเชียวหรือ หากเป็นเช่นนั้น เขาก็คงเป็นเพียงเศษขยะที่ไม่มีวันถูกนำกลับมาใช้ใหม่กระมังคะ”
“…”
ดยุกเอเฟรนีผงะเล็กน้อยกับคำพูดที่ดูอกตัญญูไม่คล้ายพูดถึงบิดาบังเกิดเกล้า ก่อนจะพยักหน้ารับรู้ราวกับไม่รู้สึกอะไร
“เลดี้โรสมอนด์น่าจะทราบอยู่แล้วว่าการรับบุตรบุญธรรมในจักรวรรดิมาวินอสจะต้องได้รับการยินยอมจากบุพการีบังเกิดเกล้า ในเมื่อมารดาของเลดี้สิ้นไปแล้ว ท่านต้องได้รับการยินยอมจากบารอนแดโรว์เสียก่อน จึงจะมาเป็นบุตรบุญธรรมของข้าได้” เขากล่าว
“ข้าทราบแล้วค่ะ ดยุก เรื่องนั้นมีหรือข้าจะไม่รู้ แล้วข้าจำเป็นต้องเตรียมอะไรบ้างหรือคะ”
“อย่างที่บอกไป ท่านต้องได้รับคำยินยอมจากบารอนแดโรว์ เลดี้ บางทีหากเลดี้เดินทางไปพบเขาด้วยตัวเองน่าจะเร็วที่สุด”
ครั้นได้ฟังดังนั้น สีหน้าของโรสมอนด์ก็บึ้งตึง นางลองเสนอหนทางอื่น
“แค่คุยกันทางจดหมายมิได้หรือคะ”
“ไปพบด้วยตัวเองเพื่อเลี่ยงปัญหาที่จะตามมาดีกว่า เลดี้โรสมอนด์ ในกรณีที่บิดาแท้ๆ ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ง่ายนักที่ข้าจะรับท่านเป็นบุตรบุญธรรมได้ ทั้งยังขัดต่อธรรมเนียมของจักรวรรดิอีกด้วย”
“…”
โรสมอนด์ฉุกคิดขึ้นมาว่าหากสังหารบารอนแดโรว์เสียเรื่องทั้งหมดก็จะง่ายขึ้น แต่ดยุกเอเฟรนีก็ชิงพูดต่อราวกับอ่านใจนางออก
“อย่าคิดอะไรไม่เข้าท่าจะดีกว่า เลดี้ หากท่านทำเช่นนั้นแล้วข้ารับท่านเข้าตระกูลในทันทีจะกลายเป็นที่ครหาเสียเปล่าๆ”
“ข้าคิดอะไรอยู่หรือคะ”
นางถามด้วยใบหน้าใสซื่อ ดยุกเอเฟรนีไม่ได้ตอบอะไร โรสมอนด์หัวเราะคิกคักพลางโบกมือไปมาราวกับว่าที่พูดไปเป็นเพียงการหยอกล้อเท่านั้น
“แหม ท่านนี่ล่ะก็ ข้าจะทำเรื่องแบบนั้นได้อย่างไรคะ”
แน่นอนว่าดยุกเอเฟรนีไม่เชื่อ สตรีอย่างนางต้องทำเรื่องเช่นนั้นได้แน่ ยิ่งถ้าอีกฝ่ายเป็นบารอนแดโรว์ด้วยแล้ว เขาถอนหายใจในใจ
“เอาเป็นว่าท่านขออนุญาตจากฝ่าบาทแล้วไปพบบิดาด้วยตัวเองจะง่ายที่สุด” เขากล่าว
“เช่นนั้นข้าคงต้องไปกราบทูลเดี๋ยวนี้เสียแล้ว”
โรสมอนด์พูดอย่างไม่ลังเลทำให้ดยุกเอเฟรนีถึงกับหมดคำพูด ก่อนจะออกจากตำหนักเวน เขาได้พูดทิ้งท้ายไว้ว่าหลังไปพบบารอนแดโรว์กลับมาแล้วให้เรียกหาเขาอีกที เมื่อดยุกเอเฟรนีกลับไปแล้วโรสมอนด์ก็ขอชาโรสแมรีจากคลารามานั่งจิบอีกถ้วยพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าที่ยากจะอ่านใจ ไม่นานหญิงสาวก็วางถ้วยชาเปล่าลงก่อนจะลุกจากที่นั่ง นางตั้งใจจะไปขออนุญาตจากลูซิโอเดี๋ยวนี้
หลังออกจากตำหนักเวน ดยุกเอเฟรนีก็อดกลั้นความรู้สึกหดหู่เอาไว้ไม่ได้ แม้เขาไม่ได้เป็นผู้ร่วมก่อตั้งจักรวรรดิ แต่ก็เป็นถึงหนึ่งในสามมหาเสนาบดี เป็นประมุขของหนึ่งในสามตระกูลที่ค้ำจุนจักรวรรดินี้ ทั้งยังเป็นผู้นำของกลุ่มพ่อค้าที่ใหญ่ที่สุด แต่ถึงกระนั้นเขากลับต้องหวาดผวาเพราะบุตรีของบารอนคนหนึ่งเช่นนี้ ไม่อยากจะคิดเลยว่าหากใครรู้เข้า เขาจะต้องอับอายเพียงใด หากคนในครอบครัวรู้เข้า จะต้องผิดหวังในตัวเขาเพียงใด
เขาไม่เคยนึกเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว เขาเพียงแต่โกรธแค้นและขุ่นเคืองที่ถูกโรสมอนด์กุมจุดอ่อนเอาไว้ได้เท่านั้น ว่ากันว่าถึงจะเสียใจกับสิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ แต่แค่คิดว่าต้องอยู่ใต้อาณัติของนางไปถึงเมื่อไรก็มิอาจรู้ เขาก็รู้สึกสยดสยองขึ้นมา เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะหวนคิดไปถึงคืนที่เรื่องทุกอย่างเริ่มต้นขึ้น
***
2 ปีก่อน
อำนาจของเขาในตอนนั้นไม่ได้ต่างไปจากตอนนี้ เพราะเขาเป็นผู้นำของกลุ่มพ่อค้าที่ใหญ่ที่สุด และเป็นหนึ่งในสามมหาเสนาบดีผู้เป็นเสาหลักของจักรวรรดิ สำหรับเขาแล้วคำร้องขอเข้าพบของผู้ที่เป็นเพียงบุตรีของบารอนและเข้าวังมาได้เพราะจักรพรรดิถูกตาต้องใจนั้นเป็นเรื่องที่ขำไม่ออก เขาปฏิเสธคำขอของโรสมอนด์อย่างไม่ไยดี
แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งที่ทำให้ต้องแต่งองค์ทรงเครื่องไปพบนางถึงที่
ผู้ที่รู้เรื่องทุกอย่างเมื่อแปดปีก่อนเห็นจะมีเพียงข้าคนเดียวกระมังคะ
นางพูดถึงเรื่องที่เขาพยายามหลบเลี่ยงมากที่สุด เรื่องเมื่อแปดปีก่อน… เพียงคำนั้นคำเดียวก็ทำให้ขนทั้งร่างของเขาลุกซู่ เขารีบร้อนไปยังที่พักของนาง ทั้งที่เมื่อไม่นานมานี้เขารู้สึกไม่พอใจที่นางซึ่งเป็นเพียงบุตรีของบารอนบังอาจมาขอพบเขาตามลำพัง ต่อด้วยการฉีกจดหมายของนางทิ้ง
“เป็นเพียงบุตรีของบารอนแต่บังอาจมาข่มขู่ดยุกอย่างนั้นรึ” นี่คือสิ่งแรกที่เขาพูดกับนาง
ในตอนนั้นนางพูดกับเขาว่า “ดยุก ดูเหมือนท่านจะยังมองสถานการณ์ไม่ออกนะคะ”
“อะไรนะ นี่เจ้าบังอาจ…!”
“ข้าจะเรียกดยุกของจักรวรรดิมาโดยไม่มีเหตุผลได้อย่างไรเล่า”
นางยิ้มกว้างพลางเชื้อเชิญให้เขานั่ง
“นั่งก่อนสิคะ ใต้เท้า หากท่านได้เห็นสิ่งนี้แล้ว เราคงมีเรื่องให้คุยกันเยอะเลยล่ะค่ะ”
พูดจบ โรสมอนด์ก็โยนของสิ่งหนึ่งมาตรงหน้า สีหน้าของดยุกเอเฟรนีเปลี่ยนไปในทันทีที่เห็นของสิ่งนั้นแม้เพียงผ่านตา เขามองโรสมอนด์ทั้งหน้าซีดปากสั่น ละทิ้งความอาจหาญและความเย่อหยิ่งเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น ก่อนจะเอ่ยถามโรสมอนด์ในขณะที่ร่างกายยังคงสั่นระริกด้วยความกลัว
“สะ…สิ่งนี้…ได้อย่างไร…”
ข้ารับใช้ที่มีร่างกายบอบบางกว่าคนเป็นดยุกทรุดตัวลงกับพื้นในทันที แพทริเซียเฝ้ามองการกระทำของอีกฝ่ายอย่างใจเย็น
“นางผู้นี้คือคนร้ายที่วางแผนลอบปลงพระชนม์พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“ฮึก…ฮือ”
ข้ารับใช้นางนั้นร่ำไห้ออกมา แพทริเซียเอ่ยปากถามดยุกเอเฟรนีอีกครั้ง
“ท่านหมายความว่าอย่างไร”
“นางผู้นี้บังอาจขัดคำสั่งของบารอเนสเฟ็ลปส์และกระทำการโดยพลการพ่ะย่ะค่ะ”
“ดยุกเอเฟรนี นี่ท่านกำลังพูดอะไรออกมา ข้ารับใช้ธรรมดาๆ จะมีเงินไปจ้างมือสังหารได้อย่างไร”
ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดซักไซ้เสียงดัง ราวกับว่าสิ่งที่ดยุกเอเฟรนีพูดนั้นเป็นเรื่องเหลวไหล แต่เจ้าตัวกลับทำเพียงสั่งให้ใครอีกคนเข้ามาในห้องโถงด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เข้ามาได้”
ครั้นสิ้นคำ ชายผู้หนึ่งก็ก้าวเข้ามา เขาเดินเก้ๆ กังๆ ไปหยุดอยู่ข้างตัวดยุกเอเฟรนีก่อนจะคุกเข่าลง
“คนผู้นี้เป็นใคร” ลูซิโอถาม
“บารอนไดวาดีพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท คนผู้นี้สนิทชิดเชื้อกับบารอนแดโรว์ซึ่งเป็นบิดาของบารอเนสเฟ็ลปส์ เขาได้สารภาพอย่างหมดเปลือกแล้วว่าตนเป็นผู้วางแผนการร้ายในครั้งนี้ด้วยคิดว่าหากปลงพระชนม์พระจักรพรรดินีเสีย บารอเนสเฟ็ลปส์ก็จะได้ขึ้นเป็นจักรพรรดินีพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่จริงพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท! บารอนไดวาดีผู้นี้มีเสียงเล่าลือหนาหูว่ามีหนี้สิ้นล้นพ้นตัว คนเช่นนี้จะมีเงินไปว่าจ้างมือสังหารได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ!”
“หากบารอเนสเฟ็ลปส์ได้เป็นจักรพรรดินีอย่างที่เขาหวัง เงินจำนวนนี้ย่อมจ่ายได้ไม่ยาก อีกทั้งคนผู้นี้ก็รับสารภาพเองว่าเงินค่าจ้างนั้นเขาได้ขอผัดผ่อนไปก่อน”
ครั้นได้ฟังดังนั้น ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดก็เขม้นมองผู้พูดด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย ส่วนแพทริเซียนั้นหน้าเสียอย่างไม่อาจกลบเกลื่อนได้
บ้าจริง หากเป็นเช่นนี้…
“เช่นนั้นพยานสองคนกำลังให้การขัดแย้งกันอย่างนั้นหรือ”
สิ้นคำพูดของลูซิโอ ที่ประชุมก็ตกอยู่ในความเงียบ ตอนนี้หน้าที่ในการตัดสินใจตกมาอยู่ที่เขาแล้วว่าเขาจะยกมือให้แพทริเซียเป็นผู้ชนะ หรือจะยกมือให้คนรักอย่างโรสมอนด์เป็นผู้ชนะ ซึ่งในความเป็นจริงคำตอบได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
“ดยุกวาเซียร์”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“ในเมื่อคำให้การของพยานขัดแย้งกันเช่นนี้ย่อมสรุปอะไรมิได้ เราคงต้องวานท่านรับเรื่องนี้ไปตรวจสอบต่อที”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมจะทำสุดความสามารถ”
มือของแพทริเซียตกลงข้างตัว บ้าจริง ยิ่งยืดเยื้อ การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายก็จะยิ่งลำบากมากขึ้น นางรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าเรื่องกำลังผิดไปจากที่นางคาดหวัง
ผู้ที่เป็นศูนย์กลางของความวุ่นวายทั้งหมดนี้ย่อมต้องเป็นโรสมอนด์ แม้นางจะถูกจองจำอยู่ในคุก แต่สีหน้าของหญิงสาวปราศจากความวิตกกังวล นางกำลังดื่มชาที่ไหว้หวานให้ผู้คุมจัดหามาให้อย่างสง่าผ่าเผย นางจิบชาโรสแมรีที่โปรดปรานด้วยสีหน้าพึงใจพลางวางแผนการในอนาคต
ป่านนี้เรื่องทั้งหมดน่าจะถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว คงจะดีไม่น้อยหากลูซิโอยกมือให้นางเป็นผู้ชนะ และเรื่องนี้ก็คงจะจบลงอย่างมีความสุข แต่ต่อให้ไม่เป็นเช่นนั้น นางก็หาได้สนใจ ดยุกเอเฟรนีมิใช่คนโง่เขลาเบาปัญญา เขาต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อช่วยเหลือนางเป็นแน่ เช่นนั้นแล้วนางยังต้องกลุ้มใจอันใดอีกเล่า อย่างน้อยๆ นางก็คงไม่ตายด้วยเรื่องคราวนี้ และต่อให้ถูกลงโทษก็คงเป็นเพียงการยึดบรรดาศักดิ์บารอเนสคืนเท่านั้น
สำหรับนางแล้วนั่นมิใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย เพราะหากนางได้เป็นจักรพรรดินีเมื่อใด แค่ตำแหน่งบารอเนสเล็กๆ เช่นนั้นยกให้สุนัขไปก็ยังได้ แม้ตอนนี้ตัวนางจะอยู่ในคุก แต่ใจของนางคล้ายว่าได้กลับไปอยู่ที่ตำหนักเวนแล้ว ในตอนนั้นเองผู้คุมคนหนึ่งก็เข้ามาหาพร้อมกับรายงานสถานการณ์ให้นางรู้
“เลดี้ ฟังว่าการหารือเรื่องของท่านจบลงแล้วขอรับ”
“ผลว่าอย่างไร”
“ฝ่าบาทมีรับสั่งให้เลื่อนการตัดสินออกไปเนื่องจากคำให้การของพยานขัดแย้งกันขอรับ ดยุกวาเซียร์จะเป็นผู้ตรวจสอบเรื่องนี้ต่อไป”
“อือฮึ”
โรสมอนด์พยักหน้ารับก่อนที่ผู้คุมจะกลับไปประจำตำแหน่ง นางไม่คิดว่าแผนการเกิดความผิดพลาด เพราะไพ่ที่อยู่ในมือนางนั้นมีมากมายกว่าที่เขาคิดนัก เขาคงไม่ทำงานชุ่ยๆ เป็นแน่
หากข้าจะต้องตาย อย่างน้อยข้าก็จะไม่ยอมตายคนเดียวเป็นแน่
แพทริเซียกลับมาที่ตำหนักจักรพรรดินีด้วยสีหน้าโกรธแค้นราวกับไฟโทสะยังไม่ดับลง เปโตรนิยารับรู้ได้จากท่าทีของน้องสาวว่าเรื่องราวไม่เป็นไปตามแผน หญิงสาวเอ่ยปากถามอย่างระมัดระวัง
“ไม่ราบรื่นหรือริซซี่”
“ดยุกเอเฟรนีคิดจะเป็นปฏิปักษ์กับข้าแน่ๆ หาไม่แล้วคงไม่ทำเช่นนี้”
แพทริเซียพึมพำด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว ดยุกเอเฟรนีต้องหว่านล้อมหรือไม่ก็ข่มขู่ขุนนางชั้นผู้น้อยคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรจะเสียให้มาเป็นพวกเพื่อสร้างเรื่องเหล่านี้เป็นแน่ หากเป็นเช่นนี้ฝ่ายที่เสียเปรียบก็คือนาง จักรพรรดิรักโรสมอนด์ หากเรื่องราวคลุมเครือไปมากกว่านี้ แล้วเขายกมือให้โรสมอนด์ ทุกอย่างก็จบ
แพทริเซียขมวดคิ้วนิ่วหน้าอย่างคนล้มเหลว นี่เป็นวิกฤตการณ์ที่นางอาจคว้าน้ำเหลวทั้งๆ ที่นางต้องเสี่ยงชีวิต ในขณะเดียวกันนั้นเปโตรนิยากลับทำสีหน้าฉงน แพทริเซียสังเกตเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถาม
“เป็นอะไรไป”
“ข้ากำลังคิดว่าทำไมเขาถึงเลือกนาง”
“…”
นั่นเป็นคำถามที่น่าขบคิด ทำไมเขาถึงเลือกนาง? แม้นางจะได้รับความรักจากจักรพรรดิ แต่นางก็เป็นแค่บุตรีของขุนนางระดับล่าง ส่วนตัวเขาเป็นถึงดยุกและให้ความสำคัญกับเรื่องชาติตระกูลมากกว่าผู้ใด ทั้งอย่างนั้นแต่เขากลับเลือกโรสมอนด์แทนที่จะเป็นนาง แพทริเซียไม่เข้าใจเลยสักนิด
แพทริเซียสงสัยว่ามีบางเรื่องที่นางอาจไม่รู้ แต่ปัญหาก็คือไม่มีวิธีใดที่จะพิสูจน์เรื่องนั้นได้เลย ช่างน่าเสียดายนัก หญิงสาวถอนหายใจก่อนจะพูดออกมา
“ข้าไม่รู้ถึงขั้นนั้นหรอก”
“คงไม่ได้ลักลอบคบชู้หรืออะไรเทือกนั้นหรอกกระมัง”
“พูดเป็นเล่น”
แพทริเซียส่ายหน้า หากเรื่องที่เปโตรนิยาพูดเป็นความจริง ดยุกเอเฟรนีคงหนีไม่พ้นโทษทัณฑ์ฐานหมิ่นเกียรติผู้หญิงของจักรพรรดิเป็นแน่ แม้จะไม่ใช่โทษประหารทั้งตระกูลเพราะฐานันดรศักดิ์ของโรสมอนด์ไม่สูงนัก แต่หากคำนึงถึงความรักที่จักรพรรดิมีต่อโรสมอนด์แล้วก็เป็นไปได้สูงว่าเขาจะถูกตัดสินโทษที่เทียบเท่ากับการประหารทั้งตระกูล แพทริเซียเกาหน้าผากเบาๆ และพึมพำ
“ทีนี้จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปล่ะนี่”
“มันก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ริซซี่ ถือเสียว่าเราทำสิ่งที่ควรทำไปหมดแล้ว ป่านนี้แล้วจะไปยื่นหลักฐานอะไรอีกก็คงไม่ได้ ที่เหลือคงต้องปล่อยให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า”
พระประสงค์ของพระเจ้าอย่างนั้นหรือ แพทริเซียคิดว่านั่นช่างเป็นคำพูดที่สบายใจเสียเหลือเกินพลางถอนหายใจออกมาสั้นๆ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้นางหนักใจมากกว่าคือความเป็นจริงที่ว่าสุดท้ายแล้วนางก็ทำได้เพียงปล่อยให้เรื่องนี้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างที่เปโตรนิยากล่าว นางขอน้ำสตรอว์เบอร์รีของโปรดจากมีร์ยาเพื่อปรามความคิดที่ยุ่งเหยิงให้สงบลง ก่อนอื่นต้องทำให้สมองเย็นลงสักหน่อยแล้วค่อยเริ่มคิดอีกครั้ง
***
วันนั้น…ลูซิโอได้ตระหนักอย่างถ่องแท้ ว่าหญิงสาวที่เขาคิดว่าตนรู้จักดีนั้นไม่ได้เผยเนื้อแท้ให้เขาเห็นทั้งหมด และนางไม่ใช่ผู้หญิงที่มีจิตใจดีและอ่อนแออย่างที่เขาคิด
เขาเป็นจักรพรรดิ บางทีจักรพรรดินีของเขาอาจจะหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของชายคนนี้ที่ถูกคนรักปั่นหัว แต่เขาก็คิดว่าหากนางได้มาอยู่ตรงจุดนี้ นางคงหัวเราะไม่ออก สำหรับเขาแล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต เป็นเสาหลักที่คอยค้ำจุน และเป็นดั่งสารอาหารที่ช่วยต่อชีวิตของเขาให้ดำรงอยู่ต่อไปได้ ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิหรือใครหน้าไหนก็ต้องหลงใหลในตัวคนประเภทนี้ทั้งนั้น แม้กระทั่งจักรพรรดินีที่คอยแต่พูดจาสูงส่ง หากนางได้มาอยู่ตรงจุดนี้ก็คงพูดอะไรไม่ได้
นั่นเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความดีกับความเลว และความถูกต้องกับความผิดพลาด การมีชีวิตรอดเป็นเรื่องที่ดีงามและถูกต้องไม่ว่าในสถานการณ์ใดก็ตาม ยิ่งในสถานการณ์ตอนนี้ที่เขายังไม่มีทายาทสืบสายเลือด เรื่องนั้นยิ่งสำคัญสำหรับเขาผู้ซึ่งเป็นทายาทเพียงหนึ่งเดียวของกษัตริย์องค์ก่อน แต่แล้วเขาก็ตกหลุมรักนาง แต่แล้วเขาก็ถูกนางครอบงำ
อย่างไรก็ตาม ลึกๆ แล้วเขาย่อมหวังว่าหญิงสาวที่ทำให้เขามีทุกวันนี้จะแตกต่างออกไป เขาหวังว่านางจะงดงามและดีพร้อม ไม่เหมือนกับเขาที่สกปรกและชั่วร้าย ทว่า ในวันนี้ ณ วินาทีที่เขาได้เห็นแววตาของดยุกเอเฟรนีที่เข้ามาให้ห้อง และได้ฟังคำพูดของอีกฝ่าย เขาก็ตระหนักได้ในที่สุด
อา ข้าคิดผิดไป
วันนั้น…เขาต้องยอมรับความจริงอย่างสิ้นท่า ภาพของนางที่อยู่ในใจเขาสุดท้ายก็เป็นเพียงภาพลวงตา เขามิอาจรู้ได้ว่าตนคิดไปเองหรือนางทำให้เขาคิดเช่นนั้น แต่ที่แน่ชัดคือสิ่งที่เขาเคยรับรู้เป็นเพียงเรื่องโกหกทั้งสิ้น
แน่นอนว่าเขาไม่คิดจะกล่าวโทษคนรักของตนด้วยเรื่องนี้ เขาไม่คิดจะตำหนินาง นางมิใช่คนที่เขาจะเอาบรรทัดฐานของตัวเองไปตัดสินได้ตั้งแต่แรกแล้ว เขาเพียงแต่เข้าใจแล้วว่านางมิใช่คนที่เข้ากับเขาได้มากที่สุดอย่างที่เคยคิดไว้
เขาถอนหายใจออกมา
ในที่สุดมันก็เป็นเช่นนั้น ในที่สุดมันก็เป็นเช่นนั้น…
***
ดยุกวาเซียร์ซึ่งรับคำสั่งจากลูซิโอได้ลงมือสืบสวนความจริงโดยไม่บิดพริ้วแม้แต่น้อย เขาวิ่งวุ่นไปทั่วเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้ แต่ทั้งพยานและหลักฐานที่เขาต้องตรวจสอบล้วนแล้วแต่ถูกปั้นแต่งขึ้นมา ทำให้การเปิดเผยความจริงยากเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร ในท้ายที่สุดเมื่อครบกำหนดตามระยะเวลาที่จักรพรรดิมีคำสั่งลงมาเขาก็จำต้องรายงานขึ้นไปว่า
‘หลักฐานไม่เพียงพอ’
โทษกบฏเป็นโทษที่ร้ายแรงถึงขั้นล้มล้างตระกูลได้ถึงสามรุ่น ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการยากที่จะตัดสินโทษโดยปราศจากหลักฐานที่ชัดเจน เพราะหากโทษกบฏสามารถตัดสินได้ง่ายๆ ด้วยหลักฐานชิ้นใดก็ได้ โทษทัณฑ์นี้ต้องถูกนำไปใช้ประโยชน์ในทางการเมืองเป็นแน่
และแล้วเรื่องราวในครั้งนี้ก็ผ่านไปอย่างคลุมเครือ ลูซิโอเรียกคืนบรรดาศักดิ์บารอนและบารอเนสจากบารอนไดวาดีและบารอเนสเฟ็ลปส์ จากนั้นก็ขับไล่นางกำนัลสองคนที่มาเป็นพยานออกจากวังไป นี่เป็นผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบและเป็นผลลัพธ์ที่ทุกคนเห็นชอบ
แม้ว่าในกรณีนี้ฝ่ายที่เสียหายจะเป็นฝ่ายของแพทริเซีย แต่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แพทริเซียคิดว่านางควรพอใจกับการที่โรสมอนด์ถูกเรียกว่าโรสมอนด์แทนที่จะเป็นบารอเนสเฟ็ลปส์ สิ่งนี้นับเป็นกำไรที่มากพอแล้ว
แม้ว่าโรสมอนด์จะต้องคืนบรรดาศักดิ์บารอเนสไปแต่นางก็มิได้ถูกขับไล่ออกจากตำหนักเวน โรสมอนด์รู้สึกสะเทือนใจเมื่อรู้ว่ามีผู้ทรยศอยู่ในบรรดาข้ารับใช้ของนาง นี่จึงเป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงข้ารับใช้ในตำหนักครั้งใหญ่ จำนวนคนก็ลดน้อยลงไปด้วย
เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้โรสมอนด์ตระหนักได้ว่าการมีข้ารับใช้มากมายมิใช่เรื่องดีเสมอไป และนางตั้งใจว่าจะมองเรื่องนี้ในแง่ดี เพราะต่อแต่นี้ไปจะไม่มีเรื่องเกลือเป็นหนอน[1]เกิดขึ้นอีกแล้ว
“เลดี้โรสมอนด์ อย่างไรก็โชคดีเหลือเกินค่ะที่ไม่ต้องรับโทษ”
“โชคดีหรือ?”
โรสมอนด์ขึ้นเสียงใส่คลาราด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว “สกุลเฟ็ลปส์ที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ก็ถูกยึดคืนไปแล้ว นี่เจ้าคิดว่านั่นเป็นเรื่องดีอย่างนั้นรึ”
“…”
คลาราคันปากอยากจะบอกอีกฝ่ายเหลือเกินว่าแค่รอดชีวิตมาได้ก็บุญแล้ว แต่นางก็ตัดสินใจเงียบไว้ ขืนพูดต่อไปไม่รู้ว่านางจะได้รับโทษอะไรจากหญิงสาวที่ถูกลดขั้นจากบารอเนสมาเป็นโรสมอนด์แห่งตำหนักเวน คลาราเปลี่ยนมาย้ำกับโรสมอนด์ถึงเรื่องที่ว่า แม้ตำแหน่งบารอเนสจะถูกยึดคืนไปแต่ความเป็นอนุภรรยาของพระจักรพรรดิยังคงอยู่เช่นเดิม
“แต่เลดี้โรสมอนด์คะ คนที่ฝ่าบาททรงรักก็มีเพียงท่านเท่านั้น อย่าได้เศร้าเสียใจไปเลยค่ะ หากท่านได้เป็นจักรพรรดินีแล้ว บรรดาศักดิ์พวกนั้นจะไปมีประโยชน์อะไรล่ะคะ”
“ข้าโง่เองที่ไปไหว้วานเจ้างั่งพวกนั้น ต่อไปต้องหานักฆ่าที่ไว้ใจได้มากกว่านี้เสียแล้ว ให้ตายสิ เป็นตายอย่างไรไม่ตรวจสอบให้แน่ชัด ดันถอยทัพกลับไปเสียได้ ทำเอาข้าเสียดายเงินมัดจำที่จ่ายไปจริงๆ”
โรสมอนด์แผดเสียงออกมาด้วยความโกรธ ส่วนคลาราที่อยู่ด้านข้างกลับเอาแต่คิดว่าโชคดีแล้วที่ไม่ถูกตัดสินโทษกบฏ ตัวโรสมอนด์เองอาจไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ แต่ความจริงนี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีมากแล้วมิใช่หรือ
ไหนจะลอบปลงพระชนม์พระจักรพรรดินี มิหนำซ้ำยังทำให้พระจักรพรรดิที่รักต้องบาดเจ็บ การเสียตำแหน่งบารอเนสไปโดยไม่ประสบกับภยันตรายใดๆ ก็นับว่าบุญโขแล้ว แน่นอนว่าโรสมอนด์ไม่ใช่คนที่จะพึงพอใจกับอะไรง่ายๆ จนหันมาใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้
“เฮ้อ…อย่างน้อยก็โชคดีที่ได้ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น”
โรสมอนด์พึมพำออกมาก่อนจะทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง คราวนี้จะวางแผนร้ายอะไรอีกล่ะ แม้คลาราจะลงเรือลำเดียวกับโรสมอนด์และให้ความร่วมมือทุกอย่าง แต่เมื่อประสบกับเคราะห์ใหญ่ในครานี้เพียงครั้งเดียวก็ไม่แปลกที่นางจะนึกกลัวขึ้นมา บางทีการสอบปากคำที่ผ่านมาอาจทำให้นางเป็นโรคกลัวที่แคบไปเสียแล้ว ขณะที่คลาราทำหน้าละล้าละลังอยู่นั้นโรสมอนด์ก็เอ่ยปาก
[1] เกลือเป็นหนอน เป็นสำนวนหมายถึงการถูกคนใกล้ชิดคิดคดทรยศ ในภาษาเกาหลีใช้สำนวนว่า 믿는 도끼에 발등 찍힌다 (มิดนึน โทกีเอ พัลตึง จีคินดา) แปลตรงตัวคือถูกจามหลังเท้าด้วยขวานที่ตนไว้ใจ หรือก็คือได้รับความเสียหายเนื่องจากถูกหักหลังโดยคนที่เคยเชื่อใจหรือเรื่องที่คิดว่าจะเป็นไปได้ดีกลับไม่เป็นดังหวัง
เมื่อลูซิโอฟื้นแล้ว แพทริเซียจึงต้องเร่งสะสางงานให้เรียบร้อยโดยเร็ว แม้งานที่นางต้องรับผิดชอบระหว่างที่เขาหมดสติจะเป็นเพียงส่วนน้อย แต่ถึงกระนั้นนางก็ต้องส่งต่องานให้เขาอย่างชัดเจนว่างานใดที่เรียบร้อยดีแล้ว หรืองานใดที่รอการพิจารณาอยู่ แพทริเซียพยายามสุดความสามารถเพื่อให้ลูซิโอสามารถกลับมาทำงานต่อได้อย่างราบรื่นในอีกหนึ่งสัปดาห์หลังจากนี้ และผลจากความพยายามนั้นก็ทำให้ลูซิโอสามารถเริ่มงานได้โดยไม่ติดขัดประการใด
แพทริเซียลงจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และกลับมาเป็นจักรพรรดินีอีกครั้ง แต่งานของนางกลับลดลงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น งานสำคัญที่สุดก็ยังไม่เสร็จสิ้น แพทริเซียจิบชาที่ยังมีไอกรุ่นขณะรอใครบางคน ไม่นานคนผู้นั้นก็ปรากฏตัว ข้ารับใช้แจ้งการมาถึงของเขา
“ฝ่าบาท ใต้เท้าวีเธอร์ฟอร์ดขอเข้าเฝ้าเพคะ”
“เข้ามาได้”
ขณะที่นางเอ่ยปากเชิญ อีกฝ่ายก็ปรากฏตัวอย่างสง่าผ่าเผย หญิงสาวต้อนรับผู้มาเยือนด้วยรอยยิ้ม
“เชิญนั่งเถิด ดยุก ไม่ได้พบกันเสียนาน”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
ที่จริงก็ไม่ได้นานขนาดนั้น แต่คิดเสียว่าพูดตามมารยาทก็แล้วกัน แพทริเซียมองเขาด้วยสายตาใคร่รู้ก่อนจะเอ่ยถาม
“เอาล่ะ ท่านขอพบเราหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“เหตุผลที่ท่านจะขอพบเราเห็นจะมีเพียงเรื่องเดียว ถูกต้องหรือไม่”
“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท มีผู้รับสารภาพแล้ว”
“ใครกัน”
“เป็นข้ารับใช้ตำหนักเวนพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมเลือกคนที่ดูเฉลียวฉลาดและประเมินสถานการณ์ได้ดี คำให้การของนางจะทำให้แผนสร้างหลักฐานของเราเป็นไปได้ด้วยดีแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“ผลที่ตามมาล่ะ?”
“กระหม่อมได้เสนอเงื่อนไขโดยใช้ครอบครัวที่บ้านเกิดของนางเป็นข้ออ้าง นางคงมิกล้าทำอะไรบุ่มบ่ามหรอกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย”
“ดีมาก เรื่องนี้นอกจากเรากับท่านแล้วยังมีผู้ใดรู้อีกหรือไม่”
“ยังไม่มีพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะรายงานเรื่องนี้ในที่ประชุมหารือวันพรุ่งนี้”
“ดี ลำบากท่านแล้วจริงๆ ดยุก”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท เป็นกระหม่อมที่สืบความล่าช้า ต้องขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ”
สิ้นคำพูดของดยุกวีเธอร์ฟอร์ด แพทริเซียก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ จะล่าช้าหรือไม่ หากผลลัพธ์มีเพียงหนึ่งเดียวแล้วล่ะก็เรื่องอื่นนางล้วนไม่สนใจ แพทริเซียพูดกับดยุกวีเธอร์ฟอร์ดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอย่างที่พบเห็นไม่บ่อยนัก
“เอาเถอะ สิ่งสำคัญคือการจัดการเรื่องนี้ให้จบสิ้นเสียที”
วันรุ่งขึ้น แพทริเซียมุ่งหน้าไปที่ตำหนักโลเอ็นเพื่อจบเรื่องราวในครั้งนี้ ณ ที่แห่งนั้นจะมีการฟังคำให้การจากพยานบุคคลและตัดสินบทลงโทษ สีหน้าของหญิงสาวในเวลานี้ดูตึงเครียด ขณะที่เดินอยู่นั้นนางได้พบกับลูซิโอที่กำลังมุ่งหน้าไปยังสถานที่เดียวกันโดยบังเอิญ นางตั้งใจจะเดินอ้อมเพื่อไม่ต้องพบหน้าอีกฝ่ายแต่ก็สายไป เขาเป็นฝ่ายเห็นนางก่อน
“จักรพรรดินี”
เขาเอ่ยปากเรียกและเดินเข้ามาหา หญิงสาวแอบทำสีหน้าไม่พอใจพลางคิดว่าเหตุใดเขาจึงหยุดเรียกนางแทนที่จะเดินต่อไป อย่างไรก็ตาม สีหน้าของแพทริเซียกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วขณะเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายและทำความเคารพ
“ถวายบังคมพระจักรพรรดิ ขอพระสุริยันแห่งจักรวรรดิจงทรงพระเจริญ”
“เจ้ากำลังไปที่ตำหนักโลเอ็นหรือ”
“เป็นเช่นนั้นเพคะ”
นางตอบสั้นๆ ทันใดนั้นนางก็ได้ยินคำพูดที่ชวนให้ตกใจ
“เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถิด”
“…”
ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายออกปาก แล้วจะมีใครหน้าไหนในจักรวรรดินี้กล้าปฏิเสธคำเชิญชวนของจักรพรรดิแห่งจักรวรรดินี้กันเล่า? แพทริเซียถอนหายใจในใจขณะตอบตกลง ว่ากันตามจริงแล้ว นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าอึดอัด แต่นางก็ทำอะไรไม่ได้
“…”
แม้ทั้งคู่จะเดินไปด้วยกันแต่ระหว่างทางกลับมิได้พูดคุยกันแม้ครึ่งคำ แพทริเซียพยายามสงบปากสงบคำเท่าที่จะทำได้ ด้วยกลัวว่าตนจะหลุดพูดอะไรออกไปจนทำให้งานใหญ่เกิดความผิดพลาด ส่วนลูซิโอที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรก็คิดแต่เพียงว่าอีกฝ่ายยังคงเกลียดเขาอยู่ ดังนั้นเขาจึงพูดออกไปเพียงหนึ่งประโยค
“วันนี้เป็นวันปิดการสืบสวนใช่หรือไม่”
“เป็นเช่นนั้นเพคะ ฝ่าบาท”
“ได้ยินว่าพบหลักฐานแล้ว”
“เป็นเช่นนั้นเพคะ ฝ่าบาท”
“นางจะถูกตัดสินโทษประหารหรือ”
“เป็นเช่นนั้นเพคะ ฝ่าบาท”
กึก
ครั้นได้ฟังดังนั้นลูซิโอก็หยุดเดินอย่างกะทันหัน แพทริเซียเองก็หยุดตามโดยอัตโนมัติ ในตอนนั้นเองที่นางได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก เขาจ้องมองมาด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดาความหมาย แต่นั่นหาใช่แววตาที่แสดงความขุ่นเคืองหรือเกลียดชัง เขาเพียงแค่จ้องเขม็งมาที่นางเท่านั้น
จู่ๆ แพทริเซียก็รู้สึกว่าแววตานั้นดูคล้ายแววตาของเด็ก นางหลบสายตาด้วยความรู้สึกลำบากใจ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงจดจ้องมาที่นางอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันหน้ากลับไปและเดินต่อ
แพทริเซียอยากจะถามว่าทำไมเขาถึงทำเช่นนั้น แต่นางก็ไม่กล้าพอ สุดท้ายแล้วคนทั้งคู่ก็เดินไปท่ามกลางความเงียบอีกครั้ง
“พระจักรพรรดิและพระจักรพรรดินีเสด็จ”
ประตูถูกเปิดพร้อมกับเสียงประกาศของข้ารับใช้ แพทริเซียมองเหล่าขุนนางที่ค้อมศีรษะคำนับพวกนางด้วยสายตาว่างเปล่า นางเดินเคียงข้างลูซิโอไปที่บัลลังก์ก่อนจะนั่งลงข้างกัน นี่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะจักรพรรดินีเท่านั้น นางคิดว่าวันนี้น่าจะเป็นครั้งแรกที่นางกับเขานั่งเคียงข้างกัน
แพทริเซียคิดว่าหากนางเปิดปากพูดขึ้นมาก่อนอาจเป็นการทำเกินหน้าเกินตาอีกฝ่าย นางจึงหยุดคำพูดของตัวเองไว้ แต่แล้วเขาก็เป็นฝ่ายพูดกับนางก่อน
“ในเมื่อเรื่องวันนี้จักรพรรดินีเป็นผู้รับผิดชอบ เช่นนั้นเจ้าก็เริ่มเลยเถอะ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
แพทริเซียกล่าวขอบคุณสั้นๆ ก่อนจะออกคำสั่งกับดยุกวีเธอร์ฟอร์ดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ดยุก เชิญท่านรายงานขั้นตอนการสืบสวนทั้งหมด”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ในงานเทศกาลล่าสัตว์ที่ทางสำนักพระราชวังจัดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ได้เกิดเรื่องน่าอดสูที่พระจักรพรรดิและพระจักรพรรดินีทรงหายตัวไป แม้ทั้งสองพระองค์จะเสด็จกลับมายังสถานที่จัดงานหลังจากปิดงานไม่นาน แต่พระจักรพรรดิทรงถูกศรอาบยาพิษของมือสังหาร พระอาการน่าเป็นห่วง รวมถึงพระจักรพรรดินีก็ทรงถูกปองร้ายเช่นกัน
จากนั้น ในระหว่างที่พระจักรพรรดิทรงหมดสติ พระจักรพรรดินีได้ขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และได้มอบหมายให้กระหม่อมสืบสวนเรื่องราวในครั้งนี้ ซึ่งเมื่อกระหม่อมได้รับพระบรมราชโองการของพระจักรพรรดินีก็ได้เริ่มสอบปากคำบารอเนสเฟ็ลปส์ซึ่งเป็นผู้ที่น่าสงสัยที่สุด รวมถึงข้ารับใช้ในตำหนักเวนที่นางอาศัยอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“วันนี้เป็นวันสิ้นสุดการสอบสวนสินะ ดยุก ท่านหาตัวคนผิดพบแล้วหรือ”
“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“เป็นใครกัน”
ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดไม่ได้ตอบคำถามของแพทริเซีย แต่กลับพูดคำอื่นออกมา
“เบิกตัวพยาน”
ครั้นสิ้นเสียงของเขา ประตูก็ถูกเปิดพร้อมปรากฏร่างของคนผู้หนึ่งก้าวเข้ามาในห้อง นางกำนัลในชุดเดรสสีแดงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของตำหนักเวนอยู่ในสภาพอ่อนล้าหลังถูกสอบปากคำเป็นเวลานาน แต่ก็ไม่ได้ดูแย่จนคล้ายจะเป็นลมล้มพับไป
นางดูหวั่นเกรงเล็กน้อยคล้ายลำบากใจที่ต้องมาอยู่ท่ามกลางขุนนางระดับสูง และเมื่อนางสบสายตากับดยุกวีเธอร์ฟอร์ด ร่างกายของนางก็สั่นระริก
“เข้ามาใกล้ๆ” เขาออกคำสั่ง
นางทำใจกล้าเดินเข้าไปใกล้แม้ร่ายกายจะสั่นเทา แพทริเซียตั้งใจว่านางจะคอยสังเกตการณ์เงียบๆ เท่านั้น จากนั้นดยุกวีเธอร์ฟอร์ดก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ฝ่าบาททั้งสองพระองค์และขุนนางที่เคารพทุกท่าน คนร้ายตัวจริงที่หมายจะลอบปลงประชนม์พระจักรพรรดิและพระจักรพรรดินีก็คือบารอเนสเฟ็ลปส์พ่ะย่ะค่ะ”
แม้จะเป็นผลลัพธ์ที่ได้คาดการณ์ไว้แล้ว แต่เมื่อมันกำลังเกิดขึ้นจริง ในที่ประชุมก็เกิดความโกลาหลขึ้นเล็กน้อย ลูซิโอยกมือเป็นเชิงสั่งให้พวกเขาสงบลงก่อนจะเอ่ยถามดยุกวีเธอร์ฟอร์ด
“ดยุก เรื่องนั้นชัดเจนแน่แล้วหรือ”
“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมได้รับการยืนยันจากนางกำนัลตำหนักเวนแล้ว”
ครั้นพูดจบเขาก็ส่งสายตาให้นางกำนัลโดยไว เมื่อสบตากับเขานางก็เผยอริมฝีปากและพูดออกมาอย่างยากลำบาก
“ที่ใต้เท้าพูดเป็นความจริงเพคะ ฝ่าบาท”
“มั่นใจหรือไม่ว่าคำให้การของเจ้าไม่มีคำโกหกแม้เพียงครึ่งคำ? หากเจ้าให้การเท็จ เจ้าต้องชดใช้ด้วยความตายนะ”
“เป็นความจริงเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันเห็นเพคะ บารอเนสเฟ็ลปส์ไม่พึงใจพระจักรพรรดินีและตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ ประจวบเหมาะกับที่พระจักรพรรดินีจะทรงเข้าร่วมการแข่งขันล่าสัตว์ บารอเนสเห็นเป็นโอกาสดีจึงเรียกพวกนักฆ่าเข้ามาวางแผนร้ายเพคะ”
“ฝ่าบาท เราจะเชื่อคำพูดของนางได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ เราจะประหารอนุภรรยาขององค์จักรพรรดิเพียงเพราะคำพูดของเด็กรับใช้เพียงคนเดียวมิได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท เรามิอาจปิดคดีได้ด้วยพยานบุคคลเพียงเท่านั้นนะพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อคนของฝ่ายดยุกเอเฟรนีลุกขึ้นพูด ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดก็ส่งสายตาอีกครั้ง คราวนี้คนที่เข้ามาก็คือราฟาเอลา ผู้นำการตรวจค้น
“สิ่งนี้คือหลักฐานเพคะ”
สิ่งที่ราฟาเอลานำเข้ามาด้วยคือหวีประดับเปื้อนดินที่หักครึ่งทำให้ส่วนที่เป็นซี่หวีด้านหนึ่งดูแหลมคม ราฟาเอลาพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“หม่อมฉันพบสิ่งนี้ในสถานที่เกิดเหตุเพคะ ด้วยเกรงว่าคนจะลือกันไปอย่างผิดๆ หม่อมฉันจึงมิได้กราบบังคมทูลรายงานตั้งแต่แรก แต่จากการสอบปากคำนางกำนัลผู้นี้ ทำให้ทราบว่าสิ่งนี้เป็นของบารอเนสเฟ็ลปส์เพคะ”
“นั่นเป็นเครื่องประดับที่บารอเนสเคยใช้เป็นประจำ แต่จู่ๆ นางก็ไม่ได้หยิบมาใช้ให้เห็นอีกเพคะ ฝ่าบาท หากทรงไม่เชื่อคำพูดของหม่อมฉัน ลองตรวจค้นตำหนักเวนดูก็ได้เพคะ จะต้องเจอส่วนที่เหลืออย่างแน่นอน”
“เช่นนั้นผลการสืบสวนก็เป็นที่แน่ชัดแล้วกระมัง”
แพทริเซียพูดพึมพำอย่างไร้อารมณ์ ส่วนลูซิโอไม่ปริปากพูดอะไรคล้ายกำลังใช้ความคิด นางมองเขาด้วยสายตาจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกวาดตามองเหล่าขุนนางโดยรอบที่กำลังแตกตื่นเพราะคำให้การของราฟาเอลาและนางกำนัลตำหนักเวน นางเอ่ยปากถามพวกเขา
“พวกท่านคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ ยังต้องการหลักฐานอะไรนอกเหนือจากนี้หรือ”
ทั้งหมดเป็นเรื่องโกหก ทั้งคำให้การของนางกำนัล ทั้งหวีประดับเปื้อนดินที่ทำขึ้นมาลวกๆ นั่นด้วย แต่หากจะพูดกันตามตรง ยังจำเป็นต้องมีหลักฐานมากกว่านี้อีกหรือ? ไม่สิ ยังสามารถสร้างหลักฐานที่ชัดเจนมากกว่านี้ได้อีกหรือ? แพทริเซียมั่นใจในชัยชนะของตน เหล่าขุนนางไม่มีใครพูดอะไร นั่นทำให้แพทริเซียมั่นใจว่าในที่สุดเวลาที่นางรอคอยก็ได้มาถึงแล้ว
“ท่าทางจะได้ข้อสรุปแล้ว ฝ่าบาท หม่อมฉันในฐานะประมุขหญิงของพระราชวังแห่งนี้ขอให้พระองค์ทรงตัดสินโทษประหารแก่บารอเนสเฟ็ลปส์ในข้อหาลอบปลงพระชนม์ประมุขแห่งราชวงศ์ด้วยเพ…”
“นั่นเป็นเรื่องโกหกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”
ในตอนนั้นเองใครคนหนึ่งก็พูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด วินาทีนั้นแพทริเซียรู้สึกโกรธจนต้องหันไปดูว่าใครคือผู้ที่เข้ามาขัดจังหวะตน ผู้ที่เปิดประตูเดินเข้ามาในห้องนั้นเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร สีหน้าของแพทริเซียก็แปรเปลี่ยนเป็นงงงันอย่างคาดไม่ถึง หญิงสาวอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“ดยุกเอเฟรนี เราก็คิดอยู่ว่าเหตุใดจึงไม่เห็นท่าน ที่แท้ก็เพิ่งมาถึงนี่เอง”
“ทูลพระจักรพรรดิ คำให้การและหลักฐานนั้นเป็นเท็จพ่ะย่ะค่ะ”
ดยุกเอเฟรนีพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ส่วนแพทริเซียมองเลยไปยังหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังอีกฝ่าย นางสวมชุดเดรสสีแดงเช่นกัน ลูซิโอเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามขึ้น
“หมายความว่าอย่างไร ดยุกเอเฟรนี คำให้การและหลักฐานทั้งหมดเป็นเรื่องโกหกอย่างนั้นหรือ”
“ฝ่าบาท คนร้ายตัวจริงเป็นคนอื่น หาใช่บารอเนสเฟ็ลปส์พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงมีพระปรีชา โปรดตัดสินอย่างรอบคอบด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“เราสงสัยจริงๆ ดยุกเอเฟรนี ท่านมีหลักฐานอะไรจึงพูดเช่นนั้น”
แพทริเซียเขม้นมองอีกฝ่ายเล็กน้อยขณะเอ่ยปากถาม ดยุกเอเฟรนีสบสายตากับนางครู่หนึ่งก่อนจะพูดราวกับจะช่วยตอบในสิ่งที่นางต้องการ
“นางผู้นี้คือหลักฐานพ่ะย่ะค่ะ”
ดยุกเอเฟรนีพูดดังนั้นและบังคับให้หญิงสาวในชุดเดรสสีแดงที่ยืนอยู่เบื้องหลังคุกเข่าลง
“…”
ใช่แล้ว ตระกูลดยุกเอเฟรนีเลือกโรสมอนด์ และในทางกลับกัน ตระกูลดยุกวีเธอร์ฟอร์ดเลือกนาง ส่วนเรื่องที่ตระกูลดยุกวีเธอร์ฟอร์ดอาจต้องการโรสมอนด์แต่สุดท้ายกลับต้องมาเลือกนาง หรือพวกเขาเลือกนางตั้งแต่แรกนั้น แพทริเซียมิอาจรู้ได้ แต่สิ่งที่แน่นอนคืออย่างน้อยในตอนนี้พวกเขาก็ให้การสนับสนุนตน และแพทริเซียคิดว่าเหตุผลใดๆ ไม่จำเป็นสำหรับนางอีกแล้ว
สิ่งที่สำคัญคือพวกเขาให้การสนับสนุนนาง และนางเต็มใจที่จะปกป้องพวกเขาเหล่านั้น ความรู้สึกอื่นใดนอกเหนือจากนี้ล้วนไม่จำเป็นและไร้ค่า
แพทริเซียคิดว่าพันธะเช่นนั้นไม่มีความสำคัญในการต่อสู้ครั้งนี้แม้แต่น้อย ต่อให้มีใครมาเสนอให้ นางก็คิดที่จะปฏิเสธ ของพรรค์นั้นรังแต่จะสร้างปัญหา อย่างน้อยในตอนนี้นางก็คิดเช่นนั้น
“เราเองก็ไม่คิดจะใส่ใจผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ และไม่คิดจะพยายามทำให้พวกเขามองเราในแง่ดีด้วย เพราะเรามีพวกท่านอยู่แล้ว เราพูดผิดหรือไม่”
“ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดยิ้มอย่างมีเอกลักษณ์พลางจิบน้ำชาที่เหลืออยู่เล็กน้อยจนหมด แม้ว่าน้ำชาจะเย็นชืดจนเสียรสชาติแล้ว แต่เขาก็ดื่มเข้าไปพร้อมทำสีหน้าราวกับว่าไม่มีชาใดรสดีไปกว่านี้อีกแล้ว แพทริเซียจ้องมองการกระทำนั้นก่อนจะเอ่ยปากถามอีกครั้ง
“ดูเหมือนท่านจะมีแผนการในใจแล้ว”
“แน่นอนว่ากระหม่อมคงไม่ขอเข้าเฝ้าโดยไม่คิดเตรียมการใดๆ ไว้ หากทำเช่นนั้นย่อมเป็นการเสียมารยาทต่อฝ่าบาทมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ เพราะนอกจากเรื่องนี้แล้วก็ยังมีเรื่องอื่นๆ อีกมากมายที่พระองค์ต้องใส่พระทัย”
“ท่านช่างเป็นขุนนางที่เปี่ยมด้วยความสามารถ”
“เป็นหน้าที่ของข้าราชบริพารที่จะขจัดความกังวลให้ผู้เป็นนาย กระหม่อมเองก็มีผู้ที่คอยให้การรับใช้อยู่เช่นกัน”
เขายิ้มกว้างพร้อมกับวางถ้วยน้ำชาไว้ใต้โต๊ะ ก่อนจะเอ่ยปากพูดด้วยสีหน้าจริงจังแต่ก็ยิ้มอยู่ในที
“ในเมื่อไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด อย่างไรก็คงไม่สามารถทำลายบารอเนสเฟ็ลปส์ได้อย่างสิ้นเชิงพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท พระองค์อาจจะทรงทราบอยู่แล้ว…แต่นี่เป็นสถานการณ์ที่เราจะประมาทความรักของพระจักรพรรดิมิได้ หากไม่มีหลักฐาน การปลดนางออกจากตำแหน่งบารอเนสจึงน่าจะเป็นกำไรก้อนใหญ่ที่สุดที่เราจะได้รับพ่ะย่ะค่ะ”
“แม้แต่เรื่องนั้นก็คงไม่ง่าย นางหลักแหลมกว่าที่เราคิดนัก”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมทราบดี ไม่แน่ว่านางอาจอาศัยอำนาจของตระกูลเอเฟรนีเพื่อให้ตนรอดพ้นจากสถานการณ์นี้ก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญคือ…”
เขายิ้มอย่างอารี แต่คำพูดที่ออกจากปากกลับตรงข้ามกับรอยยิ้มนั้นอย่างสิ้นเชิง
“การสร้างหลักฐานสำหรับเรื่องทั้งหมดนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“สร้างหลักฐาน…”
แพทริเซียพึมพำออกมาขณะที่มองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าภายนอกมีสีครามปลอดโปร่งต่างจากความรู้สึกขุ่นมัวที่อยู่ภายในใจของนาง จู่ๆ หญิงสาวก็นึกอิจฉาก้อนเมฆขึ้นมาขณะที่ยืนเท้ากรอบหน้าต่างพลางเคาะนิ้วเสียงดังกึกๆ โดยไม่รู้ตัว
“ท่าทางจะมีเรื่องกลุ้มใจสินะ เสด็จน้อง”
“นิล”
แพทริเซียหันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ เปโตรนิยาเดินเข้ามาหาพร้อมของกินเล่นมากมายในมือเหมือนทุกครั้ง แพทริเซียเดินไปนั่งที่โต๊ะโดยอัตโนมัติก่อนจะถามขึ้น
“เพิ่งอบมาใหม่สินะ ดั๊กกวซ[1] หรือ?”
“อืม นี่รสสตอรว์เบอร์รี่ ของชอบเจ้ามิใช่หรือไร”
“ชอบสิ ขอบใจนะ นิล ข้าจะกินเยอะๆ เลย”
แพทริเซียกัดขนมเข้าไปคำหนึ่งก่อนจะส่งสายตาสงสัยให้เปโตรนิยาพร้อมกับเอ่ยปากถาม
“ไม่กินด้วยกันหรือ”
“เมื่อครู่ข้ากินไปเยอะแล้ว ว่าแต่…”
เปโตรนิยานิ่งเงียบไป ก่อนจะถามแพทริเซียอย่างระมัดระวัง
“ฝ่าบาทก็ทรงฟื้นแล้ว อย่างไรเจ้าก็ต้องจัดการเรื่องนั้นให้จบ เจ้ามีแผนอะไรหรือไม่”
“ที่เจ้าพูดก็ถูก นิล ยิ่งยืดเยื้อ ฝ่ายที่จะเสียเปรียบก็คือเรา”
แพทริเซียครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเล่าเรื่องที่คุยกับดยุกวีเธอร์ฟอร์ดให้เปโตรนิยาฟังทั้งหมด
“เราทั้งคู่ต่างไม่ได้คาดหวังจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ใหญ่จากเรื่องนี้ แม้โทษทัณฑ์จะร้ายแรงเพียงใดแต่ก็มีแค่พยานปากเปล่า ไม่มีหลักฐานที่เป็นรูปธรรม”
โทษทัณฑ์นั้นมิใช่อื่นใดแต่การเป็นลอบปลงพระชนม์พระจักรพรรดินี และผู้เสียหายที่แท้จริงก็เป็นถึงประมุขของจักรวรรดิ แต่ถึงกระนั้นกลับเป็นการยากที่จะเผยตัวผู้อยู่เบื้องหลัง เรื่องนี้มีการลงมืออย่างรัดกุม สถานที่เกิดเหตุก็เป็นสนามล่าสัตว์ซึ่งมีพื้นที่กว้างขวาง แต่หญิงสาวก็เกือบจะเอาชีวิตไปทิ้ง เพราะฉะนั้นการจะปล่อยให้เรื่องนี้เงียบหายก็น่าเสียดายเกินไป แพทริเซียพูดออกมาอย่างเยือกเย็น
“ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดหวังที่จะได้อะไรจากเรื่องนี้บ้างแม้จะต้องสร้างหลักฐานขึ้นมาก็ตาม ข้าเองก็ไม่อยากให้เรื่องนี้เงียบหายไปเฉยๆ ตอนนั้นข้าได้เตือนบารอเนสเฟ็ลปส์ไปแล้ว ขืนยังปล่อยนางไปอีกครา ข้าจะถูกหัวเราะเยาะเอาน่ะสิ”
“ข้าก็ไม่ได้บอกให้เจ้าปล่อยเรื่องนี้ไป ริซซี่ หรือเจ้า…อาจไม่มีเรื่องเช่นนั้น แต่คำพูดนั้นของเจ้าเป็นเพราะข้าหรือ?”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“เจ้าเปลี่ยนไปนะ ริซซี่”
เปโตรนิยาพูดอย่างสงบนิ่ง แต่เมื่อแพทริเซียได้ยินดังนั้น นางก็รู้สึกจุกในอกจนเผลอขึ้นเสียงใส่อีกฝ่าย
“ข้าเปลี่ยนไปแล้ว”
“ใช่ เจ้าเปลี่ยนไปแล้ว”
“ในทางที่ไม่ดีใช่หรือไม่”
“จะมองอย่างนั้นก็ได้ หรือจะมองอีกทางก็ได้”
“หมายความว่าอย่างไร”
น้ำเสียงที่สั่นเครือนั้นช่างน่าสงสาร เปโตรนิยารับรู้ได้ว่าแพทริเซียเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เพราะนางคือคนที่ผ่านความเป็นความตายมา หากไม่เปลี่ยนไปเลยสิแปลก เจ้าตัวเองก็ย่อมรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนั้น แต่ความจริงแล้วยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่นางไม่รู้
“ความจริงแล้วข้าก็ชอบที่เจ้าเปลี่ยนไปนะ เจ้าเข้มแข็งและหนักแน่นขึ้น”
“…”
“แต่ดูเหมือนเจ้าจะไม่ค่อยชอบมัน…หรือมิใช่?”
“…”
แพทริเซียนิ่วหน้า ที่ขอบตามีน้ำใสๆ มาคลอคล้ายจะทะลักออกมา เปโตรนิยาเห็นสีหน้านั้นก็พลอยรู้สึกอยากร้องไห้ไปด้วย หญิงสาวได้แต่บอกตัวเองซ้ำๆ ว่าอย่าร้องไห้ ถ้าแม้แต่นางยังร้องไปด้วย แล้วใครกันที่จะคอยปลอบใจเด็กน้อยผู้น่าสงสารคนนี้ เด็กที่มีจิตใจดีเช่นนี้ หากเห็นพี่สาวอย่างนางร้องไห้ก็คงจะมัวปลอบใจนางจนลืมไปว่าตัวเองก็กำลังร้องไห้อยู่เป็นแน่
เพราะฉะนั้น อย่าร้องออกมานะ เปโตรนิยา เจ้าทำให้เด็กคนนี้ร้องไห้มามากพอแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องเช็ดน้ำตาให้เด็กคนนี้บ้างแล้วมิใช่หรือไร
“ข้า…”
แพทริเซียจับโต๊ะแน่น พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ นางออกแรงมากเสียจนโต๊ะเหล็กสะเทือนเล็กน้อย หญิงสาวไม่สนใจแขนขาวเนียนที่ผอมบางจนเห็นกระดูก
“ใช่ จริงๆ แล้วข้าก็ไม่ชอบเลย” นางสารภาพออกมา
แพทริเซียไม่ใช่คนร้ายกาจโดยกำเนิด หลังจากที่เกิดมาแล้วนางก็ไม่ได้เป็นคนร้ายกาจแต่อย่างใด นางเงียบขรึม สุขุมและนุ่มนวลอ่อนโยนราวกับดอกหญ้า
หากไม่ต้องเข้าวังมาเป็นจักรพรรดินี นางก็คงจะใช้ชีวิตเหมือนดอกหญ้าไปจนวันตาย แต่แพทริเซียก็ตัดสินใจที่จะเดินไปบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยขวากหนามแทนพี่สาวด้วยการขึ้นเป็นจักรพรรดินี และการใช้ชีวิตเป็นดอกหญ้าบนเส้นทางเช่นนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้เลย
แม้กระนั้นแพทริเซียก็ยืนหยัดที่จะเป็นดอกไม้ให้ถึงที่สุด แต่สภาพแวดล้อมกลับไม่เป็นใจอยู่ร่ำไป บนเส้นทางขรุขระสายนั้น สายฝนโหมกระหน่ำสั่นคลอนราก สายลมโหมพัดฉีกทึ้งกลีบดอกไม้ ดอกไม้ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ท้ายที่สุดแล้วย่อมไม่หลงเหลือความงดงามและความบริสุทธิ์ใดๆ มีเพียงความสกปรกเลอะเทอะเท่านั้น
ดังนั้น นางจึงต้องกลายเป็นวัชพืชอย่างเลี่ยงไม่ได้ จะดอกกล้วยไม้สูงค่าหรือดอกกุหลาบแสนสวยล้วนไม่เหมาะกับสถานการณ์เช่นนี้ ยิ่งนางไม่ได้รับความรักจากจักรพรรดิยิ่งแล้วใหญ่ แต่หากเป็นโรสมอนด์ก็ไม่แน่
แต่ถึงอย่างไรนางก็เกลียดการเปลี่ยนแปลงที่เลี่ยงไม่ได้นี้ นางอยากจะมีชีวิตเป็นดอกไม้ไปตลอดกาล สูงส่ง เลอค่าและไม่ต้องพบเจอกับมรสุมใดๆ มีชีวิตอยู่ในวังอย่างสุขสบาย ไม่มีเรื่องอันใดให้ต้องพะวง ก่อนจะเข้าวังนางเคยคิดเช่นนั้น แต่ก็เช่นเคย การใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ย่อมไม่ง่ายและสะดวกดายดั่งใจนึก ที่น่าเศร้าคือเส้นทางที่นางเลือกลำบากยิ่งกว่านั้นเสียอีก
“ก่อนเข้าวังข้าไม่เคยนึกอยากจะสนใจเรื่องการเมืองเลย ข้าแค่อยากอาศัยอยู่ในมุมหนึ่งของที่นี่ ให้กำเนิดทายาทสักคน และอยู่อย่างไร้ตัวตนไปเรื่อยๆ”
แต่ขณะที่นางเฝ้าฝันถึงเรื่องนั้น นางก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าความฝันนั้นเป็นได้เพียงภาพลวงตา เมื่อนางตัดสินใจที่จะเป็นจักรพรรดินี ตัดสินใจที่จะครองบัลลังก์นี้ ความคิดเหล่านั้นล้วนไร้สาระและเห็นแก่ตัว
หากนางต้องการมีชีวิตเป็นดอกหญ้าไปตลอดกาล ต้องมีใครสักคนคอยบังพายุฝนที่โหมกระหน่ำให้นาง
“ตอนนี้ข้ากระจ่างแก่ใจแล้ว หากข้าทำเช่นนั้น ไม่เพียงแต่ข้า แต่ทุกคนที่มีความหมายกับข้าจะต้องเดือดร้อนไปด้วย”
แพทริเซียไม่ได้ร้องไห้คร่ำครวญหรือฟูมฟาย มีเพียงน้ำตาหนึ่งหยดไหลผ่านข้างแก้มเงียบๆ เท่านั้น ราวกับว่านั่นคือการปลอบโยนที่ดีที่สุดที่นางจะทำให้ตัวเองได้ เปโตรนิยาทั้งสงสารและรู้สึกผิดต่อน้องสาว
“…ขอโทษนะ”
หากนางได้เป็นจักรพรรดินีตั้งแต่แรก เรื่องราวจะเปลี่ยนไปหรือไม่ เหตุใดตัวนางในอดีตจึงโง่เขลาถึงเพียงนั้น เหตุใดนางจึงไม่ปฏิเสธน้ำใจของน้องสาวและพูดว่านางจะเป็นจักรพรรดินี คนที่เห็นแก่ตัวก็คือนางเอง
“เลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะ นิล ขอโทษกันไปกันมาเช่นนี้คงไม่จบไม่สิ้น”
แพทริเซียมีสีหน้าคล้ายปล่อยวางแล้วซึ่งทุกสิ่งพร้อมทั้งยิ้มให้เปโตรนิยา ไม่สิ บางทีนางอาจยอมจำนนแล้วก็เป็นได้ อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญคือนางไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว แน่นอนว่านางยังคงใจดี อ่อนโยน และงดงาม แต่นั่นก็เป็นเพียงเนื้อแท้ที่ยังคงหลงเหลืออยู่เท่านั้น เปลือกที่ห่อหุ้มสิ่งเหล่านั้นไว้ได้เปลี่ยนไปจนหมดสิ้นแล้ว
เปโตรนิยากลับคิดว่าการเปลี่ยนแปลงของแพทริเซียเป็นเรื่องที่ดี ส่วนความเวทนาที่ก่อตัวขึ้นในใจเพราะการเปลี่ยนแปลงนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เปโตรนิยาพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงเห็นด้วยกับคำพูดของอีกฝ่าย
“ถูกของเจ้า มัวแต่ขอโทษกันไปมาก็คงไม่มีวันจบสิ้น เราเลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะ”
“ใช่แล้ว เรามาอยู่กับปัจจุบันกันเถอะนะนิล เรื่องเสียใจภายหลังนั้น…เอาไว้หลังจากชนะศึกนี้ก็แล้วกัน ความเสียใจที่เกิดขึ้นหลังได้รับชัยชนะเป็นดั่งรอยแผลแห่งเกียรติยศ แต่ความเสียใจที่เกิดขึ้นหลังได้รับความพ่ายแพ้เป็นเพียงการแก้ตัวของผู้แพ้… เมื่อถึงวันที่เราได้กลับมาพูดคุยเรื่องนี้กันอีกครั้งในอนาคต ถ้ามันเป็นเรื่องราวของความกล้าหาญ มิใช่การแก้ตัวก็คงจะดีนะ”
“ข้าจะทำให้เป็นเช่นนั้นเอง ริซซี่”
น้ำเสียงของเปโตรนิยาแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่อ่อนโยน มันเป็นความแข็งแกร่งดั่งต้นอ้อที่นุ่มนวลแต่ไม่ซับซ้อน บอบบางแต่ยากจะหักงอ แพทริเซียรู้สึกได้ ไม่เพียงแต่นางเท่านั้น แต่พี่สาวของนางก็กำลังเปลี่ยนไปด้วยอย่างแน่นอน นางไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้ตัวหรือไม่ แต่นางมั่นใจว่านั่นต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี…ไม่เหมือนกับนาง หญิงสาวยิ้มเศร้าในใจก่อนจะพูดกับคนตรงหน้า
“แค่เจ้าพูดอย่างนั้นข้าก็ซึ้งใจแล้ว”
“เรื่องสร้างหลักฐานนั้นพูดง่ายแต่ทำได้ยาก ไม่มีอะไรมารับประกันว่ามันจะสำเร็จ ถ้าพลาดถูกจับได้ขึ้นมา ไม่เพียงแต่ต้องพบกับความอัปยศอดสู แต่เกียรติยศและอำนาจของเจ้าอาจถูกทำลายไปด้วย เจ้า…มั่นใจแล้วหรือ”
“ไม่ว่าจะมั่นใจหรือไม่ ข้าก็ต้องทำ นิล ข้าไม่มีทางเลือก อย่างน้อยก็ในตอนนี้”
“เจ้ามิได้อยู่คนเดียว มันจะต้องผ่านไปได้ด้วยดีแน่ เจ้าเชื่อใจดยุกวีเธอร์ฟอร์ดหรือไม่”
“ข้าอยากจะเชื่อใจเขา แต่ข้าตั้งใจว่าจะไม่เชื่อ”
“…อืม”
เปโตรนิยาพยักหน้าเบาๆ ให้กับคำพูดของแพทริเซีย จะเชื่อใจหรือไม่นั้นสำคัญด้วยหรือ หากเชื่อใจแล้วจะมีอะไรเปลี่ยน? หรือหากไม่เชื่อแล้วจะมีอะไรเปลี่ยน? ถึงอย่างไรความสัมพันธ์ของพวกเขาและพวกนางก็เป็นเพียงคนที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน ที่สำคัญคือชื่อเรียกของความสัมพันธ์นี้ไม่ค่อยจะงดงามนัก ต่างฝ่ายต่างสนองความคาดหวังของกันและกันเท่านั้น
“ข้าไม่ได้หัวดีเหมือนเจ้า เจ้าคงจะมาคาดหวังวิธีแก้ปัญหาดีๆ จากข้าไม่ได้ ‘โทษทีนะ”
ครั้นได้ฟังดังนั้นแพทริเซียก็ได้แต่ยิ้มน้อยๆ เปโตรนิยาคิดว่าตัวเองช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ หญิงสาวปฏิเสธคำพูดของอีกฝ่ายราวกับมันไม่ได้ใกล้เคียงความจริงเลยสักนิด
“ต่อให้ไม่เป็นเช่นนั้น เจ้าก็เป็นกำลังให้ข้าได้มากพอแล้ว เจ้าก็รู้นี่”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เอาเป็นว่าข้าก็อยากช่วยเจ้าในเรื่องนี้บ้าง แม้ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเพราะไม่มีหัวด้านนี้ก็เถอะ…”
“เอาเถอะน่า จะว่าไปขนมดั๊กกวซนี่อร่อยจัง เอาไปแบ่งพวกข้ารับใช้ด้วยน่าจะดีนะ”
“พวกนางน่าจะชิมไปคนละคำสองคำแล้วล่ะ ถ้าเจ้าชอบ ข้าจะไปสั่งห้องเครื่องไว้ว่าให้อบให้เจ้าอีก”
ครั้นพูดจบ เปโตรนิยาก็ลุกจากที่นั่งพร้อมกับจานเปล่าในมือ ขณะเดินไปที่ประตู นางก็ได้ยินเสียงของแพทริเซียดังไล่หลังมา
“ขอบคุณนะ ท่านพี่”
“…”
เปโตรนิยาคล้ายหายใจไม่ออกไปชั่วขณะ ไม่เลย ริซซี่ เจ้าอย่าพูดเช่นนั้นกับข้าเลย ข้าไม่มีสิทธิ์ฟังคำคำนั้นจากปากของเจ้า เพราะอาจเป็นข้าเองที่ทำให้เจ้าตกอยู่ในสภาพนี้
เปโตรนิยาไม่ได้เก็บซ่อนสายตาแสนเศร้า นางปล่อยให้น้ำตาหยดหนึ่งไหลริน โชคดีที่น้ำตาหยดนั้นหยดลงบนร่างของนาง หากน้องสาวของนางเห็นเข้าจะต้องวิ่งโร่เข้ามาหาด้วยสีหน้ากังวลเป็นแน่ ถึงนางจะบอกว่าตัวเองเปลี่ยนไปแล้วก็เถอะ แต่ที่สุดแล้วเนื้อแท้ของนางไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย เปโตรนิยาขยับปากอย่างยากเย็นและพูดออกไปเพียงหนึ่งคำ
“ไม่เป็นไร”
[1] ดั๊กกวซ (Dacquoise) คือเมอแรงค์ที่ทำจากถั่ว ส่วนใหญ่จะทำเป็นรูปวงกลมสลับชั้นกับคัสตาร์ดผสมแป้งหรือเพสทรีครีม (pastry cream), บัตเตอร์ครีม (buttercream) หรือ วิปครีม (whipped cream)
“เจ้าจะลงโทษนางอย่างไรก็ได้ เราอนุญาต แต่โปรดไว้ชีวิตนาง” เขาร้องขอ
“เห็นจะมิได้เพคะ ฝ่าบาท การลอบสังหารพระจักรพรรดิหรือเชื้อพระวงศ์นั้นมีโทษหนัก เป็นโทษที่ต้องลงทัณฑ์ด้วยการประหารชีวิต จะงดเว้นเพียงเพราะนางเป็นคนรักของพระจักรพรรดิได้อย่างไร”
“เรามิได้ห้ามมิให้ตัดสินโทษประหาร เจ้าจะทำให้นางกลายเป็นคนไร้ตัวตนบนโลกนี้ก็ย่อมได้ ขอเพียงไว้ชีวิตนาง”
“…”
“ขอร้องเถอะนะ จักรพรรดินี เจ้าอาจไม่เข้าใจแต่นางสำคัญกับเรามาก หากเจ้ายอมไว้ชีวิตนาง บุญคุณนี้เราจะไม่ลืมตลอดชีวิต”
“…ทำไมหรือเพคะ” แพทริเซียถามอย่างไม่เข้าใจ “เหตุใดนางจึงสำคัญต่อพระองค์ถึงเพียงนั้น นางเป็นอะไรสำหรับพระองค์กันแน่…!”
“เจ้าคงไม่เข้าใจ”
ขณะที่พูดประโยคนั้น สีหน้าของลูซิโอช่างดูเศร้าหมองเสียเหลือเกิน แพทริเซียรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าผู้ชายคนนี้คงไม่ยอมบอกอะไรนาง และความลับนั้นน่าจะใหญ่กว่าที่นางคิดไว้ นางพร้อมแล้วหรือที่จะรับรู้เรื่องนั้น?
“เพคะ ฝ่าบาท หากพระองค์ไม่ยอมบอกกล่าว ต่อให้หม่อมฉันตายแล้วเกิดใหม่ก็คงไม่มีวันเข้าใจหรอกเพคะ”
นางยังไม่อยากรับรู้ความจริงข้อนั้น ความอยากรู้และความไม่อยากรู้ของนางกำลังขัดแย้งกันเอง นางไม่สามารถอธิบายความรู้สึกวุ่นวายใจแปลกๆ นั้นได้ รอยยิ้มของแพทริเซียในตอนนี้ดูประหลาด
“ในเมื่อพระองค์กล่าวว่านางเป็นคนสำคัญ แล้วหม่อมฉันจะทำอย่างไรได้ ทว่า ชื่อของนางจะถูกบันทึกไว้ว่าเป็นผู้ที่ตายไปแล้ว ซึ่งหม่อมฉันก็ไม่รู้ว่านางจะต้องการชีวิตเช่นนั้นหรือไม่นะเพคะ” นางจำต้องพูดเช่นนี้
“สิ่งที่นางเลือกหลังจากนั้น เราไม่คิดจะเข้าไปแทรกแซง เพียงแต่…อย่างน้อยเราก็อยากจะเหลือทางเลือกไว้ให้นางบ้าง”
“ช่างเป็นความรักที่น่าเศร้าโดยแท้”
เขาเพียงแต่ยิ้มออกมาบางๆ แม้จะถูกแพทริเซียประชดประชันเช่นนั้น หญิงสาวเห็นดังนั้นก็รู้สึกโกรธขึ้นมาอีกครั้ง แต่แล้วรอยยิ้มของลูซิโอก็บิดเบี้ยวก่อนจะหายไปพร้อมกับเสียงไออย่างรุนแรง
“แค่กแค่ก!”
“ฝ่าบาท!”
สีหน้าเหม่อลอยของแพทริเซียพลันแปรเปลี่ยนเป็นตกใจขณะที่คว้าตัวลูซิโอไว้โดยอัตโนมัติ การกระทำนั้นลื่นไหลเป็นธรรมชาติจนทั้งเขาและนางไม่ทันรู้สึกตัว หญิงสาวรีบถามอีกฝ่ายด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“ทรงเป็นอะไรไปเพคะ หม่อมฉันเรียกหมอหลวงมาดีหรือไม่”
“ไม่ต้องหรอก แค่สำลักน่ะ เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”
“…”
แพทริเซียค่อยๆ ปล่อยมือจากตัวอีกฝ่าย อา อีกแล้ว… งี่เง่าจริงๆ เป็นอีกครั้งที่นางไม่สามารถควบคุมอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามาได้ หญิงสาวเผลอกัดริมฝีปาก หากเป็นเช่นนี้ ที่นางเปลี่ยนแปลงตัวเองก็ไม่มีความหมายอะไรเลยน่ะสิ
“ดูเหมือนหม่อมฉันจะมารบกวนพระองค์นานเกินไปแล้ว หม่อมฉันจะจัดการทุกอย่างให้พระองค์สามารถกลับมาทรงงานได้ทันทีในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย เช่นนั้น หม่อมฉันทูลลา…”
แพทริเซียคิดว่าตนต้องรีบอยู่ให้ห่างจากเขา น่าแปลกที่นางไม่สามารถจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้เมื่ออยู่กับผู้ชายคนนี้ แน่นอนว่าเป็นอารมณ์ในด้านลบ แพทริเซียกล่าวอำลาและรีบออกจากห้อง
นางออกเดินโดยไม่พูดไม่จาอีกครั้ง ในเมื่อจักรพรรดิฟื้นแล้ว อีกไม่นานนางก็ต้องลงจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่ก่อนที่เขาจะกลับมาทำงาน นางต้องจัดการงานเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมดให้เสร็จสิ้นจึงออกคำสั่งกับมีร์ยาด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า
“ในเมื่อพระจักรพรรดิทรงฟื้นแล้ว อีกไม่นานข้าคงต้องลงจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการฯ แต่ก่อนหน้านั้นข้าต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จสิ้นเสียก่อน”
“หม่อมฉันจะจัดการโดยมิให้เกิดความผิดพลาดเพคะ ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย”
“อืม…กำหนดการต่อไปคืออะไร”
“ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดขอเข้าเฝ้าเพคะ ฝ่าบาท เวลานี้น่าจะรออยู่ที่ห้องรับรองของตำหนักจักรพรรดินีแล้ว”
“ต้องรีบแล้วสิ”
แพทริเซียพึมพำออกมาสั้นๆ และเร่งฝีเท้า ผู้ที่รอนางอยู่หาใช่คนอื่นแต่เป็นดยุกวีเธอร์ฟอร์ด จะปล่อยให้รอได้อย่างไร แพทริเซียยังคงไม่ละทิ้งความสง่างามแม้ในยามที่ต้องสาวเท้าอย่างรวดเร็ว และมาถึงตำหนักของตัวเองในเวลาอันสั้น
เมื่อแพทริเซียไปที่ห้องรับรอง ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดกำลังนั่งจิบชาแดงที่ข้ารับใช้นำมาให้อยู่ที่โต๊ะซึ่งทำจากโลหะ ชาสีแดงนั้นดูเหมือนจะเป็นชาดาร์จีลิง นางส่งยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะกล่าวทักทายเขา
“พบกันอีกแล้วนะ ดยุก”
“ฝ่าบาท”
ครั้นเห็นแพทริเซีย ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดก็รีบลุกจากที่นั่งและทำความเคารพ
“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอให้จักรวรรดิจงมีแต่ความรุ่งเรือง”
“ลุกขึ้นเถิด ดยุกแห่งจักรวรรดิไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องนอบน้อมต่อเราถึงเพียงนี้”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ”
เขาตอบสั้นๆ และโค้งคำนับ เมื่อแพทริเซียนั่งลงเขาก็นั่งตามก่อนจะเอ่ยเข้าเรื่องทันทีโดยไม่เสียเวลาเกริ่นนำเหมือนยามสนทนาเรื่องทั่วไป
“ที่กระหม่อมมาพบพระองค์ในวันนี้ก็ด้วยเรื่องที่กระหม่อมกำลังสอบสวนอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“…อืม เราก็พอจะรู้แล้วว่าไม่มีความคืบหน้า”
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้เป็นดยุกคอตกอย่างหมดราศี สีหน้าของแพทริเซียไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลง เพราะนางเองก็พอจะรู้อยู่แล้ว
เดิมทีแพทริเซียได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าการจะเปิดเผยความจริงด้วยการสอบสวนเพียงอย่างเดียวนั้นเป็นเรื่องยาก แต่นางจะมาหงุดหงิดเพียงเพราะเรื่องนั้นก็ดูจะไร้สาระ แพทริเซียเอ่ยปากถามต่อไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“แต่ท่านคงมิได้มาหาเราเพียงเพื่อจะบอกเรื่องนั้นกระมัง ดยุกวีเธอร์ฟอร์ด เราคิดว่าท่านน่าจะมาหาเราด้วยเหตุผลอื่น หรือเราคิดไปเอง?”
“มิเป็นเช่นนั้นแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมมาเข้าเฝ้าเพราะมีเรื่องจะหารือ”
หารือ… แพทริเซียไตร่ตรองถึงคำพูดนั้น
หากเป็นเรื่องที่ดยุกวีเธอร์ฟอร์ด ‘ต้องการหารือ’ กับนางก็คงจะมีเพียงเรื่องเดียวคือเรื่องที่เกี่ยวกับการสืบสวนในคราวนี้ และการที่เขาต้องการปรึกษาอาจสื่อได้ว่าเรื่องที่เขากำลังจะพูดเป็นเรื่องที่ต้องการการเห็นชอบจากนางในระดับหนึ่ง แพทริเซียพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตด้วยสีหน้าเจือความอยากรู้อยากเห็น
“แต่ไหนแต่ไร หากไม่มีโทษก็เพียงแค่สร้างขึ้นมาก็เป็นอันใช้ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งเป็นเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ยิ่งง่ายดายนัก”
“ที่ท่านพูดมาก็ถูก แต่ดูเหมือนท่านดยุกจะมีใครในใจให้ป้ายสีแล้วกระมังจึงได้มาหาเรา ใช่หรือไม่?”
แพทริเซียถามพลางยิ้มบางๆ ตระกูลดยุกวีเธอร์ฟอร์ดเป็นอริกับตระกูลดยุกเอเฟรนีมาหลายต่อหลายรุ่น เพราะฉะนั้นคนที่อยู่ในใจเขาย่อมเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเอเฟรนีเป็นแน่ แพทริเซียคิดว่า ‘แต่หากเป็นโรสมอนด์ก็คงดี’ ในตอนนี้นางเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดมิใช่หรือ? ถ้าเพียงเขาเอ่ยชื่อนั้นออกมา แพทริเซียก็พร้อมจะผลักดันแผนการของตนให้ถึงที่สุด
“ดูเหมือนกระหม่อมจะปิดบังพระองค์ไม่ได้จริงๆ”
“เพราะสถานการณ์เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ ว่าแต่คนที่ท่านคิดไว้เป็นใครกัน”
“ท่านผู้สำเร็จราชการฯ ไม่สิ ฝ่าบาทต้องพอพระทัยเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ ‘ตัวละคร’ นี้เป็นคนที่ทุกคนต่างก็รู้จักดี”
“…”
เขาเปลี่ยนคำเรียก ใบหน้าของแพทริเซียเผยรอยยิ้ม คำพูดของเขาหมายความว่าตัวละครตัวนี้เป็นคนที่ตัวนางในฐานะจักรพรรดินีจะต้องพอใจ หาใช่ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เช่นนั้นก็มีเพียงคนเดียวมิใช่หรือ นางยิ้มระรื่นก่อนจะถามกลับไป
“ว่าแต่ทำไมกัน? เราไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดท่านจึงเลือกที่จะทำเช่นนี้ หรือนางมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลดยุกเอเฟรนี?”
สิ่งที่นางพอจะรู้มีเพียงเรื่องที่ในชาติก่อนโรสมอนด์และดัชเชสเอเฟรนีร่วมกันวางแผนร้ายเท่านั้น เป็นไปได้ว่าดยุกวีเธอร์ฟอร์ดอาจไม่รู้เรื่องนี้ด้วยซ้ำ ทว่า เหตุใดคนที่เขาหมายหัวจึงเป็นโรสมอนด์ มิใช่คนของตระกูลดยุกเอเฟรนี? แน่นอนว่าดยุกวีเธอร์ฟอร์ดย่อมเอื้อเฟื้อมอบคำตอบให้แก่แพทริเซียที่กำลังสงสัย
“หากลองพิจารณาเป็นสองทาง เรื่องนั้นก็เป็นไปได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร”
“ดยุกเอเฟรนีนั้นเรียกได้ว่าไม่ยอมรับในตัวพระองค์พ่ะย่ะค่ะ หากเขาต้องการรักษาอำนาจที่อยู่ในมือตอนนี้ เขาย่อมต้องพยายามผูกสัมพันธ์กับฝ่าบาทหรือไม่ก็บารอเนสเฟ็ลปส์ แต่ดูจากท่าทีของเขาที่มีต่อพระองค์แล้ว ดูเหมือนว่าสายสัมพันธ์นั้นจะไม่ได้มุ่งมาทางนี้ หากเป็นเช่นนั้นก็เหลืออีกเพียงทางเดียว หรืออย่างน้อยก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“…”
“ฝ่าบาททรงคิดว่ากระหม่อมคิดผิดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ หาได้เป็นเช่นนั้น ทว่า…”
แพทริเซียมีสีหน้าครุ่นคิดพลางลากเสียงท้ายอย่างลังเล ใช่แล้ว นางเองก็พอจะรู้อยู่บ้างว่าตระกูลดยุกเอเฟรนีไม่ค่อยพอใจในตัวนางสักเท่าไร ตั้งแต่ที่นางขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ อีกฝ่ายก็หาเรื่องมาโต้เถียงนางไม่จบไม่สิ้น คงไม่มีคนโง่เง่าที่ไหนที่มองการกระทำนั้นไม่ออก
แต่เพราะอะไรกันแน่? แพทริเซียนึกสงสัย นางไม่เคยเลือกปฏิบัติกับมหาเสนาบดีทั้งสามเลยสักครั้ง ทั้งยังพยายามปฏิบัติตัวต่อทุกคนอย่างเท่าเทียม และผลลัพธ์ที่ได้ก็คือไมตรีจิตจากตระกูลดยุกวีเธอร์ฟอร์ด และความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลดยุกวาเซียร์ซึ่งวางตัวเป็นกลางในทุกสถานการณ์
ทว่า มีเพียงดยุกเอเฟรนีเท่านั้นที่ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับนาง ไม่สิ จะบอกว่าเป็นปฏิปักษ์ก็ยังดูคลุมเครือ แต่อย่างน้อยก็คงยากที่จะมองว่าเป็นมิตร
แพทริเซียลองครุ่นคิดอย่างจริงจังถึงสาเหตุของเรื่องนี้ แต่เมื่อคิดเท่าไรก็ไม่ได้คำตอบนางจึงตัดสินใจเอ่ยปากถาม
“เราเพียงแต่สงสัยเท่านั้น เหตุใดพวกเขาจึงเกลียดเรา เท่าที่จำได้เราก็ไม่เคยไปทำอะไรให้พวกเขาเจ็บช้ำน้ำใจเสียหน่อย”
แพทริเซียรอคำตอบจากดยุกวีเธอร์ฟอร์ด และคำตอบที่ได้รับก็อยู่เหนือความคาดหมายของนาง
“ฝ่าบาท เหตุใดจึงคิดว่าปัญหาอยู่ที่พระองค์เล่าพ่ะย่ะค่ะ”
“…คะ?”
“เดิมทีการเมืองเป็นเรื่องที่ยากจะตัดสินด้วยความคิดเพียงสองด้าน โดยเฉพาะกับเรื่องเช่นนี้”
“…ว่าต่อไป”
“กระหม่อมรู้ว่าฝ่าบาททรงปฏิบัติต่อขุนนางทั้งหลายอย่างเท่าเทียม คงไม่มีขุนนางที่เข้าร่วมการประชุมคนใดไม่รับรู้ถึงเรื่องนี้”
“แล้ว?”
“เพราะฉะนั้นอย่างน้อยปัญหาก็มิได้อยู่ที่การปฏิบัติตัวของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ หากเป็นก่อนจะดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการฯ ไม่สิ ถ้าเป็นก่อนที่พระองค์จะเป็นพระจักรพรรดินีก็ไม่แน่ ทว่า ทุกคนต่างก็ทราบกันดีว่าพระองค์เป็นคนเงียบขรึม ตอนเป็นเลดี้ก็ใช้ชีวิตอย่างสามัญ ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะมองว่าปฏิกิริยาของพวกเขาเป็นผลมาจากการปฏิบัติตัวของพระองค์”
“ถ้าอย่างนั้นเหตุใดพวกเขาจึงไม่เลือกเรา?”
แม้ว่านี่จะไม่ใช่สิ่งที่ควรพูดต่อหน้าประมุขของตระกูลดยุกวีเธอร์ฟอร์ดซึ่งเป็นปรปักษ์กับตระกูลดยุกเอเฟรนี แต่นางสงสัยเหลือเกิน ทำไมกัน? อะไรกันแน่ที่เป็นสาเหตุให้พวกเขาไม่เลือกนาง เมื่อเอ่ยปากถามออกไปแล้ว หญิงสาวก็เฝ้าดูท่าทีของดยุกวีเธอร์ฟอร์ด ทว่า อีกฝ่ายเพียงแต่ยิ้มกว้างเท่านั้น
“เหตุผลนั้นทั้งฝ่าบาทและกระหม่อมมิอาจทราบได้พ่ะย่ะค่ะ คงมีเพียงประมุขของตระกูลนั้นที่ทราบ”
“…เป็นเช่นนั้น”
“แต่ที่แน่ชัดคือพวกเรามาไกลเกินกว่าจะย้อนกลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ข้ารับใช้จำนวนหนึ่งเมื่อเห็นแพทริเซียก็รีบทำความเคารพ แพทริเซียพยักหน้าให้พวกนางเบาๆ ก่อนจะเอ่ยปากถาม
“ข้างในมีใครอยู่บ้าง”
“พระจักรพรรดิกับหัวหน้าหมอหลวงเพคะ ฝ่าบาท”
แพทริเซียพยักหน้าน้อยๆ และออกคำสั่ง “กราบทูลที”
“ฝ่าบาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ขอเข้าเฝ้าเพคะ”
“ให้นางเข้ามา”
“เชิญเสด็จเพคะ”
ไม่นานประตูก็เปิดออก แพทริเซียเผลอสูดหายใจสั้นๆ จะตื่นเต้นกับเรื่องแค่นี้ทำไมกัน มันจะสักแค่ไหนเชียว แพทริเซียเดินเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าเรียบเฉย ต่อหน้าดวงตาทั้งสองข้างของนางปรากฏภาพของหัวหน้าหมอหลวง…และเขา แต่นางก็ยังคงก้าวเข้าไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เช่นเคย เมื่อหมอหลวงเห็นนางก็รีบถวายความเคารพทันที
“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอความสุขสวัสดิ์จงมีแด่จักรวรรดิ”
“ไม่จำเป็นต้องมากพิธี พระอาการของฝ่าบาทเป็นอย่างไร”
“กระหม่อมได้ตรวจดูไปเมื่อสักครู่ หากนอนพักฟื้นเช่นนี้ต่อไปอีกหนึ่งสัปดาห์ พระวรกายก็น่าจะกลับมาเป็นปกติ ไม่มีปัญหาอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านคงเหนื่อยมากแล้ว กลับไปได้แล้วล่ะ”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมทูลลา”
เมื่อหัวหน้าหมอหลวงออกจากห้องไป ในห้องก็เหลือสมาชิกอยู่เพียงสองคน แพทริเซียหันไปมองลูซิโอที่นั่งพิงหัวเตียงอยู่
อาจเป็นเพราะเขาตื่นขึ้นแล้ว ตอนนี้จึงดูไม่ซีดเซียวเหมือนตอนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง
ความรู้สึกที่พวยพุ่งขึ้นมาทำให้หญิงสาวกัดริมฝีปากอย่างแรง นี่เป็นสิ่งที่นางทำบ่อยๆ เมื่อต้องการระงับอารมณ์ความรู้สึก หลังจากสงบใจลงได้แล้ว นางก็เดินไปนั่งใกล้ๆ ลูซิโอ
“…”
อา ข้าควรจะพูดอะไรก่อนดี แพทริเซียจับต้นชนปลายไปถูก ข้าควรจะเริ่มพูดอะไรกับสายตาที่ว่างเปล่าของเขาดี
การบริหารจัดการงานของจักรวรรดิเป็นไปอย่างราบรื่นดี นางควรบอกเขาหรือไม่ว่าไม่ต้องกังวลในส่วนนั้น? นอกจากเรื่องนั้นแล้วก็ยังมีเรื่องที่ยังจับคนร้ายที่ทำเรื่องชั่วช้าในครั้งนี้ไม่ได้ เรื่องนั้นควรรายงานหรือไม่? และนอกจากเรื่องนั้น…
“หน้าตาดูซูบผอมทีเดียว”
“…”
ครั้นได้ฟังดังนั้น ความคิดต่างๆ ในหัวแพทริเซียก็แตกกระจายพร้อมกับเส้นความอดทนที่ขาดผึง หญิงสาวเกิดบันดาลโทสะพลั้งปากโต้กลับ
“นั่น…ใช่เรื่องที่ควรจะพูดตอนนี้หรือเพคะ”
“เราได้ยินเรื่องที่เจ้าต้องเป็นผู้สำเร็จราชการฯ มาจากพวกนางกำนัลแล้ว นั่นมิใช่เรื่องง่ายเลย เจ้าคงลำบาก…”
“พอ”
แพทริเซียตัดบทด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง นางรู้สึกเหมือนมีอะไรบ้างอย่างผิดเพี้ยนไปจนยากที่จะอดกลั้น เดิมทีตนเป็นคนที่ทำอะไรตามอารมณ์เช่นนี้หรือ? ถึงขนาดปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำจนกล้าตัดบทจักรพรรดิที่เพิ่งฟื้นขึ้นมา
แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ในเวลานี้ แม้แต่ตัวนางที่เปลี่ยนแปลงไปก็ไม่อาจอดทนอดกลั้นได้โดยง่าย นางรู้สึกเหมือนบางสิ่งที่คอยประคับประคองความคิดของนางอย่างยากลำบากได้หักสะบั้นลง
นั่นคือความรู้สึกสับสนที่มนุษย์มักรู้สึกเมื่อเรื่องไม่เป็นไปตามที่คิด
แน่นอนว่านางก็ไม่คาดคิดว่าสถานการณ์จะเป็นไปในรูปแบบนี้แต่มันก็เป็นไปแล้ว ตัวนางเอง…ก็ไม่คิดว่าจะเริ่มบทสนทนาด้วยถ้อยคำเช่นนี้…
“พอแค่นั้นเถอะเพคะ”
“…สีหน้าของเจ้าดูไม่ดีเลย แล้วก็…ดูเหมือนเจ้าจะเปลี่ยนไปมาก”
ทำพูดของเขาทำให้แพทริเซียยิ้มเศร้า เปลี่ยนไปมาก? ใช่แล้ว ข้าเปลี่ยนไปมาก เพราะในที่สุดคนโง่เขลาอย่างข้าตระหนักรู้แล้วว่า ชีวิตความเป็นอยู่ของจักรพรรดินีที่ไม่ได้รับความรักจากจักรพรรดินั้นทั้งคับแคบและด้อยค่าเพียงใด
ด้วยเหตุนั้นข้าจึงต้องเปลี่ยนไปอย่างช่วยไม่ได้ มิเช่นนั้นจะมีอะไรมารับประกันว่าข้าจะไม่ถูกกระทำเช่นนี้อีก?
“เพราะหม่อมฉันรู้แล้วเพคะ ว่าอำนาจของจักรพรรดินีที่ไม่ได้รับความรักจากจักรพรรดิมันตกต่ำได้มากเพียงใด” แพทริเซียตอบกลับเสียงห้วน
“…”
คำพูดนั้นทำให้ลูซิโอก็ถึงกับพูดไม่ออก แพทริเซียจึงรีบพูดต่อ
“…หม่อมฉันมิได้พูดเพื่อให้พระองค์หันมาสนใจหม่อมฉันหรอกเพคะ หม่อมฉันมิได้เปลี่ยนไปถึงขนาดพูดประชดประชันคนป่วยที่เพิ่งฟื้น”
“…อย่างนั้นหรือ”
“พระวรกาย…เป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
และคำพูดแรกที่นางเค้นออกมาได้คือประโยคนั้น ซึ่งมันทำให้ลูซิโออมยิ้มอย่างว่างเปล่า แพทริเซียรู้สึกสับสนเพราะสีหน้าของเขาดูซับซ้อนเกินบรรยาย ขณะที่นางกำลังสับสนอยู่นั้นลูซิโอก็ตอบคำถาม
“ลุกขึ้นมานั่งได้อย่างนี้ก็คงไม่เป็นไรแล้ว หมอหลวงเองก็กล่าวเช่นนั้น”
“…ทรงบุ่มบ่ามเกินไปนะเพคะ”
เมื่อหมดห่วงแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือคำตำหนิ ลูซิโอจ้องมองแพทริเซียที่กำลังต่อว่าตนอยู่
“จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิสละพระวรกายง่ายๆ เช่นนั้นได้อย่างไรเพคะ ทรงไม่คิดถึงเรื่องที่จะตามมาบ้างเลยหรือ”
น้ำเสียงที่คล้ายจะโกรธนั้นช่างน่าประทับใจนัก ผู้หญิงคนนี้เคยแสดงอารมณ์เช่นนี้ใส่ข้าสักครั้งไหมนะ? ไม่สิ อย่าว่าแต่ ‘อารมณ์เช่นนี้’ เลย ตั้งแต่ต้นนางเคยแสดงอารมณ์หรือไม่ข้าก็ไม่แน่ใจ นางทั้งไร้อารมณ์ สงบนิ่ง และดูราวกับไม่แยแสอะไรมาโดยตลอด ครั้งแรก…นี่น่าจะเป็นครั้งแรก
“เหตุใดพระองค์จึงขาดสติเช่นนั้นเพคะ”
เหตุใดนางจึงโกรธ? ว่ากันตามตรงแล้วเขาไม่เข้าใจอีกฝ่ายเลย ไม่ว่าเรื่องที่ตามมาจะเป็นอย่างไร แต่ที่นางยังมีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะเขามิใช่หรือ? นางควรจะดีใจสิ มิใช่มาโกรธ ลูซิโอถามกลับอย่างไม่เข้าใจ
“เหตุใดเจ้าจึงโกรธ”
แพทริเซียรู้สึกตกใจกับคำถามนั้น จากนั้นนางก็รู้สึกโกรธขึ้นมาอีกครั้ง
“พระองค์ตรัสเช่นนั้นได้อย่างไร ทรงคิดว่าหม่อมฉันจะชื่นชมหรือเพคะ”
“เราไม่คาดหวังว่าจะได้รับคำชม แต่ก็ไม่คิดว่าเจ้าจะโกรธ เพราะโดยปกติแล้วก็ไม่ควรโกรธผู้มีพระคุณมิใช่หรือ”
“หม่อมฉันพูดในฐานะผู้สำเร็จราชการฯ หาใช่ในฐานะจักรพรรดินี ทีนี้พระองค์เข้าใจหม่อมฉันหรือยังเพคะ”
“ที่เจ้าต่อว่าเราเพราะเจ้าไม่พอใจที่ต้องออกว่าราชการในฐานะผู้สำเร็จราชการฯ หรือ”
“…”
แพทริเซียคิดว่าบทสนทนากำลังเป็นไปในทิศทางที่แปลกๆ ทำไมเขาถสึงคิดว่านางโกรธเพราะเรื่องนั้น และที่สำคัญทำไมนางถึงโกรธ?
กับคนป่วยคนนี้ เมื่อไม่กี่วันก่อน ไม่สิ เมื่อวานนางยังภาวนาขอให้เขาฟื้นอยู่เลย ขอเพียงเขาฟื้นนางก็จะไม่โกรธ แพทริเซียพยายามพูดให้เป็นปกติที่สุดแม้ใจกำลังสับสนว้าวุ่น
“…มิใช่อย่างนั้นเพคะ”
“เช่นเจ้าโกรธด้วยเรื่องอันใด”
“เรื่องนั้น…!”
จู่ๆ แพทริเซียก็พูดไม่ออก นั่นสิ ทำไมนางถึงโกรธล่ะ นางไม่มีเรื่องที่ควรจะต้องโกรธเสียหน่อย
ต่อให้มีเหตุผลที่นางจะเป็นห่วงเขาก็ตาม แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกพิเศษกับเขาจนต้องเดือดเป็นฟืนเป็นไฟมิใช่หรือ
แม้แพทริเซียจะไม่รู้คำตอบ แต่นางต้องตอบคำถาม หญิงสาวค่อยๆ พูดคำตอบของตนออกไป
“หม่อมฉันเป็นห่วงเพคะ ฝ่าบาท”
“นั่นคือเหตุผลที่เจ้าโกรธหรือ”
“ไม่เพียงพอหรือเพคะ”
“ไม่พอ หากเจ้าไม่ได้รู้สึกอะไรกับเราจริงๆ หากเจ้าไม่ได้มองเราเป็นอื่นนอกจากจักรพรรดิ ต่อให้เจ้าเป็นห่วงเรา แต่เจ้าก็คงไม่โกรธ”
“…”
แพทริเซียไม่พูดอะไร
ต้องมีความรู้สึกพิเศษกับอีกฝ่ายเท่านั้นหรือจึงจะโกรธได้? ตัวนางรู้คำตอบนั้นดีแต่ไม่ได้ผลีผลามยอมรับมัน บางทีนั่นอาจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครั้งชั่วคราว นางค่อยๆ เรียบเรียงความคิดอย่างใจเย็นเพราะเดิมทีเหตุผลของความรู้สึกก็ไม่ใช่สิ่งที่อธิบายได้ง่ายๆ อยู่แล้ว
“หม่อมฉันไม่ชอบเป็นภาระของใครเพคะ”
“ภาระ”
“ยิ่งต้องติดหนี้ยิ่งไม่ชอบ หม่อมฉันคิดว่าเรื่องคราวนี้ทำให้หม่อมฉันติดหนี้พระองค์”
“…”
“ทรงคิดเสียว่าหม่อมฉันโกรธเพราะเรื่องนั้นแล้วกันเพคะ แน่นอนว่าเรื่องเป็นห่วงนั้นก็เป็นความจริง”
“เรื่องหนี้ที่เจ้าว่า เราจำได้ว่าเราพูดอย่างชัดเจนแล้ว”
“…”
“มิใช่หรือ”
ท่านบอกว่าท่านชดใช้สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันเลี้ยงต้อนรับภริยาคณะทูต อา ตอนนั้นข้ายังตกใจที่ท่านพูดคำนั้นออกมาอยู่เลย
มาลองคิดดูตอนนี้ก็พอจะเข้าใจได้ แต่นั่นก็ไม่ถึงกับต้องแลกด้วยชีวิตของจักรพรรดิกระมัง พูดอย่างไม่คิดคือเขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องใส่ใจเรื่องนั้นด้วยซ้ำ
แพทริเซียทำสีหน้าลำบากใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเผยความรู้สึกออกมาตรงๆ
“สถานการณ์นี้ทำหม่อมฉันสับสนยิ่งนัก”
“เราก็เช่นกัน เราไม่นึกว่าเจ้าจะโกรธเช่นนี้”
“เฮ้อ…”
แพทริเซียถอนหายใจออกมา เดิมทีนางไม่ได้คิดจะแสดงความโกรธออกมา แต่นางกลับทำตามอารมณ์มากเกินไปเสียแล้ว
หลังจากวันนั้นนางก็มั่นใจว่าตนจะไม่ทำตัวเช่นนี้อีก แต่ไฉนจู่ๆ จึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ แพทริเซียตีอกชกหัวตัวเองอยู่ในใจขณะเปลี่ยนเรื่องสนทนาด้วยสีหน้าอ่อนล้า
“ฝ่าบาทคงจะทราบแล้วว่าระหว่างที่พระองค์ทรงหมดสติ หม่อมฉันได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่แทนในฐานะที่เป็นจักรพรรดินี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเร่งด่วนหรือเรื่องเล็กน้อยหม่อมฉันได้จัดการแทนพระองค์ทั้งหมดแล้ว สำหรับประเด็นสำคัญที่ไม่ได้เร่งด่วนอะไร หม่อมฉันมิอาจตัดสินใจได้ตามอำเภอใจจึงได้เลื่อนออกไปก่อน แต่ก็มีไม่มากเพคะ หลังจากที่พระองค์กลับมาทรงงานได้ก็คงไม่ลำบากอะไร”
“…ลำบากเจ้าแล้ว”
“หม่อมฉันอยู่ตรงนี้ก็เพื่อสถานการณ์เช่นนี้เพคะ หากจะว่ากันตามจริงนี่ก็เป็นความผิดของหม่อมฉัน…”
“เรื่องนั้นมิใช่ความของเจ้า บางทีอาจเป็นความผิดของเราเอง”
“…หม่อมฉันยังจับคนร้ายไม่ได้เพคะ”
แพทริเซียอธิบายด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำลงเล็กน้อย “ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนผู้ต้องสงสัยทุกคนแต่ก็ไม่ง่าย อย่างที่ทรงทราบว่าคนพวกนั้นไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย”
“…บารอเนสเฟ็ลปส์ก็รวมอยู่ในนั้นด้วยหรือไม่”
“เป็นเช่นนั้นเพคะ”
เมื่ออีกฝ่ายถามถึงโรสมอนด์ อารมณ์บนใบหน้าของแพทริเซียก็หายไปในทันที นางไม่ยินดีที่จะสนทนาเรื่องผู้หญิงคนนั้นไม่ว่ากับใคร แม้คนผู้นั้นจะเป็นจักรพรรดิก็ตาม
“หม่อมฉันจะหาหลักฐานมาให้ได้เพคะ นางมิอาจหนีความผิดได้พ้น” แพทริเซียพูดอย่างไร้เมตตา
“…”
ลูซิโอมีสีหน้าเจ็บปวด หากว่ากันตามจริง แพทริเซียเองก็เข้าใจหัวอกของอีกฝ่าย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านางจะไม่ลงมือทำอะไร นางจะลงทัณฑ์โรสมอนด์ และแน่นอนว่าการลงทัณฑ์นั้นหมายรวมถึงชีวิตของฝ่ายนั้นด้วย
“ฝ่าบาทจะขัดขวางหรือเพคะ” หญิงสาวถามอีกฝ่าย
“เจ้าพูดถึงอะไร”
“เรื่องที่หม่อมฉันจะลงทัณฑ์บารอเนสเฟ็ลปส์ พระองค์…ทรงรักนางมิใช่หรือเพคะ”
“ตอนเด็กๆ เราเคยคิดนะว่าหากได้เป็นจักรพรรดิแล้วเราจะทำอะไรก็ได้ เพราะฉะนั้นเราจึงเอาแต่นับวันรอที่จะได้เป็นจักรพรรดิ”
“ก็เป็นเรื่องจริงมิใช่หรือเพคะ”
“ไม่เลย โลกนี้หามีอำนาจเบ็ดเสร็จที่ควบคุมได้ทุกสิ่งอย่าง หากใช้อำนาจเกินขอบเขตย่อมเกิดปัญหาตามมาในภายหลัง และหากเป็นเช่นนั้น อำนาจเบ็ดเสร็จก็จะถูกทำลายลงในที่สุด”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงขื่นขม แพทริเซียรู้สึกได้ถึงโทสะอันไร้ที่มาในน้ำเสียงของเขา แต่สีหน้าของนางก็ยังคงเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลงขณะที่เอ่ยปากถามต่อ
“เช่นนั้น แม้หม่อมฉันจะมอบกิโยตีนให้นางเป็นของขวัญ พระองค์ก็คงจะทำนิ่งเฉยได้กระมังเพคะ”
“จักรพรรดินี”
เขาเรียกนางอย่างอ่อนใจ แพทริเซียสงสัยเหลือเกินว่าเขาจะกล่าวอะไรต่อไปจึงพยักหน้าให้สัญญาณว่าตนฟังอยู่
“นี่คือแผนที่ที่แสดงพื้นที่ทั้งหมดของสนามล่าสัตว์เพคะ ฝ่าบาท เห็นตรงที่หม่อมฉันทำเครื่องหมายไว้หรือไม่”
จุดหนึ่งบนแผนถูกวงไว้ด้วยวงกลมสีแดง แพทริเซียจึงเอ่ยปากถาม
“มันคืออะไร”
“ทูลฝ่าบาท นี่คือเส้นทางอื่นที่สามารถเข้ามายังสนามล่าสัตว์ได้เพคะ พรรคพวกของหม่อมฉันต้องค้นหาแทบพลิกแผ่นดินกว่าจะพบ คนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางหาเจออย่างแน่นอน จึงไม่แปลกที่จะไม่มีใครรู้”
“ถ้าอย่างนั้น…พวกนักฆ่าลอบเข้ามาทางนี้หรือ”
ทันใดนั้นแพทริเซียก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะ โรสมอนด์รู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกันแน่? ไม่สิ พวกนักฆ่ารู้จักเส้นทางนี้ได้อย่างไร? ดูจากสภาพภูมิประเทศแล้ว ที่ตรงนี้ไม่น่าถูกค้นพบได้โดยง่าย เช่นนั้นก็หมายความว่าระหว่างโรสมอนด์กับพวกนักฆ่า ในบรรดาคนเหล่านี้ต้องมีสักคนที่รู้จักเส้นทางนี้… ปัญหาคือทั้งสองฝ่ายไม่มีใครยอมปริปากพูด อีกทั้งแพทริเซียไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกนักฆ่าหายไปไหนแล้ว
ยุ่งยากแล้วสิ แพทริเซียกุมหน้าผากอย่างปวดเศียรเวียนเกล้า นางรู้สึกว่าเรื่องชักจะไม่เป็นไปตามที่นางหวังเอาไว้เสียแล้ว
“เช่นนั้นการทำลายหลักฐานคงมิใช่เรื่องยาก เจ้านี่เก่งจริงๆ โรสมอนด์”
“ทว่า ฝ่าบาท มันไม่แปลกไปหน่อยหรือเพคะ ที่ตรงนี้พวกหม่อมฉันเองยังหาแทบไม่เจอ แล้วบารอเนสเฟ็ลปส์รู้ได้อย่างไรกัน”
“ข้าก็ว่าแปลก หากเป็นอย่างที่เจ้าพูดมาก็หมายความว่าอย่างน้อยนางต้องเคยเข้าออกเส้นทางนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง”
“หม่อมฉันก็สงสัยเช่นนั้นจึงสอบปากคำผู้ดูแลป่าทั้งหมดแล้วแต่ไม่พบคนเช่นนั้นเลยเพคะ เรื่องนี้จึงน่าสงสัยมากยิ่งขึ้น”
“อืม…”
แพทริเซียมีสีหน้าครุ่นคิด ถ้าอย่างนั้นโรสมอนด์รู้ได้อย่างไรกันแน่? นางใช้วิธีอะไร? เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ นอกเสียจากว่านางจะมีตาทิพย์ แพทริเซียครุ่นคิดอย่างหนักด้วยสีหน้างงงัน แต่สุดท้ายนางก็คิดอะไรไม่ออก หญิงสาวถอนหายใจในใจก่อนจะส่งราฟาเอลากลับไป
“เอาเป็นว่าเจ้าทำได้ดีมาก เดมราฟาเอลา หลายวันมานี้เห็นได้ชัดว่าเจ้าลำบากเพียงใด วันนี้เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ ราชองครักษ์คนอื่นๆ เองก็ทำหน้าที่ได้ดีมากพออยู่แล้ว”
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณเพคะ ฝ่าบาท”
ท่าทางราฟาเอลาจะเหนื่อยล้าจริงๆ เพราะนางออกจากห้องไปในทันที ทั้งที่ปกติแล้วนางจะบอกว่าไม่เป็นไรและคอยอยู่เคียงข้างตน แพทริเซียหลับตาลงด้วยสีหน้าอ่อนล้าพลางคิดทบทวนดูอีกครั้งว่าโรสมอนด์วางแผนการร้ายครั้งนี้ได้ ‘อย่างไร’
ผลการตรวจค้นถูกแจ้งไปยังทุกๆ ฝ่ายแล้ว เมื่อเหล่าขุนนางทราบเรื่องต่างก็มีสีหน้าลำบากใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่แน่นอน เพราะผลจากการตรากตรำของราฟาเอลาทำให้ทุกคนรู้ว่าเรื่องนี้คงไม่จบลงง่ายๆ แต่แพทริเซียก็ปรารภถึงเรื่องนั้นในที่ประชุมราวกับว่าไม่มีปัญหาใด
“นอกจากการตรวจค้นพื้นที่แล้วยังมีวิธีการตรวจสอบอีกหลายวิธี อันที่จริงตัวเราก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอหลักฐานในป่า ดยุกวีเธอร์ฟอร์ด การสอบสวนบารอเนสเฟ็ลปต์ได้ความว่าอย่างไร”
“กระหม่อมกำลังทำการสอบสวนทั้งบารอเนสรวมทั้งคนที่อยู่รอบตัวนางทั้งหมด ทว่า ตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้ามากนักพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท แต่กระหม่อมเชื่อว่าจะสามารถนำข่าวดีมาสู่พระองค์ได้ในเร็ววันแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดกลับมีสีหน้าเหนื่อยล้า
เมื่อเห็นดังนั้น แพทริเซียก็วาดนิ้วเป็นวงกลมเล็กๆ บนโต๊ะโดยไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปิดปากอีกครั้ง
“แม้จะใช้เวลานาน แต่ความจริงย่อมต้องปรากฏออกมาในที่สุด ทุกท่านคิดเช่นนั้นหรือไม่”
“ฝ่าบาท”
ในตอนนั้นเองคนผู้หนึ่งก็เอ่ยปากเรียก เมื่อแพทริเซียหันหน้าไปมองก็พบว่าเป็นดยุกเอเฟรนี ผู้ชายที่ช่วงนี้คอยแต่จะขัดขานางอยู่เสมอ แพทริเซียพยักหน้าเป็นสัญญาณให้เขาพูด เขาจึงพูดต่อ
“กระหม่อมรู้สึกว่าพระองค์กำลังยัดเยียดให้คนคนหนึ่งเป็นคนร้ายพ่ะย่ะค่ะ”
“…”
คำพูดประโยคเดียวทำให้บรรยากาศในที่ประชุมเย็นยะเยือก แพทริเซียหัวเราะออกมาราวกับได้ฟังเรื่องขบขัน นั่นก็มิผิด ตอนนี้นางกำลังเจาะจงว่าคนคนหนึ่งเป็นคนร้าย แต่นั่นก็เพราะนางแน่ใจว่าฝ่ายนั้นเป็นคนร้าย
อย่างไรก็ตาม แพทริเซียคิดว่าแม้ตนจะไม่ได้ยินจากพวกนักฆ่าว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนร้าย ตนก็จะยังคงทำเช่นเดียวกันนี้ หัวใจของแพทริเซียบอกว่าโรสมอนด์เป็นคนร้าย ยิ่งไปกว่านั้น หากมิใช่นางก็ไม่มีใครอื่นที่มีใจอาฆาตต่อตนอีกแล้ว
ทว่า มาถึงตอนนี้ แพทริเซียอยากจะไล่โรสมอนด์ออกไปให้พ้นๆ เสียเหลือเกิน
เพราะผู้หญิงคนนั้นพยายามอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้นเพื่อทำให้ตนถูกปลดจากตำแหน่งตั้งแต่ที่ตนก้าวเข้ามาอยู่ในพระราชวัง แพทริเซียคิดว่าเส้นวิจารณญาณของอีกฝ่ายคงจะเริ่มขาดทีละน้อยๆ ตั้งแต่เกิดเรื่องในวันงานเลี้ยงรับรองภริยาคณะทูต ก่อนจะมาขาดอย่างสิ้นเชิงในคราวนี้
อย่างไรก็ดี มาถึงตอนนี้จะตั้งสมมติฐานเช่นนั้นไปก็ไร้ประโยชน์
ไม่มีอะไรไร้ความหมายเท่ากับการตั้งข้อสันนิษฐานกับเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นและเรื่องที่จะไม่เกิดขึ้น แพทริเซียยิ้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นและถามกลับ
“ดยุก เหตุใดท่านจึงคิดเช่นนั้น”
“เรายังสามารถสอบสวนผู้อื่นได้นะพ่ะย่ะค่ะ การที่มาเจาะจงแต่คนที่อยู่ตำหนักเวนนั้น…”
“เราคาดหวังในตัวท่านเพราะรู้ว่าท่านทำงานในฐานะเจ้าหน้าที่สืบสวนมานาน แต่วันนี้ท่านทำลายความคาดหวังของเราจนหมดสิ้น”
แพทริเซียพูดตัดบทอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเย็นชา และจ้องเขม็งไปที่ดวงตาของดยุกเอเฟรนี
“ตามหลักการแล้วจะต้องเริ่มสืบสวนจากคนที่มีแรงจูงใจในการก่อเหตุก่อนมิใช่หรือ คนที่มันบังอาจลอบสังหารสุริยันและจันทราของจักรวรรดิแห่งนี้ คนที่มีแรงจูงใจเช่นนั้นจะมีใครอื่นอีกเล่า หรือเลดี้วาเซียร์ซึ่งพลาดตำแหน่งจักรพรรดินีจะทำตัวเป็นเด็กขี้อิจฉา? มิเช่นนั้นก็คงเป็นเราที่จัดฉากขึ้นมาเอง อย่างนั้นใช่หรือไม่?”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมเพียงแต่…”
“ดยุก เราจำได้ว่าเราได้พูดไปตั้งแต่ต้นว่าเราเกลียดการวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่มีข้อเสนออื่น ดยุกต้องการให้เราทำเช่นไรกันแน่ ไหนลองบอกแผนการของท่านมาสิ”
“…”
ไม่มีทางที่เขาจะมีแผนอื่น เพราะเขากำลังจะบอกให้สอบสวนทุกๆ คน ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่บ้าบอมาก ทั้งเสียเวลาและไร้ประโยชน์ การสอบสวนโดยไม่ระบุตัวผู้ต้องสงสัยให้แน่ชัดเป็นสิ่งที่สูญเปล่ามากที่สุด แพทริเซียว่ากล่าวอีกฝ่ายราวกับจะบอกเป็นนัยว่าอย่าคิดอะไรไร้สาระอีก
“หากท่านได้ตัวผู้ต้องสงสัยเพิ่มเติมก็พามาได้ทุกเมื่อ ดยุก เราย่อมต้องสอบสวนคนผู้นั้นเช่นเดียวกัน แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นคนที่มีสายเลือดเดียวกันกับเราก็ตาม”
“…”
“ดยุกวีเธอร์ฟอร์ด เราคงต้องรบกวนท่านเร่งการสอบสวนให้มีความคืบหน้ามากกว่านี้ด้วย เราควรจะจับคนร้ายตัวจริงให้ได้ก่อนที่ฝ่าบาทจะทรงฟื้นคืนพระสติมิใช่หรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมจะทำสุดความสามารถ”
เมื่อเรื่องราวคลี่คลายลงในระดับหนึ่ง แพทริเซียก็ค่อยๆ ปรับลมหายใจให้เป็นปกติก่อนจะพลิกหน้าเอกสารเพื่อข้ามไปยังเรื่องถัดไปซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับงานรำลึกวันสถาปนาจักรวรรดิที่กำลังจะเกิดขึ้น นี่เป็นงานของฝ่ายใน แพทริเซียจึงเอ่ยปาก
“อย่างที่ทุกท่านทราบว่าเมืองหลวงจะมีการจัดงานรำลึกวันสถาปนาจักรวรรดิในอีกราวๆ สองเดือนข้างหน้า งานที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ จะให้จักรพรรดินีเตรียมการคนเดียวคงจะหนักเกินไป ตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้วเลดี้ของฝ่ายในก็คงจะคอยช่วยเราอยู่แล้ว แต่ปัญหาเกี่ยวกับกลุ่มพ่อค้านั้นคงต้องขอความช่วยเหลือจากขุนนางของราชสำนัก มีใครใคร่จะอาสาหรือไม่”
“…”
ความเงียบดำเนินไปครู่ใหญ่ๆ ระหว่างที่ทุกคนกำลังคิดใคร่ครวญ แพทริเซียรอคอยอย่างอดทน ขณะที่นางใกล้จะเบื่อหน่ายกับการรอก็มีคนคนหนึ่งพูดขึ้นมา น้ำเสียงนั้นช่างคุ้นหู
“ฝ่าบาท จะทรงไว้วางพระทัยให้กระหม่อมได้ทำหน้าที่อันทรงเกียรตินั้นได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
นางเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจราวกับคาดไม่ถึง
“ดยุกเอเฟรนี”
“กระหม่อมน่าจะทำประโยชน์ให้ฝ่าบาทได้อย่างเต็มที่เพราะเดิมทีตระกูลของกระหม่อมก็เป็นตระกูลที่มีหน้าที่ดูแลกลุ่มพ่อค้าอยู่แล้ว หากทรงอนุญาต กระหม่อมจะทำอย่างสุดความสามารถ”
“อืม …”
ว่ากันตามจริง แพทริเซียตกใจเล็กน้อย เรื่องที่ดยุกเอเฟรนีไม่ชอบนางนั้นดูจากการประชุมตั้งแต่วันแรกจนถึงตอนนี้ก็พอจะเดาได้ เหตุใดจู่ๆ เขาถึงเสนอตัวช่วยเหลือนางกัน?
แพทริเซียสงสัยว่าดยุกเอเฟรนีกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่มีวิธีใดที่จะทำให้หยั่งรู้ได้ แพทริเซียครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยถามขุนนางคนอื่นๆ
“ท่านอื่นๆ เห็นเป็นเช่นไรกันบ้าง”
“ดยุกเอเฟรนีเป็นบุคคลที่โดดเด่นกว่าใครในด้านนี้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท การที่ทรงมอบความไว้วางพระทัยแก่ดยุกเอเฟรนีจะเป็นกระโยชน์ต่อทั้งราชวงศ์และฝ่ายในพ่ะย่ะค่ะ”
จิตใจของแพทริเซียถึงกับต้องหวั่นไหวเพราะคำพูดของดยุกวาเซียร์ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ถึงอย่างไรก็ไม่มีอาสาสมัครคนอื่นแล้ว ไม่มีเวลามาคิดอะไรให้มากความอีกต่อไป แพทริเซียพูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่านางเข้าใจสถานการณ์แล้ว
“เช่นนั้น งานนี้ดยุกเอเฟรนีช่วยเรา…”
ในตอนนั้นเอง คำพูดของแพทริเซียสะดุดลงเพราะประตูที่ถูกเปิดเข้ามาตามด้วยร่างของใครคนหนึ่ง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้แพทริเซียและทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างตกอกตกใจไปตามๆ กัน
แพทริเซียจ้องข้ารับใช้หนุ่มเขม็งขณะที่อีกฝ่ายหอบหายใจด้วยความเหนื่อย นางเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์
“เจ้ามีธุระอะไร”
“พระอาญามิพ้นเกล้า ฝ่าบาท กระหม่อมรีบร้อนเพราะมีเรื่องด่วน…”
“เข้าใจแล้ว มีอะไรก็ว่ามา เป็นเรื่องอันใด บารอเนสเฟ็ลปส์ยอมรับสารภาพแล้วหรืออย่างไร”
ข้ารับใช้ส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะพูดสิ่งที่ทำให้ทั้งห้องประชุมตกอยู่ในความเงียบ
“พระจักรพรรดิทรงฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“…”
เพียงคำพูดเดียวนี้ถึงกับทำให้ห้องประชุมที่มีเต็มไปด้วยผู้คนเงียบวังเวงราวกับป่าช้า มิใช่ว่าทุกคนไม่พอใจที่ลูซิโอฟื้นขึ้นมา พวกเขาเพียงแต่ตกใจกับข่าวดีเกี่ยวกับสุขภาพของจักรพรรดิที่หายหน้าไปเกือบหนึ่งเดือน คนที่ได้สติขึ้นมาคนแรกคือดยุกวาเซียร์
“ฝ่าบาท ขอแสดงความยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“…”
เมื่อได้ยินดังนั้นแพทริเซียก็ได้สติ นางกลบเกลื่อนสีหน้าตกใจก่อนจะยกเลิกการประชุม
“วันนี้พอเท่านี้ก่อนแล้วกัน เรื่องนี้ไว้คุยกันทีหลัง เชิญทุกท่านออกไปได้”
สิ้นคำพูดของแพทริเซีย เหล่าขุนนางก็ทยอยออกไปทีละคนสองคนจนเหลือแค่แพทริเซียคนเดียวที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม มีร์ยาเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ฝ่าบาท เป็นอะไรไปหรือเพคะ พระจักรพรรดิทรงฟื้นแล้ว ต้องรีบเสด็จแล้วนะเพคะ”
“…นั่นสินะ”
แพทริเซียพูดอย่างเหม่อลอยก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นจากที่นั่ง หลังจากออกจากห้องประชุม นางก็เริ่มก้าวเดินไปตามโถงทางเดิน
สายตาของนางดูคล้ายเด็กที่ไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไร คนอื่นๆ อาจไม่ทันสังเกตเห็น แต่คนผู้เดียวที่ดูแลนางมานานอย่างมีร์ยาย่อมรู้สึกได้จึงเอ่ยปากถาม
“ฝ่าบาท มีเรื่องอะไรหรือเพคะ”
ครั้นได้ยินคำถาม แพทริเซียที่ก้าวเดินอย่างเนิบช้าก็หยุดเดินและหันหน้ามามองอีกฝ่ายพลางถามกลับ
“หมายถึงข้าหรือ”
“เพคะ ฝ่าบาท”
“คำถามนั้นหมายความว่าอย่างไร”
“สีหน้าของพระองค์ดูไม่โสมนัสเลยเพคะ”
“…ระวังคำพูดด้วย”
แพทริเซียสวนกลับในทันที คำพูดของมีร์ยาเป็นคำพูดที่อันตราย ราวกับกำลังจะบอกว่าตนไม่ยินดีที่จักรพรรดิฟื้นขึ้นมาเพราะไม่ต้องการเสียตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไป
“ข้าจะไม่ยินดีด้วยเหตุอันใด”
“…ขอประทานอภัยเพคะ”
ได้ยินดังนั้นมีร์ยาก็รู้ตัวว่าตนทำพลาดไปจึงรีบขอโทษและพูดต่อ “หม่อมฉันเพียงแต่…เห็นสีพระพักตร์ของพระองค์ดูเศร้าหมองไม่เหมือนเคยจึงทูลถามเท่านั้น โปรดประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ ฝ่าบาท”
“…ต่อไปช่วยระวังด้วย”
แพทริเซียพูดสั้นๆ ก่อนจะออกเดินต่อ นางก้าวเร็วกว่าเมื่อครู่อย่างเห็นได้ชัดราวกับมีปฏิกิริยากับคำพูดของมีร์ยา แต่ไม่นาน เมื่อใกล้จะถึงห้องพักของลูซิโอ ฝีเท้าของหญิงสาวก็ช้าลง
มีร์ยาสังเกตเห็นท่าทางนั้นแต่นางก็จำสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ได้ จึงไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ร้ายกาจเสียจริง ไม่สิ หรือเราต้องชมว่าหลักแหลมล่ะ?”
“หม่อมฉันเป็นผู้บริสุทธิ์เพคะ ฝ่าบาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จับคนไม่มีความผิดมากักขังเช่นนี้ได้หรือเพคะ”
“แม้ไม่มีหลักฐานว่าเจ้ากระทำผิด แต่ก็ไม่มีหลักฐานว่าเจ้ามิได้กระทำผิดเช่นกัน เราได้แต่นึกเสียดายที่คำพูดของเรามิอาจใช้เป็นหลักฐานได้ ตอนนั้นเราน่าจะจำหน้าเจ้าคนที่พูดเอาไว้เสียหน่อย”
แพทริเซียพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ส่วนโรสมอนด์มีสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องด้วยตัวนางเองก็รู้ดี
แม้จะเป็นจักรพรรดินี แต่หากไม่มีหลักฐานแน่ชัดก็ไม่สามารถลงโทษประชาชนที่ยังพิสูจน์ความผิดไม่ได้ ต่อให้ความผิดนั้นเป็นความผิดฐานลอบปลงพระชนม์จักรพรรดิก็ตาม แพทริเซียครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเรียกชื่ออีกฝ่าย
“โรสมอนด์ แมรี ลา เฟ็ลปส์”
“เพคะ ฝ่าบาท?”
“ดูเหมือนเจ้าจะยังมั่นใจอยู่ได้เพราะตอนนี้ยังไม่มีหลักฐาน แต่เจ้าไม่คิดว่าตัวเองชะล่าใจไปหน่อยหรือ?”
“พระองค์ทรงหมายความว่ากระไร”
“สาวใช้ของเจ้ากำลังถูกสอบสวนอยู่ที่ห้องข้างๆ แม้ตอนนี้จะยังไม่ถึงขั้นใช้วิธีทรมาน… แต่ใครจะรู้ หากเรื่องยังไม่คืบหน้าเช่นนี้ เราเองก็กำลังใคร่ครวญอยู่ว่าควรจะใช้เริ่มการทรมานเลยดีหรือไม่ เพราะนั่นเป็นวิธีที่แน่นอนที่สุด จริงไหม?”
แน่นอนพอๆ กับความโหดเหี้ยมของมัน แพทริเซียยิ้มกว้าง โรสมอนด์หน้าตึงไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาราวกับไม่ได้รู้สึกอะไร
“อา หากเป็นเช่นนั้น นางก็คงจะยอมรับผิดทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำผิดกระมังเพคะ”
“จะเป็นเช่นนั้นหรือ ใช่แล้ว เราต้องทำถึงขั้นนั้นเชียวหรือ?”
แพทริเซียหัวเราะอย่างเป็นธรรมชาติพลางลูบผมของตนที่ดีดออกมา แล้วพูดต่อด้วยโทนเสียงต่ำ
“เราต้องจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก่อนที่ฝ่าบาทจะฟื้นเพื่อสร้างความปีติยินดีให้แก่พระองค์ จริงไหม? เมื่อทรงฟื้นขึ้นมาก็พบว่าคนร้ายลอบปลงพระชนม์ได้ตายไปแล้ว อา ช่างเป็นฉากความสุขที่สมบูรณ์แบบเสียนี่กระไร”
“ต่อให้ต้องป้ายความผิดให้ใครสักคนอย่างนั้นหรือเพคะ”
“เรื่องนั้นฝ่าบาทจะทรงทราบได้อย่างไรเล่า บารอเนส พระองค์จะไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น”
แน่นอนว่าหากเรื่องเป็นไปในทิศทางนั้น เขาย่อมรู้ แต่ต่อให้เขาจะเกลียดชังนางเพียงใด เขาก็มิอาจทัดทานอะไรได้
อย่างน้อยจักรพรรดินีก็มีอำนาจเช่นนั้น แพทริเซียเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมาจึงย้ำกับโรสมอนด์
“เราหวังว่าเจ้าจะยอมรับสารภาพในเร็ววัน บารอเนสเฟ็ลปส์ ขณะนี้เหล่าอัศวินกำลังพลิกแผ่นดินตรวจค้นทั่วสนามล่าสัตว์ หากเจอหลักฐานที่แน่ชัดเข้าล่ะก็ ถึงตอนนั้นคงไม่ใช่แค่หายนะธรรมดาเป็นแน่ แต่หากเจ้ายอมสารภาพ เราก็จะรักษามารยาทและยอมปล่อยเจ้าไปในฐานะหญิงคนรักของพระจักรพรรดิ”
โรสมอนด์ที่ยืนฟังอย่างนิ่งเฉยมาครู่หนึ่งถ่มน้ำลายใส่หน้าแพทริเซีย นั่นทำให้สีหน้าของแพทริเซียบิดเบี้ยวในทันใดจนดูน่ากลัว แต่นางก็ยังรักษาความสุขุมเอาไว้ได้และกล่าวพลางหัวเราะกับโรสมอนด์
“ตายจริง ต่อให้พ้นผิดจากเรื่องนั้น แต่เจ้าอาจต้องเข้าคุกโทษฐานดูหมิ่นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เสียกระมัง”
“หม่อมฉันก็อยู่ในคุกแล้วมิใช่หรือเพคะ ฝ่าบาท สถานการณ์ของหม่อมฉันคงไม่แย่ไปกว่าตอนนี้หรอกกระมัง อาศัยจังหวะที่พระจักรพรรดิทรงยังไม่ได้พระสติมาเอาคืนอนุภรรยาอย่างหม่อมฉันเช่นนี้… หรือว่าพระองค์ทรงเล็งโอกาสนี้ไว้? เช่นนั้นคนที่ควรถูกสอบสวนคงมิใช่หม่อมฉัน…”
เพี้ยะ!
ในตอนนั้นเอง แพทริเซียมิอาจเอาชนะความโกรธได้อีกต่อไป นางเงื้อมือตบโรสมอนด์สุดแรง เดิมทีนางพยายามควบคุมอารมณ์มิให้หุนหันพลันแล่น อีกทั้งช่วงนี้ก็มิได้มีเรื่องอะไรให้หงุดหงิดใจมากนัก แต่คำพูดของโรสมอนด์เท่านั้นที่แพทริเซียไม่สามารถทนได้จริงๆ
นางจะไม่ทนอีกต่อไป แพทริเซียเขม้นมองโรสมอนด์ด้วยสายตาเย็นเยียบและกล่าว
“ระวังปากด้วย เจ้ากล้าดีอย่างไรจึงมาเล่นลิ้นกับเราเช่นนี้ คิดว่าเราไม่กล้าทำอะไรเจ้าหรือ”
“…”
โรสมอนด์เขม้นมองแพทริเซียกลับด้วยสีหน้านิ่งสนิทไม่แสดงอารมณ์และไม่ปริปากพูดอะไร
แพทริเซียอดขนลุกไม่ได้ แผนการต่อไปของโรสมอนด์อยู่เหนือการคาดเดาของนาง แต่นางไม่กลัว นางคิดว่าตนเพียงแต่ตกใจที่ได้พบกับสิ่งที่ไม่คาดคิดเท่านั้น หญิงสาวพูดต่อไป
“คิดคำสั่งเสียไว้เสียก็ดี ดูเหมือนไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็จะไม่เปิดปาก ใช่หรือไม่?”
“…”
โรสมอนด์ยังคงจ้องแพทริเซียด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ตอนนี้แพทริเซียไม่คิดถึงเรื่องอื่นใด มีเพียงความรู้สึกเข็ดขยาดเท่านั้น นี่อีกฝ่ายอยากได้ตำแหน่งจักรพรรดินีบ้าๆ นี่ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ถึงได้คอยวางแผนยุ่งยากน่ารำคาญอยู่เรื่อย? หากตำแหน่งนี้ได้มาจากความเพียรพยายามล่ะก็ ฝ่ายนั้นคงได้ตำแหน่งนี้ไปครองแล้ว
แพทริเซียไม่ซ่อนสายตาเย็นชาและเดินออกจากห้องสอบสวนไปทั้งอย่างนั้น การอยู่ที่นี่ในช่วงเวลาที่ยุ่งจนแทบไม่ได้ลืมหูลืมตาเช่นนี้รังแต่จะเป็นการเอาเวลามาทิ้งเท่านั้น
ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดมองแพทริเซียที่เดินออกมาจากห้องด้วยสายตาห่วงใย ท่าทางเขาจะได้ยินเสียงที่นางลงไม้ลงมือกับโรสมอนด์ เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงประหม่า
“ฝ่าบาท ข้างในเกิดอะไรขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“…”
แพทริเซียเพียงแต่มองดยุกวีเธอร์ฟอร์ดโดยไม่พูดอะไรก่อนจะเฉไฉไปพูดเรื่องอื่น
“สอบสวนคนร้ายให้ดี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องทำให้นางเปิดปากให้จงได้”
“…พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดค้อมศีรษะทำความเคารพ จากนั้นหญิงสาวก็เดินจากมาพร้อมกับสายตาที่เย็นชา แพทริเซียรู้สึกคล้ายกับมีหนามเล็กๆ มากมายกำลังแย่งกันทิ่มแทงศีรษะ เป็นความรู้สึกโกรธจนตัวสั่น
แพทริเซียคำรามออกมาเบาๆ ไม่ว่าโรสมอนด์จะมีปฏิกิริยาอย่างไร แต่ตัวตนของนางก็ทำให้แพทริเซียเครียดได้เสมอ จะว่าไปแล้ว ยิ่งในสถานการณ์เช่นนี้ยิ่งแล้วใหญ่
***
“พระอาการของฝ่าบาทยังไม่ดีขึ้นเลยหรือ”
“ฟังว่าเป็นเช่นนั้นเพคะ ฝ่าบาท”
ครั้นได้ยินคำตอบจากมีร์ยา แพทริเซียก็ไม่พูดอะไรอีก แต่มีร์ยากลับเอ่ยถามขึ้นขณะที่แพทริเซียกำลังจะก้าวเข้าสู่เขตตำหนักกลาง
“ฝ่าบาท ไม่ไปที่ตำหนักกลางหน่อยหรือเพคะ”
“ไยต้องไป”
แพทริเซียถามกลับห้วนๆ ก่อนจะปิดปากสนิท คำพูดของนางดูอกตัญญูเกินไปหรือไม่? ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เสี่ยงตายเพื่อปกป้องนาง แพทริเซียถอนหายใจสั้นๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินไปทางตำหนักกลางโดยไม่พูดอะไร นี่เป็นเพียงการเยี่ยมไข้ธรรมดาๆ เท่านั้น
ข้ารับใช้ของตำหนักกลางดูตกใจกับการปรากฏตัวของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ช่างน่าขันที่ปฏิกิริยาเช่นนี้เกิดขึ้นกับการที่จักรพรรดินีเสด็จมาหาจักรพรรดิ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วนั่นเป็นเรื่องที่สมควร
เรื่องที่สามีภรรยาคู่นี้ไม่ค่อยลงรอยกันย่อมรู้มาถึงตำหนักกลางแล้ว อย่างไรก็ตาม เรื่องที่จักรพรรดิมอบใจให้โรสมอนด์เองก็เปิดเผยออกมาจนหมดสิ้นแล้วเช่นกัน
“พระจักรพรรดิประทับอยู่ด้านในหรือ”
“เพคะ ฝ่าบาท ทรงมีเรื่องอันใดหรือเพคะ”
“เรามาดูพระอาการ ขอเข้าไปได้หรือไม่”
“ได้เพคะ”
นางกำนัลเคารพอย่างนอบน้อมพร้อมเปิดประตูให้ แพทริเซียคิดตั้งมั่นในใจว่าตนจะพยายามไม่คิดอะไร ก่อนจะก้าวเข้าไปในห้อง แต่นางก็ไม่สามารถห้ามความคิดที่เอ่อล้นออกมาได้ แพทริเซียถอนหายใจด้วยความอึดอัดก่อนจะหลุดเสียงพึมพำออกมา
“อย่างไรก็ดี…ไม่แปลกที่ข้าจะเป็นห่วง”
แพทริเซียค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย ภาพที่เขานอนนิ่งราวกับคนตายนั้นไม่ต่างไปจากตอนที่อยู่ในถ้ำแม้แต่น้อย เขากำลังฝันเรื่องอะไรอยู่? ที่ยังไม่ตื่นขึ้นมาเพราะเขากำลังหลงทางอยู่ในความฝันนั้นหรือ?
ทำให้คนเขาเป็นห่วงโดยใช่เหตุ ทำให้คนเขาต้องมาหาโดยใช่เหตุ
แพทริเซียถอนหายใจออกมา ได้โปรด ท่านรีบตื่นขึ้นมาเถิด อย่าทำให้คนเขาต้องเป็นห่วง อย่าทำให้ข้ายุ่งวุ่นวายด้วย แพทริเซียมองไปทั่วร่างของลูซิโอด้วยสายตาครุ่นคิด เขาดูผอมลงไปอีกแล้ว
ท่านมารับลูกศรแทนข้าทำไมกัน
ท่านรับลูกศรอาบยาพิษนั้นเพราะความรู้สึกผิดที่มีต่อข้าจริงๆ หรือ? จักรพรรดิของจักรวรรดิจะทำอะไรขาดสติเช่นนั้น? แพทริเซียยิ้มเยาะออกมา ทันใดนั้นนางก็ลุกพรวดขึ้นจากที่นั่ง ขืนอยู่ที่นี่ต่อไปต้องรู้สึกเหมือนเมื่อครู่นี้เป็นแน่
แพทริเซียเดินเนิบๆ ออกไปโดยไม่หันหลังกลับ ทว่า กลับมีความรู้สึกบางอย่างคอยขัดขวางแต่ละย่างก้าวนั้น มันคืออะไรกันนะ
แพทริเซียไม่นึกสงสัย ไม่สิ ต้องบอกว่านางตั้งใจว่าจะไม่สงสัย สงสัยไปแล้วจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงล่ะ
มีคนที่สามารถให้คำตอบที่ถูกต้องได้อย่างนั้นหรือ? ด้วยเหตุนั้นจึงไม่ควรเก็บคำถามที่ไร้คำตอบไว้ในใจตั้งแต่ต้น เพราะคนที่จะทรมานก็คือตัวนางเอง
แพทริเซียสลัดเยื่อใยทั้งหมดทิ้งไปและก้าวเดินต่อ เมื่อออกมาข้างนอกหญิงสาวก็รู้สึกได้ว่าข้ารับใช้กำลังมองมาเป็นเชิงถามว่า เหตุใดจึงออกมาเร็วนัก แต่นางไม่ได้สนใจ เพียงแต่กล่าวขอบคุณสั้นๆ ที่ช่วยดูแลจักรพรรดิเท่านั้น
แพทริเซียก้าวขาออกเดินอีกครั้งโดยทิ้งความรู้สึกอ่อนไหวมายาที่เกิดขึ้นสั้นๆ ณ ที่นี้ไว้เบื้องหลัง เพราะตอนนี้ได้เวลาคลานกลับไปสู่ความจริงอันโหดร้ายและซับซ้อนแล้ว…
***
งานของราชสำนักและงานของฝ่ายในไม่ได้ต่างกันมากนัก แต่เมื่อต้องทำงานทั้งสองพร้อมๆ กัน ความเหนื่อยยากจึงเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว
แต่ถึงกระนั้น นางก็มีแต่ต้องทำเท่านั้น นี่มิใช่งานที่นางทำเพราะอยากทำ และมิใช่งานที่นางต้องพยายามทำให้ดี เป็นเพียงงานที่นางต้องทำ แม้ไม่เคยสัมผัสกับผลลัพธ์ของการไม่ทำงานเหล่านั้น แต่แพทริเซียก็พอจะเดาได้
ด้วยเหตุนั้นรอยคล้ำใต้ตาของหญิงสาวจึงไม่ยอมหายไปไหน แววตาของนางเหม่อลอยตลอดเวลาเพราะนอนไม่พอ ส่วนมุมปากก็คว่ำลงและคงอยู่เช่นนั้น
เปโตรนิยาและคนรอบตัวต่างก็เป็นห่วงแพทริเซีย แต่ก็ไม่สามารถห้ามไม่ให้ฝ่ายนั้นทำงานได้ เพราะพวกนางต่างรู้ดีว่าหากแพทริเซียทำงานไม่ดีจะเกิดผลอะไรตามมา
แพทริเซียเขี่ยมุมกระดาษที่เปื่อยแสนเปื่อยเล่นไปพลางอ่านเอกสารเกี่ยวกับการช่วยเหลือทางด้านการเงินเพิ่มเติมให้กับราษฎรที่ยากไร้ในปีนี้ ในตอนนั้นเองราฟาเอลาก็เข้ามา แพทริเซียปิดเอกสารลงทันที
“เดมราฟาเอลา”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันกลับมาแล้วเพคะ”
ไม่เจอกันแค่ไม่กี่วันแต่อีกฝ่ายดูซูบลงไปมาก ท่าทางการตรวจค้นสนามล่าสัตว์ที่ใช้เวลาเนิ่นนานจะไม่เสียเปล่า แวบหนึ่งแพทริเซียรู้สึกสงสารราฟาเอลาขึ้นมา แต่นางก็สงบสติอารมณ์ก่อนจะถามออกไป
“เห็นเจ้าไม่ส่งข่าวมา ข้าวุ่นวายใจทีเดียว เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“ขอประทานอภัยเพคะ ฝ่าบาท”
นางทำสีหน้าคล้ายไม่มีอะไรจะแก้ตัวก่อนจะรายงานต่อไป
“หม่อมฉันได้ตรวจค้นทุกตารางนิ้วแม้แต่มดสักตัวก็ไม่ปล่อยให้หลุดรอดสายตาเพื่อหาสิ่งที่พอจะเป็นเบาะแส ทว่า… พระอาญามิพ้นเกล้า ไม่มีสิ่งใดพอจะเป็นหลักฐานที่แน่ชัดได้เลยเพคะ ราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน”
“เป็นไปไม่ได้” แพทริเซียส่ายหน้า “ถ้าอย่างนั้นพวกนักฆ่าเข้ามาในสนามล่าสัตว์ได้อย่างไรกัน เจ้าเองก็น่าจะรู้ หากจะเข้าไปในสนามล่าสัตว์ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องผ่านจุดที่พวกเราเข้าไปในตอนแรก ด้วยเหตุนั้น ป่านั่นจึงถูกเลือกใช้เป็นสนามล่าสัตว์มิใช่หรือ”
“เป็นเช่นนั้นเพคะ ฝ่าบาท พระองค์รับสั่งถูกต้องแล้ว ทว่า…”
ราฟาเอลาหน้าเสีย นางกัดริมฝีปากก่อนจะยื่นอะไรบางอย่างให้แพทริเซีย มันคือแผนที่ แพทริเซียรับสิ่งนั้นมาก่อนจะถามด้วยความสงสัย
“นี่คืออะไร”
แม้ว่าแพทริเซียไม่ได้รู้สึกพิศวาสอะไรในตัวดยุกเอเฟรนี แต่นางก็คาดหวังว่าอย่างน้อยเขาน่าจะมีความฉลาดและความสุขุมสมกับที่เป็นประมุขตระกูลดยุกซึ่งเป็นเสาหลักค้ำจุนจักรวรรดินี้ แต่ตอนนี้ความคาดหวังของแพทริเซียกำลังสั่นคลอน
เป็นเพียงการคิดต่างเท่านั้นหรือ? แพทริเซียลองใคร่ครวญถึงสถานการณ์ทางการเมืองในจักรวรรดิมาวินอสอย่างรวดเร็ว จักรพรรดิในตอนนี้เป็นโอรสหนึ่งเดียวของจักรพรรดิองค์ก่อน และไม่มีทายาทอื่นใด หากลูซิโอไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย ราชบัลลังค์ก็จะตกไปอยู่ที่ญาติพี่น้องคนใดคนหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ว่าลูซิโอเป็นผู้สืบราชบัลลังก์สายตรงเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ ประกอบกับการที่เขาเป็นโอรสหนึ่งเดียวของจักรพรรดิองค์ก่อน ทำให้เขามีความชอบธรรมในการสืบราชสันตติวงศ์ และความชอบธรรมนั้นหมายรวมถึงอำนาจของกษัตริย์ ด้วยอำนาจนั้น เขาจึงอยู่เหนือเหล่าขุนนาง และปกครองจักรวรรดิมาโดยไม่ได้รับรู้หรือเข้าใจถึงกรอบความคิดของคู่แข่งทางการเมือง และการที่เรื่องนั้นเพิ่งจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในตอนที่แพทริเซียขึ้นมาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นับว่าน่าแปลกนัก
ดังนั้น หากจะมองว่าดยุกเอเฟรนีเป็นคู่แข่งทางการเมืองของจักรพรรดิ เขาจึงต่อต้านนางซึ่งเป็นจักรพรรดินีและเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของจักรพรรดิก็ดูจะแปลกอยู่เล็กน้อย
เช่นนั้นเป็นเพราะอะไรกันแน่? แพทริเซียคิด ก่อนจะรู้สึกว่าตนด่วนสรุปมากเกินไปจึงหยุดคิดโดยพลัน
แพทริเซียคิดว่าตอนนี้ตนอ่อนไหวมากเกินไปซึ่งนั่นอาจทำให้ตนอนุมานเรื่องต่างๆ ได้ไม่เต็มที่
ยังเร็วเกินไปที่จะกล่าวอ้างว่าใครคนหนึ่งเป็นคู่แข่งทางการเมืองเพียงเพราะเขาพูดขัดคอขึ้นมาครั้งเดียว แพทริเซียข้ามไปที่เรื่องต่อไปทันที
“เช่นนั้น การหารือในส่วนนั้นให้ทางกรมคลังส่งรายงานมาต่างหากก็แล้วกัน… เรื่องต่อไปคือเรื่องใด”
“เรื่องต่อไปเป็นเรื่องที่ฝ่าบาทยังไม่ได้อ่านรายงานพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเห็นควรให้หารือกันในการประชุมครั้งถัดไปน่าจะดีกว่า”
“ได้ เช่นนั้นหมายความว่าไม่มีเรื่องด่วนอื่นใดอีกแล้วใช่หรือไม่”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ยังเหลือเรื่องสำคัญที่สุดอยู่มิใช่หรือ เรื่องที่เราผลัดมาแล้วครั้งหนึ่ง”
เมื่อมาร์ควิสบริงสโตนเอ่ยปาก แพทริเซียก็พยักหน้าอนุญาตให้เขาพูดต่อไป มาร์ควิสพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะ
“พวกเราต้องสืบหาคนที่มันบังอาจลอบสังหารพระจักรพรรดินีและทำให้พระจักรพรรดิต้องตกอยู่ในสภาพนั้นพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท การที่มันผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่จนถึงบัดนี้นับเป็นเรื่องมิบังควรอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
แพทริเซียได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากก่อนจะตอบออกไปอย่างใจเย็น
“ใช่แล้ว มาร์ควิส เรากำลังจะพูดถึงเรื่องนั้นพอดี” แพทริเซียพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ตอนนี้เดมราฟาเอลาและหน่วยอัศวินราชองครักษ์กำลังทำการตรวจค้นป่าที่ใช้ล่าสัตว์เมื่อวาน อย่างไรก็ตาม…เราคิดว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คือบารอเนสเฟ็ลปส์”
หากจะกล่าวอย่างละเอียด เรื่องนั้นมิใช่แค่ความคิดแต่นางมั่นใจ ทว่า คงไม่มีใครเชื่อคำพูดลอยๆ ยิ่งไปกว่านั้นในสายตาของคนนอก โรสมอนด์และแพทริเซียนับว่าเป็นศัตรูหัวใจของกันและกัน ด้วยเหตุนั้น อาจมีคนคิดว่าแพทริเซียวางแผนใส่ร้ายโรสมอนด์ก็เป็นได้ แต่ถึงกระนั้นแพทริเซียก็ลองผลักดันความคิดของตนอย่างแน่วแน่ดูสักตั้ง
“ฝ่าบาท กระหม่อมเองก็มองว่าเรื่องคราวนี้ใหญ่หลวงนัก ต้องมีใครบางคนวางแผนลอบปลงพระชนม์พระจักรพรรดิและเชื้อพระวงศ์เป็นแน่ เราต้องรีบสืบหาตัวคนร้าย นำมาลงโทษประจานความผิดให้จงได้พ่ะย่ะค่ะ”
“เราก็คิดเช่นนั้น ดยุกวีเธอร์ฟอร์ด คำพูดของพวกนักฆ่ามิอาจเมินเฉยได้ เราจึงคิดจะเริ่มการตรวจสอบและสอบสวนบารอเนสเฟ็ลปส์ ท่านอื่นๆ มีความเห็นอย่างไร”
“ทรงตัดสินใจได้ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท โทษทัณฑ์นี้หนักหนากว่าข้อหาใดๆ ต้องสืบสวนอย่างละเอียดรอบคอบพ่ะย่ะค่ะ”
“เรามิอาจยกโทษให้ผู้ที่หมิ่นเกียรติราชวงศ์มาวินอสได้พ่ะย่ะค่ะ”
แพทริเซียพยักหน้าเมื่อบรรยากาศโดยรวมเป็นไปในทางที่เห็นพ้องต้องกัน แต่นางก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงเอ่ยถามความเห็นของดยุกเอเฟรนี
“ดยุกคิดเห็นอย่างไร”
“ฝ่าบาท” ดยุกเอเฟรนีเอ่ยปากด้วยสีหน้าประหม่า “ถ้าหาก…นางไม่มีความผิด พระองค์จะทรงทำเช่นไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“…ท่านว่าอะไรนะ?”
ขณะที่แพทริเซียกำลังงุนงงเพราะคำตอบที่ไม่คาดคิด ดยุกเอเฟรนีก็พูดต่อ
“ไม่มีหลักฐานใดบ่งชี้ว่าบารอเนสเฟ็ลปส์เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ฉะนั้น การที่…”
“ดยุก”
ครั้นได้ยินเสียงเรียก ดยุกเอเฟรนีก็ดูคล้ายจะตกใจเล็กน้อยแต่เขาก็ตอบรับอย่างใจเย็น
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“ท่านคือผู้อยู่เบื้องหลังหรือ?”
“อะไรนะพ่ะย่ะค่ะ”
“เราถามว่าท่านเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ใช่หรือไม่”
แพทริเซียตั้งคำถามด้วยสีหน้าเยือกเย็นเสียยิ่งกว่าอะไร ทำเอาดยุกเอเฟรนีพูดติดอ่าง
“ฝะ ฝ่าบาท…พระองค์ทรงหมายถึง…”
“ในเมื่อท่านไม่ได้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ชื่อที่ออกมาจากปากของนักฆ่าก็น่าจะถูกต้องที่สุดมิใช่หรือ อ้อ หรือท่านคิดว่าเรากุเรื่องถึงขั้นเสี่ยงชีวิตเพียงเพื่อกำจัดอนุคนหนึ่งจนฝ่าบาทตกอยู่ในสภาพนั้น?”
น้ำเสียงของแพทริเซียสั่นเครือเล็กน้อยด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านขึ้นมา สองตาเบิกกว้าง ทั้งยังพูดเสียงดังกว่าปกติ ตนไม่ใช่คนที่จะขึ้นเสียงได้ง่ายๆ ในสถานการณ์แบบนี้ แต่อย่างน้อยในตอนนี้ตนก็ควรทำเช่นนั้น เขากล้าดีอย่างไร
“อ้อ เช่นนั้นท่านจะบอกว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ก็คือเราเองหรือ?”
“ฝ่าบาท โปรดอย่าด่วนสรุป…”
“ไม่สิ ดยุก เช่นนั้นแล้วเราควรจะคิดเช่นไรกับเรื่องนี้? เราได้ยินพวกนักฆ่าพูดเต็มสองหูว่าบารอเนสเฟ็ลปส์คือคนร้ายตัวจริง แล้วจะให้เราชี้ตัวผู้อื่นว่าเป็นคนร้ายรึ? ไหนท่านลองว่ามา ดยุก หากมีคนอื่นอีก เราจะไปสอบสวนคนผู้นั้นด้วยความยินดี”
“…”
“นี่ท่านพูดออกมาโดยไม่มีข้อเสนออื่นเช่นเดียวกับเมื่อครู่นี้อย่างนั้นหรือ?”
“ฝ่าบาท…กระหม่อมเพียงแต่กังวลว่าผู้บริสุทธิ์จะถูกใส่ความ จึงได้…”
แพทริเซียมองดยุกเอเฟรนีที่ค่อยๆ พูดเสียงเบาลง แล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“หากท่านคิดเช่นนั้น ตราบใดที่ไม่มีใครสารภาพออกมาเอง คดีนี้ก็คงจะปิดลงไม่ได้สินะคะ เพราะมัวแต่เกรงว่าจะมีคนถูกใส่ร้าย หากเป็นเช่นนั้นจะทำอย่างไร…ใช่ไหมคะ?”
“…”
แพทริเซียมองดยุกเอเฟรนีด้วยสายตาที่เย็นชายิ่งขึ้น และในตอนนั้นเองนางก็ตระหนักได้
อา คนผู้นี้ต้องเกลียดข้าอย่างแน่นอน
“ดยุก เราไม่เข้าใจจริงๆ เราคือคนที่ต้องพาจักรวรรดิเดินหน้าต่อไปในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และยังต้องสืบหาคนร้ายแทนพระจักรพรรดิ ฉะนั้น คำกล่าวของท่านเมื่อครู่ทำให้เราลำบากใจเหลือเกิน หรือท่านกำลังจะบอกให้เราปล่อยเรื่องเมื่อวานไปเสียเพราะอาจมีผู้โชคร้ายขึ้นมาก็ได้อย่างนั้นหรือ แม้ว่ามันจะเป็นเหตุการณ์ที่เกือบทำให้สองผู้นำของจักรวรรดิต้องตาย?”
“…พระอาญามิพ้นเกล้า กระหม่อมคิดน้อยไปพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่แล้ว ดยุก ท่านสมควรต้องพูดคำนั้น ที่ท่านพูดเมื่อครู่อาจทำให้ท่านต้องโทษฐานก่อกบฏได้ คนฉลาดอย่างท่านไม่น่าจะไม่รู้กระมัง”
“…”
“สำหรับเรื่องนี้ เราขอมอบอำนาจในการสืบสวนทั้งหมดให้กับดยุกวีเธอร์ฟอร์ด ท่านจะรับหน้าที่นี้ได้หรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมจะสืบหาคนร้ายตัวจริงสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของแพทริเซียยังมีร่องรอยของโทสะให้เห็น แต่น้ำเสียงของนางไม่ดังไปกว่าปกติจนน่าตกใจอีกแล้ว แพทริเซียหายใจเข้าหายใจออกลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ก่อนจะกล่าวปิดการประชุม
“การประชุมในวันนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเพราะเรื่องเมื่อวาน อีกทั้งตัวเรายังไม่รู้เรื่องกิจการบ้านเมืองมากนัก เช่นนั้นให้พอแค่นี้ พรุ่งนี้ค่อยมารวมตัวกันอีกครั้ง”
***
สิ่งที่แพทริเซียทำเป็นอย่างแรกเมื่อกลับถึงตำหนักคือการสืบเบื้องลึกเบื้องหลังของดยุกเอเฟรนี
“มีร์ยา ช่วยไปสืบเบื้องหลังของดยุกเอเฟรนีให้ข้าที”
“วันนี้เกิดอะไรขึ้นในที่ประชุมขุนนางหรือเพคะ ฝ่าบาท?”
“ได้ยินว่ามีเรื่องน่ะค่ะ”
เปโตรนิยาตอบแทนแพทริเซียด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ ซึ่งพอจะบอกได้ว่านางไม่พอใจอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้
“วันนี้ดยุกเอเฟรนีโต้แย้งฝ่าบาททุกเรื่องเลยค่ะ…คล้ายกับวางแผนมา”
“…”
เมื่อได้ฟังสิ่งที่เปโตรนิยาพูด แพทริเซียก็มีสีหน้าคล้ายกับว่านึกอะไรออก ก่อนจะส่ายหน้า มีร์ยารู้สึกสงสัยในท่าทีนั้นจึงเอ่ยถาม
“มีอะไรหรือเพคะ ฝ่าบาท”
“เปล่า ดูเหมือนข้าจะใจเร็วด่วนได้เกินไป หลังจากเจอเรื่องเมื่อวาน สติสัมปชัญญะของข้าก็ดูจะแปลกไปอย่างไรมิทราบ”
“ฝ่าบาท…เมื่อวานนี้…”
จะว่าไปนางก็ยังไม่ได้เล่าเรื่องเมื่อวานให้ทั้งคู่ฟังเลย ราฟาเอลาได้พูดคุยกับนางบ้างแล้ว ประกอบกับสิ่งที่ได้ยินจากคนรอบตัวจึงน่าจะพอรู้สถานการณ์คร่าวๆ ต่างจากสองคนนี้
แพทริเซียเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานอย่างไม่มีตกหล่น แต่แน่นอนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากตกหน้าผานั้นนางเก็บไว้เป็นความลับ
ไม่ได้มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่คิดว่าเรื่องพวกนั้นไม่จำเป็นต้องเล่า
“พระเจ้าช่วย…สุดท้ายบารอเนสเฟ็ลปส์ก็ทำถึงขั้นนั้น…”
“เนื่องจากไม่มีหลักฐานจึงลำบากอยู่ไม่น้อย ต่อให้โทษหนักหนาเพียงใด ก็ยากที่จะทำให้นางถูกลงโทษเพียงเพราะคำพูดคำเดียว”
“ถูกต้อง ข้าจึงกำลังใคร่ครวญ หากมีหลักฐานไม่เพียงพอก็ต้องสร้างขึ้นมา”
“ครั้งนี้เจ้าคิดจะจบเรื่องทั้งหมดเลยหรือ?”
“หากทำได้…ข้าย่อมยินดี”
ไม่จำเป็นต้องยืดเยื้อ ไม่มีความเมตตาและไม่มีการยกโทษให้อีกแล้ว เมื่อก่อนเรื่องพวกนั้นอาจเป็นสิ่งจำเป็น แต่ตอนนี้ สถานการณ์นี้ การกระทำเช่นนั้นมีแต่จะฟ้องว่าตัวนางนั้นโง่เขลาเพียงใดเท่านั้น แพทริเซียต้องการจบเรื่องทุกอย่างหากเป็นไปได้ สิ่งที่นางต้องการคือความตายของโรสมอนด์ นางเป็นปุถุชนคนธรรมดาเกินกว่าจะมีความคิดที่บริสุทธิ์อยู่เบื้องหลังความปรารถนานั้น เมื่อถูกกระทำ นางก็อยากจะตอบโต้ ยิ่งเฉียดตายเช่นนี้ นางยิ่งอยากจะเอาคืน
พระเจ้าอาจกล่าวว่า การลงโทษจะเกิดกับโรสมอนด์ในที่สุด จงอย่าสร้างนรกบนดิน แต่ไม่รู้สิ หากมิได้แก้แค้นในตอนนี้ อย่าว่าแต่โลกใบนี้เลย แม้แต่ใจข้าก็คงจะกลายเป็นนรกไปด้วย ต่อให้ข้าต้องตกนรกด้วยเรื่องนี้ ข้าก็หาได้เสียใจไม่ แพทริเซียยิ้มเศร้าก่อนจะยกมือขึ้นปิดหน้า
***
การสอบปากคำโรสมอนด์เกิดขึ้นในทันที แม้ว่างานราชการจะล้นมือเพียงใด แพทริเซียก็จะเจียดเวลามาร่วมสังเกตการณ์การสอบปากคำด้วยตัวเอง ส่วนโรสมอนด์นั้น แม้จะถูกขังอยู่ในคุกใต้ดิน แต่นางก็ยังมิอาจละทิ้งรอยยิ้มโอหังอันเป็นเอกลักษณ์ ทั้งยังมีสีหน้าเหยียดหยามคนให้จมดิน แพทริเซียทั้งเกลียดและไม่สบอารมณ์กับการกระทำของอีกฝ่าย แต่นางก็เลือกที่จะอดทน เพราะอีกไม่นานโรสมอนด์จะต้องหายไป
แน่นอนว่าโรสมอนด์ย่อมไม่ให้ความร่วมมือในการสอบปากคำ ไม่ว่าจะถามอะไรนางก็เงียบ หากจะพูดอะไรออกมาสักคำก็มีแต่คำว่า “ไม่รู้” ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่มีความคืบหน้าเป็นแน่ แม้จะคาดการณ์ไว้แล้วว่าเรื่องคงไม่ง่ายนัก แต่แพทริเซียไม่คิดเลยว่าเรื่องจะไม่คืบหน้าถึงเพียงนี้
แพทริเซียคิดเป็นครั้งแรกว่าอยากจะใช้อำนาจของตนให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็มีอันต้องพับความคิดนั้นไป เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ นางย่อมไม่ปรารถนาที่จะยึดติดอยู่กับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดกำลังสอบสวนโรสมอนด์ แพทริเซียจ้องมองภาพนั้นเขม็ง ทันใดนั้นนางก็ก้าวเข้าไปในห้องสอบสวนด้วยตัวเอง ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดตกใจกับการปรากฏตัวของแพทริเซียเล็กน้อยพลางเอ่ยปากถาม
“ฝ่าบาท มีอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ดูเหมือนว่าการสอบสวนจะไม่คืบหน้าเอาเสียเลย นี่ก็สี่วันเข้าไปแล้วแต่นางยังคงไม่ยอมเปิดปากพูดอะไร”
ใช่ สี่วันแล้ว ลูซิโอยังคงหลับใหล ส่วนโรสมอนด์ก็ยังไม่ยอมเปิดปาก
แพทริเซียถือเป็นคนที่อดทนอดกลั้นได้ดี แต่ในสถานการณ์เช่นนี้นางไม่สามารถแสดงข้อดีนั้นออกมาได้ แพทริเซียลดเสียงลงและพูดกับดยุกวีเธอร์ฟอร์ด
“ดยุก เราอยากสอบสวนนางด้วยตัวเอง ท่านจะขัดข้องหรือไม่”
“ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ทรงทำตามพระประสงค์เถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดเปิดทางให้ แพทริเซียอ่านบันทึกที่เขาทิ้งไว้ด้วยสีหน้าเฉยเมย ว่างเปล่า ยังคงว่างเปล่า น่าเบื่อเสียจริง แพทริเซียยิ้มเยาะ
“เดมราฟาเอลา เจ้ามีธุระอะไรหรือ”
สำหรับแพทริเซีย บุคคลที่เป็นดั่งข้อยกเว้นมีเพียงเปโตรนิยาและราฟาเอลาเท่านั้น เมื่อราฟาเอลารับรู้ถึงความจริงข้อนั้น นางก็ยิ่งพูดกับแพทริเซียด้วยท่าทางที่หวาดหวั่นยิ่งกว่าเดิม
“พระอาญามิพ้นเกล้า ฝ่าบาท หม่อมฉันมีโทษสมควรตายเพคะ”
“ราฟาเอลา”
ตั้งแต่ได้ยินอีกฝ่ายเรียกตน แพทริเซียก็พอจะคาดเดาได้ถึงสิ่งที่ราฟาเอลาจะพูด แต่ให้ตายเถอะ มันถึงขั้นนี้เชียวหรือ? แพทริเซียพูดกับราฟาเอลาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่จริงจัง
“ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดอะไร แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของเจ้า เป็นข้าเองที่บอกว่าอยากอยู่คนเดียว และในสถานการณ์เช่นนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะหาข้าพบ เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นเลยสักนิด”
“แต่ว่า…หม่อมฉันควรจะแอบตามพระองค์ไป นั่นเป็นสิ่งที่อัศวินราชองครักษ์พึงกระทำ”
“นั่นมิผิด แต่ข้ากำชับหนักหนาว่าอย่าตามมา ส่วนเจ้าก็แค่ทำตามคำสั่งของข้าอย่างซื่อตรงเท่านั้น หากจะบอกว่าการกระทำของเจ้าเป็นความผิด ก็ต้องบอกว่าการออกคำสั่งของข้าเป็นความผิดด้วย”
เรื่องจริงเป็นเช่นนั้น จึงกลายเป็นข้าต่างหากที่รู้สึกผิด เดมราฟาเอลา
ราฟาเอลาได้ยินดังนั้นก็ก้มหน้าลงคล้ายไม่กล้าสู้หน้าก่อนจะเอ่ยเบาๆ
“จากนี้ไป…หม่อมฉันจะไม่ปล่อยให้ภยันตรายใดๆ มากล้ำกรายพระองค์ได้แม้แต่ปลายเงา ราฟาเอลา บริงสโตน ขอสาบานด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีของตนและตระกูลบริงสโตน”
“ลุกขึ้นเถอะ เอล่า”
แพทริเซียพูดด้วยน้ำเสียงตื้นตันพลางประคองราฟาเอลาให้ลุกขึ้น สาเหตุที่ทำให้นางอ่อนโยนกับราฟาเอลาเป็นพิเศษก็เพราะไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้อีกฝ่ายก็เป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ เป็นเพื่อนที่สละทุกอย่างเพื่อเปโตรนิยาจนต้องพบจุดจบที่น่าเวทนา
ในชาตินี้นางก็จะสละชีพเพื่อบุตรีของตระกูลโกรเชสเตอร์อีกกระนั้นหรือ? อารมณ์ของแพทริเซียดิ่งลงอย่างรวดเร็ว มองราฟาเอลาด้วยแววตาหดหู่
แววตาของราฟาเอลาแน่วแน่และเปล่งประกาย แพทริเซียพยักหน้าเล็กน้อย
“บางที…ข้าอาจต้องการความช่วยเหลืออย่างมากจากเจ้าในการเปิดโปงผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องในคราวนี้ เอล่า หากเจ้ารู้สึกผิดต่อข้าจริง…ถึงเวลานั้นเจ้าจะช่วยข้าได้หรือไม่”
“ด้วยความยินดีเพคะ หม่อมฉันจะทุ่มเทสุดกำลัง”
แพทริเซียยิ้มอย่างเศร้าใจ
***
การประชุมขุนนางถูกจัดขึ้นทุกวันไม่ขาด แต่ว่ากันตามจริงแล้ว ในประวัติศาสตร์มีจักรพรรดิจำนวนน้อยจนแทบนับนิ้วได้ที่เข้าประชุมทุกวันด้วยเพราะมิใช่ราชกิจหลัก ซึ่งลูซิโอนับเป็นหนึ่งในจักรพรรดิไม่กี่คนนั้น
“ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เสด็จ”
สิ้นเสียงนั้นประตูห้องประชุมก็เปิดออก ขุนนางน้อยใหญ่ต่างยืนขึ้นเพื่อแสดงความเคารพแพทริเซีย นางตรงไปนั่งยังที่ของตนด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทันทีที่นางนั่งลง บรรดาขุนนางก็พากันนั่งตาม หญิงสาวพูดเปิดการประชุมสั้นๆ
“ท่านทั้งหลายคงจะทราบกันแล้วว่าตอนนี้ฝ่าบาทยังคงไม่ฟื้นคืนพระสติ ดังนั้น ตามกฎของจักรวรรดิ เราซึ่งเป็นจักรพรรดินีจะทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จนกว่าฝ่าบาทจะฟื้น หากขุนนางท่านใดมีข้อโต้แย้งขอให้บอกกล่าว”
“…”
แน่นอนว่าไม่มี แพทริเซียข้ามไปเรื่องต่อไปทันทีราวกับว่าคำถามเมื่อครู่เป็นเพียงการถามตามมารยาท
“ในเมื่อไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะฟื้นเมื่อใด เราจึงจะจัดการเรื่องด่วนที่ยังคั่งค้างอยู่เสียก่อน ส่วนเรื่องที่ไม่เร่งด่วนให้เลื่อนไปสะสางในภายหลัง”
“น้อมรับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาท ปัญหาทางการค้ากับจักรวรรดิวิซาร์ดจะทำอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ ทางนั้นเรียกร้องให้ตอบเรื่องอากรสินค้านำเข้าและส่งออกโดยด่วนพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องระหว่างประเทศนั้นหากเป็นไปได้ให้เลื่อนออกไปก่อน หากทางนั้นพอจะมีหูตาอยู่ในจักรวรรดิของเราก็น่าจะทราบเรื่องภายในจักรวรรดิแล้ว หรือหากพวกเขาไม่รู้ เราก็ยกเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างเพื่อเลื่อนการตัดสินใจออกไปดีหรือไม่ ยิ่งมีเวลาคิดมากเท่าไรก็ยิ่งทำให้ผลของการตัดสินใจดีขึ้นตามไปด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมจะแจ้งไปตามพระประสงค์”
ลูซิโอเป็นจักรพรรดิที่ขยันขันแข็ง เพราะฉะนั้น เรื่อง ‘ด่วน’ ที่แพทริเซียต้องตัดสินใจจึงมีไม่มากนัก นางนึกชื่นชมความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของเขาเป็นครั้งแรก และพูดเข้าเรื่องแรกสุดที่ควรจะต้องมีการหารือกัน
“ฟังว่าพื้นที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือโดยมากกำลังประสบภัยแล้ง ความเสียหายหนักหนายิ่ง บรรดาเจ้าเมืองในพื้นที่แถบนั้นต่างเรียกร้องขอการเยียวยา พวกท่านคิดว่าเราควรมอบเงินเยียวยาจำนวนเท่าไรจึงจะเหมาะสม?”
เมื่อแพทริเซียพูดจบ คนผู้หนึ่งก็อ้าปากจะพูด คนผู้นั้นคือ ไวเคานต์ฟิลิสเต็น เสนาบดีกรมคลัง เมื่อแพทริเซียพยักหน้าให้สัญญาณ เขาจึงเอ่ยปาก
“พระอาญามิพ้นเกล้า ตอนนี้เงินในท้องพระคลังมีไม่เพียงพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ เราจ่ายเงินเยียวยาน้ำท่วมในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ไปเป็นจำนวนมาก อีกทั้งหมู่นี้เกิดการรุกรานจากชาวต่างชาติในพื้นที่ภาคเหนือบ่อยครั้ง ทำให้มีรายจ่ายมากเหลือเกิน หากต้องใช้เงินในท้องพระคลังในการช่วยเหลือครั้งนี้ด้วย เกรงว่าจะทำให้เราตกอยู่ในสภาวะเสี่ยงได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็เถอะ แต่จะไม่ช่วยเหลืออะไรเลยก็มิได้มิใช่หรือ ไวเคานต์?”
เมื่อขุนทางคนอื่นๆ แย้งขึ้นมา ไวเคานต์ฟิลิสเต็นก็พยักหน้าเป็นเชิงว่าคำพูดของพวกเขาก็มิผิด แต่ท่าทีของไวเคานต์ยังดูคล้ายไม่ต้องการให้มีรายจ่ายมหาศาลเกิดขึ้น
“ตอนนี้เงินในท้องพระคลังมีไม่มากแล้ว ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่มีใครบอกได้ หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ คลังของจักรวรรดิต้องเหลือแต่ความว่างเปล่าเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ภาษีอากรนั้นเรากำหนดไว้ตายตัว แต่รายจ่ายกลับมีมากตลอดเวลา ฝ่าบาททรงมีพระปรีชา โปรดตัดสินอย่างรอบคอบด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
นั่นหมายความว่าแม้จะไม่มีเงินแต่ก็ต้องดำเนินการช่วยเหลือ แพทริเซียไม่ค่อยเข้าใจในส่วนนี้เท่าใดนักจึงถามอย่างระมัดระวัง
“เช่นนั้น ท่านหมายความว่าให้เลือกหนทางช่วยเหลือที่จะใช้เงินในท้องพระคลังน้อยที่สุด… ซึ่งเราก็คิดออกเพียงวิธีเดียว หรือเราจะคิดผิด?”
การจะเรียกเก็บภาษีจากประชาชนมากขึ้นนั้นเป็นไปไม่ได้ ทางจักรวรรดิเรียกเก็บภาษีสูงสุดจากประชาชนมาโดยตลอด หากเรียกเก็บเพิ่มอีก ไม่แน่ว่าอาจเกิดการจลาจลขึ้น การควบคุมจลาจลกลุ่มเล็กๆ อาจมิใช่เรื่องยาก แต่หากมีการก่อจลาจลต่อไปเรื่อยๆ ย่อมมิใช่เรื่องดี
ต่อให้เป็นการจลาจลขนาดเล็กเพียงใด แต่หากมีคนมารวมกันมากขึ้นย่อมส่งผลกระทบมหาศาลต่อจักรวรรดิ แพทริเซียสอดส่องสายตาซ้ายขวาคล้ายจะถามความเห็น ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง
“ความเห็นของเราในตอนนี้ วิธีแก้ปัญหาเหลือเพียงการเรียกเก็บภาษีจากขุนนางเท่านั้น พวกท่านคิดเห็นอย่างไร”
รายจ่ายมากมายที่ผ่านมาทำให้เงินในท้องพระคลังร่อยหรอ และยังคงมีรายจ่ายรออยู่ไม่จบไม่สิ้น เพราะฉะนั้นต้องให้คนที่มั่งมีอยู่แล้วจ่ายเพิ่มขึ้นอีกหน่อย แพทริเซียคิดว่าการเสียสละนี้นับว่าสมควร เพราะในปัจจุบันขุนนางในจักรวรรดิไม่ต้องจ่ายภาษี แน่นอนว่าคนพวกนั้นอาจไม่คิดเหมือนนางก็ได้ใครจะรู้
ความคิดเห็นของราชวงศ์และความคิดเห็นของขุนนางมักไม่ค่อยตรงกันอยู่แล้ว หากพวกเขาคิดจะทำเพื่อจักรวรรดิจริงๆ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เพราะฉะนั้นใครที่ภักดีหรือไม่ภักดีต่อราชวงศ์ก็จะปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในตอนนี้ เพราะปากของมนุษย์เราจะตรงกับใจที่สุดก็ตอนที่ปัญหาเรื่องเงินมากองอยู่ตรงหน้า
“ฝ่าบาท วิธีนั้นไม่เลวเลยพ่ะย่ะค่ะ การให้หลายๆ ตระกูลแบ่งกันรับผิดชอบแทนที่จะให้ตระกูลเดียวรับภาระไปย่อมจะเป็นผลดีในระยะยาวพ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมก็เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
คนที่เพิ่งได้รับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อย่างเราได้รับความไว้วางใจจากบรรดาขุนนางหรือนี่ แพทริเซียยิ้มออกมาเล็กน้อยพลางจำหน้า ชื่อ และตำแหน่งของขุนนางที่เห็นด้วยกับความคิดของนางไว้ในหัวทั้งหมด อาจมีสักวันหนึ่งที่นางต้องเรียกใช้พวกเขา แพทริเซียพูดต่อไปอย่างสุขุม
“เช่นนั้น หมายความว่าทุกท่านเห็นด้วยอย่างนั้นหรือ”
“ฝ่าบาท”
ตอนนั้นเองใครคนหนึ่งก็พูดแทรกขึ้นมา แพทริเซียคาดเดาในใจว่านั่นต้องเป็นเสียงคัดค้าน ตอนที่นางหันไปยังต้นเสียงก็พบว่าผู้ที่เอ่ยทัดทานเป็นบุคคลที่คาดไม่ถึง
“ดยุกเอเฟรนี”
“เดิมทีขุนนางของมาวินอสไม่เคยต้องจ่ายภาษี พระองค์คิดจะทำลายขนบนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เขาดูไม่เหมือนคนที่กำลังโกรธแต่เขากลับพูดเหมือนโกรธ และนางไม่คิดว่าความโกรธนั้นเกิดจากการไม่เห็นด้วยกับความเห็นของนาง แต่คล้ายกับว่าเป็นเรื่องอื่นเสียมากกว่า ซึ่งนางก็อธิบายไม่ถูกว่ามันคืออะไร นางเก็บความรู้สึกแปลกๆ ไว้ในใจและร้องขอคำอธิบายอย่างละเอียดจากอีกฝ่าย
“ท่านหมายความว่าอย่างไร ทำลายขนบอย่างนั้นหรือ? ท่านมองในแง่ร้ายเกินไปแล้วกระมัง ที่เราพูดเช่นนั้นเพราะตอนนี้เงินในท้องพระคลังเหลืออยู่ไม่มาก เราจึงเสนอให้ขุนนางซึ่งเป็นผู้มีอันจะกินช่วยกันแบ่งเบาภาระนี้ เรามิได้คิดจะทำลายขนบใดๆ ทั้งนั้น หากภาระเพียงเท่านี้ยังช่วยกันแบ่งเบามิได้ ท่านยังจะเรียกตัวเองว่าข้าราชบริพารของจักรวรรดิได้อีกหรือ ดยุก?”
“แต่หากทำเช่นนี้ ต่อไปการเก็บภาษีจากขุนนางมิกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญไปหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ดยุก เรื่องสถานะทางการเงินของจักรวรรดินั้นขุนนางที่ดูแลท้องพระคลังย่อมรู้ดีกว่าใคร ในภายภาคหน้าหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกก็ย่อมต้องนำวิธีนี้มาใช้อีกครั้ง แต่ฝ่าบาทเองก็มิใช่คนไร้เหตุผลแยกแยะไม่ได้ ดังนั้น เรื่องที่ท่านกล่าวย่อมจะไม่เกิดขึ้น นี่ท่านกำลังกังวลเรื่องอันใดกันแน่”
“กระหม่อมเพียงแต่กังวลว่าแผนรับมือชั่วครั้งชั่วคราวจะกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติได้ แม้ว่าขุนนางชั้นสูงจะไม่คัดค้าน แต่ขุนนางชั้นผู้น้อยอาจเห็นต่างได้มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“การเก็บภาษีย่อมเป็นไปตามความมั่งมี ขุนนางที่มีมากย่อมถูกเรียกเก็บมาก ขุนนางที่มีน้อยย่อมถูกเรียกเก็บน้อย เท่าที่เรารู้ การเก็บภาษีของจักรวรรดิก็ดำเนินการเช่นนี้ เราพูดผิดหรือไม่ ไวเคานต์?”
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท พระองค์รับสั่งถูกต้องแล้ว”
เมื่อไวเคานต์ฟิลิสเต็นกล่าวเช่นนั้น แพทริเซียก็ยิ่งรู้สึกมั่นใจมากขึ้น นางจึงพูดต่อ
“เช่นนั้น ดยุก ท่านมีความประสงค์อันใด ท่านประสงค์จะให้ราชวงศ์รับผิดชอบเงินทั้งหมดแม้มันจะทำให้ราชวงศ์สั่นคลอนกระนั้นหรือ”
“เรื่องนั้น…”
“เช่นนั้นก็เชิญท่านพูดออกมา เราไม่ชอบการวิพากษ์วิจารณ์ลอยๆ หากท่านมีข้อเสนอดีๆ เราย่อมทำตามโดยไม่โต้แย้ง แต่หากท่านไม่มีวิธีอื่นมาเสนอแล้วยังคัดค้านอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังเช่นนี้อีก เราคิดว่านั่นเป็นการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบ เรื่องแค่นี้ ดยุกแห่งจักรวรรดิคิดไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
“…ขอประทานอภัย ฝ่าบาท กระหม่อมคิดน้อยไปพ่ะย่ะค่ะ”
แพทริเซียมองดยุกเอเฟรนีที่กำลังขอโทษตนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่ออย่างไม่ยี่หระ
“หลังจากนี้ หากท่านคิดข้อเสนออื่นได้เมื่อใดก็ขอให้บอกมาเถิด หากมีข้อเสนอดีๆ ตัวเราก็พร้อมจะรับฟังทุกเมื่อ แต่สำหรับสถานการณ์ในตอนนี้ หากเหล่าขุนนางไม่ช่วยกันแบ่งเบาภาระ ราชวงศ์อาจถึงคราวล่มสลายก็เป็นได้ ท่านประสงค์ให้เป็นเช่นนั้นหรือ ดยุก?”
“จะเป็นไปได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ภักดีต่อจักรวรรดิมาวินอส…ย่อมไม่ต้องการจุดจบเช่นนั้นอย่างแน่นอน พระอาญามิพ้นเกล้า กระหม่อมคิดน้อยไปพ่ะย่ะค่ะ”
“…”
แพทริเซียมองดยุกเอเฟรนีอีกครั้ง ไม่มีขุนนางคนอื่นเห็นต่างจากนาง เพราะต่อให้พวกเขาไม่ได้ภักดีต่อราชวงศ์อย่างลึกซึ้ง แต่หากความมั่นคงของจักรวรรดิสั่นคลอน ตำแหน่งหน้าที่ของพวกเขาก็จะมีอันตรายไปด้วยเช่นกัน
พูดตามตรงก็คือ เรื่องของการเมืองนั้น เดิมทีก็ไม่ใช่สิ่งที่ประกอบไปด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์อยู่แล้ว กลับเป็นการต่อสู้อย่างดุเดือดเพื่อให้ได้มาซึ่งผลกำไรของตนต่างหาก
การที่คนพวกนั้นไม่พูดอะไรและยอมเสียสละนั่นก็เพราะพวกเขามองอนาคตด้วยสายตาที่กว้างไกล
ดังนั้นการที่ดยุกเอเฟรนีพูดเช่นนี้ ทั้งยังคัดค้านโดยไม่มีแผนอื่นมารองรับจึงนับว่าแปลก
หลังจากสั่งขังโรสมอนด์ไว้ในคุกใต้ดินแล้ว แพทริเซียจึงได้กลับไปที่ตำหนักของตน ตอนนั้นก็เป็นเวลาค่ำแล้ว ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งวันผนวกกับพิษที่ได้รับเมื่อตอนบ่ายทำให้แพทริเซียแทบจะเป็นลมล้มพับ แต่นางก็เค้นเรี่ยวแรงทั้งหมดจนกลับมาถึงตำหนักของตัวเองจนได้
เมื่อกลับถึงตำหนักจักรพรรดินี แพทริเซียรู้สึกได้ว่าเหล่าข้ารับใช้กำลังเป็นห่วง แต่นางก็ไม่มีแรงเหลือพอที่จะตอบสนองต่อความห่วงใยเหล่านั้น แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเปโตรนิยาพี่สาวของนางเอง หรือมีร์ยาซึ่งเป็นหัวหน้านางกำนัลก็ตาม
“ริซซี่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”
“ฝ่าบาท ทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
แพทริเซียฝืนทำใจเย็นตอบรับคำพูดที่กล่าวกับนางด้วยน้ำเสียงที่เจือความห่วงใย ก่อนจะไหว้วานเสียงเรียบ
“มีร์ยา เตรียมน้ำให้ข้าที ขอเร็วที่สุดเลยนะ”
“อา…”
มีร์ยารู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของแพทริเซียก่อนใคร เจ้านายที่เคยพูดจาสุภาพแม้แต่กับนาง ตอนนี้กลับพูดอย่างห้วนๆ นางรับรู้ได้จากประสบการณ์การอยู่ในวังมาหลายปีว่านี่มีสาเหตุมาจากเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ นางจึงทำตามคำสั่งของแพทริเซียโดยไม่พูดอะไร
เปโตรนิยาที่สังเกตพฤติกรรมอย่างใกล้ชิดอยู่ข้างๆ กันก็รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของน้องสาวได้เร็วไม่แพ้กัน นางจึงไม่พูดอะไรต่อ
นั่นเพราะเห็นอยู่ตำตาว่าอีกฝ่ายเหนื่อยล้า การจะชวนคุยตอนนี้คงดูไม่เหมาะสมนัก
เปโตรนิยาตัดสินใจว่า อย่างน้อยก็รอให้แพทริเซียมีสติที่มั่นคงกว่านี้ค่อยสนทนากันน่าจะดีกว่า นางเรียกหมอหลวงมาระหว่างที่แพทริเซียเข้าไปอาบน้ำ หมอหลวงเร่งรุดมาถึงตำหนักจักรพรรดินีอย่างรวดเร็ว เปโตรนิยาซึ่งมีข้อสงสัยมากมายจึงรีบสอบถามอีกฝ่ายโดยพลัน
“ได้ยินว่าท่านเป็นผู้ดูแลทั้งสองพระองค์ในการแข่งขันครั้งนี้”
“ใช่แล้วขอรับ เลดี้เปโตรนิยา”
“ที่นั่นเกิดอะไรขึ้นหรือคะ”
เปโตรนิยาอยู่แต่ในวังจึงไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น ด้วยเหตุนั้นนางจึงได้แต่ทนอึดอัดใจ หมอหลวงลังเลอยู่ครู่หนึ่งคล้ายกำลังเรียบเรียงคำพูด ก่อนจะเอ่ยปากเล่าสิ่งที่เขารู้ทั้งหมด หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเรื่องที่ถูกเปิดเผยออกมาสู่ภายนอกทั้งหมด
แน่นอนว่าเพียงแค่คำพูดของหมอหลวงก็ทำให้เปโตรนิยาตกใจได้
“พระเจ้าช่วย”
ครั้นได้ฟังเรื่องทั้งหมด เปโตรนิยาก็ถอนหายใจยาว นางควรจะคาดการณ์ได้ตั้งแต่แรกว่าโรสมอนด์ไม่มีทางพลาดโอกาสนี้ ทว่า…! เปโตรนิยาได้แต่โทษความโง่เขลาของตนก่อนจะถามต่อ
“แล้วพระอาการของทั้งสองพระองค์เป็นอย่างไรบ้างคะ”
“พระจักรพรรดิได้รับการปฐมพยาบาลอย่างดี หลังจากเสด็จกลับพระราชฐานก็ทรงได้รับการตรวจรักษาอย่างละเอียดแล้ว หากไม่มีอะไรผิดพลาด พระองค์น่าจะทรงฟื้นในเร็ววัน ส่วนพระจักรพรรดินีตรัสว่าพระองค์สบายดี จึงยังไม่ได้รับการรักษาขอรับ”
“ไม่เพียงแต่พิษ แต่ความเครียดและความเหนื่อยล้าก็อาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้เช่นกัน ระหว่างทำการรักษา ขอให้ท่านคำนึงถึงข้อนั้นด้วยนะคะ ท่านลอร์ด”
“ข้าจะทำตามนั้นขอรับ เลดี้ ท่านไม่ต้องกังวล”
ขณะที่ทั้งคู่กำลังสนทนากัน แพทริเซียก็เดินออกมาจากห้องอาบน้ำในชุดเดรสสีขาวบาง นางดูตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นหมอหลวง แพทริเซียมองเปโตรนิยาคล้ายจะถามถึงสถานการณ์ตรงหน้า
“หม่อมฉันเรียกมาเองเพคะ ฝ่าบาท ฟังว่าพระองค์ยังไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี…” เปโตรนิยาตอบออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“อ้อ…”
แพทริเซียพยักหน้าเบาๆ เป็นการตอบรับ นางรวบผมที่ยังชื้นนิดๆ ไว้ด้านหลังก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะ
จากนั้นหมอหลวงก็เข้ามาตรวจร่างกาย ไม่นานเขาก็พูดขึ้น
“อย่างที่พระองค์ตรัสไว้พ่ะย่ะค่ะ พระอาการไม่ร้ายแรง แต่พระวรกายและพระราชหฤทัยอ่อนล้าด้วยเรื่องต่างๆ ที่ทรงประสบมาในวันนี้ เสวยน้ำชาอุ่นๆ สักแก้วและรีบเข้าที่บรรทมเร็วหน่อยดีไหมพ่ะย่ะค่ะ พรุ่งนี้น่าจะทรงยุ่งกับพระราชกิจไม่น้อย”
“เราขอบคุณสำหรับคำแนะนำ ท่านไปเถอะ”
สิ้นคำพูดของแพทริเซีย หมอหลวงก็ทำความเคารพและออกจากห้องไป เปโตรนิยาทำสีหน้าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นและกล่าวกับแพทริเซีย
“วันนี้ก็ดึกมากแล้ว ข้ากลับก่อนนะริซซี่”
ครั้นได้ยินเปโตรนิยาพูดด้วยน้ำเสียงปกติ แพทริเซียก็ยิ้มออกมาด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง อาจเป็นเพราะว่าตัวนางได้เปลี่ยนไปแล้ว นางจึงหวังว่าอย่างน้อยเปโตรนิยาจะไม่เปลี่ยนไป แพทริเซียถามอีกฝ่ายอย่างสงสัย
“ไม่ถามอะไรเลยหรือ”
“ไม่ได้ยินที่หมอหลวงกล่าวหรือ เรื่องอื่นไว้คุยกันพรุ่งนี้ดีกว่านะ ริซซี่”
เปโตรนิยาจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผากของน้องสาวก่อนจะพูดต่อ “อย่าให้ใครมารบกวนการพักผ่อนของเจ้า อย่างน้อยก็ในคืนนี้ นอกเสียแต่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นพระจักรพรรดิ เรื่องอื่นไว้คุยกันพรุ่งนี้นะ เข้าใจไหม”
“ข้าก็หวังให้เป็นเช่นนั้น”
น้ำเสียงที่อ่อนล้านั้นฟังแล้วช่างน่าสงสาร เปโตรนิยากลืนก้อนเหนียวๆ ลงคออย่างยากลำบาก ก่อนจะฝากฝังแพทริเซียไว้กับมีร์ยาและออกจากตำหนักไป
อย่างไรตอนนี้ก็ดึกแล้ว หากนางหักห้ามความสงสัยใคร่รู้เอาไว้ได้ จะฟังตอนนี้หรือพรุ่งนี้เช้าก็ไม่ต่างกัน ถึงอย่างไรแพทริเซียก็ไม่มีทางเล่าเรื่องทั้งหมดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นในตอนนี้ฟังแค่เรื่องราวจากบิดาก็น่าจะเพียงพอ
เปโตรนิยาครุ่นคิดว่าจะถามอะไรจากมาร์ควิสโกรเชสเตอร์ แต่นางก็ไม่คาดหวังว่าคำตอบนั้นจะช่วยให้นางเข้าใจสถานการณ์ได้ดีมากขึ้นเท่าไรนัก
อีกด้านหนึ่งแพทริเซียเช็ดผมที่ยังหมาดให้แห้งสนิทก่อนจะย้ายร่างไปที่เตียง อย่างที่เปโตรนิยากล่าว วันนี้นางพบเจออะไรมามากจริงๆ เพราะฉะนั้นนางจึงเหนื่อยเกินกว่าจะคิดเรื่องอื่น
หญิงสาวตัดสินใจโยนภาระในการคิดทบทวนเรื่องต่างๆ ให้ตัวนางในวันพรุ่งนี้ ทั้งมีร์ยา ราฟาเอลา และเปโตรนิยาก็ยังไม่ได้ถามอะไร เพราะฉะนั้นนางค่อยให้คำตอบในวันพรุ่งนี้ก็ยังไม่สาย
แพทริเซียถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้าก่อนจะผล็อยหลับไป ทั้งที่นางมักจะทรมานด้วยอาการนอนไม่หลับ แต่วันนี้ดูเหมือนนางจะหลับได้โดยง่าย และคืนนี้ก็เป็นคืนที่นางมิอาจรับมือได้ หากไม่ได้นอน
“ฝ่าบาท ได้เวลาตื่นบรรทมแล้วเพคะ”
วันใหม่ของแพทริเซียเริ่มต้นด้วยประโยคนี้จากมีร์ยา นางค่อยๆ ลืมตาขึ้น ก่อนจะกะพริบตาสองสามครั้งคล้ายกำลังเรียบเรียงสิ่งที่ต้องทำ ในที่สุดนางก็ค่อยๆ ลุกจากที่นอน นี่คือจุดเริ่มต้นของวันที่อาจกลายเป็นนรก แพทริเซียนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากเนิบๆ
“…มหาเสนาบดีทั้งสามจะมาถึงเมื่อใด”
นี่เป็นคำถามแรกของแพทริเซีย และมีร์ยาก็ตอบอย่างรวดเร็ว
“ทั้งสามท่านกำลังเดินทางมาที่พระราชวัง คาดว่าจะมาถึงในไม่ช้าเพคะ”
จักรวรรดิที่อยู่รายล้อมจักรวรรดิมาวินอสล้วนแต่มีตำแหน่งที่ปรึกษาของกษัตริย์เพียงตำแหน่งเดียว แต่ในกรณีของจักรวรรดิมาวินอสกลับมีอัครมหาเสนาบดีที่คอยให้คำปรึกษาจักรพรรดิถึงสามตำแหน่ง
ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการคานอำนาจมิให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้อำนาจในทางมิชอบ
ตอนที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับระบบนี้เป็นครั้งแรก แพทริเซียคิดว่านี่เป็นระบบที่ดีมาก
เมื่อลองคิดดูให้ดี หากอีกฝ่ายมิใช่นักบุญหรือมนุษย์หิน อำนาจเบ็ดเสร็จย่อมมาพร้อมกับการทุจริตเป็นแน่
เหล่าข้ารับใช้ช่วยแพทริเซียล้างหน้าล้างตาและแต่งตัวจนเสร็จ การที่จักรพรรดินีได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มิใช่เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยนัก แต่ก็มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ ด้วยเหตุนั้น เหล่าข้ารับใช้จึงปฏิบัติตัวตามที่ตำราบันทึกไว้
แพทริเซียสวมชุดเดรสสีโทนมืดที่ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามและเป็นทางการมากกว่าชุดเดรสสีสว่างที่สวมในยามปกติ ทั้งยังสวมมงกุฎประดับด้วยเพชรสีชมพูอันเป็นสัญลักษณ์แทนตัวของจักรพรรดินี ตัวมงกุฎเป็นสีทองออกคล้ำ เปล่งประกายรัศมีของอำนาจอยู่บนศีรษะของนาง
จากนั้นแพทริเซียก็ตรงไปที่ห้องรับรอง ร่างบางนั่งลงที่หัวโต๊ะไม่ทันไรเสียงของข้ารับใช้ก็ดังแว่วมา
“ฝ่าบาท มหาเสนาบดีทั้งสามมาถึงแล้วเพคะ”
สามมหาเสนาบดี คือ ประมุขของสามตระกูลใหญ่ในหมู่ขุนนาง อันได้แก่ ประมุขตระกูลดยุกวาเซียร์ ประมุขตระกูลดยุกเอเฟรนี และประมุขตระกูลดยุกวีเธอร์ฟอร์ด
ตระกูลดยุกวาเซียร์และตระกูลดยุกวีเธอร์ฟอร์ดได้รับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีหรือที่ปรึกษาของจักรพรรดิตั้งแต่ช่วงเริ่มก่อตั้งจักรวรรดิในฐานะผู้ที่มีส่วนช่วยในการสถาปนาจักรวรรดิ ส่วนตระกูลดยุกเอเฟรนีเป็นตระกูลที่มารับช่วงต่อจากตระกูลดยุกออสวินซึ่งเป็นอีกหนึ่งผู้ที่มีคุณงามความดีในการสถาปนาจักรวรรดิ ทั้งยังเป็นตระกูลดยุกลำดับที่หนึ่งก่อนที่จะวางมือจากตำแหน่งขุนนางไป
แม้มิได้เป็นผู้ร่วมสถาปนาจักรวรรดิ แต่ตระกูลดยุกเอเฟรนีก็เป็นตระกูลมหาอำนาจ และหากพูดถึงความร่ำรวย ตระกูลดยุกเอเฟรนีก็มั่งคั่งที่สุดในบรรดาตระกูลอัครมหาเสนาบดีทั้งสาม
“เชิญเข้ามา”
เมื่อแพทริเซียอนุญาต ประตูก็ถูกเปิดเข้ามาตามด้วยร่างของบุรุษสามนายเดินเข้ามาด้านใน ผู้ที่อาวุโสที่สุดคือดยุกวาเซียร์และผู้ที่อ่อนวัยที่สุดคือดยุกเอเฟรนี
“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอให้จักรวรรดิจงมีแต่ความรุ่งเรือง”
“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอให้ราชสกุลมีแต่ความรุ่งเรือง”
“เชิญทุกท่าน ลำบากพวกท่านแต่เช้าทีเดียว”
แพทริเซียชมเชยสั้นๆ ก่อนจะต้อนรับทุกคนด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทั้งสามนั่งลงที่โต๊ะในห้องรับรอง แพทริเซียเริ่มบทสนทนาด้วยการอธิบายสถานการณ์คร่าวๆ
“ตอนนี้ฝ่าบาทยังคงไม่ได้พระสติ เราจึงเข้ามารับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพื่อทำงานแทน เราเองเคยแต่ดูแลงานของฝ่ายใน ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับงานของราชสำนัก หวังว่าพวกท่านจะให้ความช่วยเหลือ”
“พวกกระหม่อมจะถวายความช่วยเหลืออย่างเต็มที่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย”
ดยุกอีกสองคนพูดตามดยุกวาเซียร์ แพทริเซียยิ้มให้พวกเขาครั้งหนึ่งก่อนจะเข้าเรื่องสำคัญ
“ที่จริงเราต้องหารือเรื่องต่างๆ โดยละเอียดในที่ประชุมขุนนางที่จะเริ่มขึ้นในอีกหนึ่งชั่วโมงให้หลัง แต่สำหรับเรื่องที่ไม่เร่งด่วน เราจะทำแค่ฟังรายงานเท่านั้น จะไม่มีการอภิปรายเพิ่มเติม เพราะตัวเราเป็นเพียงตัวแทนของพระจักรพรรดิ หาใช่ตัวพระองค์เองไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท พระองค์อาจทราบอยู่แล้วว่ามีน้อยครั้งที่ผู้สำเร็จราชการฯ จะใช้อำนาจตัดสินใจประเด็นที่ไม่เร่งด่วน เรื่องนั้นพระองค์มิต้องทรงเป็นกังวลพ่ะย่ะค่ะ”
“พระองค์ทรงต้องดูแลงานของฝ่ายในไปด้วย อาจทำให้ต้องแบกรับภาระงานมากเกินไป หากเป็นไปได้ แม้แต่งานของฝ่ายในเองก็ทรงเลือกจัดการงานที่เร่งด่วนไปตามลำดับจนกว่าพระจักรพรรดิจะทรงฟื้นก็น่าจะช่วยได้มากพ่ะย่ะค่ะ”
“ได้… มีคำแนะนำเพิ่มเติมหรือไม่”
สิ้นคำถามของแพทริเซีย ดยุกเอเฟรนีก็มีสีหน้าคล้ายกำลังครุ่นคิดก่อนจะพูดออกมาช้าๆ
“ฝ่าบาท”
“เชิญกล่าว”
“…ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ ในส่วนของรายละเอียดควรไปคุยกันในที่ประชุมน่าจะดีกว่า”
ประหลาดคนเสียจริง แพทริเซียบ่นในใจก่อนจะถามคำถามต่อไปโดยไว
“หากเราได้อ่านบันทึกการทำงานในช่วงที่ผ่านมาคงจะดีไม่น้อย อย่างที่พวกท่านทราบ เราแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับงานของราชสำนักเลย”
“เรื่องนั้นมิต้องทรงเป็นกังวลพ่ะย่ะค่ะ เสนาบดีของแต่ละกรมได้ตระเตรียมเอกสารไว้แล้วและจะส่งไปที่ตำหนักจักรพรรดินีในภายหลัง”
แพทริเซียพยักหน้าอย่างพึงใจให้กับน้ำเสียงน่าฟังของดยุกวีเธอร์ฟอร์ด เช่นนั้นก็คงหมดเรื่องพูดแล้ว ดยุกวาเซียร์ยื่นมัดเอกสารบางๆ ให้แพทริเซีย
“นี่คือเรื่องที่จะหารือกันในที่ประชุมวันนี้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท หากพระองค์อ่านดูก็จะช่วยให้เข้าใจเรื่องต่างๆ ได้มากขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบคุณ”
แพทริเซียตอบรับสั้นๆ และรับสิ่งนั้นมา นางอ่านดูคร่าวๆ พบว่าเป็นเรื่องการช่วยเหลือเยียวยาราษฎรที่ประสบภัยแล้งในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ จากนั้นดยุกวีนางฟอร์ดก็ถามขึ้น
“ทรงมีข้อสงสัยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ตอนนี้ยัง เรื่องสำคัญอื่นๆ ประเดี๋ยวค่อยคุยในที่ประชุมก็แล้วกัน”
“พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นพวกกระหม่อมทูลลา”
ทั้งสามคำนับให้แพทริเซียอย่างนอบน้อม แพทริเซียใช้นิ้วสองสามนิ้ววัดความหนาของเอกสารที่สามมหาเสนาบดีทิ้งไว้ให้ ดูแล้วไม่น่าอ่านเอกสารพวกนี้ได้ทันในหนึ่งชั่วโมง แต่หากนางพยายามให้เกิดขีดจำกัดสักนิดก็น่าจะพออ่านได้
ขณะที่แพทริเซียพลิกกระดาษแผ่นแรก ราฟาเอลาก็เดินเข้ามาหาอย่างระมัดระวัง นางเรียกแพทริเซียด้วยน้ำเสียงที่ต่างออกไป ไม่เจือเสียงหัวเราะเหมือนอย่างเคย
“เอ่อ… ฝ่าบาทเพคะ”
ทุกคนมองมาที่แพทริเซียกับโรสมอนด์โดยไม่มีใครพูดอะไรออกมา อันที่จริงต้องบอกว่าโรสมอนด์เป็นฝ่ายที่ถูกจับจ้องเสียมากกว่า แต่แม้ว่าจะถูกจู่โจมอย่างกะทันหัน นางก็ไม่ได้แสดงอาการตื่นตระหนกแม้แต่น้อย
ไม่สิ นางคงจะตกใจอยู่เหมือนกัน แต่คนอย่างโรสมอนด์ หากไม่เจอเรื่องใหญ่จริงๆ คงไม่แสดงอาการตกใจให้ใครเห็น เพราะนางคือนักการเมืองที่มีเล่ห์เหลี่ยมและเจนจัดเกินกว่าที่จะแสดงอารมณ์และสีหน้าในการต่อสู้แบบตัวต่อตัว นางถามแพทริเซียด้วยสีหน้าสงสัย
“ฝ่าบาท พระองค์ทรงหมายถึง…”
“ฝ่าบาท การตรวจพระวรกายเสร็จสิ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ก่อนที่โรสมอนด์จะได้พูดอะไรต่อ หมอหลวงก็พูดแทรกขึ้นมา โรสมอนด์ไม่สบอารมณ์ที่ถูกขัดคอ แต่นางก็ไม่ได้แสดงอาการออกมา แพทริเซียพยักหน้าด้วยความหวั่นใจคล้ายจะเร่งให้รีบพูดมา
“โชคดีที่องค์จักรพรรดิเสวยน้ำดอกสกัลเลอร์เข้าไปทำให้ไม่เกิดอันตรายใหญ่หลวงต่อพระวรกาย ทว่า…ยังทรงไม่ได้สติด้วยเหตุผลบางประการพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงรีบรายงาน
“ท่านจะบอกว่าฝ่าบาทจะทรงฟื้นคืนพระสติเมื่อไรไม่แน่ชัดอย่างนั้นหรือ”
“เกรงว่าจะเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
หมอหลวงพูดด้วยสีหน้าเศร้าเสียใจ แพทริเซียรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาทันที เหตุผลแรกคือคนที่ไม่เกี่ยวข้องต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นเพราะนาง และเหตุผลที่สอง หากไม่ได้เขาช่วยไว้ คนที่อยู่ในสภาพนั้นก็คงเป็นนาง ไม่สิ เอาเข้าจริงนางอาจจะตายไปแล้วก็เป็นได้
แพทริเซียหลับตาลงทั้งอย่างนั้น นางใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งในการสงบสติอารมณ์ของตัวเอง ก่อนจะลืมตาขึ้นและถามหมอหลวงด้วยคำถามเดียวกันอีกครั้ง
“ท่านหมายความว่าท่านไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะฟื้นเมื่อไรอย่างนั้นสินะ”
“พระอาญามิพ้นเกล้า”
“…”
เมื่อความจริงได้รับการยืนยัน แพทริเซียก็มองทุกคนที่อยู่รอบบริเวณนั้นด้วยสีหน้าที่สงบลง ทุกคนกำลังรอฟังคำที่จะออกจากปากของจักรพรรดินีที่ยังเยาว์วัยด้วยสีหน้าตึงเครียดกันถ้วนหน้า
แพทริเซียพูดด้วยระดับเสียงที่ไม่ดังและไม่เบา
“พระจักรพรรดิยังไม่ฟื้นคืนพระสติ ตามกฎของจักรวรรดิ อำนาจเด็ดขาดในการตัดสินใจทุกเรื่องน้อยใหญ่ในจักรวรรดิจะต้องตกมาอยู่ที่เราซึ่งเป็นจักรพรรดินี ถูกต้องหรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท พระองค์จะต้องทำหน้าที่นั้นแทนจนกว่าพระจักรพรรดิจะทรงฟื้นพ่ะย่ะค่ะ”
ได้ยินดังนั้น แพทริเซียก็ประกาศออกมาอย่างไม่ลังเล
“ในเมื่อมิอาจยืนยันได้ว่าฝ่าบาทจะฟื้นคืนพระสติเมื่อใด เรา แพทริเซีย ไลลา เลอ โกรเชสเตอร์ ขอประกาศว่า เราจะเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งจักรวรรดิมาวินอส มีผู้ใดคัดค้านหรือไม่”
“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
เสียงสนับสนุนดังขึ้นจากทุกสารทิศ แพทริเซียคุกเข่าดูอาการของลูซิโออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้น ร่างเพรียวจดจ้องไปที่โรสมอนด์เพียงคนเดียวแทนที่จะมองบรรดาขุนนางที่ยืนอยู่รายล้อม นางต้องกล่าวสิ่งที่พูดค้างไว้เมื่อครู่ให้จบ
“ขณะที่เราตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายริมหน้าผา เราได้ถามนักฆ่าเหล่านั้นว่า…ผู้ใดอยู่เบื้องหลังแผนการสกปรกนี้ ตามหลักการแล้วพวกมันก็ไม่ควรจะบอกเรา…แต่พวกมันคงคิดว่าถึงอย่างไรเราก็ต้องตายด้วยน้ำมือของพวกมันอยู่แล้ว มันจึงเปิดปากอย่างง่ายดาย”
“คนผู้นั้นเป็นใครหรือพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท?”
“ผู้ที่บังอาจลอบสังหารจักรพรรดิและจักรพรรดินีแห่งจักรวรรดิสมควรได้รับโทษพ่ะย่ะค่ะ”
แพทริเซียเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาเพราะเสียงของเหล่าอัศวิน นางกลั้นเสียงหัวเราะนั้นไว้และพูดต่อไปอย่างไม่ลังเล
“พวกมันบอกว่าได้รับคำสั่งมาจากอนุภรรยาของจักรพรรดิให้มาสังหารภรรยาหลวง”
“…”
แพทริเซียไม่รู้สึกว่าความวังเวงที่เหมือนกับเมื่อครู่เป็นเรื่องแปลก อาจเป็นเพราะนางเผชิญหน้ากับมันเป็นครั้งที่สองแล้ว นางหันไปมองดยุกเอเฟรนี และถามเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ดยุกเอเฟรนี”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท รับสั่งมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ที่เราถามเพราะไม่แน่ใจ ผู้ที่บังอาจลอบสังหารจักรพรรดิและจักรพรรดินีจะต้องถูกลงโทษอย่างไร”
“ฝ่าบาท เรื่องนั้น…”
น่าแปลกที่ดยุกเอเฟรนีมิอาจพูดออกมาได้โดยง่าย แพทริเซียรู้สึกงุนงงเพราะคิดว่าเขาน่าจะตอบออกมาในทันทีจึงกล่าวตำหนิ
“มีอะไร ไยจึงมิพูด หรือสิ่งที่เรารู้ต่างจากสิ่งที่ท่านรู้?”
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“น่าแปลกที่ท่านไม่พูด อ้อ… หรือคนที่อยู่เบื้องหลังจะเป็นท่าน?”
“มิใช่แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท โปรดอภัยที่กระหม่อมตอบช้าไป”
ดยุกเอเฟรนีกระแอมไอเล็กน้อยก่อนจะพูดสิ่งที่แพทริเซียอยากฟัง
“ผู้ใดที่บังอาจคิดลอบปลงพระชนม์พระจักรพรรดิหรือเชื้อพระวงศ์ ตามกฎหมายของจักรวรรดิแล้ว มันผู้นั้นต้องถูกประหารโดยการตัดศีรษะไม่ว่าจะอยู่ในฐานันดรศักดิ์ใดหรืออายุเท่าใดพ่ะย่ะค่ะ”
“ตัดหัวอย่างนั้นหรือ…”
แม้จะเป็นคำที่นางพึงใจแต่แพทริเซียรู้ดีว่าการทำให้โรสมอนด์ถูกตัดหัวเพียงเพราะคำพูดของตนนั้นเป็นเรื่องยาก
แม้ตนจะเป็นจักรพรรดินีของจักรวรรดิ และตอนนี้ก็เป็นถึงผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่การจะให้คนคนหนึ่งถูกประหารโดยไม่มีหลักฐานนั้นมิใช่เรื่องง่าย เพราะเรื่องนั้นถือเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ ต่อให้อีกฝ่ายไม่ใช่โรสมอนด์ก็ตาม
สำหรับคนที่รู้เหตุการณ์ทั้งหมดอย่างตน ลูซิโอ หรือแม้แต่โรสมอนด์ เรื่องประหารนับว่าเข้าใจได้ แต่ในสายตาของคนนอกอาจมองว่าจักรพรรดินีใจแคบ ผิดใจกับอนุภรรยาจนพาลหาเรื่องมาประหารอีกฝ่ายก็เป็นได้
แพทริเซียไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น ต่อให้ไม่สนใจว่ามันจะทำให้ตนดูสกปรกหรือใจแคบเพียงใด แต่มันอาจกลายเป็นบ่วงรัดคอตนในภายภาคหน้า ไม่ว่าจะแก้แค้นหรือเอาคืนก็ต้องลงมือกระทำโดยมิให้มีผลเสียตามมาในภายหลัง ทั้งเรื่องในคราวนี้ และทั้งเพื่อตัวของนางในอนาคตข้างหน้า
แน่นอนว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความแพทริเซียว่าจะยอมถอยให้
“หัวหน้าอัศวินราชองครักษ์”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“คุมตัวบารอเนสเฟ็ลปส์กลับวังเดี๋ยวนี้”
แม้จะเป็นเพียงคำพูดสั้นๆ แต่หัวหน้าอัศวินราชองครักษ์ก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด โรสมอนด์ถูกจำกัดการเคลื่อนไหวในทันที นางมองแพทริเซียอย่างเคียดแค้น ราวกับว่าในเมื่อลูซิโอไม่อยู่ นางก็ไม่จำเป็นต้องรักษาภาพลักษณ์อีกต่อไป
แพทริเซียไม่ได้มีความคิดที่ว่า ‘ในที่สุดเจ้าก็เผยธาตุแท้ออกมาแล้วหรือ’ เพราะอีกฝ่ายแสดงออกให้แพทริเซียเห็นเป็นปกติ ที่ผ่านมาแพทริเซียเพียงแต่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นด้วยข้ออ้างสวยหรูที่ว่า นี่เป็นการเตือนหรือไม่ก็เป็นความเมตตาเท่านั้น
“การสืบสวนหาข้อเท็จจริงไว้ทำหลังจากนี้ก็ย่อมได้ แต่ตอนนี้เจ้ามิอาจเป็นไทจากข้อกล่าวหานี้ ทำเช่นนี้จึงจะแน่นอนกว่า”
“นี่ไม่เป็นธรรมกับหม่อมฉันเลยนะเพคะ ฝ่าบาท พระองค์จะทรงทำเช่นนี้กับหม่อมฉันเพียงเพราะคำพูดของพระองค์เองไม่ได้นะเพคะ!”
“เราได้รับบาดเจ็บพร้อมกับองค์จักรพรรดิและรอดพ้นจากประตูนรกกลับมาได้ เจ้าคิดว่าเราจะปั้นเรื่องขึ้นมาหรือไร?”
แพทริเซียยิ้มกว้างพลางปลอบประโลมอีกฝ่าย
“ไม่ต้องห่วง การสืบสวนจะเป็นไปอย่างรอบคอบ เพราะเราไม่ชอบซุกซ่อนอะไรไว้เบื้องหลัง”
ไม่เหมือนกับเจ้า แพทริเซียพูดต่อในใจก่อนจะส่งสัญญาณทางสายตาให้หัวหน้าอัศวินราชองครักษ์ จากนั้นโรสมอนด์ก็ถูกนำตัวออกไป นางไม่ได้กรีดร้องอย่างที่แพทริเซียคิดไว้ และไม่ได้เรียกร้องความเป็นธรรม นางเพียงแต่มองแพทริเซียซึ่งตอนนี้อยู่ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ด้วยแววตามาดร้ายและเดินจากไปด้วยเท้าของตัวเอง แต่ในเมื่อดับไฟที่สุมอกได้แล้ว แพทริเซียจึงไม่ได้สนใจเรื่องอื่นไปมากกว่าเรื่องตรงหน้า
“พระพลานามัยของฝ่าบาทสำคัญที่สุด ดังนั้นเราควรรีบกลับพระราชวัง เดมราฟาเอลา มีรถม้าไหม”
“พระอาญามิพ้นเกล้า ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้คิดว่าจะมีเรื่องเช่นนี้…”
ราฟาเอลาหน้าเสีย นางยืนกัดริมฝีปากตัวเองอยู่อย่างนั้น หน้าที่ก้มไม่ยอมเงยนั้นเดาได้ว่านางรู้สึกเสียใจและรู้สึกผิด
แพทริเซียรู้สึกได้ว่าอารมณ์ความรู้สึกของตนทะลักออกมาวูบหนึ่ง แต่นางก็ออกคำสั่งต่อไปราวกับไม่ได้รู้สึกอะไร
“เช่นนั้นเรากับฝ่าบาทจะเดินทางด้วยม้าตัวเดียวกันเพื่อความสะดวกในการอารักขา เช่นนี้น่าจะดีกว่า หน่วยองครักษ์คิดเห็นเช่นไร”
“สำหรับพวกกระหม่อม เช่นนั้นย่อมดีกว่า ทว่าพระองค์จะทรงไม่สบายพระวรกายหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“หากไม่ลำบากพวกท่าน ตัวเราก็ไม่เป็นไร”
ในเมื่อแพทริเซียพูดตัดบท อัศวินราชองครักษ์ก็มิอาจปฏิเสธต่อไปได้ แพทริเซียเริ่มเตรียมตัวกลับพระราชวังหลังจากคิดว่าจัดการเรื่องต่างๆ เสร็จสิ้นแล้ว
“เช่นนั้นก็เอาตามนี้ ช่วยเตรียมม้าตัวใหม่ให้ทีนะ ม้าของเราอ่อนล้ามากแล้ว ไม่เหมาะที่จะขี่ต่อไป”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมจะทำตามรับสั่ง”
ไม่นานแพทริเซียและลูซิโอก็ได้ขึ้นม้าตัวใหม่ นางปรับท่านั่งให้ดีเพื่อไม่ให้เขาตกลงไป หลังจากที่ขุนนางและอัศวินราชองครักษ์จัดริ้วขบวนเรียบร้อยแล้ว ทั้งขบวนก็เริ่มออกเดินทาง
โชคดีเหลือเกินที่การเดินทางใช้เวลาไม่นานนักเพราะสนามล่าสัตว์อยู่ไม่ไกลจากพระราชวังเท่าไร
“…”
แพทริเซียฟังเสียงม้าเดินกุบกับพลางมองดูลูซิโอที่อยู่ในอ้อมแขน
พิษไข้ของเขาลดลงบ้างแล้วด้วยการปฐมพยาบาลเบื้องต้นจากหมอหลวง แต่ร่างกายของเขาก็ยังร้อนอยู่ แพทริเซียถอนหายใจออกมา ทำไมเรื่องถึงลุกลามมาถึงขั้นนี้ได้? เวลาผ่านไปแค่วันเดียวเท่านั้น แต่หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้
และในอนาคตจะมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เปลี่ยนไป แพทริเซียมีสีหน้ากระวนกระวายใจแต่ก็กระชับอ้อมแขนที่กอดลูซิโอเอาไว้ นางรู้สึกว่าร่างกายกำลังสั่นระริก นางจะพักหรือล้มป่วยไม่ได้จนกว่าจะจัดการเรื่องวุ่นวายนี้ให้จบสิ้นเสียก่อน
แพทริเซียพึมพำกับตัวเองว่าให้ทนต่อไปอีกหน่อย และภาวนาให้ถึงพระราชวังเร็วขึ้นแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม
***
หลังจากสั่งให้เหล่าขุนนางแยกย้ายกันไป และพาลูซิโอที่ได้รับการรักษาอย่างดีแล้วไปที่ห้องนอนของเขา แพทริเซียก็รู้สึกสบายใจขึ้น เพราะนั่นหมายความว่านางได้ทำสิ่งที่ต้องทำสำเร็จไปอีกเรื่องแล้ว แพทริเซียออกจากตำหนักกลางเพื่อไปจัดการเรื่องต่อไป แต่หนึ่งในสองหมอหลวงก็รั้งนางไว้ก่อน
“ฝ่าบาท พระองค์ก็ควรได้รับการตรวจพระวรกายนะพ่ะย่ะค่ะ”
“…”
ครั้นได้ยินดังนั้น แพทริเซียก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แต่นางก็ทำสีหน้าเหมือนไม่เป็นอะไรและหันกลับไปพูดกับหมอหลวง
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้เรามีเรื่องด่วนต้องทำ”
“แต่ว่าฝ่าบาท…”
“ไม่ต้องเป็นห่วง อีกเดี๋ยวเราจะเรียกหาท่านเอง หัวหน้านางกำนัล เราฝากดูแลฝ่าบาทด้วย”
“เพคะ ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย”
ได้ยินดังนั้น แพทริเซียก็ออกจากตำหนักกลางไป ตอนนี้ได้เวลาไปหาโรสมอนด์แล้ว
โรสมอนด์ถูกหัวหน้าอัศวินราชองครักษ์นำตัวมาขังไว้ที่ตำหนักของตัวเอง แม้นางจะถูกคุมขังเช่นนี้แต่สีหน้าของนางกลับไร้แววสลด นางมองไปที่จุดจุดหนึ่งอย่างเงียบๆ ส่วนคลารากำลังเป็นกังวลว่าสติของนายหญิงจะผิดปกติ เพราะไม่ได้เห็นอีกฝ่ายตกอยู่ในสภาพนี้มานานมากแล้ว
แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่โรสมอนด์ยังคงมีสติครบถ้วน ไม่สิ บางทีสภาพเช่นนี้อาจใกล้เคียงกับพฤติกรรมที่นางทำเป็นปกติที่สุดก็เป็นได้
โรสมอนด์ปิดปากเงียบ หลับตา มีสีหน้าคล้ายกำลังครุ่นคิด
“ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เสด็จ”
ทั้งที่ดูไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นแต่พระราชวังแห่งนี้กลับเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วนัก เวลาเพิ่งจะผ่านไปได้ไม่กี่ชั่วโมงแต่กลับมีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ขึ้นมาเสียนี่ โรสมอนด์ยิ้มเยาะและค่อยๆ ลืมตาขึ้น แพทริเซียยังคงอยู่ในชุดเกราะที่มีเลือดเกรอะกรังแทนที่จะเป็นชุดเดรส อา ช่างไร้ความสง่างาม โรสมอนด์เดาะลิ้นในใจก่อนจะพูดกับแพทริเซีย
“เวลาน่าจะเพียงพอให้เปลี่ยนฉลองพระองค์นะเพคะ ฝ่าบาท”
“แล้วมันเป็นกงการอะไรของเจ้า”
แม้จะถูกโต้กลับอย่างเชือดเฉือน แต่โรสมอนด์ก็พูดต่อด้วยสีหน้าปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ก็ได้เพคะ ฝ่าบาท แล้วพระองค์คุมขังหม่อมฉันด้วยเหตุใดหรือเพคะ”
“เจ้าน่าจะรู้จากที่เราอธิบายไปเมื่อครู่แล้วมิใช่หรือ บารอเนสเฟ็ลปส์ หากเจ้าพยายามจะลอบทำร้ายเราซึ่งเป็นจักรพรรดินี ข้อหานี้ก็เพียงพอแล้วกระมัง?”
“พระองค์มีหลักฐานหรือเพคะ”
“เรื่องนั้นเมื่อสืบความดูก็จะพบเอง เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล”
สิ้นคำ แพทริเซียก็มองโรสมอนด์ตั้งแต่หัวจรดเท้า นางสั่งคุมขังอีกฝ่ายอย่างเร่งด่วนก็จริง แต่เพื่อการสืบสวนที่มีประสิทธิภาพ นางควรกำจัดความกังวลเกี่ยวกับการทำลายหลักฐานออกไปด้วย แพทริเซียยิ้มเย็นก่อนจะเรียกหาคน
“ตรงนั้นมีใครอยู่หรือไม่”
นางพูดสั้นๆ ไม่นานอัศวินราชองครักษ์หลายนายก็กรูกันเข้ามา แพทริเซียออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“นำตัวบารอเนสเฟ็ลปส์ไปขังไว้ที่คุกใต้ดินน่าจะเหมาะกว่า ไม่แน่นางอาจหาทางทำลายหลักฐาน และนอกจากคนที่มีตราประทับจากเรา ห้ามใครก็ตามเข้าออกห้องนี้”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
โรสมอนด์ตกอยู่ในสถานการณ์คับขันที่ต้องถูกฉุดลากอีกครั้ง แพทริเซียมองดูภาพนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย และเมื่อเหลือบไปเห็นคลาราที่ยืนละล้าละลังทำตัวไม่ถูกอยู่ใกล้ๆ นางก็พูดต่อราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้
“อ้อ ลากตัวสาวใช้คนนั้นไปด้วย แล้วอย่าลืมแยกขังเดี่ยวพวกนางด้วยล่ะ”
ลูซิโอรู้สึกเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างกำลังบิดเบี้ยว ช่วงเวลาที่เหมือนกับ ‘วันนั้น’ กำลังคืบคลานใกล้เข้ามาอีกครั้ง มันเป็นช่วงเวลาที่ทุกความเป็นจริงที่เขารู้ได้ผิดเพี้ยนไป และเขาต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่ใหม่กว่า ลูซิโอรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าการเปลี่ยนแปลงได้มาถึงแล้ว และเขาไม่รู้ว่าความรู้สึกของตนจะเป็นเช่นไรในวังวนของการเปลี่ยนแปลงนั้น
เขาเป็นจักรพรรดิที่ได้รับการยกย่อง และเขาเป็นนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ความขัดแย้งของเหล่าขุนนางสงบลงได้ด้วยอำนาจของจักรพรรดิ แต่ในเรื่องความรัก เขาเป็นเพียงคนที่ไม่รู้ประสีประสาเท่านั้น โชคชะตาได้กำหนดให้เขาเป็นเช่นนั้นมาตั้งแต่แรก หรืออย่างน้อยจนถึงตอนนี้เขาก็ยังเป็นเช่นนั้น เป็นชายที่อ่อนไหวในเรื่องความรักอย่างรุนแรง
อีกด้านหนึ่ง แพทริเซียที่จำเส้นทางที่ผ่านมาได้ก็เอ่ยปากบอกลูซิโออย่างกระตือรือร้น
“ฝ่าบาท นี่เป็นทางที่เรามาเพคะ หากโชคดีเราอาจจะกลับไปได้ทันเวลา”
“อย่างนั้นหรือ ดีเลย…อึก!”
ทันใดนั้นแพทรีเซิยก็ได้ยินเสียงร้องคล้ายเจ็บปวด จึงถามอย่างร้อนใจในขณะที่ยังควบม้าต่อไป
“ฝ่าบาท เป็นอะไรไปเพคะ!”
“อึก…ไม่มีอะ…”
แต่แล้วคำตอบก็หยุดลง แพทริเซียรีบหยุดม้าเพื่อตรวจดูอาการของลูซิโอ บ้าจริง หน้าผากของเขาร้อนเป็นไฟ ดูเหมือนว่าอาการไข้จะยังไม่หายดี หน้าผากของแพทริเซียยับย่นดูราวกับมีคำว่า ‘แย่แล้ว’ เขียนเอาไว้
หากนางมัวแต่โอ้เอ้อยู่ตรงนี้ก็ยากที่จะไปถึงสถานที่จัดงานได้ทันเวลา นางตั้งมั่นในใจว่าต้องรีบกลับไปให้เร็วที่สุด ปากก็พูดกับลูซิโอด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ฝ่าบาท อดทนไว้ก่อนนะเพคะ”
แพทริเซียกอดลูซิโอไว้จากด้านหลังอย่างระมัดระวังเพื่อป้องกันไม่ให้เขาตกจากหลังม้า จากนั้นนางก็เริ่มควบม้าอีกครั้ง ตอนนี้ไม่มีเวลาเหลือแล้วจริงๆ หากเขายังไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องโดยเร็ว นางคงไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยในชีวิตของเขาได้
ในเวลาเดียวกันนั้น ด้านสถานที่จัดงานก็กำลังโกลาหล
“ฝ่าบาทประทับอยู่ที่ใดกันแน่!”
“พระจักรพรรดิและพระจักรพรรดินีทรงหายตัวไปพร้อมกันอย่างนั้นรึ นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น”
“หรือจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับพระองค์?”
เหล่าขุนนางกำลังตื่นตระหนกที่จักรพรรดิและจักรพรรดินีไม่กลับมาในเวลาที่กำหนด และผู้ที่ถูกซักถามเป็นกลุ่มแรกย่อมเป็นอัศวินราชองครักษ์ของทั้งสองคนซึ่งในที่นี้รวมถึงราฟาเอลาด้วย แม้ว่าคนเหล่านั้นจะทำตามคำสั่งของทั้งคู่ที่ต้องการเวลาส่วนตัว แต่ในสถานการณ์เช่นนี้หากใช้เรื่องนั้นมาเป็นข้อแก้ตัวย่อมมีแต่จะเสียมากกว่าได้
ทันใดนั้นก็มีการเปิดประชุมขุนนาง ณ กระโจมชั่วคราวในสถานที่จัดงาน เหล่าขุนนางเห็นพ้องต้องกันว่าต้องกระจายกำลังออกตามหาจักรพรรดิและจักรพรรดินี โดยจะแบ่งอัศวินที่เข้าร่วมงานออกเป็นกลุ่มๆ และกระจายกันตามหาตามพื้นที่ต่างๆ
เหล่าขุนนางแย้มยิ้มอย่างยินดีเมื่อได้ข้อสรุปที่เหมาะสม ดยุกวาเซียร์ซึ่งถูกแต่งตั้งเป็นผู้รับผิดชอบงานนี้กำลังเรียกรวมพลเหล่าอัศวินเพื่อสั่งการ
ครั้นเสร็จสิ้นการกำหนดแนวทางปฏิบัติในแต่ละส่วน ใครคนหนึ่งก็เข้ามาในกระโจม เมื่อมีคนไม่คุ้นหน้าปรากฏตัวขึ้น สายตาทุกคู่ของเหล่าขุนนางจึงมุ่งไปที่ประตู เมื่อเห็นว่าคนแปลกหน้าผู้นั้นเป็นใคร ดยุกวาเซียร์ก็ขมวดคิ้วเรียกชื่อของอีกฝ่าย
“บารอเนสเฟ็ลปส์”
“ดยุกวาเซียร์ นั่นเป็นเรื่องจริงหรือคะ”
โรสมอนด์ไต่ถามความจริงจากดยุกวาเซียร์ด้วยริมฝีปากสั่นระริก ทว่าดยุกวาเซียร์กลับถามกลับด้วยสีหน้าเย็นชา
“ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร เลดี้เฟ็ลปส์”
“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอกค่ะ ที่ว่าฝ่าบาททรงหายตัวไปเป็นเรื่องจริงหรือคะ”
“น่าเสียดายที่เป็นเรื่องจริง”
เห็นดยุกวาเซียร์ตอบด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ร่างกายของโรสมอนด์ก็สั่นเทาโดยไม่รู้ตัว บ้าจริง มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ ผู้เคราะห์ร้ายที่นางหวังมีเพียงแพทริเซียเท่านั้น ไม่ใช่ลูซิโอ!
“อา… จะทำอย่างไรดี…” โรสมอนด์พูดทั้งน้ำตานองหน้าอย่างน่าสงสาร
“จะมีการนำกำลังออกค้นหาในไม่ช้า เลดี้ไม่ต้องกังวล ยิ่งไปกว่านั้น เลดี้เฟ็ลปส์ซึ่งควรจะอยู่ที่พระราชวัง ไฉนจึงมาอยู่ที่นี่ได้”
“ข้าเพียงแต่ออกมารับเสด็จฝ่าบาทแล้วมาได้ยินเรื่องนี้เข้าเท่านั้นค่ะ ใต้เท้า พระเจ้าช่วย…ทำไมเรื่องเช่นนี้…”
โรสมอนด์ยืนโงนเงนคล้ายหญิงสาวผู้อ่อนแอที่ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ คลาราที่ยืนอยู่ด้านข้างจึงรีบเข้าไปประคองผู้เป็นนายทันที ดยุกเอเฟรนีเห็นดังนั้นก็ออกคำสั่งกับคลาราด้วยสีหน้ารำคาญใจ
“ท่าทางเลดี้เฟ็ลปส์จะตกใจมาก เจ้ารีบพานางไปที่อื่นเถิด”
“ค่ะ ใต้เท้า”
คลารารีบร้อนตอบก่อนจะประคองโรสมอนด์ออกไป โรสมอนด์แสร้งทำตัวอ่อนแอจนกระทั่งออกจากกระโจมอย่างไร้ปัญหา อาการวิงเวียนศีรษะของโรสมอนด์นั้นคล้ายเป็นการแสดงมากกว่าเป็นเรื่องจริง แต่ ณ เวลานี้โรสมอนด์ชักอยากจะเป็นลมไปจริงๆ เสียแล้ว
ที่หายไปไม่ได้มีเพียงแพทริเซียหรือนี่! สำหรับโรสมอนด์แล้วการที่ลูซิโอและแพทริเซียหายตัวไปพร้อมกันเป็นบทสรุปที่เลวร้ายที่สุด
หากลูซิโอไม่กลับมาเช่นนี้ หรือในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือถ้าเขาตาย ราชบัลลังก์ก็จะตกไปอยู่กับเชื้อพระวงศ์คนใดคนหนึ่ง และหากเป็นเช่นนั้น นางก็จะหมดข้ออ้างที่จะอยู่ในพระราชวังนี้ต่อไป โรสมอนด์กัดเล็บด้วยความไม่สบายใจที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น จะลงมือทำอะไรก็สายเกินไปเสียแล้ว มิหนำซ้ำแถวนี้ยังมีหูตามากมาย
“บ้าจริง ข้าจะทำอย่างไร…”
“ใต้เท้า!”
ในตอนนั้นเอง ใครคนหนึ่งวิ่งผ่านนางเข้าไปในกระโจมอย่างรีบร้อน โรสมอนด์ขมวดคิ้วมุ่นและหันกายกลับไป ค่อยๆ ก้าวเท้าเข้าไปใกล้กระโจมเพื่อสังเกตการณ์ อัศวินที่วิ่งเข้าไปเมื่อครู่หอบหายใจก่อนจะอ้าปากรายงานอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ใต้เท้า พบทั้งสองพระองค์แล้วขอรับ!”
ครั้นได้ยินดังนั้น ตาของโรสมอนด์ก็เบิกโพลง นางไม่รู้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้นางควรจะดีใจหรือเสียใจกันแน่
การหาลูซิโอพบนับเป็นความโชคดีแน่แท้ แต่ที่อัศวินคนนั้นกล่าวถึงมิใช่แค่ ‘พระจักรพรรดิ’ แต่กลับเป็น ‘ทั้งสองพระองค์’ ซึ่งหมายความว่าไม่ได้พบแค่ลูซิโอ แต่รวมถึงแพทริเซียด้วย โรสมอนด์กัดฟันกรอดด้วยโทสะที่พวยพุ่งขึ้นมา หรือจะมีอะไรผิดพลาด?
“ไอ้พวกไร้ประโยชน์”
เสียงของเหล่าขุนนางกลบเสียงพึมพำด้วยโทสะของโรสมอนด์จนหมดสิ้น
“พบทั้งสองพระองค์แล้วอย่างนั้นรึ”
“ตอนนี้ทั้งสองพระองค์ประทับอยู่ที่ใด”
“ทั้งสองพระองค์ทรงปลอดภัยดีหรือไม่”
“ใจเย็นก่อนขอรับ ใต้เท้า ทั้งสองพระองค์ทรงปลอดภัยดี ทว่า…”
ในตอนนั้นเองข้างนอกก็เกิดความวุ่นวาย อัศวินผู้นั้นจึงหยุดพูดไป ขุนนางทยอยกันออกมาดูเหตุการณ์และได้พบจักรพรรดิและจักรพรรดินีกำลังขี่ม้าเข้ามา ครั้นเห็นคนทั้งคู่ เหล่าขุนนางก็พากันตกใจรีบวิ่งเข้าไปหา
“พระจักรพรรดิ!”
“พระจักรพรรดินี ทรงปลอดภัยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“…”
จักรพรรดิสลบอยู่ในอ้อมแขนของจักรพรรดินี และสีหน้าของจักรพรรดินีที่ตระกองกอดจักรพรรดิอยู่ก็ดูอ่อนล้าเสียเหลือเกิน แพทริเซียรีบเปิดปากออกคำสั่งอย่างเร่งรีบ
“พระจักรพรรดิทรงต้องศรอาบยาพิษ รีบตามหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้! หมอหลวงอยู่ที่ใด”
เป็นที่รู้กันว่าจักรพรรดินีเป็นสตรีที่มีวาจาสุภาพนอบน้อมเสมอ แม้แต่กับผู้ที่มีศักดิ์ต่ำกว่า แต่ตอนนี้นางกลับใช้คำพูดธรรมดากับคนที่ไม่ใช่นางกำนัลหรือข้ารับใช้แต่เป็นขุนนาง ราวกับว่านางพูดกับพวกเขาเช่นนี้เป็นปกติ ทุกคนในที่นั้นรวมถึงขุนนางทั้งหลายต่างตกตะลึงกับความเปลี่ยนแปลงนี้ มาร์ควิสโกรเชสเตอร์ผู้เป็นบิดาของแพทริเซียได้สติเป็นคนแรก และพูดกระตุ้นให้ทุกคนยอมรับความเปลี่ยนแปลงนั้นได้ในทันที
“ทำอะไรกันอยู่ ยังไม่รีบไปตามหมอหลวงอีกรึ!”
สิ้นเสียง ผู้คนที่มัวแต่ตกตะลึงก็เริ่มขยับตัวกันอย่างรีบร้อน เหล่าอัศวินช่วยพาแพทริเซียและลูซิโอลงจากหลังม้า แพทริเซียรู้สึกวิงเวียนด้วยฤทธิ์ของยาพิษที่ยังสลายไปไม่หมด แต่นางก็รวบรวมสติที่มีทั้งหมดเพื่อไม่ให้ตัวเองหมดสติไปเสียก่อน
ในระหว่างที่หมอหลวงรีบวิ่งเข้ามาดูอาการของลูซิโอที่สลบไปแล้ว แพทริเซียก็พบว่าโรสมอนด์ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ไม่ไกล เสี้ยววินาทีนั้นหญิงสาวรู้สึกถึงโทสะที่พวยพุ่งขึ้นมาจนแทบจะอดกลั้นไม่ไหว แต่แทนที่จะบันดาลโทสะ นางกลับไตร่ตรองก่อนว่าควรจะทำอย่างไรจึงจะใช้สถานการณ์นี้ให้เป็นประโยชน์ได้มากที่สุด แพทริเซียใช้เวลาคิดเพียงชั่วครู่ ก่อนจะเลือกวิธีที่นางคิดว่าน่าจะเหมาะสมที่สุดและจะไม่เสียใจในภายหลัง
“เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่”
“ฝ่าบาท”
โรสมอนด์ค้อมกายทำความเคารพอย่างงดงาม เป็นท่วงท่าที่หาได้มีความสั่นไหวเช่นเมื่อครู่ และเป็นท่วงท่าที่แม้แต่แพทริเซียซึ่งไม่รู้สถานการณ์ก่อนหน้านี้ยังมองว่าหน้าไม่อาย นางปล่อยให้ตัวเองหัวเราะออกมาอย่างอัดอั้น
“ใช่ เป็นเราเอง บารอเนสเฟ็ลปส์ เจ้ามาทำอะไรที่นี่อย่างนั้นหรือ”
“หม่อมฉันออกมารับเสด็จพระจักรพรรดิเพคะ ฝ่าบาท”
“การรับฝ่าบาทกลับวังเป็นหน้าที่ของภรรยาหลวงเช่นเรา มิใช่กงการอะไรของอนุภรรยาอย่างเจ้า หรือเจ้าบังอาจคิดเทียบชั้นจักรพรรดินี?”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเพคะ ฝ่าบาท”
ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด โรสมอนด์ก็ยังคงตีหน้าซื่อได้อยู่เสมอ เพราะนางตายด้านเสียจนมิอาจมีสิ่งใดมาสะเทือนอารมณ์ความรู้สึกของนางได้
อย่างไรเสียนางก็ยังคงเป็นมนุษย์ปุถุชน บางครั้งนางจึงวูบไหวไปตามอารมณ์อยู่บ้าง แม้จะพบเห็นได้ยาก แต่มีเหตุการณ์เช่นนั้นอยู่เป็นแน่…
“เจ้าคงมิได้ถ่อมาถึงนี่เพื่อรับเสด็จกระมัง ใช่หรือไม่?”
“หม่อมฉันไม่เข้าใจว่าพระองค์ตรัสถึงเรื่องใดเพคะ”
“เจ้ามาเพราะสงสัยว่าเราตายไปแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่มิใช่หรือ”
…ดังเช่นเหตุการณ์ในตอนนี้ โรสมอนด์หน้าเสีย นางรับรู้ได้ว่าพวกขุนนางและอัศวินที่อยู่รอบๆ กำลังตกใจ
แพทริเซียเขม้นมองโรสมอนด์ด้วยสีหน้าเย็นชา เมื่อหมอหลวงมาถึงนางจึงค่อยเบนสายตาไปที่เขา และอธิบายสถานการณ์อย่างใจเย็น
“ฝ่าบาททรงรับศรพิษแทนเรา พระองค์เสวยน้ำดอกสกัลป์เลอร์เข้าไปแล้ว แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใดจึงไม่ฟื้นคืนพระสติเสียที พวกท่านรีบตรวจดูพระอาการเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
หมอหลวงรับคำหนักแน่นก่อนจะเริ่มตรวจอาการ แพทริเซียมองดูเหล่าขุนนางที่อยู่รายล้อม พวกเขากำลังส่งสายตาคล้ายต้องการคำอธิบายเรื่องทั้งหมด แพทริเซียจึงเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ
“อย่างที่พวกท่านได้ยิน เราถูกลอบสังหาร ฝ่าบาททรงรับศรอาบยาพิษแทนเรา และเราก็พาพระองค์ซึ่งหมดสติหลบหนีกลุ่มนักฆ่า”
เมื่อแผนลอบสังหารจักรพรรดินีถูกเปิดเผย เสียงเซ็งแซ่ก็ดังขึ้นจากทั่วทุกสารทิศ แพทริเซียยังคงใจเย็นและพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงทรงพลัง
“แต่แล้วพวกเราก็ถูกไล่ต้อนไปจนถึงริมผา ตัวเราและฝ่าบาทเกือบต้องตายด้วยน้ำมือของนักฆ่า ในท้ายที่สุด เราไม่มีทางเลือกจึงต้องทิ้งร่างลงจากหน้าผา”
“พระเจ้าช่วย!”
ครั้นฟังมาถึงตรงนี้ ขุนนางคนหนึ่งก็อุทานอย่างเสียขวัญ แม้นั่นจะเป็นปฏิกิริยาที่ไม่เลว แต่แพทริเซียก็ยังคงจดจ้องไปที่โรสมอนด์อย่างเยือกเย็น ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายสงบสติอารมณ์ได้ตั้งแต่เมื่อไร นางกำลังมองมาที่แพทริเซียและลูซิโอด้วยสีหน้าสะเทือนใจราวกับไม่มีส่วนรู้เห็น ช่างเป็นผู้หญิงไร้ยางอายที่ไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ตนทำเป็นเรื่องน่าละอาย แพทริเซียรู้สึกคล้ายมีอะไรมาจุกที่คอแต่ก็พยายามพูดต่อไป
“ที่เรารอดมาได้คงเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า หากพระจักรพรรดิมิใช่ทายาทแห่งสุริยันแล้วล่ะก็ เรื่องคงไม่เป็นเช่นนี้”
“แม้ฝ่าบาทจะมิใช่ทายาทแห่งสุริยัน แต่ก็ยังทรงอยู่รอดปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนเช่นนี้ ดูเหมือนพระองค์จะทรงได้รับความรักจากพระผู้เป็นเจ้านะเพคะ”
ช่างเป็นคำชมที่ไม่เหมือนคำชมจนน่าขัน แพทริเซียมิอาจห้ามตัวเองไม่ให้ส่งเสียงหัวเราะอย่างเยือกเย็นออกมาได้ นางคิดว่าตนทนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว และความจริงแล้วนางก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องทน หญิงสาวจึงเอ่ยปากพูดคำเชือดเฉือนโรสมอนด์ด้วยสีหน้าที่ไร้การปั้นแต่ง
“อ้อ นั่นสิ ชะตาชีวิตของเรากับฝ่าบาทคงไม่ดับดิ้นเพียงเพราะแผนชั่วของอนุกระมัง เพราะหากพระผู้เป็นเจ้ามีพระประสงค์เช่นนั้น เราคงไม่ได้รับเลือกให้เป็นจักรพรรดินีตั้งแต่แรก”
“…”
เสียงอื้ออึงโดยรอบเงียบกริบด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว
แพทริเซียรีบเงยหน้าขึ้นจากตักและหันไปทางต้นเสียง สีหน้าของนางเปี่ยมไปด้วยความหวังขณะจ้องมองลูซิโอที่นิ่วหน้าเล็กน้อย สีหน้าของเขาดูไม่ดี บนหน้าผากมีเหงื่อกาฬผุดขึ้นมาคล้ายกำลังฝันร้าย
แพทริเซียกัดริมฝีปากเบาๆ ก่อนจะฉีกเสื้อที่ใส่อยู่ออกมาส่วนหนึ่งใช้เป็นผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อที่หน้าผากให้ลูซิโอ วิธีที่แน่นอนที่สุดที่จะไม่ฝันร้ายก็คือการตื่นจากความฝัน เพราะฉะนั้นท่านรีบตื่นขึ้นมาเถิด ไม่ว่าท่านจะฝันร้ายเรื่องใดก็ไม่น่าจะร้ายไปกว่าสถานการณ์ตอนนี้
“ฮือ… ไม่นะ…”
“…”
อาการของลูซิโอเลวร้ายว่าที่แพทริเซียคิด นั่นทำให้นางกลัวขึ้นมา นางไม่รู้ว่าทำไมผู้ชายคนนี้จึงเป็นเช่นนี้ สีหน้าของแพทริเซียมีแววตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด นางพยายามคิดว่าควรจะทำอย่างไรแต่นางก็คิดวิธีดีๆ ไม่ออกเลย
แพทริเซียขบคิดอยู่ครู่ใหญ่และวิธีที่นางนึกขึ้นได้ก็คือ วิธีที่มารดาของนางใช้เสมอเมื่อนางหรือเปโตรนิยาในวัยเด็กนอนฝันร้าย
นางดึงลูซิโอที่ยังครวญครางอย่างทรมานมานอนหนุนตัก แล้วลูบเรือนผมสีดำอ่อนนุ่มของเขา
แพทริเซียไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะต้องมาใช้วิธีนี้กับผู้ชายคนนี้แต่นางก็ไม่มีทางเลือก ครั้นจะบอกว่าวิธีนี้ไม่ได้ผลเลยก็คงไม่ได้เพราะมารดาของนางเคยกล่อมให้นางหลับด้วยวิธีนี้เสมอ
แพทริเซียได้แต่หวังว่าการกระทำนี้จะทำให้เขาตื่นขึ้นมาเร็วขึ้นแม้สักนิด
“ชู่ว~ ฝ่าบาท ไม่เป็นไรเพคะ”
“อึก… ฮา…”
“ไม่เป็นไรเพคะ ฝ่าบาท สูดหายใจลึกๆ เพคะ หายใจเข้า…ออก…”
อา นี่ข้ากำลังทำอะไรอยู่กันนะ แพทริเซียรู้สึกกระดากอายในใจ นางไม่ได้แสดงอาการออกมาและยังคงทำหน้าที่ของตนต่อไปอย่างตั้งใจ
หญิงสาวลูบศีรษะของอีกฝ่ายต่อไปอย่างนุ่มนวล ปากก็พูดแต่คำหวาน นี่หากเปโตรนิยาหรือราฟาเอลามาเห็นเข้าคงตกใจหน้าตั้งเป็นแน่
“ชู่ว… ฝ่าบาท”
“มะ…ไม่…ได้โปรด…”
“…”
ชายคนนี้กำลังฝันถึงอะไรกันแน่ แพทริเซียนึกสงสัยขึ้นมา เขาต้องฝันถึงเรื่องอันใดถึงได้ดูทุรนทุรายเช่นนี้ นางไม่เคยสงสัยเรื่องส่วนตัวหรือความเป็นมาของผู้ชายคนนี้มาก่อน ทว่า ไม่รู้ทำไมคราวนี้นางจึงสงสัย ต้องฝันถึงเรื่องใด ผู้ฝันถึงได้ทรมาน ต้องฝันถึงเรื่องใด ผู้ฝันจึงมีสีหน้าที่น่าสงสารได้ถึงเพียงนี้
นางไม่เคยเห็นลูซิโอมีสีหน้าท่าทางเช่นนี้เลยสักครั้ง
“อา…”
ในตอนนั้นเอง แพทริเซียก็รู้สึกตัวว่าตนปล่อยให้อารมณ์ชักนำมากเกินไป นางส่ายหน้าอย่างแรง ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเรื่องนั้น ต้องมุ่งความสนใจไปที่การทำให้ลูซิโอฟื้นขึ้นมาเสียก่อน แพทริเซียลูบแก้มของลูซิโออย่างอ่อนโยนอีกครั้งด้วยสีหน้าที่เย็นชาขึ้นเล็กน้อย
“อา…!”
ลูซิโอร้องออกมาเบาๆ ก่อนจะลืมตาโพลง แพทริเซียสบตากับเจ้าของดวงตาสีนิลอย่างกะทันหัน สีหน้าของนางดูตกใจกว่าอีกฝ่าย ด้วยความตกใจนางจึงหลุดปากเรียกเขาอย่างไม่ตั้งใจ
“ฝ่าบาท…!”
“…จักรพรรดินี?”
ลูซิโอเรียกนางด้วยน้ำเสียงแหบพร่า แพทริเซียรู้สึกไม่ชอบใจเสียงนั้นอย่างไร้สาเหตุ นางกัดปากเบาๆ ก่อนจะพยักหน้า เขามองนางอย่างสงสัย คล้ายจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นเขาก็จำเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นได้จึงเอ่ยปากถาม
“เรา…ทำไม…ตอนนี้เราอยู่ที่ใด”
“ฝ่าบาทรับธนูอาบยาพิษแทนหม่อมฉัน ตอนนี้พระองค์ประทับอยู่ในถ้ำห่างจากสนามล่าสัตว์เพคะ ในเมื่อทรงฟื้นแล้ว พวกเราก็ควรกลับสถานที่จัดงานเสียที ทรงลุกขึ้นไหวหรือไม่เพคะ”
แพทริเซียอธิบายเหตุการณ์อย่างรวดเร็วและถามความเห็นของลูซิโอซึ่งอีกฝ่ายก็ได้แต่พยักหน้า นางค่อยๆ พยุงเขาขึ้นมาและถามอาการ
“พระวรกายเป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
“ไม่เป็นไร ยิ่งไปกว่านั้น…หากเราถูกศรอาบยาพิษจริง การแก้พิษคงทำได้ลำบาก เจ้าทำได้อย่างไรกัน”
“…”
แพทริเซียลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบออกไปตามความจริง
“หม่อมฉันดูดพิษออกมา แต่นั่นน่าจะยังไม่เพียงพอ หม่อมฉันจึงออกไปหาสมุนไพรและบังเอิญพบดอกสกัลเลอร์เข้า พระองค์ได้เสวยดอกสกัลเลอร์เข้าไปจึงคืนสติขึ้นมาได้เพคะ”
“สกัลเลอร์อย่างนั้นหรือ…”
เขามีสีหน้าตกตะลึง จากนั้นแพทริเซียก็พูดอย่างเร่งเร้า
“ฝ่าบาท เรื่องอื่นหม่อมฉันจะกราบทูลระหว่างทาง หากไม่กลับไปให้ทันเวลา ในวังจะต้องโกลาหลเป็นแน่ พระองค์ต้องรีบเสด็จกลับวังเพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องนะเพคะ”
“ได้สิ”
แพทริเซียยื่นเสื้อของลูซิโอคืนให้เจ้าตัว เสื้อตัวนั้นเดิมทีแล้วเปียกโชก แต่ตอนนี้มันถูกตากอยู่ข้างกองไฟที่แพทริเซียจุดขึ้นมาอย่างยากลำบากจนเกือบจะแห้งสนิทแล้ว ส่วนแพทริเซียไม่มีอะไรให้สวมใส่คลุมร่างเพราะนางปล่อยเสื้อผ้าลอยน้ำไปหมดแล้ว เมื่อลูซิโอสังเกตเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เสื้อผ้าของเจ้าไปไหนเสียล่ะ”
“อ้อ…”
แพทริเซียขบคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าควรจะอธิบายอย่างไร แต่แล้วนางก็รีบเปลี่ยนเรื่องด้วยคิดว่าหากมัวแต่อธิบายเรื่องนี้จะยิ่งเป็นการเสียเวลา
“เรื่องนั้นหม่อมฉันก็จะกราบทูลระหว่างทางเช่นกัน พระองค์สวมเสื้อนี่ก่อนเถิดเพคะ”
“เจ้าเอาของเราไปสวมเถอะ”
“ฝ่าบาท”
แพทริเซียไม่อยากต่อปากต่อคำด้วยเรื่องเช่นนี้ อีกฝ่ายเป็นคนป่วย ต่อให้เขาเป็นฝ่ายที่ถูกลอบสังหารและไม่มีเสื้อผ้าใส่ นางก็จะยกเสื้อของตัวเองให้เขาใส่อยู่ดี แพทริเซียอธิบายความตึงเครียดของสถานการณ์ด้วยสีหน้าจริงจัง
“หม่อมฉันสบายดี แต่พระองค์บาดเจ็บนะเพคะ คนป่วยย่อมต้องได้รับการใส่ใจเรื่องการรักษาอุณหภูมิร่างกายมากกว่าคนไม่ป่วย”
“เราไม่เป็นไร”
พูดไม่รู้ความเสียจริง แพทริเซียแสดงออกทางสีหน้าว่าคำพูดของอีกฝ่ายช่างเหลวไหล พลางพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่าครึ่งค่อนวันมานี้หม่อมฉันต้องลำบากเพียงใดกว่าพระองค์จะทรงฟื้นขึ้นมาได้ หากไม่ประสงค์จะทำให้ความพยายามของหม่อมฉันต้องสูญเปล่า โปรดทำตามความประสงค์ของหม่อมฉันด้วยเพคะ หม่อมฉันสบายดี”
“…”
สุดท้ายลูซิโอก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ และทำตามที่แพทริเซียต้องการ เมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้ว แพทริเซียก็คลายเชือกที่ผูกแซลลี่ไว้ ก่อนจะขึ้นขี่พร้อมกับลูซิโอ นางนั่งอยู่ด้านหลังของอีกฝ่ายเพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดฝัน จากนั้นก็สั่งให้ม้าค่อยๆ ออกเดิน
“ย่ะห์!”
เจ้าม้าเริ่มเร่งความเร็วในการวิ่ง อีกไม่นานอาทิตย์จะตกดินแล้วและการหาทางกลับก็จะยิ่งยากขึ้น เพราะทั้งคู่หลงเข้าไปในป่าลึกตั้งแต่หัววันทำให้ตอนนี้แพทริเซียก็แทบจะหาทางกลับไม่เจอแล้ว หากฟ้ามืด ทั้งคู่ก็มีแต่ต้องหยุดเดินทางเท่านั้น
หากหยุดเดินทางแล้วพบกับพวกนักฆ่าที่กำลังตามล่าพวกเขาอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นอันจบสิ้น แพทริเซียกระชับบังเหียนในมือ
“ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนส่งนักฆ่ามาลอบสังหารหม่อมฉัน”
“…”
แพทริเซียเปิดบทสนทนาราวกับพูดเรื่องทั่วไป ลูซิโอได้ฟังดังนั้นก็ไม่พูดอะไร แพทริเซียคล้ายจะล่วงรู้ความคิดของอีกฝ่ายจึงเอ่ยถาม
“ฝ่าบาทไม่ตรัสอะไรเลยเช่นนี้ หรือทรงทราบถึงผู้อยู่เบื้องหลัง?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร เราเพียงแต่…สงสัยคนผู้หนึ่งอยู่เท่านั้น น่าจะเป็นคนเดียวกับที่เจ้ากำลังสงสัยกระมัง”
“…”
การที่เขาตอบออกมาในทันทีนั้นไม่ใช่แค่เรื่องเล็กน้อย ในทางกลับกัน มันกลับมีน้ำหนักอย่างมาก แพทริเซียกัดริมฝีปากแน่นก่อนจะสารภาพ
“ตอนที่พระองค์หมดสติไป หม่อมฉันได้ถามนักฆ่าพวกนั้น”
“…”
“ว่าใครส่งพวกเขามา”
“พวกมันยอมบอกง่ายๆ หรือ?”
“ใช่แล้วเพคะ คงเพราะพวกมันตั้งใจจะสังหารหม่อมฉันอยู่แล้ว” แพทริเซียตอบเสียงเรียบก่อนจะเอ่ยปากถามลูซิโอ “ทรงคิดว่าเป็นผู้ใดเพคะ”
“คำตอบของเรามีความหมายอะไรอย่างนั้นหรือ”
“มีสิเพคะ หม่อมฉันคิดว่าควรกราบทูลให้พระองค์ทราบอย่างชัดเจน”
วิธีการพูดช่างราบเรียบต่างจากน้ำเสียงที่เจือด้วยโทสะอย่างเด่นชัด ลูซิโอพอจะรู้สึกได้ เขาเอ่ยชื่อหนึ่งออกมาด้วยสีหน้าเศร้าโศก
“โรสมอนด์ แมรี ลา เฟ็ลปส์”
“…”
“ใช่หรือไม่”
“อา ให้ตายเถอะ” แพทริเซียพึมพำอย่างนึกสนุก “ในที่สุดพระองค์ก็ทรงทราบเสียทีว่าผู้หญิงคนนั้นทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะประทุษร้ายหม่อมฉัน”
“…”
“หม่อมฉันมิอาจรู้ได้ว่าบารอเนสเฟ็ลปส์มีความหมายกับพระองค์อย่างไร หม่อมฉันรู้เพียงว่านางเป็นคนสำคัญ และนั่นไม่ใช่เพียง…ความรักธรรมดาทั่วไป”
สายตาของทั้งคู่บอกเช่นนั้น ความสัมพันธ์นี้มีอะไรบางอย่างที่เกินกว่าจะเรียกได้ว่าเป็นเพียงความรักระหว่างหนุ่มสาวทั่วไป มันเป็นสายสัมพันธ์ที่…ผู้ที่ไม่รู้ว่าพวกเขาประสบกับอะไรมามิอาจเข้าไปแทรกกลางได้ แพทริเซียหลับตาที่เย็นชาลงและถามอีกฝ่าย
“คำพูดของหม่อมฉันเหมือนคำโป้ปดไหมเพคะ”
“มีเพียงความมั่นใจ แต่ไร้ซึ่งหลักฐานที่เป็นรูปธรรม ต่อให้เราเชื่อคำเจ้า แต่หากไม่มีหลักฐานก็ยากที่จะเอาผิดได้ ไม่ว่ากับผู้ใดก็ตาม”
“หม่อมฉันทราบเพคะ ฝ่าบาท ต่อให้เป็นเช่นนั้น แต่การที่พระองค์ทราบกับไม่ทราบนั้นแตกต่างกันอย่างมาก”
“…”
“หม่อมฉันไม่ทราบว่าพระองค์มองบารอเนสเฟ็ลปส์เป็นคนเช่นไร แต่หากมองว่านางเป็นแม่พระ พระองค์ก็ทรงคิดผิดแล้ว สตรีที่มีคุณธรรมย่อมไม่ทำร้ายผู้อื่น และไม่กระทำเรื่องต่ำช้าเพื่อแย่งของของผู้อื่น”
“…”
“พระองค์มีสิทธิ์ที่จะรักและหวงแหนนางไปได้ตลอด หม่อมฉันจะไม่ขัดขวางดังที่เคยให้สัญญาไว้ในคืนเข้าหอคืนแรก แต่ฝ่าบาทเพคะ ตอนนี้หม่อมฉันคงต้องกลับคำอย่างเลี่ยงมิได้ การรักษาสัญญาเป็นครั้งที่สองช่างยากเหลือเกิน แม้ว่าหม่อมฉันเคยได้กราบทูลไปว่า หากนางไม่มาข้องแวะกับหม่อมฉัน หม่อมฉันก็จะไม่ไปวุ่นวายกับนาง แต่หม่อมฉันไม่เคยบอกว่าจะยอมเป็นคนหัวอ่อนโง่เขลาปล่อยให้นางรังแก”
“…”
“หม่อมฉันจะสืบหาความจริงอย่างละเอียด หากมีหลักฐานมายืนยันว่านางกระทำผิดจริงแล้วล่ะก็ หลังจากนั้น…ไม่ต้องให้หม่อมฉันกล่าว พระองค์ก็คงจะทราบใช่ไหมเพคะ”
“อืม”
โทษประหาร
บารอเนสต่ำต้อยบังอาจคิดลอบสังหารจักรพรรดินีของจักรวรรดิ มิหนำซ้ำผู้ที่รับกรรมยังเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิ โทษนี้หนักหนานัก ประหารเจ็ดชั่วโคตรก็ยังไม่พอ แพทริเซียเปลี่ยนเรื่องพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“หม่อมฉันขอทูลถามเรื่องหนึ่งได้หรือไม่เพคะ”
“พูดมาเถอะ”
“เหตุใดพระองค์จึงรับลูกศรแทนหม่อมฉัน”
“…สงสัยเรื่องนั้นหรือ”
“เพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันสงสัยอย่างมาก”
แพทริเซียพูดต่อไปอย่างไม่หวั่นไหว “พระองค์หาได้มีพระทัยให้หม่อมฉัน เพราะฉะนั้นไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะทรงรับลูกศรแทน หม่อมฉันจึงสงสัยว่าเหตุใดจึงทรงทำเช่นนั้น…”
“เราขอตอบว่าเพื่อชำระบาปแล้วกัน”
“บาปหรือเพคะ” แพทริเซียถามอย่างไม่เข้าใจ
“เรื่องคราวก่อนเรามิอาจทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้ แต่เราก็อยากขอโทษเจ้าจึงรับลูกศรแทนเจ้า คำตอบเช่นนี้ น่าจะเป็นคำตอบที่ดีใช่หรือไม่” ลูซิโอตอบเสียงเรียบ
“…”
ไม่เลย นั่นมิอาจเป็นตอบที่ดีได้ แพทริเซียไม่เห็นแววตาของอีกฝ่าย นางจึงไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ แต่นางไม่คิดว่าเรื่องนั้นจะเป็นเหตุผลทั้งหมด แม้จะคิดเหตุผลอื่นไม่ออกก็ตาม แต่นางก็เชื่ออย่างนั้น
บางทีนั่นอาจเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลก็เป็นได้ เพราะแม้แต่ลูซิโอซึ่งเป็นคนพูดออกมาเองยังไม่รู้เลยว่าเหตุผลนั้นคืออะไรกันแน่
หลังจากนั้น แพทริเซียก็ขี่ม้าต่อไปเงียบๆ คนที่พูดขึ้นมาก่อนเป็นลูซิโอ
“เจ้าบอกว่าจะบอกเรามิใช่หรือ”
“อะไรหรือเพคะ”
“เรื่องเสื้อผ้าของเจ้า เมื่อครู่เจ้าบอกว่าจะบอกระหว่างทาง”
“หม่อมฉันคิดว่าพระองค์จะเดาได้จากเรื่องที่หม่อมฉันกราบทูลไปเมื่อครู่เสียอีก หม่อมฉันกอดพระองค์ไว้และทิ้งตัวลงจากหน้าผา แกล้งตายโดยการฉีกเสื้อผ้าและปล่อยให้ลอยน้ำไปเผื่อว่าพวกนั้นจะตามพวกเรามาเพคะ”
วิธีนั้นเหมือนจะได้ผลเพราะจนถึงตอนนี้แพทริเซียก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหวที่เหมือนกับว่ามีใครกำลังไล่ตามอยู่เลย ครั้นแพทริเซียพูดจบ ลูซิโอก็หลับตาลงด้วยสีหน้าปวดใจ
ราฟาเอลาควบม้าอย่างเร่งร้อน นางตามหาแพทรเซียแทบจะทุกที่แล้วแต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของอีกฝ่าย เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ต่อให้ราฟาเอลาเป็นคนมองโลกในแง่ดีเพียงใดก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ สวนทางกันหรือเปล่านะ? ราฟาเอลาหวังให้เป็นเช่นนั้น อีกราวๆ สามถึงสี่ชั่วโมงหลังจากนี้เทศกาลล่าสัตว์จะปิดม่านลงแล้ว
หากถึงตอนนั้นแล้วแพทริเซียยังไม่ปรากฏตัวล่ะก็…
ราฟาเอลาคิดเพียงเท่านั้นก่อนจะส่ายหน้าเพื่อขจัดความคิดฟุ้งซ่าน คิดอะไรเพ้อเจ้อ แพทริเซียคงกำลังสนุกกับการขี่ม้าล่าสัตว์อยู่ในส่วนใดส่วนหนึ่งของป่ากระมัง
ราฟาเอลาตัดสินใจวนดูอีกสักนิดเพราะในโลกนี้มักมีสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเสมอ แม้มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นจริงๆ แต่ตอนนี้นางก็ยังด่วนสรุปอะไรไม่ได้
ในตอนนั้นเอง ขณะที่ราฟาเอลากำลังจะหันหลังกลับก็มีบางสิ่งเข้ามาในสายตาของนาง ครั้นเห็นสิ่งนั้นสีหน้าของนางก็ฉายแววฉงนก่อนจะควบม้าเข้าไปใกล้ และเมื่อตรวจสอบของสิ่งนั้นจนแน่ใจแล้วนางก็หวีดร้องออกมาด้วยความตกใจ
“แพทริเซีย!”
***
แพทริเซียลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งในอีกหนึ่งชั่วโมงให้หลัง หญิงสาววิเคราะห์สภาพร่างกายของตนที่ก่อนหน้านี้เปียกฝนไปทั้งตัวตามความเป็นจริง ก่อนจะรู้สึกโล่งใจที่ตนไม่ได้เป็นไข้
อย่างน้อยในตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้น แต่ร่างกายคนเราจะเป็นอะไรไปเมื่อใดก็มิอาจหยั่งรู้ นางจึงคิดว่าต้องหาทางกลับวังโดยเร็วที่สุด
เพื่อการนั้น นางต้องทำให้ลูซิโอฟื้นขึ้นมาเสียก่อน แต่เขายังคงนอนนิ่งเหมือนศพ แพทริเซียค่อยๆ ผละออกมาแล้วสังเกตอาการของอีกฝ่าย
ลองยื่นมือไปแตะดู ปลายนิ้วสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่สื่อว่าเขายังมีชีวิต
อา โล่งอกไปที แพทริเซียรู้สึกโล่งใจที่วิกฤตได้ผ่านพ้นไปแล้ว ร่างกายของคนใกล้ตายคงไม่อุ่นเช่นนี้กระมัง วูบหนึ่งแพทริเซียนึกอยากจะร้องไห้ออกมา นางจึงซุกหน้าลงกับตัก มันเป็นช่วงเวลาแสนยากลำบากที่ต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตนเอง ไร้คนช่วยเหลือ
ฝนยังคงตกไม่หยุด แต่ไม่มีฟ้าแล่บฟ้าร้องแล้ว อีกทั้งเม็ดฝนยังดูเบาบางลงกว่าเมื่อครู่ นางไม่สามารถคาดเดาเวลาได้เพราะอากาศมืดครึ้ม ได้แต่ประมาณเอาคร่าวๆ ตามที่รู้สึกว่าน่าจะเหลือเวลาราวๆ สองชั่วโมงก่อนงานเทศกาลล่าสัตว์จะสิ้นสุดลง
ต้องรอให้ฝนหยุดเสียก่อนจึงจะออกเดินทางได้ การเดินทางกลางสายฝนรังแต่จะทำให้เกิดผลเสียต่อสภาพร่างกายของทั้งสองคนและหนึ่งตัว
แพทริเซียจัดการเส้นผมที่พันกันยุ่งเหยิงด้วยสีหน้าอ่อนล้าก่อนจะชำเลืองมองลูซิโอ เขายังคงนอนนิ่ง นางจึงพูดออกมาเบาๆ
“ตื่นได้แล้วเพคะ”
“…”
แน่นอนว่าเขาไม่ตื่น ถ้าเขาตื่นขึ้นมาเพียงเพราะคำพูดเดียวของนาง นางคงกลายเป็นผู้วิเศษไปแล้ว แต่นางไม่ใช่ผู้วิเศษและใช้เวทมนตร์ไม่เป็นด้วย แพทริเซียถอนหายใจยาวเหยียด ก่อนจะพึมพำอย่างเว้าวอน
“หากพระองค์ไม่ฟื้น อย่าว่าแต่ชีวิตของหม่อมฉันเลย พระองค์เองก็จะตกที่นั่งลำบากไปด้วยนะเพคะ ทั้งที่ทรงทราบดีที่สุดแต่ไฉนจึงทำเช่นนี้เล่าเพคะ”
“…”
“รีบตื่นบรรทมเถอะเพคะ ฝ่าบาท จะต้องให้หม่อมฉันทำอะไรมากกว่านี้อีกหรือเพคะ”
น้ำเสียงขุ่นเคืองของแพทริเซียฟังแล้วช่างน่าเศร้า นางอยากร้องไห้ หากคนที่นอนไม่ได้สติเป็นตัวนางเอง เรื่องจะง่ายกว่านี้หรือไม่
หากเป็นเช่นนั้นจริงก็ไม่รู้ว่าลูซิโอจะทำอย่างที่แพทริเซียทำเพื่อช่วยชีวิตอีกฝ่ายหรือไม่ หากพูดอย่างแล้งน้ำใจ ตอนนี้เขารังแต่จะเป็นภาระของนางเท่านั้น แต่นางก็ไม่ได้ตั้งใจจะมองข้ามความรู้สึกของเขาที่มารับธนูอาบยาพิษแทนนาง
แพทริเซียไม่ใช่คนเย็นชาขนาดนั้น
“โรสมอนด์…”
แพทริเซียมุ่งความสนใจไปที่โรสมอนด์ซึ่งเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด แค่คิดถึงผู้หญิงคนนั้น แววตาของแพทริเซียก็ลุกโชนไปด้วยไฟแค้น คราวก่อนตนได้เตือนอีกฝ่ายไปแล้วว่าหากทำเช่นนั้นอีกจะไม่ส่งผลดี แต่การเข้าไปเตือนด้วยความปรานีกลับส่งผลให้ตนต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ หากมีอะไรผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย ตนอาจต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง
แพทริเซียแค่นหัวเราะด้วยความสมเพช ที่สุดแล้วก็เป็นเพราะความโง่เขลาของตนที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ เพราะคนอย่างโรสมอนด์ไม่มีทางที่จะรับฟังคำเตือนของตนอย่างจริงจังอยู่แล้ว
ทำไมตนถึงหัวช้าแบบนี้ แพทริเซียรู้สึกสมเพชในความโง่เขลาของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม เรื่องเกิดไปแล้ว และแพทริเซียเองก็ต้องยอมรับมัน
ยอมรับว่าการต่อสู้ระหว่างนางและโรสมอนด์นั้นมิอาจหลีกเลี่ยงได้ แผนเดิมของนางคือการอยู่อย่างไร้ตัวตนในวังจนกว่าจะได้เป็นพระพันปี แต่ในเมื่อสถานการณ์กลายเป็นแบบนี้ การจะอยู่อย่าง ‘ไร้ตัวตน’ นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะหากอยู่อย่าง ‘ไร้ตัวตน’ ไปเรื่อยๆ หากไม่ถูกฆ่าโดย ‘ไม่มีใครรู้’ ก็คงถูกถอดจากตำแหน่งเป็นแน่
นั่นมิใช่แค่ปัญหาส่วนตัวของนางเท่านั้น จักรพรรดินีของจักรวรรดิมาวินอสไม่ได้ถูกถอดยศกันง่ายๆ ดังนั้น หากนางถูกถอดออกจากตำแหน่ง นั่นหมายถึงตระกูลของนางต้องล่มสลายไปตามๆ กัน นางไม่อยากให้ตระกูลต้องพังทลายและถูกกิโยตีนบั่นคออีกแล้ว
แพทริเซียเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ว่างเปล่าด้วยสีหน้าเรียบเฉย
จากนี้ข้าจะไม่ยอมถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียวอีกต่อไป ข้าจะไม่ยอมเจอเรื่องแบบนี้อีกเป็นครั้งที่สอง ไม่มีทาง ไม่มีวัน! แพทริเซียหัวเราะเงียบๆ ด้วยสีหน้าเย็นชา
การได้ยินชื่อของโรสมอนด์ออกมาจากปากของคนพวกนั้นถือเป็นความโชคดี เพราะหากพวกเขาไม่บอกชื่อคนร้ายตัวจริงออกมา คนใจดีอย่างนางจะต้องรู้สึกยุ่งยากใจอยู่บ้างเป็นแน่ เหตุผลหนึ่งเดียวที่แสนจะไร้สาระคือแม้นางจะรู้อยู่เต็มอกแต่กลับไม่มีหลักฐาน แต่ความลำบากใจนั้นได้ถูกขุดรากถอนโคนออกไปแล้ว คราวนี้แพทริเซียก็เหลือตัวเลือกเพียงข้อเดียว
สงครามและชัยชนะ แพทริเซียกัดริมฝีปาก สีหน้าของนางยังคงเย็นชา นางปรารถนาที่จะอยู่อย่างไร้ตัวตนเสมือนดอกไม้ดอกหนึ่งเท่านั้น หรือนางต้องกลายเป็นวัชพืชที่ขึ้นกวนใจกระนั้นหรือ ถึงนั่นจะดูน่าเศร้าแต่ก็ไม่มีทางเลือก แม้ว่านางจะเกลียดชีวิตที่เหมือนวัชพืช แต่นางเกลียดการตายในฐานะไม้ประดับมากยิ่งกว่า เพราะฉะนั้น…
“ฟื้นเถิดเพคะ ฝ่าบาท”
ตัวข้าในตอนนี้ต้องการท่านมากกว่าตอนไหนๆ
***
ราฟาเอลากลับมายังสถานที่จัดงานก่อนงานจะเลิกราวๆ หนึ่งถึงสองชั่วโมง เมื่อนางรู้ว่าทั้งจักรพรรดิและจักรพรรดินีไม่ได้อยู่ ณ ที่นั้น นางก็เริ่มสติแตก ในตอนนั้นเองใครคนหนึ่งคว้าตัวนางไว้อย่างรุนแรง
“เดมราฟาเอลา”
“ทะ…ท่านพ่อ”
คนผู้นั้นก็คือมาร์ควิสบริงสโตนผู้เป็นบิดาของนาง ครั้นเห็นบิดาบังเกิดเกล้านางก็สะดุ้งโหยงจนเกือบทำของที่กำไว้ในมือร่วง มาร์ควิสบริงสโตนพานางไปยังที่ลับตาคน หลังตรวจดูรอบๆ แล้วว่าไม่มีใคร มาร์ควิสก็เริ่มซักถามราฟาเอลาด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบทันที
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น พ่อไม่เห็นฝ่าบาททั้งสองพระองค์เลย ถ้าแค่พระจักรพรรดิยังพอทำเนา แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นกับพระจักรพรรดินีเล่า”
“ท่านพ่อ คือว่า…ฝ่าบาทตรัสว่าต้องการเสด็จพระองค์เดียว…”
ราฟาเอลาดูสลดไป นางตอบออกไปตามความจริงแต่กลับถูกบิดาต่อว่าเสียงเขียว
“แล้วอัศวินราชองครักษ์ประจำพระองค์อย่างเจ้าก็ละเลยพระองค์และไปไหนมาไหนคนเดียวอย่างนั้นรึ สติของเจ้ายังดีอยู่หรือไม่ สถานการณ์ตอนนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นเมื่อใดมิอาจรู้ ทำไมเจ้าถึงหละหลวมเช่นนี้”
“ขออภัยค่ะ ท่านพ่อ”
ราฟาเอลาไม่มีอะไรจะแก้ตัว ที่บิดาพูดมานั้นถูกต้องทุกคำ ที่มาร์ควิสบริงสโตนบอกว่านางหละหลวมเกินไปนั้นก็ไม่ผิดแม้แต่น้อย เดิมทีที่นางทำลงไปก็มีสาเหตุมาจากการที่นางรู้สึกเห็นใจแพทริเซียที่ต้องใช้ชีวิตในฐานะจักรพรรดินี
ราฟาเอลาต้องมองว่าแพทริเซียเป็นจักรพรรดินี มิใช่เลดี้ แต่นางยังเยาว์นัก ไม่ง่ายเลยที่นางจะมองสหายเป็นสตรีที่สูงศักดิ์
เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้น ราฟาเอลาจึงเข้าใจสถานการณ์อย่างถ่องแท้ จากนั้นความรู้สึกผิดมากมายจากการกระทำของตนก็ถาโถมเข้ามา
มือของนางสั่นเทาด้วยความกลัว มาร์ควิสบริงสโตนออกคำสั่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึมกว่าปกติ
“พ่อขอสั่งเจ้าในฐานะที่เจ้าเป็นอัศวินราชองครักษ์ มิใช่บุตรีของข้า เดมราฟาเอลา เจ้าจงออกตามหาฝ่าบาทให้พบ ข้าคงไม่ต้องบอกใช่ไหม…ว่าหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปอย่างผิดๆ ราชสำนักจะโกลาหลเพียงใด”
“…”
นางพยักหน้าโดยปราศจากคำพูดใด มาร์ควิสบริงสโตนถอนหายใจออกมา ผู้ที่หายตัวไปมิใช่ใครอื่น แต่กลับเป็นสองเสาหลักของจักรวรรดิ โชคดีที่ยังพอมีเวลาเหลือจนกว่าจะสิ้นสุดงานเทศกาลจึงยังไม่มีข่าวลือแปลกๆ แพร่สะพัดออกไป แต่หากพ้นชั่วโมงสองชั่วโมงนี้ไปอาจเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นในพริบตา
หากเป็นเช่นนั้นก็มีแต่จะเสื่อมเสียไปถึงพระเกียรติของทั้งสองพระองค์ มาร์ควิสบริงสโตนพยายามสลัดความหวาดหวั่นที่จู่โจมเข้ามาอย่างฉับพลันด้วยการขอร้องบุตรสาวของตน
“นี่เป็นทั้งคำสั่งและคำขอร้อง เอล่า เรื่องนี้เร่งด่วนนัก หากเจ้าพาทั้งสองพระองค์กลับมาไม่ได้ ตัวพ่อเองก็ไม่รู้ว่าเหตุการณ์หลังจากนี้จะเป็นเช่นไร เจ้าเข้าใจใช่หรือไม่”
“ค่ะ ท่านพ่อ ข้าจะต้อง…ต้องพาทั้งสองพระองค์กลับมาให้จงได้”
โชคดีที่ท้องฟ้าเหนือบริเวณรอบป่าซึ่งถูกจัดให้เป็นสนามล่าสัตว์นั้นแค่มืดครึ้ม มิได้มีฝนตกเหมือนที่ที่พวกแพทริเซียอยู่ ราฟาเอลาไม่อาจนำชุดล่าสัตว์ของแพทริเซียที่นางซ่อนไว้เบื้องหลังออกมาให้ใครดูได้
เรื่องนี้ต้องไม่มีใครรู้ เพราะวินาทีที่มันถูกเปิดเผยออกไป ความโกลาหลที่มาร์ควิสบริงสโตนพูดถึงจะต้องเกิดขึ้นเป็นแน่ ราฟาเอลาปฏิญาณกับตัวเองว่าจะต้องหาสองคนนั้นให้พบ สายตาของนางเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
***
ยิ่งเวลาผ่านไปแพทริเซียก็ยิ่งร้อนใจ ฝนเริ่มซาลงแล้วแต่ลูซิโอยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติง แพทริเซียมองคนที่นอนอยู่สลับกับท้องฟ้าภายนอกด้วยสีหน้าร้อนรน
“ให้ตายเถอะ ข้าจะเป็นบ้าอยู่แล้ว”
แพทริเซียกุมหน้าผาก สีหน้าเคร่งเครียด ใจนางอยากจะเคลื่อนย้ายลูซิโอไปทั้งอย่างนี้ แต่นางก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกหรือไม่ อีกทั้งนางไม่อยากถูกตั้งข้อสงสัยทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด นั่นจึงเป็นทางเลือกที่นางอยากจะหลีกเลี่ยงหากเป็นไปได้
หญิงสาวเดินไปยังจุดที่ลูซิโอนอนอยู่อย่างร้อนใจ เป็นเจ้าชายนิทราในป่าหรือก็ไม่ใช่ อีกทั้งเจ้าหญิงก็ยังทำสิ่งที่คล้ายกับการจุมพิตให้แล้ว เขาก็น่าจะตื่นขึ้นมาได้แล้วมิใช่หรือ สีหน้าของแพทริเซียบิดเบี้ยวเพราะความอึดอัดใจและความเศร้าที่ยากจะหยั่ง
“…”
ว่ากันตามตรง หากจะบอกว่านางไม่รู้สึกผิดก็คงเป็นการโกหก หากจะบอกว่านางไม่ละอายก็คงเป็นการโกหกเช่นกัน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร นางก็จะรู้สึกผิดทั้งนั้น แม้อีกฝ่ายจะเป็นโรสมอนด์ก็ตาม ซึ่งแน่นอนว่าคงไม่มีทางเป็นเช่นนั้น แพทรเซียถอนหายใจออกมาและซุกหน้าลงกับตักของตน หาก…หากเขายังไม่ตื่นขึ้นมาเช่นนี้ ข้าจะทำอย่างไรดี ข้าควรทำอย่างไร…
“ฮา…”
ในตอนนั้นเองที่นางได้ยินเสียงหายใจอย่างอ่อนแรง
ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงรับธนูแทนข้ากันนะ
เมื่อผ่านพ้นช่วงวิกฤตมาได้ สิ่งที่พวยพุ่งออกมาก็มีแต่คำถาม ที่เขาว่ากันว่าคนเราเมื่อเอนหลังยามท้องอิ่มก็จะคิดอะไรไร้สาระนั้นเห็นทีจะเป็นเรื่องจริง เพราะเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นแม้เพียงน้อยนิด แพทริเซียก็เผลอคิดอะไรแบบนี้เสียแล้ว นางทั้งเบื่อตัวเองทั้งสงสัยเรื่องนั้นอย่างจริงจัง เหตุใดเขาถึงรับลูกธนูแทนนางเล่า?
เขาไม่ได้รักนาง และนางก็ไม่ได้รักเขา นี่คือความจริงที่ทั้งลูซิโอและแพทริเซียรู้และไม่สามารถปฏิเสธได้ เช่นนั้น…ทำไมกัน? หากไม่ใช่เพราะความรัก การเสียสละตัวเองเช่นนี้จะเกิดจากเหตุผลใด?
หรือเขาจะรู้สึกผิดต่อข้า? รู้สึกผิดที่เขาให้ความรักกับข้าไม่ได้? หากไม่ใช่เรื่องนั้น หรือเขาจะรู้สึกผิดกับเรื่องที่โรสมอนด์ทำกับข้าไว้ในงานเลี้ยงรับรองภริยาคณะทูต? ในหัวของแพทริเซียมีข้อสันนิษฐานมากมายแต่นางก็ไม่สามารถมั่นใจกับเรื่องใดได้เลย
ไม่นานแพทริเซียก็เลิกคิด
ไม่ว่าจะขบคิดเท่าไร ตราบใดที่นางกลายเป็นเขาไม่ได้นางก็ไม่มีทางไม่รู้คำตอบ พูดง่ายๆ คือมันเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์ หากที่นี่เป็นพระราชวังที่ปลอดภัยไร้กังวลก็ว่าไปอย่าง แต่การทำสิ่งที่ไร้ความหมายในสถานการณ์เช่นนี้รังแต่จะเป็นการบั่นทอนพลังชีวิตตัวเองเท่านั้น
แพทริเซียลุกขึ้นยืนเพื่อหาอะไรที่มีคุณค่าทำ ตอนนี้อาการของนางดีขึ้นแล้ว อาจเป็นเพราะได้ดื่มน้ำดอกสกัลเลอร์เมื่อครู่ ร่างบางไม่ค่อยวิงเวียนศีรษะและไม่รู้สึกพะอืดพะอมแล้ว นางเดินออกไปนอกถ้ำเพื่อหาอะไรมาใส่ท้อง
หากจะพาเขากลับวัง นางต้องเพิ่มพลังให้ตัวเองซึ่งตอนนี้อยู่ในฐานะผู้บริบาลเสียก่อน แพทริเซียหยิบกระบอกธนูที่ว่างเปล่าขึ้นมาสะพายพลางคิดว่าถ้าข้างนอกนั่นมีอะไรที่พอกินได้ก็คงจะดี
***
ในขณะเดียวกัน โรสมอนด์กำลังนั่งจิบชาโรสแมรีที่นางโปรดปรานอยู่ในตำหนักเวน นางหยุดจิบชาและเงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ามืดครึ้ม ดูเหมือนว่าฝนจะตกในอีกไม่ช้า
หากฝนตก ร่องรอยต่างๆ ก็จะหายไปได้โดยง่าย นางมีสีหน้าพึงพอใจพลางขอชาจากคลาราอีกถ้วย คลารายกกาน้ำชามาตามคำสั่ง
“เลดี้ดูอารมณ์ดีนะคะ” นางถามโรสมอนด์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“จะไม่ดีได้อย่างไรเล่า คลารา แต่เจ้าดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเลยนะ”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรคะ เลดี้ หากท่านสุขใจข้าย่อมสุขใจไปด้วย”
สีหน้านายหญิงของตนดูดีในรอบหลายวัน คงจะเป็นอย่างที่โรสมอนด์ว่า ตอนนี้ไม่มีทางที่เจ้าตัวจะอารมณ์ไม่ดี เมื่อหลายวันก่อนนายหญิงของตนลอบออกจากวังเพื่อไปจ้างวานกลุ่มนักฆ่าฝีมือดี นางบอกว่าหากสังหารจักรพรรดินีในงานเทศกาลล่าสัตว์ได้ จะเรียกเงินเท่าไรนางก็จะให้ พวกนั้นเป็นกลุ่มนักฆ่าที่มีฝีมือ เพราะฉะนั้นแผนการของบารอเนสน่าจะประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก หากเงินถึงผลงานย่อมต้องออกมาดี และนายหญิงก็มีเงินมากมาย
ต่อให้มีอัศวินราชองครักษ์อย่างราฟาเอลาอยู่ด้วย ตราบใดที่ฝ่ายนั้นมิใช่ยมทูต นางก็คงไม่สามารถต่อกรกับกลุ่มนักฆ่ากว่าสามสิบคนด้วยตัวคนเดียวได้ ตอนนี้อีกฝ่ายยังไม่มีความสามารถขนาดนั้น
คลารากล่าวกับโรสมอนด์ด้วยน้ำเสียงชื่นบาน “คราวนี้พระราชวังก็จะตกอยู่ในความวุ่นวาย และฝ่าบาทจะต้องแต่งตั้งท่านขึ้นเป็นจักรพรรดินีแน่ค่ะ”
“พระองค์ต้องทำเช่นนั้นแน่ คลารา หากข้าได้เป็นจักรพรรดินี เจ้าก็จะได้เป็นหัวหน้านางกำนัลของตำหนักจักรพรรดินี เจ้าไม่ดีใจหรือ?”
“ดีใจมากๆ ค่ะ บารอเนส ข้าได้เรียนท่านไปแล้วว่าความสุขของข้าก็คือความสุขของท่าน และความสุขของท่านก็คือความสุขของข้าเช่นกัน”
“แหม เจ้านี่พูดจาหวานหูทีเดียว”
คำพูดคำจาของโรสมอนด์นุ่มนวลกว่าปกติ อาจเป็นเพราะนางไม่ได้อารมณ์ดีเช่นนี้มานานแล้ว คลาราคิดว่าหากอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้ทุกวันคงจะดีไม่น้อย
“หากไม่มีอะไรผิดพลาด จักรพรรดินีต้องถูกสังหารเป็นแน่ อีกทั้งดูจากสภาพอากาศแล้ว ไม่นานฝนน่าจะตก การกลบเกลื่อนร่องรอยก็น่าจะง่ายขึ้นด้วย” คลารากล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมากกว่าเดิม
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น แต่ต่อให้ฝนไม่ตก การจับเจ้าพวกนั้นก็คงไม่ง่ายนักหรอก ข้าบอกอยู่เสมอมิใช่หรือว่าเงินจะทำหน้าที่ของมัน”
โรสมอนด์หัวเราะร่าแล้วจิบชาอย่างเพลิดเพลิน หากรู้ว่าเรื่องจะจบง่ายๆ เช่นนี้ ตนคงจ้างนักฆ่าไปนานแล้ว โรสมอนด์อารมณ์ดีเป็นที่สุดเพราะรู้สึกว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี
อนาคตของตนต่อแต่นี้ไปก็เช่นกัน มันจะเป็นเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบหาใช่ขวากหนาม ไม่ว่ากลีบกุหลาบนั้นจะชุ่มโชกไปด้วยเลือดจนสีสันเปลี่ยนไปจนน่าขนลุกเพียงใด ต่อให้กลิ่นที่โชยมาตามลมหาใช่กลิ่นดอกไม้หอมหวนแต่เป็นกลิ่นคาวเลือดก็ตามที
***
อาการของลูซิโอไม่ได้ดีขึ้นอย่างรวดเร็วตามที่แพทริเซียคาดไว้ นางกินผลไม้ป่าที่ออกไปเก็บมาก่อนจะมานั่งสังเกตอาการของชายหนุ่มที่ป่านนี้แล้วก็ยังไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย ตอนแรกเขาดูเหมือนจะดีขึ้นแต่แล้วเขาก็มีไข้ และไข้นั้นก็สูงเกินกว่าจะคิดได้ว่าหลังไข้ลดเขาจะดีขึ้น
แพทริเซียซึ่งไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรได้แต่ตกใจเพราะเรื่องนี้ไม่มีเขียนไว้ในตำรา ตนเอาดอกสกัลเลอร์ให้อีกฝ่ายกินตามที่รู้มา และตัวนางเองที่ได้กินเข้าไปเช่นกันก็รู้สึกว่ามันได้ผล
แต่การที่เขายังไม่ได้สติเช่นนี้…คงมิใช่ว่าเขาได้รับยาเมื่อสายไปหรอกนะ
แพทริเซียส่ายหน้าเมื่อรู้สึกตัวว่าเริ่มคิดในแง่ร้าย
ยังเร็วเกินไปที่จะคิดในแง่ร้ายเช่นนั้น ลูซิโอยังไม่ตาย และในเมื่อนางยังมีชีวิตอยู่ก็อาจจะยังมีวิธีอื่นอีกก็เป็นได้ แพทริเซียครุ่นคิดหาวิธีลดไข้ให้ลูซิโอ นางคิดว่าหากไข้ยังสูงเช่นนี้ การกักเก็บความร้อนไว้ย่อมมิใช่ทางเลือกที่ดี นางจึงตัดสินใจนำกองฟางที่คลุมตัวเขาออก
-ครืน…เปรี้ยง!
ในตอนนั้นเอง เสียงฟ้าร้องก็ดังสนั่นมาจากด้านหลัง จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงฝนตกราวกับฟ้ารั่ว แพทริเซียดีดตัวลุกขึ้นด้วยความตกใจก่อนจะรีบออกไปนอกถ้ำทั้งที่ฝนตก นางแก้เชือกที่ผูกแซลลี่ไว้และเดินจูงมันเข้ามาในถ้ำ แซลลี่สลัดขนที่เปียกน้ำทำให้หยดน้ำจำนวนมากกระเซ็นใส่แพทริเซีย
หญิงสาวใช้มือปาดหยดน้ำออกลวกๆ ก่อนจะผูกแซลลี่ไว้อีกครั้ง ระหว่างนั้นฝนยังคงตกลงมาไม่หยุด นางเงยหน้ามองหยาดฝนจำนวนมากที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า การที่ฝนตกเช่นนี้อาจเป็นทั้งเรื่องดีและไม่ดีสำหรับนาง ประการแรกจะไม่มีใครตามหาพวกนางพบเพราะติดฝน
หากผู้ที่ตามหาเป็นพวกนักฆ่าก็นับว่าเป็นเรื่องที่ต้องชูสองมือร้องเฮด้วยความยินดี แต่หากเป็นคนของราชสำนัก นี่คงเป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างมาก อีกทั้งเมื่อฝนตกน้ำก็จะขึ้นสูงและหากนางต้องข้ามแม่น้ำก็จะยิ่งลำบาก
แพทริเซียยื่นมือออกไปนอกถ้ำเพื่อรองน้ำฝนที่ตกลงมา น้ำนั้นเย็นเฉียบ ทันใดนั้นนางก็เกิดความคิดที่ว่าการใช้น้ำฝนลดไข้น่าจะเป็นวิธีที่ไม่เลวนัก
แต่แล้วนางก็ต้องกลับมาคิดใหม่ การจะพาเขาไปอาบน้ำฝนนอกถ้ำในสภาพอากาศเช่นนี้รังแต่จะเกิดผลเสียตามมา คล้ายว่าตำราเล่มใดเล่มหนึ่งเคยกล่าวไว้ การลดอุณหภูมิร่างกายอย่างรวดเร็วจะทำให้ร่างกายทำงานหนักและก่อให้เกิดผลที่ไม่ดีนัก
อีกทั้งเนื้อความในตอนท้ายของตำราเล่มนั้นยังกล่าวอีกว่า หากต้องลดไข้ในสถานการณ์ที่ไม่มียา จำเป็นต้องให้ผู้อื่นที่สุขภาพแข็งแรงลดอุณหภูมิของตัวเองแล้วกอดผู้ที่ต้องการลดไข้ไว้
เมื่อคิดได้ดังนั้น ใบหน้าของแพทริเซียก็แดงเรื่อ แต่ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาพะวงกับเรื่องพรรค์นั้น และคงไม่มีคนบ้าที่ไหนจะมาคิดจุกจิกในสถานการณ์ที่คาบเกี่ยวระหว่างความเป็นกับความตายเช่นนี้
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว แพทริเซียก็เดินออกไปยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน แซลลี่ที่อยู่ด้านหลังร้องฟึดฟัดดีดดิ้นคล้ายจะถามว่านางกำลังทำอะไร แต่แพทริเซียไม่สนใจ
เพราะหากนางไม่ตัดสินใจทำเช่นนี้ ทั้งนาง ทั้งผู้ชายคนนั้น และเจ้าม้าตัวนั้นก็จะต้องตายทั้งหมด
แพทริเซียยืนตากสายฝนอันหนาวเหน็บ ปล่อยให้น้ำฝนเย็นฉ่ำไหลลงมาตามใบหน้า หน้าอก และหน้าท้องของนาง
นางคร่ำครวญในลำคอด้วยความทรมานเพราะความหนาวและอุณหภูมิของร่างกายที่ลดลง แต่นางก็อดทนและอดทนด้วยสติที่ตั้งมั่น
นางเพิ่งจะกินดอกสกัลเลอร์ไปเมื่อครู่ อย่างไรก็คงไม่ตายง่ายๆ ด้วยอะไรเช่นนี้ แพทริเซียกัดฟันกรอดและพึมพำอย่างแน่วแน่
ข้าไม่ยอมให้ท่านตายหรอก บ้าเอ๊ย
ใครจะยอมตาย พวกเราต้องกลับพระราชวังพร้อมกัน ทั้งเขา นาง และเจ้าม้า ทั้งหมดต้องกลับไปได้อย่างปลอดภัย แพทริเซียพยายามกัดฟันที่สั่นกึกพลางตากน้ำฝนจนเปียกปอนไปทั้งตัว
แพทริเซียยืนอยู่เช่นนั้นราวยี่สิบนาทีก่อนจะเริ่มรู้สึกว่าสติกำลังพร่าเลือน นางเดินโซเซกลับเข้ามาในถ้ำด้วยคิดว่าขืนฝืนยืนอยู่ตรงนั้นต่อไปต้องแย่แน่
แซลลี่ร้องฟึดฟัดคล้ายเป็นห่วง แพทริเซียยิ้มให้มันเพื่อบอกว่าตนไม่เป็นไรแล้วค่อยๆ ปีนขึ้นไปบนหินที่ลูซิโอนอนอยู่ ด้วยสติที่เลือนลางเช่นนี้นางรู้สึกคล้ายกับว่าจะสลบไปได้ทุกเมื่อ
“เฮ้อ…”
หญิงสาวเปล่งเสียงที่อ่อนล้าออกมาก่อนจะดึงอีกฝ่ายมากอดไว้ให้แน่นที่สุด ทันทีที่นางกอดเขา นางก็สัมผัสได้ถึงความร้อนอันมหาศาล ตอนนี้ร่างกายของลูซิโอร้อนเป็นไฟ
แพทริเซียหลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้า นางส่งแรงไปที่แขนและกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ในขณะที่นางกอดร่างที่ร้อนดั่งไฟนั้นไว้ นางก็พึมพำไม่หยุด
“ข้าจะไม่ยอมให้ท่านตายเด็ดขาด”
อย่างน้อยในตอนนี้ ในวินาทีนี้ ชีวิตของเขาก็เหมือนชีวิตของนาง เขาเป็นคนเดียวที่จะช่วยให้นางกลับพระราชวังได้โดยไร้มลทิน แพทริเซียออกไปตากฝนและกลับมากอดลูซิโออยู่อย่างนั้นสามสี่ครั้งก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า
รสชาติแสนขมที่ชีวิตนี้ไม่เคยได้ลิ้มลอง ความรู้สึกเย็นวาบที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย และความรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ อย่างประหลาดทำให้ลูซิโอเริ่มรู้สึกตัว ในกรณีของคนที่พิษแพร่กระจายไปมากอย่างลูซิโอ กว่าดอกสกัลเลอร์จะออกฤทธิ์ก็กินเวลาไปกว่าสองถึงสามชั่วโมง
สีหน้าของลูซิโอไม่สู้ดีนักไม่รู้เพราะเขาฝันร้ายหรือแค่ทรมานกับความเจ็บปวด บนหน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อกาฬที่ผุดขึ้นมา แต่ดูจากอุณหภูมิของร่างกายที่ลดลงเป็นปกติแล้วจึงน่าจะให้น้ำหนักกับอย่างแรกมากกว่า
ฝันร้ายของลูซิโอเป็นเรื่องเดียวกันเสมอ แม้ว่าเขาจะมีเรื่องชวนให้เก็บไปฝันร้ายมากมาย แต่เรื่องไหนๆ ก็มิอาจเทียบกับเรื่องที่เกิดขึ้นใน ‘วันนั้น’ ได้
เรื่องอื่นเขาสามารถตั้งสติและทนรับมันได้ แต่เรื่องในวันนั้นกลับไม่ใช่ หากยังเป็นมนุษย์ ต่อให้มีสติมั่นคงเพียงใดก็มิอาจแบกรับเรื่องในวันนั้นได้
ดังนั้น เรื่องราวในฝันร้ายของเขาจึงมีเพียงเรื่องเดียว ลูซิโอไม่สามารถเป็นอิสระจากความทรมานที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่านี้ได้ และมันคงจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป เป็นโทษทัณฑ์ที่จะติดตัวเขาไปชั่วชีวิตดั่งอาญานิรันดร์ของโพรมีธีอุส[1] ลูซิโอปรารถนาเรื่อยมาที่จะได้หลุดพ้นจากการลงทัณฑ์ที่ตนได้รับ แต่ใจหนึ่งเขากลับคิดว่าสมควรแล้ว เขาต้องแบกรับมันไว้เพื่อไถ่บาป
ทว่า วิจารณญาณกับความรู้สึกไม่เคยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันฉันใด อุดมคติกับความเป็นจริงย่อมขัดแย้งกันฉันนั้น วิจารณญาณของเขาคอยแต่ย้ำเตือนว่าที่เขาต้องฝันร้ายนั้นถูกต้องแล้ว แต่ในความรู้สึกของเขากลับโอดครวญให้กับความทุกข์ทรมานที่ได้รับ ในแง่ของอุดมคติ เขาคิดจะจดจำเรื่องราวในวันนั้นไปจนวันตาย แต่ในความเป็นจริง เขาเป็นเพียงเด็กขี้กลัวที่ตัวสั่นระริกเพราะฝันร้ายและคอยเสาะหาความสบายใจอยู่เสมอ
ฝันร้ายของเขาไม่มีกฎเกณฑ์ มันจะมาหาเขาทั้งตอนที่สุขและทุกข์ หรือต่อให้เขาไม่ทุกข์ไม่สุข ฝันร้ายนั้นก็ยังคงมาเยี่ยมเยือน การฝันร้ายกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของเขาไปเสียแล้ว เขามิอาจหลีกหนีและหนีไม่พ้น
[1] โพรมีธีอุส (Prometheus) คือเทพองค์หนึ่งที่ลุกขึ้นมาต่อต้านอำนาจของเทพซุส ด้วยการขโมย “ไฟ” (=แสงสว่าง) และนำไปแจกจ่ายให้มวลมนุษย์ ในแง่หนึ่งนี่ถือเป็นการลดทอนอำนาจของเทพซุสผู้ยิ่งใหญ่แห่งเขาโอลิมปัส ทำให้ซุสโกรธและตัดสินใจจับโพรมีธีอุสมาลงโทษด้วยการเนรเทศเขาไปยังเทือกเขาห่างไกล กักขังไว้ด้วยก้อนหินขนาดมหึมา ทุกวันซุสจะส่งอีกามาเจาะกินตับของโพรมีธีอุสจนกว่าเขาจะขาดใจตาย ครั้นหมดวัน ซุสจะคืนชีวิตให้ใหม่พร้อมกับตับใหม่เพื่อให้โพรมีธีอุสตื่นมาพบกับความทรมานรูปแบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หากจะถามว่าเหตุใดจึงทำเช่นนั้น ลูซิโอคงต้องขอเวลาขบคิดสักหน่อย เพราะกระทั่งตัวเขาเองก็ยังไม่รู้คำตอบ และคงจะทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเลือกตอบด้วยคำตอบใดคำตอบหนึ่งจากสองตัวเลือก หนึ่งคือ ‘ตัวเราขยับไปเอง’ และสองคือ… ‘เพื่อชดเชยบาปที่เราทำไว้กับนาง’ ลูซิโอคิดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น
หากจะกล่าวตามจริง สองคำตอบนั้นเป็นเพียงเหตุผลที่เขานำมาปะติดปะต่อกัน หาใช่คำตอบที่ถูกต้อง แม้แต่ตัวลูซิโอเองก็ไม่อาจรู้หรืออธิบายได้ว่าตนทำเช่นนั้นด้วยเหตุผลใด
เขารู้สึกผิดต่อแพทริเซียเสมอมา ทั้งเรื่องที่เขาทอดทิ้งนางซึ่งเป็นภรรยาหลวง และมอบความรักให้อนุภรรยาอย่างโรสมอนด์ ทั้งเรื่องที่โรสมอนด์ก่อไว้ในวันงานเลี้ยงรับรองคณะทูต แต่ทั้งสองเรื่องนั้นตัวเขาในตอนนี้ไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว
เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาเข้าไปรับธนูอาบยาพิษแทนแพทริเซียเพราะเรื่องแค่นั้น? หรือบางทีอาจเป็นเพียงการทำตามสัญชาตญาณที่ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลซับซ้อนก็เป็นได้ คำถามนี้มีเพียงลูซิโอซึ่งเป็นผู้กระทำเท่านั้นที่ตอบได้ แต่ตัวเขาเองก็คิดหาเหตุผลที่แท้จริงของการกระทำของตนไม่ออกเช่นกัน
เพราะฉะนั้นหากมีใครมาถามเหตุผลที่เขาเสียสละตัวเอง ลูซิโอคงจะตอบด้วยคำตอบที่สอง แต่นั่นก็เป็นเพียงสิ่งที่เขาจะตอบให้คนอื่นฟังเท่านั้น ใจของเขายังคงหาคำตอบที่แท้จริงอย่างไม่หยุดหย่อน
ลูซิโอชอบความลึกลับซับซ้อน ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเอง เขายิ่งชอบ
ดังนั้น สาเหตุที่เขายังไม่อาจลืมตาตื่นขึ้นอาจเป็นเพราะเขายังหาคำตอบให้กับคำถามนั้นไม่ได้
เหตุใดเขาจึงยอมเสี่ยงตายเพื่อช่วยแพทริเซียซึ่งเป็นจักรพรรดินีที่เขาไม่ได้รัก? เขาอาจลืมตาตื่นขึ้นเมื่อพบคำตอบ หรืออาจตื่นขึ้นมาทั้งที่ยังหาคำตอบไม่พบ แม้แต่เรื่องนี้ ตัวเขาเองก็มิอาจรู้ได้เลย
“ดีมาก กินเก่งจัง”
แพทริเซียลูบแผงหลังคอของแซลลี่อย่างเอ็นดู แซลลี่ส่งเสียงออกมาพลางสลัดตัวดีดดิ้นอย่างอารมณ์ดี แพทริเซียป้อนน้ำให้เจ้าม้าพอประมาณ ก่อนจะไปหาหญ้าที่ม้าน่าจะกินได้มาวางกองไว้ที่หนึ่ง เมื่อป้อนหญ้าจนม้าอิ่ม นางจึงผูกแซลลี่ไว้อีกครั้ง แม้แซลลี่จะเป็นม้าที่ฉลาดจนนางไม่คิดว่ามันจะเดินไปที่อื่น อีกทั้งมันยังมีความจงรักภักดีต่อนางสูงลิ่ว แต่นางก็เลือกที่จะผูกมันเอาไว้เผื่อว่าจะเกิดอะไรขึ้น แพทริเซียผูกแซลลี่ไว้ใกล้ถ้ำโดยกะให้เชือกเหลือเยอะหน่อย ก่อนจะเดินออกไปตามทางเพื่อหาสมุนไพรมาให้ลูซิโอ
ความจริงแล้วแพทริเซียไม่ได้รู้จักสมุนไพรมากมายนัก ดีไม่ดีอาจค่อนไปทางไม่ค่อยรู้จักเลยก็ว่าได้ แต่โชคยังดีที่ตอนเข้ารับการอบรมเพื่อเป็นจักรพรรดินีพอจะได้ศึกษาเรื่องพวกนี้มาบ้าง แพทริเซียจึงสามารถแยกแยะสมุนไพรพื้นฐานที่ใช้ทั่วไปได้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกว่าความรู้ที่ได้จากการฝึกอบรมในตอนนั้นช่างมีประโยชน์เหลือเกิน จากนั้นหญิงสาวก็ตั้งอกตั้งใจสอดส่ายสายตาหาสมุนไพรที่พอจะช่วยได้ในเวลานี้ แต่สิ่งที่แพทริเซียพบกลับมีเพียงหญ้าพิษที่ดูคล้ายสมุนไพรเท่านั้น นางยังไม่พบสมุนไพรที่ต้องการ ร่างบางเดินเตร่อยู่อย่างนั้นราวหนึ่งชั่วโมงก่อนที่สายตาจะกวาดไปเห็นบางสิ่ง
“อ๊ะ!”
ครั้นเห็นสมุนไพรต้นเล็กๆ ที่ออกดอกสีม่วง แพทริเซียก็อุทานออกมาด้วยความดีใจ
“สกัลเลอร์”
ในจักรวรรดิมาวินอส ดอกสกัลเลอร์ถือเป็นดอกไม้หายากที่จะบานเพียงระยะเวลาสั้นๆ ก่อนจะร่วงโรยไป คนส่วนใหญ่ให้ค่าดอกสกัลเลอร์ในแง่ของความสวยงามเท่านั้น แต่ในวงการปรุงยากลับไม่ใช่ ดอกสกัลเลอร์มีสรรพคุณในการรักษาที่ดีสมกับความหายากของมัน สามารถแก้พิษได้แทบทุกชนิด
การได้เจอดอกไม้ชนิดนี้ที่นี่ก็เหมือนโชคหล่นทับ แพทริเซียรีบวิ่งไปยังจุดที่ดอกสกัลเลอร์บานอยู่ด้วยสีหน้ายินดี แต่แล้วนางก็ต้องพบกับความจริงที่ว่ามันเติบโตอยู่บนผาสูงพอสมควร หญิงสาวมีสีหน้าลำบากใจ เงยหน้ามองข้างบนไล่ลงมาข้างล่างเพื่อวัดระยะ หากตกลงมาระหว่างที่ปีนอยู่ นางคงตายแน่ๆ แพทริเซียชั่งใจอยู่เพียงครู่เดียวก็ตัดสินใจได้ว่า ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องปีนขึ้นไปเก็บดอกไม้นั้นมา
นี่ไม่ใช่การเสียสละหรือการพยายามช่วยชีวิตคนรักที่น่าซาบซึ้งใจ แต่หากนางไม่เก็บดอกไม้นั้นมา ลูซิโอคงมีชีวิตอยู่ไม่พ้นคืนนี้
และหากเป็นเช่นนั้น นางเองก็คงต้องตายตามเขาไป ถ้าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตาย ลองพยายามให้ถึงที่สุดก่อนตายน่าจะดีกว่า แพทริเซียยื่นมือออกไปจับก้อนหินที่ใกล้ที่สุดที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้ามุ่งมั่น แม้ความสามารถด้านกีฬาของนางจะไม่โดดเด่นนัก แต่นางก็จะลองเชื่อในโชคชะตาของตนดูสักครั้ง อย่างไรการที่นางได้มาเจอดอกสกัลเลอร์บานอยู่ตรงหน้าก็นับว่าเป็นโชคดีแล้ว
“แฮ่ก แฮ่ก…”
แพทริเซียหอบหายใจอย่างแรงขณะปีนผา ด้วยอาการของโรคกลัวความสูงทำให้นางตัวเกร็งและรู้สึกเสียวปลาบที่ปลายเท้า แต่การเอาชีวิตรอดย่อมสำคัญกว่า ตอนนี้นางรู้สึกอยากร้องไห้ในอ้อมกอดของบิดามารดา แต่หากนางอยากจะทำเช่นนั้น นางต้องเอาชนะความกลัวในตอนนี้ให้ได้ก่อน
แพทริเซียกัดริมฝีปากพลางส่งแรงไปที่ปลายเท้า ต้องรอด นางต้องรอด
“อีกนิด…เดียว”
เมื่อถึงจุดที่น่าหวาดเสียว ปลายนิ้วของแพทริเซียก็สั่นระริกจนแทบจะเป็นตะคริว นางรู้สึกได้ว่ามีน้ำตาเอ่อล้นอยู่ที่ขอบตา แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาร้องไห้ ไว้เด็ดดอกไม้ให้ได้เสียก่อนเถิด หรือถ้าโชคไม่ดีก็เอาไว้ร้องก่อนจะตกลงไปตายก็ยังไม่สาย
แพทริเซียสั่งให้ประสาทสัมผัสทั้งหมดจดจ่ออยู่กับดอกสกัลเลอร์ นางใช้แรงทั้งหมดที่มีเอื้อมมือออกไป มือและร่างกายของนางสั่นเทาอย่างน่าสงสาร แต่เจ้าตัวกลับไม่สนใจ ขอเพียงเด็ดดอกไม้นั่นมาได้…
“อ๊ะ!”
ทันใดนั้น ก้อนหินที่แพทริเซียเหยียบก็แตกร้าวและร่วงลงไปเบื้องล่าง ทันทีที่รู้ว่าชีวิตของตนกำลังตกอยู่ในอันตราย แพทริเซียก็รีบย้ายขาไปเหยียบหินก้อนอื่น ครั้นคิดว่าเกือบได้ไปโลกหน้าจริงๆ แล้ว ในอกของหญิงสาวก็วูบโหวง แพทริเซียถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะเอื้อมมือไปเด็ดดอกสกัลเลอร์อีกครั้ง
“อา…อีกนิดเดียว…!”
ใกล้มากแล้วจริงๆ แพทริเซียรีดเค้นแรงทั้งหมดที่มีขยับนิ้วมืออย่างยากลำบาก และในที่สุดก็สามารถเกี่ยวดอกสกัลเลอร์เอาไว้ได้ หญิงสาวดึงมันออกมาอย่างไม่ลังเล ก่อนจะยิ้มให้กับความสำเร็จและตะโกนออกมา
“ได้แล้ว!”
ตอนนี้แพทริเซียได้ดอกสกัลเลอร์มาไว้ในมือแล้ว ที่เหลือก็แค่ลงไปข้างล่างให้ได้เท่านั้น แพทริเซียกำดอกสกัลเลอร์ไว้แน่นราวกับกลัวว่ามันจะหล่นหายและค่อยๆ ไต่กลับลงไปข้างล่าง โชคดีที่นางบรรลุเป้าหมายที่วางเอาไว้แล้ว ขากลับลงไปจึงไม่น่ากลัวและไม่ทำให้นางระแวงเท่าตอนปีนขึ้นมา
วินาทีที่เท้าของแพทริเซียสัมผัสกับพื้นราบโดยสวัสดิภาพ นางรู้สึกขอบคุณตัวเองเป็นครั้งแรกที่ยังมีชีวิตอยู่ ร่างบางรีบเดินกลับไปยังถ้ำที่ทิ้งลูซิโอไว้โดยไม่เสียเวลายินดีกับความสำเร็จ
***
อีกด้านหนึ่ง ราฟาเอลากำลังเพลิดเพลินกับการยิงธนูล่าสัตว์ที่ไม่ได้ทำมานานราวกับปลากระดี่ได้น้ำ หลังจากต้องเปลี่ยนกระบอกใส่ลูกธนูถึงสองครั้ง นางก็เผยสีหน้าพึงพอใจ เหล่าอัศวินที่ตามหลังมาต่างมีสีหน้าตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น
ได้ยินมาว่าช่วงนี้ฝีมือของราฟาเอลาพัฒนาขึ้น แต่ไม่คิดว่าจะรุดหน้าไปมากขนาดนี้ ราฟาเอลามองเหยื่อที่กองพะเนินอยู่ด้านหลังอย่างพึงใจ
อา ถ้าได้ขนาดนี้ชัยชนะก็คงอยู่ไม่ไกล ราฟาเอลานับจำนวนเหยื่ออย่างเบิกบาน แต่ครั้นนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ สีหน้าของนางก็ดูจริงจังขึ้นเล็กน้อย
“ฝ่าบาทจะทำได้ดีไหมนะ”
เดิมทีราฟาเอลาจะตามไปด้วย แต่แพทริเซียปฏิเสธคำขอของนาง และนางเองก็รู้ว่าแพทริเซียอยากใช้เวลาอยู่กับตัวเองจึงปล่อยให้อีกฝ่ายไปคนเดียว…แต่นางเองก็ไม่ค่อยสบายใจ ราฟาเอลาถามอัศวินที่อยู่ด้านหลัง
“เซอร์[1]ราซิล ท่านทราบหรือไม่ว่าพระจักรพรรดินีเสด็จไปที่ใด”
“ข้าไม่ทราบหรอกท่าน”
ความจริงแล้วคำถามนั้นช่างไร้สาระเสียจริง เซอร์ราซิลจะรู้เรื่องนั้นได้อย่างไร ใช่ว่ามีเครื่องติดตามตัวอยู่ที่แพทริเซียเสียเมื่อไร ราฟาเอลาได้แต่ตำหนิตัวเอง
ย่ามใจเกินไปแล้ว
นางไม่ควรเชื่อคำพูดของฝ่าบาทแล้วปล่อยให้พระองค์เสด็จไปคนเดียวเลย ยิ่งในเวลาเช่นนี้ด้วยแล้ว
ราฟาเอลาหน้าเสีย นางสะบัดบังเหียนบังคับม้าให้หันไปอีกทาง ม้าของราฟาเอลาวิ่งควบออกไปอย่างรวดเร็ว ขอให้ทุกอย่างเป็นเพียงสิ่งที่นางกังวลไปเอง ขอให้เป็นเพียงสิ่งที่นางคิดเพ้อเจ้อไปเองเท่านั้นเถอะ
***
ปกติแล้วสมุนไพรต้องนำมาต้มกินจึงจะได้ประสิทธิผลมากที่สุด แต่ในถ้ำที่ไม่มีอะไรเลยเช่นนี้ ไหนเลยจะทำเช่นนั้นได้ ครั้นกลับมาถึงถ้ำ แพทริเซียก็ครุ่นคิดหาวิธีให้ลูซิโอกินสมุนไพรแต่ก็ไม่พบวิธีที่เหมาะสม วิธีที่ดีที่สุดคือให้ลูซิโอเคี้ยวสมุนไพรนี้และกลืนเข้าไปทั้งหมด แต่จะให้คนที่หมดสติเคี้ยวอะไรได้อย่างไร จะต้มให้กิน นางก็ไม่มีอุปกรณ์เสียนี่
เช่นนั้นต้องทำอย่างไรให้เขาได้กินสมุนไพรนี้? แพทริเซียเริ่มลำบากใจ นางต้องรีบให้ลูซิโอกินสมุนไพรนี้ให้เร็วที่สุดเพื่อที่สมุนไพรจะออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด ในขณะที่กำลังคิดหาวิธีอยู่นั้น วูบหนึ่งนางคิดถึงวิธีแปลกๆ จนหลุดหัวเราะออกมา ไม่นะ วิธีอื่นยังพอว่า แต่วิธีนั้นไม่ได้เลย ข้าจะ…กับผู้ชายคนนี้ได้อย่างไร
แพทริเซียสายหน้าหวือ ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะไม่ใช้วิธีนั้นเด็ดขาด แค่วิธีนั้นเท่านั้นที่ทำให้ไม่ได้ แพทริเซียมองลูซิโอที่นอนอยู่ด้วยสีหน้าเกลียดชัง
เขายังคงนอนนิ่งราวกับคนตาย หากไม่มีเสียงหายใจเบาๆ นั่น เขาก็ดูเหมือนคนตายจริงๆ
แพทริเซียกัดริมฝีปากแน่นก่อนจะมองลูซิโอที่นอนอยู่ แล้วย้อนกลับมามองดอกสกัลเลอร์ที่ค่อยๆ เหี่ยวเฉาอยู่ในมือของตนพร้อมกับพึมพำออกมา
“เจ้าทำบ้าอะไรอยู่ แพทริเซีย”
ตนคงบ้าไปแล้วจริงๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่รู้สึกขัดแย้งในตัวเองในสถานการณ์เช่นนี้ ตนบ้าไปแล้ว ลำบากมาขนาดนี้ยังจะไม่ยอมใช้วิธีที่แน่นอนและเป็นประโยชน์ต่อทั้งตัวเองและอีกฝ่ายอีกหรือ บ้าไปแล้วจริงๆ
แพทริเซียทำหน้าขึงขัง ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว นางยัดดอกสกัลเลอร์ที่ถืออยู่เข้าปาก วิธีที่นางเลือกคือเคี้ยวดอกสกัลเลอร์เพื่อคั้นน้ำออกมาแล้วป้อนให้อีกฝ่ายทางปาก แม้จะเป็นวิธีที่ไม่อยากใช้แม้แต่น้อย แต่ในตอนนี้ไม่มีวิธีใดที่แน่นอนและได้ผลไปกว่านี้อีกแล้ว
อีกทั้งถ้าเคี้ยวในปากก็อาจจะมีสมุนไพรส่วนหนึ่งถูกดูดซึมเข้าไปในร่างกายของนางเองด้วย วิธีนี้จะทำให้ตนและอีกฝ่ายได้รับการรักษาด้วยกันทั้งคู่ ในตอนนี้นี่เป็นวิธีที่แน่นอนและมีประสิทธิภาพที่สุดแล้ว
แพทริเซียสะกดจิตตัวเองให้เคี้ยวดอกสกัลเลอร์ไปเรื่อยๆ นางระมัดระวังไม่ให้น้ำของดอกสกัลเลอร์ไหลออกมาจากปาก และพยายามเคี้ยวอย่างเต็มที่เพื่อคั้นน้ำออกมาให้ได้มากที่สุด
ในที่สุดน้ำดอกสกัลเลอร์ปริมาณพอสมควรก็คั่งอยู่ในปากของหญิงสาว นางค่อยๆ ยื่นหน้าไปใกล้ลูซิโอ ใช้มือบีบปากของอีกฝ่ายให้อ้าออกช้าๆ เนื่องจากยังไม่ได้สติ ปากของเขาจึงเผยอออกจากกันอย่างง่ายดาย ร่างบางประกบปากลงไปอย่างระมัดระวังให้น้ำของดอกสกัลเลอร์ไหลเข้าไปในโพรงปากของชายหนุ่ม
เมื่อวางใจได้แล้ว แพทริเซียก็ถอนหายใจในใจอย่างโล่งอก สิ่งที่สำคัญคือน้ำดอกสกัลเลอร์ทั้งหมดต้องไหลผ่านลำคอของเขา ดังนั้นแพทริเซียจึงไม่ถอนริมฝีปากออกเลยจนกว่าเขาจะกลืนน้ำดอกสกัลเลอร์เข้าไปทั้งหมด
เมื่อกลิ่นขมๆ ของดอกสกัลเลอร์รวมเป็นหนึ่งอยู่ระหว่างริมฝีปากของคนทั้งคู่ แพทริเซียจึงถอนริมฝีปากออก นางเลียน้ำดอกสกัลเลอร์ที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากจนไม่เหลือสักหยด หญิงสาวถอนหายใจพลางส่ายหน้า ตอนนี้นางทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ไปหมดแล้ว ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับพระเจ้าเท่านั้น
“…”
แพทริเซียเหม่อมองลูซิโอที่นอนหมดสติอยู่
[1] เซอร์ (Sir) คือ คำเรียกนำหน้าชื่ออัศวิน
สถานการณ์เลวร้ายที่สุด ข้างหน้าก็หน้าผา ข้างหลังก็นักฆ่า อีกทั้งลูซิโอที่นางประคองอยู่ก็ใกล้จะหมดสติอยู่รอมร่อ ไม่ว่าเลือกทางใด สุดท้ายก็ตายอยู่ดีอย่างนั้นหรือ
แพทริเซียจ้องมองนักฆ่าด้วยสีหน้าลังเลใจ ดูๆ แล้วพวกนั้นคงไม่คิดจะไว้ชีวิตนาง หนึ่งในนั้นชี้ดาบมาก่อนจะพูดขึ้น
“น่าเสียดาย คนที่ถูกยิงน่าจะเป็นเจ้า”
“ใครส่งพวกเจ้ามา”
ครั้นได้ยินคำถาม คนพวกนั้นก็หัวเราะ คงกำลังคิดว่าใครจะยอมบอก แพทริเซียยิ้มเย็นราวกับว่าไม่ได้คาดหวังคำตอบตั้งแต่แรก
“โรสมอนด์ใช่หรือไม่” นางเอ่ยถาม
“เดี๋ยวก็ตายแล้ว เรื่องนั้นจะไปสำคัญอะไร”
“สำคัญสิ พวกเจ้าจะยอมบอกหรือไม่”
คนเหล่านั้นส่งสายตาให้กันไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะคิกคักราวกับไม่ยี่หระ แล้วหนึ่งในนั้นก็เป็นคนตอบ
“โรสมอนด์ แมรี ลา เฟ็ลปส์ เห็นว่าเป็นอนุของจักรพรรดิ หรือเป็นบารอเนสอะไรนี่แหละ ผู้หญิงคนนั้นจ้างวานพวกเราด้วยเงินก้อนโต”
พูดจบแล้วก็หัวเราะกันสนุกสนาน แพทริเซียรู้สึกได้ว่าสีหน้าที่เคยเต็มไปด้วยโทสะของตนค่อยๆ สงบลงอย่างเยือกเย็น อา…อย่างนี้นี่เอง ที่ว่าโรสมอนด์วางแผนต่ำช้าเช่นนี้เพื่อฆ่าข้าเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นสินะ แพทริเซียเกือบจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา แต่ก็ตระหนักได้ว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะแสดงความบ้าคลั่งออกไป แพทริเซียเลือกที่จะยิ้มกว้าง เหล่านักฆ่ามองหญิงสาวที่กำลังยิ้มราวกับมองคนวิปลาส ก่อนจะกระซิบกระซาบกันว่านางน่าจะรับความจริงไม่ได้จนเสียสติไปแล้ว พวกเขาพูดไม่ผิดเลยสักคำ นางมันบ้า และจะเป็นบ้าต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง ตอนนี้แพทริเซียกลายเป็นหญิงวิปลาสไปแล้ว หลักฐานข้อแรกคือนางทำสิ่งที่ไม่เคยคิดฝันว่าจะทำ แพทริเซียจ้องเขม็งไปที่ลูซิโอที่หมดสติไปในสภาพโชกเลือด ก่อนจะจุมพิตบนหน้าผากราบเรียบของเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ อา…เสียดายเหลือเกินที่ท่านไม่ได้ยินสิ่งที่คนพวกนั้นกล่าว
“ในเมื่อเจ้ารู้ความลับแล้ว ทีนี้ก็ถึงเวลาไปยมโลก”
หนึ่งในกลุ่มนักฆ่ายิ้มเหี้ยมเกรียมพลางเดินกวัดแกว่งดาบเข้ามาหา แพทริเซียยิ้มราวกับนางไม่ได้กำลังเผชิญหน้ากับความตาย และพาลูซิโอที่หมดสติลงจากหลังม้า
“อย่าฆ่าม้าของข้าได้หรือไม่ ข้ารักมันมาก” นางร้องขอ
“โอ๊ย ใจดีเหลือเกินนะแม่คุณ จะตายอยู่แล้วยังจะสนใจม้าอีกหรือ”
แพทริเซียแย้มยิ้มแม้จะถูกล้อเลียนซึ่งๆ หน้าพลางตอบ
“สนใจสิ พวกเจ้าจะรักษาสัญญาได้หรือไม่ สาบานต่อหน้าฟ้าดินสิ”
“เฮอะ! อะไรมันจะสำคัญขนาดนั้น เจ้าคงจะเสียสติก่อนตายสินะ”
“อาจเป็นเช่นนั้น”
“ได้ ถ้าต้องการเช่นนั้น พวกข้าก็ขอให้สัญญาว่าจะไม่ยุ่งกับม้า”
“ดี”
แพทริเซียยิ้มอย่างพึงใจ ก่อนจะออกแรงกระชับอ้อมแขนที่โอบกอดลูซิโอไว้ เขายังคงไม่ได้สติ ตอนนี้คนที่จะเปลี่ยนสถานการณ์ได้มีแค่นางเท่านั้น แพทริเซียกอดลูซิโออย่างระมัดระวังราวกับกอดเด็กเล็ก สีหน้าของนางในตอนนี้ดูเย็นชาอย่างหวาดหวั่น ราวกับว่าสีหน้าเปื้อนยิ้มก่อนหน้านี้เป็นเพียงเรื่องเสแสร้งแกล้งทำ
“ขอบคุณสำหรับข้อมูล เพราะพวกเจ้า ข้าจึงตระหนักได้ถึงบางสิ่ง”
“นางนั่นมันพูดอะไรของมัน”
พวกนักฆ่าทำสีหน้างุนงงพร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้นทำท่าหมุนๆ ข้างขมับเป็นเชิงว่าอีกฝ่ายท่าทางจะเสียสติไปแล้ว แต่แพทริเซียก็พูดต่อไปโดยไม่สนใจจุดนั้น
“ข้าคงบ้าไปแล้วที่ไปเตือนผู้หญิงคนนั้น”
ครั้นพูดจบ แพทริเซียก็ทิ้งตัวลงจากหน้าผาอย่างไม่ลังเล ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที พวกนักฆ่าตกใจรีบวิ่งไปยังจุดที่แพทริเซียเคยยืนอยู่ แต่ก็สายไปแล้ว กลุ่มนักฆ่าหน้าเสียพลางมองลงไปใต้หน้าผา แพทริเซียยิ้มอย่างที่คิดว่าสวยที่สุดให้พวกเขา ตูม! ทันใดนั้น ผิวน้ำที่นิ่งสงบก็เกิดคลื่นสูง ละอองน้ำสาดกระจาย เหล่านักฆ่ามองใต้หน้าผาสลับกับมองพวกเดียวกันเองอย่างลำบากใจก่อนจะพยักหน้าให้กันและออกจากที่ตรงนั้นไป
แพทริเซียเคยคิดว่าตัวเองฉลาดพอตัว นางทั้งอ่านหนังสือมากมาย ชอบคิดวิเคราะห์ ทั้งยังชอบการอภิปรายความคิดของตนกับผู้มีความรู้ แต่วินาทีที่ทิ้งตัวลงจากหน้าผา นางก็เข้าใจแล้วว่า ความรู้ที่นางสั่งสมมาจนถึงบัดนี้เป็นเพียงภาพลวงตา หาใช่ความจริงไม่ ความรู้ทั้งหมดที่เหมือนดั่งปราสาททรายนั้นไม่ต่างอะไรกับเครื่องประดับที่มีไว้เพื่อความโก้เก๋
ในท้ายที่สุด ผู้ชนะในเรื่องนี้ก็มิใช่บุตรีของมาร์ควิสผู้ใสซื่อแต่แสร้งทำตัววิเศษวิโสอย่างนาง แต่เป็นนางร้ายจอมวางแผนอย่างโรสมอนด์
“แค่ก! แค่ก!”
แพทริเซียลากตัวเองขึ้นมาริมแม่น้ำ และทรุดตัวลงนั่งบนพื้นที่เต็มไปด้วยหิน นางทุบหน้าอกตัวเองพลางส่งเสียงไออย่างต่อเนื่อง แพทริเซียรู้สึกแน่นท้องและแสบจมูก ดูเหมือนนางจะกลืนน้ำเข้าไปมาก มือเรียวปาดน้ำที่เกาะบนใบหน้าออกไปให้มากที่สุดพลางอ้าปากหายใจหอบ
“แฮ่ก! แฮ่ก!”
แพทริเซียพยายามปรับลมหายใจอยู่นานและใช้เวลาอีกครู่หนึ่งทำจิตใจให้สงบลง การที่เหมือนตายแล้วฟื้นเช่นนี้จะบอกว่าพระเจ้าช่วยก็ว่าได้ โชคดีที่นางว่ายน้ำเป็น หาไม่แล้วนางคงกลายเป็นผีเฝ้าแม่น้ำไปแล้ว
แพทริเซียฉีกเสื้อตัวนอกที่เปียกแล้วปล่อยให้มันลอยไปตามน้ำ ชุดขี่ม้าลอยตามกระแสน้ำไปจนถึงจุดที่คนจะสามารถพบเห็นได้ หากมีคนพบ โรสมอนด์ก็จะคิดว่าแพทริเซียตายไปแล้วและไม่ส่งคนมาตามหา
แพทริเซียที่เหลือแต่เสื้อตัวในมองลูซิโอที่นอนสลบไสลอยู่ข้างๆ นางเริ่มจากตรวจดูแผลที่ถูกธนูยิงเมื่อครู่นี้ก่อน เลือดยังคงไหลออกมาไม่หยุด และสีของเลือดนั้นเปลี่ยนไปอย่างประหลาด บางทีลูกธนูนั้นอาจจะอาบยาพิษ บ้าจริง! แพทริเซียสบถออกมาเบาๆ ขืนปล่อยไว้เช่นนี้เขาต้องตายแน่ ถ้าเป็นเช่นนั้นต่อให้นางรอดไปได้ นางอาจถูกจับข้อหาปลงพระชนม์จักรพรรดิ ไม่แน่ว่าโรสมอนด์อาจต้องการสิ่งนั้นมากที่สุดก็เป็นได้
ตายด้วยกันเสียที่นี่ยังจะดีเสียกว่า แต่นั่นก็ไม่ได้อีก ก่อนอื่นแพทริเซียลากลูซิโอออกมาให้พ้นริมน้ำเพื่อให้เขานอนบนพื้นที่เต็มไปด้วยหินที่อบอุ่นจากการได้รับแสงอาทิตย์ ถ้ายังปล่อยให้เขาใส่เสื้อผ้าเปืยกชื้นก็มีโอกาสที่จะตายเพราะอุณหภูมิลดต่ำเกินไป แพทริเซียจึงไม่ลังเลที่จะถอดเสื้อผ้าของลูซิโอออกโดยไม่คิดว่าเขาเป็นเพศตรงข้าม เป็นจักรพรรดิของจักรวรรดิ และเป็นสามีของนาง ตอนนี้นางไม่ได้คิดกับเขาในเชิงชู้สาว นางคิดเพียงว่าทำเช่นไรจึงจะมีชีวิตรอดกลับวังได้โดยสวัสดิภาพเท่านั้น
แพทริเซียถอดเสื้อของลูซิโอออกและตรวจดูแผลของเขาอย่างละเอียดอีกครั้ง เขาถูกธนูอาบยาพิษแถมยังวิ่งมาตั้งไกลจึงเป็นไปได้มากที่พิษจะกระจายไปทั่วแล้ว นางต้องรีดพิษออกมาให้มากที่สุด อย่างน้อยก็เพื่อป้องกันไม่ให้อาการของอีกฝ่ายแย่ไปกว่านี้
แพทริเซียซุกหน้าลงกับอกของลูซิโออย่างไม่ลังเลก่อนจะดูดเอาพิษบริเวณปากแผลออก นางระวังเป็นอย่างมากไม่ให้ตัวเองกลืนพิษเข้าไปและคายพิษรวมไว้ที่จุดเดียวกัน ผ่านไปกว่าสิบนาที แพทริเซียก็รู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย แม้จะไม่ได้กลืนพิษเข้าไป แต่ดูเหมือนพิษจะเข้าสู่ร่างกายจากการที่นางอมมันไว้
แพทริเซียเดินโซเซพลางเอามือกุมหน้าผาก นางเบิกตาให้กว้างเพื่อเรียกสติอีกครั้ง หากนางเป็นอะไรไปด้วยอีกคน ผู้ชายคนนี้ต้องตายแน่ๆ แม้แต่ตัวนางเองก็อาจต้องพบจุดจบเดียวกัน ตอนนี้ ณ ที่แห่งนี้ไม่มีใครปกป้องนางได้ทั้งนั้น มีแค่นางที่ต้องปกป้องและคุ้มครองตนเอง
สิ่งที่สำคัญคือเวลา แพทริเซียต้องกลับไปที่พระราชวังพร้อมลูซิโอภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง หรืออย่างมากก็สี่สิบแปดชั่วโมง
ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการกลับไปถึงพระราชวังภายในคืนนี้ หากเลยเวลานั้นไป เหล่าขุนนางจะกังวลกับตำแหน่งของผู้บริหารราชการแผ่นดินที่ว่างลง และอาจกระเหี้ยนกระหือรือให้แต่งตั้งจักรพรรดิองค์ใหม่ก็เป็นได้ ซึ่งแพทริเซียต้องขัดขวางเรื่องนั้นให้ได้ ไม่ใช่เพื่อลูซิโอเท่านั้น แต่เพื่อตัวนางเองด้วย
การที่จักรพรรดิและจักรพรรดินีหายตัวไปพร้อมกัน ดยุกทั้งสามต้องเป็นเดือดเป็นร้อนและส่งคนออกตามหาเป็นแน่ อย่างน้อยก็ต้องให้พวกเขาหานางให้พบ ดังนั้นนางต้องช่วยชีวิตผู้ชายคนนี้เป็นอันดับแรก แพทริเซียมองลูซิโอที่นอนไร้สติอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเจือด้วยความเศร้าสลด ก่อนอื่นต้องรักษาอุณหภูมิร่างกายไว้ หญิงสาวลากสังขารบอบบางเข้าไปกอดลูซิโอไว้ ในตอนนั้นเองก็มีบางสิ่งขวางนางไว้ เมื่อแพทริเซียเห็นว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็ตกใจ
“เจ้า…ได้อย่างไร…”
ในขณะที่แพทริเซียมองเหม่อ แซลลี่ก็เดินเข้ามาหา นางไม่เคยยินดีที่ได้เห็นแซลลี่เท่าตอนนี้มาก่อน พระเจ้าช่วย เจ้าม้านี่ฉลาดจริงๆ แพทริเซียลูบแผงคอของแซลลี่อย่างเบามือพลางเอ่ย
“เจ้ายังไม่ตาย! โชคดีจริงๆ ว่าแต่เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
แซลลี่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้และทำท่าดมกลิ่นราวกับจะตอบคำถามนั้น มันใช้เวลาเพียงสั้นๆ ในการดมกลิ่นตามนางมาที่นี่ด้วยตัวเอง ม้าที่เดิมทีถูกฝึกมาไม่ดีนักจนกัดมือผู้เป็นนายเข้า กลับมีพัฒนาการที่ดีขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ แพทริเซียชมเชยและดึงมันเข้ามากอดด้วยความปลาบปลื้ม
“ขอบใจนะ แซลลี่ โชคดีจริงๆ ที่มีเจ้าอยู่ด้วย”
แพทริเซียจุมพิตลงบนหน้าผากของมันก่อนจะรีบพยุงลูซิโอขึ้นหลังม้า นางไม่ขึ้นไปด้วยเพราะกลัวแซลลี่จะเหนื่อย ตอนนี้นางต้องคิดถึงพละกำลังของม้าเหนือสิ่งอื่นใด
หลังจากเดินมาได้หลายสิบนาที แพทริเซียก็พบถ้ำที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดียว แพทริเซียเข้าไปด้านในก่อนจะพยุงลูซิโอลงมานอนบนหินเรียบๆ และตรวจดูอาการของเขาอย่างละเอียด โชคดีที่อีกฝ่ายไม่เป็นไข้ แต่ร่างกายก็เย็นมาก แพทริเซียมองหาอะไรที่พอจะให้ความอบอุ่นได้ ก่อนจะหันไปเจอมัดฟางที่มุมหนึ่งของถ้ำ นางจึงนำออกมากองหนึ่งใช้ปูรองบนพื้นเพื่อป้องกันความเย็นจากพื้นถ้ำ แพทริเซียจัดแจงให้ลูซิโอนอนบนนั้นและนำกองฟางอีกกองมาห่มตัวเขาอีกชั้น อย่างน้อยนี่ก็ถือเป็นการรักษาขั้นต้นแล้ว ส่วนพวกสมุนไพรรักษาค่อยไปหาทีหลัง ถึงอย่างไรก็แก้ปัญหาที่ด่วนที่สุดได้เรียบร้อยแล้ว แพทริเซียจึงมีเวลากวาดตามองรอบๆ แพทริเซียจูงแซลลี่ออกไปด้านนอกเพื่อดูแลเจ้าม้าที่เหน็ดเหนื่อยจากการตามหาผู้เป็นนาย ก่อนจะก้าวออกจากถ้ำ แพทริเซียหันกลับไปมองลูซิโอที่นอนไม่ได้สติอยู่แวบหนึ่งก่อนจะละสายตาไป
เรื่องอื่นไว้ค่อยคิดทีหลัง ตอนนี้ต้องอยู่กับปัจจุบันก่อน
ถ้าไสม้าให้วิ่งเร็วๆ จะให้ความรู้สึกเหมือนวิ่งนำลม ยิ่งม้าวิ่งเร็วมากเท่าไร ลมก็ยิ่งปะทะแรงขึ้นเท่านั้น แพทริเซียรู้สึกดีกับความรู้สึกยามที่ลมปะทะใบหน้า ยิ่งนางขยับตัวมากเท่าไร เหงื่อก็ยิ่งออกที่หน้าผาก ลมเย็นๆ ทำให้เหงื่อนั้นแห้งไป แพทริเซียยิ้มอย่างพึงใจก่อนจะดึงบังเหียนม้าให้กระชับมือมากขึ้น
“ย่าห์!”
แพทริเซียตัวสั่นโคลงรุนแรงราวกับจะตกจากหลังม้า แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังทำให้นางรู้สึกดี หญิงสาวชอบความรู้สึกหวาดเสียวและความตื่นเต้นยามที่อยู่ในสภาพไม่มั่งคงระหว่างความปลอดภัยและความเสี่ยงจะตกจากหลังม้า
“หยุด หยุดดด”
แพทริเซียหยุดม้าเมื่อเข้าป่ามาลึกประมาณหนึ่งแล้ว ลมหายใจเหนื่อยหอบออกมาจากปากของนางที่ขี่ม้ามาไกล ร่างบางปรับลมหายใจอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเริ่มจัดทรงผมที่กระเซอะกระเซิงให้เรียบร้อย หลังใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อแล้ว นางก็เริ่มล่าสัตว์อย่างจริงจัง แม้ว่ายามปกตินางจะไม่นิยมการพรากชีวิตสัตว์ แต่นางก็ควรจะจับกระต่ายให้ได้สักตัว อย่างน้อยก็เพื่อรักษาบารมีของจักรพรรดินีเอาไว้
แพทริเซียดึงลูกธนูออกมาจากกระบอกก่อนจะเริ่มหาเหยื่อ ในตอนนั้นเอง นางได้ยินเสียงหญ้าในป่ากระเพื่อมคล้ายมีบางอย่างขยับ เหยื่อหรือ? แพทริเซียยิ้มมุมปากอย่างลิงโลดก่อนจะดึงบังเหียนม้าอีกครั้ง
ครั้นค่อยๆ บังคับม้าให้เดินหน้า แพทริเซียก็เห็นกวางตัวหนึ่งอยู่ที่อีกฝั่ง แพทริเซียรีบขึ้นธนูและง้างสาย นางกลั้นหายใจรอจังหวะดีๆ และเมื่อโอกาสมาถึง นางก็ปล่อยสายธนูอย่างไม่ลังเล
-ฉึก
-ฉึก
เข้าเป้า! ทว่าธนูที่เข้าเป้าไม่ได้มีเพียงหนึ่ง แต่เป็นสอง แพทริเซียควบม้าไปทางที่กวางนอนอยู่ด้วยสีหน้าตกตะลึง มีธนูของคนอื่นปักอยู่บนกวางพร้อมๆ กับธนูของนาง มีใครบางคนยิงธนูใส่เหยื่อที่นางหมายตา แพทริเซียสงสัยว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ทันใดนั้นสีหน้าของนางก็แปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงเมื่อเห็นหางธนูที่คุ้นตา
“อยู่ตรงนี้มองเห็นทุกอย่างเลยทีเดียว”
“ฝ่าบาท”
ลูซิโอ ผู้ชายคนนี้อีกแล้ว แพทริเซียถอนหายใจในใจ ทำไมนางถึงต้องมาเจอผู้ชายคนนี้ในสนามล่าสัตว์ที่แสนจะกว้างใหญ่เช่นนี้ มิหนำซ้ำทั้งสองคนยังหมายตาเหยื่อตัวเดียวกันอีก ท่าทางบุพเพอาละวาดของนางกับเขาจะไม่มีที่สิ้นสุด
แพทริเซียกล่าวแสดงความเคารพด้วยอารมณ์ที่เกือบจะเป็นการยอมจำนนต่อโชคชะตา
“ถวายบังคมพระสุริยันผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิ”
“แม้จะอยู่ในที่แบบนี้เจ้าก็ยังเหมือนเดิมเลยนะ”
“ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ฝ่าบาทก็คือฝ่าบาท หม่อมฉันก็คือหม่อมฉันนี่เพคะ”
แพทริเซียตอบอย่างไร้อารมณ์ก่อนจะดึงธนูออกมาจากตัวกวาง นางไม่สนว่ามันจะมีเลือดมากมายอยู่ที่หัวธนู แพทริเซียเช็ดธนูกับเสื้ออย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะเก็บเข้ากระบอกธนู ลูซิโอเห็นดังนั้นจึงถามขึ้นมา
“นั่นลูกธนูของเจ้าหรือ”
“เพคะ ฝ่าบาท ท่าทางเราจะยิงเหยื่อตัวเดียวกันเพคะ”
“เช่นนั้น…จะถือว่าใครเป็นคนล่าได้ล่ะ”
“ให้ฝ่าบาทเป็นคนล่าได้ก็ได้เพคะ หม่อมฉันขอเสียสละเอง”
“ไม่ๆ เราเสียสละเอง”
“…”
การโต้เถียงกันแบบนี้ดูไม่เป็นผู้ใหญ่เอาเสียเลย นางไม่ค่อยอยากทำอะไรเป็นเด็กเช่นนั้น ยิ่งถ้าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายคนนี้ด้วยแล้วล่ะก็ แพทริเซียซ่อนสีหน้าเหนื่อยหน่ายก่อนจะกล่าวขอบคุณสั้นๆ
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณเพคะ”
“เรื่องแค่นี้ไม่ถือเป็นบุญคุณหรอก ว่าแต่เจ้าออกมาไกลเกินไปหรือไม่ อัศวินราชองครักษ์ของเจ้าไปไหนเสียล่ะ”
ถามมากเสียจริง แพทริเซียไม่รู้สึกว่าต้องตอบคำถามของผู้ชายคนนี้ แต่นางก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ นางจึงตอบออกไปอย่างละเอียด
“หม่อมฉันบอกเองว่าไม่จำเป็นต้องตามมาเพคะ หม่อมฉันอยากอยู่คนเดียว… และพวกเขาก็ควรได้สนุกกับเทศกาลนี้ด้วยเช่นกัน”
แพทริเซียตอบก่อนจะมองรอบตัวอีกฝ่าย ตัวเองพูดแบบนั้นแท้ๆ แต่รอบๆ ตัวกลับไม่มีอัศวินราชองครักษ์สักคน แพทริเซียจ้องอีกฝ่ายราวกับต้องการคำอธิบาย ลูซิโอทำหน้าเจื่อนพลางกระแอมไอและเริ่มแก้ตัว
“เราหนีมา เหตุผลก็…เหมือนกับเจ้า”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…”
“เราเองก็ต้องการเวลาที่จะอยู่คนเดียวเช่นกัน เราคิดว่าจักรพรรดินีน่าจะเข้าใจนะ หรือมิใช่?”
“…”
แพทริเซียปิดปากเงียบ นางเข้าใจ เพราะเขากับนางก็อยู่ในสถานะเดียวกัน แต่นางก็ยังเป็นห่วง ผู้ชายคนนี้มีหัวคิดหรือไม่ แม้เขาจะไม่มีศัตรู แต่ก็เป็นถึงเชื้อพระวงศ์สายตรงที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว ถ้าไม่ระวังตัวเช่นนี้…
แพทริเซียอ้าปากเพื่อจะพูดกับลูซิโอ แต่สุดท้ายริมฝีปากบางก็หุบลงอีกครั้ง คิดไปคิดมานางก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะยกเหตุผลเช่นนั้นขึ้นมาพูดกับอีกฝ่ายได้ แพทริเซียถอนหายใจในใจก่อนจะพูด
“พระองค์ควรกลับไปตอนนี้พร้อมกับหม่อมฉันนะเพคะ ที่นี่ห่างจากพระราชวังมาก อีกทั้งบริเวณนี้ก็มีแค่พระองค์กับหม่อมฉัน…”
แพทริเซียหยุดพูดกะทันหัน เพราะจู่ๆ ลูซิโอก็ชักดาบออกมาและกวัดแกว่งมาทางนาง แพทริเซียกรีดร้องด้วยความตกใจและย่อตัวลง เมื่อเวลาผ่านไปสักครู่ นางจึงลืมตาขึ้นมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ
นี่มันอะไรกัน จู่ๆ ทำไมถึง… แพทริเซียลืมตาขึ้นมาด้วยสีหน้าตกตะลึง นางเห็นธนูแปลกตาดอกหนึ่ง แพทริเซียเรียกลูซิโอด้วยความตกใจ
“ฝ่าบาท!”
“ใครอยู่ตรงนั้น!”
ลูซิโอตวาดแหวกอากาศออกไป แพทริเซียเข้าใจสถานการณ์ได้ด้วยตัวเอง แย่แล้ว พวกนางถูกลอบโจมตี
ว่าแต่ใครกัน? แต่ก่อนที่แพทริเซียจะได้ขบคิด กลุ่มชายใส่หน้ากากกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัว บ้าเอ๊ย! แพทริเซียสบถ ก่อนจะหยิบธนูสองดอกออกมาจากกระบอก นางวิเคราะห์ได้ด้วยสัญชาติญาณ พวกนี้คือมือสังหารที่โรสมอนด์ส่งมาฆ่านาง
แพทริเซียคิดดังนั้นแล้วก็ขนลุก อา แพทริเซีย เจ้าช่างโง่เขลานัก ทำไมไม่คิดถึงเรื่องนี้แม้แต่น้อย? ทำไมถึงคิดว่าโรสมอนด์จะยอมปล่อยโอกาสดีๆ เช่นนี้ไป? ทำไมถึง…ไม่คิดว่านางจะวางแผนชั่วอะไรไว้? ทำไมย่ามใจถึงเพียงนี้? ทำไม!
“เจ้ายิงธนูเป็นใช่หรือไม่”
แพทริเซียหยุดความคิดเพราะคำถามที่ร้อนใจของลูซิโอ นางรีบตอบทันที
“พอได้เพคะ”
“เราจะคุ้มกันเจ้าเอง เจ้าคอยระวังหลัง ส่วนเราจะจัดการด้านหน้า”
บทสนทนาสิ้นสุดตรงนั้น ไม่มีเวลาให้คิดแล้ว ต่อให้โรสมอนด์ส่งคนพวกนี้มาฆ่าตนจริง ตนก็ต้องจัดการนักฆ่าพวกนี้ก่อนจะคิดถึงเรื่องอื่น มิเช่นนั้นคงมีโอกาสได้ใช้ความคิดเป็นครั้งสุดท้ายที่นี่ แพทริเซียขึ้นธนูด้วยลูกธนูสองดอกก่อนจะง้างสายธนู
นักฆ่าที่อยู่ด้านหลังล้มลงทีละคนสองคน แต่แพทริเซียก็ไม่มีเวลาให้ดีใจ นางยื่นมือไปคว้าลูกธนูจากกระบอกโดยไม่ต้องรอให้ใครบอก โชคดีที่เอาลูกธนูมาเพียงพอจึงไม่ขาดมือ แต่นางก็ยิงอย่างไม่เสียเปล่า ด้วยต้องเผื่อเอาไว้ยามฉุกเฉินด้วย แพทริเซียยิงธนูอย่างแม่นยำจนน่าตกใจ และพยายามไม่ยิงพลาด
นักฆ่ากว่ายี่สิบคนลดจำนวนไปมากแล้วก็จริง แต่พละกำลังของแพทริเซียก็ลดลงเช่นกัน
แต่ถึงกระนั้นนางก็ปลุกทุกอณูในร่างกายให้ตื่นตัวด้วยแรงกระตุ้นที่ว่าต้องตั้งสติให้มั่น หากนางไม่ตั้งสติในตอนนี้ นางก็คงตั้งสติไม่ได้อีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีฝีมือ เทียบกับพวกเขาแล้ว ฝีมือของนางต่ำชั้นกว่ามาก ถ้าอยากรอด อย่างน้อยนางก็ต้องไม่เปิดช่องโหว่
“แฮ่ก แฮ่ก”
แพทริเซียหอบหายใจ ก่อนจะหยิบธนูออกมาจากกระบอกอย่างรวดเร็ว ตอนนี้มือสังหารเหลือประมาณห้าหกคน ถ้าเป็นเช่นนี้ก็พอจะมีโอกาสชนะ ปัญหาก็คือนางกับลูซิโอจะทนไปได้ถึงเมื่อไร…
แพทริเซียมองลูซิโอ โชคดีที่เขาดูไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้น แต่จะให้เขาต่อกรกับมือสังหารห้าคนก็คงจะเกินกำลัง นางจึงฮึดสู้มากขึ้น ตอนนี้เหลืออีกไม่กี่คนแล้ว
“อัก!”
ขณะที่คนทั้งคู่กำจัดนักฆ่าคนสุดท้ายได้ แพทริเซียรู้สึกได้ว่าขาของตนกำลังสั่น เมื่อเห็นดังนั้นลูซิโอก็รีบเข้ามาประคอง แล้วถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“เจ้าเป็นอะไรไหม บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”
“เฮ้อ…ไม่เป็นไรเพคะ ฝ่าบาท พระองค์ปลอดภัยดีใช่ไหมเพคะ”
“เราไม่เป็นไร ว่าแต่ใครกันที่ทำเรื่องเช่นนี้…”
ก่อนจะพูดจบ เขาก็ผลักแพทริเซียลงไปกองกับพื้นอย่างกะทันหันโดยที่นางไม่ทันได้ป้องกันตัว ร่างบางลุกขึ้นและคิดจะต่อว่าอีกฝ่าย แต่นางกลับต้องยืนแข็งทื่อพูดอะไรไม่ออก
“ฝ่า…บาท”
“อึก…”
ลูซิโอทรุดลงไปนั่งทั้งที่ธนูยังปักคาอยู่ แพทริเซียตกใจถลาเข้าไปหาและกอดประคองอีกฝ่ายไว้ ปากก็ถามอย่างร้อนรน
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท! เป็นอะไรไหมเพคะ”
“แฮ่ก…ไม่เป็นไร”
“ทำไม…ทำไมถึง…”
ท่านรับลูกธนูแทนข้ากระนั้นหรือ ทำไม? ทำไม?? ทำไมกัน!? แพทริเซียมองลูซิโอด้วยสีหน้าคล้ายจะร่ำไห้ขอคำอธิบาย ลูซิโอพึมพำออกมาอีกสองสามคำอย่างยากเย็น ดูเหมือนว่าเขาไม่มีกระทั่งแรงที่จะตอบคำถามแล้ว
“อึก…ก่อนอื่น…รีบ…หนีก่อนดีกว่า”
สิ้นเสียงลูซิโอ แพทริเซียก็มองไปรอบๆ บ้าจริง มีนักฆ่าปรากฏตัวออกมาอีกหลายคน
ไหนๆ จะออกมาแล้วก็ออกมาให้หมดในคราวเดียวสิ แพทริเซียมองนักฆ่าที่กำลังเดินมาทางพวกนางสลับกับลูซิโอที่อยู่ในอ้อมแขนด้วยสีหน้าเจ็บแค้น
แพทริเซียเอื้อมมือไปที่กระบอกธนูตามความเคยชินแต่ก็ต้องพบกับความสิ้นหวัง นางใช้ลูกธนูจนหมดไปแล้วในการต่อสู้เมื่อครู่นี้ เคราะห์ซ้ำกรรมซัดที่ลูซิโอมารับลูกธนูแทน และเป็นไปไม่ได้ที่นางจะต่อกรกับคนพวกนั้นโดยปราศจากอาวุธ
แพทริเซียปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะถามลูซิโอ
“ฝ่าบาท ทรงวิ่งไหวหรือไม่เพคะ”
ได้ยินดังนั้น ลูซิโอก็ผละออกจากอ้อมแขนของร่างบาง และค่อยๆ ยืนขึ้น แต่ในสายตาของแพทริเซียที่ยังไม่รู้จักอีกฝ่ายดีนั้นเห็นได้ชัดว่าเขากำลังกัดฟันสู้ การต่อสู้ซึ่งๆ หน้าในสถานการณ์เช่นนี้เป็นอะไรที่โง่เขลา ทางออกที่ดีที่สุดคือต้องหนี
แพทริเซียฉุดลูซิโอขึ้นม้าและออกวิ่งไปด้วยกัน พวกนางต้องรีบออกจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด นางเห็นนักฆ่าไล่ตามมาด้านหลัง จึงคว้าดาบของลูซิโอมาปัดป้องลูกธนูที่พุ่งมา ในระหว่างที่นางกำลังยุ่งอยู่นั้น ม้าก็วิ่งไปตามใจของมันจนในที่สุดทั้งคู่ก็มาถึงทางตัน ไม่สิ นี่มันหน้าผา
“บ้าเอ๊ย!”
นางสบถออกมาเสียงดัง
-ฉึก!
“เข้าเป้าเพคะ ฝ่าบาท!”
ราฟาเอลาส่งเสียงดังอยู่ข้างๆ อย่างร่าเริง ส่วนแพทริเซียก็ได้แต่ยิ้มอย่างเขินอาย โชคดีที่ฝีมือการยิงธนูของนางยังไม่ตก หญิงสาวพึมพำว่าอย่างน้อยคงจับกระต่ายได้สักตัวพลางพยักหน้า
“ฝีมือยังไม่ตกแฮะ”
“แหมๆ แน่นอนเพคะ ฝ่าบาท ทรงถ่อมตัวเกินไปแล้ว”
ราฟาเอลาหัวเราะร่า คำชมนั้นทำเอาแพทริเซียหน้าร้อน ในตอนนั้นเองที่ราฟาเอลาเห็นเปโตรนิยาเดินยิ้มมาแต่ไกล
“นิลมาเพคะ”
ในมือของผู้มาใหม่มีพายที่เพิ่งอบเสร็จร้อนๆ พายชิ้นนั้นมีขนาดใหญ่มากจนแพทริเซียต้องเอ่ยถามอย่างตกตะลึง
“พายอะไรกันเนี่ย”
“พายวอลนัทที่เจ้าชอบอย่างไรเล่า”
เปโตรนิยาตอบเสียงเรียบ ก่อนจะหยิบพายขึ้นมาชิ้นหนึ่งและป้อนเข้าปากแพทริเซีย รสสัมผัสกรุบกรอบแผ่ซ่านไปทั่วร่าง แพทริเซียยิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนจะเช็ดมุมปาก
“อร่อยจัง รสมือหัวหน้าห้องเครื่องไม่เป็นสองรองใครเลย” นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ใช่ไหมล่ะ ว่าแต่เอาเครื่องดื่มด้วยไหม”
“ขอสตรอว์เบอร์รีลาเต้ได้หรือไม่”
“ได้สิ ว่าแต่เจ้าเตรียมตัวพร้อมหรือยัง พรุ่งนี้ก็วันงานเทศกาลแล้วมิใช่หรือ”
“เรียบร้อยแล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดการเปิดงานก็น่าจะเป็นได้ด้วยดีและปิดงานได้อย่างสมเกียรติ ข้ามั่นใจ”
“เจ้าพูดถึงขนาดนั้น ข้าก็ชักจะคาดหวังเสียแล้วสิ หวังว่าเจ้าจะสนุกกับงานนี้นะ เจ้าเองก็ไม่ได้ขี่ม้าและยิงธนูอย่างจริงๆ จังๆ มานาน ยิ่งอายุมากขึ้นก็จะยิ่งยากลำบากมากขึ้นแล้ว”
“ที่จริงข้าก็คาดหวังอยู่เล็กน้อยเช่นกัน ได้ยินว่าเขตล่าสัตว์กว้างมากทีเดียว”
“ดีแล้วล่ะ”
เปโตรนิยายิ้มบางๆ ขณะที่กำลังจะขอตัว นางก็นึกถึงเรื่องที่ยังไม่ได้พูดขึ้นมาได้
“อ้อ เมื่อครู่มีข่าวแจ้งมาจากโรงม้าว่าฝึกแซลลี่เสร็จเรียบร้อยแล้ว คราวนี้คงไม่กัดมือหรือก่อเรื่องอะไรแล้วล่ะ”
“เช่นนั้นหรือ ดีจัง ขอบใจนะ นิล เจ้าไปเถอะ”
“อืม ตั้งใจฝึกนะ”
เปโตรนิยาพยักหน้าก่อนจะเดินหายลับไปทางห้องเครื่องของตำหนักจักรพรรดินี แพทริเซียมองอีกฝ่ายจนลับตา ก่อนจะหันกลับมาจดจ่ออยู่กับการยิงธนู ขณะดึงสายธนูจนตึงด้วยสีหน้าจริงจัง นางก็นึกถึงลูซิโอขึ้นมา
‘เขาจะไปพูดอะไรกับโรสมอนด์นะ’
มือที่ดึงสายธนูหยุดชะงัก สายของมันยังคงตึงอยู่ ราฟาเอลาที่อยู่ข้างๆ มองแพทริเซียด้วยความประหลาดใจ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายซึ่งกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด นางจึงไม่พูดอะไร ปล่อยให้แพทริเซียได้ขบคิดต่อไป
แม้ว่าแพทริเซียจะไม่รู้อะไรเลยก็ตาม แต่นางก็พอจะรู้ว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่มีความพิเศษ สำหรับสองคนนั้น ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันย่อมต้องสร้างสายสัมพันธ์ที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ขึ้นมาเป็นแน่
เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่คงไม่บิดเบี้ยวอย่างทันทีทันใดเพียงเพราะคำพูดของนาง ที่จริงนางก็ไม่ได้คาดหวังให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาห่างเหิน แต่…หากมันช่วยตัวนางได้ก็คงไม่แย่เท่าไร
“ฝ่าบาท”
ในตอนนั้นเองที่แพทริเซียได้ยินเสียงใครคนหนึ่งเรียกนางเบาๆ มือเรียวเผลอปล่อยสายธนู ลูกธนูจึงพุ่งดิ่งลงพื้นไปอย่างไร้เรี่ยวแรง มือของแพทริเซียตกลงข้างตัว นางยิ้มให้ราฟาเอลาเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร ในขณะเดียวกันอีกฝ่ายก็มองมาด้วยความเป็นห่วง
“จู่ๆ มือไม้ก็อ่อนแรงน่ะ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เดมราฟาเอลา”
“มิได้ประชวรใช่ไหมเพคะ พรุ่งนี้ก็วันงานแล้ว…จะไม่เป็นไรหรือเพคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เอล่า ข้าแค่รู้สึกไม่มีแรงครู่เดียวเท่านั้น”
เมื่อเห็นแพทริเซียยิ้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ราฟาเอลาก็ค่อยวางใจ
“จะฝึกต่อไหมเพคะ นี่ก็สองชั่วโมงแล้ว กลับไปพักผ่อนน่าจะดีกว่าหรือไม่” ราฟาเอลาถาม
“ขออีกสามสิบนาทีนะ ยังมีงานเหลืออีกเยอะไหมคะ มีร์ยา”
“ไม่เพคะ ฝึกต่ออีกสองชั่วโมงก็ยังได้”
ได้ยินดังนั้น แพทริเซียก็ขึ้นธนูทันที ลูกธนูแหวกอากาศหวีดหวิว ก่อนจะปักเข้าที่จุดกึ่งกลางของเป้าพอดี
“เข้าเป้าอีกแล้วเพคะ”
แพทริเซียยิ้มด้วยความพึงใจ
คืนนั้นแพทริเซียได้ยินเสียงแปลกๆ
“อืม…”
เสียงรบกวนดังอยู่หลายนาที แพทริเซียนอนกระสับกระส่ายไปมาก่อนจะทนไม่ไหวจนต้องลุกขึ้นมานั่ง ปกตินางก็นอนไม่ค่อยจะหลับอยู่แล้ว มาเจอเสียงรบกวนเช่นนี้นางยิ่งลำบาก หญิงสาวซ่อนใบหน้าหงุดหงิดก่อนจะเรียกหามีร์ยา
“มีร์ยาคะ มีร์ยา”
“เพคะ ฝ่าบาท มีเรื่องอะไรหรือเพคะ”
“นั่นเสียงอะไรหรือคะ”
“เสียงอะไรหรือเพคะ”
มีร์ยาเข้ามาในห้องพร้อมท่าทีสงสัย ในห้องนี้ก็ไม่เห็นจะได้ยินเสียงอะไร แล้วฝ่าบาทพูดถึงอะไรกัน นางเอียงคอเล็กน้อยก่อนจะถามแพทริเซีย
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ยินอะไรเลยเพคะ”
“หูข้าค่อนข้างไวต่อเสียงน่ะค่ะ ลองเงียบ แล้วฟังดูสิคะ ไม่ได้ยินอะไรเลยหรือ”
“…”
มีร์ยาลองเงียบและฟังเสียงโดยรอบอย่างตั้งใจตามที่แพทริเซียบอก แต่หูของนางก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย สีหน้าของมีร์ยาเผยแววลำบากใจ
“ขอประทานอภัยเพคะ ฝ่าบาท แต่หม่อมฉันไม่ได้ยินอะไรจริงๆ” นางพูด
“อืม…”
แพทริเซียงึมงำออกมาด้วยความประหลาดใจ นางกำลังอึดอัดใจ เพราะตัวนางได้ยินเสียงแต่มีร์ยากลับไม่ได้ยิน แต่เสียงนั้นก็เบามากขนาดที่นางแทบจะไม่ได้ยินเช่นกัน ข้าคงมากเรื่องไปเอง แพทริเซียถอนหายใจในใจก่อนจะพูดกับมีร์ยา
“ขอโทษค่ะ มีร์ยา ข้าคงคิดมากไปเอง”
“อาจเป็นเพราะพักนี้บรรทมไม่ค่อยหลับหรือเปล่าเพคะ ฝ่าบาท พระองค์อาจจะทุ่มฝึกซ้อมเพื่อเข้าร่วมแข่งขันมากเกินไป”
แพทริเซียยิ้มแหย เพราะน้ำเสียงของมีร์ยาฟังเหมือนเห็นใจนางอย่างมาก
แพทริเซียส่ายหน้า “ไม่หรอกค่ะ เอาเป็นว่าขอโทษนะคะ ดูเหมือนข้าจะอ่อนไหวเกินไป”
“มิได้เพคะ ฝ่าบาท อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเริ่มการแข่งขันแล้ว รีบเข้าบรรทมเถิดเพคะ เดี๋ยวจะอ่อนเพลียเกินไป”
“ค่ะ มีร์ยา กลับไปเถอะ”
“เพคะ ฝ่าบาท”
มีร์ยาโค้งอย่างอ่อนน้อมและออกจากห้องไป เมื่อเหลือแพทริเซียอยู่คนเดียว นางก็ถอนหายใจออกมาสั้นๆ ก่อนจะล้มตัวลงนอนด้วยความง่วงงุน
ใช่ ไม่แน่อาจเป็นเพราะฝืนตัวเองมากไปอย่างที่มีร์ยาพูดก็เป็นได้
อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะต้องยิงธนูบนหลังม้าแล้ว ถ้าไม่มีแรงขึ้นมาคงลำบาก แพทริเซียหลับตาลงเพื่อที่นางจะนอนหลับเร็วขึ้นแม้สักนาที หญิงสาวได้แต่หวังว่าจะได้นอนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนอาทิตย์จะขึ้น
ในที่สุดดวงตะวันของวันงานเทศกาลล่าสัตว์ก็โผล่พ้นขอบฟ้า
แพทริเซียสวมชุดล่าสัตว์ที่เตรียมไว้สำหรับวันนี้ นางรู้สึกแปลกใหม่เพราะปกติต้องสวมชุดเดรส แต่วันนี้เป็นชุดล่าสัตว์ แพทริเซียยิ้มอย่างเคอะเขิน ก่อนจะจับปลายผมที่ถูกมัดรวบเป็นหางม้า นางพอใจกับผมทรงนี้
“ฝ่าบาท เป็นอย่างไรบ้างเพคะ ช่างเสื้อของพระราชวังบอกว่าจัดทำชุดนี้ขึ้นเป็นพิเศษทีเดียว ชอบไหมเพคะ”
“ค่ะ ทั้งสวยแล้วก็ใส่สบายด้วย”
แพทริเซียพยักหน้าด้วยสีหน้าพึงพอใจ ราฟาเอลาตรวจสอบธนูที่แพทริเซียจะใช้ในสนามล่าสัตว์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงพึงใจ
“สมบูรณ์แบบมากเพคะ ฝ่าบาท ครานี้ผลจะออกมาเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับพระองค์แล้วนะเพคะ”
“กังวลจังค่ะ กลัวผลจะออกมาไม่ดี”
“ถ่อมตัวเกินไปแล้วเพคะ”
ราฟาเอลาหัวเราะร่วนก่อนจะยื่นคันธนูและกระบอกเก็บลูกธนูให้มีร์ยา แพทริเซียสะพายกระบอกเก็บลูกธนูและทำสีหน้าจริงจังก่อนจะมองภาพสะท้านของตัวเองในกระจกอีกครั้ง เป็นภาพลักษณ์ที่นานๆ จะได้เห็นสักที ทำให้แพทริเซียนึกสงสัยว่านั่นใคร ทั้งๆ ที่เป็นภาพสะท้อนของตัวเองแท้ๆ
“ฝ่าบาท ต้องเสด็จแล้วเพคะ”
แพทริเซียหลุดจากภวังค์เพราะเสียงนั้น อย่างไรก็ตามนี่คือตัวตนของนาง หญิงสาวยิ้มร่าก่อนจะเดินออกจากห้องไป
คนที่สามารถเข้าร่วมเทศกาลล่าสัตว์ได้ ได้แก่ ขุนนางในเมืองหลวง ขุนนางจากหัวเมือง และราชนิกุล ซึ่งในบรรดาผู้เข้าร่วมในวันนี้มีเพียงลูซิโอคนเดียวที่เป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ แพทริเซียจับบังเหียนที่ใช้บังคับแซลลี่ ก่อนจะค่อยๆ บังคับให้มันออกเดินช้าๆ นางเห็นลูซิโอและเหล่าขุนนางอยู่ไกลๆ อา…ยังมีอีกคน
“เฮ้อ”
แพทริเซียถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นโรสมอนด์ ไม่ได้เข้าร่วมด้วยแท้ๆ ไม่รู้จะมาถึงที่นี่ทำไม แน่นอนว่าแพทริเซียไม่ได้สนใจว่าสองคนนั้นจะมาพลอดรักอะไรกัน นางแค่รู้สึกหงุดหงิดที่ต้องมาเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นก็เท่านั้น
ในที่ที่ขุนนางมารวมตัวกันเช่นนี้ แพทริเซียไม่สามารถแสดงท่าทีรังเกียจเช่นนั้นออกไปได้ นางจึงแสร้งยิ้ม ก่อนจะตรงไปยังจุดที่พวกเขารวมตัวกัน เมื่อพวกขุนนางเห็นแพทริเซีย พวกเขาก็พินอบพิเทารีบกล่าวแสดงความเคารพทันที
“พระจักรพรรดินี”
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอจันทราผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิจงทรงพระเจริญ”
โรสมอนด์หน้ามุ่ยเล็กน้อยให้กับการต้อนรับที่แตกต่างจากตอนที่นางปรากฏตัวอย่างสิ้นเชิง ในขณะเดียวกัน แพทริเซียทันสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนั้น นางนึกยิ้มในใจก่อนจะตอบรับคำทักทายอย่างอ่อนหวาน
“ยินดีที่ได้พบทุกท่านนะคะ เราเตรียมตัวเพื่อวันนี้อย่างหนัก หวังว่าทุกท่านจะพึงใจ”
“พระปรีชาสามารถของพระองค์เป็นที่ประจักษ์ตั้งแต่วันงานเลี้ยงรับรองคณะทูตแล้วพ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมไม่มีใครเป็นกังวลแม้แต่น้อย”
คำชมจากมาร์ควิสบริงสโตนซึ่งเป็นทั้งอัศวินและบิดาบังเกิดเกล้าของราฟาเอลาทำให้แพทริเซียยิ้มอย่างเขินอาย
“ถูกชมเช่นนี้ เราทำตัวไม่ถูกเลยค่ะ วันนี้เราคาดหวังผลงานจากท่านได้ใช่ไหมคะ”
“จะทรงคาดหวังอะไรจากคนแก่อย่างกระหม่อมเล่าพ่ะย่ะค่ะ บางทีบุตรีของกระหม่อมอาจทำให้ทรงพอพระทัยได้บ้าง”
“เดมราฟาเอลาเป็นนักรบมากฝีมือ แต่ยังไม่พอจะข้ามหน้าข้ามตาบิดาหรอกค่ะ ท่านลอร์ดถ่อมตัวเกินไปแล้วนะคะ”
บทสนทนาอบอุ่นหัวใจนี้ยังมีต่อไปอีกหลายประโยค หลังจากแลกเปลี่ยนบทสนทนากับเหล่าขุนนางไปได้ครู่หนึ่ง แพทริเซียก็หันไปคุยกับลูซิโอ เอ่ยปากถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“แม้หม่อมฉันจะเตรียมตัวมาดีแล้ว แต่ก็เกรงว่าจะไม่ได้ตามที่พระองค์คาดหวังเพคะ”
“สำหรับเจ้า…อืม…เราไม่ต้องกล่าวอะไรเจ้าก็น่าจะทำได้ดี เราอ่านรายงานของเจ้าแล้ว ยอดเยี่ยมมาก”
“ขอบพระทัยเพคะ”
แพทริเซียตอบก่อนจะย้ายสายตาไปมองโรสมอนด์ ฝ่ายนั้นยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ ครั้นสบตากับแพทริเซีย นางถึงได้ทำความเคารพ
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
“ไม่พบกันนานทีเดียวค่ะ บารอเนสเฟ็ลปส์ น่าเสียดายนะคะที่ท่านไม่ได้เข้าร่วมงานวันนี้ด้วย”
“ปกติหม่อมฉันก็ไม่ค่อยชอบงานลักษณะนี้อยู่แล้วเพคะ ความสามารถหรือก็ไม่มี”
“ช่างน่าเสียดาย”
ตามจริงแล้วแพทริเซียไม่ได้เสียดายอะไร แต่หากไม่พูดเช่นนี้ก็จะเสียมารยาท หลังจากพูดส่วนทางกับสิ่งที่ใจคิดออกไปแล้ว นางก็เปลี่ยนเรื่อง นางคิดว่าควรจะเริ่มออกล่าสัตว์ได้แล้ว
“น่าจะได้เวลาออกตัวแล้วนะเพคะ ฝ่าบาท ขึ้นม้าเถอะเพคะ”
“เดี๋ยวข้ากลับมา”
ลูซิโอบอกลาโรสมอนด์ก่อนจะขึ้นม้าไป โรสมอนด์มองส่งเขาด้วยสีหน้าประดุจนางฟ้า แพทริเซียเห็นดังนั้นก็อยากจะสำรอก แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการออกไป
ไม่ใช่ไม่เคยเห็น น่าจะคุ้นชินได้แล้ว ความสามารถในการปรับตัวของนางเข้าขั้นแย่จริงๆ แพทริเซียขึ้นขี่แซลลี่หลังจากที่ลูซิโอขึ้นม้าของเขาแล้ว หญิงสาวดึงบังเหียนให้ตึงและค่อยๆ บังคับให้แซลลี่ออกเดิน สนามล่าสัตว์ที่ใช้เป็นสถานที่จัดเทศกาลล่าสัตว์ครั้งนี้คือป่าที่อยู่ใกล้ๆ พระราชวังนั่นเอง
“ย่ะห์!”
และแล้วงานเทศกาลก็เริ่มขึ้น
“…เรา”
“…”
“อยากให้เราทำเช่นไร”
“ฟังดูเหมือนพระองค์จะทำทุกอย่างที่หม่อมฉันต้องการเลยนะเพคะ”
“เจ้าจะให้เราไล่นางออกไปหรือ”
“หากเป็นเช่นนั้นล่ะเพคะ”
แพทริเซียถามกลับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
“จักรพรรดินี”
เขาถอนหายใจออกมาสั้นๆ
“เราทอดทิ้งนางไม่ได้”
“…เพราะเหตุใด”
นางถามด้วยรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ ก่อนหน้านี้นางก็เคยรู้สึกสงสัย แต่ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เพียงแต่มั่นใจว่ามีอะไรผิดปกติ จะเรียกว่าเป็นสัมผัสที่หกก็ว่าได้
พระจักรพรรดิรักโรสมอนด์ เรื่องนี้เป็นความจริงที่นางและใครต่อใครต่างก็รู้
แต่บางครั้งแพทริเซียก็รู้สึกว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ โดยเฉพาะตัวโรสมอนด์เอง คล้ายมีอะไรบางอย่างที่ยังไม่มีใครรู้อยู่ด้วย นางไม่รู้แน่ชัดว่าสิ่งนั้นคืออะไรเพราะนางไม่ได้รู้จักทั้งคู่ดีมากนักจึงไม่สามารถคาดเดาเรื่องนั้นได้ ลูซิโออึกอักอยู่สักครู่ ก่อนจะขยับปากช้าๆ
“นาง…”
“ฝ่าบาท!”
ในตอนนั้นเอง เสียงที่คุ้นเคยก็ดังทะลุผ่านสายฝนมา แพทริเซียสะดุ้งยืดตัวขึ้น ราฟาเอลาขี่ม้าฝ่าสายฝนมาจนถึงจุดที่พวกนางอยู่ หญิงสาวเรียกผู้มาใหม่ด้วยน้ำเสียงตกใจ
“เดมราฟาเอลา”
“ฝ่าบาท ไม่เป็นไรใช่ไหมเพคะ”
ราฟาเอลาลงจากหลังม้าด้วยสีหน้าร้อนใจรีบวิ่งมาที่ใต้ต้นไม้ แพทริเซียค่อยๆ ลุกเพื่อออกไปรับ ราฟาเอลารีบถามทันที
“ฝ่าบาท ไม่เป็นอะไรใช่ไหมเพคะ”
“ข้าสบายดี”
“อ้าว องค์จักรพรรดิก็ประทับอยู่ด้วยหรือเพคะ”
ในที่สุดราฟาเอลาก็สังเกตเห็นลูซิโอ นางจึงรีบกล่าวถวายบังคมตามมารยาท ลูซิโอรับการเคารพนั้นอย่างไม่เป็นทางการก่อนจะถาม
“เดมราฟาเอลามาทำอะไรที่นี่”
“พระจักรพรรดินีไม่เสด็จกลับมาในเวลาที่กำหนด มิหนำซ้ำฝนยังตกด้วย หม่อมฉันเกรงว่าจะได้รับอันตรายจึงออกมาตามหาเพคะ… ว่าแต่ฝ่าบาทเสด็จมาที่นี่ด้วยเหตุใดหรือเพคะ”
“เราไม่ได้ขี่ม้านานแล้วก็เลยมาออกกำลังกายน่ะ”
“เป็นเช่นนั้นนี่เอง ฝ่าบาทเองก็เสด็จกลับวังพร้อมกันเถอะเพคะ ฝนยังไม่มีทีท่าจะหยุดตก อีกทั้งหากยังทรงฉลองพระองค์ที่เปียกอาจประชวรได้ หม่อมฉันจะอารักขาให้เอง เสด็จขึ้นม้าเถิดเพคะ”
“อืม”
ลูซิโอตอบเสียงเรียบ ก่อนจะขึ้นหลังม้าตัวที่อยู่ข้างๆ ส่วนแพทริเซียได้ราฟาเอลาช่วยพยุงขึ้นหลังม้า ไม่นานม้าของทั้งสามก็ออกเดินอย่างไม่ช้าไม่เร็ว
“…”
“…”
“…”
ทั้งสามคนไม่มีใครพูดอะไร ราฟาเอลามีเรื่องที่อยากจะถามแพทริเซียยาวเหยียด แต่นางก็อ้าปากสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้เพราะลูซิโออยู่ด้วย แพทริเซียกำลังสงสัยว่าเมื่อครู่ลูซิโอจะพูดอะไร แต่จะมาถามตอนนี้ก็รู้สึกแปลกๆ อีกทั้งยังมีราฟาเอลาอยู่ นางจึงไม่สะดวกใจเท่าไร ส่วนลูซิโอกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดเรื่องโรสมอนด์ สุดท้ายแล้ว ระหว่างทางกลับพระราชวังอันยาวไกล ทั้งสามคนก็ไม่ได้พูดคุยกันแม้เพียงครึ่งคำ
***
“เกิดอะไรขึ้นเพคะ ฝ่าบาท”
เมื่อกลับถึงตำหนักจักรพรรดินี ราฟาเอลาก็ถามแพทริเซียที่กำลังผิงไฟอยู่หน้าเตาผิง แพทริเซียดื่มชาโรสแมรีที่มีร์ยานำมาให้อย่างเงียบๆ ไม่พูดไม่จาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาคล้ายว่าเรียบเรียงความคิดเสร็จแล้ว
“ก็แค่บังเอิญเจอพระจักรพรรดิในป่าลึกเท่านั้น โชคไม่ดีที่ไปพบพระองค์เข้ามิหนำซ้ำมือยังเจ็บอีก จึงคิดว่าให้เดินทางต่อไปในสภาพนั้นน่าจะลำบาก แล้วก็อย่างที่เห็น”
“หม่อมฉันเป็นห่วงนะเพคะ โชคดีที่พระองค์ไม่เป็นอะไรไป ถ้าไปเจอพวกใจโฉดเข้าคงจะเป็นเรื่องใหญ่”
แม้จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่แพทริเซียก็ไม่อยู่ในสถานะที่จะพูดเช่นนั้นได้ หญิงสาวขอโทษราฟาเอลาด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“ขอโทษนะคะ เดมราฟาเอลา ข้าไม่ระวังเอง”
“เอาเป็นว่า…ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วเพคะ นิลเป็นห่วงมากเลยนะเพคะ”
“ใช่แล้ว ริซซี่ ข้าเพิ่งเข้าวังมาได้ไม่กี่วันก็ทำให้ข้าเป็นห่วงแล้วหรือ นี่ยังได้แผลกลับมาอีก”
เปโตรนิยาตำหนิทั้งที่ตัวเองหน้าซีดอยู่เล็กน้อย แพทริเซียทำหน้าสำนึกผิดก่อนจะขอโทษเปโตรนิยาด้วยอีกคน
“ขอโทษนะ นิล”
“ข้าจะพาม้ากลับไปฝึกใหม่ หากเจ้าต้องการ ข้าจะตำหนิคนเลี้ยงม้าให้เอง”
“เจ้าก็เกินไป ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก แค่บอกให้ระวังก็พอ”
“ได้”
ครั้นพูดจบ หมอหลวงที่มีร์ยาเรียกมาก็เข้ามาในห้อง เขาทำความเคารพแพทริเซียก่อนจะเริ่มการรักษา ผ้าเช็ดหน้าที่ลูซิโอพันให้เมื่อครู่แข็งตัวเพราะบัดนี้เลือดที่ซึมไปทั่วแห้งแล้ว หมอหลวงทำการรักษาอยู่สักครู่ก่อนจะเอ่ย
“ฝ่าบาท โชคดีที่ทรงห้ามพระโลหิตไว้ได้ทันพ่ะย่ะค่ะ แผลนี้อาจทิ้งรอยแผลเป็นไว้ได้ แต่เดี๋ยวกระหม่อมจะพยายามป้องกันไม่ให้เกิดแผลเป็นพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝากด้วยนะคะ”
แพทริเซียตอบสั้นๆ ก่อนจะจมอยู่กับความคิด ตอนนั้นลูซิโอจะพูดอะไรกันนะ และเรื่องที่ตนพูดเมื่อครู่จะมีผลอะไรกับเขาหรือไม่
แพทริเซียไม่คาดหวังว่าสิ่งที่ตนพูดจะมีผลกับฝ่ายนั้นอย่างใหญ่หลวง คิดเพียงว่าหากมันมีผลกับเขาแม้สักนิด ตนก็พอใจแล้ว แพทริเซียได้แต่หวังให้เรื่องดำเนินไปในทางที่ส่งผลดีต่อตน
***
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่โรสมอนด์แช่น้ำเสร็จ นางก็วุ่นอยู่กับการต้อนรับลูซิโอที่มาหาถึงตำหนักเวน
“ฝ่าบาท หากประชวรขึ้นมาจะทำอย่างไรเพคะ”
ลูซิโอได้แต่มองโรสมอนด์ที่พูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อแล้วเข้ามาให้เขากอด เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเปิดปากเรียกอีกฝ่าย
“โรส”
“เพคะ ฝ่าบาท”
โรสมอนด์ที่กำลังสวมบทเป็นหญิงสาวผู้ว่านอนสอนง่ายเงยหน้าขึ้นมองลูซิโอ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยปาก
“วันที่มีงานเลี้ยงรับรองคณะทูต”
“…”
เมื่อลูซิโอพูดเรื่องนั้นขึ้นมา สีหน้าของโรสมอนด์ก็ซีดเผือดลงเล็กน้อย ทำไมจู่ๆ ถึงถามถึงเรื่องวันนั้นล่ะ โรสมอนด์ถามกลับไปด้วยท่าทีตื่นตระหนก
“เพคะ?”
“วันนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“…เรื่องอะไรเล่าเพคะ ฝ่าบาท พระองค์ก็ทรงทราบดีมิใช่หรือเพคะ”
นางตอบเสียงสั่น “หม่อมฉันถูกจักรพรรดินีทำร้ายร่างกาย พระองค์ก็เห็นแล้วมิใช่หรือเพคะ”
“ก่อนหน้านั้นล่ะ จักรพรรดินีคงไม่ตบเจ้าอย่างไร้เหตุผลกระมัง หรือมิใช่?”
“ฝ่าบาท”
โรสมอนด์ตกใจ ลูซิโอไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน คำพูดของนางเปรียบดั่งอาญาสวรรค์สำหรับเขา เขารักนางดั่งบิดาที่หวงแหนบุตรสาว ไม่ว่านางจะทำอะไรผิดเขาก็ยกโทษให้ ไม่ว่านางจะทำอะไรก็ไม่เคยตำหนิ แต่ไฉนคราวนี้ถึงได้… ครั้นลูซิโอเห็นดวงตาของโรสมอนด์วูบไหวด้วยความสับสน เขาก็ถอนหายใจออกมา
“เจ้าไม่สะทกสะท้านเลยหรือ โรส”
“…ถ้าบอกว่าไม่ล่ะเพคะ”
นางซักไซ้พลางทำสายตาตัดพ้อ
“ถ้าบอกว่าไม่ พระองค์จะทรงทอดทิ้งหม่อมฉันหรือเพคะ”
“โรส”
“พระองค์ไม่รักหม่อมฉันแล้วหรือเพคะ”
หญิงสาวถามด้วยเสียงสะอึกสะอื้น ลูซิโอรู้สึกปวดหัวขึ้นมา แต่เขาก็ไม่ได้แสดงออกและพยายามปลอบโยนอีกฝ่าย
“ไม่ใช่อย่างนั้น โรส แต่เรื่องนี้…”
“ฮึก”
โรสมอนด์ทรุดลงไปกองกับพื้นและร้องไห้ทั้งอย่างนั้น ในเวลาแบบนี้น้ำตาคือตัวเลือกที่ดีที่สุด นางรู้ดีกว่าใครว่าลูซิโอแพ้น้ำตาของนาง และเขาก็มีท่าทีตกใจอย่างที่นางคาดไว้
“โรส”
“หม่อมฉัน…ฮึก คิดว่าพระองค์จะเข้าใจหม่อมฉันเสียอีก”
“ข้าน่ะหรือ”
“ฮือ…หากเป็นพระองค์ก็คง…หม่อมฉัน …”
“โรส เรื่องอื่นข้าอาจเข้าใจ แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงจักรวรรดิ หากมันส่งผลไปถึงเรื่องภายนอกจักรวรรดิ ข้าก็ทำอะไรไม่ได้”
“ฝ่าบาท”
โรสมอนด์ขนลุกซู่ เขารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว โรสมอนด์มองเขาด้วยสายตาตื่นกลัว ลูซิโอเดินเข้ามาพร้อมกับสีหน้าที่คาดเดาอารมณ์ไม่ได้ โรสมอนด์ค่อยๆ เหลือบมองร่างสูง เขายื่นมือมา และนางก็จับมือนั้นไว้ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ฝ่าบาท”
“โรส ข้ารักเจ้า”
“…”
“แต่เรื่องคราวนี้…ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ฝ่าบาท?”
โรสมอนด์มองเขาด้วยสายตาตื่นตะลึง แววตาของเขายังคงสั่นไหว และจู่ๆ ความไม่สบายใจก็เข้าครอบงำ
ไยจึงมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น อย่างน้อยท่านก็ควรจะเข้าใจข้าสิ อย่างน้อยท่านก็ต้องรักข้าสิ ท่านต้องรักข้าและเข้าใจข้าเหมือนที่ข้ารักและเข้าใจท่านสิ นั่นคือความรักมิใช่หรือ ได้รับอะไรไปก็ต้องคืนมาอย่างนั้นสิ
“มีแต่เจ้าที่เข้าใจและคอยปลอบโยนข้า เพราะฉะนั้นข้าถึงรักเจ้า สิ่งที่เจ้าทำ ข้าเข้าใจทั้งหมด แต่…ข้าว่าเรื่องคราวนี้มันไม่ใช่ มันอันตรายมาก เจ้าคงจะรู้ว่าถ้าเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาจะส่งผลกระทบอะไรต่อทั้งภายในและภายนอกจักรวรรดิบ้าง หากจักรพรรดินีวางแผนเปิดโปงเจ้าขึ้นมา เจ้าก็จบ มันเกินกว่าที่ข้าจะปกป้องเจ้าได้”
“ฝ่าบาท แต่ถ้าจะเป็นจักรพรรดินีก็มีแต่วิธีนี้เท่านั้น”
“ที่ข้าบอกว่าจะทำให้เจ้าได้เป็นจักรพรรดินี อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในรูปแบบนี้ นอกจากวิธีนี้แล้วก็ยังมีวิธีที่ดีกว่านี้อยู่อีกมากมิใช่หรือ วิธีที่จะแก้ปัญหาทุกอย่างได้โดยที่ไม่ต้องมีใครเดือดร้อน ไฉนเจ้าต้องใช้วิธีนี้”
“เพราะนี่จะทำให้หม่อมเป็นจักรพรรดินีได้โดยเร็วที่สุด”
โรสมอนด์กลืนก้อนสะอื้นก่อนจะตอบ วิธีการอื่นที่ดีและสมเกียรติมีมากมายอย่างที่เขาว่า แต่วิธีการเช่นนั้นยังไม่พอ นางต้องการเหตุการณ์ใหญ่ๆ สักเหตุการณ์ แต่คงเป็นการยากที่เหตุการณ์ที่ว่าจะเกิดขึ้นอย่างสมเกียรติ โรสมอนด์หัวเราะออกมาด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว
“พระองค์จะให้หม่อมฉันเป็นบารอเนสไปถึงเมื่อใดเพคะ”
“…โรส ทุกอย่างมีขั้นตอน”
“เช่นนั้นพระองค์จะให้หม่อมฉันเป็นจักรพรรดินีตอนที่หม่อมฉันแก่ใกล้ตายหรือเพคะ”
“โรส เจ้าก็รู้ว่าจักรพรรดินีมีลูกไม่ได้ ข้าสามารถใช้เรื่องนั้นจัดการให้จบเงียบๆ ได้ แค่นี้เจ้ารอไม่ได้เชียวหรือ ต่อให้ข้าเป็นจักรพรรดิ แต่ข้าไม่สามารถปลดจักรพรรดินีโดยไม่มีเหตุผลได้หรอกนะ”
“…”
ที่เขาพูดมาเป็นความจริง สมองของโรสมอนด์เข้าใจเรื่องนั้น แต่หัวใจนั้นหาได้เข้าใจไม่ กว่าเรื่องที่จักรพรรดินีตั้งครรภ์ไม่ได้จะเปิดเผย ตัวนางเองก็คงอายุมากแล้ว และถึงตอนนั้นนางจะตั้งครรภ์ได้หรือไม่ก็มิอาจรับประกัน
แต่ก็อย่างที่ลูซิโอพูด ถ้าไม่มีเหตุผลเพียงพอก็ยากที่จะปลดจักรพรรดินีลงจากตำแหน่ง ด้วยเหตุนั้นนางถึงได้วางแผนนี้ขึ้นมา… โรสมอนด์กัดริมฝีปากตัวเอง
ใช่ นางยอมรับว่าเรื่องนี้นางทำเกินเหตุไปหน่อย อย่างที่ลูซิโอบอก ดีไม่ดีเรื่องนี้อาจทำให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างจักรวรรดิได้
แต่แผนการที่แน่นอนเช่นนี้หาได้ยากนัก ก่อนอื่น โรสมอนด์ขอโทษลูซิโอด้วยสายตาที่อ่อนลง อย่างน้อยๆ ตอนนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นเวลาที่ต้องยอมถอยหนึ่งก้าว
“ขอประทานอภัยเพคะ”
แม้โรสมอนด์จะพูดด้วยเสียงสลด แต่สีหน้าของลูซิโอก็ยังคงว้าวุ่นใจไม่เปลี่ยน เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกที่มีต่อโรสมอนด์ในตอนนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ นางเป็นคนเดียวที่เข้าใจและคอยโอบอุ้มเขา เขาจึงเชื่อว่าความรักที่แท้จริงคือการให้ทุกอย่างที่นางต้องการ อย่างน้อยก็เพื่อตอบแทนสิ่งเหล่านั้น
แต่เรื่องเช่นนี้…จะเป็นความรักจริงๆ หรือ? ลูซิโอรู้สึกราวกับถูกวัตถุบังตาเสียจนตัวตนที่แท้จริงกำลังถูกรุกราน เพราะฉะนั้นเขาจึง…มีความรู้สึกต่อความสัมพันธ์ระหว่างเขากับโรสมอนด์ในแง่ลบ มันเป็นความสงสัยและลังเลที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ลูซิโอกลัว…กลัวว่าจะทำให้ความสัมพันธ์ที่เคยเชื่อว่าจริงแท้ต้องแปดเปื้อน กลัวว่าความเชื่อมโยงระหว่างเขากับโรสมอนด์ที่คนอื่นๆ ไม่เคยรู้จะต้องขาดสะบั้นลง
“…”
ลูซิโอจ้องมองไปที่อีกฝ่าย หญิงสาวเงยหน้าให้เขาเห็นดวงตาที่เอ่อล้นด้วยน้ำตา ในตอนนั้นเอง ลูซิโอคิดว่าตอนนี้เขาไม่สามารถมองใบหน้าของนางได้ ในที่สุดเขาก็เดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายด้วยสีหน้าเจ็บปวด ก่อนจะจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผาก ลูซิโอลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องของหญิงสาวไป
คล้อยหลังลูซิโอ โรสมอนด์ซึ่งอยู่คนเดียวในห้องก็เผยสีหน้าเย็นชาราวกับไม่เคยร้องไห้มาก่อน ใบหน้าของหญิงสาวบิดเบี้ยวอย่างคนเสียแผนขณะสบถคำหยาบคายออกมา
“บ้าเอ๊ย”
ไม่รู้ทำไม นางรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย
นางตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“มาขี่ม้าเพคะ”
ก็เห็นๆ อยู่ นางออกมาคลายเครียดแท้ๆ แต่ดูเหมือนจะยิ่งได้ความเครียดกลับไปเสียอย่างนั้น เพราะตัวการที่ทำให้นางเครียดได้มากที่สุดยืนอยู่ตรงหน้านี้แล้ว
แพทริเซียทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายก่อนทำท่าจะขึ้นหลังม้า ถูกม้ากัด มิหนำซ้ำยังเจอพระจักรพรรดิ วันนี้ต้องเป็นวันโชคร้ายของนางแน่ๆ
ในตอนนั้นเอง ลูซิโอก็รั้งแพทริเซียที่กำลังจะขึ้นม้าไว้
“เดี๋ยวสิ”
“…”
เขารั้งข้าไว้ทำไม?
“มีธุระอันใดกับหม่อมฉันหรือเพคะ” แพทริเซียถามอีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
“มือเจ้า”
“…”
อา ถูกเห็นตอนดูไม่จืดเข้าให้แล้ว อย่างน้อยถ้าคนที่เห็นไม่ใช่ผู้ชายคนนี้ก็คงจะดี ด้วยเหตุนั้นแพทริเซียจึงแสร้งทำราวกับว่าไม่เป็นอะไร
“ไม่เป็นไรเพคะ”
“ดูไม่เป็นเช่นนั้นเลยนะ”
แพทริเซียไม่เข้าใจว่าทำไมลูซิโอต้องทำหน้าขรึม ตัวนางจะได้รับบาดเจ็บหรือจะสบายดีก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา เพราะนางไม่ใช่โรสมอนด์ หญิงสาวพยายามพูดเบนความสนใจของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับนางไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ
“แค่แผลถากๆ เท่านั้น ไม่ได้หนักหนาเพคะ”
“…”
ลูซิโอเงียบ ไม่มีการตอบสนองใดๆ ไม่รู้ว่าเขาฟังที่นางพูดอยู่หรือไม่ หรืออาจแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน จากนั้นเขาก็ลงจากหลังม้า
แค่นั้นยังไม่เท่าไร สิ่งที่ทำให้แพทริเซียตกใจคือเรื่องถัดมา
ลูซิโอเดินเข้ามาใกล้ แพทริเซียถอยหลังหนีโดยไม่รู้ตัวแต่ก็ไม่เป็นผล
“เราสงสัยเหลือเกินว่าคำว่า ‘ถากๆ’ ใช้กับแผลเช่นนี้ได้ตั้งแต่เมื่อใด”
“…”
แพทริเซียเบนสายตาไปทางอื่นขณะที่ได้ยินเสียงถอนหายใจของอีกฝ่ายดังเต็มสองหู นางรอให้เขาจากไป แต่ท่าทางเขาจะไม่อยากทำตามที่นางปรารถนา
แม้แพทริเซียจะเบนสายตาไปแล้ว แต่ก็ยังเห็นผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่คุ้นตา ทำมาเป็นห่วง ดูไม่สมเป็นเขาเลย แพทริเซียกล่าวออกมาอย่างเย้ยหยัน
“หม่อมฉันได้เห็นผ้าเช็ดหน้าผืนนี้บ่อยเหลือเกินนะเพคะ”
“…”
เขาไม่ตอบโต้ใดๆ แต่กลับดึงมือของแพทริเซียไปดู แพทริเซียพยายามชักมือที่ถูกจับโดยไม่รู้เจตนากลับ แต่ก็ไม่ง่ายเลย เขาออกแรงบีบมือของนางไว้ไม่ยอมปล่อย จนแพทริเซียต้องโอดครวญด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“เจ็บเพคะ”
“…”
ลูซิโอผ่อนแรงบีบเล็กน้อย ส่วนแพทริเซียมองดูสิ่งที่เขากำลังทำโดยไม่พูดอะไร เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าพันมือตรงที่เป็นแผลอย่างคล่องแคล่วจนพาให้ปากของหญิงสาวขยับไปเอง
“ทำแผลเก่งนะเพคะ”
“…มันชินน่ะ”
เขาตอบกลับมาด้วยเสียงไม่ดังไม่เบา และในตอนนั้นเองที่แพทริเซียรู้สึกเจ็บแปลบ ดูเหมือนเขาจะจับถูกจุดที่เจ็บ หญิงสาวร้องเสียงแหลมออกมา
“โอ๊ย…”
“อะ…”
เมื่อแพทริเซียร้องออกมา ลูซิโอก็มีท่าทีตกใจจนนางรู้สึกได้ แพทริเซียกัดริมฝีปากจนห้อเลือดเพื่อระงับความเจ็บปวด
“ขอโทษ” เขารีบขอโทษ
“…ไม่เป็นไรเพคะ”
ที่จริงก็เป็น แต่นางกลับไม่อยากพูดอย่างที่ใจคิด การให้ผู้ชายคนนี้เห็นนางอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็น่าอายมากพอแล้ว นางจะดูแย่ไม่ไปมากกว่านี้ไม่ได้ แพทริเซียสกัดกั้นความเจ็บปวดและมองดูอีกฝ่ายพันแผลที่มือของตนด้วยมือที่สั่นเทา
“เสร็จแล้ว”
เขาพันแผลอยู่สักพักก่อนจะพูดออกมา แพทริเซียค่อยๆ ชักมือกลับ ตรงส่วนที่มีผ้าพันรู้สึกปวดแปลบ นางมองมือที่มีผ้าพันก่อนจะพูดออกมา
“ผ้าเช็ดหน้า…”
“หืม?”
“ของสำคัญมิใช่หรือเพคะ” นางถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “รอยเลือดมักจะซักไม่ค่อยออกนะเพคะ พระองค์ไม่จำเป็นต้องลำบากขนาดนี้…”
“มีคนเจ็บอยู่ตรงหน้าจะให้ปล่อยผ่านไปเฉยๆ ได้อย่างไร”
เขาพูดอย่างชัดเจน รู้สึกได้ถึงความเด็ดขาดจนแพทริเซียมิอาจพูดอะไรต่อได้
“เราไม่ได้เลือดเย็นถึงขนาดทิ้งคนเจ็บที่อยู่ตรงหน้าได้หรอกนะ”
“…”
แพทริเซียไม่พูดอะไร ไม่ใช่ว่านางไม่อยากพูด แต่นางไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
นางรู้สึกแปลกๆ กว่าจะเค้นคำพูดออกมาได้เวลาก็ผ่านไปเนิ่นนาน
“…หม่อมฉันจะพยายามซักให้สะอาดที่สุดเพคะ”
“ช่างเถอะ อย่าไปสนใจเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย”
“หม่อมฉันรู้สึกแปลกๆ เพคะ เหมือนติดค้างพระองค์อยู่”
เขาถอนหายใจออกมาเมื่อได้ยินคำนั้น
“มากเรื่องเสียจริง”
“…”
แพทริเซียอยากพูดต่อให้ว่า เรื่องเยอะแต่กับท่านเท่านั้นแหละ ไม่ใช่ใครอื่น แต่เพราะเป็นท่านซึ่งเป็นศูนย์รวมโชคร้ายทั้งหมด ข้าถึงต้องทำตัวเรื่องเยอะเช่นนี้
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณเพคะ ฝ่าบาท” แพทริเซียว่าพลางทำหน้ามู่ทู่
“นั่นก็ไม่ต้อง วันก่อนเราก็มีเรื่องติดค้างเจ้าเช่นกัน”
“…”
หมายถึงเรื่องวันที่ฝนตกนั่นหรือเปล่านะ ขณะคิดถึงเรื่องวันนั้น สีหน้าของแพทริเซียดูเหม่อลอย เรื่องที่เขาทำตัวประหลาดๆ ในคืนพระจันทร์เต็มดวง
-แปะ แปะ แปะ ซ่า…
ทันใดนั้นเอง ฝนก็เริ่มตก ท้องฟ้าที่แจ่มใสจนถึงเมื่อครู่พลันมืดครึ้มอย่างกะทันหัน แพทริเซียเงยหน้ามองท้องฟ้าครึ้มฝนที่กำลังปล่อยน้ำลงมาด้วยสีหน้าตกใจ เมื่อครู่ฟ้ายังโปร่งอยู่เลยแท้ๆ ไฉนจู่ๆ ฝนถึงตกหนักได้ วันนี้ต้องเป็นวันโชคร้ายไม่ผิดแน่
“อะ…”
นางเปล่งเสียงแห้งๆ ออกมา ก่อนจะถูกดึงไปยังฝั่งที่ลูซิโอยืนอยู่ แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากต่อว่า ลูซิโอก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
“ขี่ม้ากลับไปตอนนี้ไม่ได้หรอก แถวนี้มีที่ที่พอจะหลบฝนได้อยู่ เราไปที่นั่นกันเถอะ”
“…”
ขี่ม้าไปครู่เดียวก็ถึงตำหนักจักรพรรดินีแล้วแท้ๆ แต่ปัญหาคือตอนนี้ขี่ม้าไม่ได้ แพทริเซียจำต้องทำตามที่อีกฝ่ายพูดอย่างช่วยไม่ได้
ที่ที่พวกเขามาหลบฝนคือใต้ต้นไม้ใหญ่ แพทริเซียอ้าปากค้างเมื่อเห็นขนาดของมันซึ่งดูเหมือนจะใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในชีวิต ดูจากกิ่งก้านที่แผ่ออกไปกว้างไกล ต้นไม้ต้นนี้น่าจะมีอายุหลายร้อยปีแล้ว หญิงสาวพึมพำออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ต้นไม้ต้นนี้ใหญ่เหลือเกิน”
“มันมีอายุกว่าพันปีแล้วล่ะ อยู่มาตั้งแต่สมัยจักรพรรดิผู้ก่อตั้งจักรวรรดิ”
ครั้นฟังคำอธิบายจบ แพทริเซียก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง ต้นไม้ต้นนี้ใหญ่โตสมเป็นต้นไม้พันปี ใหญ่จนสามารถให้พื้นที่หลบฝนสำหรับคนทั้งคู่ได้
แพทริเซียเลือกที่มุมหนึ่งและนั่งลงไป ลูซิโอตามมานั่งข้างๆ และนางก็ไม่ได้ว่าอะไร
“…”
“…”
ใต้ร่มไม้นั้น เขาและนางเอาแต่มองเม็ดฝนที่โปรยปรายลงมาทำให้เกิดเสียงแห่งความชุ่มช่ำโดยไม่มีคำพูดใด ความเงียบที่ปกคลุมทั้งคู่เอาไว้ทำให้เกิดบรรยากาศที่น่าอึดอัดใจ แต่แพทริเซียก็ไม่คิดว่าความเงียบนี้แปลกถึงเพียงนั้น เสียงของเม็ดฝนที่ตกกระทบพื้นดินพอจะช่วยคลายบรรยากาศที่ไม่เป็นธรรมชาตินั้นได้บ้าง
“ที่ออกมาขี่ม้าวันนี้…เพราะงานเทศกาลล่าสัตว์หรือ”
เขาเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน และแพทริเซียก็ตอบอย่างรวดเร็ว
“เพคะ”
“คิดไม่ถึงเลย เราไม่คิดว่าเจ้าจะเข้าร่วมด้วย”
“น่าเสียดายนะเพคะ ที่บารอเนสเฟ็ลปส์ไม่ได้เข้าร่วม”
แพทริเซียพูดออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจจะถากถางใดๆ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่คิดเช่นนั้น คิ้วของลูซิโอขมวดมุ่น
“เจ้าประชดอย่างนั้นหรือ”
“แค่เสียดายจริงๆ เพคะ”
เมื่อนางพูดจบ ทั้งสองก็เงียบใส่กัน หญิงสาวได้ยินเสียงฝนตกอีกหลายวินาทีก่อนจะได้ยินเสียงของคนข้างๆ อีกครั้ง
“เราไม่รู้เลยว่าเจ้ามีความสามารถด้านการยุทธ์ด้วย”
“จะเรียกว่าการยุทธ์ก็น่าอายเกินไปเพคะ… หม่อมฉันเพียงแต่ยิงธนูได้เล็กน้อยเท่านั้น”
“ชอบล่าสัตว์หรือ”
แม้ว่าเขาจะถามมาโดยที่นางไม่ทันตั้งตัว แต่แพทริเซียก็ตอบออกไปเสียงเรียบ
“ไม่เพคะ ที่จริงก็ไม่ค่อยชอบ หม่อมฉันไม่ชอบการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเพคะ”
ครั้นตอบออกไปแล้ว นางก็รู้สึกว่าควรจะถามกลับ และตัดสินใจถามตามมารยาท
“แล้วฝ่าบาทล่ะเพคะ”
“เราก็ไม่ค่อยชอบ”
เขาตอบพร้อมกับสีหน้าที่ดูหมองลง เขาทำหน้าราวกับคนที่มีเรื่องในใจ แต่แพทริเซียก็ไม่ได้ใส่ใจ หญิงสาวคิดว่าเขาและนางไม่ได้มีความสัมพันธ์เช่นนั้น นางไม่อยากฟังเรื่องผิดปกติที่เขาเก็บไว้ในใจให้เกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมา
ปล่อยให้ช่องว่างระหว่างเขาและนางอยู่ประมาณนี้ก็ดีแล้ว ความสัมพันธ์ที่ต่างคนต่างก็มีเรื่องที่ไม่รู้เกี่ยวกับกันและกันมากกว่าเรื่องที่รู้ ความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่คนอื่นคนไกลแต่ก็มิได้ใกล้ชิดถึงขั้นเรียกว่าครอบครัว
“ได้ยินมาว่าพระจักรพรรดิองค์ก่อนโปรดปรานการล่าสัตว์อย่างมาก ท่าทางฝ่าบาทจะเหมือนพระราชมารดานะเพคะ”
“…”
เขาไม่พูดอะไรต่อและบทสนทนาของทั้งคู่ก็สิ้นสุดลง แพทริเซียรู้สึกว่าความเงียบช่างน่าอึดอัดเป็นครั้งแรก เพราะคนที่พูดคนสุดท้ายไม่ใช่เขาแต่เป็นนาง
แพทริเซียย้ายสายตาไปมองมือข้างที่เจ็บโดยไม่ได้พูดอะไร เลือดสีแดงฉานที่ซึมทะลุผ้าเช็ดหน้าสีขาวหยุดไหลแล้ว
แต่ถึงกระนั้น นางก็ยังติดอยู่ในความคิดที่ว่า เมื่อครู่ดูเหมือนเลือดจะยังไหลอยู่และความคิดที่ว่า ‘รอยเลือดนี้จะซักออกไหมนะ’
“ตอนนั้น…”
“เพคะ?”
“เรื่องตอนนั้นน่ะ”
ลูซิโอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แพทริเซียจ้องมองเขาด้วยสีหน้าสงสัย ท่าทางเขาดูละล้าละลังคล้ายกำลังชั่งใจ
“ตอนนั้นที่ตรัสถึง…”
“ตอนวันงานเลี้ยงรับรองคณะทูต”
อ้อ ตอนนั้นนี่เอง เขากำลังพูดถึงเรื่องที่ข้าตบหน้าโรสมอนด์โดยไม่มีสาเหตุนั่นสินะ แพทริเซียมีสีหน้าเหม่อลอยเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเบาๆ ให้เขาพูดต่อ
“เชิญตรัสเถิดเพคะ”
“วันนั้นบารอเนสเฟ็ลปส์ทำอะไรเจ้าหรือ”
“…”
ปากของแพทริเซียหุบฉับ ทำไมถึงมาพูดเรื่องวันนั้นเอาตอนนี้ล่ะ แม้นางจะไม่ได้ทำอะไรผิด แต่การสนทนาเรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ แต่จะให้ทำหูทวนลมก็ไม่ได้ แพทริเซียพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ให้ได้มากที่สุดก่อนจะถามกลับไป
“อยากได้ยิน…คำตอบแบบไหนหรือเพคะ”
“เราเพียงแต่ถามเท่านั้น”
“ท่าทางพระองค์คล้ายได้ยินเรื่องอะไรมา หรือไม่…มีเหตุผลอื่นไหมเพคะ”
“ไม่ใช่ทั้งนั้น เจ้าไม่ต้องระแวดระวังขนาดนั้นก็ได้ หากเจ้าไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร”
“พระองค์ต้องการทราบความจริง…หรือจะให้หม่อมฉันกราบทูลให้สบายพระทัยดีเพคะ”
“อย่างแรก”
เขาตอบห้วนๆ ส่วนแพทริเซียกัดปากแน่น นางเงยหน้ามองท้องฟ้า สายฝนที่ตกลงมายังคงหนาเม็ดอยู่ และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ ซึ่งนั่นหมายความว่านางยังต้องใช้เวลาอยู่กับผู้ชายคนนี้อีกนาน แพทริเซียครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนจะเอ่ยปากพูดช้าๆ
“หม่อมฉันตั้งใจจะไม่กราบทูล”
“ทำไมล่ะ”
“น่าจะทรงทราบเหตุผลดีอยู่แล้วนะเพคะ”
แพทริเซียยิ้มเยาะก่อนจะพูดต่อไป
“หม่อมฉันคิดว่าต่อให้กราบทูลอะไรไปก็คงไม่ทำให้นางได้รับโทษ”
“…”
“หม่อมฉันพูดผิดหรือไม่เพคะ”
“ก็ต้องดูเป็นเรื่องๆ ไป”
‘ก็ต้องดูเป็นเรื่องๆ ไป’ หรือ… แพทริเซียทวนคำนั้นเบาๆ ก่อนจะเปิดปากพูดอีกครั้ง
“เช่นนั้นหม่อมฉันสามารถอนุมานได้ว่าถ้าเป็นโทษหนักก็จะลงโทษนางได้ใช่หรือไม่เพคะ”
“…ลองพูดมาก่อน”
“…”
แพทริเซียไม่ได้คาดหวังการลงโทษอะไรตั้งแต่แรก ตนรู้ดีกว่าใครว่าถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็จะไม่เป็นประเด็นขึ้นมา
เพราะฉะนั้นการพูดถึงเรื่องนั้นตอนนี้ก็แค่…คิดเสียว่าเป็นเพียงความอยากรู้อยากเห็น แพทริเซียสงสัยจริงๆ ว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาอย่างไรตอนที่ได้ฟัง
“พระองค์น่าจะทรงทราบดีกว่าใครว่าจักรวรรดิคริสตาห้ามรับประทานเนื้อหมู”
“…”
“บารอเนสเฟ็ลปส์นำเนื้อหมูมาสับเปลี่ยนกับเนื้อวัวที่จะใช้ทำสเต็กเพคะ”
อา…เรื่องเป็นเช่นนี้นี่เอง แม้ว่าเขาจะรู้ดีอยู่แล้ว แต่เมื่อได้ฟังอีกครั้งก็ยังตกใจอยู่ดี คราวนี้ลูซิโอต้องยอมจำนนแล้วว่าโรสมอนด์ของเขาทำเรื่องเลวร้ายเช่นนั้น นางทำสิ่งที่อาจลุกลามกลายเป็นปัญหาระหว่างสองจักรวรรดิได้
“…ทรงทราบอยู่แล้วหรือเพคะ”
กลายเป็นแพทริเซียที่ต้องตะลึงเมื่อเห็นว่าเขาดูไม่ตกใจแม้แต่น้อย เช่นนั้นที่เขาถามมาก็เพื่อความแน่ใจ? หรือเขาจะรู้แผนการร้ายของนางอยู่ก่อนแล้ว? หรือว่า… ข้อสันนิษฐานมากมายหลั่งไหลออกมาจนแพทริเซียไม่อาจซ่อนความสับสนเอาไว้ในใจได้ แต่นางก็พูดต่อไปโดยทำน้ำเสียงเหมือนไม่รู้สึกอะไร
“ฝ่าบาทดูไม่ตกพระทัยเลย”
“ตกใจสิ”
“…”
เขาพูดออกมาเองว่าเขาตกใจ แพทริเซียจึงไม่รู้จะหาเรื่องอะไรต่อได้ ริมฝีปากบางขยับขมุบขมิบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากถามอีกฝ่าย
“แล้วสิ่งที่หม่อมฉันกราบทูลไปส่งผลอะไรต่อพระองค์บ้างไหมเพคะ”
“…”
แพทริเซียรู้สึกได้ว่าเขากำลังสับสน แม้ว่าเขาจะไม่พูดอะไร แม้จะไม่รู้ว่าจุดไหนที่ไปกระทบใจเขาก็ตาม แต่นางมั่นใจ…
ในบทสนทนาหาได้มีคำพูดใดแปลกประหลาด ทั้งยังมิใช่เรื่องเหลวไหลไร้เหตุผล แต่อย่างน้อยคำว่าจักรพรรดิก็ทำให้ทั้งสี่คนเงียบเสียงลงได้
ราฟาเอลามีสีหน้าลำบากใจ ดูเหมือนนางเพิ่งจะรู้ตัวว่าพูดสิ่งที่ไม่สมควรออกไปแล้ว ทั้งๆ ที่นางเป็นคนที่รู้ดีกว่าใครแท้ๆ ว่าจักรพรรดิมิใช่คนที่ตำหนักจักรพรรดินีจะยินดีเมื่อพบเห็น
“ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันปากพล่อยไป” ราฟาเอลารีบขอโทษ
ไม่นึกเลยว่าการกล่าวถึงสามีจะถือเป็นการพูดพล่อยๆ ได้ แพทริเซียรู้สึกเศร้ากับความเป็นจริงที่น่าตกใจนี้ แต่นั่นก็แค่ครู่เดียว นางเริ่มการสนทนาใหม่ด้วยสีหน้าเฉยเมย
“ปากพล่อยอะไรกัน ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดมราฟาเอลา ว่าแต่ไม่รู้ว่าบารอเนสเฟ็ลปส์จะเข้าร่วมด้วยรึเปล่านะ”
แพทริเซียเปลี่ยนไปพูดเรื่องโรสมอนด์ซึ่งเป็นชื่อต้องห้ามยิ่งกว่าชื่อของชายคนนั้น การพูดถึงนางไม่ได้ทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไปเป็นสีชมพู
“คงไม่หรอกเพคะ บารอเนสผู้นั้นแค่พอจะขี่ม้าได้บ้างเท่านั้น”
แพทริเซียพยักหน้าเบาๆ ให้กับคำพูดของมีร์ยาซึ่งอยู่ในพระราชวังแห่งนี้มานานที่สุด แพทริเซียเข้าใจว่าโรสมอนด์มีความสามารถในด้านนั้นด้วย แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่
“การเข้าร่วมครั้งนี้ก็ไม่เลวนะเพคะ ฝ่าบาท เราอาจใช้โอกาสนี้เพิ่มบารมีให้ฝ่าบาทได้…”
“อืม…”
คำพูดของมีร์ยาทำให้แพทริเซียครุ่นคิด จะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมก็มีค่าเท่ากัน เพราะคงไม่มีใครลบหลู่หรือเหยียดหยามจักรพรรดินีที่ล่าสัตว์ไม่เป็น
แต่การเข้าร่วมงานนั้นแน่นอนว่าจะเป็นการสื่ออีกความนัยหนึ่งให้แก่ทุกคน อาจเป็นโอกาสดีที่จะช่วยเสริมอำนาจบารมีของนางที่แผ่วลงเพราะโรสมอนด์ แพทริเซียลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าควรเลือกการผจญภัยหรือความปลอดภัย ก่อนจะถามความเห็นจากเปโตรนิยา
“นีย่า”
“…”
“นีย่า”
ต้องเรียกถึงสองครั้ง เปโตรนิยาที่ดูเหม่อลอยจึงจะหันมามอง แพทริเซียถามต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“นีย่าคิดว่าอย่างไร”
“ข้า…”
เปโตรนิยาหน้ามุ่ย ท่าทางนางก็ตัดสินใจไม่ได้เช่นกัน แพทริเซียรออยู่สักพัก ก่อนจะพูดตัดบท
“ข้าว่า ไม่เข้าร่วม…น่าจะดีกว่ากระมัง”
“…ไม่หรอก”
เปโตรนิยาอยากให้แพทริเซียเข้าร่วม แพทริเซียทำหน้างุนงงกับผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด
“นิลก็คิดเหมือนเดมเอล่าหรือ” แพทริเซียถามเหตุผล
“อืม เรื่องที่สถานะของเจ้าไม่ชัดเจนยิ่งขึ้นเพราะบารอเนสเฟ็ลปส์ก็เป็นเรื่องจริง ข้าคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดี จักรพรรดินีที่ทั้งปราดเปรื่องและมีความสามารถด้านการยุทธ์ก็มีไม่มาก”
“ข้าไม่ได้ฉลาดถึงขั้นปราดเปรื่องเสียหน่อย”
แพทริเซียหน้าแดงเรื่อด้วยความเขินอายพลางบอกปัดคำชมของเปโตรนิยา นางกระแอมออกมาเบาๆ ก่อนจะพูดพึมพำ
“ถ้าเข้าร่วมแล้วไม่ขายขี้หน้ากลับมาก็คงจะดี ข้าไม่ได้ขี่ม้ามานานแล้วด้วย”
นางย้อนอดีตกลับมาได้ไม่ถึงปีก็จริง แต่ในระยะเวลาสามปีที่นางเป็นพระกนิษฐาของจักรพรรดินี นางไม่เคยได้ขี่ม้าเลยสักครั้ง
เมื่อลองคิดย้อนกลับไป นางก็สงสัยว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น นางมีภาระงานอะไรหนักหนา
“เอาเป็นว่าข้าจะเข้าร่วมก็แล้วกัน ถ้าข้าจับไม่ได้เลย เดมราฟาเอลาจะแบ่งให้ข้าสักตัวได้หรือไม่”
“ตายจริง ฝ่าบาท แค่ตัวเดียวจับได้อยู่แล้วเพคะ”
ราฟาเอลาหัวเราะโฮ่โฮ่พลางตีหลังแพทริเซียเบาๆ อย่างหยอกล้อ
“ถ้าพระองค์จับไม่ได้เลย หม่อมฉันย่อมต้องถวายให้เพื่อพระเกียรติของฝ่าบาท แต่คงไม่มีเรื่องเช่นนั้นกระมัง”
***
แพทริเซียคิดว่านางควรจะฝึกฝนตัวเองสักหน่อยเพื่อที่จะไม่ต้องไปขายหน้าในเทศกาลล่าสัตว์ นางไม่สามารถกลับมามือเปล่าได้ เพราะสาเหตุที่นางเข้าร่วมงานก็เพื่อสร้างบารมีในฐานะจักรพรรดินี
“ฝึกทรงม้าเผื่อเอาไว้ดีหรือไม่เพคะ”
ราฟาเอลาเป็นคนให้คำตอบในสิ่งที่แพทริเซียกำลังใคร่ครวญ เมื่อได้ยินดังนั้น แพทริเซียก็ทำท่าสงสัย
“ฝึกขี่ม้าหรือ” แพทริเซียถามกลับ
“มีป่าที่เหมาะจะใช้ฝึกอยู่หลังพระราชวังเพคะ พระองค์อาจไม่ทราบเพราะที่นั่นไม่ใช่ป่าที่มีชื่ออะไร”
“อา…”
แพทริเซียไม่รู้มาก่อนว่ามีที่เช่นนั้น แม้ว่าตัวนางจะมีศักดิ์เป็นพระกนิษฐาของจักรพรรดินีมาถึงสามปี พี่สาวของนางในตอนนั้นจะรู้ไหมนะ แพทริเซียเหม่อลอยไปสักพักจนกระทั่งเสียงของราฟาเอลาดึงนางกลับมาสู่โลกความเป็นจริง
“จะลองเสด็จไปดูไหมเพคะ ฝ่าบาทต้องชอบแน่เพคะ”
“ข้า…ไปได้หรือ”
ราฟาเอลารู้สึกว่าคำพูดนั้นช่างน่าเหลือเชื่อ จะมีที่ไหนที่จักรพรรดินีผู้เป็นประมุขหญิงของพระราชวังจะเสด็จไปไม่ได้กัน นางกล่าวเตือนแพทริเซียอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ถ้าฝ่าบาทไปไม่ได้ก็คงไม่มีใครไปได้นอกจากพระจักรพรรดิกระมังเพคะ อย่าได้ทรงกังวลไปเลย ไปได้แน่นอนเพคะ”
“อืม…เช่นนั้นลองไปสักครั้งก็น่าจะดี”
“เสด็จตอนนี้เลยไหมเพคะ”
ราฟาเอลาถามมาพร้อมส่งสายตาวิบวับคล้ายต้องการจะตีเหล็กตอนที่กำลังร้อน แพทริเซียรู้สึกว่าอีกฝ่ายดูอยากไปที่นั่นมากกว่าตนเสียอีก นางหัวเราะคิกคักก่อนจะถามราฟาเอลา
“ท่าทางเจ้าจะอยากไปสินะ เดมราฟาเอลา”
“ตายจริง ความแตกแล้วหรือนี่”
ราฟาเอลาหัวเราะคิกคักก่อนจะลุกขึ้น แพทริเซียก็ค่อยๆ ลุกขึ้นจากโซฟาเช่นกัน
เอาเถอะ ถึงอย่างไรวันนี้ก็ไม่ค่อยมีงานอยู่แล้ว อากาศข้างนอกก็ดี เหมาะกับการขี่ม้าที่สุด มีร์ยานำชุดขี่ม้ามาให้ราวกับรู้ใจ ส่วนเปโตรนิยาก็เข้ามาช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้า
“ฟ้าใสไม่มีเมฆสักก้อนเลยนะคะ”
“เพคะ ฝ่าบาท ท่าทางจะไม่ต้องกังวลเรื่องฝนตกนะเพคะ”
มีร์ยายิ้มร่าก่อนจะสวมรองเท้าให้แพทริเซีย ทันทีแพทริเซียเตรียมตัวเสร็จ นางก็ไปยืนส่องกระจกพร้อมกับทำสีหน้าแปลกๆ นี่นางไม่ได้แต่งตัวแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ
“เหมาะมาก”
เปโตรนิยายิ้มกริ่มพลางชื่นชมจากด้านหลัง ครั้นได้ยินพี่สาวพูดเช่นนั้น จู่ๆ แพทริเซียก็รู้สึกเขินขึ้นมา
“ไม่ได้ใส่มานาน รู้สึกแปลกๆ”
นี่เป็นครั้งแรกในรอบสาม…ไม่สิ น่าจะสี่ปี แพทริเซียพูดพึมพำในขณะที่คิดย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีต เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น เปโตรนิยาก็หัวเราะก่อนจะพูดว่า
“นานอะไรกัน ยังไม่ทันครบปีเลย เอาล่ะ ออกไปกันเถอะ”
แสงแดดที่ส่องตรงลงมาช่างอบอุ่น แพทริเซียยิ้มแย้มและซึมซับความสบายใจที่ไม่ได้รับมานานอย่างเต็มที่ ครั้งสุดท้ายที่รู้สึกแบบนี้คือเมื่อไรกันนะ หลังจากย้อนอดีตมา ทุกๆ วันนางทุกข์ใจราวกับเดินอยู่บนขวากหนาม แต่วันนี้จิตใจของแพทริเซียเบิกบานอย่างที่ไม่ได้เป็นมาเนิ่นนาน ไม่รู้ว่าเพราะมีพี่สาวอยู่ข้างๆ หรือเพราะสถานการณ์ในตอนนี้ทำให้อารมณ์ดี
“ขี่ม้าตัวนี้น่าจะดีนะเพคะ ฝ่าบาท”
ราฟาเอลาเดินจูงม้าขาวไร้ที่มาตัวหนึ่งด้วยสีหน้าภาคภูมิ ขนแผงคอสีขาวบริสุทธิ์ของมันดูงดงาม นางยิ้มมุมปากก่อนจะถามราฟาเอลา
“ข้าดูม้าไม่เป็น แต่นี่ดูจะเป็นม้าพันธุ์ดีทีเดียว มันชื่ออะไรหรือ”
“คนเลี้ยงมาบอกว่าชื่อ ‘แซลลี่’ เพคะ เขาบอกว่าเป็นม้าสายพันธุ์ดีมาก”
“เช่นนั้นหรือ”
แพทริเซียขึ้นหลังม้าด้วยสีหน้าแสดงความคาดหวัง นางจัดท่าทางด้วยสีหน้าละล้าละลังอยู่ชั่วครู่ก่อนจะจับบังเหียนอย่างคล่องแคล่ว
นางไม่ได้เก้ๆ กังๆ อย่างที่คิด อาจเป็นเพราะครั้งสุดท้ายที่นางในร่างนี้ขี่ม้าเพิ่งผ่านมาได้ไม่นาน แพทริเซียพูดกับทุกคนด้วยความรู้สึกคึกคักเล็กน้อย
“ข้าจะไปคนเดียวนะคะ”
“จะเสด็จพระองค์เดียวหรือเพคะ มันอันตรายนะเพคะ”
เป็นธรรมดาที่ราฟาเอลาจะแสดงความเป็นห่วง แพทริเซียยิ้มบางๆ ราวกับจะบอกว่าไม่เป็นไร นางพยายามคลายความกังวลให้อีกฝ่าย
“นานๆ ทีก็ข้าอยากขี่ม้าคนเดียวดูบ้าง ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ข้าไม่ใช่มือใหม่ถึงขนาดที่จะตกม้าได้หรอก”
“…”
ราฟาเอลาทำหน้าลำบากใจ ไม่ใช่ว่านางไม่เข้าใจแพทริเซีย อีกฝ่ายคงอยากอยู่คนเดียวบ้าง เพราะปกติจะถูกนางกำนัลและข้ารับใช้ล้อมหน้าล้อมหลังอยู่เสมอ แต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้ ในที่สุดราฟาเอลาก็ต้องขอให้อีกฝ่ายสัญญาอย่างเสียไม่ได้
“อย่าเสด็จไปไกลนะเพคะ และโปรดเสด็จกลับมาภายในครึ่งชั่วโมงด้วย หากกลับมาช้าแม้เพียงเล็กน้อย หม่อมฉันจะออกไปตามพระองค์ทันที”
“เข้าใจแล้ว เจ้าอย่าได้กังวล”
แพทริเซียตอบด้วยน้ำเสียงสดใส นางค่อยๆ ควบม้าออกไป ราฟาเอลามองแพทริเซียที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไปและบ่นออกมาเบาๆ
“คงไม่เป็นไรนะ”
“เอล่า เจ้าก็รู้ว่าริซซี่ไม่ใช่มือใหม่ เด็กคนนั้นก็คงต้องการเวลาส่วนตัวบ้าง”
ราฟาเอลาพยักหน้าเบาๆ ให้กับคำพูดของเปโตรนิยา
“นั่นสินะ คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก” นางตอบ
“หากพระองค์ได้คลายความเครียดที่สะสมมานานได้บ้างก็คงจะดีนะคะ พักนี้ข้าก็ไม่ค่อยสบายใจเลย พระองค์ดูเหนื่อยๆ”
ทุกคนตรงนั้นพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของมีร์ยา แพทริเซียคงต้องการเวลาส่วนตัวจริงๆ
“หยุด หยุด~”
แพทริเซียค่อยๆ บังคับม้าให้หยุดหลังจากที่ขี่เข้าป่ามาพักใหญ่ เจ้าม้าหยุดเดินอย่างว่าง่าย นางจึงค่อยๆ ลงจากหลังม้า
“…ดีจัง”
อากาศกลางป่าเช่นนี้ทั้งชื้นและค่อนข้างเย็น แต่นางชอบความสดชื่นและความเย็นที่รู้สึกได้ที่ปลายจมูก คิดว่าลงเดินสักครั้งก็ไม่น่าเสียหายอะไรจึงค่อยๆ เดินไปรอบๆ ด้วยรองเท้าบู้ตที่ใช้ขี่ม้า
“มีที่เช่นนี้ด้วย”
นางพึมพำออกมาหลังจากเดินมาได้สักระยะ
มีที่เช่นนี้ด้วยสินะ แพทริเซียเป็นจักรพรรดินีมาได้ราวๆ สามเดือน และเคยเป็นพระกนิษฐาของจักรพรรดินีถึงสามปีแต่กลับไม่รู้เลยว่ามีที่แบบนี้อยู่ด้วย
นางยิ้มเศร้าออกมาอย่างไม่รู้สาเหตุพลางยีแผงคอของม้า ครั้นถูกยีขน ม้าก็ส่งเสียงฟึดฟัดก่อนจะกัดเข้าที่มือของหญิงสาว
“อ๊ะ!”
แพทริเซียร้องออกมาและรีบเอามือออกมาจากปากม้า แม้จะไม่ได้เจ็บมาก แต่แผลน่าจะลึกพอสมควร ดูได้จากเลือดที่ไหลออกมาเป็นทาง
บ้าจริง นางสบถออกมา ก่อนจะพูดตัดพ้อใส่เจ้าม้า
“ถูกฝึกมาไม่พอหรืออย่างไร เฮ้อ…ยีขนแค่นี้ไม่เห็นต้องกัด…”
-ซ่วบ
ในขณะนั้นเอง เสียงแปลกๆ ที่ดังขึ้นทำให้นางต้องตั้งใจฟัง ร่างกายของหญิงสาวแข็งทื่อไปทั้งตัว มีคนอยู่ตรงนี้ด้วย ใครกัน?
สีหน้าของแพทริเซียมีแววตื่นตะลึง นางสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ ใครกันนะ คนที่เข้ามาในที่นี้ได้ นอกจากนางแล้วก็…
“หรือว่า…”
ข้อสันนิษฐานหนึ่งแวบขึ้นมาในหัว ข้อสันนิษฐานที่ดูจะเป็นไปได้นั้นวนเวียนอยู่ในหัวของนาง ร่างบางกัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัวพลางเงยหน้ามองผู้ชายที่ปรากฏตัวตรงหน้า ชายหนุ่มในชุดขี่ม้าผู้นั้นมองลงมาที่นางด้วยสีหน้าเย็นชา คำเรียกแทนตัวอีกฝ่ายหลุดออกมาจากปากของแพทริเซียโดยอัตโนมัติ
“ฝ่าบาท”
“จักรพรรดินีมาทำอะไรที่นี่”
เขาคือลูซิโอนั่นเอง
“อ้อ ข้าได้ยินจากท่านแม่แล้วนะว่าเจ้าจัดงานเลี้ยงรับรองภริยาคณะทูตได้วิเศษมาก ท่านแม่ชื่นชมใหญ่เลย”
“อา…”
แพทริเซียลากเสียงจนฟังดูแปลกหู เรื่องวันนั้นแวบเข้ามาในหัว วันที่นางไม่สามารถจดจ่ออยู่กับงานเลี้ยงต้อนรับได้เพราะความสนใจทั้งหมดของนางพุ่งไปที่โรสมอนด์ แต่ก็เป็นโชคดีที่แขกเหรื่อล้วนมองนางในแง่ดี
แพทริเซียกำลังชั่งใจว่าควรเล่าเรื่องวันนั้นให้พี่สาวฟังหรือไม่ ส่วนเปโตรนิยาก็เร่งเร้าให้แพทริเซียพูดออกมาด้วยรู้ว่าน้องสาวมีอะไรในใจ
“เป็นอะไรไป มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า”
แพทริเซียตอบพี่สาวฝาแฝดที่ถามตาใสด้วยสีหน้าลำบากใจ ทันใดนั้นเปโตรนิยาก็ทำหน้าขึงขังอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักและพูดปลอบประโลมแพทริเซีย
“เป็นอะไรไป ริซซี่ เราเป็นพี่น้องกันนะ มีเรื่องอะไรก็ต้องบอกกันสิ ทำไมล่ะ เรื่องไม่ดีหรือ?”
“ก็ไม่ใช่เรื่องดีหรอกนิล ข้าไม่แน่ใจว่าควรเล่าให้เจ้าฟังไหม”
คนที่รู้มีเพียงราฟาเอลา และยิ่งแพทริเซียพูดเช่นนั้น เปโตรนิยาก็ถามกลับด้วยสายตาใคร่รู้มากกว่าเดิม
“เรื่องอะไรหรือ”
“ข้าถูกบารอเนสเฟ็ลปส์ก่อกวนน่ะ”
คำว่า ‘บารอเนสเฟ็ลปส์’ ทำให้เปโตรนิยามีสีหน้าบึ้ง นางถามแพทริเซียเสียงแข็ง เสียงนั้นต่างจากเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง
“หมายความว่าอย่างไร”
“นางเอาเนื้อหมูมาเปลี่ยนกับเนื้อวัวที่จะใช้ทำสเต็ก โชคดีที่ข้าจับตาดูตำหนักเวนอยู่จึงขัดขวางเอาไว้ได้… นี่แค่คิดยังน่ากลัวจนขนลุกไปหมด”
“พระเจ้าช่วย…”
เปโตรนิยาอ้าปากค้าง สีหน้าของนางดูตกใจมาก เห็นท่าทีของพี่สาวแล้วแพทริเซียก็รู้สึกว่าไม่น่าเลย นางไม่น่าพูดออกไปเลย ทางนั้นก็เป็นพี่สาวที่คอยห่วงใยตนแท้ๆ
“โรสมอนด์ นางบ้านั่น เอาอีก…”
“ใจเย็นๆ นีย่า ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
แม้ว่าแพทริเซียจะพูดเช่นนั้น แต่เปโตรนิยาก็ไม่สามารถซ่อนความโกรธเอาไว้ได้ นางกลับซักไซ้แพทริเซียด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้างกว่าเมื่อครู่
“ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนเกินไปแล้วฝ่าบาท คนฉลาดอย่างเจ้าไม่น่าจะไม่รู้กระมังว่าเรื่องนี้มันหนักหนาเพียงใด”
“รู้สิ ข้าเตือนนางไปแล้วว่าทีหน้าทีหลังอย่ามากลั่นแกล้งกันเช่นนี้ ถ้าทำอีกข้าจะไม่อยู่เฉย”
“…น่ากลัวเสียจริง”
เปโตรนิยาใช้เวลาครู่ใหญ่ก่อนจะพูดต่อ “ริซซี่ เจ้าไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหม”
“ไม่เป็นไร นีย่า ถ้ารู้ว่าจะทำให้เจ้าเป็นห่วงขนาดนี้ ข้าคงไม่พูดหรอก”
“หากเจ้าทำเช่นนั้นข้าจะโกรธ”
เปโตรนิยาปั้นหน้าขึงขังพลางตำหนิน้องสาว แต่แพทริเซียเพียงแค่ยิ้มเหมือนเด็กและหอมแก้มพี่สาวเท่านั้น
“ข้าไม่เป็นไร ข้าจะอยู่เงียบๆ ในฐานะที่ข้าเป็นจักรพรรดินี แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าจะอยู่เฉยยอมถูกกระทำไปเรื่อยๆ ที่ข้าพูด…เจ้าเข้าใจใช่ไหม”
“…”
แต่แทนที่จะตอบ เปโตรนิยากลับทำสีหน้าเคร่งเครียด แพทริเซียสังเกตท่าทีของพี่สาวก่อนจะถาม
“นิล โกรธหรือ… แต่ข้าไม่มีหลักฐานแน่ชัด อีกทั้งหากทำอะไรพลาดไปอาจเกิดปัญหาระหว่างจักรวรรดิ…”
“ริซซี่”
เปโตรนิยาเรียกแพทริเซียเบาๆ คนถูกเรียกทำสีหน้าตื่นๆ พลางกลืนน้ำลาย
“ที่จริงข้าไม่ได้มาที่นี่เพียงเพื่อมาพบเจ้าเท่านั้น” เปโตรนิยาพูดต่อ
“แล้ว…?”
“ข้ามายื่นข้อเสนอ… จะพูดเช่นนั้นก็กระไรอยู่ เอาเป็นว่าข้ามีอะไรอยากบอกก็แล้วกัน”
“พูดมาเลย นีย่า”
ได้ยินดังนั้นเปโตรนิยาก็มองลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายแล้วกล่าว
“ข้าอยากเป็นนางกำนัลให้เจ้า”
“…หา?”
วินาทีที่เปโตรนิยาพูดจบ ดวงตาของแพทริเซียก็สั่นไหวอย่างรุนแรง นี่มันอะไรกัน… แพทริเซียมีสีหน้าตกตะลึงที่จู่ๆ เปโตรนิยาก็ประกาศออกมาเช่นนั้น
“พูดอะไรน่ะ จู่ๆ จะมาเป็นนางกำนัลทำไม”
“ข้าไม่ได้ตัดสินใจพูดเพราะเรื่องที่เจ้าเล่าหรอกนะ ข้าคิดมาตลอดตั้งแต่เจ้าได้เป็นจักรพรรดินีแล้ว”
เปโตรนิยาพูดด้วยสีหน้ามุ่งมั่น แพทริเซียคาดเดาเหตุผลไม่ออกว่าเหตุใดจู่ๆ พี่สาวของนางถึงบอกว่าจะมาเป็นนางกำนัล
ตัวนางในชาติก่อนอย่าว่าแต่นางกำนัลเลย แม้แต่พระราชวังนางก็ไม่ค่อยจะมา แต่เมื่อย้อนเวลากลับมาแล้ว ผู้เป็นพี่สาวกลับบอกว่าจะมาเป็นนางกำนัลของนาง แพทริเซียไม่รู้ว่าต้องมองเรื่องนี้เป็นลางดีหรือลางร้ายกันแน่
“ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ…”
“ข้ารู้ แต่ถ้าดูจากประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิมาวินอสแล้ว การเป็นนางกำนัลของพี่น้องตัวเองไม่ใช่เรื่องแปลก อีกอย่าง ข้าก็ไม่ได้คิดจะรับใช้เจ้าไปจนตาย ข้าจะเลิกทำก่อนจะพ้นวัยที่ต้องแต่งงาน ข้าแค่อยากอยู่ข้างๆ เจ้า…แม้จะแค่ช่วงเวลาหนึ่งก็เถอะ”
“เช่นนั้น อย่างดีก็ทำได้แค่ปีสองปี หลังจากนั้นข้าคงแย่เลย”
เพราะข้าจะคิดถึงเจ้า เปโตรนิยาหัวเราะคิกคักเมื่อได้ฟังคำพูดของน้องสาว
“จะคิดถึงทำไม ถึงจะแต่งงานไปแล้ว แต่ถ้าไม่มีเรื่องอะไรจริงๆ ข้าก็อยู่ในเมืองหลวงนี่แหละ แล้วจู่ๆ ทำไมอารมณ์อ่อนไหวนักล่ะ”
“ก็เพราะนีย่านั่นแหละทำเสียบรรยากาศหมดเลย แล้วนี่จะมาเป็นนางกำนัลจริงๆ หรือ”
“จริงสิ”
เปโตรนิยาพยักหน้าเบาๆ ในขณะที่แพทริเซียกำลังคิดหนัก ถึงอย่างไรคนที่เป็นจักรพรรดินีก็คือตัวนาง ส่วนพี่สาวก็คงต้องออกเรือนไปกับบุตรชายของขุนนางสักคน เพราะฉะนั้นเปโตรนิยาคงไม่ตกหลุมรักฝ่าบาทตั้งแต่แรกพบดังเช่นในอดีต และต่อให้เป็นเช่นนั้น โอกาสที่เปโตรนิยาจะมาแย่งตำแหน่งของนางก็เท่ากับศูนย์
หากนางมีเปโตรนิยาอยู่ข้างๆ ไม่แน่ว่าอาจจะมั่นคงมากกว่าตอนนี้ และแน่นอนว่าผู้เป็นพี่สาวอาจได้เห็นบางมุมของนาง แม้ว่านางไม่ค่อยอยากให้อีกฝ่ายเห็นเท่าไรก็ตาม
“เช่นนั้น…ก็ได้”
แพทริเซียไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธ เพราะตอนนี้จำนวนข้ารับใช้ก็ไม่ค่อยเพียงพอ และนางก็กำลังคิดที่จะเพิ่มจำนวนคนอยู่พอดี เมื่อจักรพรรดินีอนุญาตแล้ว เปโตรนิยาก็ยิ้มออกมาบางๆ มีท่าทียินดี
“เฮ้อ ดีจัง ต่อไปข้าจะได้อยู่กับเจ้าทุกวันเลยสินะ”
สำหรับเปโตรนิยา เมื่อได้ทำงานในวังก็มีโอกาสที่จะได้เข้าออกวังอย่างอิสระอยู่มาก เพราะนางไม่ใช่ข้ารับใช้ตลอดชีวิตเช่นมีร์ยา แพทริเซียยิ้มและเอ่ยตอบ
“อืม น่าจะเริ่มงานได้ในสัปดาห์หน้านะ”
นี่ก็เหลืออีกไม่กี่วันแล้ว แพทริเซียมองใบหน้าของพี่สาวที่มีทั้งความจริงจังและความยินดีปะปนกันอยู่ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
เปโตรนิยากลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลโกรเชสเตอร์ในตอนเย็นและบอกความต้องการของตนให้บิดามารดาทราบ แน่นอนว่ามาร์ควิสและมาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์ต่างก็ตกใจกับคำพูดของบุตรสาว
“นีย่า นี่แม่ได้ยินไม่ผิดใช่ไหม”
มาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์ถามเสียงเรียบ แน่นอนว่านางเองก็อยากให้เปโตรนิยาเข้าไปช่วยงานแพทริเซียในวังเช่นกัน
แต่บุตรสาวทั้งสองของนางดูไม่ค่อยอยากจะข้องเกี่ยวกับราชวงศ์สักเท่าไร นางจึงละทิ้งความปรารถนานี้ไปตั้งแต่ต้น ด้วยเหตุนั้นการที่จู่ๆ เปโตรนิยามาพูดกับนางเช่นนี้ นางย่อมตกใจเป็นธรรมดา
เปโตรนิยายังยืนยันคำเดิมแม้มารดาของตนจะมีปฏิกิริยาเช่นนั้นก็ตาม
“ค่ะ ท่านแม่ ข้าจะเข้าวังไปเป็นนางกำนัล ท่านแม่คงไม่ห้ามข้าใช่ไหมคะ”
“ไม่หรอก แม่แค่ตกใจเท่านั้น ก่อนหน้านี้เจ้ายังทำท่าไม่อยากเป็นควิเนสอยู่เลยมิใช่หรือ แม่จึงไม่คิดว่าเจ้าเองก็อยากเข้าไปเกี่ยวพันกับราชวงศ์เหมือนริซซี่”
“…”
ดูเหมือนท่านแม่จะยังไม่รู้ แต่นางก็ไม่เปลี่ยนใจ นางยังคงไม่ชอบพวกเชื้อพระวงศ์ และไม่อยากย่างเท้าเข้าไปในพระราชวังด้วย แต่สิ่งเดียวที่ทำให้นางกล้าตัดสินใจบ้าบิ่นเช่นนี้
‘แพทริเซีย’
นางไม่สบายใจที่ทิ้งให้แพทริเซียอยู่คนเดียวในราชวงศ์ที่แก่งแย่งชิงดีกัน นางทำใจให้สงบไม่ได้เลยจนถึงขั้นคิดว่าให้ตัวเองได้เข้าไปปกป้องน้องในฐานะนางกำนัลน่าจะดีกว่า
ขอแค่ไม่ต้องเป็นควิเนสหรือจักรพรรดินีก็พอแล้ว เป็นนางกำนัลก็ไม่แย่เท่าไร เพราะถึงอย่างไรนางกำนัลก็ไม่ใช่ตำแหน่งที่จะต้องแต่งงานกับจักรพรรดิ
“ข้าไม่ได้จะทำงานนั้นตลอดชีวิต มันเป็นงานที่ไม่มีข้อผูกมัดค่ะท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าไม่รู้ว่าพวกท่านกังวลอะไรอยู่ แต่จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่นอนค่ะ”
“พวกเราไม่ได้คิดเช่นนั้นหรอก นีย่า แม่บอกแล้วมิใช่หรือว่าแม่แค่ตกใจเล็กน้อยเท่านั้น เหมือนกับว่า…ลูกกลายเป็นคนละคนเลย”
“…”
เปโตรนิยายิ้มเศร้า ถ้าวันนั้นนางไม่ได้เห็นภาพนั้นในวัง นางอาจไม่คิดเช่นนี้ แต่นางก็เห็นแล้ว จึงไม่อาจเพิกเฉยได้ เปโตรนิยากล่าวเสียงเรียบ
“ข้าคงเป็นผู้ใหญ่แล้วกระมัง”
เปโตรนิยาเข้าวังทันทีที่แพทริเซียมีราชโองการ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แพทริเซียดำเนินการด้วยตัวเองจึงไม่จำเป็นต้องมีขั้นตอนอะไรวุ่นวายมากนัก และทางพระราชวังก็ไม่ได้ตั้งเงื่อนไขอันใด เพราะในจักรวรรดิมาวินอสแห่งนี้การที่ญาติสนิทหรือพี่น้องของจักรพรรดินีเข้าวังมาทำงานเป็นนางกำนัลไม่ได้ถือเป็นเรื่องแปลก
เปโตรนิยาที่เข้าวังมาวันแรกในฐานะนางกำนัลทักทายราฟาเอลาที่อยู่ข้างกายแพทริเซียในฐานะอัศวินราชองครักษ์อย่างยินดี
“เอล่า ข้าได้ยินข่าวแล้ว ไม่นึกว่าเจ้าจะอยู่ที่นี่จริงๆ ดีจังที่เจอเจ้า”
“ข้าก็เช่นกัน นิล หลังจากงานเลี้ยงฉลองพิธีอภิเษกสมรสก็เพิ่งเจอกันครั้งแรกกระมัง”
ราฟาเอลาโอบกอดเปโตรนิยาเบาๆ เพื่อต้อนรับ
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่พระราชวัง ยิ่งเข้ามาในฐานะนางกำนัลยิ่งดีใหญ่”
ที่จริงข้าก็กำลังเบื่ออยู่พอดีเพราะไม่มีนางกำนัลรุ่นราวคราวเดียวกับข้าเลย เปโตรนิยายิ้มตาหยีให้กับราฟาเอลาที่อธิบายไปพลางหัวเราะคิกคักไปพลาง ราฟาเอลายังเหมือนเดิม
“มีร์ยาคะ ข้าขอทราบพระราชกรณียกิจประจำวันของเสด็จน้องได้ไหมคะ”
แต่ก่อนที่มีร์ยาจะได้ตอบ แพทริเซียก็ตอบแทนเสียเอง
“ไม่มีอะไรพิเศษหรอก ท่านพี่ ทำงานสักครู่ก็มาดื่มชา แล้วก็กลับไปทำงานต่อ ออกไปเดินเล่นเรื่อยเปื่อย แล้วก็พูดคุยกับพวกนางกำนัล” แพทริเซียพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย
น่าเบื่อ มีร์ยาที่ยืนอยู่ข้างๆ หัวเราะเบาๆ เพราะคำพูดที่แพทริเซียพูดก่อนจะเสริมเข้าไปอีกข้อ
“ทรงอ่านหนังสือบ่อยๆ ด้วยมิใช่หรือเพคะ หม่อมฉันจึงพลอยสนิทกับไวเคาน์เตสเวอร์ซิลิงมากยิ่งขึ้นไปด้วย”
ไวเคาน์เตสเวอร์ซิลิงคือภริยาขุนนางที่เป็นบรรณารักษ์ของหอสมุด ครั้นมีร์ยาพูดจบ แพทริเซียก็หัวเราะออกมาก่อนจะสรุปเรื่องที่กำลังคุยกัน
“มีเท่านี้แหละนิล เพราะฉะนั้น คงไม่มีเรื่องอะไรให้นิลทำมากนักหรอก”
“งานล่ะ ไม่เหนื่อยหรือ”
“ช่วงแรกก็ลำบาก ตอนนี้พอทำได้แล้ว”
ไม่ว่าสิ่งใด การลงมือทำครั้งแรกย่อมลำบากด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งสำหรับมือใหม่อย่างแพทริเซียที่ชาติก่อนไม่เคยได้จับงานของฝ่ายในเลยสักครั้งย่อมต้องรู้สึกว่าเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงเป็นธรรมดา แต่ก็อย่างที่เขาว่าเวลาจะเป็นตัวช่วย ตอนนี้นางจึงเริ่มจะมีเวลาว่างเล็กๆ น้อยๆ จากการภาระงานที่รัดตัว
“แล้วก็ยังไม่มีงานใหญ่ๆ เหมือนงานต้อนรับภริยาคณะทูตให้ต้องตระเตรียมด้วย อ้อ ไม่สิ กำลังจะมีอีกงานนี่นะ ใช่หรือไม่ เดมราฟาเอลา”
“…”
“อีกไม่นานพระราชวังจะจัดงานเทศกาลล่าสัตว์ บางทีนิลก็น่าจะรู้อยู่แล้ว เงินรางวัลตั้งหนึ่งร้อยล้านเหรียญทองเชียวล่ะ”
เสียงของราฟาเอลาดูตื่นเต้นเล็กน้อย ท่าทางนางจะสนใจเรื่องนี้อยู่ ช่างสมกับเป็นอัศวิน แพทริเซียยิ้มบางๆ ก่อนจะพูดล้อเลียนราฟาเอลา
“คราวนี้จะเอาชนะได้หรือไม่ เดมราฟาเอลา”
“อย่าทรงคาดหวังมากนักเลยเพคะ ฝ่าบาท แต่หม่อมฉันจะพยายามอย่างเต็มที่”
เพื่อเกียรติของฝ่าบาท ราฟาเอลาตอบกลับอย่างกล้าหาญ แต่แล้วนางก็เบิกตาโตราวกับนึกอะไรออก
“จริงสิ ฝ่าบาทจะทรงเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ไหมเพคะ” ราฟาเอลาถามแพทริเซีย
“ข้าหรือ?”
“เพคะ ฝ่าบาททรงม้าเป็น และทรงธนูได้มิใช่หรือเพคะ”
“อุ๊ย จริงหรือเพคะ ฝ่าบาท”
มีร์ยาถามด้วยความตกใจส่วนแพทริเซียก็ยิ้มเจื่อนๆ ที่ราฟาเอลาพูดมาเป็นความจริง นางทั้งขี่ม้าเป็น และยังยิงธนูได้ แม้จะไม่เก่งก็ตาม
“เมื่อก่อนข้ากับนิลเรียนไว้เป็นความรู้น่ะค่ะ ใช่ไหม? นิล”
“ใช่แล้ว แต่ข้าไม่ได้เก่งอะไรหรอกค่ะ ผิดกับฝ่าบาท”
“จริงหรือเพคะ”
แพทริเซียแก้มแดงขึ้นมาเพราะคำเยินยอของเปโตรนิยา นางก็แค่พอทำได้ ถ้าเทียบกับราฟาเอลาแล้ว ฝีมือของนางช่างน่าอายนัก เมื่อราฟาเอลาได้ยินดังนั้นก็ลิงโลดขึ้นมา
“หม่อมฉันมิได้เป็นแค่เลดี้ แต่เป็นอัศวินราชองครักษ์ของฝ่าบาท หากฝีมือไม่อยู่เหนือฝ่าบาทคงไม่ได้กระมังเพคะ หากทรงต้องการจะมีฝีมือเทียบเท่าหม่อมฉัน คงต้องเชิญเสด็จไปที่สนามฝึกให้หม่อมฉันฝึกให้เดี๋ยวนี้เลยเพคะ”
“นั่นก็จริงเพคะ ฝ่าบาท ทรงคาดหวังมากเกินไปหรือเปล่าเพคะ เดมราฟาเอลาก็หาใช้นักรบไร้ฝีมือ”
แพทริเซียยิ้มเจื่อนๆ ให้มีร์ยาซึ่งหยอกเย้านางด้วยรอยยิ้มกระหยิ่มแปลกๆ นางเกาหัวแกรกๆ ก่อนที่ราฟาเอลาจะถามเซ้าซี้ขึ้นมาอีก
“แล้วฝ่าบาทจะทรงเข้าร่วมไหมเพคะ หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงองค์จักรพรรดิเองก็น่าจะทรงเข้าร่วมด้วย”
“…”
คำพูดคำเดียวทำให้ทั้งสี่คนเงียบกริบ
แพทริเซียแสดงสีหน้าตกใจวูบหนึ่ง ก่อนจะนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จนต้องเปล่งเสียง ‘อ้อ’ ออกมา ดูเหมือนโรสมอนด์กำลังพูดถึงเรื่องที่ลูซิโอต้องค้างที่นี่เพราะติดฝนเมื่อคืน
แต่ทำไมเรื่องนั้นถึงเข้าหูโรสมอนด์ไวถึงเพียงนี้ ไม่แน่ว่าอาจมีแหล่งข่าวอยู่ในตำหนักจักรพรรดินีก็เป็นได้ แพทริเซียคิดดังนั้นพลางตอบโรสมอนด์เสียงเรียบ
“ถูกต้องแล้ว”
“ด้วยเหตุใดเพคะ”
“เพราะฝนตกลงมาขณะที่เรากับฝ่ายาทอยู่ด้วยกันเพียงสองคน”
คำบอกเล่าช่างฟังดูโรแมนติก แต่สำหรับผู้อยู่ในเหตุการณ์และรู้ความจริงทุกอย่าง นี่กลับไม่ใช่เรื่องที่โรแมนติกสักเท่าไร แต่แน่นอนว่าสำหรับคนฟัง ยิ่งเป็นโรสมอนด์ด้วยแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ทำให้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้เลยทีเดียว
“พระองค์กำลังตรัสว่า…พระองค์อยู่กับฝ่าบาทกลางดึกเช่นนั้นหรือเพคะ”
“เป็นเช่นนั้น”
“ทำไมเพคะ”
เฮ้อ ถ้าจะให้แพทริเซียเลือกเหตุการณ์ไร้สาระที่เจอมาตลอดชีวิตสักหนึ่งเหตุการณ์ แพทริเซียคงจะเลือกเหตุการณ์นี้ ระดับความหนาของหน้าโรสมอนด์ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ มีอย่างที่ไหนที่อนุภรรยามาซักไซ้เรื่องที่ภรรยาหลวงกับสามีอยู่ด้วยกัน
แต่น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่าโรสมอนด์จะไม่ได้รู้สึกถึงความผิดแปลกนั้นเลย แพทริเซียคิดว่าหากนับว่านั่นเป็นความสามารถพิเศษก็คงได้ ความสามารถพิเศษที่ทำให้คนรู้สึกรำคาญอย่างมาก
“จักรพรรดินีซึ่งเป็นภรรยาหลวงจะใช้เวลาอยู่กับจักรพรรดิก็มิใช่เรื่องแปลก ถ้าจะแปลกก็คงเป็นเรื่องที่จักรพรรดิมีอนุภรรยา ซึ่งก็เป็นเรื่องที่จักรพรรดินีควรจะไต่สวน”
“…”
“เราเคยถามท่านไหมว่าเหตุใดจึงอยู่กับพระจักรพรรดิทั้งคืน”
“…ฝ่าบาท!”
“อย่ามาขึ้นเสียงกับเราค่ะ เมื่อวานเราเพิ่งพูดไปว่าท่านช่างเป็นคนที่ไร้มารยาทเสียจริง มากเสียจนเราสงสัยว่าบารอนแดโรว์เป็นคนเช่นไร อมรมสั่งสอนบุตรีมาอย่างไร…”
“ตรัสเกินไปแล้วนะเพคะ”
“ท่านไม่คิดบ้างหรือว่าคำพูดของท่านมันเกินกว่าเรามาก”
แพทริเซียอดทนจนทนไม่ได้ ในที่สุดนางก็ระเบิดอารมณ์ใส่โรสมอนด์ แม้นางจะเคยบอกว่าจะอยู่เฉยๆ แต่ถ้ามาราวีกันขนาดนี้ ต่อให้แพทริเซียใจดีแค่ไหนก็คงไม่อาจอยู่เฉยได้ เอาเหล็กร้อนๆ มาทิ่มมาแทงกันอยู่เรื่อยเช่นนี้ แล้วจะมิให้ตอบโต้ได้อย่างไร
“ท่านบังอาจมากที่มาหาเรื่องเราด้วยเรื่องที่จักรพรรดินีกับราชสวามีใช้เวลาร่วมกัน… โรสมอนด์ ท่าทางท่านเองก็คงจะถูกฝนเมื่อวานเช่นกันสินะคะ มิเช่นนั้นแล้วคงไม่เสียสติได้ถึงเพียงนี้ เราคงต้องเรียกหมอหลวงมาให้แล้วกระมัง”
“คนที่เสียสติหาใช่หม่อมฉันแต่เป็นพระองค์กระมังเพคะ ไหนทรงให้สัญญากับฝ่าบาทไว้ในคืนร่วมหอว่าจะทรงไม่คาดหวังความรัก และไม่แตะต้องหม่อมฉัน? จะทรงตระบัดสัตย์เสียแล้วหรือเพคะ”
“สัญญานั้นจะมีผลก็ต่อเมื่อท่านไม่มายุ่งกับเราก่อน นี่ท่านมาระรานเรา ทั้งยังวางแผนชั่ว จะให้เรานิ่งเฉยเป็นลูกไล่ท่านหรืออย่างไร หรือท่านต้องการจักรพรรดินีโง่ๆ ไร้แก่นสารเช่นนั้น?”
“หรือพระองค์ทรงมีพระทัยให้ฝ่าบาท?”
“นี่! บารอเนสเฟ็ลปส์”
แพทริเซียขึ้นเสียงอย่างสุดกลั้น ความสามารถในการรับรู้ภาษาของคู่รักคู่นี้ทั้งวันนี้และเมื่อวานตกต่ำลงมาก นี่ต้องเป็นผลมาจากฝนฟ้าเป็นแน่ หาไม่แล้วคนปกติสองคนจะฟั่นเฟือนไปได้ถึงเพียงนี้หรือ
โรสมอนด์เป็นตัวร้ายอย่างแน่นอน แต่นางก็มิใช่ตัวร้ายที่ไร้สมอง เพราะฉะนั้นจึงพอจะสนทนากันรู้เรื่อง แต่มาวันนี้กลับไม่รู้เรื่องเสียอย่างนั้น ทั้งนี้ทั้งนั้นแพทริเซียอาจลืมคิดไปว่าที่อีกฝ่ายเป็นเช่นนี้เพราะเมื่อคืนตนและลูซิโออยู่ด้วยกันในตำหนักนี้
“เดิมทีเราเข้าใจว่าบารอเนสเฟ็ลปส์จะยังพอสนทนากันรู้ความอยู่บ้าง แต่นี่มันหนักกว่าที่เราคิด ท่านตากฝนจนฟั่นเฟือนไปแล้วหรือ? เราไม่มีหน้าที่ที่จะต้องมาคอยตอบท่านว่าเรารักหรือไม่รักพระจักรพรรดิ รักแล้วอย่างไร? ไม่รักแล้วอย่างไร? เราไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเราต้องมาฟังเรื่องพรรค์นี้จากท่านในตำหนักของตัวเอง นี่เราต้องเรียกหมอหลวงมาจริงๆ ใช่ไหม”
“…”
โรสมอนด์ยังคงโมโหหน้าตาขึงขังจนแพทริเซียอนุมานว่านางน่าจะมีอาการทางจิต
แพทริเซียตัดสินใจรีบจบบทสนทนานี้ให้เร็วที่สุด พูดกันต่อไปก็ไร้ความหมาย
“เมื่อวานเราจะนอนกลิ้งเกลือกกับฝ่าบาทบทเตียง หรือจะแค่ต่างคนต่างนอน เราก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องสาธยายให้ท่านฟัง หากท่านสงสัยถึงเพียงนั้นก็ลองไปถามฝ่าบาทที่ท่านรักหนักหนาเองก็แล้วกัน”
แพทริเซียพูดคำนั้นก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นเชิงล้อเลียน
“อ้อ หรือท่านกลัว? กลัวว่าเราจะแย่งความรักบางเบามาจากท่าน?”
สายตาของโรสมอนด์ดุดันขึ้นเพราะคำพูดนั้น อา น่ากลัวเสียจริง เช่นนี้ต่อไปจักรพรรดินีคงต้องเกรงใจอนุภรรยาแล้วกระมัง แพทริเซียกำชับต่อไปโดยไม่สนใจสายตานั้น
“เรื่องวันนี้มิบังควรอย่างมาก เมื่อวานเราก็เตือนท่านไปแล้ว แต่ดูท่าจะไม่ได้ผล หรือเราต้องตบสั่งสอนท่านอีกสักทีจึงจะรู้ความ?”
“…”
โรสมอนด์เขม้นมองแพทริเซียด้วยสายตาน่ากลัว ก่อนจะสะบัดตัวเดินออกจากห้องไปโดยไม่กล่าวคำลาสักคำ โครม! เสียงปิดประตูดังก้องราวกับจะทำลายโสตประสาทของแพทริเซีย เมื่ออยู่คนเดียว หญิงสาวจึงถอนหายใจออกมา ผู้หญิงคนนั้นไม่ว่าจะพบเจอเมื่อใดก็ทำให้ตนเหนื่อยได้ทุกครั้ง ในตอนนั้นเอง ราฟาเอลาก็เดินหน้าตาตื่นเข้ามาหาก่อนจะถามเซ้าซี้
“ฝ่าบาท คนที่เสียสติมิใช่เจ้าหรอกหรือ เหตุใดจึงปล่อยให้เหยื่อที่เดินมาหาเองกลับไปเฉยๆ เล่า น่าจะตบสั่งสอนสักที!”
“ที่ตบไปเมื่อวานก็น่าจะพอแล้ว เดมเอล่า เมื่อวานฝ่าบาททรงไม่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ขืนวันนี้ข้าตบนางอีกอาจกลายเป็นที่ครหา ถูกตราหน้าว่าเป็นจักรพรรดินีที่ชอบใช้กำลังเอาได้นะ”
แพทริเซียไม่อยากให้เกิดข่าวลือเช่นนั้น ช่างไร้สาระทั้งเพ เรื่องอื่นยังพอทำเนาแต่เรื่องใช้กำลังนี่ไม่ไหว ไม่ใช่เรื่องจริงเลย แต่หากนางกำลังจะถูกฆ่าก็อาจจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แพทริเซียจัดผมที่ยุ่งเหยิงขึ้นเล็กน้อยตามอารมณ์ก่อนจะลุกขึ้น
“มีร์ยา คณะทูตแจ้งว่าจะออกเดินทางเมื่อใดหรือคะ”
“หากเสด็จตอนนี้ก็ยังมีเวลาเหลือเฟือเพคะ จะเสด็จเลยไหมเพคะ”
“ไปค่ะ”
แพทริเซียตอบเสียงเรียบ ก่อนจะค่อยๆ ทิ้งน้ำหนักลงบนรองเท้าส้นสูงสีฟ้า เมื่อวานนางสวมชุดเดรสสีแดงร้อนแรงราวกับไฟ แต่วันนี้นางสวมชุดเดรสสีฟ้าที่มองแล้วนึกถึงน้ำ
แพทริเซียค่อยๆ เดินไปจนถึงสถานที่ส่งคณะทูต นางเห็นลูซิโอในชุดทางการอยู่หน้าตำหนักแฮนลอน ยืนห่างจากตัวตำหนักราวหนึ่งร้อยเมตร เมื่อวานคนที่ทำให้ผู้อื่นลำบากไม่ใช่นางแต่เป็นเขา แต่ไม่รู้ทำไมนางกลับเป็นฝ่ายไม่สะดวกใจที่จะพบหน้าอีกฝ่าย แพทริเซียพยายามปั้นสีหน้าให้นิ่งที่สุดก่อนจะเข้าไปแสดงความเคารพ
“ถวายบังคมสุริยันผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิ ขอพระบิดาแห่งปวงข้าจงทรงพระเจริญ”
“มาแล้วหรือ”
“หม่อมฉันย่อมต้องมาทำหน้าที่ให้ลุล่วงในฐานะจักรพรรดินี แต่หากพระองค์ไม่ต้องการ หม่อมฉันจะขอทูลลา”
“…อยู่ที่นี่แหละ”
“เพคะ”
แพทริเซียตอบสั้นๆ ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา ผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่นางยืมไปเมื่อวาน ใจจริงนางอยากจะแกล้งลืมและไม่ส่งคืน แต่เพราะเขาบอกไว้ว่าเป็นผ้าเช็ดหน้าผืนสำคัญจึงทำให้นางรู้สึกตะขิดตะขวงใจ
นางจงใจนำผ้าเช็ดหน้าออกมาในที่ที่บรรดาขุนนางชั้นสูงมารวมตัวกัน ด้วยรู้สึกว่าอย่างน้อยก็ต้องแสดงให้เห็น ณ ที่ตรงนี้ถึงจะพอเป็นประโยชน์กับตัวนางบ้าง และนางก็รู้สึกว่าสายตาของเหล่าขุนนางทางด้านหลังกำลังจับจ้องมาอย่างที่คิดไว้
“ขอบพระทัยสำหรับเรื่องเมื่อวานเพคะ”
“ถ้าเป็นเรื่องเมื่อวาน เราสิที่ต้องขอโทษ”
ลูซิโอกระแอมออกมาเบาๆ ราวกับว่าเขานึกถึงเรื่องเมื่อคืนขึ้นมาได้ แพทริเซียแอบยิ้มออกมาเพราะรู้สึกได้ว่าบรรดาขุนนางทั้งหลายดูกระเหี้ยนกระหือรือพยายามค้นหาความนัยที่ซ่อนอยู่ในคำเหล่านั้น มันทำให้นางรู้สึกยินดีอย่างประหลาด
และสิ่งที่ทำให้นางยินดีมากไปกว่านั้นก็คือ…
“เราไม่ค่อยสบายใจ เหมือนเราไปแย่งเตียงของเจ้า ร่างกายเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“เพลียเล็กน้อย แต่ไม่เป็นไรเพคะ ฝ่าบาทล่ะเพคะ”
ตอนนี้มีสตรีนางหนึ่งกำลังลอบมองพวกเขาอยู่ใต้เงาไม้
‘โรสมอนด์’
“เราก็ไม่เป็นไร”
“ดีแล้วเพคะ”
แพทริเซียไม่ได้พูดและยิ้มกว้างเช่นนี้เพื่อจักรพรรดิ แต่เพื่อโรสมอนด์ที่กำลังยืนกัดฟันกรอด มองนางราวกับจะฆ่าแกง
นางต้องการสั่งสอนให้โรสมอนด์รู้ว่า ความรักเปรียบดั่งต้นกก พร้อมจะไหวเอน และหักลงได้ทุกเมื่อ
“ด้วยพระบารมีของทั้งสองพระองค์ พวกกระหม่อมจึงได้พักอยู่อย่างสุขสบาย”
ในตอนนั้น คณะทูตมาถึงพอดี แพทริเซียแย้มยิ้มอ่อนหวานก่อนจะสนทนากับคณะทูตด้วยภาษาของจักรวรรดิคริสตา
“เราเพียงหวังว่าทุกท่านจะได้รับความสุขสบาย เรายังกลัวเสียด้วยซ้ำว่าจะเตรียมงานได้ไม่เรียบร้อยจนเป็นการเสียมารยาทหรือเปล่า”
“เสียมารยาทอะไรกันเพคะ ฝ่าบาท เพราะพระองค์ทรงสนทนากับพวกหม่อมฉันด้วยภาษาของจักรวรรดิเราได้อย่างลื่นไหล ทำให้หม่อมฉันและผู้ติดตามรู้สึกสบายใจโดยถ้วนทั่วเพคะ”
ดัชเชสเวริกาพูดก่อนจะหันไปชมเชยลูซิโอ
“ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันเหลือเกินเพคะ ฝ่าบาท ทรงมีพระจักรพรรดินีที่เป็นกุลสตรี ทั้งยังมีพระสิริโฉมงดงามเช่นนี้ ช่างเป็นเกียรติต่อราชวงค์และจักรวรรดิยิ่งนักเพคะ”
“เราขอบคุณสำหรับคำชม”
บรรยากาศ ณ ที่นั้นภายนอกดูสนิทสนมกลมเกลียวกันยิ่ง แต่ยังมีอีกคนหนึ่ง…โรสมอนด์ซึ่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ใต้ต้นไม้เท่านั้นที่บรรยากาศรอบตัวดูเย็นยะเยือก ทันทีที่นางเห็นภาพตรงหน้า นางก็รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่ามีบางสิ่งบางอย่างผิดเพี้ยนไปแล้ว
ไม่นะ ยังไม่ใช่ตอนนี้ อย่างน้อยวันที่ลูซิโอจะเลิกรักนางก็ควรจะเป็นหลังจากที่นางให้กำเนิดบุตรชายและบุตรชายของนางได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทเสียก่อน ก่อนจะถึงวันนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ความรักของเขาต้องเป็นของนางเท่านั้น
โรสมอนด์กัดเล็บด้วยความไม่สบายใจพลางพูดพึมพำเสียงเบาฟังไม่ได้ศัพท์ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป สายตาของโรสมอนด์ดุดันจนน่าขนลุก
***
บ่ายวันนั้นแพทริเซียได้รับการติดต่อจากตระกูลโกรเชสเตอร์ เปโตรนิยาถามว่าพรุ่งนี้จะเข้ามาหาได้หรือไม่ แน่นอนว่าแพทริเซียอนุญาต และแม้ว่าจะไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา แต่ดูเหมือนว่าวันนั้นแพทริเซียจะอารมณ์ดีทั้งวันเพราะจะได้เจอพี่สาวที่ไม่ได้เจอกันนาน
ในที่สุดก็ถึงวันรุ่งขึ้น แพทริเซียทำงานที่ต้องส่งภายในบ่ายวันนี้เสร็จเรียบร้อยตั้งแต่คืนวาน นางไม่อยากให้มีอะไรมาขัดขวางช่วงเวลาระหว่างนางกับพี่สาว หลังจากที่นางได้เป็นจักรพรรดินี พี่สาวของนางก็ไม่ค่อยได้มาเยี่ยมเยียนบ่อยนัก ด้วยเกรงว่าจะเป็นการรบกวนเวลา แพทริเซียสั่งให้ห้องเครื่องอบมาการองรสสตอรว์เบอร์รีที่อีกฝ่ายชอบไว้กองใหญ่ หญิงสาวรอคอยการมาถึงของเปโตรนิยาด้วยสีหน้าเจือความตื่นเต้นเล็กน้อย
เปโตรนิยาก็ไม่ทำให้แพทริเซียผิดหวัง นางมาถึงตำหนักจักรพรรดินีก่อนเวลาอย่างที่คาด แพทริเซียกางสองแขนต้อนรับการมาถึงของพี่สาว
“นีย่า!”
แพทริเซียรู้สึกเสียดายอย่างมากที่วันงานเลี้ยงรับรองภริยาคณะทูต นางได้พบแค่มาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์ผู้เป็นมารดา แต่ไม่ได้พบเปโตรนิยา แพทริเซียวิ่งโผเข้าไปหาเปโตรนิยา ฝ่ายนั้นจึงดึงแฝดน้องเข้ามากอดไว้แน่น ก่อนจะพูดออกมาเสียงดังด้วยความดีใจ
“ริซซี่ สบายดีไหม”
ครั้นพูดจบ นางก็ถามออกมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“อา…ข้าต้องเรียกเจ้าว่าฝ่าบาทหรือไม่”
“นีย่า…เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ชอบให้ทำเช่นนั้น จะมากพิธีไปไย ที่นี่มีแค่เราสองคน หาได้มีคนอื่น อย่าทำเช่นนั้นเลย”
“เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจนะ ขอชาสักแก้วได้หรือไม่ คงเพราะข้ารีบมา คอจึงแห้ง”
แพทริเซียยิ้มกว้างจนเห็นฟันเมื่อเปโตรนิยาร้องขอ
“ได้สิ ข้าเตรียมมาการองสตอรว์เบอร์รีที่นิลชอบไว้ให้เยอะแยะเลย ทานคู่กับชาน่าจะเข้ากันทีเดียว”
เพียงไม่นาน จานที่เต็มไปด้วยมาการองรสสตรอว์เบอร์รีและชาใส่นมสองแก้วก็ถูกนำมาวางบนโต๊ะตามที่แพทริเซียสั่ง แพทริเซียยิ้มตลอดเวลาเพราะนางมีความสุขที่ได้อยู่กับพี่สาวที่ไม่ได้เจอกันนาน ทั้งสองพูดคุยสัพเพเหระอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่จู่ๆ หัวข้อสนทนาจะกลายเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกินบรรยาย
การมีชีวิตอยู่มาได้โดยไม่พบเจอความลำบากเลยสักครั้งนั่นก็หมายความว่า ชีวิตนั้นแสนจะน่าเบื่อและแห้งแล้ง
ทว่า บางครั้งลูซิโอก็ภาวนาว่าอย่าให้มีความลำบากใดๆ เข้ามาในชีวิตเลย ต่อให้เขาต้องอยู่อย่างแห้งแล้งน่าเบื่อก็ตาม และต่อให้คำอธิษฐานนั้นเป็นความหวังที่มากเกินไปก็ตาม
ลูซิโอลืมตาขึ้นมาในรุ่งสางของวันใหม่ ถ้าให้พูดตามตรงคือก่อนอาทิตย์จะโผล่ที่ขอบฟ้าพอดี เวลานี้เป็นเวลาที่แสงสีฟ้าครามเริ่มส่องสว่างปะปนกับความมืดมิดของยามราตรี
เขารับรู้ได้ทันทีว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องของเขา กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกฟรีเซียทำให้รู้ว่าที่นี่คือห้องของจักรพรรดินี เมื่อรู้เช่นนั้นลูซิโอก็ถอนหายใจออกมา
“เฮ้อ…”
ให้นางเห็นภาพไม่น่าดูเสียแล้ว ภาพที่นอกจากโรสมอนด์แล้วยังไม่มีใครเคยเห็น
เขาใช้มือขยุ้มผมด้วยความละอาย ศีรษะของเขาปวดแปลบน่าจะเป็นเพราะตากฝนมาทั้งคืน ท่าทางเขาจะเป็นไข้เสียแล้ว
ดูเหมือนตอนนี้ฝนก็ยังคงตกไม่หยุด ดูได้จากการที่เม็ดฝนยังคงกระทบหน้าต่างด้านนอกอยู่ เขาคิดจะกลับไปที่ตำหนักตอนนี้ แต่ไม่ทันไรความเหนื่อยล้าก็แล่นวาบขึ้นมา ผนวกกับร่างกายที่หนักอึ้ง ทำให้เขาตัดสินใจนอนอยู่อย่างนั้น เขาคิดว่าภาพไม่น่าดูก็เห็นไปหมดแล้ว จะมาเสแสร้งเอาตอนนี้ก็ไม่ได้ และไม่มีประโยชน์ที่จะทำเช่นนั้น
แต่ลูซิโอไม่เห็นจักรพรรดินี นี่ไม่ใช่ว่าเขานอนอยู่บนเตียงของนาง? เมื่อคิดได้ดังนั้น คิ้วของเขาก็ขมวดมุ่น
อา เลวร้ายที่สุด เขาทำตัวงี่เง่าและทุเรศเสียจริง ทั้งที่ไม่ได้เมามายมาจากไหน เขาพยุงร่างกายที่หนักอึ้งให้ลุกขึ้น อาจเพราะเขาพิจารณาแล้วว่า การไปจากที่นี่น่าจะดีกว่า อย่างน้อยก็ดีกว่าสำหรับเขา
มีร์ยา หัวหน้านางกำนัลของตำหนักจักรพรรดินีมาพบเขาขณะกำลังจะเปิดประตูออกไป นางทำท่าทีคล้ายจะตกใจ เมื่อลูซิโอกระแอมออกมาด้วยความกระดากอาย นางก็รีบทำความเคารพเขาทันที
“ถวายบังคมพระจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ขอพระสุริยันจงทรงพระเจริญ”
“…จักรพรรดินีพาเรามาที่นี่หรือ”
“ใช่แล้วเพคะ ฝ่าบาท”
“เราทำนางลำบากแล้ว”
“…”
มีร์ยารีรออยู่ครู่นึงก่อนจะพูดกับอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง
“ฝ่าบาท หม่อมฉันรู้ว่ามิบังควร…”
“…”
“แต่หม่อมฉันทราบเพคะ ว่าบารอเนสเฟ็ลปส์เป็นคนสำคัญของพระองค์”
“…เรื่องนั้นเจ้ารู้ได้อย่างไร”
เรื่องนั้นเป็นเรื่องต้องห้าม เป็นดั่งเกล็ดย้อนของมังกร[1] ไม่ว่าใครก็ยุ่มย่ามมิได้ นอกจากโรสมอนด์ ผู้ที่เขาอนุญาตแต่เพียงผู้เดียว
เพราะฉะนั้น ดูเหมือนว่าในตอนนี้มีร์ยากำลังพูดสั่งสอนเขาโดยใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน
“พระอาญามิพ้นเกล้า มารดาที่เสียไปแล้วของหม่อมฉันเคยทำงานเป็นข้ารับใช้จึงเล่าให้หม่อมฉันฟังเพคะ”
“…”
“หม่อมฉันคงมิอาจทูลขอให้พระองค์เลิกรักนาง… แต่จะทรงกรุณาฝ่าบาทของหม่อมฉันเพียงสักนิดมิได้เลยหรือเพคะ”
“…ในฐานะใดกัน” เขาพูดเสียงละห้อย “เราขอให้นางสัญญาว่าจะไม่คาดหวังความรัก จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับบารอเนสเฟ็ลปส์ตั้งแต่วันอภิเษกสมรส เช่นนี้แล้วเจ้าคิดว่าเรายังคู่ควรที่จะมอบความห่วงใยให้นางอีกหรือ”
“…”
มีร์ยาปิดปากเงียบเพราะมิอาจพูดว่าคู่ควร ครั้นเห็นปฏิกิริยาที่ซื่อตรงเช่นนั้น ลูซิโอก็มีสีหน้าขมขื่นก่อนจะกล่าวต่อไป
“เรามาไกลเกินกว่าจะทำเช่นนั้นแล้ว มารดาของเจ้าคงบอกกล่าวแก่เจ้าแล้วว่าเราไม่อาจทิ้งบารอเนสเฟ็ลปส์ได้ นั่นเป็นเหมือนการปฏิเสธตัวตนของเรา”
“…”
มีร์ยาไม่สามารถพูดอะไรต่อไปได้อีก เพราะนางเองก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้เหตุผลในใจของจักรพรรดิ ทำให้นางไม่สามารถเข้าข้างเจ้านายของตนได้
ในฐานะข้ารับใช้ของพระจักรพรรดินี มีร์ยารู้ดีว่านางไม่ควรรู้สึกเช่นนี้ แต่นางก็ยังสงสารจักรพรรดิ เพราะที่เขามีชีวิตอยู่มาได้ขนาดนี้โดยไม่เสียสติไปเสียก่อนก็นับว่าโชคดีแล้ว มีร์ยากัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว ท่าทางของนางทำให้ลูซิโอไม่สามารถซ่อนสีหน้าว้าวุ่นใจต่อไปได้
“ฝากบอกจักรพรรดินีด้วยว่าเราขอโทษที่มารบกวนเมื่อคืน เราไม่สบายใจเลย ดูเหมือนเราจะทำให้นางลำบากโดยใช่เหตุ”
“เพคะ ฝ่าบาท”
สุดท้ายมีร์ยาก็ตอบรับได้เพียงเท่านั้น ลูซิโอหันหลังและเดินก้าวเท้ายาวๆ จากไปตามทางเดินของตำหนักจักรพรรดินี
***
แพทริเซียลืมตาขึ้นมาพร้อมความรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างรุนแรง ลางไม่ดีของนางกลายเป็นจริงเสียแล้ว ตอนนี้ดูเหมือนนางจะเป็นไข้
อา หญิงสาวรู้สึกเหมือนเอ็นดูเขา เอ็นเราขาด[2] นางถอนหายใจในใจก่อนจะพยุงร่างกายที่หนักอึ้งให้ลุกขึ้นพลางร้องโอดโอยออกมา
“ฝ่าบาท มีอาการไอไหมเพคะ”
“มีร์ยาเองหรือคะ ฝ่าบาทเล่าเป็นอย่างไร”
ครั้นได้ยินคำถามของแพทริเซีย มีร์ยาก็มีสีหน้าแปลกๆ เมื่อเห็นมีร์ยาทำท่าละล้าละลัง แพทริเซียก็เอ่ยถามอย่างสงสัย
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“เอ่อ…ฝ่าบาทมีอาการไอเล็กน้อยตอนรุ่งสาง จากนั้นก็เสด็จกลับตำหนักกลางเพคะ”
“อ้อ”
แพทริเซียพยักหน้ารับรู้ ถึงอย่างไรก็เป็นการนอนยึดเตียงของผู้อื่น ต่อให้เขาเป็นจักรพรรดิ แต่หากยังมีความละอายอยู่บ้างก็ถูกต้องแล้วที่จะรีบกลับทันทีที่ลืมตาตื่น มีร์ยาส่งต่อข้อความที่จักรพรรดิฝากไว้ให้แพทริเซีย
“พระจักรพรรดิตรัสว่าทรงไม่สบายพระทัยที่ทำให้ลำบากเพคะ ขอโทษที่รบกวนทั้งคืน…”
“ดีนะคะที่ยังทราบ”
“…”
มีร์ยาไม่พูดอะไรต่อ นั่นสิ อาจจะสายไปแล้วจริงๆ อย่างที่พระจักรพรรดิกล่าวไว้ ถึงอย่างไร แพทริเซียก็คงไม่มีทางเข้าใจลูซิโอด้วยมาตรฐานของคนปกติทั่วไป ส่วนลูซิโอก็คงไม่คิดจะอธิบายเรื่องการมีอยู่ของบารอเนสเฟ็ลปส์ให้แพทริเซียเข้าใจ
อย่างไรก็ดี พระจักรพรรดิของนางทรงดื้อรั้นในเรื่องนี้มากทีเดียว และหากมองในมุมของพระองค์ก็จะเห็นว่าพระองค์ไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องนั้นได้ และต่อให้ตนเป็นพระองค์ ไม่แน่ว่าอาจกระทำเช่นเดียวกัน
มีร์ยาไม่อยากจินตนาการถึงจุดยืนของพระจักรพรรดิไปมากกว่านี้ เพราะถึงอย่างไรเจ้านายของนางก็คือแพทริเซีย
นางลบคำพูดที่ได้สนทนากับลูซิโอทุกคำออกจากหัวก่อนจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
“อ้อ เช้าวันนี้ต้องเสด็จไปส่งภริยาคณะทูตเพคะ เห็นว่าจะเดินทางกลับจักรวรรดิทันทีหลังอาหารเช้า รีบเตรียมพระองค์เถอะเพคะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ มีร์ยา ขอบคุณค่ะ”
“พระองค์ประชวรหนักหรือไม่เพคะ ให้หม่อมฉันเรียกหมอหลวงดีหรือไม่”
“ไม่เป็นไรค่ะ ยัง…คิดว่ายังไม่ถึงขนาดนั้น”
สีหน้าของแพทริเซียดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย นางเกล้าผมยาวสลวยสีน้ำเงินเขียวขึ้นก่อนจะพูดกับมีร์ยา
“ก่อนอื่นคิดว่าน่าจะต้องทานอาหารเช้าก่อนค่ะ”
***
อีกด้านหนึ่ง โรสมอนด์ซึ่งนานๆ ทีจะตื่นขึ้นมาพบว่าอยู่ตัวคนเดียวก็ได้ยินข่าวอันน่าตกใจจนต้องระเบิดอารมณ์ออกมา
“เจ้าบอกว่าฝ่าบาทประทับอยู่ที่ตำหนักจักรพรรดินีทั้งคืนอย่างนั้นรึ”
คำพูดนั้นไม่น่าเชื่อเอาเสียเลย ลูซิโอเลือกที่จะมาหาตนในคืนร่วมหอคืนแรกด้วยซ้ำ แล้วทำไมเขาถึง… คลาราพูดปลอบโรสมอนด์ที่กำลังดีดดิ้นด้วยความรู้สึกคล้ายถูกหักหลังให้ใจเย็นลง
“ข้าเองก็ไม่รู้ละเอียดเท่าใดนัก แต่เห็นว่าพระจักรพรรดิและพระจักรพรรดินีเปียกฝนกลับตำหนักด้วยกันกลางดึกค่ะ และที่ทรงค้างคืนก็เพราะฝนตกหนัก…”
“นั่นปะไร! หมายความว่าสองคนนั้นไปพบกันกลางดึกมิใช่รึ!?”
โรสมอนด์พูดจี้ถูกจุดสำคัญ คลาราอ้ำอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะพูดตอบรับออกไป
“…เหมือนจะใช่ค่ะ”
“เฮอะ!”
โรสมอนด์แค่นหัวเราะ นางรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องเหลวไหล เขาทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร นึกว่าจะไปตำหนักจักรพรรดินีเพื่อไต่ถามเรื่องแผลบนหน้าข้าเสียอีก นี่ไปเพื่อค้างคืนกับจักรพรรดินีหรอกหรือ
โรสมอนด์ขยุ้มผ้าปูเตียงสีขาวแน่นเพื่อควบคุมร่างกายที่กำลังสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ นางลุกพรวดขึ้นมาราวกับว่าทนต่อไปไม่ได้แล้ว คลาราเห็นโรสมอนด์จัดแจงหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาถือก็ทำหน้าเหวอ หรือว่า…!
“ละ…เลดี้ ท่านคง…ไม่ได้คิดจะไปตำหนักจักรพรรดินีใช่ไหมคะ” นางถาม
“ก็ใช่น่ะสิ เจ้าจะทำไม”
“เลดี้…”
คลารารีบห้ามปรามผู้เป็นนายด้วยสีหน้าซีดเผือด ไม่ได้นะ เรื่องอื่นไม่เท่าไร แต่เรื่องนี้ห้ามเด็ดขาด ตอนนี้เจ้านายของนางควรจะอยู่เงียบๆ ไม่ใช่เวลาที่ควรจะออกหน้าออกตาเช่นนี้
เรื่องเมื่อวานต้องทำให้จักรพรรดิเกลียดขี้หน้านางไปแล้วเป็นแน่ มิหนำซ้ำนางยังถูกกำจุดอ่อนเอาไว้อีก ขืนออกไปตอนนี้ก็มีแต่จะเกิดโทษเท่านั้น
คลาราจะต้องขัดขวางเอาไว้ให้ได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
“เลดี้ เพิ่งจะเกิดเรื่องขึ้นเมื่อวานเองนะคะ การไปตำหนักจักรพรรดินีตอนนี้เสี่ยงเกินไป ถ้าให้พูดจริงๆ เรื่องเมื่อคืนก็มิใช่ความผิดของฝ่าบาท เพราะฉะนั้นเรื่องคราวนี้…”
แต่โรสมอนด์ไม่สนใจคำเตือนของคลารา นางสวมเสื้อคลุมและเดินออกจากห้องไป
อา ผู้เป็นนายมีแรงเหลือเฟือแต่เช้าเลยทีเดียว
คลารารีบตามโรสมอนด์ไปด้วยสีหน้ากระวนกระวาย นางได้แต่ภาวนาขออย่าให้เกิดเรื่องอะไรไม่ดีขึ้นเลย
แพทริเซียรู้สึกพูดไม่ออก หลังจากกินข้าวและแต่งหน้าแต่งตาเพื่อออกไปส่งภริยาคณะทูต นางกลับได้ยินข่าวว่าโรสมอนด์มาหา หญิงสาวคิดว่าอีกฝ่ายใจกล้าไม่เบา พลางคิดว่าเรื่องดูยุ่งเหยิงไปหมดทั้งเมื่อวานและวันนี้
เอาเป็นว่านั่นไม่ใช่เรื่องดี ทั้งเมื่อวานและวันนี้นางต้องเจอกับคนสองคนที่นางไม่อยากเจอที่สุดในพระราชวังนี้บ่อยเกินไปแล้ว
โรสมอนด์มีท่าทางหยิ่งผยองไม่ต่างจากเมื่อวาน ทั้งยังมองมาด้วยสีหน้าที่ไม่สามารถพูดได้ว่าเป็นมิตร เมื่อโรสมอนด์เห็นแพทริเซียทำสีหน้าเหนื่อยหน่าย นางก็เริ่มหาเรื่องก่อนด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“ดูเหนื่อยๆ นะเพคะ ฝ่าบาท”
“ที่จริงก็ไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้นค่ะ แต่พอท่านมา ความเหนื่อยก็เพิ่มขึ้นทีเดียว เอาเป็นว่า ท่านมาหาเราด้วยเรื่องอันใดกัน เราคิดว่าเราทั้งคู่ไม่ได้สะดวกใจที่จะพบกัน แล้วนี่ท่านไม่ได้อยู่ในช่วงกักตัวเพราะเรื่องเมื่อวานหรอกหรือคะ”
“กักตัวอะไรกันเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันทำอะไรผิดจึงได้ทรงคิดเช่นนั้น” โรสมอนด์ถามแพทริเซียพลางยิ้มกริ่ม
แน่นอนว่าแพทริเซียเป็นคนบอกเองว่าจะไม่ทำเรื่องเมื่อวานให้เป็นเรื่องขึ้นมา แต่การปฏิเสธเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานอย่างหน้าไม่อายเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ เช่นกัน แพทริเซียนึกชื่นชมใบหน้าที่แข็งแกร่งดังเหล็กกล้าของอีกฝ่าย ก่อนจะพูดเสียดสีออกไป
“ชีวิตท่านนี่ช่างสบายนัก ทำความผิดมาก็ใช้แผนตื้นๆ ให้ผ่านไปเฉยๆ ได้”
“เพราะได้รับความรักจากองค์จักรพรรดิจึงสามารถทำเช่นนี้ได้อย่างไรเล่าเพคะ หากหม่อมฉันอยู่ในฐานะจักรพรรดินีแต่ไม่ได้รับความรักจากจักรพรรดิก็คงทำเช่นนี้ไม่ได้หรอกเพคะ”
แพทริเซียอยากจะตอบโต้กลับไปแต่ก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องทำอย่างนั้น นางรีบถามธุระของโรสมอนด์ ยิ่งส่งอีกฝ่ายกลับไปได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดีกับสุขภาพจิตมากเท่านั้น
“ท่านมาที่นี่ทำไมหรือคะ”
“หม่อมฉันมีเรื่องอยากจะทูลถามเพคะ”
“เชิญกล่าว”
“เมื่อวานพระองค์อยู่กับฝ่าบาทหรือเปล่าเพคะ”
นี่นางกำลังพูดเรื่องอะไรกันล่ะนี่
[1] เกล็ดย้อนของมังกร หรือเกล็ดใต้คอมังกร ซึ่งหันไปในทางตรงข้ามกับเกล็ดในบริเวณอื่น เชื่อกันว่าหากใครไปแตะเกล็ดนี้ มังกรจะโกรธจัด และฆ่าคนผู้นั้น
[2] เอ็นดูเขา เอ็นเราขาด เป็นสำนวน หมายถึง การช่วยเหลือผู้อื่น จนได้รับผลร้ายจากการช่วยเหลือนั้น
น้ำเสียงนั้นช่างคุ้นหู แม้จะได้ยินไม่บ่อยนัก แต่ก็เป็นเสียงที่เพิ่งผ่านหูนางไปเมื่อครู่ใหญ่ๆ ก่อนหน้านี้ไม่ผิดแน่ แพทริเซียหันหลังกลับไปสบสายตาอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ
“พระ…จักรพรรดิ”
“ดึกดื่นเช่นนี้เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
แพทริเซียรีบเช็ดน้ำตาออกด้วยอารามตกใจ นางร้องไห้ต่อหน้าคนที่นางไม่อยากให้เห็นน้ำตาของตัวเองที่สุดเข้าเสียแล้ว หญิงสาวพยายามลืมตาให้กว้างขึ้นด้วยรู้สึกว่าเสียศักดิ์ศรี และจ้องมองร่างของจักรพรรดิที่กำลังเดินเข้ามาใกล้
“…ฝ่าบาทเสด็จมาที่นี่ด้วยเหตุอันใดหรือเพคะ”
“เราถามเจ้าก่อนนะ”
“…”
เมื่อเขายังทู่ซี้ แพทริเซียจึงตอบกลับไปส่งๆ
“เห็นว่าแสงจันทร์งดงามนัก หม่อมฉันจึงออกมาอาบแสงจันทร์เพคะ”
“ที่แก้มเจ้ายังมีรอยน้ำตาอยู่เลยนะ”
แพทริเซียหน้าแดงรีบเช็ดน้ำตาเพราะเขาพูดจี้ใจดำ ทีอย่างนี้ละตาดีจริงเชียว
“นี่น้ำลายเพคะ” นางตอบแก้ตัวด้วยน้ำเสียงลนลาน
“…”
ครั้นเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าประหลาดใจ แพทริเซียก็ยิ่งรู้สึกอาย บ้าจริง ขุดหลุมฝังตัวเองแท้ๆ นางถอนหายใจออกมา และในตอนนั้นเอง อะไรบางอย่างก็ถูกยื่นมาตรงหน้า ลูซิโอยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้ แต่นางกลับปฏิเสธด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ไม่เป็นไรเพคะ”
เขาว่ากันว่าหากคนทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนหมายความว่าคนคนนั้นกำลังจะตาย โกหกทั้งเพ ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าข้าตอนนี้ อย่างน้อยก็ยังต้องมีชีวิตอยู่จนกว่าข้าจะให้กำเนิดรัชทายาท
ลูซิโอยังคงยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ แม้ว่าแพทริเซียจะปฏิเสธออกมาตรงๆ แล้วก็ตาม หญิงสาวจำต้องรับผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นมา เพราะหากปฏิเสธจนถึงที่สุดก็จะดูไม่สุภาพ นางนำผ้าไปซับตรงแก้มที่ตอนนี้เกือบจะแห้งสนิทแล้ว แต่จู่ๆ นางก็นึกสนุกจึงนำผ้านั้นมาปิดจมูกและสั่งน้ำมูกออกมา
สั่งแรงเสียด้วย
แพทริเซียมองลูซิโอที่ยืนตะลึงอยู่ตรงหน้าด้วยความสนุกสนาน
“หม่อมฉันจะซักคืนให้เพคะ ไม่ต้องทำสีพระพักตร์แปลกๆ เช่นนั้นก็ได้” นางพูดกับเขาพลางหัวเราะคิกคักในใจ
“ผ้าเช็ดหน้าผืนสำคัญ นำมาคืนเราด้วยล่ะ”
ผ้าเช็ดหน้าผืนสำคัญ? สงสัยจะได้มาจากโรสมอนด์กระมัง แพทริเซียถามเย้าด้วยความอยากแกล้ง
“บารอเนสเฟ็ลปส์ให้มาหรือเพคะ”
“…เปล่า”
ในเมื่อปฏิเสธแล้ว ประโยคต่อไปก็ควรจะบอกว่าใครเป็นผู้ให้ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้มาแต่ลูซิโอกลับไม่ได้พูดอะไรต่อ แพทริเซียคิดว่าลูซิโอช่างไม่เป็นมิตรเอาเสียเลยในขณะที่มือก็พับผ้าเช็ดหน้าเปื้อนน้ำมูกเฉอะแฉะอย่างดี ใครจะให้มาก็แล้วแต่ แต่เอาผ้าเช็ดหน้าของคนอื่นมาใช้แล้วก็ต้องซักก่อนจะคืนให้
“ขอบพระทัยเพคะ”
“เจ้าร้องไห้หรือ”
“…”
ดูความหน้าไม่อายนั่นสิ เห็นๆ อยู่ยังจะถามอีก แพทริเซียปิดบังสีหน้าเหลือเชื่อไว้และไม่พูดอะไร ความเงียบครอบคลุมอยู่พักใหญ่ จนในที่สุดนางก็ทนความอึดอัดไม่ไหวจึงตัดสินใจที่จะขอตัวออกไปก่อน พูดตามตรงคือบรรยากาศและสถานการณ์ตอนนี้น่าอึดอึดใจอย่างมาก
ขณะที่แพทริเซียทำท่าจะหันกายเพื่อเดินออกจากสวนนั้น แสงจันทร์ก็สาดส่องลงมาที่ใบหน้าของลูซิโอพอดี ครั้นแพทริเซียเห็นใบหน้าของเขา นางก็ตกใจ
‘ปกติแล้ว…ใบหน้าของเขาขาวซีดเช่นนี้หรือ’
ใบหน้าของลูซิโอขาวจนซีดมากกว่าปกติ บนหน้าผากมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งหมดนั้นเพียงพอที่จะทำให้แพทริเซียเกิดความสงสัย แต่โชคร้ายที่ไม่ว่าเขาจะมีเรื่องอะไรและจะอยู่ในสภาพใด นางทั้งเหนื่อย ทั้งยุ่ง และไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจเรื่องแบบนี้
เพราะฉะนั้นนางคงจะสามารถเดินจากไปได้โดยไม่คิดอะไร จนกระทั่งเขารั้งนางไว้
“…อย่าไป”
“…”
แพทริเซียแค่นหัวเราะออกมา เมื่อครู่เขาขอไม่ให้ข้าไปอย่างนั้นหรือ ทำไม? เพราะอะไร? ในที่สุดนางก็หันมา สีหน้าของเขายังคงดูไม่ดี ราวกับกำลังทุกข์ใจ
“สีพระพักตร์ไม่ดีเลยเพคะ ฝ่าบาท”
“…”
“เสด็จไปหาบารอเนสเฟ็ลปส์เถอะเพคะ นางมิใช่หญิงที่ทรงรักหนักหนาหรอกหรือเพคะ”
“…”
“นางคงดูแลพระองค์ได้ดีกว่าหม่อมฉัน ทั้งการปลอบพระทัย และเรื่องอื่นๆ”
แพทริเซียทิ้งถ้อยคำเย็นชาเอาไว้และหันหลังกลับอย่างไม่ไยดี นางไม่มีทั้งความเมตตาและความรักให้ผู้ชายคนนี้ อย่างที่ว่า นางเหนื่อยเกินกว่าที่จะทำดีด้วย นางเหนื่อยเกินกว่าที่จะมีอารมณ์ทำเช่นนั้น
แพทริเซียเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ฝนก็เริ่มตกลงมาทีละเม็ดสองเม็ดจนในที่สุดก็ตกหนัก นางถอดเสื้อคลุมที่สวมอยู่มาคลุมหัวและออกวิ่ง
วิ่งมาได้สักครู่ แวบหนึ่งนางนึกถึงลูซิโอที่ถูกทิ้งไว้คนเดียวในสวนขึ้นมา หญิงสาวมุ่นหัวคิ้ว
คงไปแล้วกระมัง คงไปแล้วล่ะ แต่มันก็เงียบเกินกว่าที่จะเป็นเช่นนั้น เพราะทางเดินจากสวนไปยังตำหนักกลางมีเพียงเส้นทางนี้เท่านั้น
แพทริเซียกัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว อย่าไปสนใจเลย แพทริเซีย ผู้ชายคนนั้นไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าสักนิด แพทริเซียหมุนตัวกลับและเริ่มวิ่งอีกครั้งด้วยสีหน้าจริงจัง แต่ก็ไปได้ไม่ไกล
สายฝนเริ่มซึมมาตามเนื้อตัวของนางที่หยุดนิ่งอยู่กับที่ หญิงสาวสบถออกมาเบาๆ
“บ้าจริง”
จะไม่สนใจได้อย่างไร ถ้าไม่เห็นก็ว่าไปอย่าง นี่เห็นๆ อยู่ว่าเขาน่าจะกำลังตากฝน นางเดินไปเดินมาอยู่ครู่หนึ่งด้วยสีหน้าคล้ายใกล้จะสติแตก ก่อนจะวิ่งกลับไปยังที่ที่ชายคนนั้นอยู่ พลางต่อว่าตัวเองในใจว่า ‘บ้าเอ๊ย ห่วงตัวเองก่อนเถอะ จะไปห่วงเขาทำไม’ ไปตลอดทาง แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะนางไม่ร้ายกาจพอที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นทั้งๆ ที่ชายคนนั้นยืนตากฝนอยู่คนเดียว
“แฮ่ก แฮ่ก”
นางวิ่งมาไกลพอสมควรจนกระทั่งมาถึงริมทะเลสาบเมื่อครู่นี้ และพบลูซิโอยืนเหม่ออยู่ใกล้ๆ ริมทะเลสาบนั้น นางไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดเขาจึงยืนทำสีหน้าไร้เรี่ยวแรงอยู่ตรงนั้นราวกับละทิ้งทุกอย่างบนโลก แต่จะถามออกไปก็เกรงว่าสถานการณ์จะไม่เป็นใจนัก
รองเท้าส้นสูงของหญิงสาวย่ำน้ำสาดกระเซ็นขณะก้าวเข้าไปหาร่างสูง และเมื่อนั้นเขาก็หันมามองนาง สายตาว่างเปล่านั้นทำเอาแพทริเซียสะดุ้งวูบหนึ่ง แต่นางก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
“เสียสติไปแล้วหรือเพคะ” นางถาม
“…”
“จะสร้างโทษให้หม่อมฉันฐานทำให้ประชวรหรืออย่างไร”
“…”
“รีบเสด็จเถอะเพคะ พระองค์กระทำอันใดอยู่ พระเศียรไปกระทบอะไรมาหรือเปล่าเพคะ”
“…”
แพทริเซียกำลังจะอกแตกตายที่เห็นเขาไม่หือไม่อือราวกับเป็นรูปปั้น แต่นางก็รีบปรับอารมณ์และนำเสื้อคลุมที่คลุมศีรษะตนไปพันตัวเขา ทั้งไม่ลืมที่จะคลุมไปจนถึงศีรษะของเขาด้วย
แพทริเซียรู้สึกกระดากอายที่ต้องมาทำอะไรเช่นนี้แทนโรสมอนด์ แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ใจตนอยากจะไปบอกโรสมอนด์ว่าให้มาดูแลฝ่าบาทของนางเสีย แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่เป็นใจให้ทำเช่นนั้น แพทริเซียถอดเสื้อผืนหนึ่งซึ่งทำจากผ้ามัสลินออกมาพันศีรษะไว้และพูดกับลูซิโอ
“รีบเสด็จเถอะเพคะ”
“…”
“ฝ่าบาท!”
นี่ข้ากำลังทำบ้าอะไรอยู่ ผู้ชายคนนี้วางแผนที่จะทำให้ข้าอกแตกตายไม่ผิดแน่ หรือเขาอยากให้ข้าล้มป่วยจากการตากฝนอยู่ตรงนี้? แพทริเซียแสดงสีหน้าไม่พอใจและพูดกับเขาด้วยเสียงที่ดังขึ้น
“ฝนตกแรงขึ้นแล้วนะเพคะ หากทรงอยากประชวรนักก็ประชวรพระองค์เดียว อย่าทำให้ผู้อื่นต้องเป็นห่วงสิเพคะ”
“…”
ลูซิโอยังคงยืนนิ่งเป็นรูปปั้นไม่พูดไม่จา แพทริเซียจึงจูงมือเขาให้เดินตามราวกับว่านางทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว หากจะทิ้งไว้อย่างน้อยก็ให้ไปอยู่ในที่ที่มีคนผ่านไปผ่านมาก็แล้วกัน ขืนทิ้งไว้ตรงนี้อาจเกิดเรื่องน่ารำคาญขึ้นได้ ดีไม่ดีเรื่องวันนี้อาจถูกโยนให้เป็นความผิดของนางทั้งหมด
ในใจของหญิงสาวเอาแต่บ่นว่า ‘ข้าบ้าไปแล้ว ข้าบ้าไปแล้ว’ ไม่หยุด นางออกแรงดึงให้เขาเดินตามมาเรื่อยๆ น่าแปลกที่เขายอมให้นางจูงเดินง่ายๆ ต่างจากปกติ
เมื่อพ้นจากสวนมาแล้ว แพทริเซียก็เงยหน้ามองท้องฟ้า ฝนที่เริ่มตกกลางดึกเช่นนี้คงไม่หยุดง่ายๆ
แพทริเซียเลื่อนสายตาไปมองลูซิโอ เขายังคงทำหน้าเหม่อลอย มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมคนเราถึงจิตหลุดได้ในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้ แพทริเซียถามออกไปด้วยสีหน้างุนงง
“หม่อมฉันไม่ต้องเชิญเสด็จไปถึงตำหนักกลางใช่ไหมเพคะ”
“…”
ลูซิโอยังคงไม่พูด แพทริเซียรู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นบ้า นางเริ่มสงสัยแล้วว่าผู้ชายคนนี้จู่ๆ เป็นอะไรไป
“ตรัสอะไรสักนิดมิได้หรือเพคะ ฝ่าบาท พระองค์ตั้งใจจะให้หม่อมฉันอึดอัดใจตาย หรือทรงอยากจะให้ทั้งหม่อมฉันและพระองค์เป็นหวัดตายไปด้วยกันตรงนี้หรือเพคะ” แพทริเซียถามอย่างเร่งเร้า
“…”
จะบ้าตาย เดิมทีเขาเป็นคนที่น่าอึดอัดใจเช่นนี้หรือเปล่านะ ก่อนอื่นถ้านางกับเขายังอยู่ตรงนี้ต้องเป็นหวัดกันทั้งคู่เป็นแน่ นางจึงตั้งใจว่าจะไม่ซักไซ้อะไรต่อและใช้กำลังทำให้ร่างสูงขยับตัว
แม้ใจอยากจะพาเขากลับตำหนักกลาง แต่ระยะทางจากตรงนี้ไปถึงตำหนักกลางนั้นไกลเกินไป สุดท้ายนางก็จนใจที่ต้องเลือกทางที่ไม่อยากเลือกมากที่สุด
“ก่อนอื่นไปตำหนักของหม่อมฉันก่อนเถอะเพคะ ทำพระวรกายให้แห้งก่อนแล้วค่อยเสด็จกลับ ขืนยังเป็นเช่นนี้ พวกเราต้องแย่แน่”
“…”
เขายังคงนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา แต่นางก็ยังจูงมือเขาไปถึงตำหนักจักรพรรดินีโดยไม่สนใจอะไร เพราะคราวนี้แพทริเซียไม่ได้คาดหวังคำตอบอะไรอยู่แล้ว แน่นอนว่าทั้งนางกำนัลและข้ารับใช้ของตำหนักจักรพรรดินีต่างก็ตกอกตกใจ ข้อแรก เพราะนายหญิงของพวกนางกับพระจักรพรรดิปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน และข้อสอง ทั้งคู่อยู่ในสภาพเปียกปอน
แพทริเซียไม่สนใจสายตาเหล่านั้นและพยายามลากลูซิโอไปจนถึงห้องของตน ซึ่งแน่นอนว่ามีร์ยาก็มีท่าทีตกตะตึงก่อนจะถามความเป็นมา
“ฝะ…ฝ่าบาท…นี่มันเกิดอะไร…”
“ไว้อธิบายทีหลังนะคะ ก่อนอื่นจุดไฟในห้องแล้วไปหาผ้าแห้งๆ มาให้ที เอามาเยอะๆ เลยค่ะ”
“เพคะ ทราบแล้วเพคะ”
มีร์ยาตอบอย่างลนลาน ส่วนแพทริเซียหันไปปลดเปลื้องเสื้อคลุมของตนออกจากร่างของลูซิโอที่ยังคงทำหน้าเหมือนคนกำลังจะตาย แน่นอนว่าภายใต้เสื้อคลุมนั้นเปียกโชก เขาดูหนาวมากเพราะอยู่ในชุดนอน
ชุดผ้าไหมบางๆ เปียกน้ำจนแนบไปกับลำตัวเผยให้เห็นส่วนนูนส่วนเว้าของร่างกายอีกฝ่ายอย่างชัดเจน แต่แพทริเซียไม่ได้สนใจ กลับถอดเสื้อผ้ามัสลินที่นางเอามาพันตัวออก ชุดเดรสของนางเองก็เปียกน้ำจนแนบไปกับลำตัวเช่นกัน
“…”
แม้จะทำเหมือนว่าไม่สนใจอีกฝ่าย แต่หญิงสาวกลับอายมากกว่าที่คิด นางคิดว่าถ้ามีร์ยากลับมาเมื่อใด นางต้องรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
โชคดีที่มีร์ยาและบรรดาข้ารับใช้นำของที่นางไหว้วานมาให้อย่างรวดเร็ว จากนั้นพวกนางก็เช็ดเนื้อเช็ดตัวจักรพรรดิให้แห้งตามที่นางสั่ง ส่วนแพทริเซียบอกไว้ว่าจะกลับมาหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ จากนั้นนางก็หอบเอาผ้าเช็ดตัวกองใหญ่เข้าไปในห้องแต่งตัว
เสื้อผ้าของแพทริเซียถูกเปลี่ยนเป็นชุดสีขาวที่แห้งสนิท นางจัดการกับเรือนผมที่เปียกชุ่มก่อนจะกลับเข้ามาในห้อง เมื่อกลับเข้ามาก็พบว่าลูซิโอหลับไม่รู้เรื่องไปแล้ว แพทริเซียตกใจพลางเอ่ยถามมีร์ยา
“เหตุใดฝ่าบาทจึงบรรทมที่ห้องของข้าหรือคะ มีร์ยา”
ทว่า มีร์ยาเพียงแค่ยักไหล่และทำหน้าเจื่อนๆ ราวกับจะบอกว่าเรื่องนั้นตัวนางเองก็ไม่ทราบเช่นกัน ต่อให้แพทริเซียไม่ไยดีผู้ชายคนนี้เพียงใด แต่จะให้ปลุกคนที่หลับสนิทก็กระไรอยู่ อีกทั้งฝนที่ตกอยู่ด้านนอกก็ไม่รู้จะหยุดเมื่อใด หญิงสาวถอนหายใจยาว ก่อนจะออกคำสั่งกับมีร์ยา
“มีร์ยา พาฝ่าบาทไปที่เตียงของข้าเถอะค่ะ”
“แล้วพระองค์เล่าเพคะ พระองค์จะบรรทมที่ใด”
“ข้างๆ มีห้องว่างใช่ไหมคะ ข้าไปนอนที่นั่นก็ได้ค่ะ ไม่ต้องห่วง อ้อ ช่วยไปจุดไฟที่ห้องนั้นให้ทีนะคะ”
“บรรทมเสียด้วยกันเลยก็ได้นี่เพคะ…”
แม้มีร์ยาจะพยายามอธิบายต่อไปว่าเตียงนอนกว้างเพียงใด แต่เมื่อแพทริเซียมองมาด้วยหางตานางก็รีบหุบปาก น่าเสียดายที่แพทริเซียไม่คิดจะร่วมเตียงกับลูซิโอ อย่างน้อยก็ในตอนนี้
การร่วมเตียงกับจักรพรรดิเพื่อให้กำเนิดรัชทายาทจะเริ่มหลังจากนี้ก็ไม่สาย แพทริเซียพูดกับมีร์ยาด้วยสีหน้าอ่อนล้า
“ดูแลฝ่าบาทด้วยนะคะ ข้าจะได้ไม่ต้องมาสนใจเรื่องในห้องนี้อีก พระองค์ตากฝนอยู่นาน ดึกๆ อาจประชวรเอาได้”
“เพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันจะทำตามรับสั่ง”
พูดจบ แพทริเซียก็เดินไปยังห้องข้างๆ ซึ่งจะเป็นที่ซุกหัวนอนของตนในคืนนี้อย่างไม่ไยดี แม้นางจะหงุดหงิดด้วยรู้สึกว่าคนที่ควรไปนอนอีกห้องไม่ควรจะเป็นนาง แต่มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะหากจะพูดกันตามจริงแล้ว ตำหนักจักรพรรดินีแห่งนี้ก็ถือเป็นทรัพย์สมบัติของจักรพรรดิเช่นกัน
เนื่องจากยังไม่ได้จุดไฟ แพทริเซียจึงต้องนอนลงบนเตียงในห้องที่หนาวเย็น สีหน้าของนางอ่อนล้า ท่าทางนางคงจะเป็นหวัดก่อนเขา เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในคืนนี้คือการนอนหลับให้ลึก
เสร็จจากงานเลี้ยงรับรองแล้ว แพทริเซียก็กลับมาที่ห้อง นางรู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้ง นั่นเป็นเพราะวันนี้นางมัวแต่กังวลว่าจะเกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย แม้ว่านางก็ตระเตรียมงานไว้ดีระดับหนึ่งแล้วก็ตาม รวมถึงการที่ต้องคอยขัดขวางแผนการของโรสมอนด์ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ที่สุดแล้วก็ไม่เกิดเรื่องน่ากลัวอย่างที่โรสมอนด์คาด และงานเลี้ยงต้อนรับก็เสร็จสิ้นลงด้วยดี
แต่เรื่องเมื่อเย็นนั้นช่างน่าหวาดหวั่น แม้แพทริเซียจะย้อนเวลากลับมาแต่คนที่เคยเป็นจักรพรรดินีคือเปโตรนิยาผู้เป็นพี่สาว หาใช่ตัวนาง ดังนั้นข้อมูลที่นางรู้จึงมีอย่างจำกัด และนางก็ไม่อาจล่วงรู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นในวัง
เพราะฉะนั้นการที่นางได้ย้อนเวลากลับมาก็ไม่ใช่ข้อดีเสียทีเดียว มันเพียงทำหน้าที่เป็นเหมือนตัวกระตุ้นให้แพทริเซียระวังเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตมากขึ้นเท่านั้น
แต่เรื่องที่ว่านางได้รับโอกาสที่จะเปลี่ยนอนาคต และโอกาสนั้นทำให้นางระแวดระวังอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับโรสมอนด์มากขึ้นก็เป็นข้อดีอย่างที่มิอาจปฏิเสธได้
แต่ถึงกระนั้นเรื่องวันนี้เกือบจะกลายเป็นอุบัติภัยครั้งยิ่งใหญ่ไปเสียแล้ว โชคดีที่ตนคอยจับตามองความเคลื่อนไหวของโรสมอนด์ แพทริเซียตั้งใจว่าแต่นี้ต่อไปจะไม่พลาดความเคลื่อนไหวทั้งหมดในตำหนักเวน หญิงสาวถอนหายใจออกมา ราฟาเอลาเห็นดังนั้นก็เดินเข้ามาใกล้
“ฝ่าบาท เจ้าดูเหนื่อยๆ นะ” ราฟาเอลาพูด
“อืม เหนื่อยสิ เดมราฟาเอลา วันนี้ข้าไปทำงานใหญ่มาอย่างไรเล่า”
“ใช่ เกือบเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเพราะนางเมียน้อยร้อยเล่มเกวียนนั่นแล้วเชียว”
ราฟาเอลาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันประหนึ่งแค่นึกถึงขึ้นมาก็หงุดหงิดแล้ว
“ให้ตายสิ คิดเรื่องพรรค์นั้นขึ้นมาได้อย่างไร จะสิ้นคิดเพียงใดก็ต้องรู้กาลเทศะเสียบ้าง เอาเนื้อหมูมาสับเปลี่ยนเป็นอาหารรับรองพระราชอาคันตุกะจากอาณาจักรที่ห้ามกินเนื้อหมูเนี่ยนะ นางเสียสติไปแล้วกระมัง หากแผนการของบารอเนสเฟ็ลปส์สำเร็จอาจเกิดสงครามขึ้นก็ได้ คนที่จะเดือนร้อนไม่ใช่แค่เจ้าเท่านั้น แต่พระจักรพรรดิก็จะทรงลำบากไปด้วย”
“ข้ารู้ ข้าถึงขัดขวางไว้อย่างไรเล่า เอาเถอะ…สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมิใช่หรือ”
“เจ้ายังนิ่งเฉยได้อีกนะ”
ราฟาเอลาเดาะลิ้นก่อนจะนั่งลงข้างๆ แพทริเซียอย่างเยือกเย็น
“ฝ่าบาท เจ้าจะไม่กราบทูลพระจักรพรรดิจริงๆ หรือ เรื่องนี้ใช้เป็นข้ออ้างยึดตำแหน่งบารอเนสคืนได้เลยนะ” นางถามอย่างระมัดระวัง
“ต่อให้ฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอก หากพระองค์ยังมีพระสติดีอยู่คงไม่ทำให้เรื่องนี้เป็นที่สนใจ เพราะทรงให้ความสำคัญต่อจักรวรรดินี้เหนือบารอเนสเฟ็ลปส์ พวกเราคงไม่เห็นพระองค์บุ่มบ่ามทำเรื่องไม่เป็นเรื่องหรอก”
“เฮ้อ นั่นก็ถูก”
ราฟาเอลาถอนหายใจอย่างอึดอัดใจ ที่จริงแล้วแพทริเซียก็อึดอัดใจไม่แพ้กัน แน่นอนว่านี่เป็นโอกาสที่ดี แต่เรื่องนี้ละเอียดอ่อนเกินกว่าที่นางจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา
แพทริเซียทำอะไรไม่ได้นอกจากปิดมันเอาไว้ ตนก็ตักเตือนโรสมอนด์ไปพอสมควรแล้ว อย่างน้อยๆ ฝ่ายนั้นก็คงจะอยู่เงียบๆ ไปสักพัก
“ฝ่าบาท พระจักรพรรดิเสด็จเพคะ”
เสียงของมีร์ยาที่ดังเข้ามาทำให้แพทริเซียและราฟาเอลาสะดุ้ง เขาคงไม่ทันได้ฟังสิ่งที่พวกตนคุยกันหรอกกระมัง ทั้งสองเฝ้ารอด้วยจั้เต้นไม่เป็นส่ำก่อนที่ลูซิโอจะปรากฏตัวขึ้นที่ประตูที่เปิดอยู่ ราฟาเอลาลุกขึ้นอย่างรู้หน้าที่ และกล่าวทำความเคารพอีกฝ่าย
“อัศวินผู้ต่ำต้อยขอถวายบังคมพระจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ขอจงทรงพระเจริญ”
ครั้นถวายความเคารพแล้ว ราฟาเอลาก็เดินออกจากห้องไปโดยไม่หันหลังกลับไปมอง ตอนนี้ตนจำต้องปลีกตัวออกมาเพื่อรักษามารยาท อีกทั้งราฟาเอลาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตนจะอดใจไม่กล่าววาจาสามหาวต่อหน้าจักรพรรดิได้หรือไม่
ถ้าอยู่แล้วว่าตนจะพูดอะไรให้ระคายพระเนตรพระกรรณของฝ่าบาทก็สู้ปลีกตัวออกมาก่อนดีกว่า
ในขณะที่เดินกลับห้องราฟาเอลาคิดว่าวันนี้ตนคงต้องพักผ่อนบ้างเช่นกัน
และแล้วก็เหลือเพียงสองคนอยู่ในห้องนั้น แพทริเซียใจเต้นไม่เป็นส่ำด้วยกลัวว่าลูซิโอจะได้ยินสิ่งที่ตนคุยกับราฟาเอลา
ถึงเขาจะถามซอกแซกขึ้นมาก็ไม่น่าเป็นปัญหา เพราะนางไม่ได้ทำอะไรผิด แต่นางกลับรู้สึกว่านั่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป ช่างน่าแปลกนัก
“ถวายบังคมสุริยันแห่งจักรวรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ขอพระบิดาแห่งปวงข้าจงทรงพระเจริญ”
นางกล่าวทักทายและถามจุดประสงค์ในการมาเยือนของเขาทันที
“ทรงมีธุระอันใดกับหม่อมฉันหรือเพคะ พระองค์น่าจะเหน็ดเหนื่อยจากการรับรองคณะทูตมิใช่หรือ”
“…”
ลูซิโอไม่พูดอะไร ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จู่ๆ แพทริเซียก็นึกถึงเรื่องของโรสมอนด์ขึ้นมา นี่คงไม่ได้มาไต่สวนเอาความข้าด้วยเรื่องนั้นหรอกนะ
“…เราแค่อยากมาถามว่างานเลี้ยงรับรองภริยาคณะทูตเป็นไปด้วยดีหรือไม่”
โชคดีที่เขาไม่ได้พูดสิ่งที่นางคิด แพทริเซียถอนหายใจด้วยความโล่งอกอยู่ในใจ ก่อนจะตอบด้วยสิ่งที่อีกฝ่ายอยากฟัง
“เรียบร้อยดีเพคะ”
ที่จริงก็เกือบจะเกิดเรื่องใหญ่… นางอยากพูดเสริมไปอย่างนั้นแต่ก็ไม่ได้พูด เพราะขืนพูดไปคงต้องพูดกันยืดยาว แพทริเซียอยากรีบส่งเขากลับไปเพื่อจะได้ไปอาบน้ำเร็วๆ
“เป็นเช่นนั้นหรือ”
พูดจบ ลูซิโอก็ทำตัวเก้ๆ กังๆ ดูแปลกตา ครั้นเห็นท่าทางของอีกฝ่าย แพทริเซียก็กลุ้มใจว่าตนต้องเป็นฝ่ายพูดขอตัวก่อนหรือไม่ แต่โชคดีที่นางกังวลสูญเปล่า เพราะเขาเป็นฝ่ายพูดสิ่งที่นางอยากฟังออกมาก่อน
“เช่นนั้นวันนี้เจ้าคงจะเหนื่อย พักผ่อนเถอะ”
“เพคะ ฝ่าบาท พระองค์ก็ทรงพักผ่อนให้มากเช่นกัน”
แพทริเซียโค้งคำนับอย่างสุภาพ จักรพรรดิจ้องนางเขม็งชั่วครู่ก่อนจะหันหลังและเดินกลับออกไปโดยไม่พูดอะไร
อะไรกัน? มาพูดแค่นี้แล้วก็ไปหรือ ระยะทางจากตำหนักกลางมาถึงตำหนักจักรพรรดินีก็ไม่ใกล้เลยแท้ๆ แพทริเซียประหลาดใจอย่างมาก แต่เพราะเขากลับไปเร็วก็หมายความว่าเวลาที่นางจะได้พักผ่อนย่อมมีมากขึ้น
แพทริเซียถือเสียว่านี่เป็นโชคดี และค่อยๆ ถอดมงกุฎที่สวมไว้บนศีรษะออก
“โธ่เว้ย!”
ลูซิโอสบถออกมาขณะเดินกลับตำหนักกลาง แน่นอนว่าตอนแรกเขาตั้งใจจะไปถามเอาความให้รู้เรื่องว่าเหตุใดจึงมาทำร้ายโรสมอนด์ หากนางทำความผิด แค่ต่อว่าก็น่าจะเพียงพอแล้ว ไยต้องลงไม้ลงมือ
แต่ความจริงที่ลูซิโอค้นพบโดยบังเอิญกลับทำให้เขาถึงกับตกตะลึง
“ถ้าเช่นนั้น…”
เขาพึมพำด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หากแผนการของโรสมอนด์สำเร็จ การปลดจักรพรรดินีที่นางหวังเอาไว้ก็คงไม่ใช่เรื่องยาก
แต่ปัญหาคือหลังจากนั้น สะเก็ดไฟจากแผนร้ายที่นางก่อไว้จะกระเด็นมาถูกทั้งตัวเขาและจักรวรรดิแห่งนี้ ดีไม่ดีปัญหาที่ละเอียดอ่อนนี้อาจทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองจักรวรรดิสะบั้นลงและเกิดสงครามขึ้นได้
นั่นเป็นสิ่งที่ไม่สมควรเกิดขึ้นเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในตอนที่จักรวรรดิเอคแมนพยายามรุกรานจักรวรรดิคริสตาอยู่เช่นตอนนี้ การกระทบกระทั่งใดๆ แม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่ควรเกิดขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น เท่าที่ฟังคำของแพทริเซีย นางล่วงรู้แผนการณ์ของโรสมอนด์จึงได้ขัดขวางไว้… หากเป็นเช่นนั้นจริง การที่แพทริเซียซึ่งกำลังโกรธจะลงไม้ลงมือกับโรสมอนด์ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
เขาเพิ่งเคยรู้สึกสับสนกับเรื่องที่เกี่ยวกับโรสมอนด์เป็นครั้งแรกในชีวิต ตั้งแต่พบนางครั้งแรกจนถึงตอนนี้ เขาไม่เคยรู้สึกสับสนในตัวนางมาก่อน
เขาถือว่านางเปรียบดั่งตัวเขา ไม่ว่านางอยากได้อะไร เขาก็อยากจะให้ สิ่งไหนที่นางไม่ชอบ เขาก็ไม่อยากให้นางทำ
มันเคยเป็นเช่นนั้น… แต่เรื่องคราวนี้เลยเถิดไปนิด ไม่สิ เลยเถิดไปมาก ลูซิโอเข้าไปในห้องของตนด้วยสีหน้าว้าวุ่นใจ เดิมทีเขาคิดว่าจะไปตำหนักจักรพรรดินีแล้วกลับไปที่ตำหนักเวน แต่ตอนนี้เขากลับไม่อยากพบหน้าโรสมอนด์อย่างน่าประหลาด
ลูซิโอปวดหัวจี๊ดด้วยความสับสน เขาเตรียมตัวจะเข้านอนเพราะคิดว่าแค่วันนี้เท่านั้นที่เขาควรจะเข้านอนเร็วกว่าปกติ
อีกด้านหนึ่ง แพทริเซียก็กำลังฟุ้งซ่านอยู่เช่นกัน ตอนคุยกับราฟาเอลาเมื่อครู่นางพูดเหมือนไม่ยี่หระก็จริง แต่เรื่องคราวนี้กระทบกระเทือนจิตใจนางเป็นอย่างมาก นางเกือบจะต้องโทษฉกรรจ์จนเสียตำแหน่งจักรพรรดินีไป ไม่แน่ว่าอาจถึงขั้นทำลายล้างตระกูลของนางด้วยซ้ำ หากพลาดไป ไม่แน่ว่านางอาจไม่ได้ประโยชน์อันใดจากการย้อนเวลากลับมา และต้องพบจุดจบเช่นเดิมอีกครั้ง
ร่างกายของแพทริเซียสั่นสะท้านกับความคิดนั้น เรื่องนี้กระทบกระเทือนจิตใจของนางที่ยังอ่อนเยาว์นัก
“ต่อไปข้าต้องระแวดระวังและรอบคอบมากกว่านี้”
แทพริเซียตั้งปณิธานกับตัวเอง ก่อนจะถอนหายใจออกมาและปัดเรือนผมยาวสลวยสีน้ำเงินแกมเขียวไปทัดหูเผยให้เห็นดวงตาดำขลับที่เรือนผมนั้นบดบังอยู่ เมื่อดวงตาคู่นั้นต้องแสงก็ส่องประกายระยิบระยับ หญิงสาวนอนห่มผ้าด้วยความคิดที่ว่าควรจะรีบเข้านอนได้แล้ว อย่างน้อยก็เพื่อให้ร่างกายและจิตใจได้พักผ่อน
แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไรนางก็ไม่ง่วง แพทริเซียนอนกระสับกระส่ายอยู่อย่างนั้นได้สองชั่วโมงก็ทนไม่ไหวและลุกพรวดขึ้นมา ร่ายกายเหนื่อยล้ามากแท้ๆ แต่นางกลับไม่ง่วงเลย นางรู้สึกเหมือนมีแค่สติของตนเท่านั้นที่ยังตื่นเต็มตาอยู่
แพทริเซียลุกขึ้นและสวมเสื้อคลุมตัวหนาด้วยคิดว่าออกไปเดินเล่นสักรอบน่าจะดี เมื่อออกมานอกห้อง มีร์ยาที่ยืนเฝ้าประตูอยู่ก็ถามด้วยสีหน้าตกใจ
“ฝ่าบาท ดึกดื่นป่านนี้จะเสด็จไปที่ใดเพคะ”
“ข้านอนไม่หลับ ว่าจะออกไปเดินเล่นสักหน่อยค่ะ”
“ให้หม่อมฉันนำทางไปที่ไหนดีเพคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ข้าไปคนเดียวได้”
แพทริเซียปฏิเสธเด็ดขาดและออกจากตำหนักไป นางอยากอยู่คนเดียว อย่างน้อยก็ในคืนนี้ ถ้าเกิดอะไรขึ้น นางก็มีมีดสั้นพกอยู่ ป้องกันตัวเองได้
แพทริเซียเดินไปยังที่ที่ไม่ได้เหยียบย่างไปอีกเลยหลังจากได้เป็นจักรพรรดินี นางไปที่แห่งนั้นครั้งสุดท้ายตอนคัดเลือกควิเนสรอบที่สองกระมัง
หลังจากนั้นนางก็ได้เป็นจักรพรรดินี และไม่เคยไปที่นั่นอีกเลยแม้จะใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังก็ตาม ไม่สิ ต้องบอกว่าไม่สามารถไปได้มากกว่า เพราะหลังจากนั้นนางก็ยุ่งจนแทบไม่ได้ลืมหูลืมตา และเพราะเจียดเวลาที่ควรจะเป็นเวลานอนออกมาได้ในวันนี้ แพทริเซียจึงมีโอกาสได้ไปที่นั่นอีกครั้ง
แม้รอบกายจะมืดสนิทแต่คืนนี้เป็นคืนจันทร์เพ็ญ รอบทะเลสาบซึ่งสะท้อนภาพดวงจันทร์วันเพ็ญที่ลอยเด่นจึงสว่างไสว แพทริเซียมองดวงจันทร์ที่ส่องประกายลงบนผิวน้ำของทะเลสาบ จู่ๆ น้ำตาของนางก็ไหลออกมา เมื่อน้ำตาอุ่นๆ ไหลผ่านแก้ม แพทริเซียจึงรู้สึกตัวว่าตนกำลังร้องไห้ หญิงสาวรีบใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำไร้สีนั้น
“อา…ข้าคงเสียสติไปแล้ว”
จะร้องไห้เพื่ออะไร วันนี้ข้าทำหน้าที่ในฐานะจักรพรรดินีลุล่วงไปได้ด้วยดี อีกทั้งยังขัดขวางแผนชั่วของโรสมอนด์ได้แท้ๆ
แต่แล้วแพทริเซียก็รู้ว่าจุดนั้นเองที่เป็นปัญหา นางเตือนโรสมอนด์ไปแล้วอย่างชัดเจนว่าขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย และอย่าวางแผนอะไรเช่นนี้อีก แต่โรสมอนด์จะฟังคำของนางหรือ? ไม่สิ สักวันฝ่ายนั้นจะต้องวางแผนชั่วเพื่อกำจัดนางอีกเป็นแน่
เช่นนั้นแล้ว นางจะต้องขัดขวางแผนการของอีกฝ่ายไปจนถึงเมื่อไร? จนกว่านางจะตาย? หรือจะต้องรับมือกับโรสมอนด์ไปเรื่อยๆ จนกว่าจักรพรรดิจะตาย? ในที่สุดแพทริเซียก็เริ่มร้องไห้ฟูมฟายให้กับอนาคตที่มืดมน
หากจะว่ากันตามตรง แพทริเซียไม่มั่นใจเลย นางไม่ได้รับความรักจากจักรพรรดิเหมือนโรสมอนด์ และนางก็ไม่ได้ฉลาดหลักแหลมขนาดนั้น
แต่ตอนนี้โรสมอนด์เป็นคนรักทั้งในนามและตัวจริงของจักรพรรดิ อีกทั้งบุตรีของตระกูลบารอนที่เริ่มไต่เต้าจากศูนย์อย่างนางก็มีความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ได้ดีกว่าตน
เพราะฉะนั้นตอนนี้แพทริเซียจึงกลัว กลัวว่าตนจะเปลี่ยนอนาคตไม่สำเร็จ กลัวว่าจะถูกถอดออกจากบัลลังก์เหมือนพี่สาว และทำให้ครอบครัวต้องเผชิญหน้ากับกิโยตีน หญิงสาวเตือนตัวเองว่าอย่าจินตนาการถึงเรื่องน่ากลัว แต่หัวใจของแพทริเซียวันนี้กลับอ่อนแอ ไม่รู้ว่าเพราะนี่เป็นตอนกลางคืนที่ทำให้อ่อนไหวง่าย หรือเพราะวันนี้เพิ่งเจอเรื่องใหญ่มา
“เหตุใดเจ้าจึงร้องไห้”
แพทริเซียตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินเสียงของชายคนหนึ่งแว่วมา
คิ้วของแพทริเซียกระตุกข้างหนึ่ง การได้ฟังคำด่าจากปากของคนที่กำลังยิ้มไม่ได้ทำให้รู้สึกแปลกใหม่หรือรู้สึกดีขึ้นแต่อย่างใด ถึงอย่างไรการถูกด่าก็ทำให้มีโทสะ
“อ้อ เห็นเจ้าเรียกชื่อข้าก่อนข้าก็อยากจะทำบ้าง คงไม่ว่าอะไรใช่หรือไม่? ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่คิดจะปูดเรื่องวันนี้อยู่แล้ว”
“เฮอะ! ความหน้าด้านหน้าทนของท่านช่างยอดเยี่ยมเสียจนเราอยากจะเรียนรู้บ้าง เราแค่อยากจะอยู่เงียบๆ หากท่านไม่มาข้องแวะกับเราก่อน เราก็ไม่มีทางไปข้องแวะกับท่านเป็นแน่ ทว่า…”
แพทริเซียจ้องโรสมอนด์เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ เรื่องในวันนี้มิอาจยกโทษให้ได้ ตอนนี้ตนยังโกรธมากที่อีกฝ่ายวางแผนชั่วเสียจนตนเสียวสันหลัง
“หากท่านเริ่มก่อน เราเองก็จนใจ วันนี้เราจะยกโทษให้ท่านเป็นครั้งสุดท้าย วาจาสามหาวของท่านก็เช่นกัน เพราะฉะนั้น…พวกเราต่างคนต่างอยู่เงียบๆ หากคราวหน้ายังมีเรื่องเช่นนี้อีก เราเองก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าตัวเองจะทำอะไรลงไปบ้าง”
“น่ากลัวเสียจริง”
โรสมอนด์พึมพำด้วยน้ำเสียงล้อเลียน นางมองแพทริเซียอย่างเหยียดหยาม แพทริเซียคิดว่าโรสมอนด์ช่างมีพรสวรรค์ในการทำให้คนหงุดหงิดเสียจริง
“ใจจริงเราอยากจะป่าวประกาศเรื่องในวันนี้ให้โลกรู้เพื่อให้ท่านไม่มีที่ยืนอีกต่อไป แต่หากทำเช่นนั้นคงจะเกิดเรื่องไม่งามขึ้น เพราะฉะนั้น แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น โรสมอนด์ ครั้งต่อไปไม่มีคำว่าเมตตาแล้ว” แพทริเซียกล่าว
การเปิดโปงเรื่องนี้ออกสู่สาธารณะมิใช่เรื่องยาก เพราะต่อให้เป็นจักรพรรดินีที่ไม่ได้รับความรักจากจักรพรรดิก็ยังพอมีอำนาจที่จะทำเช่นนั้นได้
แต่การทำเช่นนั้นแม้จะช่วยแก้ปัญหาภายในได้ แต่ก็อาจทำให้เกิดปัญหาภายนอกตามมา แน่นอนว่าหากไม่เกิดอะไรขึ้นก็คงจะดี แต่หากเรื่องนี้กลายเป็นข้อขัดแย้งทางการทูตกับจักรวรรดิคริสตา คงไม่มีอะไรน่าลำบากใจไปมากกว่านี้อีกแล้ว
การทูตโดยแท้แล้วเป็นเช่นนั้น อาศัยเหตุผลข้ออ้างเพียงเล็กน้อยก็สามารถใช้อำนาจอย่างไร้สาระและไร้ความยุติธรรมได้
จักรวรรดิคริสตาไม่ใช่จักรวรรดิที่อ่อนแอ แต่เป็นจักรวรรดิใหญ่เทียบเคียงจักรวรรดิมาวินอส การกระทำที่ไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบจะทำให้เกิดเชื้อไฟในรูปแบบใด แพทริเซียก็ไม่อาจคาดเดาได้
เพราะฉะนั้นแม้จะเจ็บใจแต่นางก็ทำอย่างที่ใจคิดไม่ได้ เพราะผลกระทบของเรื่องนี้ใหญ่เกินกว่าที่จะจบแค่เรื่องภายใน
“เพคะ หม่อมฉันจะจำไว้ แหม กลัวจนรู้สึกเหมือนปัสสาวะจะราดเลยเพคะ”
“การกระทำลามปามนั้น เป็นไปได้จงหยุดเสียจะดีกว่าค่ะ หากเราโมโหขึ้นมา อาจวู่วามลงไม้ลงมือกับท่านได้”
“เพคะๆ เรื่องนั้นหม่อมฉันก็จะจำไว้”
โรสมอนด์ไม่ทิ้งกิริยาวาจาสามหาวจนถึงที่สุด นางจ้องมองแพทริเซียด้วยสีหน้ามาดมั่นที่ดูไม่ออกเลยว่าเมื่อครู่เพิ่งถูกตบจนหงอ แพทริเซียเองก็จ้องกลับโดยไม่ยอมหลบสายตานั้นแม้เพียงนิด
ไม่มีเหตุผลที่ต้องหลบตา ตอนนี้คนที่ควรหลบตาคือผู้หญิงคนนั้น แพทริเซียหัวเราะออกมาเบาๆ พลางถามโรสมอนด์
“เราอยากจะรู้จริงๆ ว่าความมั่นอกมั่นใจนั้นออกมาจากที่ใดกัน หรือท่านคิดว่าเราจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ผู้ใดฟัง”
“แน่สิเพคะ ฝ่าบาท พระองค์คงไม่ใจกล้ากระทำการเช่นนั้นหรอกกระมัง”
ย่อมมีเหตุผลที่ทำให้โรสมอนด์มั่นอกมั่นใจเสียเหลือเกิน ข้อแรก เนื้อวัวไม่ได้ถูกสับเปลี่ยนเป็นเนื้อหมูอย่างที่นางวางแผนไว้ หรือพูดอีกอย่างก็คือไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
ข้อสอง ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ ที่จักรพรรดินีรู้คือคนที่มีส่วนเกี่ยวพันกับเรื่องนี้มีสองคนคือโรสมอนด์กับคลารา หากพวกนางทั้งสองคนปิดปากเงียบไว้ก็แก้ปัญหาได้แล้ว และต่อให้คลาราถูกจับไปทรมานก็คงไม่ยอมเปิดปากง่ายๆ เพราะไม่มีใครภักดีต่อโรสมอนด์ไปมากกว่านางอีกแล้ว
ข้อสาม เหนือสิ่งอื่นใด หากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ก็มีความเสี่ยงที่เรื่องนี้จะแพร่งพรายไปถึงหูจักรวรรดิคริสตา หากเป็นเช่นนั้นปัญหาทางการทูตที่แพทริเซียกังวลหนักหนาอาจเกิดขึ้นได้ในภายหลัง ซึ่งทั้งหมดนั้นแพทริเซียเองก็รู้ดีไม่ย่อหย่อนไปกว่าใคร แต่ก็ยังตัดสินใจลองทำตัวให้เฉียบขาดขึ้นเล็กน้อย
“หากมีความผิดจริงก็แค่สารภาพออกมา และต่อให้ไม่มีก็ทำให้มีได้มิใช่หรือคะ แต่ในกรณีนี้มันเป็นอดีตไปแล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่ต้องทำให้เป็นเรื่องยาก”
“ฝ่าบาททรงสัญญาแล้วมิใช่หรือเพคะ ว่าจะไม่แตะต้องหม่อมฉัน”
“นั่นเป็นในกรณีที่ท่านไม่มาแตะต้องเราก่อนค่ะ เรามิได้ให้สัญญาว่าจะยอมถูกท่านกระทำเหมือนคนบ้าใบ้ไร้ทางสู้”
“ไม่เคยมีอนุภรรยาคนใดเปลี่ยนแปลงอาณาจักรได้ แต่ก็มีตัวอย่างอนุภรรยาที่ปั่นหัวจักรพรรดิด้วยชายกระโปรงมาแล้วนะเพคะ ฝ่าบาท ไม่คิดว่าตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้นหรือเพคะ”
เมื่อเห็นโรสมอนด์ถามด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจขนาดนั้น แพทริเซียก็ถึงกับพูดไม่ออก จะหน้าด้านไร้ยางอายก็ต้องมีขอบเขตบ้าง
“ช่างมั่นใจเสียจริง โรส เราเกลียดจุดนี้ของท่านมากที่สุด”
แพทริเซียยิ้มมุมปากก่อนจะเดินเข้าไปใกล้โรสมอนด์และกระซิบที่ข้างหู
“เอาเป็นว่าขอบคุณสำหรับของขวัญนะคะ โรสมอนด์ มันทำให้เราตั้งปณิธานได้เรื่องหนึ่ง ความเมตตามีแค่วันนี้ ส่วนครั้งต่อไปเราจะเป็นฝ่ายเล่นงานท่านก่อน”
แพทริเซียจะเล่นงานข้าก่อน น่าสนุก โรสมอนด์ฉีกยิ้มกว้างอย่างไม่เข้ากับสถานการณ์ ก่อนจะพูดกับแพทริเซียด้วยน้ำเสียงคาดหวัง
“ขออนุญาตคาดหวังได้หรือไม่เพคะ ฝ่าบาท”
วิปลาสไปแล้วหรืออย่างไร แพทริเซียตกตะลึงจนรู้สึกเหมือนมีอะไรขัดในลำคอ แม้จะคาดการณ์ไว้แล้ว แต่โรสมอนด์ก็ไม่ใช่คนที่จัดการได้ง่ายๆ จริงๆ อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยตอนนี้ตนก็เหนือกว่า
นั่นเป็นเพียงการกระเสือกกระสนดิ้นรนของคนแพ้ที่ทำให้ตัวเองดูเหมือนเข้มแข็ง เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องกลัว และไม่จำเป็นต้องหดหัว
“เราหวังว่าเรื่องเช่นนั้นจะไม่เกิดขึ้นค่ะ โรสมอนด์ พอดีเราเป็นคนรักสงบ” แพทริเซียพูด
พูดเป็นเล่น โรสมอนด์ยิ้มเยาะแพทริเซียในใจ ถ้ารักสงบจริงคงมอบตำแหน่งนั้นให้ตนและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
เพราะไม่ว่าอย่างไร โรสมอนด์ก็จะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะได้ขึ้นเป็นจักรพรรดินี
ที่โรสมอนด์ต้องเป็นจักรพรรดินีเพราะมันเกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย เหมือนที่แพทริเซียรักษามันไว้เพราะเกี่ยวข้องกับชีวิตโดยตรง เพราะฉะนั้น นางจะยอมแพ้ไม่ได้ นางต้องได้ครอบครองตำแหน่งจักรพรรดินีที่สูงส่งนั้น
“อา เราออกมาข้างนอกนานเกินไปแล้วค่ะ คงต้องขอตัวก่อน เดี๋ยวทุกท่านจะรอนาน”
แพทริเซียยิ้มมุมปากก่อนจะกล่าวคล้ายจะปลอบประโลมโรสมอนด์
“เลิกโกรธ แล้วกลับเข้าไปข้างในเถอะค่ะ เมื่อครู่เห็นรับประทานสเต็กเนื้อวัวไปได้ไม่กี่คำ ประเดี๋ยวจะเย็นชืดเสียหมด”
ป่านนี้ก็คงเย็นชืดแล้วล่ะ แพทริเซียยังคงรอยยิ้มเอาไว้ตอนเดินผ่านโรสมอนด์ไปอย่างสง่างาม และทันทีที่นางเดินไปจนลับสายตา โรสมอนด์ก็กรีดร้องออกมา
“กรี๊ดดดด!”
นางกรีดร้องเพราะเรื่องที่หวังไม่เป็นดังที่ตั้งใจ ทั้งยังระบายความโกรธด้วยการกระทืบเท้าตึงตังราวกับสะกดไฟโทสะนั้นเอาไว้ไม่ได้
“กล้าดีอย่างไร…กล้าดีอย่างไร!”
มาทำเหมือนข้าเป็นโสเภณียังไม่พอ นางเด็กน่าหมั่นไส้นั่นยังมีหน้ามาบอกว่าที่ข้าถูกกระทำวันนี้เป็นเพียงการตักเตือน โรสมอนด์รู้สึกโกรธจนแทบจะทนไม่ได้ที่จักรพรรดินีปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมาล้อเล่นกับตนเช่นนี้
หญิงสาวกัดริมฝีปากแน่นจนลืมความเจ็บปวดบนแก้มที่แดงฉาน เมื่อเห็นดังนั้น คลาราซึ่งเฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ใกล้ๆ ด้วยสีหน้าซีดเผือดก็เข้ามาถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“แผลลึกมากทีเดียว รีบกลับตำหนักเวนกันดีกว่าค่ะ”
เพี้ยะ! สิ่งตอบแทนคำพูดที่แฝงความห่วงใยของคลาราคือการกระทำรุนแรงอันแสนเจ็บปวด คลาราค่อยๆ กุมใบหน้าของตนก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ขออภัยค่ะ บารอเนส ทั้งหมดนี้เพราะข้าดูไม่ดีเอง”
“เพราะเจ้า…”
โรสมอนด์ขู่คำรามเสียงต่ำราวกับว่ายังไม่หายโกรธ ดูเหมือนนางยังไม่อยากเชื่อว่าตนจะมาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
ถ้าพูดให้ถูกคือไม่อยากจะเชื่อว่าแพทริเซียจะย้อนแผนของตนได้ เพราะสำหรับคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานัปการอย่างโรสมอนด์ เรื่องนี้นับเป็นความอัปยศอย่างมาก
“จะเมตตาแค่วันนี้ ส่วนครั้งต่อไปจะเล่นงานข้าก่อนอย่างนั้นรึ เฮอะ! น่าสนุกนี่ ไม้ประดับไร้เดียงสาในห้องอุ่นๆ เช่นนั้น ถึงมีพิษแต่จะร้ายแรงสักแค่ไหนเชียว ทำตัวน่ากลัวเสียด้วย”
โรสมอนด์เดินกลับตำหนักเวนโดยไม่ซ่อนเร้นสายตาที่เย็นชา นางคงไม่สามารถไปคุยเจ๊าะแจ๊ะกับเหล่าสตรีชนชั้นสูงทั้งหลายได้ด้วยอารมณ์เช่นนี้ ที่สำคัญนางคงกลับไปในสภาพนี้ไม่ได้แล้ว หญิงสาวเดินครุ่นคิดหน้าดำคร่ำเครียดหาวิธีแก้แค้นแพทริเซียไปจนถึงตำหนักเวน
***
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง ลูซิโอกำลังวุ่นวายกับการต้อนรับคณะทูตจนไม่มีเวลาลืมหูลืมตา บางครั้งเขาก็นึกกังวลขึ้นมาว่าแพทริเซียจะจัดการทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่ แต่เพียงครู่เดียวเขาก็พับความกังวลนั้นไปด้วยความคิดที่ว่า ‘นางคงหาทางจัดการทุกอย่างได้ดีอยู่แล้ว’
ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร แต่แพทริเซียก็เป็นบุตรีของมาร์ควิส ทั้งยังเป็นจักรพรรดินีของจักรวรรดิ และดัชเชสเอเฟรนีคงไม่อบรมนางอย่างขอไปที เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องเป็นไปด้วยดีเป็นแน่
หลังจากเสร็จสิ้นงานเลี้ยงรับรองและส่งคณะทูตกลับเข้าห้องพักที่เตรียมไว้ ลูซิโอจึงเพิ่งมีเวลาว่าง เขาอาบน้ำลวกๆ ที่ตำหนักกลางก่อนจะมุ่งหน้าไปหาโรสมอนด์ และได้พบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด
“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น”
เขาถามโรสมอนด์เสียงแข็ง โรสมอนด์โผไปให้เขากอดทั้งน้ำตาราวกับว่ารอให้เขาถามเช่นนั้นอยู่ก่อนแล้ว
“ฮือ ฝ่าบาท…”
“ข้าถามว่าเกิดอะไรขึ้น มีใครทำร้ายเจ้าหรืออย่างไร”
“ฮือ…”
เมื่อนางไม่ตอบอะไรและเอาแต่ร้องไห้ แน่นอนว่าฝ่ายที่อึดอัดใจคือลูซิโอ
“บอกมาสิ โรส ใครทำกับเจ้าเช่นนี้ จักรพรรดินีหรือ” เขาถามคาดคั้นให้รีบนางตอบ
“….”
เห็นหญิงสาวเอาแต่ส่ายหน้าไม่ยอมพูดอะไร เห็นทีเขาจะเดาถูก ทันใดนั้นความโกรธมากมายก็พวยพุ่งประสมกับความเหนื่อยล้า ลูซิโออาจหลับหูหลับตาเรื่องอื่นได้ แต่เรื่องนี้เท่านั้น เรื่องแตะเนื้อต้องตัวโรสมอนด์เท่านั้นที่เขาจะไม่ทน
การแตะต้องนางก็เหมือนกับการแตะต้องตัวเขา ลูซิโอข่มความโกรธพลางถามโรสมอนด์อย่างสุขุม
“เหตุใดจักรพรรดินีถึงลงไม้ลงมือกับเจ้า มีเรื่องอะไรกันหรือ”
“….”
โรสมอนด์ปิดปากเงียบ ขืนบอกเหตุผลไป ต่อให้ลูซิโอรักและหวงแหนตนเพียงใดก็คงยากที่จะให้อภัย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้คือการไม่พูด แน่นอนว่าลูซิโอที่เห็นโรสมอนด์เอาแต่ปิดปากเงียบก็รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ในที่สุดเขาต้องเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน
“เจ้าคงไม่อยากให้ข้าไปถามจักรพรรดินีเองใช่ไหม โรส รีบพูดมา”
“หม่อมฉัน…พูดไม่ได้เพคะ”
โรสมอนด์เล่นละครราวกับเจ็บช้ำน้ำใจมากมาย นางส่งสัญญาณให้ขนาดนี้แล้ว ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของลูซิโอ หาใช่หน้าที่ของนางไม่
ภาพที่โรสมอนด์เอาแต่ปิดปากเงียบ ก้มหน้ามองพื้นราวกับเด็กที่กำลังสลดกระตุ้นต่อมบางอย่างของลูซิโอ เขามองโรสมอนด์ด้วยสีหน้าลังเลชั่วครู่ ก่อนจะเริ่มถามเหตุผลอย่างอ่อนโยน
“บอกมาเถอะ โรส ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก”
“บอกไม่ได้เพคะ…”
บอกไม่ได้หรอก ขืนบอกไปก็เท่ากับเป็นการประจานตัวเองว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะตัวนาง เพราะฉะนั้นนางจึงตั้งใจจะไม่พูดจนถึงที่สุด โรสมอนด์พยายามหลบตาอีกฝ่าย ในที่สุดทางเลือกของลูซิโอก็เหลือเพียงทางเดียว เขาผละตัวออกจากโรสมอนด์ หญิงสาวจึงเรียกเขาด้วยความสงสัย
“ฝ่าบาท”
“ถ้าเจ้าไม่พูด ข้าคงต้องสืบเอง”
“…”
“คลารา ดูแลเจ้านายของเจ้าให้ดี แผลลึกทีเดียว”
“เพคะ ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย”
คลาราตอบเบาๆ ลูซิโอเหลือบมองบริเวณแก้มของโรสมอนด์ครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังและเดินออกจากห้องไป เมื่อเหลือโรสมอนด์อยู่คนเดียว นางก็เผลอถอนหายใจออกมาด้วยสีหน้ากระวนกระวาย
‘นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น’
ครั้นได้ชิมสเต็ก สีหน้าของโรสมอนด์ก็ตึงขึ้นในทันที นางลองเคี้ยวสเต็กดูอีกสองสามคำเผื่อว่าลิ้นของตนจะรับรสชาติผิดไป ทว่านั่นก็ไม่ได้ทำให้รสชาติของเนื้อหมูออกมาจากสเต็กเนื้อวัวได้ โรสมอนด์ทำสีหน้าคล้ายไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะนำสเต็กเข้าปากอีกชิ้น แต่มันก็ยังคงเป็นรสชาติของเนื้อวัว
หญิงสาวประเมินสถานการณ์ด้วยสีหน้าตื่นตะลึง ไม่สิ จานของนางอาจเป็นเนื้อวัวเพียงจานเดียวก็เป็นได้ หรือไม่สเต็กที่นำออกมาเสิร์ฟอาจมีทั้งสเต็กหมูและสเต็กวัวปะปนกันไปครึ่งต่อครึ่ง แต่สีหน้าของภริยาขุนนางทั้งหลายกลับดูพออกพอใจมากเสียจนมิอาจทำให้ข้อสันนิษฐานนั้นเป็นจริงได้
“ตายจริง ฝ่าบาท รสชาติของสเต็กยอดเยี่ยมอย่างที่พระองค์ตรัสไว้เลยเพคะ พวกหม่อมฉันไม่เคยรู้เลยว่าวัวของจักรวรรดิมาวินอสจะอร่อยถึงเพียงนี้”
“ดีจริงๆ ที่อาหารถูกปากทุกท่าน อาหารถูกปากท่านไหมคะ ดัชเชสเวริกา”
“เพคะ ฝ่าบาท เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงใส่พระทัยเพคะ หม่อมฉันไม่ได้รับประทานสเต็กรสชาติดีเช่นนี้มานานมากแล้ว”
และนั่นหมายความว่าตอนนี้ทุกคนในที่นี้กำลังรับประทานสเต็กเนื้อวัวกันอยู่ หาใช่สเต็กเนื้อหมูที่โรสมอนด์สับเปลี่ยนเอาไว้ โรสมอนด์ตกใจจนหน้าขาวซีดที่เรื่องดำเนินไปคนละทิศละทางกับที่ตนคาดไว้ แพทริเซียเห็นดังนั้นก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัย
“บารอเนสเฟ็ลปส์ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ สีหน้าไม่ดีเลย”
“อ้อ… รู้สึกไม่สบายท้องเล็กน้อยเพคะ ขอประทานอภัยฝ่าบาท”
ได้ยินโรสมอนด์ฝืนใจตอบกล้อมแกล้ม แพทริเซียก็เอ่ยปากเสนอแนะด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจ
“ตายจริง จังหวะไม่ดีเลย ลองออกไปรับลมข้างนอกดีหรือไม่ กลับมาแล้วน่าจะรู้สึกดีขึ้น”
“…เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวสักครู่เพคะ”
โรสมอนด์พยายามเก็บสีหน้าไม่ให้ใครรู้ว่าเกิดเรื่องผิดแผน และค่อยๆ ลุกออกจากที่นั่งไป แพทริเซียมองโรสมอนด์ด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนจะกลับมาสนใจการรับประทานอาหารของบรรดาภริยาขุนนาง
อีกด้านหนึ่ง โรสมอนด์ที่ออกมาข้างนอกกระทืบเท้าตึงตังเพราะความตกตะลึงที่เรื่องไม่เป็นไปตามแผน
“ทำไมกัน ทำไมกัน”
สีหน้าของโรสมอนด์เต็มไปด้วยโทสะขณะถามเอาความจากคลาราที่ตามนางออกมา
“นี่มันอะไรกัน เจ้าทำงานประสาอะไร”
“บะ…บารอเนส ข้าก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ข้าทำทุกอย่างตามที่ท่านสั่งไว้เรียบร้อยแล้ว ข้าเห็นกับตาของตัวเองเลยว่าเนื้อวัวถูกเปลี่ยนเป็นเนื้อหมูแล้ว”
คลาราเจ็บใจอย่างที่สุด ตนตรวจสอบความเรียบร้อยของงานที่โรสมอนด์สั่งจนถึงขั้นตอนสุดท้าย ไม่รู้ว่าทำไมเรื่องจึงเป็นเช่นนี้ ตนดูแล้วว่าเนื้อวัวในห้องเครื่องของตำหนักโซโนถูกสับเปลี่ยนเป็นเนื้อหมู แล้วทำไม…
คลารายืนยันความบริสุทธิ์ของตนพลางทำหน้าน่าสงสาร
“ข้าน้อยใจนัก ท่านก็รู้ว่าข้ามิใช่คนที่จะทำงานที่ท่านสั่งอย่างขอไปที ข้าทำแล้ว… ข้าทำแล้วจริงๆ…”
“แล้วทำไมจึงผิดแผนไปเช่นนี้ หา? เจ้าจะบอกว่าในเวลาแค่นั้นมีคนมาเปลี่ยนเนื้อหมูเป็นเนื้อวัวอีกครั้งกระนั้นหรือ”
“เป็นเช่นนั้น”
ทันทีที่ได้ยินเสียงของบุคคลที่สาม ทั้งโรสมอนด์และคลาราก็สะดุ้งโหยงและหุบปากฉับ ครั้นหันไปมองที่ต้นเสียงก็พบว่าแพทริเซียกำลังเดินเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย แม้แพทริเซียจะปรากฏตัวขึ้น แต่โรสมอนด์ก็ยืดอก ไม่มีท่าทีสะทกสะท้านสักนิด
ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ก็คงไม่มีทางเลือก
“เสด็จออกมาด้วยเหตุอันใดหรือเพคะ ฝ่าบาท ไม่ต้องรับรองพระราชอาคันตุกะแล้วหรือ”
“เราขอตัวออกมาทำธุระสักครู่ค่ะ คงใช้เวลาไม่นาน”
“เช่นนั้นก็เชิญเสด็จไปทำธุระต่อเถอะเพคะ”
โรสมอนด์ว่าพลางยิ้มมุมปาก แพทริเซียเห็นดังนั้นก็ยิ้มออกมาเช่นกัน รอยยิ้มที่ยากจะหยั่งถึงนั้นจู่ๆ ก็แปรเปลี่ยนเป็นความบ้าคลั่งในทันใด
เพี้ยะ!
เสียงหวดอย่างแรงแหวกผ่านความมืดในคืนจันทร์เพ็ญ แพทริเซียมองโรสมอนด์ที่ยืนเอามือกุมแก้มฝั่งที่ถูกตบด้วยสีหน้าคล้ายไม่อยากจะเชื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แพทริเซียมีสีหน้าเฉยเมยผิดกับโรสมอนด์ที่มองมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“เจ้า เจ้า…!”
เพี้ยะ!
แพทริเซียตบหน้าอีกฝ่ายอีกครั้งอย่างไม่ลังเล
“โรสมอนด์ ท่านเสียสติไปแล้วหรือ ดูท่าท่านคงจะได้โรคทางจิตมาเป็นค่าบริการทางเพศในการทำหน้าที่อนุภรรยากระมัง” แพทริเซียพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“อะไรนะ? เจ้านี่มัน…”
เพี้ยะ! แพทริเซียลงทัณฑ์เป็นครั้งที่สาม โรสมอนด์กัดฟันกรอดพลางเอามือกุมแก้มที่แดงฉาน นางเก่งมากที่ถูกตบถึงสามครั้งแต่กลับไม่ร้องสักแอะ
แพทริเซียกดเสียงต่ำและถามต่อ “โรสมอนด์ ท่านเสียสติไปแล้วจริงๆ หรือคะ ท่านบอกเองว่าเป็นบุตรีจากตระกูลต่ำต้อย เราเข้าใจเรื่องที่ท่านอาจไม่ได้รับการอบรมที่ดีจากที่บ้าน แต่อย่างน้อยท่านก็ควรจะรักษามารยาทที่มีต่อจักรพรรดิและจักรพรรดินีมิใช่หรือ เรื่องเช่นนั้น แม้แต่เด็กสิบขวบยังรู้ความเลย”
“เจ้าเป็นใครจึงกล้ามาพูดว่าตระกูลของข้าเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร!”
เพี้ยะ! ในที่สุดเลือดก็ซึมออกมาจากแก้มของโรสมอนด์ แพทริเซียมองเลือดที่ติดอยู่บนฝ่ามือขาวสะอาดชั่วครู่ ก่อนจะเช็ดลงบนชุดเดรสสีแดงอย่างไม่ไยดี
อันที่จริงนางไม่ได้สวมชุดเดรสสีแดงมาเพราะรู้ว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ แต่ชุดเดรสตัวนี้กลับเหมาะกับสถานการณ์ในวันนี้เป็นที่สุด แพทริเซียลูบไล้มือของตนพลางกล่าว
“นี่ยังไม่รู้อีกหรือว่าเราเป็นใคร ท่านนี่อาการหนักทีเดียว โรสมอนด์ เราคงต้องอบรมท่านเสียหน่อย”
“…”
“เราจะพูดให้ฟังเพียงครั้งนี้ครั้งเดียว จงตั้งใจฟังให้ดี เราคือแพทริเซีย ไลลา เลอ โกรเชสเตอร์ จักรพรรดินีแห่งจักรวรรดิมาวินอส อัครมเหสีของจักรพรรดิที่ท่านบอกว่ารัก และจะเป็นพระพันปีหลวงของจักรวรรดิ”
“เฮอะ พระพันปีหลวงอย่างนั้นหรือ… ไม่ตลก…”
“ส่วนท่าน…”
“…”
“โรสมอนด์ แมรี ลา เฟ็ลปส์ ท่านเป็นเพียงบารอเนสของจักรวรรดินี้ และเป็นอนุภรรยาของพระจักรพรรดิซึ่งเป็นสามีของเรา ในขณะเดียวกันท่านก็เป็นข้าราชบริพาร เป็นข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของพระจักรพรรดิและตัวเรา ทีนี้ท่านรู้หรือยัง”
“ไม่ทราบเพคะ ฝ่าบาท”
ครั้นได้ยินดังนั้น แพทริเซียก็ขยับมือ แต่คราวนี้โรสมอนด์ไม่ยอมถูกกระทำอยู่เฉยๆ มือหนึ่งกุมแก้มที่ยังคงมีเลือดซึม ส่วนอีกมือคว้าข้อมือเรียวของแพทริเซีย
“ไม่ทราบเพคะ ฝ่าบาท ทั้งเรื่องที่หม่อมฉันเป็นข้ารับใช้ของพระองค์ ทั้งเรื่องที่พระองค์จะเป็นพระพันปีหลวงของจักรวรรดินี้” โรสมอนด์ว่าพลางยิ้มมุมปาก
“ไม่เป็นไรค่ะ โรสมอนด์ เรารู้ว่าคนหัวไม่ดีอย่างท่านคงจะไม่เข้าใจ แต่ท่านไม่ต้องกังวล อยู่ไปเรื่อยๆ ท่านก็จะค่อยๆ เข้าใจเรื่องพวกนั้นเอง”
แพทริเซียใช้อีกมือแกะมือของโรสมอนด์ออก คราวนี้ไม่ได้ตบแต่กลับลูบใบหน้าข้างที่เป็นแผลของโรสมอนด์ แน่นอนว่าโรสมอนด์ทำหน้าเอาเรื่องและปัดมือของนางออก แต่แพทริเซียก็ทำหน้าเหมือนไม่ใส่ใจ
“เราคงไม่ต้องพูดอะไรอีก เพราะเรื่องพวกนั้นท่านจะเข้าใจในที่สุด แม้ท่านไม่อยากเข้าใจก็ตาม”
“ทรงมั่นพระทัยเหลือเกินนะเพคะ ฝ่าบาท ไม่รู้ทรงคิดเช่นไรจึงมั่นพระทัยได้ถึงเพียงนี้ คนที่ไม่ได้รับความรักจากพระจักรพรรดิก็เป็นได้เพียงจักรพรรดินีในนาม จะไปมีอำนาจอะไร”
แพทริเซียยิ้มและพูดว่านั่นก็มิผิด แต่โรสมอนด์รับรู้ได้ถึงความโกรธที่ซ่อนอยู่ในรอยยิ้มนั้นจึงยิ้มกว้างกว่าเดิม
เรื่องนั้นแพทริเซียซึ่งเป็นจักรพรรดินีคงจะปฏิเสธไม่ได้ แต่รอยยิ้มของโรสมอนด์ก็คงอยู่ได้ไม่นานก่อนจะหุบหายไปอีกครา
“จักรพรรดินีมิใช่อนุภรรยาค่ะ โรสมอนด์ คราวก่อนเราพูดไปแล้วว่าแม้เราจะไม่ต้องเปลืองตัวเช่นท่าน เราก็สามารถสร้างอำนาจได้ หากแม้นอำนาจทั้งหมดตกอยู่กับนางบำเรอคนโปรดของพระจักรพรรดิ จักรวรรดินี้คงสิ้นชื่อไปนานแล้ว”
“…”
“ท่านเองก็รู้…มิใช่หรือคะ?”
แม้จะน่าเจ็บใจแต่นั่นคือความจริง บ้านนี้เมืองนี้ไม่ได้หละหลวมถึงเพียงนั้น อย่างน้อยจักรวรรดิมาวินอสก็คงสภาพการเป็นจักรวรรดิมาอย่างยาวนาน และสิ่งที่รักษาราชวงศ์ไว้คือการที่หญิงเจ้ามารยาเช่นนางไม่สามารถเปลี่ยนแปลงประเทศได้
สิ่งที่อนุภรรยาสามารถแทรกแซงได้มีจำกัด อาณาจักรมาวินอสให้อำนาจแก่จักรพรรดินีทัดเทียมกับจักรพรรดิเพื่อป้องกันจักรพรรดิประพฤติมิชอบ ผลลัพธ์จึงออกมาเป็นดังเช่นทุกวันนี้ แม้จะเจ็บใจ แต่โรสมอนด์ก็รู้ความจริงข้อนั้นดีกว่าใคร และด้วยเหตุนั้นนางจึงทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้เป็นจักรพรรดินี
จุดจบของอนุภรรยาที่มิอาจเป็นจักรพรรดินีได้ล้วนน่าสังเวช ขณะที่จักรพรรดิยังมีพระชนม์ชีพอาจไม่เป็นเช่นนั้น แต่เมื่อจักรพรรดิเสด็จสวรรคต และจักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ หากในขณะนั้นจักรพรรดินียังมีพระชนม์ชีพอยู่โดยทั่วไปแล้วคงไม่มีภรรยาหลวงที่ไหนเอ็นดูอนุภรรยาที่ยึดครองความรักของสามีที่ตายไปเอาไว้แต่เพียงผู้เดียวเป็นแน่
“ด้วยเหตุนั้นท่านจึงก่อเรื่องในวันนี้อย่างนั้นหรือ ช่างน่ารังเกียจ ไร้มารยาท ต่ำช้า…”
แพทริเซียบ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงเคืองขุ่น นางรู้เรื่องนี้ตั้งแต่สี่วันก่อนที่จะมีงานเลี้ยง นางไม่คิดเลยว่าการสั่งการเผื่อเอาไว้ว่าให้คอยสอดส่องความเคลื่อนไหวจากตำหนักเวนจะส่งผลดีกับนางเช่นนี้
แพทริเซียล่วงรู้แผนชั่วของโรสมอนด์ จึงรีบสั่งให้ราฟาเอลาไปแจ้งหัวหน้าห้องเครื่องว่าให้นำเอาเนื้อวัวที่จะใช้ในวันงานแยกไปเก็บไว้ในที่ลับที่ไม่มีใครล่วงรู้
ตอนที่รู้แผนการของโรสมอนด์ แพทริเซียตกใจมากด้วยไม่คาดคิดมาก่อน แน่นอนว่าแพทริเซียคิดไว้แล้วว่าวันใดวันหนึ่งอีกฝ่ายคงวางแผนที่จะลากตนลงมาจากตำแหน่ง แต่ไม่คิดเลยว่าจะเกิดขึ้นเร็วและเป็นแผนการที่อุกอาจเช่นนี้
ที่ตอนนั้นแพทริเซียยังนิ่งเฉยอยู่ได้เพราะไม่คิดว่าแผนการของโรสมอนด์จะเริ่มขึ้นเร็วเช่นนี้
เวลานี้แพทริเซียต้องโทษที่ตนปล่อยปละละเลย พลาดไปเพียงนิดคงเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเป็นแน่ และนี่ไม่ใช่แค่ปัญหาของนางเสียด้วย ดีไม่ดีเรื่องอาจลุกลามจนกระทบความสัมพันธ์ระหว่างจักรวรรดิ
และหากนางไม่ล่วงรู้ถึงแผนการนี้ เรื่องที่น่าสยดสยองกว่าที่นางเคยคิดคงจะเกิดขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างสองจักรวรรดิอาจระส่ำระสาย แค่คิดถึงความรุนแรงของปัญหานี้ขึ้นมาอีกครั้ง แพทริเซียก็รู้สึกเสียวสันหลังแล้ว
ความโกรธที่แพทริเซียมีต่อโรสมอนด์หยั่งรากลึกพอๆ กับความตกใจที่นางได้รับ หญิงสาวพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนไม่รู้ว่าจะราบเรียบไปกว่านี้ได้อย่างไร
“บรรดาอนุภรรยาของจักรวรรดินี้คงไม่เลือกวิธีการเพื่อให้ได้รับความรักจากฝ่าบาท แต่อย่างน้อยพวกนางก็ไม่ได้กระทำสิ่งที่เป็นภัยต่อบ้านเมืองเช่นท่าน โรสมอนด์คะ ท่านคิดอะไรอยู่จึงได้กระทำการเช่นนี้ นี่อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองจักรวรรดิได้นะคะ”
“ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันไม่ทราบจริงๆ ว่าพระองค์กำลังตรัสถึงเรื่องอันใด”
จู่ๆ โรสมอนด์ก็เปลี่ยนท่าที นางคำนวนแล้วว่าตอนนี้สถานการณ์ไม่ดีต่อตนสักเท่าไร ครั้นเห็นโรสมอนด์เปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว แพทริเซียก็แค่นหัวเราะและพูดกับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเย็นชา
“อย่ามาทำไขสือให้เรื่องพ้นตัวไปจะดีกว่าค่ะ โรสมอนด์ อยากลากเราลงจากตำแหน่งจนถึงขนาดต้องวางแผนเกินตัวเช่นนี้เลยหรือคะ ท่านช่างน่ากลัวนัก”
“ถ้ารู้แล้วก็ทรงยกตำแหน่งให้หม่อมฉันเสียสิเพคะ หากเป็นเช่นนั้นแล้ว หม่อมฉันคงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปข้องแวะกับพระองค์อีก”
“เห็นทีจะไม่ได้ค่ะ ก็อย่างที่รู้ การถูกถอดจากตำแหน่งในประเทศนี้หมายถึงความตาย”
ในจักรวรรดินี้ไม่มีคำยกย่องสำหรับจักรพรรดินีที่ตกบัลลังก์ การลงจากตำแหน่งคือความตาย นั่นหมายความว่าหากไม่ได้ทำผิดจนต้องโทษถึงแก่ชีวิต การลงจากตำแหน่งก็มิใช่เรื่องง่าย
ด้วยเหตุนี้แพทริเซียจึงไม่สามารถทำสิ่งที่ดีกับทั้งสองฝ่ายอย่างที่โรสมอนด์พูดได้ จะว่าไปมันก็เป็นเรื่องที่น่าเสียใจอยู่เหมือนกัน ถ้าสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปในฐานะอดีตจักรพรรดินีได้ การยอมรับข้อเสนอของโรสมอนด์อาจเป็นทางเลือกที่ไม่เลวนัก
“เพราะฉะนั้น ถอดใจเสียเถอะค่ะ โรสมอนด์ หากท่านยอม ตอนเปลี่ยนรัชกาล เราจะไม่ทำให้ท่านต้องพบจุดจบอันแสนน่ากลัว นี่เป็นความเมตตาอย่างที่สุดที่เราจะทำให้ท่าน…”
“หุบปากของเจ้าเสียเถอะ แพทริเซีย”
เย็นวันงานเลี้ยงรับรอง แพทริเซียสวมชุดเดรสสีแดงซึ่งเป็นชุดที่วิจิตรที่สุดที่นางมี ชุดเดรสสีแดงปักลวดลายด้วยไหมสีทองตัวนี้นางไม่ค่อยหยิบมาสวมใส่บ่อยนัก เพราะมันหรูหราเกินไป แต่นางจำเป็นต้องหยิบมาใช้ในวันสำคัญเช่นวันนี้
การเลี้ยงรับรองคณะทูตเป็นหน้าที่ขององค์จักรพรรดิ ส่วนบรรดาภริยาของทูตเหล่านั้นนางจะต้องเป็นคนต้อนรับขับสู้ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความสัมพันธ์ระหว่างจักรวรรดิ เพราะฉะนั้นจะมีอะไรผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด แพทริเซียตรวจสอบความเรียบร้อยของตนหน้ากระจก จากนั้นเดินออกจากห้องไปด้วยสีหน้าจริงจังเพื่อไปตรวจสอบสิ่งที่จะใช้ทั้งหมดอีกครั้ง
“อาหารเตรียมเสร็จหมดแล้วหรือยังคะ”
“เพคะ ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย หม่อมฉันตรวจสอบทั้งอาหารและสิ่งปลีกย่อยอื่นๆ ทั้งหมดแล้ว”
“ขอบคุณค่ะ มีร์ยา เหนื่อยแย่เลย”
แพทริเซียยิ้มกว้างก่อนจะยกมือขึ้นจัดมงกุฎที่สวมอยู่บนศีรษะ ในตอนนั้นเองข้ารับใช้คนหนึ่งก็เข้ามาในห้อง
“ฝ่าบาท คณะทูตมาถึงแล้ว เชิญเสด็จเพคะ” นางบอก
“ค่ะ”
แพทริเซียตอบเสียงเรียบก่อนจะเดินไปทางประตูเพื่อออกจากห้องและเดินตรงไปยังตำหนักโซโนซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงรับรอง ระหว่างทางก็เอ่ยถามมีร์ยาลอยๆ
“บารอเนสตอบรับคำเชิญไหมคะ”
แม้แพทริเซียจะไม่เอ่ยนามสกุลแต่มีร์ยาก็รับรู้ทันทีว่าถามถึงใคร เพราะบารอเนสที่ได้รับเชิญมางานเลี้ยงรับรองวันนี้มีเพียงคนเดียว
“ตอบรับตั้งแต่เมื่อสี่วันก่อนเพคะ”
ได้ยินดังนั้น แพทริเซียก็พูดพึมพำ ‘คิดไว้แล้วเชียว…’ ทั้งสองเดินไปคุยไปครู่หนึ่งก็ถึงตำหนักโซโน แพทริเซียจัดแจงเครื่องแต่งกายอีกครั้งก่อนจะเข้าไปข้างใน บรรดาภริยาขุนนางที่นางเชิญมาทั้งหมดมาถึงและนั่งคอยอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นแพทริเซีย ทุกคนก็ลุกขึ้น
“ถวายบังคมพระจักรพรรดินี จันทราผู้สูงศักดิ์แห่งจักรวรรดิ ขอพระมารดาแห่งปวงข้าจงทรงพระเจริญ”
“ทุกท่านเชิญนั่งค่ะ”
ครั้นพูดจบ แพทริเซียก็มองดูรอบๆ สีหน้าของนางเหมือนกำลังมองหาใครอยู่ มาร์เชอเนสบริงสโตนผู้ปราดเปรื่องตอบในสิ่งที่แพทริเซียอยากฟัง
“ฝ่าบาท บารอเนสเฟ็ลปส์แจ้งว่าจะมาสายเล็กน้อยเพคะ”
“อย่างนั้นหรือคะ”
แพทริเซียพยักหน้าก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เมื่อนางนั่งลง เหล่าสตรีชนชั้นสูงก็ชื่นชมนางไม่หยุด แทบทุกคนมาจากตระกูลที่ส่งบุตรีเข้ามาเป็นควิเนสเหมือนกับแพทริเซีย พวกนางจึงมีความรู้สึกที่เป็นไปในทางบวกกับแพทริเซีย
“หม่อมฉันบังอาจคิดไปว่าจะทรงลำบากเพราะทำงานเช่นนี้เป็นครั้งแรกเสียอีก แต่หม่อมฉันคิดผิดไป ฝ่าบาททรงตระเตรียมงานได้เยี่ยมยอดมากเพคะ”
“ชมเกินไปแล้วค่ะ ดัชเชสวีเธอร์ฟอร์ด โชคดีจริงๆ ที่ท่านถูกใจ”
“ว่าแต่ฝ่าบาท เหตุใดต้องเชิญบารอเนสมาด้วยหรือเพคะ”
มาร์เชอเนสบริงสโตนที่นั่งเงียบมาจนถึงเมื่อครู่จู่ๆ ก็ถามขึ้นมา น้ำเสียงของนางฟังแล้วรู้สึกได้ถึงความเฉียบคมอย่างรุนแรง สมกับเป็นมารดาของราฟาเอลา แพทริเซียครุ่นคิดสักครู่ก่อนจะถามกลับอย่างใจเย็น
“ใช้คำว่าต้องเลยหรือคะ มาร์เชอเนส”
“คนที่มารวมกันอยู่ที่นี่ล้วนแล้วแต่เป็นเคาน์เตส มาร์เชอเนส ไม่ก็ดัชเชสมิใช่หรือเพคะ หม่อมฉันสงสัยจริงๆ ว่าเหตุผลกลใดทำให้พระองค์เชิญสตรีที่เป็นแค่บารอเนส ทั้งยังเป็นอนุภรรยาของพระจักรพรรดิมาร่วมงาน”
“หากนางโกรธแค้นเรื่องนี้แล้วนำความไปกราบทูลฝ่าบาทลับหลังจะทำอย่างไรล่ะคะ เราเพียงแต่เชิญมาเพราะติดเรื่องนั้น”
แน่นอนว่าเหตุผลจริงๆ ไม่ใช่เรื่องนั้น ใครได้เห็นรอยยิ้มบางๆ ของแพทริเซียในตอนนี้ย่อมต้องมองว่านางไม่รู้สึกอะไร ทุกคนเห็นท่าทางของจักรพรรดินีแล้วก็รู้สึกประหลาดใจ แต่มิได้โต้เถียงออกไป
หากจักรพรรดินีประสงค์เช่นนั้นก็คงต้องว่าตามนั้น อีกทั้งเหตุผลที่กล่าวมาก็ใช่ว่าจะไม่มีน้ำหนักเอาเสียเลย
“ขอประทานอภัยที่มาสายเพคะ ฝ่าบาท”
ในตอนนั้นใครบางคนก็ปรากฏตัวพร้อมกับน้ำเสียงสดใส แต่กลับเป็นการกวนบรรยากาศเรียบๆ ให้ขุ่น ถึงแม้โรสมอนด์จะมาเพราะได้รับเชิญจากแพทริเซีย แต่สำหรับทุกคนในที่นี้ ตัวนางก็ไม่ต่างจากแขกไม่ได้รับเชิญ ดูเหมือนจะมีเพียงแพทริเซียที่ไม่คิดเช่นนั้น นางยิ้มสดใสและต้อนรับโรสมอนด์
“เชิญค่ะ บารอเนส มาสายนะคะ” แพทริเซียเหลือบมองรูปลักษณ์ของโรสมอนด์ทีหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ท่าทางจะใช้เวลาแต่งตัวนาน งดงามทีเดียว”
“ขอบพระทัยสำหรับคำชมเชยเพคะ”
แม้ว่าทั้งคนพูดและคนฟังจะไม่ถือว่านั่นเป็นคำชมก็ตาม แต่ทั้งคู่ก็ทำเหมือนกับว่ามันเป็น แพทริเซียยังคงรอยยิ้มไว้พลางบอกให้โรสมอนด์นั่ง
“เชิญนั่งค่ะ ประเดี๋ยวภริยาคณะทูตน่าจะมาถึงแล้ว”
“ขอบพระทัยที่เชิญหม่อมฉันมาร่วมงานเพคะ ฝ่าบาท อันที่จริงหม่อมฉันก็ลังเลอยู่ว่าควรจะมาหรือไม่ เพราะมีแต่คนที่ศักดิ์สูงกว่าหม่อมฉันมารวมตัวกัน แต่ทรงเชิญหม่อมฉันมาด้วยพระองค์เองเช่นนี้ หม่อมฉันซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงเพคะ”
“ไม่หรอกค่ะ บารอเนส เราต่างหากที่ต้องขอบคุณ”
สีหน้าของมาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์เต็มไปด้วยความไม่สบายใจขณะมองแพทริเซียตอบรับด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
เท่าที่ได้ยินมา บรรยากาศตอนที่ทั้งสองเจอกันครั้งสุดท้ายไม่ใช่แบบนี้ นางรู้สึกแปลกใจที่บุตรีดูเปลี่ยนไปมาก
แม้ภายนอกดูเหมือนไม่มีปัญหาอะไร แต่นั่นก็แค่ภายนอกเท่านั้น
“ว่าแต่วันนี้ฝ่าบาทดูพระอารมณ์ดีนะเพคะ หม่อมฉันได้ยินมาว่าปกติแล้วจะไม่ทรงฉลองพระองค์ด้วยชุดเดรสสีแดง แต่วันนี้ทรงแต่งมาเป็นพิเศษเลยทีเดียว”
แพทริเซียยิ้มกว้างเพราะคำชมของเคาน์เตสอาร์เซลโด
“สายตาเฉียบแหลมมากเลยค่ะ เคาน์เตส วันนี้เราอารมณ์ดีเล็กน้อยอย่างที่ท่านกล่าวจริงๆ”
“อุ๊ย มีอะไรพิเศษหรือเปล่าเพคะ ไม่น่าจะเป็นเพราะงานวันนี้อย่างเดียวกระมัง”
“เป็นเช่นนั้นค่ะ สำหรับเราแล้ว งานวันนี้ทำให้เราดีใจมาก แต่ก็ไม่ใช่เพียงเท่านั้น”
แพทริเซียยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะลูบๆ คลำๆ แก้วน้ำที่ตั้งอยู่ตรงหน้า
“เมื่อเร็วๆ นี้เราได้รับของขวัญมาชิ้นหนึ่ง เราจึงอารมณ์ดีขึ้นมาก”
คำว่า ‘ของขวัญ’ นั้นทำให้มาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์ถามออกมาด้วยน้ำเสียงเคลือบแคลง
“ของขวัญหรือเพคะ หม่อมฉันสงสัยจริงๆ ว่าของขวัญอะไรกันที่ทำให้ฝ่าบาททรงโสมนัส[1]ได้ถึงเพียงนี้”
“เป็นของดีทีเดียวค่ะ น่าจะเป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่เราได้รับตั้งแต่เข้าวังมาเลย”
“ชุดเดรสหรือเพคะ ฝ่าบาท”
แพทริเซียส่ายหน้าให้กับคำถามของดัชเชสวาเซียร์ น่าเสียดายที่ไม่ใช่
“มิใช่ค่ะ ดัชเชส มิใช่ของเช่นนั้นหรอกค่ะ”
“แล้วมันคืออะไรหรือเพคะ”
“เป็นของขวัญที่ทำให้ร่างกายและจิตใจของเราเข้มแข็งขึ้นกว่าเดิมค่ะ สิ่งนั้นอาจทำให้เราแข็งแกร่งได้ยิ่งขึ้น เราจึงอารมณ์ดี”
“สงสัยเหลือเกินเพคะฝ่าบาท ไม่ทราบว่าจะทรงให้พวกหม่อมฉันดูหน่อยได้หรือไม่เพคะ”
“ได้สิคะ ดัชเชสวีเธอร์ฟอร์ด ทว่าน่าเสียดายที่คงนำมาให้ดูในสถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้ ไว้เราค่อยนำมาให้ทุกท่านดูทีหลังดีหรือไม่”
ดัชเชสวีเธอร์ฟอร์ดพยักหน้าเป็นเชิงว่าได้แน่นอน แพทริเซียยิ้มออกมาอีกครั้ง ตอนนั้นเองโรสมอนด์ที่นั่งเงียบมาครู่หนึ่งก็พูดแทรกขึ้นมา
“หม่อมฉันก็อยากถวายของขวัญให้ฝ่าบาทเช่นกัน จะทรงรังเกียจไหมเพคะ”
ครั้นได้ยินดังนั้น แพทริเซียก็ถามกลับด้วยสายตาแสดงความสนใจ คราวนี้จะใช้คำใดมาพูดแทงใจข้าอีกล่ะ ใจหนึ่งนางรู้สึกไม่สบายใจ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากรู้อยากเห็น
“จู่ๆ จะมามอบของขวัญอะไรให้เรากัน มีเหตุผลอะไรพิเศษหรือเปล่าคะ บารอเนส”
“จะว่าพิเศษก็พิเศษเพคะ หม่อมฉันได้ยินมาว่าฝ่าบาทก็มีส่วนช่วยให้หม่อมฉันได้รับการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์” โรสมอนด์แสร้งยิ้มใสซื่อก่อนจะพูดกับแพทริเซีย “หากองค์จักรพรรดินีไม่ทรงให้ความช่วยเหลือ หม่อมฉันก็คงไม่ได้มานั่งอยู่ที่นี่ในวันนี้ บุตรีจากตระกูลต่ำศักดิ์เช่นหม่อมฉันหรือจะกล้ามานั่งเคียงข้างพระจักรพรรดินี ฉะนั้นตั้งแต่หม่อมฉันได้ย้ายเข้าไปอยู่ในตำหนักเวนก็ไม่เคยลืมพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์เลยสักครั้ง”
ฟังเผินๆ คล้ายว่าเป็นคำพูดที่ไม่มีปัญหาอะไร แต่นัยที่ซ่อนอยู่ช่วงกลางๆ นั้นทำให้แพทริเซียขุ่นข้องใจ แต่นางก็ยิ้มอย่างสุภาพ หญิงสาวสงบสติอารมณ์ก่อนจะตอบออกไปราวกับไม่รู้สึกอะไร
“จะมาขอบคุณอะไรกับเรื่องเช่นนั้นกันคะ บารอเนส สำหรับเราแล้วเรื่องนั้นมิใช่เรื่องใหญ่ และหาใช่เรื่องยากลำบากอันใด ฟังว่าท่านถวายการปรนนิบัติพระจักรพรรดิขณะที่ยังไม่มีเรามาถึงหนึ่งปีเต็ม การตอบแทนเช่นนั้นนับเป็นเรื่องที่สมควรแล้วค่ะ”
“หม่อมฉันซาบซึ้งเหลือเกินที่ทรงยอมรับในความยากลำบากของหม่อมฉัน ฝ่าบาท หม่อมฉันหวังว่าฝ่าบาทและหม่อมฉันจะคงความสัมพันธ์เช่นนี้ไปได้นานๆ นะเพคะ”
“โดยแท้แล้วความสัมพันธ์ที่ราบรื่นย่อมต้องเกิดจากความคิดในเชิงบวกของทั้งสองฝ่าย หากแม้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคิดไม่ซื่อ สายสัมพันธ์ทั้งหมดก็คงมีอันต้องจบลงนะคะ บารอเนส”
“หม่อมฉันก็คิดเฉกเช่นเดียวกับฝ่าบาทเพคะ ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่งดังที่หม่อมฉันได้ยินมา”
“ขอบคุณที่ชมค่ะ”
แม้สีหน้าของแพทริเซียจะดูไม่ขอบคุณแม้แต่น้อย แต่ทั้งโรสมอนด์และแพทริเซียต่างก็ไม่มีใครแย้งจุดนั้นขึ้นมา มาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์รวมถึงสตรีชนชั้นสูงท่านอื่นๆ ต่างก็ประหม่ากับบรรยากาศที่ดูตึงเครียดอย่างประหลาด แต่โชคดีที่มีร์ยาเข้ามาทำลายบรรยากาศนั้นลงเสียก่อน
“ฝ่าบาท ภริยาคณะทูตมาถึงแล้ว ให้เชิญเข้ามาเลยไหมเพคะ”
“เชิญเข้ามาเลยค่ะ มีร์ยา”
บรรยากาศมาคุกลับมาเป็นปกติอีกครั้งด้วยบทสนทนาหัวข้ออื่น เพียงครู่เดียวการปรากฏตัวของแขกกลุ่มใหม่ก็ทำให้ในห้องเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา
ไม่นานสุภาพสตรีกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาในห้องรับรอง ในนั้นมีทั้งเลดี้อายุน้อยและอายุมากปะปนกันไป แต่ถ้าคะเนเอาจากเรื่องที่ว่าคนกลุ่มนี้ต้องนั่งเรือมายังต่างอาณาจักรแล้ว คงไม่มีเลดี้ที่ชราภาพอยู่ แพทริเซียแสดงทักษะทางด้านภาษาต่างประเทศเพื่อต้อนรับคนกลุ่มนั้น
“เชิญค่ะ กำลังรออยู่ทีเดียว”
ระหว่างที่เปโตรนิยาพี่สาวของนางกับบุตรีตระกูลอื่นมัวแต่จัดงานเลี้ยงน้ำชากัน แพทริเซียซึ่งอยู่ที่คฤหาสน์คนเดียวก็เอาแต่ร่ำเรียนภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาของจักรวรรดิคริสตาซึ่งเป็นบ้านพี่เมืองน้องกับจักรวรรดิมาวินอส นางเคยคิดว่าอีกหน่อยน่าจะมีโอกาสได้ใช้งาน แต่นางไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มาใช้ในเวลานี้
“ขอบคุณสำหรับการต้อนรับเพคะ องค์จันทราแห่งมาวินอส เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบพระมารดาพระองค์ใหม่ของจักรวรรดิ หม่อมฉันดัชเชสเวริกา จากจักรวรรดิคริสตาเพคะ”
“เราก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบดัชเชสค่ะ ทุกท่านเชิญนั่งลงก่อน”
“เพคะ ฝ่าบาท”
บรรดาภริยาขุนนางแห่งจักรวรรดิคริสตานั่งลงบนเก้าอี้ที่ยังว่าง พวกนางมีเส้นผมสีดำสนิท และมีผิวสองสีซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของจักรวรรดิ แพทริเซียรู้สึกตื่นตาตื่นใจเล็กน้อยเพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนพบเห็นได้ยากในจักรวรรดิของนาง แต่นางก็พยายามไม่แสดงออกทางสีหน้ามากนัก ด้วยกลัวว่าความท่าทีของนางอาจเป็นการเสียมารยาท
“ทุกท่านเดินทางมาไกล คงจะเหนื่อย รับประทานอาหารกันก่อนดีไหมคะ หัวหน้าห้องเครื่องของเรามีฝีมือปรุงอาหารที่ยอดเยี่ยมมากทีเดียว”
“ฝ่าบาทตรัสถึงขนาดนั้น พวกหม่อมฉันชักอยากจะรับประทานขึ้นมาแล้วสิเพคะ ที่จริงพวกหม่อมฉันก็คาดหวังว่าจะได้รับประทานอาหารอร่อยๆ ที่อาณาจักรมาวินอสอยู่เช่นกัน ทราบมาว่าอาหารของมาวินอสรสเลิศมากทีเดียว”
“ชมเกินไปแล้วค่ะ ดัชเชส หวังว่าอาหารจะถูกปากนะคะ”
พูดจบ แพทริเซียก็พยักหน้าเป็นสัญญาณให้มีร์ยานำอาหารเข้ามา ทันใดนั้นข้ารับใช้มากมายก็ยกจานอาหารเข้ามาในห้องเลี้ยงรับรอง
สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่อาหารซึ่งทำจากผักหลากสี อีกทั้งยังมีเมนูที่เป็นเนื้อสัตว์กำลังส่งกลิ่นน่าลิ้มลอง เสียงกลืนน้ำลายดังขึ้นมาจากทุกสารทิศ ดูเหมือนว่าจะมีคนน้ำลายสอ โรสมอนด์มองแพทริเซียที่กำลังทำสีหน้าปลาบปลื้มใจกว่าใครในโลกพลางยิ้มเยาะในใจ
สเต็กที่ข้ารับใช้หน้าตาใสซื่อพวกนี้นำเข้ามาเดิมทีควรจะเป็นเนื้อวัว แต่ตอนนี้วัตถุดิบถูกสับเปลี่ยนแล้วด้วยฝีมือของนาง
หัวหน้าห้องเครื่องที่ทำอาหารจนชำนาญอาจแยกแยะเนื้อสัตว์ทั้งสองชนิดได้ก็จริง แต่ก็มิใช่เรื่องง่ายนัก เพราะนางนำเนื้อหมูที่รูปร่างและสีสันเหมือนเนื้อวัวจนแทบแยกไม่ออกไปสับเปลี่ยนก่อนที่พ่อครัวจะลงมือทำอาหาร โรสมอนด์ตีหน้าซื่อก่อนจะพูดถึงสเต็ก
“อุ๊ย สเต็กน่าทานทีเดียวเพคะ คงเป็นเนื้อชั้นเยี่ยมที่ผ่านการย่างใช่หรือไม่”
“ถูกต้องค่ะ บารอเนส เราไหว้วานหัวหน้าห้องเครื่องเป็นพิเศษว่าให้ใช้เนื้อที่ดีที่สุดในการทำอาหาร เพราะฉะนั้นทานเยอะๆ นะคะ ทุกๆ ท่านก็เช่นกัน หวังว่าจะอิ่มอร่อยกับมื้อนี้ค่ะ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
โรสมอนด์กดยิ้มมุมปากก่อนจะเริ่มหั่นสเต็กด้วยท่วงท่าสง่างาม สเต็กถูกหั่นเป็นชิ้นๆ น้ำจากชิ้นเนื้อซึมไหลออกมา โรสมอนด์จงใจหั่นให้ช้ากว่าคนอื่นๆ พลางเหลือบมองคนที่กำลังจะนำสเต็กเข้าปาก ภริยาทูตจากอาณาจักรคริสตาที่นั่งอยู่ใกล้ที่สุดนำชิ้นสเต็กชิ้นใหญ่เข้าปากด้วยสีหน้าคาดหวัง
แม้ว่าที่จักรวรรดิคริสตาจะไม่กินเนื้อหมู แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกนางจะไม่รู้กระทั่งรสชาติของเนื้อหมู โรสมอนด์จินตนาการถึงความวุ่นวายครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นก่อนจะจิ้มสเต็กในจานส่งเข้าปาก ทว่า…
[1] โสมนัส หมายถึง ความสุขใจ ความเบิกบาน ความปลาบปลื้ม
“…”
แพทริเซียตกตะลึงไปวูบหนึ่ง นางไม่คุ้นชินกับมิตรไมตรีที่ได้รับอย่างกะทันหัน โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายที่หยิบยื่นให้เป็นสามีที่ไม่เคยสนใจไยดีนางยิ่งแล้วใหญ่ โชคดีแค่ไหนที่นางไม่ได้รู้สึกรังเกียจ หากนางถึงขั้นรังเกียจชายคนนี้ ต่อให้นางตั้งใจจะอยู่อย่างเงียบๆ ก็คงเป็นไปได้ยาก แต่โชคดีที่ยังไม่ตกต่ำถึงขั้นนั้น
“หากทูลว่าไม่ลำบากก็คงเป็นการโกหกเพคะ แต่หม่อมฉันพอทำได้”
“เช่นนั้นก็ดี”
แพทริเซียรู้สึกว่าลูซิโอดูกระอักกระอ่วน เขาและนางต่างไม่สุงสิงกัน แม้ทั้งคู่จะถูกผูกมัดด้วยฐานะสามีภรรยา แต่ผู้ชายคนนี้ก็มีหญิงคนรักอยู่แล้ว ส่วนแพทริเซียก็ไม่ได้สนใจเขาสักนิด สิ่งที่เป็นจุดร่วมของพวกเขามีเพียงเรื่องที่ทั้งคู่ต่างก็เป็นสมาชิกของราชวงศ์เท่านั้น เพราะฉะนั้น เมื่อหมดหัวข้อสนทนาในเรื่องที่ต้องใส่ใจร่วมกันแล้ว ไม่แปลกที่ต่างฝ่ายต่างเงียบใส่กัน
แน่นอนว่าถ้าเป็นโรสมอนด์ ลูซิโอคงจะชวนคุยนั่นคุยนี่ แต่กับแพทริเซีย เขาไม่ทำ เพราะฉะนั้นการสนทนาของพวกเขาจำต้องจบลงที่ตรงนี้
“หม่อมฉันจะไม่ทำให้เสื่อมเสียมาถึงพระองค์หรือราชวงศ์เพคะ” แพทริเซียพูดกับเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“…”
“ฉะนั้น ไม่ต้องทรงเป็นกังวัลนะเพคะ”
“…เข้าใจแล้ว”
เขาพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะหันหลังเดินออกไป แพทริเซียไม่ชายตามองจักรพรรดิที่ค่อยๆ เดินจากไปจนลับสายตาด้วยซ้ำ อย่างน้อยนางก็รักษามารยาทเท่าที่จะทำได้ นั่นเท่ากับว่ารอดพ้นจากการตกเป็นขี้ปากของชาวบ้านแล้ว เพียงครู่เดียวแพทริเซียก็หันมาจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ต้องทำ
ปัง-
เสียงปิดประตูดังก้อง
“เจ้าว่าภริยาของบรรดาทูตจะมาเยือนหรือ”
โรสมอนด์เงี่ยหูฟังข่าวที่เหนือความคาดหมาย คลาราที่ทำสีหน้าระริกระรี้ผงกหัวก่อนจะกระซิบกระซาบที่หูของผู้เป็นนาย
“ฟังว่าเพิ่งตกลงกันเมื่อครู่ค่ะ ตอนแรกจะมีแต่คณะทูตมา แต่จู่ๆ ก็เปลี่ยนกำหนดการค่ะ”
เมื่อคลาราพูดจบ โรสมอนด์ก็มีสีหน้าคล้ายกำลังครุ่นคิด คริสตา จักรวรรดิคริสตา… โรสมอนด์ทวนชื่อนั้นซ้ำๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดโพล่งออกมาพร้อมทำสีหน้าเหมือนคิดอะไรออก
“จักรวรรดิคริสตานี่ใช่จักรวรรดิที่ไม่กินเนื้อหมูเพราะเรื่องทางศาสนาหรือไม่”
“ใช่ค่ะ เห็นว่าหมูเป็นสัญลักษณ์แทนพระเจ้า”
คลาราตอบโรสมอนด์ จากนั้นนางก็มีสีหน้าคล้ายจะมีความคิดดีๆ
“เลดี้ ไม่ลองเล่นงานด้วยเรื่องนั้นดูล่ะคะ” นางยิ้มกว้างและพูดกับโรสมอนด์
“คลารา เจ้านี่หัวแหลมนัก รู้ใจข้าจริงๆ”
โรสมอนด์ยิ้มพลางลูบหัวคลารา ก่อนจะออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์
“คลารา เจ้ารีบไปสืบหามาว่าจักรพรรดินีจะเตรียมอาหารชนิดใดไว้รับรองพระราชอาคันตุกะบ้าง เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อื่นๆ ด้วย รีบหน่อย อีกไม่กี่วันคณะทูตก็จะมาแล้ว”
“ค่ะ เลดี้ อย่าได้ห่วงเลยค่ะ”
ครั้นได้ยินดังนั้น โรสมอนด์ก็ยิ้มอย่างพึงใจ จักรวรรดิคริสตาเป็นจักรวรรดิมหาอำนาจแทบจะเทียบเท่าจักรวรรดิมาวินอส หากไปแตะต้องเรื่องทางศาสนาเข้าล่ะก็ คงไม่จบแค่การขอโทษเป็นแน่ ถ้าทุกอย่างไปได้สวย นางอาจจะลากจักรพรรดินีลงจากบัลลังก์ได้ด้วยแผนการเดียว
หากสามารถกล่าวโทษแพทริเซียว่าเป็นสตรีที่ทำให้จักรวรรดิได้รับความเสียหายใหญ่หลวงได้ ฝ่ายนั้นอาจถูกปลดจากตำแหน่ง โรสมอนด์จินตนาการถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึงพลางยิ้มกริ่ม
“หากเป็นเช่นนั้นเรื่องอาจลุกลามไปใหญ่โตก็เป็นได้”
***
“หม่อมฉันกำชับอย่างดีแล้วเพคะว่าสเต็กในงานเลี้ยงรับรองต้องใช้เนื้อวัว”
“ขอบคุณค่ะ มีร์ยา”
แพทริเซียเงยหน้าขึ้นมาตอบรับก่อนจะกลับไปให้ความสนใจกับงานที่ทำต่อ มีร์ยาเห็นเช่นนั้นก็ทำหน้าคล้ายสงสัย
“ว่าแต่…ฝ่าบาททรงทำอะไรอยู่หรือเพคะ” มีร์ยาถาม
“กำลังเขียนบัตรเชิญอยู่ค่ะ”
“บัตรเชิญ…หรือเพคะ”
มีร์ยามองจักรพรรดินีด้วยสีหน้างุนงง แต่แพทริเซียก็ไม่ได้สนใจอะไร นางใส่บัตรเชิญที่เขียนเสร็จแล้วลงในซองทีละซองด้วยสีหน้าสบายๆ ก่อนจะประทับตราของจักรพรรดินีลงไป แพทริเซียยื่นซองบัตรเชิญจำนวนหนึ่งให้มีร์ยาก่อนจะออกคำสั่ง
“แต่ละซองมีชื่อผู้รับเขียนอยู่ นำไปส่งให้หน่อยได้ไหมคะ มีร์ยา”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาเพคะ แต่จู่ๆ ทรงเขียนบัตรเชิญทำไมหรือเพคะ เพิ่งจะจัดงานเลี้ยงน้ำชาไปมิใช่หรือ”
“ไม่ใช่บัตรเชิญงานเลี้ยงน้ำชา แต่เป็นบัตรเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงต้อนรับที่จะมีขึ้นในอีกไม่กี่วันค่ะ แม้จะเป็นหน้าที่ของจักรพรรดินี แต่จะให้ข้าต้อนรับอาคันตุกะผู้มีเกียรติทั้งหมดคนเดียวคงไม่ไหว”
นั่นก็จริง มีร์ยาทำหน้าเหมือนเข้าใจก่อนจะไล่ดูรายชื่อบนซองทีละซอง นอกจากชื่อของมาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์แล้ว ยังมีมาร์เชอเนสบริงสโตน ดัชเชสวาเซียร์ มาร์เชอร์เนสดิวาร์ เคาน์เตสอาร์เซลโด ดัชเชสวีเธอร์ฟอร์ด จนกระทั่งเห็นชื่อสุดท้าย มีร์ยาก็นิ่วหน้าขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว นางรีบเรียกแพทริเซีย
“ฝ่าบาท”
“มีอะไรหรือคะ”
“มีชื่อแปลกๆ ปะปนอยู่เพคะ”
“ชื่อแปลกๆ หรือคะ”
แพทริเซียทำท่าสงสัยพลางถามกลับ เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้น มีร์ยาก็ยื่นซองบัตรเชิญด้านที่มีชื่อเขียนอยู่ให้แพทริเซียดู สีหน้าของมีร์ยาดูไม่สบายใจขณะกล่าวราวกับจะต่อว่า
“ทำไมชื่อของบารอเนสเฟ็ลปส์ถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะเพคะ”
“อ้อ”
‘ก็นึกว่าอะไร’ แพทริเซียพึมพำ ก่อนจะทำหน้าราวกับว่านั่นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แน่นอนว่ามีร์ยาที่เห็นดังนั้นรู้สึกราวกับอกจะแตกตาย นางแปลกใจว่าทำไมถึงมีแต่นางที่รู้สึกหงุดหงิดอยู่อย่างนี้ หรือฝ่าบาทจะสติไม่สมประดีไปเสียแล้ว มีร์ยาอึดอัดจนต้องเอ่ยถามออกมา
“ฝ่าบาท ทรงเขียนผิดใช่ไหมเพคะ”
“ไม่นี่คะ”
“ฝ่าบาท!”
แพทริเซียคิดว่านี่คงน่าตกใจมากกระมัง เพราะขนาดมีร์ยาที่ไม่ค่อยจะพูดเสียงดังยังขึ้นเสียงได้ขนาดนี้ หญิงสาวยิ้มอย่างใจเย็นราวกับไม่รับรู้หัวอกของมีร์ยา
“ไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยขนาดนั้นก็ได้ค่ะ มีร์ยา ข้าไม่ได้เขียนผิด และข้าก็ไม่ได้บ้าด้วย” แพทริเซียพูดกับมีร์ยา
“…”
มีร์ยาสะดุ้งก่อนจะกระแอมออกมา แพทริเซียยังคงรอยยิ้มไม่ยี่หระนั้นไว้พลางพูดต่อ
“แน่นอนว่าการเชิญเลดี้เฟ็ลปส์ซึ่งเป็นบารอเนสมาร่วมงานที่ข้าและภริยาขุนนางชั้นสูงมารวมตัวกันถือเป็นเรื่องที่ผิดมารยาท แต่ถึงอย่างไร…นางก็เป็นอนุภรรยาของฝ่าบาท อีกทั้ง…ข้ามีบางอย่างที่อยากแสดงให้นางได้เห็น”
ข้าไม่เข้าใจท่านเลยว่าท่านจะเอาอะไรให้นางดู แต่หากเป็นภาพที่ข้าอกแตกตายล่ะก็ นางได้เห็นได้แน่ๆ
ในสายตาของมีร์ยา การให้บารอนเรสต่ำต้อยอย่างโรสมอนด์เข้าร่วมงานเช่นนี้นับเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้
มีร์ยาพูดกับแพทริเซียด้วยสีหน้าบึ้งตึง น้ำเสียงเจือความไม่พอใจ “ที่ทรงอยากแสดงให้บารอเนสเฟ็ลปส์ได้เห็นถึงพระบารมีของพระองค์ หม่อมฉันเข้าใจเพคะ แต่นั่นไม่เป็นไปตามระเบียบนะเพคะ จะทรงเชิญบารอเนสมาร่วมงานที่มีแต่ภริยาขุนนางระดับเคาน์เตสขึ้นไปได้อย่างไร และพระองค์ก็ตรัสเองว่านางเป็นอนุภรรยาขององค์จักรพรรดิ เช่นนี้แล้วบรรดาภริยาท่านทูตจะมองพระองค์อย่างไรเล่าเพคะ”
“ลองขอคำแนะนำดูสักครั้งก็ไม่เลวนะคะ ถามดูว่าหากมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในจักรวรรดินั้นจะเป็นอย่างไร ไม่แน่ว่าคำชี้แนะจากทางนั้นอาจจะพอช่วยได้”
“ฝ่าบาท!”
คำหยอกที่ฟังไม่เหมือนคำหยอกนั้นทำให้มีร์ยาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้และพูดเสียงดังออกมา ปกติแล้วพระจักรพรรดินีไม่ใช่คนเช่นนี้เลย มีร์ยารู้สึกเหมือนว่านิสัยของพระองค์เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุ
“แล้วถ้ามันไม่เป็นไปตามที่ฝ่าบาททรงคาดไว้จะทำอย่างไรเพคะ” นางถามแพทริเซียด้วยสีหน้าของคนที่ไม่เข้าใจสถานการณ์เลยสักนิด
“นั่นก็คงเป็นชะตาของข้าแล้วล่ะค่ะ จริงไหมคะ?”
น้ำเสียงราบเรียบของแพทริเซียทำเอามีร์ยาหมดคำจะพูด เมื่อก่อนจักพรรดินีจะกระทำการสิ่งใด มีร์ยาก็คาดเดาได้ แต่คราวนี้ฝ่าบาททรงแปลกไป
ที่สุดแล้วมีร์ยาก็ไม่เข้าใจจุดประสงค์ของแพทริเซีย แต่นางก็ตัดสินใจที่จะไม่พูดอะไรต่อ เพราะแพทริเซียดื้อกับเรื่องนี้อย่างเหนือความคาดหมาย มีร์ยาถอนหายใจสั้นๆ ในใจก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพูด
“อ้อ วันนี้ไม่เห็นเดมราฟาเอลาเลยนะเพคะ ปกติจะอยู่ข้างพระวรกายตลอดเวลามิใช่หรือ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ข้าให้นางไปทำงานบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับงานเลี้ยงรับรองนี้ ประเดี๋ยวก่อนมืดก็คงจะกลับมา ไม่ต้องใส่ใจเรื่องนั้นก็ได้ค่ะ”
แพทริเซียตอบออกมาเรียบๆ และเปลี่ยนเรื่องคุยอีกครั้ง
“ว่าแต่ใช้สมองนั่งคิดมาทั้งวัน ท้องก็ชักจะหิวแล้วสิ มีร์ยา ก่อนจะไปส่งบัตรเชิญช่วยนำของว่างมาให้หน่อยได้ไหมคะ”
บัตรเชิญที่แพทริเซียมอบให้มีร์ยาถูกส่งไปหาผู้รับอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แน่นอนว่ารวมถึงโรสมอนด์ด้วย
ตอนแรกโรสมอนด์ตกใจ คิดว่าบัตรเชิญจากแพทริเซียถูกส่งมาให้ผิดคน แต่เนื่องจากมีร์ยาย้ำหนักหนาว่านี่เป็นของนางแน่นอน โรสมอนด์จึงรับมาด้วยสีหน้างุนงง และดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะสีหน้าของนางกำนัลที่นำบัตรเชิญมาส่งดูไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
“อะไรหรือคะ เลดี้”
แน่นอนว่าคลาราก็ให้ความสนใจกับบัตรเชิญนั้น โรสมอนด์มองพระราชลัญจกรหรือตราประทับประจำพระจักรพรรดินีที่ประทับอยู่ด้วยสีหน้าไม่พึงใจครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบ
“มีบัตรเชิญมาจากตำหนักจักรพรรดินี”
“บัตรเชิญหรือคะ งานเลี้ยงน้ำชาก็เพิ่งจัดไปมิใช่หรือ”
“อ่านดูก็รู้เองนั่นแหละ”
โรสมอนด์แกะซองจดหมายลวกๆ จนเหมือนพยายามจะฉีก ก่อนจะอ่านเนื้อความอย่างช้าๆ ริมฝีปากที่เรียบนิ่งมาจนถึงเมื่อครู่ของโรสมอนด์จู่ๆ ก็กระตุกเล็กน้อย จากนั้นร่างกายของโรสมอนด์ก็เริ่มสั่น ทำเอาคลาราที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดลุ้นระทึกไปด้วย นี่คงไม่อาละวาดอีกแล้วใช่ไหม
“อ๊า…ฮ่ะๆๆๆๆ”
คลารามองโรสมอนด์ที่ระเบิดเสียงหัวเราะเหมือนคนเสียสติด้วยสีหน้าหวาดระแวง นางหวังว่าเนื้อหาในบัตรเชิญจะไม่ไปกระตุกต่อมอะไรของโรสมอนด์เข้า จากนั้นค่อยๆ เลียบๆ เคียงๆ ถามผู้เป็นนาย
“เขียน…ว่ากระไรท่านถึงได้หัวเราะเช่นนั้นหรือคะ บารอเนส”
“ฮ่ะฮ่ะฮ่า คลารา ให้ตายเถอะ มาดูนี่เร็ว”
โรสมอนด์ยื่นบัตรเชิญให้คลาราด้วยสีหน้าราวกับว่าไม่มีอะไรน่าขันไปกว่าสิ่งนี้อีกแล้ว คลารารับมันมาด้วยสีหน้างงงวยก่อนจะเริ่มอ่านช้าๆ แต่นางกลับไม่หัวเราะเช่นโรสมอนด์
“ในนี้บอกว่า…ขอเชิญท่านไปงานเลี้ยงรับรองนี่คะ”
“นางเด็กนั่นก็ร้ายเหมือนกันนะ นี่คงตั้งใจจะทำให้ข้าสำเหนียกตนต่อหน้าทุกคนล่ะสิ”
โรสมอนด์ยิ้มยะเยือกก่อนจะแย่งบัตรเชิญกลับมาจากคลารา คราวนี้นางฉีกมันออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างไม่ลังเลสักเสี้ยววินาที ในขณะเดียวกันก็พูดพึมพำไปด้วย
“ไปสิ ต้องไปแน่”
ข้าต้องไปดูด้วยตาตัวเองว่าจะถูกทำให้ขายหน้าอย่างไร หรือจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น โรสมอนด์ยิ้มกว้าง เพียงแค่คิดก็สนุกแล้ว คลารายิ้มตามก่อนจะพูดออกมา
“บารอเนส เรื่องที่สั่งเรียบร้อยแล้วนะคะ”
“ดีมาก”
โรสมอนด์โปรยเศษกระดาษที่ฉีกลงบนพื้น แม้ว่าจะเป็นเศษกระดาษที่ถึงเหยียบไปก็ไม่แหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่นางก็ยังใช้เท้าเหยียบขยี้อย่างถ้วนทั่วโดยไม่สนใจ ราวกับว่าเศษกระดาษนั้นจะกลายเป็นแพทริเซียก็ไม่ปาน
เปโตรนิยาจดจ้องมาที่โรสมอนด์ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ซึ่งพบเห็นได้ยาก แพทริเซียรู้สึกประหลาดใจกับสีหน้าที่ไม่คุ้นเคยของพี่สาว
“ไม่มีใครในที่นี้อยากทราบเรื่องส่วนตัวของท่านกับฝ่าบาทหรอกกระมัง”
“ก็เห็นทุกท่านดูสงสัยกันมิใช่หรือคะ”
โรสมอนด์ยิ้มเหยียดและตอบออกมา แต่เปโตรนิยายังคงทำสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม
“ท่านคงจะเข้าใจผิดไปเองกระมังคะ และดูเหมือนท่านจะไม่ทราบว่าโดยทั่วไปแล้วจักรพรรดินีจะร่วมเตียงกับจักรพรรดิได้เฉพาะวันที่กำหนดไว้เท่านั้น ไม่สามารถไปรับใช้ฝ่าบาทพร่ำเพรื่อได้ เรื่องเช่นนั้นเป็นงานของผู้ที่ไม่อาจมีศักดิ์สูงไปกว่าฝ่าบาท”
“…”
โรสมอนด์ถึงกับหน้าตึงเพราะคำพูดนั้น ท่าทางจะไม่สบอารมณ์ที่ถูกเปรียบราวกับเป็นโสเภณี ทว่าไม่นานนางก็เผยสีหน้าเหยียดหยามอันเป็นเอกลักษณ์ออกมาเล็กน้อย ก่อนจะตอบโต้คำพูดของเปโตรนิยา
“หากแม้ถึงวันที่กำหนดแล้ว แต่ก็ยังมิอาจรับใช้ฝ่าบาทได้ เช่นนั้นมิถือเป็นเรื่องใหญ่หรอกหรือคะ”
“บารอเนสเฟ็ลปส์”
แพทริเซียที่นั่งเฉยจนถึงเมื่อครู่เอ่ยปากเรียกโรสมอนด์เบาๆ ตนต้องรีบจบเรื่องนี้โดยเร็วก่อนที่บรรยากาศของงานเลี้ยงน้ำชาจะกร่อยไปมากกว่านี้ ยิ่งยืดเยื้อ คนที่จะเสียหายก็มีแต่ตนเอง
“ต่อให้เป็นเช่นนั้น ผู้ที่เป็นแค่บารอเนสอย่างท่านก็มิอาจเอื้อมมาวิพากวิจารณ์เรื่องส่วนตัวของจักรพรรดินีได้”
“…”
“จริงไหมคะ”
“ไม่ทราบสิเพคะ นี่เป็นปัญหาเกี่ยวพันถึงรัชทายาท… จะมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของฝ่าบาทก็คงกระไรอยู่”
“นั่นก็ไม่ใช่กงการของบารอเนสเฟ็ลปส์เช่นกันค่ะ เราเข้าใจว่าท่านรับใช้ฝ่าบาทมาเป็นเวลานาน คงจะสนใจเรื่องในราชวงศ์เป็นธรรมดา แต่กรุณาอย่าล้ำเส้น จักรพรรดินีของจักรวรรดินี้คือตัวเรา นั่นหมายความว่าเราเป็นอัครมเหสีของพระจักรพรรดิ ในโลกนี้มีบ้านไหนเรือนใดบ้างที่บ้านเล็กบ้านน้อยจะมายุ่มย่ามเรื่องของบ้านใหญ่”
“…”
ครั้นแพทริเซียพูดคำว่า ‘เป็นเมียน้อยก็หุบปากไป’ ออกมาอ้อมๆ โรสมอนด์ก็เกร็งยิ้มจนริมฝีปากตึงและไม่พูดอะไรต่อ ไม่รู้ว่าแค่ไม่พูดหรือพูดไม่ออก แพทริเซียถอนหายใจในใจก่อนจะรีบจัดการกับสีหน้าที่เหนื่อยล้า
ว่าจะนิ่งเฉยแล้วเชียว แต่เผลอเต้นตามอีกฝ่ายไปเสียได้
แพทริเซียยกแก้วชาที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้นมาจิบสองสามครั้ง ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่น่าฟังกว่าเมื่อครู่เพื่อเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“อ้อ เมื่อครู่ได้ยินว่าบุตรีของเคานต์เอลแลนด์กำลังจะแต่งงานใช่ไหมคะ”
การพูดคุยตามประสาผู้หญิงนั้นใช้เวลายาวนานกว่าที่แพทริเซียคาดการณ์ไว้พอสมควร หากไม่นับเรื่องตอนต้นงานที่ทำเอากังวลว่าตนจะทำอย่างไรหากถ้างานกร่อยไป บรรยากาศโดยรวมก็ถือว่าไม่เลวนัก โรสมอนด์อยู่จนงานเลิก นับว่าเหนือความคาดหมาย แพทริเซียเห็นฝ่ายนั้นพยายามจะคุยกับเลดี้คนอื่นๆ แต่ทุกคนล้วนไม่สนใจนาง
นั่นหมายความว่าตำแหน่งของแพทริเซียมีอำนาจมากกว่าความรักที่จักรพรรดิมีให้โรสมอนด์ แต่แพทริเซียรู้ดีกว่าใครว่าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป สถานการณ์อาจพลิกกลับในชั่วพริบตา
ไหนๆ ก็ไม่ได้รับความรักจากจักรพรรดิแล้ว แพทริเซียต้องทำให้ตำแหน่งและอำนาจของตนเข้มแข็งยิ่งกว่านี้
เพราะนั่นคือวิธีเดียวที่จะทำให้จักรพรรดินีที่ไม่ได้รับความรักจากจักรพรรดิเอาชีวิตรอดจากแผนการร้ายของหญิงที่จักรพรรดิรักได้
หลังงานเลี้ยงน้ำชาเลิก เปโตรนิยาหลบไปหาแพทริเซียเงียบๆ แพทริเซียถามด้วยสีหน้าที่แสดงออกถึงความห่วงใย เนื่องด้วยสีหน้าของพี่สาวดูจะหม่นหมองกว่าตอนที่พบกันครั้งสุดท้าย
“ท่านพี่ สีหน้าไม่ดีเลย มีอะไรหรือเปล่า”
“มีอะไรอย่างนั้นหรือ?”
เปโตรนิยาตัวสั่นระริกราวกับจะถามกลับว่า ‘ที่ถามนี่ไม่รู้หรืออย่างไร’ แพทริเซียรับรู้ด้วยสัญชาตญาณว่าพี่สาวกำลังกล่าวถึงโรสมอนด์จึงยิ้มออกมาราวกับไม่รู้สึกอะไร
“ท่านพี่ ข้าไม่เป็นไร”
“แต่ข้าเป็น เสด็จน้อง… นี่ ริซซี่ เจ้าถูกกระทำเช่นนี้เป็นปกติหรือ อนุคนนั้นแสดงตนว่าไม่เคารพเจ้าในเวลาอื่นๆ ด้วยใช่หรือไม่”
“ไม่หรอก แค่วันนี้เท่านั้น”
ที่จริงเมื่อไม่นานมานี้ก็มีเรื่องทำนองนี้ แต่แพทริเซียตัดสินใจไม่พูด การพูดถึงเรื่องนั้นไม่ใช่ทางเลือกที่ดี
หากพูดถึงเรื่องนั้น ที่สุดแล้วก็คงต้องพูดถึงพฤติกรรมของจักรพรรดิด้วย และหากได้รู้เรื่องนั้น คนใจอ่อนอย่างเปโตรนิยาคงจะเศร้าใจ แพทริเซียยิ้มออกมาราวกับไม่รู้สึกอะไรเพื่อทำให้พี่สาวสบายใจ
“ข้าสบายดี บารอเนสเฟ็ลปส์ก็ไม่ได้หาเรื่องหาความข้าเสียหน่อย ปกติพวกเราก็ทำเหมือนไม่รู้จักกันอยู่แล้ว”
“…นางลามปามเจ้าในที่ชุมนุมของหญิงชนชั้นสูงนะ”
เปโตรนิยาพูดพลางตัวสั่นเบาๆ ราวกับว่าแค่คิดก็เสียอารมณ์แล้ว แพทริเซียมองพี่สาวด้วยแววตาไหวหวั่น นางกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่างแต่เปโตรนิยาเร็วกว่า
“ข้า…ข้าทำพลาดไปหรือไม่ ริซซี่ ข้าไม่น่าส่งเจ้ามาที่นี่เลยใช่ไหม”
“นีย่า ต่อให้เจ้ามา เรื่องมันก็ไม่เปลี่ยนไปหรอก ที่เปลี่ยนไปก็แค่เจ้ามาอยู่ตรงนี้แทนข้า และข้าก็ไปอยู่ตรงนั้นแทนเจ้าเท่านั้น”
แพทริเซียกอดเปโตรนิยาไว้แน่นพลางพูดเสียงค่อย
“ข้ากลับคิดว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ดีกว่าเสียอีก ท่านพี่”
“ฮือ…”
ครั้นได้ฟังดังนั้น เปโตรนิยาก็ปล่อยน้ำตาที่กลั้นไว้ออกมา ไม่รู้ว่าทำไม แต่น้ำตากลับไหลออกมาเอง อาจเป็นเพราะนางรู้สึกสงสารน้องสาวที่เป็นอีกครึ่งหนึ่งของชีวิต หรืออาจเป็นเพราะเสียใจที่ต้องให้น้องสาวมารับเคราะห์แทนเช่นนี้ แพทริเซียกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นราวกับจะสื่อว่านางเข้าใจความรู้สึกของเปโตรนิยา
“ข้าเลือกเอง ข้าเป็นคนอาสามาเอง”
“ริซซี่”
“นิล เจ้าเคารพการตัดสินใจของข้าใช่ไหม”
“…อืม”
ครั้นได้ยินแพทริเซียพูดดังนั้น เปโตรนิยาก็เช็ดน้ำตา แพทริเซียรู้สึกปวดใจขึ้นมาเมื่อเห็นดวงตาแดงก่ำของพี่สาว แต่นางก็ฝืนยิ้มออกมาเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ถึงความรู้สึกนั้น มันแน่นอนอยู่แล้วว่าเปโตรนิยาย่อมอยากจะเห็นว่านางยิ้มได้
“ฝากทักทายท่านแม่ด้วย บอกท่านว่าข้าสบายดี”
มาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์มาร่วมงานวันนี้ไม่ได้เพราะมีอาการคล้ายจะเป็นไข้หวัด เปโตรนิยาพยักหน้ารับทราบ ก่อนกลับ นางจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผากของน้องสาวและกอดอีกฝ่ายแน่นๆ อีกครั้ง
การได้ใช้เวลาสั้นๆ กับพี่สาวที่ไม่ได้พบกันนานก่อนจะต้องแยกจากกันอีกครั้งทำให้แพทริเซียเศร้าใจอย่างมาก แต่มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ทำได้ก็แค่สัญญาว่าจะพบกันใหม่คราวหน้า
โคร้งเคร้ง!
เครื่องสำอางที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งร่วงลงบนพื้นจนเกิดเสียงดัง แม้พื้นจะถูกปูทับด้วยพรม แต่เครื่องสำอางบางชิ้นก็แตกกระจายด้วยแรงปัดหนักหน่วง คลาราเห็นดังนั้นก็ตกใจและรีบเข้าไปหาโรสมอนด์
“เลดี้!”
“…”
โรสมอนด์จ้องคลาราด้วยสายตาน่ากลัวก่อนจะตบหน้าอีกฝ่ายอย่างแรง คลาราซึ่งถูกตบโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ได้แต่ทำหน้างุนงง โรสมอนด์พูดกับนางด้วยเสียงต่ำจนน่าขนลุก
“อะไร…”
“เลดี้ เหตุใดท่านถึง…”
เพี้ยะ! คลาราถูกตบหน้าหันอีกครั้ง แก้มที่แดงฉานด้วยแรงตบนนั้นนดูน่าสงสาร คลารากุมแก้มข้างนั้นไว้ก่อนจะเรียกโรสมอนด์ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“เลดี้…”
แต่ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกตบจนหน้าหันอีกครั้ง คราวนี้มีเลือดซึมออกมาจากแก้มแล้ว ตอนนี้คลารากำลังจะร้องไห้
“ข้า…เป็นใคร”
“บารอเนส…”
“ไม่ใช่!”
โรสมอนด์ตะเบ็งเสียงเหมือนคนเสียสติ คลาราสะดุ้ง นางลืมความเจ็บปวดและจ้องมองโรสมอนด์ แต่โรสมอนด์ไม่ได้สนใจ ยังคงกรีดร้องเสียงต่อไป
“เพราะข้าไม่ใช่จักรพรรดินี!”
“…”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าถูกทำให้เสียหน้าเพียงใดก่อนจะกลับมาที่นี่!”
“เอ่อ…”
คลาราเพิ่งจะเข้าใจถึงสาเหตุที่โรสมอนด์ทำตัวแปลกๆ นางทำสีหน้าประหลาดใจ ส่วนโรสมอนด์ก็ร้องโวยวายต่อไป
“ไหนเจ้าเรียกข้าว่าฝ่าบาทซิ คลารา หรือเจ้าก็คิดว่าข้าเป็นแค่เมียนอกสมรสเช่นกัน”
“ไม่…ไม่เพคะ ฝ่าบาท”
ถ้าไม่รีบเออออไปกับโรสมอนด์ตอนนี้ ไม่รู้ว่าตัวนางจะหายไปจากโลกโดยไม่มีใครรู้ใครเห็นหรือไม่ คลารามีสีหน้าประหม่า นางกลืนน้ำลายก่อนจะเรียกโรสมอนด์ด้วยถ้อยคำที่อีกฝ่ายอยากฟัง
“ใจเย็นๆ ก่อนนะเพคะ ฝ่าบาท อีกไม่นานพระองค์ก็จะได้เป็นจักรพรรดินีแล้ว ถึงอย่างไร จักรพรรดินีองค์ปัจจุบันก็ทรงพระครรภ์ไม่ได้ ทรงรออีกสักหน่อย เดี๋ยวเจ้าของตำหนักจักรพรรดินีก็ถูกเปลี่ยนแล้วเพคะ”
“ข้าสมเพชตัวเอง…”
จู่ๆ โรสมอนด์ที่เอาแต่โวยวายก็ร้องไห้ออกมา คลาราถอนหายใจในใจ ก่อนอื่นตอนนี้นางควรจะปลอบโรสมอนด์เสียก่อน คลาราเดินหายไปอีกด้านหนึ่ง ดูเหมือนจะไปยกน้ำชามาให้โรสมอนด์ดื่มเพื่อสงบสติอารมณ์ โรสมอนด์ซึ่งอยู่ในห้องคนเดียวตั้งปณิธานด้วยแววตาอาฆาต
“ฝากไว้ก่อนเถอะ ข้าจะเป็นจักรพรรดินีให้ได้ แล้วข้าจะคืนคำทั้งหมดที่ข้าได้ยินวันนี้ให้นางสองคนนั้น!”
โรสมอนด์พูดพึมพำด้วยโทสะจนหน้าดำหน้าแดงดูราวกับคนถูกผีสิง นางออกแรงขยุ้มผ้าปูที่นอนจนกระดูกแขนขึ้นรูปอย่างเห็นได้ชัด
แพทริเซียไม่ได้เจอลูซิโอมาสิบวันแล้ว นางไม่รู้สึกตัวเลย แต่จู่ๆ นางก็นึกขึ้นมาได้และนั่นทำให้นางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
แต่สำหรับแพทริเซียแล้วยิ่งไม่พบหน้าเขาก็ยิ่งดี นางภาวนาขอให้ช่วงเวลานี้ยืดยาวออกไป แต่เมื่อนางมีความคิดเช่นนี้ทีไร ลูซิโอก็จะมาหานางโดยไม่บอกไม่กล่าวไปเสียทุกครั้ง
“ทรงมีธุระอันใดหรือเพคะ”
แพทริเซียถามจุดประสงค์การมาของเขา แม้ว่าน้ำเสียงของนางจะไม่ห้วนแห้ง แต่ก็มิอาจเรียกได้ว่ายินดี เพราะถึงอย่างไรเขาก็คงไม่ได้มาเพื่อถามไถ่สารทุกสุกดิบของนาง เขาคงมีเรื่องมาขอร้องนางเหมือนครานั้น หรือไม่ก็คงมาเพื่อข่มขู่เรื่องอะไรสักอย่าง แพทริเซียยืนนิ่ง เขาจ้องนางเขม็งครู่หนึ่งก่อนจะหันหน้าไปอีกทาง
“…รู้ใช่ไหมว่าสัปดาห์หน้ามีแขกคนสำคัญ”
อ้อ แพทริเซียพยักหน้าเป็นเชิงว่ารับรู้ สัปดาห์หน้าคณะทูตจากอาณาจักรคริสตามีกำหนดการมาเยือน แพทริเซียมิใช่ผู้รับผิดชอบงานนั้นจึงไม่รู้อะไรมากนัก แต่ก็พอจะรู้ว่ามาด้วยเรื่องการค้า
“ทราบเพคะ” แพทริเซียตอบ
“มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ตอนแรกในกำหนดการมีเพียงคณะทูตเท่านั้น แต่วันนี้เราได้รับคำถามว่าจะอนุญาตให้ภริยาของคณะทูตเข้าร่วมด้วยได้หรือไม่ เราอยากให้งานนี้เป็นไปด้วยความราบรื่นจึงไม่อยากปฏิเสธ เจ้าจะช่วยรับรองพวกนางให้ทีได้หรือไม่”
“…”
ที่มาหาก็เพราะเรื่องงานนี่เอง งานดีๆ เอาไปประเคนให้โรสมอนด์เสียหมด ส่วนงานยุ่งยาก งานลำบากก็โยนมาให้ข้าสินะ แพทริเซียบ่นกระปอดกระแปดในใจ แต่ตัวนางเองก็รู้ดีว่าไม่อยู่ในฐานะที่จะปฏิเสธได้
ปกติงานพวกนี้ก็เป็นหน้าที่ของจักรพรรดินีอยู่แล้ว หากโรสมอนด์ได้ทำงานนี้ นั่นหมายความว่านางถูกมองข้ามหัวไปแล้ว และนั่นจะทำให้นางเสียอำนาจ มิหนำซ้ำยังจะช่วยให้โรสมอนด์ลุแก่เป้าหมายในภายหลังอีกด้วย เพราะฉะนั้นนางจำต้องยอมรับงานนี้ แพทริเซียพยักหน้ารับคำ
“ได้เพคะ”
“ไม่มีเรื่องต้องใส่ใจเป็นพิเศษหรอก อ้อ เราลืมไปอย่าง”
“เชิญตรัสได้เลยเพคะ”
“คนของจักรวรรดิคริสตาไม่กินเนื้อหมูด้วยเหตุผลทางศาสนา ตอนเจ้าเตรียมอาหารรับรองก็อย่าลืมเรื่องนี้เสียล่ะ”
อา ใช่แล้ว แพทริเซียคิดถึงเรื่องที่นางอ่านเจอในหนังสือเมื่อไม่นานมานี้ หมูเป็นสัญลักษณ์แทนตัวเทพเจ้าที่พวกเขานับถือ เพราะฉะนั้นจึงมีกฎหมายห้ามกินเนื้อหมูเพื่อไม่ให้เป็นการทำลายความศักดิ์สิทธิ์นั้น นอกจากเนื้อหมูแล้วก็ไม่มีข้อห้ามเรื่องเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ
ครั้นแพทริเซียพยักหน้ารับคำ ลูซิโอก็จ้องนางเขม็งมาและเอ่ยปากพูด
“งานของฝ่ายในลำบากหรือไม่”
“ฝ่าบาท พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งจักรพรรดินีมาเป็นเวลาพอสมควรแล้ว น่าจะได้เวลาจัดงานเลี้ยงน้ำชาสักครั้งแล้วนะเพคะ”
“อ้อ งานเลี้ยงน้ำชา”
แพทริเซียพยักหน้าให้กับคำพูดของราฟาเอลาราวกับลืมไปเสียสนิท แม้การที่จักรพรรดินีซึ่งเป็นผู้ปกครองฝ่ายในคนใหม่เรียกขุนนางที่เป็นอิสตรีมารวมตัวกันเพื่อจัดงานเลี้ยงนั้นมิใช่หน้าที่ มิใช่ราชกิจที่เป็นทางการ แต่ก็ยังคงเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ เพราะงานนี้เป็นทั้งการแสดงพระราชอำนาจ และยังเป็นเหมือนพิธีที่ช่วยตอกย้ำฐานันดรศักดิ์อีกทางหนึ่งด้วย
แน่นอนว่านางจำต้องส่งบัตรเชิญไปให้โรสมอนด์ที่เพิ่งจะได้เป็นบารอเนสอย่างเป็นทางการเมื่อเร็วๆ นี้ด้วย
เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทริเซียก็จริง แต่หากไม่ส่งบัตรเชิญไปให้ ไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นจะวิ่งแจ้นไปหาจักรพรรดิแล้วเล่นละครบทโศกกล่าวหาว่าตนขับนางออกจากวงสังคมหรือไม่ และหากนางทำเช่นนั้น จักรพรรดิคงทำหน้าปั้นปึ่งมาหา แล้วโวยวายว่าอย่ามาหาเรื่องผู้หญิงของเขาตามอำเภอใจ
แค่คิดแพทริเซียก็ถึงกับส่ายหน้าไปมา สีหน้าเหมือนคนปวดหัว เชิญมาก็ได้ แพทริเซียไม่อยากให้เรื่องเล็กน้อยอย่างงานเลี้ยงน้ำชามาทำให้ตนต้องเผชิญหน้ากับจักรพรรดิ
“ต้องทำสิ มาร์เชอเนสบริงสโตนบอกหรือ”
มาร์เชอเนสบริงสโตนคือมารดาของราฟาเอลา ราฟาเอลาพยักหน้า
“เห็นท่านว่าวันก่อนไวเคาน์เตสไฮกามาเยี่ยมเยือนที่คฤหาสน์ คงได้คุยเรื่องนี้กันตอนนั้น”
“อย่างนั้นหรือ…ของเคยปฏิบัติกันมาตลอด หากข้าไม่ทำก็คงแปลกสินะ”
“ริซซี่ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบงานแบบนั้น แต่ลองคิดดูให้ดีนะ สถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่สู้ดีนัก”
“ข้ารู้”
คนที่ไม่ได้รับความรักจากจักรพรรดิอย่างนาง ทางเดียวที่จะสู้ได้คือต้องอาศัยพวกขุนนาง จักรพรรดินีอย่างนางย่อมได้รับแรงสนับสนุนจากบรรดาขุนนางมากกว่าบุตรีของบารอนอย่างโรสมอนด์อยู่แล้ว แต่อาจมีข้อยกเว้นอย่างกรณีของดัชเชสเอเฟรนี… แพทริเซียคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนจะเอ่ยปาก
“มีร์ยา ช่วยเขียนบัตรเชิญให้ข้าทีได้ไหมคะ ความว่าสัปดาห์หน้าจะมีงานเลี้ยงน้ำชาที่สวนดอกไม้หลังตำหนักจักรพรรดินี”
ยิ่งช้ายิ่งไม่ดี เหล่าภริยาขุนนางอาจคิดว่าตนเมินพวกนางก็เป็นได้ ตอนนี้แม้ตนจะได้รับการสนับสนุน แต่ก็ยังไม่ถึงกับลอยตัวจึงไม่สามารถทำอะไรที่อาจเป็นเหตุให้ผู้อื่นชังน้ำหน้าได้ มีร์ยาตอบรับคำสั่ง แต่ครู่หนึ่งให้หลังนางก็ทำสีหน้าลำบากใจก่อนจะถามขึ้น
“ฝ่าบาท แล้ว…จะทำอย่างไรกับบารอเนสเฟ็ลปส์ดีเพคะ”
“ส่งไปตำหนักเวนด้วยแล้วกันค่ะ ข้าไม่อยากพบหน้าฝ่าบาทด้วยปัญหาเช่นนั้น”
แม้แพทริเซียพูดเหมือนไม่ยี่หระ แต่มีร์ยากลับรู้สึกไม่สบายใจด้วยรู้สึกถึงความเศร้าในน้ำเสียง นางพยายามตอบด้วยน้ำเสียงปกติ
“เพคะ หม่อมฉันจะทำตามรับสั่ง”
แพทริเซียตั้งอกตั้งใจเตรียมงานเลี้ยงน้ำชามากกว่างานไหนๆ เพราะงานนี้เป็นงานตนจะได้ปรากฏตัวต่อหน้าภริยาขุนนางและบุตรีของพวกนางในฐานะจักรพรรดินีเป็นครั้งแรก แพทริเซียไม่อยากถูกจับผิดแม้เพียงสิ่งเดียว ยิ่งเป็นงานที่โรสมอนด์เข้าร่วมด้วยยิ่งแล้วใหญ่
โรสมอนด์คนที่แพทริเซียรู้จักไม่ใช่นางร้ายธรรมดา แพทริเซียคิดว่าตนต้องเตรียมตัวให้มากกว่านี้ โรสมอนด์ไม่ได้โง่เง่าไม่มีหัวคิด หากฝ่ายนั้นสานสัมพันธ์กับเหล่าภริยาขุนนางได้ก็หมายถึงจุดจบ แน่นอนว่าเรื่องนั้นคงไม่เกิดขึ้นง่ายๆ แต่ชีวิตคนเราจะเกิดอะไรขึ้นบ้างย่อมไม่มีใครหยั่งรู้ การเตรียมตัวไว้ก่อนไม่ใช่เรื่องเสียหาย
“ฝ่าบาท ของขวัญที่จะมอบให้ผู้ร่วมงาน จะให้มอบตอนไหนดีเพคะ”
“ตอนใกล้จะจบงานค่ะ ถ้าข้าให้สัญญาณแล้วช่วยนำของขวัญออกมาด้วยนะคะ”
แพทริเซียออกคำสั่งอย่างเรียบเฉยก่อนจะก้มลงมองชุดเดรสที่สวมอยู่ มันเป็นชุดเดรสสีขาวที่วิจิตรหรูหราจนมิอาจติได้ว่าไม่ต่างจากชุดธรรมดา หากเป็นชุดนี้คงไม่มีใครบ่นว่าไม่มีสง่าราศี แพทริเซียรู้สึกสบายใจขึ้นพลางลูบๆ คลำๆ ผมที่จัดทรงไว้อย่างดีอีกครั้ง ต่อให้แกล้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่ ทำเป็นสงบเสงี่ยมเพียงใด แต่นางก็ยังเป็นแค่เด็กสาวบริสุทธิ์อายุสิบเก้าปีเท่านั้น
เดิมทีแพทริเซียไม่ใช่คนที่ชื่นชอบการเข้าสังคม เปโตรนิยาพี่สาวของนางสามารถพูดคุยหรือเชื้อเชิญคนแปลกหน้าเต้นรำได้ก็จริง แต่ด้วยนิสัยของแพทริเซียแล้ว นางไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ราฟาเอลาผู้เป็นอัศวินราชองครักษ์ของนางในตอนนี้เปโตรนิยาก็เป็นฝ่ายเข้าไปชวนคุยก่อนจนได้มาสนิทกัน
เพราะฉะนั้น สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าเฉยชาหรือไม่แต่แน่นอนว่าไม่กระตือรือร้นที่จะเข้าหาคนอื่นอย่างนาง งานเช่นนี้ย่อมทำให้รู้สึกอึดอัดใจ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจเลี่ยงเรื่องนี้ได้ เพราะมันเกี่ยวกับความเป็นความตาย หากนางพร่ำบ่นก็เท่ากับรอความตายคืบคลานเข้ามาหา
“เราขอขอบคุณทุกท่านที่มาในวันนี้ค่ะ”
“ขอแสดงความยินดีกับตำแหน่งผู้ปกครองฝ่ายในเพคะ ฝ่าบาท พวกหม่อมฉันควรจะมาเข้าเฝ้าพระองค์ให้เร็วกว่านี้แท้ๆ แต่ก็มิอาจมาได้”
แพทริเซียยิ้มเล็กๆ ก่อนจะตอบรับคำพูดของดัชเชสวาเซียร์
“การมารวมกันเช่นนี้น่าจะสะดวกกับทั้งสองฝ่ายมากกว่านะคะ ที่จริงเป็นเราเองที่จัดงานล่าช้า ทั้งที่ควรจะจัดให้เร็วกว่านี้”
แพทริเซียจิบชาคีมุนที่วางอยู่ตรงหน้าเข้าไปหนึ่งอึกก่อนจะสอดส่ายสายตาไปรอบๆ เพื่อมองผู้เข้าร่วมงาน ไม่มีวี่แววของโรสมอนด์ หรือจะไม่มา?
“ว่าแต่ไม่เห็นบารอเนสเฟ็ลปส์เลยนะเพคะ”
ภริยาขุนนางคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ทันใดนั้นบรรยากาศโดยรอบก็มาคุอย่างประหลาด บางคนเฝ้าสังเกตอาการของแพทริเซีย ในขณะที่บางคนเอาแต่สนุกกับงาน
“จะกล้ามาที่เช่นนี้หรือคะ หากเป็นข้าคงไม่โผล่มาหรอกค่ะ เกรงใจองค์จักรพรรดินี”
แพทริเซียเพิ่งจะถูกแต่งตั้งเป็นจักรพรรดินียังไม่ครบเดือนดี แต่จักรพรรดิกลับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้อนุภรรยาในช่วงเวลาที่ใครๆ ต่างก็มองว่าเป็นช่วงข้าวใหม่ปลามันเช่นนี้
สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แม้แต่ในชาติก่อนผู้คนก็ไม่ได้มองว่าเป็นสิ่งที่สมควรเลย ไม่ว่าจะจงใจก็ดี หรือไม่ได้จงใจก็ดี แต่ก็ไม่มีทางปฏิเสธได้เลยว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการลดทอนอำนาจของจักรพรรดินี
“จะไปว่าก็จริงนะคะ จะไร้ยางอายเพียงใดก็ต้องมีขอบเขตบ้าง มีอย่างหรือจะกล้า…”
“ขอประทานอภัยที่มาสายเพคะ”
สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังต้นเสียงที่แทรกขึ้นมา แพทริเซียจ้องโรสมอนด์ที่กำลังเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ชุดเดรสสีขาวเรียบๆ ที่เข้ากับใบหน้าขาวของนางทำให้นางดูงดงามมาก นางเดินเข้ามาจนถึงโต๊ะที่แพทริเซียและภริยาขุนนางหลายต่อหลายคนนั่งรวมกันอยู่ก่อนจะโค้งคำนับอย่างสง่างาม
“ยินดีที่ได้พบค่ะ ข้า โรสมอนด์ แมรี ลา เฟ็ลปส์ค่ะ”
“เชิญค่ะ บารอเนส”
หญิงสาวคนหนึ่งต้อนรับนางด้วยสีหน้าเจื่อนๆ ในฐานะภริยาขุนนาง โรสมอนด์มิใช่บุคคลที่ควรยินดีสักเท่าไรเมื่อได้พบ
ภริยาขุนนางชั้นสูงไม่อยากจะสุงสิงกับโรสมอนด์ด้วยล้วนแต่มีความภาคภูมิในสายเลือด ส่วนภริยาของขุนนางระดับล่าง แม้พวกนางจะมีศักดิ์เท่ากันแต่ก็คงจะรู้สึกอิจฉาอนุภรรยาของจักรพรรดิที่อายุน้อยกว่าพวกนางอยู่โขเป็นแน่
ไม่ว่าจะคิดอย่างไร แต่ยิ่งโรสมอนด์มีศัตรูมากเท่าไรย่อมเป็นผลดีกับแพทริเซียมากเท่านั้น
“เชิญนั่งค่ะ บารอเนส”
แพทริเซียฝืนยิ้มและเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายนั่ง ที่นั่งทั้งหมดถูกกำหนดตามฐานันดรศักดิ์ ด้วยเหตุนั้นขุนนางชั้นล่างสุดอย่างโรสมอนด์ย่อมต้องนั่งที่ปลายโต๊ะ หรือก็คือที่ที่ห่างจากแพทริเซียมากที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นนางเพิ่งจะได้เป็นบารอเนส อีกทั้งอายุยังน้อย จึงมิใช่เรื่องแปลกที่นางจะต้องไปนั่งที่ปลายโต๊ะคนละฝั่งกับแพทริเซีย
แพทริเซียรู้สึกว่าความจริงในข้อนั้นช่วยปลอบประโลมตนได้ เพราะหากโรสมอนด์มานั่งดื่มชาอยู่ข้างๆ นคงไม่รู้รสชาเป็นแน่
“กำลังคุยกันเรื่องอะไรอยู่หรือคะ”
“อ้อ ไม่ได้อะไรสลักสำคัญหรอกค่ะ”
ราฟาเอลาที่แต่งตัวมาในชุดเดรสไม่ใช่เสื้อเกราะยิ้มอย่างเป็นมิตรก่อนจะพูด
“พูดถึงบารอเนสอยู่น่ะค่ะ”
“ข้าหรือคะ”
“ค่ะ”
ราฟาเอลาตอบสั้นๆ ก่อนจะยิ้มมุมปากและกล่าวหยามเหยียดโรสมอนด์อ้อมๆ
“คิดว่าท่านจะไม่มาน่ะค่ะ ไม่น่าจะมา”
“ข้าน่ะหรือคะ”
“ถ้าข้าเป็นท่าน ข้าคิดว่าข้าคงไม่มา”
“ทำไมล่ะคะ”
ราฟาเอลาจ้องเขม็งไปที่โรสมอนด์ที่เอาแต่ถามยอกย้อนก่อนจะยิ้มสดใสอย่างไม่เข้ากับเนื้อหาที่พูดออกไป
“อายน่ะสิคะ หากข้ายังมียางอายหลงเหลืออยู่ในจิตใจบ้างก็คงไม่มา”
“…”
แม้จะถูกราฟาเอลาเหยียดหยาม แต่สีหน้าของโรสมอนด์ก็ไม่ได้ยับยู่แต่อย่างใด แพทริเซียคิดว่าต้องให้ราคากับความสามารถด้านการควบคุมสีหน้าของอีกฝ่าย จากนั้นภริยาขุนนางอีกคนหนึ่งก็รับไม้ต่อจากราฟาเอลา
“เห็นจะจริง หากมีความละอายแม้สักนิดคงไม่เข้ามาอยู่ข้างพระวรกายของฝ่าบาทที่ยังไม่แต่งตั้งจักรพรรดินีมาเป็นปีหรอกกระมัง”
“…”
ตอนนี้โรสมอนด์ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกไล่ต้อน หากนางเป็นบุตรีของขุนนางชั้นสูงก็เป็นอีกเรื่อง แต่น่าเสียดายที่บิดาของนางเป็นแค่บารอน เพราะฉะนั้นเหล่าขุนนางจึงไม่ค่อยพึงใจนางสักเท่าไร
โรสมอนด์นั่งนิ่งทำสีหน้าไร้อารมณ์อยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ยออกมาห้วนๆ
“ข้าไม่รู้ว่าพวกท่านทำเช่นนี้เพื่อการใด”
“อะไรหรือคะ”
“อย่างที่พวกท่านกล่าวมา ข้ารับใช้ฝ่าบาทในพระราชวังที่ไม่มีจักรพรรดินีมาเป็นปี และข้าไม่เห็นว่านั่นเป็นสิ่งที่ผิดบาปตรงไหนนะคะ”
โรสมอนด์ยกยิ้มมุมปาก ครั้นแพทริเซียเห็นภาพนั้น ร่างกายก็สั่นขึ้นมาทันที สีหน้าของฝ่ายนั้นดูน่าขนลุกนัก
“ข้าประทุษร้ายองค์จักรพรรดินีตรงๆ หรือก็มิใช่ ทุกท่านอย่าได้ว่ากล่าวข้ามากนักเลยค่ะ ตัวข้าเองก็หวังว่าพระจักรพรรดิจะทรงมอบความรักให้พระจักรพรรดินีบ้าง พระองค์เสด็จมาหาข้าทุกคืนๆ ข้าก็อยากพักร่างกายบ้าง”
“…”
คำพูดนั้นเหมือนจะล้อเลียนและแฝงความอวดอ้างเอาไว้ในที แพทริเซียได้ฟังดังนั้นถึงกับพูดไม่ออกจนต้องยิ้มเยาะออกมา โรสมอนด์เห็นดังนั้นก็มองมาด้วยสายตาเย้ยหยันและพูดต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“แน่นอนว่าสิ่งนั้นข้ามิอาจทำตามอำเภอใจได้… แต่ข้าจะลองพูดกับฝ่าบาทให้มากกว่านี้ค่ะ อย่างที่ทุกท่านกล่าว ข้าเองก็มียางอาย ข้ารู้สึกปวดใจที่องค์จักรพรรดินีทรงต้องอยู่อย่างเดียวดายทุกค่ำคืน”
“…”
ครั้นได้ยินคำพูดนั้นทุกคนก็ส่งเสียงเซ็งแซ่ ที่จริงทุกคนคงจะทราบอยู่แล้วว่าจักรพรรดิหลงอนุภรรยาเสียจนไม่ยอมไปเยือนตำหนักจักรพรรดินี แต่ขณะที่แพทริเซียจะอ้าปากต่อว่าโรสมอนด์ที่ยกเอาเรื่องที่คนอื่นก็รู้แต่ไม่พูดออกมาไขในที่แจ้ง เสียงของคนผู้หนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“บารอเนสเฟ็ลปส์”
เสียงที่คุ้นเคยนั้นทำเอาแพทริเซียใจหายวาบ
ถ้าจะมีสิ่งที่แพทริเซียมองว่าดีนับตั้งแต่วันที่นางได้เป็นจักรพรรดินีก็คงจะเป็นการเข้าออกหอสมุดหลวงได้โดยอิสระ สามีก็ไม่สนใจ ดัชเชสเอเฟรนีก็ช่วยงานฝ่ายในอยู่ แม้แพทริเซียจะไม่ได้ว่างมาก แต่ก็ไม่ถึงกับยุ่งจนกระดิกตัวไปไหนไม่ได้
วันนี้อากาศแจ่มใส แพทริเซียจึงออกไปนอกตำหนักจักรพรรดินี
ภายในหอสมุดยังคงเงียบสงบเช่นเคย นางไม่เห็นบรรณารักษ์ บางทีฝ่ายนั้นอาจจะไปเข้าห้องน้ำ ระหว่างทางเดินไปยังชั้นหนังสือแพทริเซียก็คิดไปด้วยว่าหากตนไม่ได้เป็นจักรพรรดินีก็คงจะทำงานเป็นบรรณารักษ์ในหอสมุดแห่งนี้
ขณะเดินไปที่มุมหนังสือประวัติศาสตร์เหมือนเคย จู่ๆ แพทริเซียก็นึกถึงเรื่องเมื่อหลายเดือนก่อนขึ้นมาได้
น่าจะประมาณสามเดือนก่อนตอนที่ตนได้พบโรสมอนด์ที่นี่ เมื่อคิดถึงเรื่องตอนนั้นก็พลันอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา บ้าจริง แพทริเซียสบถในใจก่อนจะรีบส่ายศีรษะเพื่อลบความคิดนั้นออกไปโดยเร็ว เพราะต่อให้ไม่ได้แสดงออกอะไรออกไปแต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนั้น
สีหน้าของหญิงสาวยังเจือความไม่พอใจอยู่บ้าง นางเขย่งปลายเท้าขึ้นเล็กน้อยและหยิบเอาหนังสือเล่มไม่หนาไม่บางเล่มหนึ่งออกมาจากชั้น
แพทริเซียพิงศีรษะกับชั้นหนังสือและอ่านหนังสือไล่จากบรรทัดบนลงมาข้างล่างเรื่อยๆ ด้วยสีหน้าเหม่อลอยก่อนจะพบว่าหน้าต่อไปฉีกขาดอย่างไม่เหลือเค้า
นางคิดว่าต้องนำเรื่องนี้ไปแจ้งบรรณารักษ์จึงผละตัวออกจากชั้นหนังสือและเดินไปยังทางเข้า และ ณ ที่แห่งนั้นมีคนอยู่ ดูเหมือนว่าบรรณารักษ์จะกลับมาแล้ว เดิมทีจึงตั้งใจจะเรียกขานด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่เมื่อเห็นคนคนหนึ่งเข้า แพทริเซียก็นิ่วหน้า
โรสมอนด์
แพทริเซียปรับสีหน้าของตนอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ต่อให้พบเจออีกฝ่าย ตนก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องหน้านิ่วคิ้วขมวดอีกแล้ว ต้องไม่ทำตัวไม่เป็นผู้ใหญ่
“…ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลยนะคะ”
เมื่อโรสมอนด์รู้สึกตัวว่ามีคนอื่นนอกจากตน นางก็ยิ้มกว้างและเดินเข้ามาหา
“ตายจริง ไม่ทันไรก็ลืมหน้าข้าแล้วหรือคะ”
“อ้อ”
แพทริเซียพูดไปตามน้ำและทำประหนึ่งว่าไม่ได้ยี่หระอะไร
“ข้ารับใช้เมื่อตอนนั้นนี่เอง พบกันอีกแล้วนะคะ”
“…”
สีหน้าของโรสมอนด์กระตุกเล็กน้อยแทบมองไม่ออก แต่แค่วูบเดียวก็กลับไปเป็นเช่นเดิม เรื่องตีหน้าซื่อไม่มีใครเกินนาง
แพทริเซียเอาแต่ยิ้มและแสร้งทำเป็นไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงบนสีหน้านั้น
“ดูท่าทางท่านควิเนสจะได้เป็นจักรพรรดินีแล้วสินะคะ”
“ค่ะ โชคเข้าข้างน่ะค่ะ”
เข้าข้างก็แย่แล้ว จะมีเรื่องไหนซวยไปมากกว่านี้ แต่แพทริเซียก็พูดเช่นนั้นออกไปไม่ได้ ยิ่งเป็นต่อหน้าอนุของสามีด้วยแล้ว
“ว่าแต่จริงๆ แล้วท่านเป็นใครหรือคะ”
“ข้าหรือคะ”
“ใช่ค่ะ เราคิดว่าท่านเป็นพระราชมารดาของพระจักรพรรดิเสียอีก”
แพทริเซียยิ้มใสซื่อ ส่วนโรสมอนด์หน้าตึงไปแล้ว สิ่งที่นางคิดว่าเป็นข้อด้อยข้อเดียวของตัวเองก็คือการที่นางมีอายุมากกว่าจักรพรรดิ
เมื่อเรื่องอายุถูกหยิบยกขึ้นมาแขวะเช่นนี้ มุมปากของโรสมอนด์ถึงกับกระตุกเล็กๆ แต่สำหรับแพทริเซียแล้วนั่นไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจ
“คนที่จะยืนต่อหน้าจักรพรรดินีของจักรวรรดิได้มีเพียงจักรพรรดิเท่านั้นมิใช่หรือคะ หากมิใช่พระองค์ก็คงจะเป็นพระราชมารดาของพระองค์ แต่ในเมื่อท่านมิใช่จักรพรรดิ ก็เห็นจะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากพระพันปี…แต่ก็อย่างที่ทราบว่าพระพันปีมิได้ประทับอยู่ในพระราชวัง”
แพทริเซียพูดเสียงเรียบ ทันใดนั้นก็จดจ้องโรสมอนด์ด้วยสายตาดุดัน แต่โรสมอนด์ก็ยังคงมีท่าทีแข็งกระด้างแม้จะถูกจ้องมองเช่นนั้น เมื่อเห็นดังนั้น แพทริเซียก็รู้สึกถึงความเกรี้ยวกราดที่พวยพุ่งอยู่ภายใน โรสมอนด์คงจะหยิ่งผยองเช่นนี้กับพี่สาวของนางด้วยสินะ แพทริเซียเกือบจะกัดริมฝีปากตัวเองแต่ก็อดกลั้นไว้ เพราะจะให้โรสมอนด์เห็นมุมที่อ่อนแอของตนไม่ได้
“ถ้าเช่นนั้น ท่านเป็นใครกันคะ”
“…”
“โปรดแจ้งบรรดาศักดิ์แก่เรา ดูจากเครื่องแต่งกายแล้วก็ไม่น่าจะเป็นสาวใช้ หรือจะเป็นนางกำนัลจากตำหนักกลาง?”
ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะบอกบรรดาศักดิ์ได้ เพราะแพทริเซียยังไม่ได้อนุมัติการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้นางอย่างเป็นทางการ และโรสมอนด์ก็คงไม่โง่พอที่จะพูดด้วยปากของตัวเองว่าตนเป็นอนุภรรยา แพทริเซียสงสัยอย่างมากว่านางจะตอบอย่างไร
“อีกไม่นานหม่อมฉันคงได้ถวายบังคมฝ่าบาทอย่างเป็นทางการเพคะ จนกว่าจะถึงตอนนั้น…”
“เรื่องที่กำลังจะเกิดก็เป็นส่วนของเรื่องที่กำลังจะเกิด แต่เราถามท่านตอนนี้ หรือท่านมีเหตุผลอะไรที่ตอบเราไม่ได้เช่นนั้นหรือคะ”
“…”
โรสมอนด์ทำสีหน้าประหลาด จะขบขันก็มิใช่จะเรียบเฉยก็ไม่เชิง แต่เป็นสีหน้าที่อยู่ระหว่างสองอารมณ์นั้น แพทริเซียไม่พึงใจกับพฤติกรรมนั้นและพูดจาให้น่าเกรงขามขึ้นอีก
“ก่อนหน้านี้เราไม่มีความจำเป็นต้องใส่ใจเพราะเราไม่ใช่นายหญิงของราชวงศ์ แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว หากท่านไม่รีบแสดงตัว เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราจะทำอะไรลงไป ฉะนั้น รีบบอกมาเถอะค่ะ”
แพทริเซียถามโรสมอนด์ซึ่งๆ หน้า
“ท่าน…เป็นใครคะ”
“…ถวายบังคมเพคะ หม่อมฉัน โรสมอนด์ แมรี ลา แดโรว์ เป็นบุตรีของตระกูลบารอนแดโรว์เพคะ”
“เหตุใดบุตรีของบารอนแดโรว์จึงได้มาเดินเหินในเขตพระราชฐานอย่างมิเกรงกลัวสายตาผู้ใดเช่นนี้ เลดี้โรสมอนด์ เรารู้มาว่าบัดนี้บารอนแดโรว์พำนักอยู่ที่บารอนี[1]มิใช่หรือคะ หรือเราเข้าใจผิดไปเอง?”
“ฝ่าบาทตรัสถูกต้องแล้วเพคะ”
“เช่นนั้นก็แปลก เพราะหากเป็นเช่นนั้น ตัวท่านเองก็ไม่ควรจะอยู่ที่นี่”
“เรื่องนั้น…”
แพทริเซียมองโรสมอนด์ที่อ้ำๆ อึ้งๆ ด้วยสายตาไม่ยินดี ขณะที่โรสมอนด์กำลังกลุ้มใจอยู่ว่าจะทำอย่างไรดีก็มีเสียงของคนผู้หนึ่งแทรกขึ้นมา
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”
เสียงที่คุ้นเคยเช่นนี้ หากไม่ได้ยินในเวลานี้คงจะดีกว่า แพทริเซียตาเบิกโพลง สีหน้าของโรสมอนด์พลันสดใสขึ้นทันทีที่เห็นจักรพรรดิเดินเข้ามา ราวกับนางไม่เคยทำสีหน้าหมองหม่นมาก่อน ในขณะที่แพทริเซียตัวแข็งทื่อโดยอัตโนมัติ
“…ฝ่าบาท”
“ตอนนั้นเราคงอธิบายไม่มากพอ จึงได้…เกิดเรื่องโชคร้ายเช่นนี้ขึ้น”
“โชคร้ายหรือเพคะ”
แพทริเซียทวนคำด้วยสีหน้างุนงง โชคร้าย? โชคร้ายอย่างนั้นหรือ การที่ตนกับโรสมอนด์มาเจอกันถือเป็นเรื่องอัปมงคลถึงเพียงนั้น? เป็นเรื่องที่ไม่น่าพอใจถึงเพียงนั้น?
แพทริเซียลืมความตั้งใจจนหมดสิ้น นางกัดริมฝีปากด้วยความเจ็บช้ำที่ตีรื้นขึ้นมากะทันหัน หากไม่ทำเช่นนั้นไม่แน่นางอาจจะอาละวาดขึ้นมาตรงนี้ก็เป็นได้
แพทริเซียคิดถึงตรงนั้นก่อนจะยิ้มเยาะออกมา นางใช้ชีวิตด้วยความมั่นใจว่าตนอยู่อย่างสงบ ไม่มีอารมณ์ร่วมใดๆ แต่ถูกโรสมอนด์ปั่นหัวเพียงเท่านี้ ความสุขุมก็สั่นคลอนเสียแล้ว
ไม่แปลกที่เปโตรนิยาจะเปลี่ยนไป
ต้องเจอเรื่องเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาถึงสามปี จะยังอยู่เป็นปกติโดยไม่เสียสติได้อย่างไร
“ทำความรู้จักไว้สิ นี่โรสมอนด์ คนที่เราจะแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้เป็นบารอเนส นางอยู่ในวังมากว่าหนึ่งปีแล้ว เรานึกว่าพวกข้ารับใช้จะบอกเจ้าแล้วเสียอีก แต่ดูเหมือนจะยังไม่มีใครพูดถึงกระมัง”
“…”
แพทริเซียสงสัยอย่างมากว่าจักรพรรดิไปเอาความหน้าด้านหน้าทนเช่นนี้มาจากที่ใด คนสติดีที่ไหนจะแนะนำอนุภรรยาให้ภรรยาหลวงรู้จักอย่างมั่นอกมั่นใจได้ขนาดนี้ แม้จะเป็นจักรพรรดิ แต่เขาก็ควรจะรักษามารยาทกับนางบ้าง
แพทริเซียคิดเช่นนั้น แต่แล้วนางก็รีบเปลี่ยนความคิด ไม่สิ นางหวังมารยาทเช่นนั้นจากผู้ชายคนนี้ไม่ได้มาตั้งแต่แรกแล้ว
หากเขามีสติพอที่จะรักษามารยาทได้ เขาคงไม่ปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ แพทริเซียคิดว่าการเลิกคาดหวังน่าจะสบายใจเสียกว่า นางจึงยกยิ้มมุมปาก อา ถ้าไม่ยิ้มออกมาคงทนเหตุการณ์เช่นนี้ต่อไปไม่ไหวเป็นแน่
“ข้ารับใช้ของหม่อมฉันคงไม่จำเป็นต้องแนะนำอนุภรรยาที่อยู่ในวังมาเป็นปีแต่ไม่ได้รับการยอมรับกระมังเพคะ”
“…เช่นนั้น เจ้ายอมรับเสียตั้งแต่ตอนนี้ก็ย่อมได้…มิใช่หรือ”
“จะได้หรือมิได้ หม่อมฉันก็ต้องยอมรับมิใช่หรือเพคะ ในเมื่อทรงแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้นางเป็นถึงบารอเนสแล้ว”
แพทริเซียพึมพำด้วยน้ำเสียงเย็นชาก่อนจะวางหนังสือที่ถืออยู่ลงบนโต๊ะของบรรณารักษ์
อุตส่าห์มาหอสมุดเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศทั้งที ท่าทางจะไม่ได้มาที่นี่อีกพักใหญ่ แพทริเซียคิดจะหลีกเลี่ยงอีกฝ่าย คราวนี้ไม่ใช่มูลแค่กองเดียว แต่มีถึงสองกอง ขืนเหยียบเข้าไป ตัวนางมีแต่เสียกับเสีย
“หากมิประสงค์ที่จะตกเป็นขี้ปากของข้าราชบริพาร ทรงใช้เวลาอยู่กับนางแค่ที่นี่น่าจะดีกว่านะเพคะ เพราะการให้ใครต่อใครเห็นว่าพระจักรพรรดิอยู่กับอนุภรรยาตอนกลางวันแสกๆ เช่นนี้คงไม่ดีกับพระเกียรติของพระองค์นัก”
ครั้นพูดจบ แพทริเซียก็หันหลังเดินออกจากหอสมุดไปอย่างไร้เยื่อใย
การไม่เห็นภาพของสองคนนั้นในสายตาเร็วขึ้นสักวินาทีจะดีต่อสุขภาพจิตมากกว่า แพทริเซียแสดงออกถึงความไม่พอใจทางสีหน้าอย่างไม่ปิดบัง ก่อนจะเดินลงแรงที่รองเท้าส้นสูงจากไป
หากไม่ระบายความโกรธด้วยวิธีเช่นนี้ นางอาจจะทำผิดจากความตั้งใจที่ตั้งไว้แต่แรกก็เป็นได้
ในที่สุดโรสมอนด์ แมรี ลา แดโรว์ก็กลายเป็นบารอเนสโรสมอนด์ แมรี ลา เฟ็ลปส์ อีกทั้งนางยังออดอ้อนลูซิโอให้ย้ายนางไปอยู่ในตำหนักที่ใหญ่ขึ้น แน่นอนว่าสิ่งนั้นต้องได้รับอนุญาตจากแพทริเซียจึงจะทำได้ ซึ่งนางก็อนุญาตโดยไม่พูดพร่ำ แต่เรื่องนั้นไม่ได้ทำให้โรสมอนด์รู้สึกขอบคุณสักเท่าไร
“ขอแสดงความยินดีที่ได้รับการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ค่ะ เลดี้”
โรสมอนด์ยิ้มบางๆ พร้อมทั้งปฏิเสธคำยินดีของคลาราผู้เป็นสาวใช้
“ยังเร็วไปที่จะเปิดแชมเปญ”
ตำแหน่งบารอเนสมันกระจอกงอกง่อยมากสำหรับนาง อย่างน้อยนางก็ควรได้เป็นจักรพรรดินีมิใช่หรือ โรสมอนด์ยิ้มอย่างเยือกเย็นก่อนจะบ่นพึมพำ
“พระจักรพรรดินีก็ยังมีพระชนม์มายุไม่เท่าไร อีกทั้งยังดูเอาเรื่อง…”
แต่ถึงอย่างไรก็เป็นแค่จักรพรรดินีที่ไม่ได้รับความรัก โรสมอนด์ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาและค่อยๆ เดินไปนั่งบนเตียง นางสัมผัสความนุ่มนวลของผ้าห่มด้วยฝ่ามือและพูดออกมาอย่างเผลอตัว
“แผนของข้าเพิ่งจะเริ่ม”
ก่อนอื่นก็เป็นบารอเนส เป็นดัชเชส เป็นจักรพรรดินี แล้วก็เป็นพระพันปี… โรสมอนด์ทบทวนความต้องการของตนทีละอย่างพลางหัวเราะออกมา นางมิใช่คนโง่ จักรพรรดินีเด็กเมื่อวานซืนเพียงคนเดียวก็คงไม่คณามือนาง ต่อให้แพทริเซียเป็นบุตรีของตระกูลมาร์ควิสก่อนที่จะมาเป็นจักรพรรดินี แต่อีกฝ่ายคงไม่มีทางทำอะไรก้อนหินที่กลิ้งลงมาจากที่สูงอย่างตนได้
เจ้าหญิงที่เติบโตมาด้วยความรักในครอบครัวที่อบอุ่น ต่อให้ร้าย แต่จะร้ายได้สักเพียงใดกันเชียว คนเรานั้นต่อให้มีความกล้าแต่ก็มิอาจต่อกรกับปีศาจได้ โรสมอนด์ยิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ยปากถามคลารา
“ฝั่งจักรพรรดินีมีความเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่”
โรสมอนด์ไม่คิดว่าแพทริเซียจะวางแผนอะไรไว้ตั้งแต่ตอนนี้ แต่นี่มันก็เงียบเกินไป สามีพาอนุเข้าบ้านทั้งทีจะเก็บตัวเงียบราวกับคนบ้าใบ้เช่นนี้ได้หรือ หากเป็นนาง นางคงทำเช่นนั้นไม่ได้ แต่อีกใจก็คิดว่าหากเรื่องเป็นเช่นนี้ อะไรๆ อาจจะง่ายขึ้น โรสมอนด์จึงฮัมเพลงเล่น
“ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ค่ะ เลดี้ ไม่แน่ว่า…อาจจะกลัวท่านจนตัวสั่นอยู่ก็ได้นะคะ”
“ต่อให้เป็นเช่นนั้นจริงก็นิ่งนอนใจไม่ได้ ถึงอย่างไรนางก็เป็นบุตรีของมาร์ควิส แน่นอนว่าพวกขุนนางที่เอาชาติกำเนิดมาโจมตีข้าคงมีไม่น้อย”
โรสมอนด์มีทั้งความรักจากจักรพรรดิ มีสมองที่รู้จักนำเอาความรักนั้นไปใช้ ไหนจะรูปโฉมที่งดงาม อีกทั้งยังมีความรอบคอบ ทว่า มีเพียงสิ่งเดียวที่นางไม่สามารถทำอะไรได้ นั่นก็คือชาติกำเนิด ความกังวลใจหนึ่งเดียวของโรสมอนด์คือการที่บิดาของนางเป็นเพียงบารอนต่ำต้อย
“เรื่องนั้นแค่ท่านให้กำเนิดพระราชโอรสก็ไม่มีปัญหาแล้วค่ะ ถึงอย่างไรพระจักรพรรดินีก็ไม่สามารถทรงพระครรภ์ได้ พระจักรพรรดิเองก็คงมีพระราชประสงค์ที่จะแต่งตั้งเลือดเนื้อเชื้อไขของพระองค์เป็นรัชทายาทมากกว่าจะแต่งตั้งเชื้อพระวงศ์สายรอง ถึงตอนนั้น หากเรื่องที่พระราชโอรสไม่ได้มีพระประสูติกาลจากองค์จักรพรรดินีเป็นปัญหา ก็หาข้ออ้างปลดพระองค์ แล้วท่านก็ขึ้นเป็นจักรพรรดินีแทนก็ได้นี่คะ”
โรสมอนด์ยิ้มและพยักหน้าราวกับจะบอกว่าที่คลาราพูดมานั้นถูกต้อง
การเปลี่ยนหัวข้อในการคัดเลือกรอบสุดท้ายเป็นการตรวจร่างกายทำให้ไม่ว่าใครต่อใครก็ตกตะลึงนั้นก็เป็นหนึ่งในแผนการของนาง แม้ว่าจะไม่เคยมีธรรมเนียมปฏิบัติ แต่เหตุผลก็นับว่าสมควร เพราะฉะนั้นพวกขุนนางจึงไม่สามารถยื่นอุทธรณ์เกี่ยวกับหัวข้อนั้นได้
พระราชประสงค์ที่จะรับเอาจักรพรรดินีที่สุขภาพดีมาเป็นคู่ชีวิตที่พึ่งพาได้นั้น ใครเล่าจะกล้ามองข้าม
“อย่ามีลูกกับอนุอย่างนั้นรึ เฮอะ! ถ้าเจ้ามีลูกไม่ได้ พระจักรพรรดิก็ต้องให้คนอื่นมีให้อยู่ดี เป็นหมันแท้ๆ แต่ใฝ่สูงนัก”
การที่แพทริเซียเอาชนะเลดี้ทริชาจนได้เป็นจักรพรรดินีก็มีสาเหตุมาจากเรื่องนั้น การตรวจร่างกายเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น แท้จริงแล้วคือการตรวจความสามารถในการมีบุตร
ช่างน่าเสียดายที่เลดี้ทริชาแห่งตระกูลวาเซียร์มีความสามารถในการมีบุตรสูงมาก แต่หากโรสมอนด์อยากจะให้บุตรของตนได้เป็นรัชทายาท จักรพรรดินีก็จำเป็นต้องเป็นคนที่ไม่สามารถมีบุตรได้
แพทริเซียก็ไม่ใช่บุตรีของขุนนางชั้นผู้น้อย เพราะฉะนั้นการให้นางเป็นจักรพรรดินีก็ไม่ได้ยากอะไร
“ปิดปากพวกหมอหลวงเรียบร้อยหรือยัง”
โรสมอนด์ถามคลาราด้วยความระแวง ซึ่งฝ่ายนั้นก็พยักหน้าและตอบกลับ
“ไม่ต้องกังวลค่ะ ข้ากำชับไว้หนักหนาแล้ว หากพวกมันเสียดายชีวิตก็คงไม่เปิดปากพูดหรอกค่ะ”
“ถ้าเห็นอะไรผิดปกติจัดการได้เลยนะ ไม่สิ ให้เวลาผ่านไปสักหน่อยแล้วค่อยสังหารพวกมันให้หมดเลย”
ปล่อยไว้ก็จะเป็นหนามทิ่มแทงใจ หากความจริงหลุดออกไปเรื่องจะวุ่นวายขึ้นมา ดีไม่ดีอาจเปลี่ยนตัวจักรพรรดินีจากแพทริเซียเป็นเลดี้ทริชาตามเดิมก็เป็นได้
หากเรื่องเป็นเช่นนั้น โอกาสของนางก็จะกลายเป็นศูนย์ หญิงสาวคงไม่มีวิธีใดที่จะเอาชนะบุตรีของดยุกที่มีความสามารถในการให้กำเนิดบุตรได้ ต่อให้นางใช้วิธีสกปรกยังยาก
“ถ้าพวกมันตายตอนนี้อาจมีคนสงสัยขึ้นมาก็ได้ เข้าใจหรือไม่”
“ค่ะ บารอเนส ข้าจะทำตามที่สั่ง”
ได้ยินดังนั้นโรสมอนด์จึงทำสีหน้าโล่งอกและฮึมฮัมเพลงต่อไป นางหยิบน้ำหอมจากโต๊ะเครื่องแป้งมาประพรมตามร่างกาย อีกไม่นานจะได้เวลาที่ลูซิโอจะมาแล้ว
[1] บารอนี คือ อาณาเขตปกครองของบารอน ซึ่งได้รับมาพร้อมกับบรรดาศักดิ์
“นี่เป็นธรรมเนียมหรือคะ ดัชเชส”
“พระองค์ทรงหมายถึง…”
“เราหมายถึงจักรพรรดินีพระองค์ก่อนก็ต้องทำเช่นนี้หรือคะ”
ครั้นได้ฟังคำถาม ดัชเชสเอเฟรนีก็ตอบทันที
“มีเพียงไม่กี่พระองค์เพคะ ทว่า…”
“…”
“การทำเช่นนี้พระองค์ก็จะทรงงานได้ง่ายขึ้นด้วยเพคะ”
“คงเป็นเช่นนั้น ทว่า หากจะมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติก็คงยากสักหน่อย ดัชเชสคะ ตามธรรมเนียมแล้วจักรพรรดินีต้องปฏิบัติงานของราชวงศ์ คนในจักรวรรดิมาวินอสไม่ว่าใครก็มีมโนคติเช่นนั้น หรือดัชเชสคิดจะชิงอำนาจไปจากเรากัน”
“ทรงเข้าพระทัยผิดแล้วเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันเพียงแต่…ทำเพื่อฝ่าบาทเท่านั้นเพคะ”
“หากท่านทำเพื่อเราจริง ตลอดหนึ่งปีท่านควรจะขัดขวางสิ่งที่จะมากดทับอำนาจของเรามิใช่หรือคะ เรากำลังพูดถึงข่าวลือไม่สู้ดีที่แพร่สะพัดในวัง”
“…”
ดัชเชสเอเฟรนีเงียบไปเมื่อรู้ว่าแพทริเซียกำลังพูดถึงโรสมอนด์
แพทริเซียแยกไม่ออกว่าดัชเชสเอเฟรนีอยู่ฝ่ายนางหรือฝ่ายโรสมอนด์ แน่นอนว่านายหญิงผู้เป็นเสาหลักของตระกูลดัชเชสอย่างนางคงมีความภาคภูมิในสายเลือดสูง
เมื่อคิดเช่นนั้นแล้ว ดัชเชสก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่สนับสนุนนาง แต่นางไม่อาจเชื่ออีกฝ่ายได้ง่ายๆ เพราะดัชเชสเอเฟรนีเคยแปรพักตร์ไปจากเปโตรนิยาในตอนท้าย
ตามจริงแล้ว หากแพทริเซียจะคิดเช่นนั้น ข้ารับใช้ฝ่ายในที่เคยติดตามเปโตรนิยาก็ไม่มีใครเชื่อถือได้สักคน
“เราเองก็รู้ค่ะว่าท่านคงจะทำได้ดีกว่าเรา และเราก็ไม่ได้ติดขัดอะไรกับการที่ท่านจะยังคงปฏิบัติงานต่อไปอีกสักระยะ ทว่า เราจะเป็นผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจเด็ดขาด เพราะนั่นคือธรรมเนียมปฏิบัติ ท่านเข้าใจที่เราพูดไหมคะ ดัชเชส”
“เพคะ ฝ่าบาท ต้องขอประทานอภัยด้วยเพคะ”
แพทริเซียเหลือบตามองที่มือของอีกฝ่าย พบว่านางกำลังกำหมัดจนมือสั่น นางถือว่าข้าล่วงล้ำอำนาจของนางหรืออย่างไรกัน นางจะว่าข้าล้ำเส้นอย่างนั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นก็คงไม่มีเรื่องใดน่าขันไปกว่านี้แล้ว แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ
การถือครองสิ่งที่มิใช่ของตนมาเป็นเวลานานอาจทำให้หลงเข้าใจผิดคิดไปว่าของสิ่งนั้นเป็นของตน จิตใจของมนุษย์เป็นเช่นนั้น และด้วยเหตุนั้น โรสมอนด์ที่อยู่ข้างกายจักรพรรดิในช่วงปีที่ผ่านมาจึงคิดไปว่าตนมีคุณสมบัติจะเป็นจักรพรรดินี
“เอาเป็นว่าเราตกลงตามที่ท่านว่า ส่วนเอกสารที่นำมาให้ เราจะทำความเข้าใจให้เร็วที่สุด ตอนนี้เชิญท่านกลับไปได้ค่ะ”
“เพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันทูลลา…”
ดัชเชสเอเฟรนีหันหลังเดินออกจากห้อง ไม่แน่ว่านางอาจจะกำลังก่นด่าตนอยู่ในใจ ไม่สิ นางกำลังด่าอยู่เป็นแน่ แต่แพทริเซียไม่สนใจเรื่องนั้น คนที่ทำให้เชื่องได้ง่ายที่สุดในโลกคือคนที่จิตใจผันแปร ดัชเชสเอเฟรนีเคยแปรพักตร์ไปเข้ากับโรสมอนด์มาแล้วครั้งหนึ่ง ขอเพียงแพทริเซียรู้ว่าเหตุผลนั้นคืออะไร ไม่สิ ต่อให้ไม่รู้ การจะซื้อใจนางก็คงไม่ยากนัก
แพทริเซียคิดอย่างไม่ยี่หระ จากนั้นก็ลองอ่านเอกสารที่ดัชเชสเอเฟรนียกมาให้อย่างผ่านๆ ตนพูดจาไว้เสียใหญ่โตขนาดนั้นก็ควรจะรีบลงมือเพื่อรักษาหน้าของตัวเอง
***
หลังจากนั้นก็ไม่มีเรื่องสลักสำคัญเกิดขึ้นซึ่งต่างจากที่แพทริเซียคาดเอาไว้ โรสมอนด์ไม่ได้มาระรานนาง อีกทั้งยังไม่มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นในพระราชวังอีกด้วย
ไม่รู้ว่าความทรงจำสุดท้ายของนางมันรุนแรงเกินไปจนนางหวาดผวาไปเองเกินเหตุหรืออย่างไร โชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้ความกังวลว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ที่ทำให้นางตกที่นั่งลำบากมลายไปสิ้น แต่วิกฤตมักจะมาตอนที่ไม่ทันระวังตัวอยู่เสมอ
“ฝ่าบาท พระจักรพรรดิเสด็จเพคะ”
การที่จักรพรรดิที่พบหน้ากันครั้งสุดท้ายเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนมาหาย่อมทำให้แพทริเซียตกใจ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะมา นางสงสัยมากทีเดียวว่าคราวนี้เขาจะมาพูดอะไรให้นางเจ็บช้ำน้ำใจอีก
“เชิญเสด็จ” หญิงสาวตอบรับเสียงเรียบ
จักรพรรดิในชุดเครื่องแบบสีขาวก้าวเข้ามาในห้อง รูปลักษณ์ภายนอกดูงดงาม แต่แพทริเซียเห็นเขาเป็นแค่งูขาวเลือดเย็นเท่านั้น
นางทำความเคารพด้วยน้ำเสียงไม่สดชื่น
“ถวายบังคมพระจักรพรรดิ ขอองค์สุริยันจงทรงพระเจริญ”
“ไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นเถอะ”
“เพคะ”
เขานั่งลงบนเก้าอี้ นางไม่แน่ใจว่าเขานั่งเพราะตั้งใจจะมาพูดอะไรเยิ่นเย้อหรือไม่ แต่จะให้ยืนคุยก็ไม่ได้ นางสั่งให้มีร์ยาไปยกชามะนาวมาสองแก้วก่อนจะนั่งลง แม้นี่จะดีกว่านั่งข้างๆ กัน แค่การนั่งประจันหน้ากันเช่นนี้ก็เป็นเรื่องน่าอึดอัดและกระอักกระอ่วนไม่เบา
“เราแวะมาเพราะมีเรื่องจะบอก”
เขาเริ่มพูดก่อนที่น้ำชาจะมาเสียอีก ท่าทางดูคล้ายจะรีบกลับเช่นนี้ น่าจะดีแล้วกระมัง นางคิดว่าคงยากที่จะพิจารณาว่าทางไหนดีกว่ากัน ก่อนจะตอบออกไป
“เชิญตรัสเพคะ”
“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าเรามีสตรีที่หมายใจไว้แล้ว”
“…เพคะ ฝ่าบาท”
ไม่ทราบได้อย่างไรเล่าเพคะ นางยิ้มเย็นยะเยือกก่อนจะตอบออกไป จะไม่รู้ได้อย่างไร ในเมื่อข้ารู้กระทั่งชื่อของนาง แน่นอนว่าท่านคงไม่คิดว่าข้าจะรู้ถึงขนาดนั้น…
“เราคิดจะแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้นาง”
“…”
แพทริเซียคาดการณ์ไว้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะหน้าไม่อายขนาดนี้ และเพราะคาดการณ์เอาไว้แล้ว แทนที่จะทำหน้ามุ่ย นางกลับยิ้มกว้าง มันช่างเป็นเรื่องที่ไร้สาระจริงๆ เหลวไหลเสียจนนางไม่บังอาจนิ่วหน้า ลูซิโอกลับเป็นฝ่ายนิ่วหน้าเสียเองด้วยคิดว่ารอยยิ้มของแพทริเซียกำลังล้อเลียนเขาอยู่
“สีหน้าเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร”
“ในเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีเรื่องอันใดที่น่าอดสูถึงขนาดต้องทำหน้านิ่วคิ้วขมวดนี่เพคะ ฝ่าบาท ทำตามพระประสงค์เถอะเพคะ เพราะถึงหม่อมฉันจะทัดทาน แต่ก็จะทรงทำอยู่ดีมิใช่หรือเพคะ”
“เจ้าก็ไม่ได้โง่เง่าขนาดนั้นสินะ”
“ให้เป็นบารอเนสก็น่าจะพอใช่ไหมเพคะ”
“…เจ้ารู้เรื่องนั้นได้อย่างไร”
เขาถามด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกได้ถึงความแข็งกระด้าง
“เราไม่เคยพูดถึงนางเสียหน่อย”
“…”
อา ตายจริง ข้าเผลอตัว แพทริเซียรีบกลบเกลื่อนทันที
“ก็แค่ลองเสนอจากตำแหน่งที่ต่ำที่สุดน่ะเพคะ จะทรงแต่งตั้งนางเป็นดัสเชสเลยก็คงไม่ได้มิใช่หรือเพคะ ฝ่าบาท ทว่า…ดูจากปฏิกิริยาของพระองค์ ท่าทางนางจะมิใช่ผู้สูงศักดิ์ใช่หรือไม่”
“…เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ถึงขนาดนั้น”
“ต้องรู้สิเพคะ จะมีบารอเนสคนใหม่ทั้งที ผู้ปกครองฝ่ายในอย่างหม่อมฉันจะไม่รู้เรื่องนั้นได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น…หากนางอยู่ในวัง เรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ หม่อมฉันก็ต้องเป็นคนตัดสินใจ”
“…นางเป็นบุตรีตระกูลบารอน มีเรื่องอื่นที่เจ้าอยากรู้อีกไหม”
“เพียงพอแล้วเพคะ จะให้หม่อมฉันจัดการเรื่องอื่นๆ เลยไหมเพคะ”
“ตามใจเจ้า เพียงแต่…เราหวังว่าเจ้ากับนางจะไม่มีเหตุให้ต้องพบกัน”
“ไม่ต้องกังวลว่าหม่อมฉันจะไปจิกหัวนางผู้นั้นหรอกเพคะ หม่อมฉันไม่โง่งมถึงขนาดที่จะละเมิดคำสัญญากับพระองค์”
“…”
เขาลุกจากที่นั่งโดยไม่มีคำพูดใด ชาที่ยกมาให้ก็ไม่ดื่มสักอึก ก่อนที่เขาจะออกจากห้อง แพทริเซียก็พูดขึ้นมาลอยๆ
“เรื่องที่หม่อมฉันทูลขอในตอนนั้น ทรงอย่าลืมนะเพคะ”
“…”
“หากทรงมีพระราชประสงค์จะแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้นางเป็นดัชเชสก็ย่อมได้ แต่หม่อมฉันคงให้ได้เพียงเท่านั้น มากไปกว่านั้นเห็นทีจะไม่ได้ พระองค์คงไม่คิดที่จะ…มีลูกนอกสมรสกับนางหรอกนะเพคะ”
“…”
เขาไม่ตอบและเดินจากไป แพทริเซียกัดปาก เอาแต่มองจุดที่เขาเคยยืนอยู่ หากเขาผิดสัญญากับนาง นางจะไม่อยู่เฉยแน่ เมื่อคิดถึงตรงนี้นางก็ถอนหายใจออกมา
“เฮ้อ…”
ไม่ยุติธรรมเลย ท้ายที่สุดแล้วความเป็นความตายของจักรพรรดินีก็ขึ้นอยู่กับจักรพรรดิ ต่อให้มาจากตระกูลสูงส่งเพียงใด แต่หากไม่ได้รับความรักจากจักรพรรดิก็หมายถึงจุดจบ เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะทำให้แพทริเซียรักษาตำแหน่งนี้ไว้ได้ตลอดมีเพียงตำแหน่งมาร์ควิสของบิดาและการเป็นพระพันปีของจักรพรรดิองค์ต่อไปเท่านั้น
ไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ ทั้งที่ผู้ชายคนนั้นจะไปจะมา จะคบหากับใครก็ได้ตามใจ แต่แล้วแพทริเซียก็ส่ายหน้า
“อย่าบ่นสิ แพทริเซีย”
ตนก็รู้เรื่องนี้มาตั้งแต่ก่อนย้อนเวลามาแล้วไม่ใช่หรือไร ที่ย้อนเวลามาก็เพื่อไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมเหมือนในอดีต พูดเองไม่ใช่หรือว่าถ้าเป็นตน ตนจะไม่ทำตัวเหมือนพี่สาว จะไม่หึงหวงจนทำอะไรตามอารมณ์ ยิ่งคิดถึงเรื่องในอดีตมากไปมันก็ไม่มีวันจบ และการที่ตนย้อนอดีตมาก็จะไม่มีความหมาย
แพทริเซียตัดสินใจว่าจะปล่อยวางให้มากกว่านี้ และตัดความรู้สึกที่มีต่อจักรพรรดิออกไป ต้องทำเช่นนั้น ตนและครอบครัวจึงจะอยู่รอดไปตลอดรอดฝั่ง แม้จะน่าเศร้าแต่นี่คือความเป็นจริง
“บ้าไปแล้ว ไม่อยากจะเชื่อ”
ราฟาเอลาสบถรุนแรง ถ้าเป็นแพทริเซียในยามปกตินางจะคอยห้าม แต่คราวนี้นางไม่ห้าม หากจะพูดกันจริงๆ นั่นก็เป็นเรื่องที่บ้ามาก แน่นอนว่าเป็นตัวนางเองที่บ้า
“แม้จะเป็นเรื่องบ้าๆ แต่ก็ต้องเชื่อแล้วล่ะ เพราะสามีข้าเป็นจักรพรรดิ”
“…ทรงนิ่งเฉยเกินไปแล้วเพคะ พระจักรพรรดินี ตอนนี้พระราชสวามีประกาศจะเชิดหน้าชูตาอนุอยู่ปาวๆ ยังจะพูดเช่นนั้นอีก”
“ก็ข้าทำอะไรไม่ได้นี่”
แพทริเซียไม่รู้ว่าตอนนี้ตนแกล้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไรหรือตนไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้จริงๆ กันแน่ แต่อย่างน้อยราฟาเอลาก็มองว่าตนไม่รู้สึกอะไร จะหลอกทั้งราฟาเอลาและหลอกตัวเองไปอย่างนี้ก็คงไม่มีอะไรเสียหาย
“ทำอะไรไม่ได้อย่างนั้นหรือ? พระเจ้าช่วย พระจักรพรรดินีเพคะ ตอนนี้เจ้าคาดไม่ถึงแน่ว่าข้ารู้สึกอย่างไร”
“ก็พอเดาได้นะ แต่ถึงกระนั้นจะให้ข้าช่วยปลอบเดมราฟาเอลามันก็ดูตลกใช่ไหมล่ะ”
นั่นก็จริง ราฟาเอลาถอนหายใจออกมา ยิ่งอีกฝ่ายทำเป็นไม่สนใจเช่นนี้ยิ่งน่ากลัว ทั้งยังน่าเป็นห่วง ถ้าเป็นคนอื่น ไม่สิ คนทั่วๆ ไปคงไม่มีปฏิกิริยาแค่นี้แน่ มันต้องโกรธ หรือไม่ก็เสียใจ อาจจะถึงขั้นแช่งชักหักกระดูก หรือทำอะไรชั่วร้ายลงไปเลยก็เป็นได้ ใครจะรู้
ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน แต่ย่อมเป็นเรื่องปกติที่จะแสดงอารมณ์ด้านลบออกมา แต่แพทริเซียไม่อาจทำเช่นนั้น นางทำเช่นนั้นไม่ได้ และไม่อยู่ในตำแหน่ง อยู่ในสถานการณ์ และอยู่ในฐานะที่จะทำเช่นนั้น ราฟาเอลาคิดว่าตนคงไม่อาจเข้าใจไปถึงขั้นนั้น จึงเอ่ยถามออกมา
“จริงๆ เลย…ฝ่าบาททรงกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่”
การที่จักรพรรดิมีอนุภรรยาไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่ใช่เรื่องที่จะถูกติฉินนินทา แต่ความรู้สึกนั้นมันต่างออกไปเมื่อสหายรักของตนเป็นจักรพรรดินี ราฟาเอลาถอนหายใจ ก่อนจะถามแพทริเซีย
“อยากเห็นหน้าอนุคนนั้นสักครั้ง ใครกันนะ ข่าวลือฉาวโฉ่ขนาดนี้น่าจะปรากฏตัวมาให้เห็นสักครั้งสองครั้งแล้วมิใช่หรือ”
“…”
คำพูดนั้นทำให้แพทริเซียถึงกับหัวเราะออกมา เพราะนางเป็นคนเดียวนอกจากองค์จักรพรรดิที่รู้จักตัวตนของอีกว่าย หญิงสาวทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนจะตอบเลี่ยงๆ
“สักวันคงได้พบ อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดจะตบหน้านาง”
“ข้าไม่มีวันทำสิ่งที่เป็นภัยต่อจักรพรรดินีหรอก ถึงจะเป็นอัศวินแต่ข้าไม่ได้โง่นะ”
แค่มองจิกคงไม่เป็นไรกระมัง เอ่ หรือนั่นก็ไม่ได้นะ แพทริเซียยิ้มบางๆ พลางมองราฟาเอลาที่กำลังกลุ้มใจกับเรื่องเด็กๆ แต่เมื่อคิดถึงโรสมอนด์สีหน้าของแพทรเซียก็หมองลง แพทริเซียพึมพำชื่อของอีกฝ่ายในใจ
‘โรสมอนด์…’
นางช่างงดงาม แต่ก็ไม่ได้งดงามถึงขนาดเรียกได้ว่าเป็นสาวงามแห่งศตวรรษ แต่ที่แน่ๆ คือนางมีแรงดึงดูดทางเพศอย่างน่าประหลาด อีกทั้งยังทรงเสน่ห์มากเสียจนไม่แปลกใจที่จักรพรรดิหลงใหลในตัวนาง
นางเป็นดอกกุหลาบที่มีหนามแหลมคม หนามที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องความงดงามและปกป้องตัวเองนั้นเริ่มคุกคามดอกไม้ดอกอื่นตั้งแต่เมื่อไรมิอาจทราบ และสุดท้ายมันก็ทิ่มแทงเปโตรนิยา และในปัจจุบันซึ่งเป็นอดีตที่เปลี่ยนไป หนามนั้นก็จะพุ่งเป้ามาที่แพทริเซีย
จนถึงตอนนี้แพทริเซียยังไม่มีความคิดที่จะเริ่มโจมตีก่อน นางคิดเพียงว่าถ้าอีกฝ่ายเริ่มโจมตีมาก็จะป้องกันตัวอย่างเต็มที่เท่านั้น
นางต้องไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจของผู้อื่น และทำราวกับไม่ยี่หระอะไร อย่างน้อยในตอนนี้นางยังต้องดูสถานการณ์ไปก่อน
หากแพทริเซียเป็นเปโตรนิยา แล้วเปโตรนิยาได้ย้อนเวลากลับมาก็คงจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับโรสมอนด์ แต่น่าเสียดายที่ในชาติก่อนแพทริเซียเป็นเพียงผู้ชมเท่านั้น เพราะฉะนั้นนางจึงไม่รู้จักทั้งจักรพรรดิและโรสมอนด์ดีนัก
เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญในตอนนี้ก็คือการรู้จักศัตรู ส่วนเรื่องการโจมตีจะเริ่มเมื่อไรก็ไม่มีคำว่าสาย เพราะตำแหน่งจักรพรรดินีไม่ใช่ของกระจอกๆ ต่อให้เป็นผู้หญิงที่จักรพรรดิโปรดปรานก็คงรับมือกับจักรพรรดินีไม่ได้ง่ายๆ
“ถ้าคิดในแง่ดี ตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นก็อยู่ใต้อาณัติของจักรพรรดินีแล้ว ก็อย่างว่า…หลังจากนั้นพระองค์ก็คงหาทางจัดการได้เอง”
“แม้ไม่อยากยอมรับ แต่มันเป็นความจริงที่ไม่มีเรื่องไหนจะเป็นข้อได้เปรียบไปมากกว่านี้อีกแล้ว ก่อนหน้านี้นางซ่อนตัวอยู่หลังม่าน จะทำอะไรก็สืบรู้ได้ยาก จะดูแลควบคุมก็ทำได้ยาก”
ยิ่งไปกว่านั้น บารอเนสถือเป็นศักดิ์ของตระกูลขุนนางที่มีกฎเข้มงวด และยิ่งเป็นอนุภรรยาที่จักรพรรดิแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้ด้วยตนเองแล้วล่ะก็ ยิ่งง่ายที่จะจับผิดและกุมจุดอ่อนของนางไว้ในมือ
เอาเป็นว่าหากคิดในแง่ดี ตนสามารถทำเช่นนั้นได้มากพอ แพทริเซียทำใจให้สบายโดยเริ่มจากการลองยิ้มออกมาบางๆ
“ใช่”
“เสด็จมาหาหม่อมฉันถึงนี่ ข่าวลือนั่นคงเป็นเรื่องจริงสินะเพคะ”
“ใช่”
เขาไม่ยักจะปฏิเสธ ไม่รู้เขาคิดว่านั่นเป็นสิ่งดีงามหรืออย่างไรถึงได้มั่นอกมั่นใจเช่นนี้ แน่นอนว่าการคัดเลือกจักรพรรดินีไม่ได้มาจากความประสงค์ของเขาโดยแท้จริง เพราะฉะนั้นการที่เขาจะรักใครคนอื่นที่ไม่ใช่จักรพรรดินีก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
คิดๆ ดูแล้ว ชายคนนี้ก็น่าสงสารอยู่เหมือนกัน เพราะเขามีตำแหน่งเป็นถึงจักรพรรดิ เขาจึงไม่สามารถอยู่กินกับคนที่เขารักอย่างออกหน้าออกตาได้ แต่แน่นอนว่าในสายตาของจักรพรรดินีคงไม่มีใครเหมือนขยะไปมากกว่าเขาอีกแล้ว
“ดังนั้น เหตุผลที่เสด็จมาหาหม่อมฉันคือจะทรงมากำชับว่าอย่าแตะต้องผู้หญิงคนนั้นตามอำเภอใจ ถูกต้องหรือไม่เพคะ”
“ถูกต้อง เจ้านี่ฉลาดทีเดียว”
นางไม่เคยถูกชมแล้วรู้สึกหงุดหงิดเช่นนี้มาก่อน แพทริเซียเพิ่งตระหนักได้เป็นครั้งแรกในชีวิตว่าคำชมสามารถเป็นอาวุธที่ร้ายกาจกว่าคำด่าได้
“หม่อมฉันไม่ประสงค์ความรัก ความเสน่หาจากพระองค์หรอกเพคะ ส่วนผู้หญิงคนนั้น ถ้าไม่มีเรื่องเหลืออดจริงๆ หม่อมฉันก็จะไม่แตะต้อง”
“ดี”
“เช่นนั้นแล้ว…”
แพทริเซียตัดสินใจที่จะสร้างข้อต่อรอง
“พระองค์จะพระราชทานสิ่งใดให้หม่อมฉันหรือเพคะ”
“…หา?”
สีหน้าของเขายับย่นขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนว่านางจะถามในเรื่องที่เขาไม่คาดคิด ทว่า สีหน้าของแพทริเซียไม่มีความเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย นางพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“หม่อมฉันสนองความปรารถนาของพระองค์แล้ว หม่อมฉันก็ควรได้สิ่งตอบแทนมิใช่หรือเพคะ หม่อมฉันได้สละสิ่งสำคัญในฐานะจักรพรรดินีไปถึงสองสิ่ง หนึ่งคือพระมหากรุณาธิคุณจากพระองค์ และสองคือการลงโทษอนุภรรยาของพระองค์ หม่อมฉันช่วยพระองค์คลายปัญหาถึงสองข้อ พระองค์ก็ควรจะพระราชทานสิ่งที่สมน้ำสมเนื้อแก่หม่อมฉันเพคะ”
“นี่เจ้ากำลังต่อรองกับเราหรือ”
“พระองค์จะไม่เสียอะไรเพคะ มันไม่ใช่ข้อเรียกร้องที่เกินตัวถึงเพียงนั้น”
“…”
แพทริเซียพูดออกมาอย่างแข็งกร้าว ลูซิโอจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ไม่นานเขาก็เอ่ยปากพูด
“ก็ได้ ลองว่ามา”
“หม่อมฉันขอสองประการเพคะ ประการแรก จักรพรรดิองค์ต่อไปจะต้องเป็นบุตรของหม่อมฉัน”
“…ข้อสอง?”
“ประการที่สอง…หม่อมฉันขอไม่ให้พระองค์มีทายาทกับอนุภรรยาผู้นั้น”
แพทริเซียไม่ปรารถนาสิ่งอื่นใด วิธีแก้แค้นที่ดีที่สุดที่นางต้องการคือหลังจากที่จักรพรรดิเสด็จสวรรคต นางจะกลายเป็นพระพันปี และได้คอยเฝ้าดูบุตรชายของตนขึ้นเป็นจักรพรรดิ เพราะถึงอย่างไรอนุภรรยาผู้นั้นก็จะได้ชูคอแค่ตอนที่จักรพรรดิยังมีชีวิตอยู่ หากสิ้นจักรพรรดิแล้ว จะจัดการอย่างไรก็ย่อมได้
และการที่นางขอไม่ให้เขามีลูกกับโรสมอนด์นั้น…คือศักดิ์ศรีสุดท้ายที่แพทริเซียอยากรักษาไว้ อีกทั้งนี่ยังเป็นสิ่งที่เกี่ยวพันถึงสวัสดิภาพของตัวนางอีกด้วย หากโรสมอนด์ให้กำเนิดพระราชโอรสก่อนนาง นั่นจะเป็นภัยต่อสวัสดิภาพของนางอย่างใหญ่หลวง
“จะทรงให้สัญญาได้ไหมเพคะ”
“เฮ้อ ก็ได้”
มุมปากด้านหนึ่งของเขาเชิดขึ้นก่อนที่ร่างสูงจะกระทืบเท้าเพื่อยันตัวลุกขึ้น แพทริเซียค่อยๆ ลุกขึ้นตาม สีหน้าของนางยังคงไร้อารมณ์เช่นเดิม แต่สีหน้าของอีกฝ่ายเจือด้วยโทสะเล็กน้อย
ลูซิโอเดินออกจากห้องไปโดยไม่เอ่ยคำลา เมื่อนั้นแพทริเซียจึงค่อยถอนหายใจและทรุดตัวลงนั่ง
อย่างน้อยในตอนนี้ได้เท่านี้ก็พอแล้ว
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่แพทริเซียลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงที่นอนคนเดียว นางก็ส่งจดหมายไปถึงราฟาเอลาเรื่องขอให้อีกฝ่ายมาเป็นอัศวินราชองครักษ์ของนาง ตามจริงแล้วในตอนนี้คนที่นางไว้ใจได้ก็มีแค่ราฟาเอลาเท่านั้น อีกทั้งการจะให้คนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาเป็นองครักษ์ก็อันตรายเกินไป เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิต
ราฟาเอลาตอบรับข้อเสนออย่างเต็มใจ แน่นอนว่าหากสิ้นมาร์ควิสบริงสโตนแล้ว นางจำต้องกลับตระกูลเพื่อสืบทอดตำแหน่งประมุขของตระกูล แต่ตอนนี้มาร์ควิสบริงสโตนยังไม่ได้อายุมากถึงเพียงนั้น อย่างน้อยเขาก็น่าจะมีชีวิตอยู่จนถึงตอนที่แพทริเซียให้กำเนิดพระราชโอรสได้
หลังจากที่ราฟาเอลาตัดสินใจแล้ว ในวันรุ่งขึ้นนางก็เข้าวังทันที
ตอนนี้ราฟาเอลาอยู่ในชุดเกราะแทนชุดเดรส แต่นางยังคงยังงดงามไม่เปลี่ยน ราฟาเอลาจ้องมองสหายซึ่งตอนนี้ไม่ใช่เลดี้แพทริเซีย แต่เป็นจักรพรรดินีแพทริเซียแล้ว ไม่นานนางก็ได้สติและรีบทำความเคารพแพทริเซียในฐานะอัศวิน
“หม่อมฉัน ราฟาเอลา บริงสโตน ถวายบังคมองค์จันทรา”
“เดม[1]ราฟาเอลา ลุกขึ้นเถิด”
แพทริเซียรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องพูดกับสหายเช่นนี้ แต่นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
ที่แห่งนี้คือพระราชวัง มีกฎข้อห้ามต่างๆ มากมาย ทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้ดั่งใจนึก แพทริเซียพยายามลดระยะห่างระหว่างนางกับสหายให้มากที่สุดโดยการเข้าไปประคองให้ราฟาเอลาลุกขึ้น อีกฝ่ายยิ้มและพูดกับนาง
“พอได้เป็นจักรพรรดินีแล้วทรงพระสิริโฉมงดงามขึ้นมากเพคะ”
“พูดอะไรแบบนั้น ข้าฟังแล้วเขิน นั่งก่อนสิ”
หลังจากมีร์ยายกชามาให้ทั้งคู่และออกจากห้องไป ราฟาเอลาจึงพูดแบบธรรมดาได้ นางทำหน้าโล่งอกราวกับอดกลั้นเอาไว้นาน
“โอ๊ย ข้ารู้สึกขัดๆ ไม่รู้เมื่อไรจะชิน”
“แรกๆ ก็แปลกเช่นนี้แหละ เดี๋ยวก็ชิน ตอนที่อยู่กันสองคนก็ปฏิบัติต่อข้าอย่างธรรมดาเถอะ ไม่เช่นนั้นข้ามีหวังได้ลืมการพูดอย่างชาวบ้านทั่วไปแน่ๆ”
“อย่ามาว่าข้ากำแหงแล้วสั่งกุดคอข้าทีหลังล่ะ คืนแรก…ผ่านไปได้ด้วยดีหรือไม่”
แพทริเซียได้แต่ส่ายหน้าเมื่อจู่ๆ ราฟาเอลาก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องในที่ลับ คืนแรกอะไรกัน ที่ทำก็แค่นั่งประจันหน้าคุยกันเท่านั้น ราฟาเอลาทำหน้าเหมือนไม่เชื่อที่แพทริเซียพูด
“แต่…ทำไมล่ะ หรือว่า…ข่าวลือนั่นเป็นเรื่องจริงหรือ”
“อืม”
แพทริเซียตอบเสียงเรียบ แต่กลายเป็นว่าคนที่ร้อนเหมือนไฟสุมอกคือราฟาเอลา ไยเจ้าจึงนิ่งเฉยกับเรื่องพรรค์นี้ได้ ราฟาเอลาพูดกับแพทริเซียด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อกับเหตุการณ์ตรงหน้า
“ริซซี่ ไม่สิ ฝ่าบาท นี่เป็นปัญหาร้ายแรงนะ เจ้าก็รู้ว่าที่ยืนของจักรพรรดินีที่ไม่ได้รับความรักจากจักรพรรดิจะน้อยลงแค่ไหน”
“รู้ แต่ปัญหานี้ข้าไม่สามารถแก้ได้ด้วยกำลังของข้าเองนะ เอล่า เจ้าก็รู้ ต่อให้ข้าพยายามเพื่อที่จะกุมพระทัยขององค์จักรพรรดิ พระองค์ก็ทรงไม่เปลี่ยนพระทัย สู้เอาเวลาไปคิดหาวิธีรับมือกับอนาคตอันแสนไกลจะดีกว่า”
“ตอบได้สมเป็นเจ้า แต่ว่าริซซี่…มันคงไม่ได้เป็นไปดังที่เจ้าตั้งใจเสียทุกเรื่องหรอก”
“หมายความว่าอย่างไร”
“หากข้าเป็นอนุภรรยาของพระจักรพรรดิ ข้าจะหาทางลากเจ้าลงมาจากตำแหน่งให้ได้”
ราฟาเอลาพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แพทริเซียซึ่งเป็นภรรยาหลวง อีกทั้งยังเป็นบุตรีของมาร์ควิส คงไม่ตกบัลลังก์เพียงเพราะไม่ได้รับความรักจากจักรพรรดิกระมัง
แต่หากนางเป็นอนุภรรยาของจักรพรรดิ นางคงทำทุกวิถีทางเพื่อให้แพทริเซียตกต่ำลงมา เพราะนั่นจะเป็นการรับประกันความปลอดภัยของตัวเองแม้จะสิ้นองค์จักรพรรดิไปแล้ว
“ริซซี่ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรนิ่งนอนใจนะ ที่ข้าพูด…เจ้าเข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจสิ”
เรื่องนี้แพทริเซียรู้อยู่เต็มอก เพราะชาติก่อนโรสมอนด์ก็ทำเช่นนั้น แต่ถ้าชาตินี้นางยังจะทำเช่นนั้นอีก แพทริเซียก็ไม่คิดจะนิ่งเฉยเช่นกัน นี่ไม่ใช่การแก้แค้น แต่มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับชีวิตและครอบครัวของตน
การถูกปลดจากบัลลังก์ในจักรวรรดิมาวินอสหมายถึงความตาย จักรพรรดินีตกบัลลังก์ที่ยังคงความสง่างามและภูมิฐานนั้นไม่มีทางมีได้ เพราะก่อนที่จะถูกขนานนามเช่นนั้น ทั้งตัวเองและครอบครัวคงกลายเป็นน้ำค้างและสลายไปในลานประหาร[2]เสียก่อนแล้ว
“ไม่ต้องห่วงนะเอล่า ข้าไม่ปล่อยให้เรื่องเป็นเช่นนั้นแน่
“อืม ข้าเชื่อ เจ้าฉลาดอยู่แล้ว แต่ต้องระวังตัวอยู่เสมอนะ”
“เจ้าจะปกป้องข้าใช่ไหม”
“ทางกายภาพนั้นแน่นอนอยู่แล้ว แต่สำหรับเรื่องอื่นๆ เช่น เรื่องการเมือง ข้าเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน เจ้าก็รู้นี่”
“แค่อย่างแรกก็พอ เท่านั้นก็ขอบคุณมากแล้ว”
“เช่นนั้นก็แล้วไป”
ราฟาเอลาหัวเราะเบาๆ มันผู้ใดที่จะจู่โจมเข้ามาทำร้ายแพทริเซีย ตัวนางจะลงทัณฑ์มันเอง แต่ถ้าไม่ใช่วิธีนั้น นางก็หมดปัญญา เพราะนั่นไม่ใช่ขอบเขตของนาง ราฟาเอลาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ตอนนี้ฝ่าบาทอาจจะแค่หลงผิดชั่ววูบ ริซซี่ หลงผิดมานาน…หากเจ้าไม่ปิดใจก็คงจะดี”
“เช่นนั้นหรือ”
แพทริเซียพูดคำที่กำกวมแทนคำตอบ ไม่หรอก ราฟาเอลา นี่ไม่แค่ชั่ววูบ ถ้าชั่ววูบจริง เขาคงไม่เย็นชากับพี่สาวของข้าจนถึงวาระสุดท้าย และคงไม่มอบบรรดาศักดิ์ให้บุตรีของบารอนได้เป็นมาร์เชอเนสจนสุดท้ายก็มอบตำแหน่งจักรพรรดินีให้อีก
***
โรสมอนด์ตื่นสาย นางมองลูซิโอที่นอนอยู่เคียงข้างด้วยดวงตาปรือๆ
สามีข้ารูปงามเหลือเกิน โรสมอนด์มองอย่างพินิจพิเคราะห์ด้วยแววตากรุ้มกริ่ม ก่อนจะลูบคลำร่างกายของเขาไปทั่วด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ได้ยินว่าวันนี้ไม่มีราชกิจ เพราะฉะนั้นจะร่วมรักกันอีกสักหนคงไม่เสียหาย
“อึก!”
ลูซิโอลืมตาโพลงก่อนจะกดโรสมอนด์ลงกับเตียง เขาดูดดุนที่กระดูกไหปลาร้าแทนที่จะเป็นริมฝีปากจนขึ้นสีแดงอ่อนๆ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงติดแหบนิดๆ
“ไยจึงไม่มีความกลัวบ้างเลย หืม?”
“พระองค์ก็ทรงไม่กลัวสิ่งใดนี่เพคะ”
นางยิ้มทรงเสน่ห์ก่อนจะได้ใจยกมือลูบไล้แผงอกของอีกฝ่าย เขาหัวเราะเสียงต่ำ ก่อนจะพูดกับนาง
“ถ้าเมื่อวานข้าอยู่กับจักรพรรดินีคงแย่เลย”
“หม่อมฉันคงร้องไห้เลยล่ะเพคะ”
นางใช้นิ้วหัวแม่มือเรียวยาวลากไล้จากหน้าอกของเขาลงไปยังเบื้องล่าง
“ร้องไห้คิดถึงพระองค์ทั้งคืน”
“ข้าจึงมาอยู่ด้วยทั้งคืนแล้วนี่อย่างไร เมื่อวานก็ทำไปเสียขนาดนั้น ยังไม่พออีกหรือ”
“หากเป็นพระองค์ หม่อมฉันไม่เคยรู้สึกพอเพคะ พระองค์ก็ทรงทราบ”
เมื่อเรียวนิ้วของนางจวนเจียนจะแตะจุดอันตราย เขาก็เอ่ยเตือน
“…เช้าแล้ว พอเถอะ”
“จริงหรือเพคะ”
“ถ้าเริ่มตอนนี้แล้วจะจบเมื่อไรเล่า”
“ก็…จนถึงมืดค่ำหม่อมฉันก็ไม่ว่ากระไรนะเพคะ”
นางยิ้มอ่อนๆ ก่อนจะขยับมืออย่างยั่วเย้า เขาสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ นางร้อนแรงบนเตียงเสมอ และเขาไม่มีทางรังเกียจแน่นอน ตรงกันข้ามกลับชอบเสียอีก เขาบดขยี้ริมฝีปากของอีกฝ่ายราวกับเป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยงและป้ายความผิดไปให้นาง
“เจ้ายั่วข้าก่อนนะ”
“เพคะ เอาเป็นว่าหม่อมฉันเป็นคนเริ่มก่อนเอง”
แม้ตอนนี้แดดยามเช้าจะส่องแสงสว่างจ้าแล้ว แต่ทั้งสองก็ยังแหวกว่ายอยู่ในราตรีกาล และราตรีนั้นคงจะสิ้นสุดเมื่อถึงยามที่อาทิตย์ขึ้นตรงศีรษะ
***
ตั้งแต่ก่อนจัดพิธีแต่งงาน แพทริเซียก็ตั้งใจว่าจะทำงานของตัวเองให้ดีเท่านั้น นางจะไม่ไปยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของลูซิโอ
เพราะนางเข้าวังมาในฐานะจักรพรรดินี หาใช่เข้าวังมาเพื่อเป็นข้ารับใช้ยามค่ำคืนให้จักรพรรดิ
นางไม่อยากถูกจับผิด และอย่างน้อย นางต้องทำหน้าที่ของจักรพรรดินีให้ดี เพราะมันจะช่วยนางได้ในยามต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากในภายหลัง ไม่แน่ว่านางอาจเรียกความสงสารได้ก็เป็นได้
“ถวายบังคมพระจักรพรรดินี องค์จันทราผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิ ขอจงทรงพระเจริญ”
ดัชเชสเอเฟรนีมาหาแพทริเซียและแสดงความเคารพอย่างเป็นทางการ เดิมทีดัชเชสเอเฟรนีปฏิบัติหน้าที่ของจักรพรรดินีทั้งหมด แต่ตอนนี้แพทริเซียกลายเป็นเจ้าของตำหนักจักรพรรดินีแล้วจึงต้องเปลี่ยนผู้ที่จะตัดสินใจเรื่องทั้งหมดในที่นี้
แพทริเซียยิ้มอย่างคนนุ่มนวลและตอบรับคำทักทายของดัชเชสเอเฟรนี
“ไม่เจอกันนานนะคะดัสเชสเอเฟรนี สบายดีไหมคะ”
“หม่อมฉันสบายดีเพราะได้รับพระมหากรุณาธิคุรจากองค์จันทราดวงใหม่เพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันขอขอบพระคุณที่ทรงห่วงใย”
จากนั้นนางก็ส่งสายตาให้บรรดาข้ารับใช้ที่ยืนอยู่ พวกนางเดินมายังโต๊ะที่แพทริเซียนั่งและวางเอกสารกองมหึมาลงบนนั้น แพทริเซียเกือบขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัวแต่นางไหวตัวทัน และถามเสียงเรียบ
“เอกสารอะไรหรือคะ”
“อย่างที่ทรงทราบว่าหม่อมฉันทำหน้าที่แทนจักรพรรดินีทั้งหมดมากว่าสิบปี”
ดัชเชสเอเฟรนีทำงานทั้งหมดแทนจักรพรรดินีตั้งแต่จักรพรรดิองค์ก่อนขึ้นครองราชย์ นางทำงานแทบทุกอย่างยกเว้นเพียงงานที่ต้องให้จักรพรรดินีเป็นคนตัดสินใจชี้ขาด
หลังจากที่จักรพรรดินีองค์ก่อนซึ่งก็คือจักรพรรดินีอลิซาถูกปลดจากตำแหน่ง จักรพรรดิองค์ก่อนก็ไม่ได้แต่งตั้งจักรพรรดินีองค์ใหม่ ดัชเชสเอเฟรนีจึงต้องทำงานทั้งหมด เพราะฉะนั้นข้าราชบริพารฝ่ายในส่วนใหญ่จึงถือว่านางเป็นหัวหน้าฝ่ายในและทำตามคำสั่งเงียบๆ
“นี่คือเอกสารทั้งหมดที่หม่อมฉันคิดว่าพระองค์ควรทราบเพคะ หากทรงทำความเข้าใจกับเอกสารทั้งหมดนี้ไว้ก็จะเป็นการดี”
“หากท่านว่าดี เราก็จะทำตามค่ะ”
“เพคะ พระองค์ทรงเข้าวังและเพิ่งได้รับการอบรมมาไม่เท่าไร ฉะนั้นหากจะมอบหมายให้พระองค์ทรงงานของฝ่ายในทันทีคงจะลำบากพระทัย หม่อมฉันจึงจะปฏิบัติหน้าที่ในราชวงศ์ต่อไปอีกสักระยะเพคะ”
“เช่นนั้นแล้วเราต้องทำอะไรในระหว่างนั้นคะ”
“จะเป็นการดีหากพระองค์ทรงเข้ารับการอบรมที่เหลือต่อไปอีกหนึ่งปีเพคะ”
“…”
แพทริเซียทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ที่อีกฝ่ายพูดมาก็ไม่ผิดแม้แต่น้อย ดัชเชสเอเฟรนีปฏิบัติงานในราชวงศ์มาก็เกินยี่สิบปีแล้ว
นางน่าจะทำงานได้ดีว่าคนที่เพิ่งเข้ามาอย่างตน และตนก็ไม่คิดจะเอาตำแหน่งจักรพรรดินีแค่เปลือกมาใช้ข่มขู่คนด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นในอดีตเปโตรนิยาก็เข้ารับการอบรมหนึ่งปีและในระหว่างนั้นก็แต่งตั้งให้ดัชเชสเอเฟรนีปฏิบัติงานในราชวงศ์ไปก่อน ฉะนั้นสำหรับแพทริเซียแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทว่า…
[1] เดม หรือ ดาม (Dame) คือ ฐานันดรศักดิ์ยุโรปของสตรีชนชั้นสูงที่เป็นสมาชิกในสภาอัศวิน โดยเฉพาะในสหราชอาณาจักร ใช้เป็นคำนำหน้าชื่อเหมือนคำว่า ‘เซอร์’ ที่ใช้สำหรับบุรุษ
[2] น้ำค้างในที่นี่มาจากสำนวน น้ำค้างในลานประหาร (형장의 이슬) น้ำค้างเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนเช้ามืดและมักจะสลายหายไปในตอนเช้าที่อุณหภูมิสูงขึ้น จึงใช้เปรียบเปรยกับชีวิตที่เปราะบางของมนุษย์ที่มีเกิดย่อมมีดับ และใช้เปรียบเปรยกับผู้ที่เสียชีวิตโดยการถูกประหารชีวิต
แพทริเซียมองลูซิโอที่ยื่นมือมาให้ด้วยสีหน้าเลื่อนลอยไร้สติ
“ลุกขึ้นเถอะ”
ท่านพี่ เจ้าไปเห็นอะไรเข้าถึงได้กระทบกระเทือนจิตใจถึงเพียงนั้น หรือเจ้าเห็นผู้ชายคนนี้ซึ่งเคยเป็นสามีของเจ้า? มิเช่นนั้น หรือว่า… แพทริเซียหน้าซีดเผือดเมื่อสมมติฐานหนึ่งโผล่ขึ้นมาในหัว อย่าบอกนะว่า…เจ้าเห็นพระจักรพรรดิอยู่กับโรสมอนด์?
แพทริเซียอยากจะกระชากคอเสื้อจักรพรรดิมาถามเดี๋ยวนี้ แต่นั่นเป็นเพียงความปรารถนาในใจเท่านั้น ในความเป็นจริงไม่มีทางที่จะเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นได้ ยิ่งคนทำเป็นแพทริเซียซึ่งจะเป็นจักรพรรดินีในอีกไม่ช้ายิ่งแล้วใหญ่
แพทริเซียจำต้องจับมือที่ยื่นมา นางกัดริมฝีปาก ความจริงมันทั้งโหดร้ายและน่าขายหน้า การที่ไม่ยอมจับพระหัตถ์ที่พระจักรพรรดิทรงยื่นมาให้นั้นผิดกฎบ้านกฎเมือง
สตรีที่จะกลายเป็นจักรพรรดินีจะประพฤติผิดกับสามีซึ่งเป็นจักรพรรดิมิได้ กฎเกณฑ์และมารยาทต่างๆ ลอยวนเวียนอยู่ในหัว และคอยย้ำเตือนแพทริเซียว่าจงอย่าประพฤติตนให้เป็นที่ครหา
แต่ความรู้สึกที่แท้จริงนั้นต่างออกไป ในใจของหญิงสาวกำลังสบถอย่างรุนแรงอย่างที่นางไม่เคยทำมาก่อน และไม่สามารถทำได้ในชีวิตจริง
“…ขอบพระทัยเพคะ”
แพทริเซียจำต้องเอ่ยขอบคุณมือที่ยื่นมา ทั้งที่ไม่ได้รู้สึกขอบคุณสักนิด ความจริงข้อนั้นก็ชวนให้คลื่นไส้มากพอแล้ว แต่การที่นางไม่สามารถเลือกทำอย่างที่ต้องการได้ยิ่งทำให้นางรู้สึกรังเกียจ
จักรพรรดิไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธคำขอบคุณจากหญิงสาว แต่แพทริเซียก็ไม่ได้คาดหวังปฏิกิริยาตอบรับอะไรอยู่แล้ว นางจึงค่อยๆ ลากเท้าที่เจ็บเดินกะเผลกไปยังเตียงที่พี่สาวของตนนอนอยู่ แต่ละก้าวที่ก้าวไปหาเปโตรนิยาช่างหนักอึ้งเสียจนแทบจะเกินกำลังของร่างบาง
“ท่านพี่…”
น้ำไร้สีไหลออกจากดวงตาของแพทริเซียก่อนจะร่วงเปาะลงบนผ้าปูสีขาว นางอยากจะปล่อยโฮอีกครั้งแต่ก็ทำไม่ได้เพราะจักรพรรดิยังอยู่ มือเรียวจึงขย้ำผ้าปูเตียงแทนการร้องไห้
แกรก… ลูซิโอมองภาพของสองพี่น้อง ก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องไป สิ้นเสียงปิดประตู แพทริเซียจึงปล่อยโฮออกมา นางร้องไห้ฟูมฟายเหมือนเด็ก
โชคดีที่เปโตรนิยาได้สติขึ้นมาก่อนเที่ยงคืน หลังจากตั้งสติได้ก็พบว่าแพทริเซียนอนตะแคงข้างอยู่บนเตียงเดียวกัน ครั้นเห็นดังนั้นก็พาลให้นึกถึงภาพที่ตนเห็นก่อนหน้านี้จนทำให้ปวดใจขึ้นมาอีกครั้ง
อา…น้องสาวที่น่าสงสารของข้า เปโตรนิยาค่อยๆ ลูบปลอบน้องสาวที่อยู่ในนิทรา แววตาดูเศร้าสร้อย นางไม่ได้วาดหวังถึงเจ้าชายขี่ม้าขาว แต่อย่างน้อย…นางก็หวังว่าจะไม่มีเรื่องพรรค์นั้นก่อนแต่งงาน ทว่า…
ในที่สุดน้ำตาหนึ่งหยดก็ไหลลงมาจากตาของเปโตรนิยา น้ำใสๆ หยดนั้นไหลลงมาตามแก้ม และร่วงลงบนชุดเดรสของนาง
“อืม…”
แพทริเซียส่งเสียงเบาๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นราวกับรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากมือของเปโตรนิยาที่กำลังลูบศีรษะของนางอยู่ หญิงสาวรีบปาดน้ำตาก่อนจะหันมาสบตากับน้องสาว นางไม่อยากให้น้องเห็นสภาพเช่นนี้ อีกทั้งไม่อยากสร้างความกังวลใจให้กับว่าที่จักรพรรดินี ด้วยเหตุนี้นางจึงแสร้งพูดคุยกับน้องด้วยน้ำเสียงสดใส
“ตื่นแล้วหรือ ริซซี่”
“…ท่านพี่”
อา ทำไมเสียงของน้องถึงดูเครียดเช่นนั้น มีเรื่องอะไรกันนะ หรือว่านางจะเห็นภาพเดียวกับที่เราเห็น? เปโตรนิยารู้สึกได้ว่าใจของตนวูบโหวงด้วยความกังวลหลายๆ อย่าง แต่นางก็เลือกที่จะพูดกับแพทริเซียด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อน
“นอนเก่งนะเจ้าน่ะ ช่วงนี้เหนื่อยหรือ”
“…ไม่หรอก ข้าไม่เป็นไร เจ้าฟื้นแล้วทำไมไม่ปลุกข้า”
“เห็นนอนฝันหวานอยู่ เลยปลุกไม่ลงน่ะ”
เปโตรนิยาค่อยๆ ลูบหัวของน้องสาว การกระทำเช่นนี้คงทำไม่ได้อีกแล้วหากน้องได้ขึ้นเป็นจักรพรรดินี เพราะฉะนั้นต้องฉวยโอกาสนี้ตักตวงให้เต็มอิ่ม เปโตรนิยาพูดด้วยน้ำเสียงเอ็นดู
“ริซซี่ ข้าอยากให้เจ้ามีความสุข”
“…”
“ข้าหวังมากไปหรือไม่”
“…ข้าก็มีความสุขดี”
จะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้ข้าไม่มีความสุข ครั้นเห็นน้องสาวแสร้งตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับไม่ได้รู้สึกอะไร เปโตรนิยาก็มองออกในทันทีว่าตอนนี้แพทริเซียรู้อะไรต่อมิอะไรมากกว่าที่นางรู้ เมื่อคิดเช่นนั้นแล้วเปโตรนิยาก็รู้สึกใจสลายขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้ามีเจ้า มีท่านพ่อมีท่านแม่อยู่ ตอนนี้ข้ามีความสุขดี นีย่า”
“ริซซี่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น…”
เปโตรนิยาตั้งใจจะพูดอะไรสักอย่างออกไป แต่สุดท้ายนางก็ไม่พูด มันไม่ใช่กงการอะไรของนาง ตอนนี้แพทริเซียจะแต่งงานแล้ว และการที่นางไปเจ้ากี้เจ้าการเรื่องการแต่งงานของอีกฝ่ายนับเป็นเรื่องเกินตัว แต่…เปโตรนิยาไม่สามารถห้ามใจตัวเองไม่ให้รู้สึกเจ็บปวดได้
“ไม่พูดดีกว่า ริซซี่ เจ้าทั้งสวย ทั้งใจดี และฉลาด เจ้าต้องมีความสุขได้แน่ๆ”
แค่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ แค่นั้นข้าก็มีความสุขแล้ว แพทริเซียพูดพึมพำในใจแทนคำตอบ เพราะมันเป็นสิ่งที่นางไม่อาจพูดออกไปได้
“ขอบคุณนะ เจ้าเองก็จะต้องมีความสุขเช่นกัน”
ครั้นรุ่งสางมาเยือน เปโตรนิยาก็เดินทางกลับบ้านทันที เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์มาร์ควิส นางอยากจะเล่าทุกสิ่งอย่างให้บุพการีฟังแต่ก็ทำไม่ได้ นางไม่อาจเปิดปากได้เลย
อีกไม่นานน้องสาวก็จะเข้าพิธีอภิเษกแล้ว จะให้พูดออกไปได้อย่างไรว่าว่าที่สามีของนางมีคนรักอยู่แล้ว มิหนำซ้ำความสัมพันธ์ก็ดูไม่ธรรมดาเสียด้วย เปโตรนิยาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เรื่องนี้เท่านั้นที่ไม่สามารถทำได้ เรื่องที่นางพบเจอในวันนั้น นางทำได้เพียงฝังมันเอาไว้ในใจเท่านั้น
***
เวลาสองเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในระหว่างนั้นแพทริเซียวุ่นวายอยู่กับการอบรมจนแทบไม่มีเวลาหายใจหายคอ การอบรมเพื่อเป็นจักรพรรดินีนั้นเข้มงวดกว่าที่คิดไว้ก็จริง แต่นางก็ทำสำเร็จโดยไม่บ่นแม้ครึ่งคำ ความแตกต่างระหว่างนางกับโรสมอนด์คงมีเพียงเรื่องนี้เท่านั้น
คนที่ได้รับการอบรมอย่างเป็นทางการเพื่อจะเป็นจักรพรรดินีอย่างนาง กับคนที่เป็นภรรยาลับมาก่อนจะได้เป็นจักรพรรดินีอย่างโรสมอนด์ อย่างน้อยแพทริเซียก็ไม่อยากน้อยหน้าโรสมอนด์ในเรื่องของพิธีรีตรอง เพราะเรื่องนั้นเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับศักดิ์ศรีของนาง เรื่องอื่นนางไม่สนใจ
ในระหว่างสองเดือนนั้น ลูซิโอไม่เคยมาพบแพทริเซียเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะฉะนั้นก่อนที่จะแต่งงานกัน แพทริเซียจึงได้พบหน้าสามีอย่างเป็นการส่วนตัวเพียงครั้งเดียวคือตอนที่เปโตรนิยาเป็นลมในวัง และอันที่จริงตอนนั้นนางกับเขาก็ไม่ได้อยู่กันสองต่อสอง
แน่นอนว่าแพทริเซียไม่ได้ยี่หระกับความจริงข้อนั้น นางไม่เจ็บปวดเพราะนางรู้ทุกอย่างอยู่แล้ว และต่อให้นางไม่ได้เจอเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียวจนวันตาย นางก็ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ เพราะนางไม่ได้รักผู้ชายคนนั้น ไม่มีเยื่อใยแม้แต่น้อย
และแล้วเวลาสองเดือนก็ผ่านไป
………………………………………………
ส่วนที่ 2 Queen Patrizia (จักรพรรดินีแพทริเซีย)
จะแต่งองค์ทรงเครื่องให้งดงามไปเพื่อการใด แพทริเซียไม่ได้รู้สึกยินดีนักที่เห็นตัวเองถูกจับแต่งกายอย่างสวยหรูงดงาม เพราะไม่ว่านางจะใส่ชุดเดรสหรือจะใส่เสื้อผ้าที่ขาดวิ่น จักรพรรดิก็เลือกโรสมอนด์แทนที่จะเลือกนางอยู่แล้ว แน่นอนว่านางเองก็ไม่ได้อยากถูกเลือกเช่นกัน
“ท่านแพทริเซีย ต้องออกไปแล้วค่ะ”
แพทริเซียก้าวออกไปช้าๆ ตามคำบอกของมีร์ยา นางไม่ประหม่าเลย ความประหม่าย่อมต้องเกิดขึ้นเมื่ออยู่กับคนที่ชอบเท่านั้น
นางไม่ปรารถนาในตัวเขา และเขาก็ไม่ได้พิศวาสในตัวนาง เพราะฉะนั้นพิธีนี้เป็นแค่พิธีตามมารยาท หาใช่พิธีศักดิ์สิทธิ์ของคู่รัก มันมีความหมายเพียงเท่านั้น
แพทริเซียไม่แม้แต่จะเผยรอยยิ้มในตอนที่เห็นพระจักรพรรดิในชุดสูทที่บรรจงแต่งมาอย่างดี และลูซิโอเองก็ไม่แย้มยิ้มเมื่อเห็นแพทริเซียที่อยู่ในชุดเดรสอันงดงามเช่นกัน
ทั้งสองยืนอยู่ในที่แห่งนี้ราวกับหุ่นจำลอง เหมือนคนที่ต้องทำในสิ่งที่ตัวเองต้องทำ
ดยุกวาเซียร์เป็นประธานในพิธี การประกอบพิธีของดยุกดำเนินไปอย่างเนิ่นนาน แพทริเซียรู้สึกว่าขาของนางกำลังจะชา ในตอนนั้นเองที่เสียงของจักรพรรดิแทรกซึมเข้ามาในโสตประสาท
“เราจะบอกไว้ก่อน”
“…”
“อย่าได้คาดหวังความรัก ความเสน่หาอะไรพวกนั้นจะดีเสียกว่า”
“…”
การที่อีกฝ่ายร่ายยาวในสิ่งที่ตัวนางเองก็รู้อยู่แล้วนั้นให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่ดีเหมือนกัน แพทริเซียยังคงมองไปเบื้องหน้าด้วยสายตาที่ไร้ความรู้สึกใดๆ นางไม่รู้สึกถึงความจำเป็นที่จะต้องโต้เถียง
“จงอยู่อย่างไร้ตัวตน ทำเช่นนั้นจะดีต่อตัวเจ้า”
“นี่คือคำขู่หรือเพคะ”
“หัวไว”
ลูซิโอพูดจบก็ยิ้มออกมาราวกับพึงใจ แพทริเซียปิดปากสนิท พูดมากไปคนที่เสียเปรียบก็คือนาง พูดไปคนที่จะรำคาญใจก็คือนางอีกเช่นกัน นางคิดว่าควรเอาเวลาไปสนใจคำกล่าวอวยพรของดยุกวาเซียร์ เพราะคำอวยพรที่แสนน่าเบื่อยังดีกว่าเสียงเห่าหอนของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีเป็นร้อยเท่า
“เช่นนั้นแล้ว เลดี้แพทริเซีย เจ้าจะยอมรับองค์สุริยันของเราเป็นสามี และสาบานว่าจะให้เกียรติ จะยอมติดตาม และมอบความจงรักภักดีต่อพระองค์หรือไม่”
“…ข้าสาบาน”
“ฝ่าพระบาทของเกล้ากระหม่อม พระองค์จะยอมรับเลดี้แพทริเซียเป็นภรรยา และจะทรงสาบานว่าจะยกย่อง ห่วงใย และมอบความรักให้แก่นางในฐานะจันทราหรือไม่”
“สาบาน”
ทั้งสองคนต่างเอ่ยคำลวงให้แก่กัน แพทริเซียเกือบหลุดขำออกมาเพราะมันเหมือนฉากในละครน้ำเน่าสักเรื่อง แต่ดีที่นางกลั้นไว้ทัน
“เช่นนั้นแล้ว ข้าขอประกาศให้ทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน”
และแล้วงานแต่งงานที่ไม่น่าขำก็จบลง
คืนนั้นแพทริเซียอยู่ในงานเลี้ยงจนจบงาน นางรู้สึกหน่วงไปทั้งร่าง การเข้าร่วมพิธีแต่งงานและงานเลี้ยงไม่ใช่เรื่องธรรมดาจริงๆ หลังจากอาบน้ำเสร็จ แพทริเซียก็หวังจะเข้านอนในทันที แต่มีร์ยากลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น
“ฝ่าบาท อีกประเดี๋ยวพระจักรพรรดิจะเสด็จมาแล้วนะเพคะ แม้จะเหนื่อย แต่ต้องอดทนไว้ก่อนนะเพคะ”
“มีร์ยา”
แพทริเซียเรียกมีร์ยาเบาๆ ชายคนนั้นไม่มีทางมาที่นี่ นางไม่ได้คาดหวังให้มันเปลี่ยนไปเพียงเพราะนี่เป็นคืนแรก ถ้าชายคนนั้นเป็นคนที่คาดหวังได้ตั้งแต่แรก พี่สาวของนางก็คงไม่ถูกกระทำเช่นนั้นในอดีต
“ฝ่าบาทไม่เสด็จมาหรอกค่ะ”
“….”
“ไหนๆ ก็พูดแล้ว เรามาลองเปิดใจคุยกันดีไหมคะ ข้ารู้ว่าพระจักรพรรดิทรงมีคนรักอยู่แล้ว”
“ฝ่าบาท…”
มีร์ยาหน้าซีดราวกับจะถามว่านางรู้เรื่องนั้นได้อย่างไร แต่แพทริเซียกลับไม่เข้าใจมีร์ยาเอาเสียเลย นางหาใช่คนไกลปืนเที่ยงที่มาจากชนบทห่างไกล แต่เป็นไม้ประดับงานสังคมในฐานะบุตรีของมาร์ควิส เช่นนั้นแล้วนางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าจักรพรรดิมีคนรักอยู่แล้ว ข่าวนั้นแพร่สะพัดไปทั่วในวงสังคม แพทริเซียพูดเสียงเรียบ
“ข้าไม่คิดว่านั่นเป็นเพียงข่าวลือค่ะ มีร์ยา เจ้าเองก็อยู่ในรั้วในวังนี้ เจ้ามิอาจพูดได้กระมังว่าไม่รู้”
“…ขอประทานอภัยเพคะ”
ไม่ใช่เรื่องที่นางต้องขอโทษเลย แพทริเซียพูดต่อไปอย่างไม่รู้สึกรู้สา
“เพราะฉะนั้น ฝ่าบาทจะไม่เสด็จมาหรอกค่ะ ข้าพูดผิดหรือไม่”
“…”
มีร์ยาไม่อาจตอบออกไปได้ นางจะพูดความจริงข้อนั้นออกจากปากของตนได้อย่างไร แพทริเซียยิ้มบางๆ เพราะเข้าใจว่าอีกฝ่ายอยู่ในฐานะใด และพูดต่อไป
“เพราะฉะนั้น มีร์ยา ให้ข้านอนเถอะค่ะ จะให้ข้าเสียเวลารอคนที่ไม่คิดจะมานี่มัน…”
ในตอนนั้นเอง มีเสียงเอะอะที่ด้านหลังของประตูจนเสียงของแพทริเซียถูกดูดกลืนหายไปในอากาศ ข้ารับใช้ที่อยู่ด้านนอกบอกว่ามีใครคนหนึ่งมาหา
“พระจักรพรรดินีเพคะ พระจักรพรรดิเสด็จเพคะ”
ดวงตาทั้งสองของแพทริเซียสั่นไหว เขาน่ะหรือ? ทำไมกัน? ขณะที่นางกะพริบตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจสถานการณ์ ชายคนนั้นก็เข้ามาในห้อง มีร์ยาหลบออกไปข้างนอกทันทีอย่างรู้งาน ส่วนแพทริเซียถวายความเคารพราวกับเครื่องจักร
“ถวายบังคมพระจักรพรรดิ ขอจงทรงพระเจริญ”
“ยังไม่นอนหรือ”
ที่จริงก็กำลังจะเข้านอน แต่แพทริเซียเลือกที่จะใช้คำพูดที่รื่นหูอีกฝ่าย
“พระองค์ยังไม่เสด็จ…”
“ไยต้องเสียเวลารอ”
เขาพูดตัดบท แพทริเซียเห็นด้วยกับคำพูดนั้น แต่นางไม่เสียใจ เพราะนางไม่ได้รอเขา แต่กลับดีใจที่ตัวเองคิดถูก
เขานั่งลงบนเก้าอี้แทนที่จะหันหลังเดินออกไปทันที แพทริเซียกำลังคิดว่าตนต้องยกน้ำชามาให้เขาหรือไม่ แต่เขาก็ช่วยคลายความสงสัยของนางให้เรียบร้อย
“ชาไม่ต้อง นั่งลงเถอะ”
นางทำตามที่เขาบอก และจ้องมองจักรพรรดิที่เลือกมาหานางแทนที่จะไปหาโรสมอนด์ จะมาพูดอะไรหรือเปล่านะ ไม่น่าจะมาเพื่อใช้เวลาในค่ำคืนนี้กับข้าหรอก
“เจ้าก็อยู่ในวังแล้ว น่าจะพอรู้อะไรมาบ้าง”
“ตรัสถึงเรื่องใดหรือเพคะ”
“เรื่องข่าวลือเกี่ยวกับตัวเรา”
อา มาเพื่อพูดเรื่องนี้นี่เอง แพทริเซียยิ้มออกมา เพราะเรื่องที่เขาจะพูดไม่ได้ต่างไปจากที่นางคาดไว้สักเท่าไร
“ข่าวลือที่ว่าทรงมีคนรักอยู่แล้วหรือเพคะ”
เปโตรนิยาได้รับสาสน์ตอบกลับจากน้องสาว นางจึงเดินทางมาพบอีกฝ่ายที่พระราชวัง ใบหน้าของหญิงสาวเต็มไปด้วยรอยยิ้ม อาจเป็นเพราะนางคิดถึงน้องมาก แพทริเซียเองก็ต้อนรับพี่สาวด้วยหน้าตาชื่นบานเช่นกัน
“นีย่า”
“ริซซี่”
ทั้งคู่แยกกันเพียงหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น แต่คนที่พบเห็นทั้งสองคนในตอนนี้อาจคิดว่าพี่น้องคู่นี้ได้พบหน้ากันหลังจากพลัดพรากกันไปนาน
เปโตรนิยาพูดกับแพทริเซียด้วยน้ำเสียงตื้นตัน
“น้องสาวข้าได้เป็นจักรพรรดินีหรือนี่ พระเจ้าช่วย ริซซี่ ไม่สิ ตอนนี้ต้องเรียกกว่าพระจักรพรรดินีหรือเปล่านะ”
ครั้นได้ยินพี่สาวกระเซ้าเช่นนั้น แพทริเซียก็ตีอีกฝ่ายทีเล่นทีจริง
“ไม่เอานะ นีย่า เรียกเหมือนเดิมเถอะ ต่อให้ข้าเป็นจักรพรรดินี แต่ความจริงที่ว่าข้าเป็นน้องสาวของเจ้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเสียหน่อย”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรกัน แต่เอาเป็นว่าตอนอยู่กันสองคนข้าจะลองคิดดูแล้วกัน”
“ก็ได้ อ้อ ท่านพี่ นั่งสิ เมื่อยขาแย่แล้ว”
แพทริเซียรีบให้เปโตรนิยานั่งลงบนเก้าอี้ และให้มีร์ยานำชาสองถ้วยมาให้ ไม่นานนักมีร์ยาก็ยกถ้วยชาที่มีไอกรุ่นออกมา เปโตรนิยาจิบชาก่อนจะพูดคุยกับน้องสาวต่อ
“ว่าแต่เรื่องเป็นมาอย่างไร หืม? ริซซี่ การคัดเลือกจักรพรรดินีอาจขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของฝ่าบาทก็จริง แต่ถ้าเจ้าทำคะแนนในรอบคัดเลือกได้ไม่ดีก็ไม่น่าจะได้เป็นง่ายๆ นะ”
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน นิล ตามจริงในรอบแรกและรอบที่สองข้าทำได้ไม่ดีเลยด้วยซ้ำ ตรงข้ามกับเลดี้ทริชา ข้ายังนึกว่านางจะได้เป็นจักรพรรดินีแน่แล้ว”
ที่เรื่องเป็นเช่นนี้น่าจะเป็นผลมาจากรอบที่สาม แต่นางไม่อยากบอกเรื่องนั้นให้เปโตรนิยารู้ ส่วนเปโตรนิยาเมื่อได้ฟังน้องสาวพูดก็ทำท่าทางคล้ายจะเย้าแหย่
“อุ๊ย จริงหรือ เช่นนั้น…มิใช่ว่าฝ่าบาทต้องพระทัยเจ้าหรอกหรือ ริซซี่”
“…”
แพทริเซียเกือบแสดงสีหน้ารังเกียจออกไป แต่นางอดกลั้นเอาไว้ได้ ชายคนนั้นน่ะหรือจะชอบข้า? แพทริเซียหัวเราะเสียงดังราวกับได้ฟังเรื่องตลกก็ไม่ปาน และแม้แพทริเซียจะแสดงออกเช่นนั้นแต่เปโตรนิยาก็ยังผลักดันความคิดของตนต่อไปอย่างแน่วแน่
“ดูทำเข้า เจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ ฝ่าบาทอาจจะถูกใจเจ้าจริงๆ ก็ได้นี่”
“ท่านพี่…ข่าวที่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง เจ้าลืมแล้วหรือ”
ในที่สุดแพทริเซียก็ก้าวล้ำเข้าไปในดินแดนต้องห้าม นางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ฝ่าบาททรงมีคนรักอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการที่ทรงเลือกข้า…”
แพทริเซียพูดมาถึงตรงนี้แล้วกัดปากตัวเอง นั่นสินะ ทำไมถึงเลือกข้าล่ะ จะเลือกบุตรีของเคานต์อาร์เซลโดซึ่งมีศักดิ์ต่ำสุด หรือเลดี้วาเซียร์ก็ยังได้ มีเหตุผลกลใดจึงได้เลือกข้ามาเป็นจักรพรรดินี?
แพทริเซียรู้สึกราวกับถูกความตะขิดตะขวงใจปั่นหัวด้วยความสงสัยที่พวยพุ่งออกมา แต่นางก็พยายามไม่ใส่ใจ เพราะต่อให้สงสัยแต่ก็ไม่อาจหาคำตอบได้นอกจากว่าจะไปถามจักรพรรดิเอาซึ่งๆ หน้า
“…คงเพราะทรงเลือกผิดกระมัง นีย่า ข้าไม่คาดหวังอะไรจากพระองค์สักนิด”
แพทริเซียรีบวกกลับเข้าเรื่องเดิม จะให้คาดหวังอะไรกับคนที่มีคนรักมาเนิ่นนานกระทั่งฆ่าภรรยาหลวง และภรรยาหลวงคนนั้นยังเป็นพี่สาวของนางอีก ต่อให้เขามีเจตนาใดแอบแฝงอยู่ มันก็คงไม่เกี่ยวกับตัวนางเป็นแน่ แพทริเซียมองเปโตรนิยาด้วยสายตาที่สงบนิ่ง ก่อนจะเอ่ยปากพูดกับอีกฝ่าย
“ความโรแมนติกที่เจ้าเฝ้าฝันมันไม่เกิดขึ้นกับข้าหรอก และฝ่าบาทก็คงไม่ใช่เจ้าชายขี่ม้าขาวของข้าด้วย การที่ข้าได้ครองตำแหน่งนี้ ข้าหวังแค่…”
แพทริเซียหยุดพูดไปครู่หนึ่งราวกับคอแห้งขึ้นมากะทันหัน นางปรับน้ำเสียงให้กลับมาเป็นปกติก่อนจะพูดต่อโดยเร็ว
“ขอแค่…ทรงให้เกียรติข้าในฐานะจักรพรรดินี…ก็เท่านั้น”
เมื่อพูดออกไปแล้วแพทริเซียถึงนึกขึ้นได้ว่าถ้าคนอื่นได้ฟัง มันคงดูหดหู่และดูเป็นการมองโลกในแง่ร้าย เปโตรนิยาก็ดูเหมือนจะคิดเช่นนั้น เพราะสีหน้าสดใสของนางสลดลงทันที ดูเหมือนนางจะเวทนาน้องสาวอย่างมาก เพราะในการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแม้กระทั่งความรักข้างเดียวผสมอยู่เลยแม้แต่น้อย
“ริซซี่…เจ้าเสียสละตัวเองเพื่อข้าหรือ”
“ไม่ถึงขนาดนั้นเสียหน่อย”
ถ้านี่เป็นการเสียสละ การที่เปโตรนิยาเป็นควิเนสเมื่อครั้งก่อนก็คงเป็นการเสียสละเช่นกัน เพราะหากไม่นับว่านางจะชนะหรือแพ้ในการจับสลาก ความจริงที่ว่านางได้เป็นควิเนส และได้เป็นจักรพรรดินีก็ปฏิเสธมิได้
“เอาล่ะ พวกเราคุยเรื่องอื่นกันเถอะ”
แพทริเซียเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างจงใจ ช่วงเวลาที่ได้พูดคุยกับพี่สาวมีค่ามากเกินกว่าจะเอามาสนทนาเรื่องผู้ชายที่นางไม่ได้สนใจสักนิด
“ท่านพ่อกับท่านแม่ก็ทราบแล้วใช่ไหม พวกท่านบอกหรือไม่ว่าจะมาที่นี่เมื่อใด”
“จะไม่รู้ได้อย่างไร ก่อนข้าจะมานี่ พวกท่านก็ฝากถามว่าจะให้มาเยี่ยมเมื่อใดจึงจะดี”
“เมื่อใดก็ย่อมได้ทั้งนั้น อืม…แต่หากมาเร็วหน่อยน่าจะดี เพราะข้าคิดถึงพวกท่าน”
“ได้ ข้าจะเรียนพวกท่านตามนั้น”
เปโตรนิยาวางถ้วยชาที่ดื่มจนหมดลงบนโต๊ะก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสดใส
“เจ้าเองก็รู้ว่าข้าว่าง วันนี้ข้าจะอยู่นี่จนพระอาทิตย์ใกล้ตกดินเลย เจ้าจะว่าอะไรไหม”
แพทริเซียยินดีเป็นอย่างมาก นางยิ้มกว้างก่อนจะพยักหน้าด้วยความเต็มใจ
“ไม่ว่าเลย”
เปโตรนิยารักษาสัญญาที่ให้ไว้กับน้องสาว นางออกมาจากที่ที่แพทริเซียอยู่ก่อนพระอาทิตย์จะตกดินเล็กน้อย
ที่พักของแพทริเซียอยู่บริเวณส่วนกลางของพระราชวัง หากต้องการถึงบ้านก่อนอาทิตย์ลับขอบฟ้า เปโตรนิยาต้องออกเดินทางในเวลานี้
มีสวนดอกไม้เล็กๆ อยู่ระหว่างทางเดินจากห้องของแพทริเซียไปยังประตูหน้าของพระราชวัง เปโตรนิยาเดินชมสวนดอกไม้นั้นครู่หนึ่งตอนขามา ไม่ว่าเวลาไหนมันก็ยังคงสวยงาม แต่ความแตกต่างระหว่างสีของดอกไม้ที่รับแสงแดดจ้ากับสีของดอกไม้ที่รับแสงอาทิตย์ยามเย็นนั้นมีเสน่ห์คนละแบบ
เปโตรนิยายิ้มและเด็ดดอกไม้ดอกหนึ่งจากกระถาง เมื่อดอกกุหลาบแดงในมืออาบแสงสีแดงของอาทิตย์ยามเย็น สีของมันจึงดูแดงสดมากยิ่งขึ้นไปอีก
“หากข้าอยู่ที่นี่คงมาดูดอกไม้นี้ทุกวันเลย”
เปโตรนิยาพึมพำเบาๆ ก่อนจะก้าวเท้าเดินต่อไป แต่ไปต่อได้ไม่เท่าไรนางก็หยุดเดินอีกครั้ง เปโตรนิยาพบเห็นภาพเหตุการณ์บางอย่างเข้าและนั่นทำให้นางหน้าเสีย
“อะไรน่ะ…”
นางซ่อนตัวแถวๆ นั้น ก่อนจะยืดคอมองชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังเดินมาทางทิศที่นางอยู่ สีหน้าที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วของเปโตรนิยาพลันถมึงทึงขึ้นด้วยเหตุการณ์ที่ทำให้ไม่อยากเชื่อสายตา พระจักรพรรดิและ…หญิงสาวผู้หนึ่ง
อะไรกัน…ข่าวลือนั่นเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ? เปโตรนิยามองพระจักรพรรดิและหญิงสาวผู้นั้นเดินคลอเคลียกันในสวนดอกไม้ด้วยแววตาตื่นตะลึง ตำแหน่งข้างกายของจักรพรรดิเป็นที่ของน้องสาวนางแท้ๆ แต่เหตุใดผู้หญิงที่นางเพิ่งเคยเห็นหน้าเป็นครั้งแรกถึงได้ครอบครองมันอยู่ ตอนได้ยินข่าวลือ นางไม่ได้สนใจมากนัก แต่เมื่อได้เห็นกับตาเช่นนี้ เปโตรนิยารู้สึกตกใจอย่างบอกไม่ถูก
“อื้อ!”
เปโตรนิยาค้อมตัวลง จู่ๆ นางก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย นางนั่งยองๆ กับพื้นก่อนจะใช้มือกุมลำคอ หญิงสาวรู้สึกหายใจไม่ออก ทำให้ต้องส่งเสียงค่อกแค่กออกมา
“อึก…”
ทำไมจู่ๆ ก็หายใจไม่ออกเช่นนี้ ทำไมถึงเศร้าเช่นนี้ จะบอกว่าเพราะสามีของน้องสาว ผู้ชายที่จะมาเป็นน้องเขยของนางกำลังนอกใจน้องสาวนางตั้งแต่ยังไม่แต่งงานก็ดูไม่มีน้ำหนักพอ แม้จะเป็นเรื่องที่น่าตกใจมากก็ตาม…แต่ก็ไม่ควรเป็นเหตุผลที่ทำให้นางรู้สึกถูกหยามเกียรติจนแทบหายใจไม่ออกเช่นนี้
เปโตรนิยารู้สึกได้ว่าน้ำตากำลังไหล ทั้งๆ ที่นางไม่ได้อยากให้มันไหล และเสียงครวญครางก็ออกมาจากปากของนางไม่ขาดสาย
“ฮึก ฮือ …”
ความรู้สึกแปลกๆ ทั้งเศร้า ทุกข์ใจ อยากจะฆ่าให้ตาย ประเดประดังเข้ามาในหัว เปโตรนิยาถูกอารมณ์เหล่านั้นเข้าครอบงำโดยที่ตัวนางไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ ความรู้สึกและความเจ็บปวดที่อธิบายไม่ได้เหล่านี้ช่างแปลกนัก นางร้องเสียงแหบแห้งออกมาอีกสองสามครั้ง ก่อนจะหมดสติล้มลงไปในที่สุด
***
แพทริเซียวิ่งโดยไม่สนสิ่งใด สาบานได้เลยว่านางกำลังวิ่งอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต เมื่อผ่านหัวมุมตึกไป นางก็เห็นตำหนักหินอ่อนสีขาว แม้นางจะสวมรองเท้าส้นสูงชะลูด แต่ก็วิ่งเร็วจี๋โดยไม่มีความลังเลใดๆ
“อึก”
แต่แล้วข้อเท้าบางก็พลิกจนได้ แพทริเซียเสียหลักล้มคว่ำเสียงดังโครมใหญ่อยู่ตรงนั้น มีร์ยาวิ่งไล่หลังมาเพราะวิ่งตามไม่ทันตกใจที่เห็นแพทริเซียล้มลงจึงรีบปราดเข้าไปหา
“ท่านแพทริเซีย!”
มีร์ยารีบสำรวจอาการของแพทริเซีย เพียงครู่เดียวก็รู้ว่าอีกฝ่ายข้อเท้าแพลงเพราะข้อเท้าของแพทริเซียบวมแดงขึ้นมา มีร์ยารีบพูดทั้งสีหน้าตื่นตะลึง
“ข้าจะรีบไปเรียกหมอหลวงมาค่ะ”
“ไม่ต้อง”
แพทริเซียปฏิเสธ สิ่งที่สำคัญตอนนี้ไม่ใช่ตัวนาง
“ไม่เป็นไรค่ะ มีร์ยา ก่อนอื่นช่วยประคองข้าที”
มีร์ยารีบเข้าไปพยุงแพทริเซียที่ทำท่าจะลุกขึ้น แพทริเซียกัดปากอย่างแรงเพื่อกลั้นน้ำตา ริมฝีปากที่แดงช้ำเหมือนจะหลั่งเลือดนั้นทำให้นางดูน่าสงสาร นางมีท่าทีเร่งรีบและพูดขึ้น
“ข้าต้องไปต่อแล้วค่ะ มีร์ยา”
แพทริเซียพูดเช่นนั้นแล้วพยายามลากเท้าที่บวมแดงเดินต่อไปอย่างน่าสงสาร ถ้านางไม่วิ่ง ป่านนี้คงถึงที่หมายไปแล้ว แพทริเซียต่อว่าตัวเองไปตลอดทางจนกระทั่งถึงจุดหมาย นางผลักประตูเข้าไปด้วยสีหน้าร้อนใจ
“…”
บุคคลที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ไม่ได้อยู่คนเดียวแต่อยู่กันสองคน ณ วินาทีนั้นนางตกใจมากแต่ก็รีบเอ่ยทำความเคารพด้วยริมฝีปากที่สั่นเครือ
“ถวายบังคมพระจักรพรรดิ สุริยันแห่งจักรวรรดิ ขอจงทรงพระเจริญ”
“พี่สาวของเจ้าหรือ”
แทนที่จะรับการคำนับ ลูซิโอกลับถามเข้าประเด็นทันที ในตอนนั้นเองแพทริเซียจึงค่อยเลื่อนสายตาไปจับจ้องที่พี่สาวของตน นางคร่ำครวญออกมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นสีหน้าที่ซีดเผือดของอีกฝ่าย
“อา…ฮึก ฮือ…”
ทั้งที่ลูซิโอควรจะปลอบแพทริเซีย หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือปลอบสตรีที่จะมาเป็นภรรยาของตนซึ่งกำลังยกมือขึ้นมาปิดหน้าร้องห่มร้องไห้ แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ เขาเหลือบมองแพทริเซียด้วยสายตาที่ไม่แฝงไปด้วยอารมณ์ใดๆ ก่อนจะอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“คนสวนพบนางหมดสติอยู่ในสวนด้านหลัง ไม่มีอะไรรุนแรง ฟังว่าน่าจะได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างกะทันหัน”
“ฮึก ฮือ”
ยิ่งได้ฟังพระจักรพรรดิอธิบาย แพทริเซียก็ยิ่งสะอึกสะอื้น การร้องไห้ต่อหน้าเขานั้นเป็นสิ่งที่ไม่สมควร แต่เสี้ยววินาทีที่นางเห็นเปโตรนิยานอนอยู่บนเตียง นางก็รู้สึกว่าสติที่ตนประคับประคองไว้ตั้งแต่ย้อนเวลากลับมาจนถึงตอนนี้ได้ขาดผึง
แพทริเซียก้าวเท้าที่อาการไม่ค่อยดีไปยังเตียงที่เปโตรนิยานอนอยู่ แต่แล้วความเจ็บปวดรุนแรงที่ข้อเท้ากลับทำให้นางต้องทรุดตัวลงนั่ง
“อ๊ะ!”
หญิงสาวกุมข้อเท้า ร่างกายบิดเกร็งด้วยความเจ็บปวดที่เทียบไม่ได้กับเมื่อครู่ ข้อเท้าของนางบวมแดงขึ้น ลูซิโอเห็นดังนั้นก็ค่อยๆ เข้ามาใกล้
แพทริเซียเข้าร่วมการคัดเลือกรอบสุดท้ายอย่างเหนื่อยหน่าย ที่จริงสองรอบก่อนหน้านี้นางก็ไม่ได้กระตือรือร้นมากนัก แต่เมื่อดำเนินมาถึงรอบสุดท้ายแล้วเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกว่าทุกอย่างกำลังจะจบเพิ่มมากยิ่งขึ้น แพทริเซียมองจักรพรรดิที่กำลังประกาศหัวข้อสุดท้ายด้วยสายตาเรียบนิ่ง
สีหน้าของเขาบึ้งตึงเหมือนทุกครั้ง สายตาเย็นชาไม่ผิดกับเมื่อชาติก่อน และสายตานั้นคงจะมองโรสมอนด์อย่างอบอุ่นเช่นเคยกระมัง มองด้วยความรักอย่างที่ไม่เคยมองพี่สาวของนางเลยสักครั้ง
จู่ๆ แพทริเซียก็รู้สึกว่าตนใช้อารมณ์มากเกินไป นางจึงกัดริมฝีปากตัวเองเพื่อหยุดความคิดที่หลั่งไหลออกมา ไม่เช่นนั้นนางอาจเศร้าหรือเสียใจเพราะความคิดเหล่านั้น
“เราจะประกาศหัวข้อสุดท้าย”
ไม่มีคำปลอบประโลมใจแก่เหล่าควิเนสที่เหนื่อยยากกับการทดสอบ แน่นอนว่าแพทริเซียก็ไม่ได้คาดหวังเช่นกัน นางรีบซ่อนสายตาที่เย็นชาขึ้นโดยไม่รู้ตัวของตัวเอง สายตานั้นไม่เหมาะที่จะใช้ในที่ที่ทุกคนมารวมตัวกันเช่นนี้
“เดิมทีตำแหน่งจักรพรรดินีมีไว้เพื่อช่วยงานจักรพรรดิอย่างใกล้ชิด ดังนั้นเราจึงคิดว่าสุขภาพของจักรพรรดินีสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด”
“…”
เขาพูดบ้าอะไร? แพทริเซียยั้งตัวเองได้ทันก่อนที่จะหัวเราะแห้งๆ ออกมา สุขภาพของจักรพรรดินีน่ะหรือสำคัญ? สุขภาพของโรสมอนด์สิไม่ว่า เปโตรนิยาเคยเล่าว่า ตอนที่นางไม่สบาย เขาไม่เคยมาหาแม้สักครั้ง ในขณะเดียวกัน แค่โรสมอนด์ไอออกมาแอะเดียว เขากลับตามหมอหลวงให้วุ่น… แพทริเซียควบคุมร่างกายที่กำลังสั่นด้วยความโกรธให้เป็นปกติ ถึงอย่างไรนางก็จะได้ฟังเรื่องไร้สาระเช่นนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว
“ดังนั้น ผลของการคัดเลือกรอบสุดท้ายจะวัดจากสุขภาพของควิเนส”
ครั้นสิ้นเสียงประกาศ ทั่วบริเวณก็เต็มไปด้วยเสียงอื้ออึง นี่เป็นเรื่องที่ผิดไปจากปกติอย่างมาก หากเป็นสติปัญญา ความสามารถ หรือแม้แต่ความงามยังพอเข้าใจ แต่คัดเลือกควิเนสจากสุขภาพอย่างนั้นหรือ? แพทริเซียตกตะลึงกับคำพูดเหลวไหล สาเหตุที่นางตกใจมากกว่าคนอื่นๆ นั้น…
“เชิญหมอหลวงเข้ามาได้”
เพราะหัวข้อสุดท้ายของเมื่อสามปีก่อนไม่ใช่หัวข้อนี้
แพทริเซียยังไม่อาจซ่อนดวงตาที่ตื่นตกใจได้ อดีตเปลี่ยนไปแล้ว นางมั่นใจว่าหัวข้อที่หนึ่งและหัวข้อที่สองยังเหมือนเดิม แต่หัวข้อที่สามกลับเปลี่ยนไป นี่หมายความว่าอย่างไร? สายตาของแพทริเซียยังคงเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก นางจ้องมองหมอหลวงที่เข้ามาทักทาย นี่มันเรื่องอะไรกันแน่
“เริ่มการตรวจได้”
แพทริเซียรู้สึกได้ว่าทุกคนตกใจกับเรื่องนี้ แต่ดูเหมือนว่าจักรพรรดิและดยุกทั้งสี่จะไม่คิดเช่นนั้น แพทริเซียนั่งลงบนเก้าอี้เพื่อรับการตรวจร่างกายทั้งๆ ที่ยังตกใจไม่หาย นางไม่อยากจะเชื่อว่าการคัดเลือกรอบสุดท้ายจะถูกตัดสินด้วยเรื่องพรรค์นี้ แต่การตรวจร่างกายก็ดำเนินต่อไปราวกับย้ำเตือนว่านี่คือความจริง
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ และแล้วการตรวจก็เสร็จสิ้น โชคดีที่ควิเนสทั้งหมดรวมถึงแพทริเซียสามารถทำการทดสอบรอบสุดท้ายได้โดยไม่ต้องพูดอะไรสักคำ ที่จริงก็ไม่รู้ว่าจะใช้คำว่า ‘โชคดี’ ได้หรือไม่
“ผลการคัดเลือกจะประกาศคืนนี้ ให้ควิเนสทุกคนกลับไปรอฟังผลที่ห้องพัก แยกย้ายได้”
พระจักรพรรดิประกาศเสร็จสิ้นการทดสอบรอบสุดท้ายด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ก่อนจะหันหลังและเดินออกจากสถานที่จัดการทดสอบไปอย่างไร้เยื่อใย เหลือเพียงเสียงอื้ออึงของเหล่าขุนนาง และแพทริเซียที่ยังปรับตัวให้เข้ากับอดีตที่เปลี่ยนไปไม่ได้เท่านั้น
“ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย”
แพทริเซียพึมพำ ราฟาเอลาได้ยินดังนั้นก็วางแก้วชาที่กำลังดื่มลงบนโต๊ะ หลังจากร่วมรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายในฐานะควิเนส แพทริเซียและราฟาเอลาก็กลับมาจิบชาและพูดคุยกันต่อที่ห้องของราฟาเอลา
“ไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้มาก่อนก็จริง แต่คำพูดของฝ่าบาทก็มิผิด แม้ว่าจักรพรรดินีจะเป็นภรรยาหลวง แต่ก็ต้องเป็นคนข้างกายที่ทำประโยชน์ต่อพระองค์มากที่สุดด้วยเช่นกัน แต่จะว่าก็ว่าเถอะ…มันแปลกๆ นะ เจ้าว่าไหม”
“เอล่าเป็นนักรบนี่ เจ้าต้องได้คะแนนสูงที่สุดแน่”
เมื่อแพทริเซียพูดจบราฟาเอลาก็ส่ายหน้าอย่างแรง ปฏิเสธราวกับเป็นเรื่องที่ไม่ปรารถนา
“พูดบ้าๆ แล้วมันเกี่ยวอะไรกันล่ะ”
“เกี่ยวสิ ควิเนสสี่คนที่เหลือก็แค่จิบชาไปวันๆ ส่วนเอล่าได้ฝึกในสนามฝึก ย่อมต้องแข็งแรงกว่าพวกเราอยู่แล้ว”
เมื่อแพทริเซียพูดจบ ราฟาเอลาก็ทำหน้ายู่ นางยังคงส่ายหน้าอยู่แต่เบากว่าเมื่อครู่
“อย่าพูดอะไรน่าขนลุกสิ ริซซี่ ข้าไม่เคยอยากเป็นจักรพรรดินีเลย เจ้าก็รู้”
“แหม…เรื่องนั้นเราเลือกได้ด้วยหรือ”
ต่อให้ไม่อยากเป็นจักรพรรดินี แต่ควิเนสที่ถูกเลือกต้องรับตำแหน่งนี้เท่านั้น มันเป็นโชคชะตาของผู้ถูกเลือก การปฏิเสธถือเป็นการดูหมิ่นราชวงศ์ ราฟาเอลาทำหน้าครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ว่าแต่…ผลจะออกเมื่อไรกันนะ”
“เห็นบอกว่าให้รอประกาศผลภายในคืนนี้ คงอีกสักสองสามชั่วโมงกระมัง อ้อ…ควิเนสที่ไม่ถูกเลือกก็สามารถกลับบ้านได้ภายในวันพรุ่งนี้สินะ”
แพทริเซียปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเป็นหนึ่งในสี่คนนั้น นางลูบๆ คลำๆ ถ้วยชาที่ดื่มจนหมดแล้ว ไม่ว่าผลจะออกมาเช่นไร แต่พรุ่งนี้นางจะได้พบเปโตรนิยาแล้ว แพทริเซียใช้ความจริงข้อนั้นปลอบประโลมใจในสถานการณ์ที่ยังไม่รู้อะไรเช่นนี้
“ข้าขอตัวก่อนดีกว่า ข้านี่เผลออยู่นานจนได้ ทั้งๆ ที่เอล่าน่าจะต้องการพักผ่อนแท้ๆ”
แพทริเซียค่อยๆ ลุกขึ้นแต่ราฟาเอลาก็รั้วข้อมือของนางเอาไว้ และพูดด้วยน้ำเสียงราวกับเสียดาย
“อยู่ต่ออีกหน่อยก็ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้กลับบ้านแล้ว”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ การอยู่ถึงดึกดื่นเช่นนี้เป็นการเสียมารยาท…”
ก่อนที่แพทริเซียจะได้พูดต่อ ทันใดนั้นเอง ใครคนหนึ่งก็เปิดประตูโครมเข้ามาในห้อง ทั้งราฟาเอลาและแพทริเซียสะดุ้งโหยงเพราะนั่นถือเป็นการเสียมารยาทอย่างยิ่ง
ผู้ที่เข้ามาในห้องก็คือมีร์ยา นางไม่ใช่คนที่จะเสียจริตเช่นนี้เลย… แพทริเซียถามด้วยความงุนงง
“เอ่อ…มีอะไรหรือคะ มีร์ยา”
“ท่านควิเนสคะ คือ…”
มีร์ยาหยุดไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะหันไปมองราฟาเอลา คนถูกมองเองก็เบิกตามองกลับเช่นเดียวกับแพทริเซีย มีร์ยายืนนิ่ง ปรับลมหายใจเหนื่อยหอบจากการวิ่งเป็นระยะทางไกลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“ควิเนสราฟาเอลา ควิเนสแพทริเซีย ผลการคัดเลือกออกมาแล้วค่ะ”
“อ้อ…”
ได้ฟังดังนั้น ทั้งสองก็อุทานออกมาเบาๆ ผลออกมาเร็วกว่าที่คิด แพทริเซียยกมือขึ้นทาบอก หัวใจของนางเต้นโครมครามอยู่ภายใน ขณะเดียวกันก็ถามออกไปอย่างสุขุม แต่น้ำเสียงกลับสั่นเครืออย่างช่วยไม่ได้
“ใครหรือคะ…ที่ได้รับเลือก”
สิ้นคำถามของแพทริเซีย มีร์ยาก็มองแพทริเซียสลับกับราฟาเอลา พฤติกรรมนั้นทำให้แพทริเซียรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
ไม่นะ อา…ไม่นะ หรือว่า…คงไม่ใช่หรอก
ความไม่สบายใจที่แล่นผ่านสมองทำให้แพทริเซียเผลอกัดปากโดยไม่รู้ตัว ในขณะเดียวกันมีร์ยาก็ประกาศผลรอบสุดท้าย
“ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ ควิเนสแพทริเซีย”
วูบ… ใจของแพทริเซียวูบโหวง นางมองมีร์ยาด้วยสายตาว่างเปล่า มีร์ยาแก้คำของตัวเองด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งกว่าเมื่อครู่คล้ายกำลังตื้นตัน
“ไม่สิ ตอนนี้ทรงเป็นจักรพรรดินีแล้วนะเพคะ”
น่าเศร้าที่ลางสังหรณ์ไม่ดีไม่เคยผิดพลาด
แม้แพทริเซียจะตกใจแต่ก็ไม่ถึงกับลนลาน อาจเป็นเพราะตนคิดถึงความน่าจะเป็นเอาไว้บ้างแล้ว แต่ที่ทำให้รู้สึกประหลาดใจคือการที่ตนได้เป็นจักรพรรดินีทั้งๆ ที่คะแนนรอบแรกและรอบที่สองทำได้ไม่ดี ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าตนทำคะแนนในรอบที่สามได้ดี แต่ทว่า…
เมื่อคิดเช่นนี้ แพทริเซียก็ไม่อาจทิ้งความรู้สึกไม่ชอบมาพากลออกไปจากใจได้
การคัดเลือกรอบสุดท้ายต่างจากที่แพทริเซียรู้ในอดีต และไม่ว่าใครก็มองว่ามีบางอย่างไม่ปกติ
นอกจากนี้ยังมีความจริงที่ว่าไม่มีรอบไหนที่นางทำคะแนนได้ดีนอกจากรอบที่สามอีกแล้ว นั่นหมายความว่าสุขภาพของนางดีกว่าควิเนสคนอื่นๆ ซึ่งตามที่นางคิดนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะสุขภาพของสาวสะพรั่งอายุสิบแปดถึงยี่สิบปีจะแตกต่างกันสักแค่ไหนเชียว
แพทริเซียยังคงรู้สึกไม่ดีกับความเดจาวูแปลกๆ ที่ยังคาใจ แน่นอนว่าสาเหตุหลักมาจากการที่ตนได้เป็นจักรพรรดินี
“ท่านแพทริเซีย มีร์ยาเองค่ะ ขอเข้าไปได้ไหมคะ”
“เชิญค่ะ มีร์ยา”
มีร์ยาเข้ามาในห้องด้วยท่าทางอารมณ์ดี แน่นอนว่านางควรจะดีใจอยู่หรอก เพราะควิเนสที่นางดูแลได้กลายเป็นจักรพรรดินี
แต่นางจะรู้ข่าวลือที่คาวไปทั่วพระราชวังนั่นหรือไม่… ถ้าบอกว่าไม่รู้ก็คงเป็นไปไม่ได้ ซึ่งนั่นก็หมายความว่านางรู้ และแพทริเซียรู้สึกไม่ค่อยดีกับเรื่องนั้นสักเท่าไร
“ขอแสดงความยินดีอีกครั้งค่ะ ท่านแพทริเซีย ที่จริงข้าก็รู้สึกว่าท่านดูเข้าตามาตั้งแต่แรกพบแล้ว… ข้าจึงคิดอยากจะรับใช้ท่านในพระราชวังแห่งนี้ ข้าดีใจมากที่จะได้รับใช้ท่านแพทริเซียต่อไป”
“…”
ครั้นได้ฟังเช่นนั้น แพทริเซียก็รู้สึกวูบหนึ่งถึงบางสิ่งที่ร่ำร้องในอกและจุกขึ้นมาที่คอ มีร์ยาซึ่งเคยเป็นนางกำนัลของเปโตรนิยา ถึงตอนนี้นางจะเป็นข้ารับใช้ของตนแล้วก็ตาม แต่นางก็ยังเป็นคนจิตใจดีและซื่อสัตย์ไม่เปลี่ยน สีหน้าของแพทริเซียดูหม่นหมองลงชั่ววูบ เมื่อมีร์ยาเห็นเข้าก็ตกใจลนลาน
“ท่านแพทริเซีย ข้าพูดอะไรผิด…”
มีร์ยามองแพทริเซียที่เข้ามากอดตนด้วยสายตาที่ลนลานกว่าเมื่อครู่ สีหน้าของนางเหมือนมีคำว่า ‘คุณหนูคนนี้ไยจึงเป็นเช่นนี้’ เขียนอยู่ แพทริเซียกอดมีร์ยาอยู่ครู่ใหญ่ๆ ก่อนจะตัดสินใจ
“ข้าจะทำให้ดีที่สุดค่ะ”
ข้าจะทำให้ดีที่สุด ข้าจะต้องมีชีวิตรอด และคราวนี้ข้าจะไม่ทำให้มีร์ยาต้องตายเด็ดขาด
“ขอบคุณนะคะ”
ข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องตายเพราะข้า เหมือนที่ท่านต้องตายเพราะพี่สาวของข้า
“พูดอะไรกันคะ ข้าสิคะควรจะต้องขอบคุณ”
มีร์ยายิ้มกว้างก่อนจะเข้ามากระซิบกระซาบ ทันใดนั้นนางก็ทักแพทริเซียเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้
“อ้อ ท่านแพทริเซียคะ มีจดหมายจากตระกูลโกรเชสเตอร์ ไม่ทราบว่าท่านแพทริเซียจะสะดวกหรือไม่หากทางนั้นจะขอมาเยี่ยมที่พระราชวัง”
ครั้นได้ยินคำว่าจากเลดี้เปโตรนิยา วูบนึงแพทริเซียรู้สึกกังวล แต่สุดท้ายก็พยักหน้า ถึงอย่างไรตอนนี้คนที่เป็นจักรพรรดินีก็คือตน ต่อให้เปโตรนิยาตกหลุมรักจักรพรรดิตั้งแต่แรกพบก็คงไม่เป็นปัญหา นางแค่เป็นคนซื่อๆ เหมือนผ้าขาว แต่นางมิใช่คนโง่เง่าขนาดที่จะทำเรื่องผิดศีลธรรม เพราะฉะนั้นแพทริเซียจึงอนุญาตง่ายๆ
“วันนี้มีอะไรให้ข้าทำไหมคะ มีร์ยา”
“ยังไม่มีค่ะ แต่ดัชเชสเอเฟรนีจะมาช่วยเตรียมความพร้อมสำหรับพระราชพิธีอภิเษกสมรสเป็นเวลาสองเดือน ท่านแพทริเซียจะได้รับการอบรมการเป็นจักรพรรดินี แต่คงอีกสักสี่วันถึงจะเริ่มการเตรียมตัว ในระหว่างนี้ท่านสามารถพักผ่อนไปก่อนได้ค่ะ”
ที่จริงแพทริเซียรู้อยู่แล้ว แค่ตัวเอกเปลี่ยนจากเปโตรนิยามาเป็นนางเท่านั้น แต่ไม่รู้ทำไม นางรู้สึกว่ามันช่างใหญ่หลวงเหลือเกิน
ต่อแต่นี้ไปนางจะต้องเดินไปบนเส้นทางที่มีแต่ขวากหนามอย่างที่เปโตรนิยาเคยเดิน ความจริงข้อนี้ชวนให้ขนลุก แต่สำหรับทุกคนแล้ว เส้นทางนี้คงจะดีกว่า เพื่อครอบครัว ดีไม่ดีอาจจะเพื่อองค์จักรพรรดิเองด้วย แพทริเซียยิ้มอย่างยากที่จะคาดเดาความหมายและพูดกับมีร์ยา
“มีร์ยา เขียนตอบพี่สาวของข้าไปว่าอยากมาเยี่ยมตอนไหนก็ให้มาได้เลยนะคะ”
คนตรงหน้ายิ้มอย่างสง่างามและจดจ้องมาที่แพทริเซีย
“ระวังด้วยค่ะ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“โร…”
แพทริเซียหุบปากฉับ เกือบหลุดพูด ‘ชื่อนั้น’ ออกไป ไม่ได้นะ ตอนนี้ตัวตนของนางยังไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน หรือต่อให้ชื่อของนางเป็นที่รู้จักก็ตาม แต่ตอนนี้แพทริเซียกับอีกฝ่ายเพิ่งจะเคยเจอหน้ากัน เพราะฉะนั้น ตนต้องนิ่งไว้ อย่ากระโตกกระตาก
“พอดีข้ากำลังหาหนังสือที่เกี่ยวกับมกุฎราชกุมาร[1]โรไซลด์อยู่น่ะค่ะ มือจึงพลาดไปถูกหนังสือเล่มอื่น ขอบพระคุณนะคะ เลดี้”
“มิได้ค่ะ มกุฎราชกุมารโรไซลด์หรือคะ ท่าทางจะสนใจในประวัติศาสตร์สินะคะ ขุนน้ำขุนนางที่รู้จักพระนามก็มีเพียงหยิบมือ อย่างที่ทราบ พระองค์ไม่เป็นที่รู้จักเท่าใดนัก”
“…ข้าแค่พอมีความสนใจอยู่บ้างเท่านั้นค่ะ พูดไปก็รู้สึกกระดากนัก”
แพทริเซียแสร้งยิ้มอย่างไม่เป็นตัวเองเพื่อให้ริมฝีปากที่แข็งค้างขยับได้อย่างเป็นธรรมชาติ โรสมอนด์ที่มองมาเลื่อนสายตาลงไปที่ชุดของแพทริเซีย
ควิเนสหรือ? โรสมอนด์เปลี่ยนหัวข้อสนทนา แม้จะรู้สึกไม่พอใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่ก็ไม่อยากให้ประเจิดประเจ้อเกินไปนัก
“เลดี้เป็นควิเนสหรือคะ”
“…ค่ะ”
“แล้วมาทำอะไรที่นี่หรือคะ… ตอนนี้น่าจะทำการทดสอบกันอยู่มิใช่หรือ”
“เลดี้รอบรู้ทีเดียวนะคะ”
แพทริเซียแขวะหน้าซื่อ ส่วนโรสมอนด์ฉีกยิ้มการค้าแสร้งทำเป็นไม่ยี่หระอะไรกับคำพูดนั้น
“อยู่ในรั้วในวังนานๆ ก็รู้นั่นรู้นี่มากขึ้นเป็นธรรมดาค่ะ เรื่องนี้ก็แค่ได้ยินผ่านๆ มาเท่านั้น”
“เช่นนั้น เลดี้เป็นข้ารับใช้ของฝ่าบาทหรือคะ”
โรสมอนด์ยิ้มเยาะในใจกับคำถามที่แพทริเซียถามซื่อๆ ราวกับไม่รู้เรื่องราวอะไร ข้ารับใช้ของฝ่าบาทหรือ สถานะของนางมิได้ต่ำต้อยอย่างที่ควิเนสผู้นี้คิดแน่ ตัวนางอยู่สูงกว่านั้น แต่ก็อย่างว่า เรื่องนี้ควิเนสปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเช่นนี้คงไม่มีทางได้ล่วงรู้
“เรียกเช่นนั้นก็มิผิดค่ะ”
ทว่า โรสมอนด์ก็ตอบอย่างเลี่ยงๆ หากพูดความจริงออกไปโต้งๆ แม่ควิเนสผู้นี้ไม่หน้าถอดสี แล้วเป็นลมล้มพับไปหรอกหรือ แพทริเซียได้ยินอีกฝ่ายตอบเช่นนั้นก็นึกขำในใจพลางบ่นพึมพำ
ก็ไม่ผิดน่ะสิ ในบรรดาข้ารับใช้ย่อมมีจำพวกหนึ่งที่คอยรับใช้ในยามวิกาล
“เช่นนั้น ข้าขอตัวก่อนนะคะ”
แพทริเซียหยิบหนังสือเกี่ยวกับมกุฏราชกุมารสองสามเล่มมากอดแนบอกก่อนจะหาทางจบบทสนทนา ครั้นโรสมอนด์ได้ยินดังนั้นก็ถามกลับด้วยสีหน้าสงสัย
“ตายจริง ต้องไปแล้วหรือคะ”
“อย่างที่เลดี้ทราบ ตอนนี้อยู่ระหว่างการคัดเลือก ข้าเพียงแต่แวะมาครู่เดียวเท่านั้นค่ะ”
เดิมทีก็คิดจะฝังตัวอยู่ในนี้จนครบสามชั่วโมงอยู่หรอก แต่ผิดแผนไปเสียแล้ว เป้าหมายของแพทริเซียที่เพิ่งจะย้อนเวลากลับมาคือการไม่ประจันหน้ากับโรสมอนด์ คนไม่เหยียบมูลสัตว์ที่ตกอยู่ตามพื้นหาใช่เพราะกลัวสิ่งนั้น แต่เพราะกลัวจะสกปรกต่างหาก ยิ่งของเสียอย่างโรสมอนด์ด้วยแล้ว ยิ่งต้องระวัง
สถานการณ์ไม่อำนวยให้ไปหาเรื่องนางด้วยความแค้นเสียด้วย แพทริเซียจึงรีบปลีกตัวออกมาเพราะตนในเวลานี้ไม่ควรจะรับรู้ถึงตัวตนของโรสมอนด์
สุดท้ายแพทริเซียก็เหมือนถูกไล่กลายๆ ให้ออกจากที่ที่วางแผนจะไปฆ่าเวลา หญิงสาวถือหนังสือเกี่ยวกับมกุฎราชกุมารโรไซลด์เล่มเดียวเดินเตร็ดเตร่ไปมา ในเวลานี้พวกนางถูกห้ามไม่ให้พาสาวใช้ไปไหนมาไหนด้วย เพราะฉะนั้นตอนนี้เท่ากับว่าแพทริเซียอยู่คนเดียวโดยสมบูรณ์
แพทริเซียครุ่นคิดอยู่สักครู่ว่าจะไปฆ่าเวลาที่ไหนดี สุดท้ายนางก็นึกถึงสถานที่ที่ไม่ค่อยมีผู้คน สถานที่ที่นางค้นพบและหลงใหลในชาติก่อน ซึ่งก็คือสวนดอกไม้ในพระราชวัง ที่ที่นางจะแวะเวียนไปเป็นครั้งคราวในยามที่เข้าวังมาเยี่ยมพี่สาว
ไม่มีใครอยู่ในสวนนั้นอย่างที่คิด ทำให้ใจของแพทริเซียรู้สึกสงบในรอบหลายวัน แพทริเซียชอบสถานที่ที่สงบเงียบเช่นนี้มากกว่าที่ที่อึกทึก ร่างบางเดินตรงไปจับจองที่นั่งบนม้านั่งที่อยู่ใกล้ที่สุดที่มองเห็น จากนั้นก็เปิดหนังสือซึ่งเป็นของแก้เบื่อเพียงอย่างเดียวที่นางมี พลางคิดว่าหากอ่านหนังสือเล่มนี้จบ เวลาคงจะผ่านไปประมาณสามชั่วโมงพอดี
มกุฎราชกุมารโรไซลด์เคยเป็นอดีตรัชทายาทของจักรวรรดิมาวินอส แต่เนื่องจากประพฤติตัวไม่อยู่ในทำนองคลองธรรม อีกทั้งยังมีอุปนิสัยเหี้ยมโหด ทำให้ถูกปลดจากตำแหน่งในที่สุด
แต่ด้วยความสามารถด้านการเมืองการปกครองที่โดดเด่นแตกต่างจากอุปนิสัยของเขา ทำให้บิดาซึ่งเป็นจักรพรรดิในขณะนั้นแต่งตั้งให้เป็นมกุฎราชกุมาร แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ต้องสละราชบัลลังก์
ขณะที่แพทริเซียอ่านไปได้ประมาณครึ่งเล่ม นางก็เริ่มรู้สึกง่วง แต่ถ้าขืนนางหลับไปตอนนี้ เมื่อตื่นมาอีกที เวลาอาจล่วงเลยเกินสามชั่วโมงไปนานโข หากเป็นเช่นนั้นคงมีใครสักคนออกมาตามหานาง และคนผู้นั้นคงมาเห็นสภาพของนางที่หลับไปขณะอ่านหนังสือ แค่คิดก็รู้สึกอายแล้ว
แพทริเซียลุกจากม้านั่ง สองมือกุมแก้มที่แดงเรื่อด้วยความคิดเมื่อครู่ไว้ วิธีขจัดความง่วงที่ดีที่สุดก็คือการออกไปเดินเล่น
ร่างบางเดินลึกเข้าไปในสวน ข้างหน้านั้นมีสระน้ำ และรอบบริเวณนั้นมีดอกกุหลาบบานสะพรั่ง แพทริเซียมองดอกกุหลาบสีแดงสดแล้วนึกถึงโรสมอนด์ที่เพิ่งเจอเมื่อครู่
ในชาติก่อนผู้หญิงคนนั้นเป็นศัตรูของเปโตรนิยา และน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องในความหายนะของตระกูลของตน แม้จะไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าอีกฝ่ายทำ แต่คนรักของจักรพรรดิอย่างโรสมอนด์ย่อมมีส่วนทำให้เปโตรนิยาผู้ซึ่งเคยไร้เดียงสาต้องกลายเป็นคนเหลวแหลกถึงเพียงนั้นเป็นแน่
ขณะที่แพทริเซียเชยชมดอกกุหลาบที่บานสะพรั่ง จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคน แน่นอนว่านางย่อมตกใจเป็นธรรมดา มีคนมาในที่เช่นนี้อย่างนั้นหรือ? แม้จะไม่ได้ทำอะไรผิดแต่นางกลับลนลานรีบซ่อนตัวระหว่างพุ่มไม้ แพทริเซียรู้สึกแปลกๆ เหมือนเข้ามาบุกรุกที่ที่เป็นความลับของใครสักคนอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นนางก็ได้เห็นเจ้าของเสียงฝีเท้า และเกือบจะส่งเสียงดังออกไป
“พระจั…..”
แพทริเซียรีบเอามือปิดปากด้วยความตกใจที่เสียงของตนหลุดออกมาจากปากโดยไม่รู้ตัว นางไม่รู้ว่าทำไม แต่นางรู้สึกว่าไม่ควรถูกจับได้ว่าตนอยู่ที่นี่ด้วย แพทริเซียข่มใจที่เต้นโครมครามให้สงบลงก่อนจะเบนสายตาไปที่จักรพรรดิ เจ้าของพระราชวังอย่างเขาไม่มีทางที่จะไม่รู้จักที่แห่งนี้ แต่ช่างน่าประหลาดใจที่เขามาที่นี่คนเดียว อีกทั้งในพระราชวังแห่งนี้น่าจะมีสวนดอกไม้ที่เลิศหรูกว่าที่นี่แท้ๆ
เขามาที่นี่ในเวลานี้ทำไมกัน? แม้ตอนนี้จะอยู่ระหว่างการคัดเลือกจักรพรรดินี แต่ในเวลาสามชั่วโมงที่ควิเนสได้รับก็ไม่น่าจะทำให้เขามีเวลาว่างออกมาเดินเล่นได้
สิ่งที่น่าสงสัยคือตำหนักที่ใช้จัดการทดสอบกับที่แห่งนี้ไม่ได้ใกล้กันนัก หรือว่าที่แห่งนี้จะมีความหมายพิเศษต่อเขา? แพทริเซียมองจักรพรรดิที่เดินอยู่ในสวนอย่างไม่เข้าใจ
ลูซิโอยืนอยู่นานคล้ายมีเรื่องให้ครุ่นคิด หากจะมีอะไรสักอย่างที่ดูพิเศษก็คงจะเป็นสีหน้าขณะใช้ความคิดนั้นดูไม่ใคร่ยินดีเท่าใดนัก สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเรื่อยๆ บางครั้งก็ขมวดมุ่นราวกับนึกถึงเรื่องไม่ดีขึ้นมา และบางคราก็แย้มยิ้มคล้ายนึกถึงเรื่องดีๆ ขึ้นได้
แพทริเซียไม่อาจทราบได้ว่าอีกฝ่ายครุ่นคิดเรื่องใดอยู่ และถ้าให้พูดตามจริงคือนางไม่ได้อยากรู้เสียด้วยซ้ำ แต่ปัญหาคือ แพทริเซียต้องรอให้จักรพรรดิออกไปจากที่นี่ก่อน ตัวนางจึงจะสามารถกลับไปยังตำหนักที่ใช้จัดการคัดเลือกได้ ถ้าจะย้อนกลับไปที่ตำหนักนั้น นางต้องเดินผ่านจุดที่ลูซิโอยืนอยู่ นางกัดปากตัวเองเพราะคิดว่าดีไม่ดีนางอาจกลับไปไม่ทันเวลา
โชคยังดีที่จักรพรรดิออกจากสวนดอกไม้ไปในเวลาที่ฉิวเฉียด เมื่อเขาเดินไปลับตา แพทริเซียก็ออกจากพุ่มไม้ ตรวจดูอีกครั้งว่ามีใครอยู่อีกหรือไม่ และเมื่อพบว่าไม่มี นางจึงถอนหายใจออกมา
เฮ้อ ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นต้องซ่อนตัว แต่ก็เผลอทำให้ตัวเองหงุดหงิดไปเสียแล้ว แพทริเซียจัดเสื้อผ้าที่เสียทรงขณะซ่อนตัวให้กลับมาเรียบร้อย ก่อนจะรีบเดินไปที่ตำหนักจัดการทดสอบ
สามชั่วโมงผ่านไป แน่นอนว่าแพทริเซียหาคำตอบไม่ได้ จำได้ว่าชาติก่อนมาร์ควิสโกรเชสเตอร์เคยบอกคำตอบแก่ตน แต่เวลาผ่านมาตั้งสามปี ตนจึงลืมไปหมดแล้ว หญิงสาวทำใจให้สบายและตั้งใจจะตอบอะไรก็ได้ออกไป
แพทริเซียครุ่นคิดคำตอบอยู่สักครู่ ก่อนจะใช้ปากกาขนนกเขียนคำว่า ‘ความรัก’ ลงไปในกระดาษคำตอบ สิ่งที่ตอนมาคล้ายแกะ ตอนผ่านไปคล้ายเหยี่ยว และเมื่อผ่านไปแล้วคล้ายหิน สิ่งนั้นคือความรัก ตอนมาก็นุ่มนวลเหมือนแกะ ตอนผ่านไปกลับว่องไวดั่งเหยี่ยว
แต่ครั้นผ่านไปแล้วก็เจ็บประหนึ่งถูกหินขว้าง แม้นางไม่เคยมีความรักสักครั้ง แต่ความรักของเปโตรนิยาพี่สาวของนางเป็นเช่นนั้น
รักแรกที่เข้ามาหาราวกับแกะผ่านไปอย่างเชือดเฉือน และในที่สุดก็จบลงด้วยความเจ็บช้ำ สีหน้าของแพทริเซียเศร้าหมองลงอย่างประหลาด นางสลดใจเมื่อคิดถึงเปโตรนิยา
“อืม… มีผู้ตอบถูกเพียงหนึ่งท่าน”
ในสนามอื้ออึงขึ้นมาเพราะคำพูดของดยุกวีเธอร์ฟอร์ด แพทริเซียไม่ได้คาดหวังว่านางจะตอบถูก และไม่นานดยุกวีนางฟอร์ดก็ประกาศนามของคนผู้นั้น
“ขอแสดงความยินดีกับควิเนสทริชา ผู้ตอบถูกเพียงหนึ่งเดียว”
“ข้านึกว่าจะเป็นเจ้าเสียอีก”
นี่คือคำพูดแรกของราฟาเอลาหลังจากกลับมายังที่พัก ซึ่งแพทริเซียก็ได้แต่หัวเราะพร้อมบอกว่านางไม่ได้หัวดีขนาดนั้น
“ทำไมล่ะ เลดี้ทริชาออกจะฉลาดเฉลียว ข้าคิดไว้แล้วว่าต้องเป็นนาง”
“ก็ฉลาดอยู่หรอก แต่ใครจะคิดว่านางจะตอบถูก”
สิ่งที่ตอนมาคล้ายแกะ ตอนผ่านไปคล้ายเหยี่ยว และเมื่อผ่านไปแล้วคล้ายหิน คำตอบของสิ่งนั้นคือเวลา แพทริเซียทวนคำตอบนั้นอยู่เงียบๆ สำหรับตนและครอบครัว ช่วงเวลาเมื่อสามปีก่อนนุ่มนวลเหมือนแกะ และสามปีหลังจากนั้นก็เป็นเวลาที่ฉีกทึ้งพวกนางราวกับเหยี่ยว และเมื่อคิดถึงเรื่องนั้นขึ้นมาในตอนนี้ซึ่งเป็นเวลาที่ทุกอย่างจบลงแล้ว มันเป็นความทรงจำที่หนักอึ้งราวกับหิน แพทริเซียยิ้มอย่างเศร้าๆ ให้กับคำตอบที่เหมาะสมที่สุดนั้น
“ไม่รู้ว่าใครเป็นคนคิด แต่ช่างเป็นคำถามที่ดีจริงๆ”
“นั่นสิ ว่าแต่ตอนนี้ก็เหลือการทดสอบแค่รอบเดียวแล้วสินะ”
“…”
มุมปากของแพทริเซียยกขึ้นเล็กน้อย เมื่อเสร็จสิ้นการคัดเลือกรอบสุดท้าย นางก็จะได้กลับบ้านเสียที แน่นอนว่าเหตุการณ์อาจตรงกันข้าม เมื่อสามปีก่อนคนที่ตอบถูกไม่ได้มีแค่เลดี้ทริชาเหมือนเช่นวันนี้ ตอนนั้นเปโตรนิยาเองก็ตอบถูก
แต่วันนี้นางกลับตอบคำถามนั้นไม่ถูก เพราะฉะนั้นทุกอย่างดูเหมือนจะกำหนดให้ควิเนสทริชาได้เป็นจักรพรรดินี แพทริเซียยังจำได้ว่าเมื่อครู่เหล่าขุนนางก็พากันกระซิบกระซาบกันว่าผลออกมาแล้ว แพทริเซียจึงเอ่ยขึ้น
“ตอบคำถามถูกแต่เพียงผู้เดียว ตระกูลก็สูงส่งที่สุดในบรรดาพวกเรา หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ควิเนสทริชาน่าจะได้เป็นจักรพรรดินีล่ะนะ”
แพทริเซียปรารถนาให้เป็นเช่นนั้น ตอนนี้แค่นางได้ยินคำว่าเชื้อพระวงศ์ก็รู้สึกสะอิดสะเอียนแล้ว ทั้งจักรพรรดิ ทั้งมาร์เชอเนสเฟ็ลปส์ ทั้งตำแหน่งจักรพรรดินี ตนสมัครใจมาเป็นควิเนสแทนพี่สาวเพื่อป้องกันไว้ก่อนก็จริง แต่เรื่องเกินความคาดหมายอย่างการได้เป็นจักรพรรดินีเท่านั้นที่แพทริเซียปรารถนาจากใจว่ามันจะไม่เกิดขึ้นจริง
[1] มกุฎราชกุมาร เป็นตำแหน่งรัชทายาทที่จะสืบราชสันตติวงศ์ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงสถาปนา
หัวข้อในตอนนั้นคืออะไรนะ น่าจะเป็น…
“จงปักผ้าด้วยลวดลายที่แสดงความเป็นตัวตนของท่าน มีเวลาสามชั่วโมง”
การปักผ้า แพทริเซียเกือบหลุดหัวเราะออกมา เนื่องจากหัวข้อการทดสอบเหมือนกับเมื่อสามปีก่อนไม่มีผิด แม้จะคาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว แต่เมื่อตรงกันจริงๆ ก็ทำให้รู้สึกประหลาดใจ หญิงสาวเดินไปยังที่ที่จัดไว้อย่างสงบและเริ่มครุ่นคิดถึงลายที่จะปัก ความสามารถในการปักผ้าของแพทริเซียอาจจะโดดเด่น แต่นางก็ไม่ได้พิศวาสการปักผ้าสักเท่าไร ยิ่งไปกว่านั้น นางไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแสดงความสามารถของตัวเองในที่แห่งนี้ เพราะนางตั้งใจมาเพื่อสอบตก มิใช่มาเพื่อสอบติด
ควิเนสอีกสี่คนง่วนอยู่กับการร้อยไหม ดูท่าทางพวกนางจะคิดแบบออกแล้ว แต่แพทริเซียไม่ได้รีบร้อนขนาดนั้น อาจเป็นเพราะนางไม่ได้อยากเป็นควิเนสมาตั้งแต่ต้น นางกำลังครุ่นคิดสะระตะว่าจะต้องปักลายอะไรจึงจะไม่สะดุดตามากที่สุด
“…”
ระหว่างใช้ความคิด แพทริเซียก็เหลือบไปเห็นจักรพรรดิโดยบังเอิญ เดิมทีการมองพระพักตร์นั้นเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย แต่ไม่มีใครทันสังเกตเห็นเพราะนางอยู่ห่างจากอีกฝ่ายมาก
แพทริเซียเหม่อมองจักรพรรดิ ชายผู้สั่งประหารตนและครอบครัว ใบหน้าที่งดงามอยู่เสมอนั้นปรากฏร่องรอยของความหดหู่ แววตาดูซับซ้อนเกินบรรยาย ไม่รู้ว่ากำลังคะนึงหาโรสมอนด์ คนรักที่ซ่อนไว้ในตำหนักแยกหรืออย่างไร แพทริเซียจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันหน้ากลับมาช้าๆ พลางคิดว่าตนจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ไร้ความหมายเกินไปแล้ว
เวลาเลื่อนไหลไปเรื่อยๆ และแพทริเซียต้องปักลายอะไรสักอย่าง แต่เอาเข้าจริงนางกลับคิดอะไรที่เหมาะสมไม่ออกเลย ร่างบางถอนหายใจในใจก่อนจะหยิบเข็มขึ้นมาถือด้วยสีหน้าไม่จริงจัง
ครั้นเวลาผ่านไปสามชั่วโมง บรรดาสาวใช้ก็มาเก็บเอาสะดึงปักผ้าของควิเนสทั้งห้าไป เมื่อปักเสร็จแล้ว ลำดับต่อไปคือการอธิบายผลงาน
ในรอบแรกจะเริ่มโดยใช้ตำแหน่งของบิดาเป็นเกณฑ์ จึงเรียงจากตระกูลดยุกวาเซียร์ ตระกูลมาร์ควิสบริงสโตน ตระกูลมาร์ควิสดิวาร์ ตระกูลมาร์ควิสโกรเชสเตอร์ของนาง และตระกูลเคานต์อาร์เซลโดตามลำดับ
รูปที่เลดี้วาเซียร์ปักคือดอกสกัลเลอร์ซึ่งเป็นดอกไม้หายากที่บานเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ในจักรวรรดิมาวินอส เลดี้บริงสโตนปักรูปดาบสมกับเป็นบุตรีแห่งตระกูลนักรบ เลดี้ดิวาร์ปักรูปต้นลอเรลล์อันหมายถึงชัยชนะ
“บุตรีของมาร์ควิสโกรเชสเตอร์เชิญอธิบายผลงานได้”
ผลงานของแพทริเซียคือรูปดอกลาเวนเดอร์ เมื่อดัชเชสเอเฟรนีให้อธิบายความหมาย นางก็ตอบออกไปส่งๆ
“หม่อมฉันอยากมอบกลิ่นหอมให้องค์จักรพรรดิดังเช่นดอกลาเวนเดอร์เพคะ”
ดัชเชสเอเฟรนีทำหน้าเหมือนอยากจะพูดว่า ‘เท่านี้หรือ?’ เพราะคำตอบของนางทั้งสั้นและรวบรัดเมื่อเทียบกับควิเนสคนอื่นๆ แพทริเซียเพียงแต่ตอบรับโดยการพยักหน้าเงียบๆ ดัชเชสเอเฟรนีทำหน้าเหมือนกินยาขมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาทำหน้าที่ของตน ขอให้บุตรีของเคานต์อาร์เซลโดอธิบายความหมายของลายปักต่อไป
ในระหว่างนั้นแพทริเซียเอาแต่ยืนเหม่อ นางเลือกลายลาเวนเดอร์โดยไม่ได้มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ แค่คิดอะไรที่เหมาะสมไม่ออกจริงๆ และในตอนนั้นนางก็นึกถึงน้ำหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ที่เปโตรนิยาใช้ก็แค่นั้น
ทุกครั้งที่แพทริเซียเห็นดอกลาเวนเดอร์ก็จะนึกถึงเปโตรนิยาเสมอ เพราะอีกฝ่ายฉีดน้ำหอมกลิ่นนั้นเป็นประจำ แพทริเซียคิดว่าตนปฏิบัติตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้ดีพอสมควร เพราะครั้นจะจงใจทำอย่างส่งๆ ก็อาจส่งผลเสียต่อตนเองได้
จักรพรรดิไม่อาจทราบถึงสิ่งที่แพทริเซียประสบมาได้ เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่น่ารู้ถึงความหมายของดอกลาเวนเดอร์ที่นางปัก รวมไปถึงเรื่องที่มันเป็นดอกไม้ที่เปโตรนิยาชอบด้วย
แพทริเซียจำได้ว่าภาษาดอกไม้ของดอกลาเวนเดอร์มีมากมาย ทั้งความมั่นคง ความคาดหวัง ความเงียบ กลิ่นฟุ้งกระจาย ‘ตอบคำถามข้าสิ’ และอีกมากมาย หญิงสาวยิ้มออกมาอย่างเศร้าสร้อยด้วยคิดว่าคำพวกนั้นช่างเหมาะกับพี่สาวของตนจวบจนวาระสุดท้าย พี่สาวที่มั่นคงกับจักรพรรดิจนวาระสุดท้าย พี่สาวที่ไม่ยอมละทิ้งความหวัง พี่สาวที่คาดหวังคำตอบและใฝ่หากลิ่นกายของสามี
“การทดสอบวันนี้เสร็จสิ้นลงแล้ว เชิญควิเนสทุกท่านกลับไปยังห้องพักได้”
แพทริเซียเดินไปที่ประตูตามที่ดัชเชสเอเฟรนีบอกพลางคิดว่าตนจะไม่เป็นเช่นนั้น ต่อให้โชคร้ายต้องกลายเป็นจักรพรรดินี ตนก็จะไม่มอบรักมั่นให้จักรพรรดิและจะไม่คาดหวังสิ่งใด ถ้ามันเป็นสิ่งที่จะทำให้ทุกคนอยู่กันอย่างมีความสุข ตนก็ควรจะต้องทำ
“ริซซี่”
เสียงที่คุ้นเคยเรียกให้แพทริเซียหยุดเดินและแย้มรอยยิ้มก่อนจะหันไปมองและพบหญิงสาวคนหนึ่งกำลังส่งยิ้มกลับมา นางเรียกชื่อของอีกฝ่าย
“ราฟาเอลา”
“ดอกไม้สวยดีนะ ฝีมือการปักผ้าของเจ้าไม่มีตกเลยจริงๆ”
หญิงสาวที่ก้าวเข้ามาหาด้วยรอยยิ้มคนนี้คือราฟาเอลา บุตรีของมาร์ควิสบริงสโตน นางเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกันเพียงคนเดียวที่แพทริเซียผู้ใช้ชีวิตเสมือนดอกไม้ประดับในแวดวงชนชั้นสูงจะสามารถเปิดอกคุยด้วยได้ อันที่จริงราฟาเอลาอายุมากกว่าแพทริเซียหนึ่งปีแต่พวกนางก็ไม่ได้พูดคุยกันอย่างมีพิธีรีตองมากนัก เพราะราฟาเอลาอยากให้เราเป็นเสมือนเพื่อนกันมากกว่า
“ดาบของเอล่าก็ดูดีไม่หยอก เอลโดราโดใช่หรือไม่”
เอลโดราโดคือชื่อดาบของราฟาเอลา เจ้าตัวหัวเราะคิกคัก
“ตาแหลมนะ แต่ทุกคนก็น่าจะรู้กันหมดนั่นแหละ ว่าแต่ผิดคาดนะเนี่ยที่เจ้ามาแทนนีย่า เจ้าไม่ค่อยชอบพวกเชื้อพระวงศ์มิใช่หรือ”
ใช่แล้ว แพทริเซียยิ้มเศร้า ในเวลาเช่นนี้ เออออตามไปก่อนน่าจะดี
“ก็ใช่”
“แล้วทำไมล่ะ”
“ก็แค่…คิดว่าน่าจะดีกว่าให้ท่านพี่มาน่ะ”
ราฟาเอลาหัวเราะเบาๆ ราวกับเห็นด้วยกับความคิดของแพทริเซีย คำพูดของแพทริเซียถูกแล้ว ถ้าไม่นับเรื่องที่เจ้าตัวจะชอบหรือไม่ก็ตาม แต่แพทริเซียเหมาะจะมางานแบบนี้มากกว่าเปโตรนิยา และตัวของราฟาเอลาเองก็ไม่ชอบสถานะของตนในตอนนี้เช่นกัน นางไม่สนใจตำแหน่งจักรพรรดินีแม้แต่น้อย แต่กลับต้องมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะมาร์ควิสบริงสโตนมีเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวคือตัวนาง และนางในตอนนี้ก็อายุยี่สิบปีแล้ว
“ข้าอยากตกรอบจึงตั้งใจปักเป็นรูปดาบ ที่จริงมันก็เบี้ยวๆ แต่ก็เอาเถอะ ฝ่าบาทคงไม่อยากได้สตรีที่พกดาบร่อนไปร่อนมาไปทำเมียหรอก”
“….”
ที่จริงแล้วควิเนสจะจับดาบเป็นหรือไม่นั้นไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือตอนนี้ในหัวใจของจักรพรรดิมีสตรีนางหนึ่งอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้จะพูดสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ แพทริเซียจึงทำได้แค่ยิ้มและพูดตามน้ำไป
“ข้าก็เหมือนกัน ข้าอยากให้หนึ่งสัปดาห์นี้ผ่านไปเร็วๆ จะได้กลับบ้าน”
“ริซซี่ ทั้งเจ้าและข้าต่างก็มีสิทธิ์ตกรอบทั้งคู่ล่ะนะ”
ราฟาเอลากล่าวเช่นนั้น แต่นางก็ถามแพทริเซียต่อด้วยน้ำเสียงกระหยิ่มยิ้มย่องแปลกๆ
“ถ้าเจ้าได้เป็นจักรพรรดินี ข้าจะเป็นองครักษ์ให้ดีไหม นั่นก็น่าสนุกนะ”
“….”
แพทริเซียยังคงยิ้มให้และไม่พูดอะไร ในตอนนั้น ตอนที่เปโตรนิยาได้เป็นจักรพรรดินี ราฟาเอลาก็ตามเข้ามาอยู่ในวังด้วยในฐานะอัศวินราชองครักษ์ นางเป็นข้ารับใช้ที่จงรักภักดีและเป็นเหมือนเชือกให้เปโตรนิยาได้ยึดเหนี่ยว แต่จุดจบของนางไม่ค่อยสวยนัก ครั้งหนึ่งที่นักฆ่าลอบเข้ามาในตำหนักจักรพรรดินี นางเสียชีวิตจากการต่อสู้เพื่อช่วยเปโตรนิยา
แพทริเซียนึกถึงเรื่องราวในตอนนั้นขึ้นมาก็กัดริมฝีปาก ราฟาเอลาที่เห็นเช่นนั้นจึงยื่นมือออกไปเตะที่ริมฝีปากของแพทริเซีย
“อา…”
“อย่ากัดปากสิ ริซซี่ เดี๋ยวก็เป็นแผลหรอก”
จะชาติก่อนหรือตอนนี้ ราฟาเอลาก็ยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยนและคอยเป็นห่วงเป็นใยแพทริเซียเสมอ นางไม่เปลี่ยนไปเลย ความจริงที่ว่าจักรพรรดิรักโรสมอนด์ไม่เปลี่ยนฉันใด ความจริงที่ว่าราฟาเอลาเป็นเพื่อนสนิทของแพทริเซียก็ไม่เปลี่ยนฉันนั้น คำพูดแสนห่วงใยนั้นทำให้แพทริเซียฝืนยิ้มออกมาก่อนจะเอ่ยปากพูด
“ข้าไม่อยากให้เอล่าบาดเจ็บ”
“นักรบย่อมคู่กับบาดแผล ริซซี่ ถ้าข้าได้เป็นอัศวินของเจ้า ข้ายอมตายเพื่อปกป้องเจ้า”
“เอล่า!”
แพทริเซียขึ้นเสียงอย่างไม่สมกับเป็นตัวเอง แต่ราฟาเอลากลับยิ้มกว้างและพูดต่อเบาๆ
“ล้อเล่นน่าริซซี่ ไม่เชื่อฝีมือข้าหรือ”
ราฟาเอลาเห็นแพทริเซียหน้าซีดลงเล็กน้อยด้วยคิดถึงเรื่องเมื่อชาติก่อน นางก็ยิ้มกรุ้มกริ่มออกมา และเข้ามากอดแพทริเซียจนคนถูกกอดแทบจะหายใจไม่ออก
“ก็บอกว่าล้อเล่นอย่างไรเล่า แหม แล้วข้าจะกล้าหยอกเจ้าเล่นอีกไหมล่ะนี่”
ราฟาเอลาขยี้ผมสีน้ำเงินเขียวยาวสลวยของแพทริเซียแรงๆ ก่อนจะฉีกยิ้มราวกับกำลังจะพูดเรื่องที่ไม่ควรไขในที่แจ้ง
“มา ไปดื่มชาที่ห้องข้าก่อนเถอะ สาวใช้ของข้าชงชารสดีมาก”
แพทริเซียไม่ปฏิเสธ
วันที่สี่ การทดสอบรอบที่สองก็ได้เปิดม่านขึ้น แพทริเซียเข้าไปในสถานที่จัดการทดสอบด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างจากวันแรก การที่นางสบายใจขึ้นน่าจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะนางคิดเสมอว่าสอบผ่านก็ช่าง สอบตกก็ช่าง
“การทดสอบรอบที่สอง”
ในชั่ววินาทีที่ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดกำลังเอ่ยถึงโจทย์ข้อที่สอง แพทริเซียก็นึกถึงเรื่องในอดีตขึ้นมาได้อีก การทดสอบรอบที่สองคืออะไรนะ…อ้อ ใช่แล้ว คำถามอะไรสักอย่าง นางจำได้ว่าเป็นการหาคำตอบของคำถามภายในเวลาสามชั่วโมงโดยไม่เกี่ยงวิธีการ แพทริเซียจำคำตอบไม่ได้ แต่นั่นไม่สำคัญ เพราะนางไม่คิดจะตอบให้ถูกมาตั้งแต่ต้น
“เป็นคำถามที่ปฐมจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิมาวินอสทรงถามพระจักรพรรดินี สิ่งที่ตอนมาคล้ายแกะ ตอนไปคล้ายเหยี่ยว และเมื่อผ่านไปแล้วคล้ายหิน สิ่งนั้นคืออะไร มีเวลาสามชั่วโมง ทุกท่านจงหาคำตอบให้ได้ภายในเวลาที่กำหนดโดยใช้วิธีการใดก็ได้ จะไปถามใคร หรือเข้าไปหาข้อมูลในหอสมุดแห่งพระราชวังก็ย่อมได้”
ได้เข้าวังมาในฐานะควิเนสทั้งที หากลองทำอะไรส่งๆ พริบตาเดียวได้เป็นขี้ปากคนไปทั่วเป็นแน่ อย่างน้อยก็ต้องทำให้ดูเหมือนมีความพยายามสักหน่อย แพทริเซียครุ่นคิดว่าจะไปฆ่าเวลาที่ไหนดี และในที่สุดนางก็ตัดสินใจไปที่หอสมุดของพระราชวัง สถานที่แห่งนั้นมีขั้นตอนมากมายในการเข้าออก นางจึงไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปเยือนสักเท่าไร
เมื่อเข้ามาในหอสมุดที่เงียบสงบ สตรีนางหนึ่งที่ดูเหมือนเป็นบรรณารักษ์ก็เข้ามาหานาง อีกฝ่ายเหลือบมองชุดสีขาวที่แพทริเซียสวมก่อนจะหันหน้ากลับไป
ท่าทางคนที่มาที่หอสมุดนี้จะมีแค่แพทริเซียเพียงคนเดียว เพราะภายในนั้นสงบจนแทบจะเรียกว่าสงัด แพทริเซียคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าควรจะอ่านหนังสือประเภทใดก่อนจะเดินไปยังมุมหนังสือประวัติศาสตร์
หนังสือที่อยู่บนชั้นบนสุดสะดุดตาแพทริเซียไม่น้อย แม้ตนจะไม่ใช่คนตัวเตี้ย แต่หนังสืออยู่สูงเกินไป แม้ตนจะเขย่งสุดตัวแล้วก็ยังแตะไม่ถึง ร่างบางปัดป่ายมือที่เหมือนจะแตะถูกแหล่ไม่ถูกแหล่ซ้ำไปซ้ำมาจนในที่สุดปลายนิ้วของนางก็เกี่ยวเข้ากับหนังสือเล่มนั้นจนได้
“อ๊ะ!”
ปัญหาคือนอกจากหนังสือเล่มนั้นแล้ว หนังสือเล่มข้างๆ ก็หล่นลงมาพร้อมกันหมด หนังสือหลายต่อหลายเล่มตกกระทบพื้นก่อให้เกิดเสียงดังขึ้น นางใจหายวาบเพราะกลัวจะถูกต่อว่า แต่โชคดีที่ไม่เกิดอะไรขึ้น อาจเป็นเพราะว่ามุมหนังสือประวัติศาสตร์อยู่ไกลจากบรรณารักษ์มาก
แพทริเซียย่อตัวลงเก็บหนังสือทีละเล่ม ขณะกำลังจะลุกขึ้นก็มีใครคนหนึ่งยื่นหนังสือเล่มหนึ่งมาให้ แพทริเซียเอ่ยขอบคุณตามสัญชาติญาณ
“ขอบคุณค่ะ”
ครั้นรับหนังสือเล่มสุดท้ายมา แพทริเซียก็เงยหน้าขึ้นช้าๆ จากนั้นใบหน้าของนางก็แข็งเกร็งขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
“เลดี้ราฟาเอลา จากตระกูลมาร์ควิสบริงสโตน เลดี้เกรตา จากตระกูลเคานต์อาร์เซลโด เลดี้บาร์บรา จากตระกูลมาร์ควิสดิวาร์ เลดี้แพทริเซีย จากตระกูลมาร์ควิสโกรเชสเตอร์ และเลดี้ทริชา จากตระกูลดยุกวาเซียร์”
“…ไปได้ยินมาจากใครกัน”
ชายหนุ่มพูดราวกับนั่นเป็นสิ่งรบกวนใจ ฝ่ายหญิงสาวได้ฟังคำพูดนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างทรงเสน่ห์และถามกลับ
“ทำไมหรือเพคะ นี่เป็นเรื่องที่หม่อมฉันไม่ควรรู้หรือ”
“รู้ไปเพื่ออะไร”
“ก็ไม่มีอะไรนี่เพคะ อนุอย่างหม่อมฉันก็ควรจะทราบชื่อว่าที่ภรรยาหลวงของพระองค์มิใช่หรือ”
จักรพรรดิลูซิโอขมวดคิ้ว แม้น้ำเสียงของอีกฝ่ายจะราบเรียบแต่ฟังดูแล้วคล้ายมีความนัยซ่อนอยู่ ปกติแล้วโรสมอนด์ของเขาจะคอยแต่กระซิบคำหวานที่ข้างหู แต่บางครั้งเจ้าหล่อนก็เปลี่ยนเป็นมีดโกนอาบน้ำผึ้งเช่นนี้เหมือนกัน ลูซิโอยิ้มบางๆ พลางปลอบประโลมอีกฝ่าย
“ทำไม เจ้าหึงรึ”
“จะหึงหรือไม่แล้วมีประโยชน์อันใดหรือเพคะ ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็เป็นแค่… เมียลับๆ ของพระองค์”
โรสมอนด์เบะปากและบ่นกระจุกกระจิก นางเป็นผู้หญิงของจักรพรรดิและอยู่ข้างกายลูซิโอมาเกือบหนึ่งปีแล้ว แต่ตำแหน่งจักรพรรดินีเป็นตำแหน่งที่เต็มไปด้วยพิธีรีตรอง เพราะฉะนั้นตอนนี้แม้แต่ตำแหน่งอนุภรรยาอย่างเป็นทางการนางก็ยังไม่ได้รับ ลูซิโอพูดกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงราวกับว่าเข้าอกเข้าใจในความรู้สึกของเจ้าหล่อน
“ถ้าเลือกจักรพรรดินีได้เมื่อไร ข้าจะมอบบรรดาศักดิ์ให้เจ้าทันที ดีหรือไม่”
“…ไม่รู้ไม่ชี้เพคะ”
ที่จริงนางก็หายหงุดหงิดนานแล้วแต่ยังแสร้งทำเป็นแง่งอนต่อไปเพราะไม่แน่ว่าส้มอาจจะหล่นลงมาอีกก็เป็นได้ และไม่กี่อึดใจลูซิโอก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหวานหู
“เจ้าก็รู้นี่ว่าข้ามีแต่เจ้า หืม?”
“ไม่ทราบเพคะ ถ้าพระองค์ไม่แสดงให้หม่อมฉันเห็น”
จู่ๆ โรสมอนด์ที่เอาแต่พูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อก็กลับมาออดอ้อนลูซิโออีกครั้ง
“พระจักรพรรดิลูซิโอเพคะ ตอนนี้แม้แต่บ่าวไพร่ก็ยังดูแคลนว่าถึงแม้พระองค์จะทรงเอ็นดูหม่อมฉันสักเพียงใด แต่หม่อมฉันก็มิอาจดำรงตำแหน่งอันใดได้ พระองค์คงไม่คิดที่จะให้หม่อมฉันอยู่อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ใช่ไหมเพคะ”
ลูซิโอหน้าเปลี่ยนสีทันทีที่ได้ยินคำนั้น เขาถามประหนึ่งจะคาดคั้นเอาความจริง
“ใครกล่าวเช่นนั้น”
โรสมอนด์ยิ้มร่า นางโกหก จะมีใครหน้าไหนใจกล้ามาดูหมิ่นดูแคลนนางซึ่งเป็นผู้หญิงที่จักรพรรดิเลี้ยงดูปูเสื่อมาเป็นปี และหากมีจริง นางคงกุดหัวคนผู้นั้นก่อนที่มันจะได้ดูแคลนนางแล้วเป็นแน่ แน่นอนว่าจักรพรรดิลูซิโอคงไม่ทราบถึงขั้นนั้น จู่ๆ โรสมอนด์ก็เปลี่ยนเรื่องพูด
“ทรงสัญญาจะพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้หม่อมฉันหรือเพคะ ทรงทราบหรือไม่ว่าตอนถูกดูแคลนหม่อมฉันช้ำใจเพียงใด”
“โรส เจ้าอย่ากังวลไปเลย”
ลูซิโอลูบไปตามเรือนผมที่ส่องประกายสีชมพู พลางกระซิบแผ่วเบา
“ช่วงแรกข้าอาจแต่งตั้งให้เจ้าได้แค่ขั้นบารอเนส แต่สุดท้ายเจ้าจะต้องเป็นจักรพรรดินี”
“ตายจริง”
‘ส้มลูกใหญ่กว่าที่คิดนะนี่’ โรสมอนด์ยิ้มกว้าง นางไม่เคยคิดจะพูดถึงตำแหน่งจักรพรรดินีเลย นี่เกินความคาดหมายไปมาก
“พระองค์ไม่สัญญาง่ายไปหน่อยหรือเพคะ แม้แต่ควิเนสก็ถูกเลือกไว้แล้วแท้ๆ”
“ข้าไม่มีอำนาจในการเลือกควิเนส แต่ผู้เลือกจักรพรรดินีคือข้า แม้จะมอบตำแหน่งนั้นให้เจ้าในตอนนี้ไม่ได้ แต่สักวัน…ต้องมีวันนั้นแน่”
ลูซิโอเริ่มลูบไล้เรือนร่างของโรสมอนด์อย่างรุกเร้า โรสมอนด์ก็แสร้งครางกระเส่าเพื่อจะกระตุ้นอารมณ์ของเขา จากนั้นลูซิโอก็เริ่มลูบไล้หนักขึ้นราวกับว่าที่นางทำมันได้ผล
“ข้าจะทำให้เจ้าได้นอนบนเตียงในตำหนักจักรพรรดินีเอง”
‘อา แค่คิดก็รู้สึกวูบวาบแล้ว ถ้าได้พลอดรักกับเขาบนเตียงในตำหนักจักรพรรดินีจะมีความสุขสักแค่ไหนกันนะ’ โรสมอนด์หัวเราะเสียงสูงก่อนจะรวบไหล่แน่นของลูซิโอเอาไว้
***
“เลดี้แพทริเซีย ถึงแล้วขอรับ”
แพทริเซียยิ้มให้คนขับรถม้าที่นั่งอยู่ด้านนอกตัวรถและกล่าวขอบคุณที่พามาส่ง
“ขอบคุณค่ะ”
“จากนี้กระผมจะนำทางให้เองขอรับ”
ข้ารับใช้โผล่ออกมาจากพระราชวังราวกับวิญญาณเข้ามายืนเทียบข้างรถม้าอย่างรวดเร็ว แพทริเซียพยักหน้าให้เขา สีหน้าของนางไม่มีแววตกใจ อีกเดี๋ยวข้ารับใช้ผู้นี้จะพาไปยังห้องที่นางจะต้องพักอาศัยในช่วงหนึ่งสัปดาห์ต่อจากนี้
แพทริเซียเดินตามอีกฝ่ายไปเงียบๆ แต่ยิ่งเดินลึกเข้าไป สีหน้าของนางก็เริ่มไม่สู้ดี
“…”
ความทรงจำหลั่งไหลออกมาไม่หยุด ตอนที่ได้เป็นจักรพรรดินีแล้ว เปโตรนิยาเชิญนางและมารดามายังห้องที่ตัวเองเคยอยู่ และตอนนี้นางก็กำลังเดินอยู่บนทางที่มุ่งหน้าไปยังห้องนั้น
แพทริเซียมีสีหน้าบึ้งตึงเพราะรู้สึกอึดอัดใจแปลกๆ แต่ไม่ช้าสีหน้าของนางก็กลับมาเป็นปกติ ที่นางฝังใจอยู่กับเรื่องเก่าๆ ก็เพราะอดีตในตอนนี้คือความเป็นจริง
แพทริเซียกลับมาเป็นนางคนเก่าที่สุขุม และก้าวเดินต่อไปจนกระทั่งข้ารับใช้หยุดยืนอยู่หน้าห้องห้องหนึ่ง สตรีนางหนึ่งกำลังรออยู่ และเมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดๆ แพทริเซียก็เกือบจะหัวเราะแห้งๆ ออกมา
‘มีร์ยา’
“ข้าชื่อมีร์ยา จะมาทำหน้าที่ดูแลควิเนสแพทริเซียตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปค่ะ”
มีร์ยาเป็นนางกำนัลของเปโตรนิยา มีร์ยาผู้น่าสงสารยืนยันความบริสุทธิ์ของเปโตรนิยาจนตัวตายในลานประหาร ใจหนึ่งแพทริเซียรู้สึกอึดอัดเป็นอันมาก แต่อีกใจหนึ่งก็เกิดความรู้สึกที่ยากจะอธิบายต่อสตรีผู้นี้
ตอนนี้แพทริเซียได้คนที่เคยเป็นนางกำนัลผู้น่าสงสารของพี่สาวมาคอยรับใช้ การที่แพทริเซียรู้เรื่องทุกอย่างนำพาให้นางรู้สึกเศร้าอย่างไม่มีเหตุผล
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ มีร์ยา”
แน่นอนว่าแพทริเซียไม่แสดงอาการใดๆ ออกไป ในสายตาของพวกเขา นางไม่ใช่แพทริเซียในวัยยี่สิบสองปีที่ย้อนเวลามา แต่เป็นแพทริเซียวัยสิบเก้าปีที่เพิ่งจะได้เป็นควิเนส การทำอะไรบุ่มบ่ามจะเป็นอันตราย เมื่อแพทริเซียเข้าไปในห้อง บรรดาสาวใช้ก็มาช่วยผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสำหรับควิเนส และในระหว่างนั้นมีร์ยาก็ช่วยอธิบายกำหนดการในวันต่อๆ ไปให้ฟังคร่าวๆ
“ท่านควิเนสจะต้องเข้าร่วมการคัดเลือกที่นี่เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ การคัดเลือกจักรพรรดินีจะมีทั้งสิ้นสามรอบ รอบแรกจะเริ่มในวันพรุ่งนี้ และรอบต่อไปจะมีขึ้นหลังจากรอบก่อนหน้าสองวัน มีคำถามอะไรไหมคะ”
“ไม่ค่ะ ขอบคุณนะคะ มีร์ยา”
แพทริเซียไม่มีข้อสงสัยและไม่มีอะไรอยากถาม เพราะนางมีประสบการณ์ทางอ้อมมาแล้วครั้งหนึ่ง ครั้นได้ยินแพทริเซียตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง มีร์ยาและบรรดาสาวใช้ก็พากันออกจากห้องไป ก่อนจะออกไปพวกสาวใช้บอกให้นางพักผ่อนเพราะนางน่าจะเหนื่อยจากการเดินทาง
ตอนนี้ในห้องเหลือแค่แพทริเซียคนเดียวแล้ว ร่างบางเดินเหม่อลอยไปนั่งลงบนเตียง เมื่อครู่นางยังไม่รู้สึกง่วงงุน แต่เมื่อได้มานั่งบนเตียงเช่นนี้ก็พาให้หนังตาหย่อน หญิงสาวนั่งทิ้งน้ำหนักลงบนเตียงและเอนกายไปเบื้องหลังก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ
“โรสมอนด์…”
ตอนนี้ชื่อนี้ยังเป็นชื่อต้องห้าม แพทริเซียพยายามดึงเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งออกมาจากความทรงจำ
โรสมอนด์ แมรี ลา เฟ็ลปส์ ผู้หญิงที่ตอนนี้ยังเป็นแค่ภรรยาลับๆ ของพระจักรพรรดิ แต่เมื่อเสร็จสิ้นการสถาปนาจักรพรรดินี นางก็จะได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นบารอเนสเฟ็ลปส์
และในตอนนั้น… บารอเนสเฟ็ลปส์เป็นผู้ที่ทำให้พี่สาวของตนรวมถึงคนในตระกูลต้องประสบกับเคราะห์กรรม แววตาของแพทริเซียดูนิ่งสงบ
นอกจากเหตุผลที่กล่าวไปเมื่อครู่แล้ว โรสมอนด์คืออีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้แพทริเซียกับเปโตรนิยาไม่อยากเป็นควิเนส โรสมอนด์กำลังเป็นที่โจษจันในแวดวงชนชั้นสูงด้วยข่าวลือที่ว่าจักรพรรดิรับนางมาดูแลทันทีหลังจากขึ้นครองบัลลังก์ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนน้ำท่วมปาก และในที่สุด เมื่อเปโตรนิยาคนก่อนขึ้นเป็นจักรพรรดิดินี ความจริงก็ปรากฏว่าเรื่องราวไม่ได้ผิดไปจากข่าวลือ และดูเหมือนว่าในตอนนี้ความจริงข้อนั้นก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ถ้าไม่ได้เป็นจักรพรรดินีก็แล้วไปเถิด แต่ต่อให้ตนได้เป็นจักรพรรดินี แพทริเซียก็ไม่คิดจะเก็บเรื่องของโรสมอนด์มาใส่ใจสักนิด เท่าที่จำได้ จักรพรรดิรักโรสมอนด์อย่างหัวปักหัวปำ และต่อให้ตนย้อนเวลากลับมา ความจริงข้อนั้นก็ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีอาวุธใดที่สามารถทำลายความรักที่เขามีต่อโรสมอนด์ได้ ซึ่งในชาติก่อนตระกูลของตนก็ได้ยืนยันเรื่องนี้ด้วยความตายมาแล้วครั้งหนึ่ง
เพราะฉะนั้นต่อให้ดวงกุดจนต้องเป็นจักรพรรดินี แพทริเซียก็จะเจียมเนื้อเจียมตัวให้มากที่สุดโดยการไม่สนใจและไม่ใส่ใจจักรพรรดิและอนุภรรยาคนนั้น ตนจะทำตัวเรื่อยๆ มาเรียงๆ แต่ที่สุดแล้วตนจะต้องเป็นผู้ชนะ นั่นคือแผนการในตอนนี้
“ก่อนอื่น…พยายามให้ตกรอบตั้งแต่รอบคัดเลือกในวันพรุ่งนี้เลยดีกว่า”
คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการไม่ได้เป็นจักรพรรดินีตั้งแต่แรก ขอเพียงไม่ได้เป็นจักรพรรดินีเท่านั้น สิ่งที่กังวลมาทั้งหมดก็จะสลายไป และจะนำบทสรุปที่ดียิ่งมาให้
แพทริเซียหวังว่าตนจะไม่ได้เป็นจักรพรรดินี เพราะการที่ต้องอาศัยอยู่ในพระราชวังแห่งนี้ทำให้นางเครียดมากทีเดียว
***
ควิเนสทุกคนต้องสวมชุดเดรสสีขาวอันหมายถึงความบริสุทธ์เหมือนกันทั้งหมดเพื่อความเสมอภาคในการตัดสิน และชุดเดรสสีขาวนั้นต้องเป็นชุดที่ทางสำนักพระราชวังจัดเตรียมไว้ให้ เป็นชุดสีขาวบริสุทธ์ที่ไม่มีเครื่องตกแต่งใดๆ
เรื่องเป็นเช่นนี้ยิ่งเข้าทาง หากให้แต่งตัวตามความพึงใจคงยากที่จะใส่เสื้อผ้าที่ไม่เป็นจุดเด่น
จักรพรรดินีของจักรวรรดิมาวินอสไม่ได้หมายถึงอัครมเหสีหรือภรรยาหลวงของจักรพรรดิเพียงเท่านั้น แต่จะค่อนไปทางข้าราชบริพารเสียมากกว่า กล่าวคือต้องคอยช่วยงานในขณะที่จักรพรรดิครองราชย์ ในฐานะที่เป็นคนผู้เดียวที่มีศักดิ์เทียบเท่าจักรพรรดิ เพราะฉะนั้นการคัดเลือกจักรพรรดินีต้องเกิดขึ้นต่อหน้าเหล่าขุนนาง ซึ่งแน่นอนว่าพระจักรพรรดิก็ต้องประทับอยู่ด้วย
“ท่านควิเนส ตื่นเต้นไหมคะ” มีร์ยาถาม
แพทริเซียยิ้มแบ่งรับแบ่งสู้ นางไม่ตื่นเต้นเพราะคิดว่าจะผ่านหรือไม่ผ่านก็ช่าง สอบตกสิดี เพราะฉะนั้นนางไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องรู้สึกตื่นเต้น ทว่า…
‘ผู้ชายคนนั้น’
จักรพรรดิ ผู้ชายที่ครั้งหนึ่งได้ชื่อว่าเป็นพี่เขยของนาง ผู้ชายที่สั่งฆ่าครอบครัวของนางทั้งตระกูล ทำให้ตระกูลของนางสูญสิ้น หากมองในมุมของแพทริเซีย คนที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตคงไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากคนผู้นี้ แต่ในความเป็นจริง เมื่อแพทริเซียได้พบเขาตัวเป็นๆ นางกลับไม่ได้รู้สึกแค้นเคืองเขามากมาย เพราะเปโตรนิยาพี่สาวของนางกลายเป็นจักรพรรดินีตกบัลลังก์ด้วยข้อหาทำให้โรสมอนด์แท้งลูก อีกทั้งก่อนถูกจับ นางยังก่อโทษลอบปลงประชนม์พระจักรพรรดิอีกด้วย
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดคงเพราะเขาจำเป็นต้องทำในฐานะจักรพรรดิ ความผิดแรกยังพอทำเนา แต่ความผิดอย่างหลังเป็นความผิดร้ายแรงเทียบเท่าโทษกบฏเลยทีเดียว หากมองโดยปราศจากอคติใดๆ แล้ว จุดจบของตนและครอบครัวก็เป็นเรื่องที่สมควร
แม้แพทริเซียจะได้ย้อนเวลากลับมา แต่นางก็ไม่รู้เรื่องที่เกิดในช่วงท้ายๆ เท่าใดนัก สิ่งที่พอจะรู้เป็นเพียงข้อมูลที่ได้มาจากที่นู่นบ้างที่นี่บ้าง ไม่มีใครบอกความจริงที่เกิดขึ้นกับนางเลย บิดา มารดา หรือแม้แต่เปโตรนิยาก็ไม่ปริปาก ไม่สิ ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจไม่รู้เช่นกันว่าที่จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มีร์ยา”
แพทริเซียทิ้งความคิดที่ตีกันสับสนออกไปพร้อมกับคำพูดที่เปล่งออกมา เรื่องเกิดไปแล้ว และที่ตนมาที่นี่ก็เพื่อเปลี่ยนเรื่องนั้น ตอนนี้การที่ตนได้เป็นควิเนสก็นับว่าได้เปลี่ยนอดีตไปครั้งหนึ่งแล้ว เพราะฉะนั้น…น่าจะมีโอกาสที่จะไม่เกิดโศกนาฏกรรมเหมือนคราวนั้น
“ได้เวลาเข้าไปข้างในแล้วค่ะ”
ควิเนสทั้งห้าคนที่รวมกันอยู่ ณ ที่นั้นเดินผ่านประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบตามคำบอกของดัชเชสเอเฟรนีซึ่งเป็นสตรีคนเดียวในที่นั้นที่ไม่ได้เป็นควิเนส
พวกนางรู้สึกถึงความเงียบที่เกือบจะเป็นความสงัด และสายตาทุกคู่ที่จับจ้องมาที่พวกนางจากภายในประตูที่เปิดกว้างนั้น
อึดอัด แต่มาถึงตอนนี้ก็ถอยไม่ได้แล้ว แพทริเซียทำตัวเป็นควิเนสได้อย่างสง่างามขณะที่ภายในรู้สึกวูบโหวง
“ควิเนสทั้งห้าคน อันได้แก่ เลดี้แพทริเซีย จากตระกูลมาร์ควิสโกรเชสเตอร์ เลดี้ราฟาเอลา จากตระกูลมาร์ควิสบริงสโตน เลดี้เกรตา จากตระกูลเคานต์อาร์เซลโด เลดี้บาร์บรา จากตระกูลมาร์ควิสดีวาร์ และเลดี้ทริชา จากตระกูลดยุกวาเซียร์ เข้าสู่การคัดเลือกแล้ว”
แพทริเซียไม่สบอารมณ์สักเท่าไรกับเสียงประกาศที่ชวนให้คิดว่าถูกเรียกมาเป็นสินค้าในงานประมูลก็ไม่ปาน แต่คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะที่แห่งนี้ก็เหมือนงานประมูลสินค้าอยู่แล้ว แพทริเซียนึกเย้ยหยันในใจ
“ดัชเชสเอเฟรนีจะให้เกียรติมาประกาศหัวข้อการทดสอบในรอบแรก”
จักรพรรดินีจะถูกเลือกจากผลการทดสอบทั้งหมดสามรอบ ดยุกสองคนและจักรพรรดิจะเป็นผู้ประกาศหัวข้อตามลำดับ ซึ่งพวกเขาเป็นเพียงตัวแทนที่ออกมาประกาศหัวข้อเป็นพิธีเท่านั้น ผู้ที่คิดหัวข้อจริงๆ คืออัครมหาเสนาบดีทั้งสามของจักรวรรดิและพระจักรพรรดิ การประเมินก็เป็นสิทธิ์ของทั้งสี่ท่านนั้นรวมถึงดัชเชสเอเฟรนี ส่วนขุนนางคนอื่นๆ แทบจะมีค่าเท่ากับไม้ประดับ แต่ถึงกระนั้นการที่พวกเขามาที่นี่เพราะพวกเขามีสิทธิ์ที่จะโต้แย้งผลการตัดสินของทั้งสี่คนข้างต้น ซึ่งในความเป็นจริงไม่ค่อยมีขุนนางหน้าไหนกล้าประท้วง ไม่ค่อยมีแต่ก็ไม่ถึงกับไม่มีเลย เพราะฉะนั้นเหล่าขุนนางจึงพออกพอใจกับวิธีนี้
“หัวข้อแรก”
“…..”
ในห้องโถงเงียบสนิท แพทริเซียนึกถึงหัวข้อการทดสอบที่มาร์ควิสโกรเชสเตอร์พูดถึงเมื่อสามปีก่อนขึ้นมา
แพทริเซียไม่อาจอธิบายเหตุการณ์นี้ได้ด้วยความรู้ที่นางมี แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นความจริง นางย้อนเวลากลับมาตอนอายุสิบเก้าปี
ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้อยู่ตรงหน้าแล้ว แพทริเซียจ้องไปที่พี่สาว ดวงตาที่มองมาอย่างห่วงใยนั้นใสดุจน้ำในทะเลสาบ
ความทรงจำสุดท้ายในชาติก่อนผ่านเข้ามาในหัว ชาติก่อนเปโตรนิยาไล่ตามความรักจนต้องจบชีวิตลงอย่างน่าอดสู ถ้านี่คือชีวิตใหม่ที่ฟ้าประทานให้จริงๆ… หากพระเจ้าทรงเมตตาเราสองพี่น้องจึงประทานโอกาสให้อีกครั้งล่ะก็…
เช่นนั้น ข้าจะ…
“ท่านพี่”
“อืม ว่าอย่างไร ริซซี่”
“ไม่จำเป็นต้องจับสลากหรอก”
ข้าจะไม่ทำให้โศกนาฏกรรมนั้นต้องซ้ำรอย
“ทำไมล่ะ”
ใบหน้าของแพทริเซียเจือรอยยิ้มบางเบายามมองพี่สาวที่ถามกลับมาอย่างใสซื่อ
“ข้าจะเป็นเอง”
ครานี้ ข้าจะเป็นจักรพรรดินีแทนท่านพี่เอง
“ข้าจะเป็นควิเนส”
เปโตรนิยาไม่เข้าใจน้องสาวของตนเลย เมื่อวานนี้ ไม่สิ เมื่อสักครู่นี้นางยังดื้อแพ่งบอกว่าไม่อยากเป็นจักรพรรดินี แต่จู่ๆ นางก็เปลี่ยนใจราวกับเป็นคนละคน เปโตรนิยาไม่เข้าใจว่าทำไมน้องสาวของนางถึงเปลี่ยนไปเช่นนี้ แต่การที่นางไม่ต้องไปเป็นควิเนสก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี เปโตรนิยาถามย้ำอีกครั้งด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจอีก
“จริงหรือ”
“อืม”
“ห้ามกลับคำนะ”
“อืม”
แพทริเซียตัดบทด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“ไม่กลับคำ…แน่นอน”
“เย่!”
แพทริเซียมองเปโตรนิยาที่ทำท่าดีอกดีใจเหมือนเด็กด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนจะพูดขึ้น
“ไปที่ห้องหนังสือกันเถอะ ไปให้คำตอบกับท่านพ่อ”
มาร์ควิสโกรเชสเตอร์ที่อายุครบสี่สิบสองในปีนี้กำลังลำบากใจว่าจะส่งลูกสาวคนใดไปเข้าร่วมการคัดเลือกควิเนสดี จะส่งเปโตรนิยาลูกสาวคนโตไป นิสัยของนางก็ดูจะเข้ากับพวกราชนิกูลไม่ได้ แต่ถ้าจะให้ส่งแพทริเซียที่ไม่ค่อยพูดค่อยจาไป เขาก็ไม่สะดวกใจ ด้วยเพราะนางเป็นลูกคนรอง และขณะที่เขากำลังเหม่อลอยไปเรื่อยเพราะยังคิดไม่ตกเสียที เสียงเคาะประตูห้องหนังสือก็ดังขึ้น
“นั่นใคร”
“นีย่าค่ะ ท่านพ่อ”
“อ้อ เข้ามาสิ”
เขาต้อนรับลูกสาวทั้งสองด้วยความปีติ แม้จะสงสัยว่าเหตุใดทั้งคู่ถึงมาหาเขากลางดึกเช่นนี้ แต่เขาก็เลือกที่จะยกน้ำชามาให้บุตรีก่อนจะเอ่ยปากถามอะไรต่อ หลังจากวางแก้วชาอัสสัมอุ่นๆ ลงบนโต๊ะ มาร์ควิสก็ถามธุระของลูกๆ
“พวกเจ้ามีธุระอะไร ดึกดื่นป่านนี้ทำไมยังไม่นอน”
“พวกเรามีเรื่องจะบอกท่านพ่อค่ะ”
สีหน้าของเปโตรนิยามีแววลิงโลด มาร์ควิสที่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรก็ได้แต่คิดว่าคงมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น เปโตรนิยาทำหน้ากรุ้มกริ่มแต่ไม่ยอมปริปากพูดอะไร นางดื่มชาเข้าไปอีกอึกสองอึกถึงพูดออกมา
“ริซซี่บอกว่าอยากเป็นควิเนสค่ะ”
“…จริงหรือ”
“ค่ะ ท่านพ่อ”
แพทริเซียวางแก้วชาลงบนโต๊ะกระจกด้วยสีหน้าเรียบเฉย นางตอบบิดาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ข้าจะเป็นเองค่ะ”
“อืม…”
เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว เขาเองก็คิดไม่ตกกับเรื่องนี้มาตลอด แต่นิสัยของเปโตรนิยาไม่เหมาะกับความเข้มงวดและความภูมิฐานของชีวิตในวังจริงๆ ด้วยเหตุนั้นมาร์ควิสจึงเก็บความรู้สึกดีใจไว้ภายในและไม่แสดงออกเมื่อแพทริเซียเป็นฝ่ายออกปากว่าจะเป็นควิเนส
“เจ้าสมัครใจหรือ”
“ค่ะ”
เมื่อฟังบุตรีตอบ มาร์ควิสก็ทำหน้าเหมือนคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปพูดกับเปโตรนิยา
“เข้าใจล่ะ นีย่า ดึกมากแล้วลูกไปนอนเถอะ พ่อขอคุยกับริซซี่อีกสักหน่อย”
“ค่ะท่านพ่อ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ พรุ่งนี้คุยกันนะริซซี่”
เปโตรนิยาบอกราตรีสวัสดิ์ทั้งคู่ด้วยน้ำเสียงที่มีความร่าเริงอยู่ในทีก่อนจะออกจากห้องหนังสือไป ตอนนี้ในห้องเหลืออยู่เพียงสองคน หลังจากดื่มชาที่ยังขึ้นไอร้อนจนหมดแก้ว มาร์ควิสจึงค่อยๆ เอ่ยปากถามลูกสาว
“เจ้าสมัครใจจริงๆ หรือ ริซซี่”
“ค่ะท่านพ่อ”
“พ่อสงสัยว่าทำไมลูกถึงเปลี่ยนใจ”
มาร์ควิสจ้องเข้าไปในดวงตาสีดำของแพทริเซียและเอ่ยถาม
“ถ้าลูกมีเหตุผลอะไร บอกพ่อได้ไหม”
“…ไม่มีค่ะ ข้าเพียงแต่คิดว่าหากต้องมีใครสักคนในบรรดาเราสองคนเป็นควิเนส คนผู้นั้นควรจะเป็นข้า”
การไม่ส่งบุตรีคนใดไปเลยนั้นไม่สามารถทำได้ กฎของจักรวรรดิระบุไว้ชัดเจนว่าควิเนสจะต้องเป็นเด็กสาวอายุระหว่าง 18-20 ปีจากตระกูลขุนนางระดับเคานต์ขึ้นไป ซึ่งตระกูลของมาร์ควิสโกรเชสเตอร์ก็จำเป็นต้องส่งไปหนึ่งคน
“หรือท่านพ่ออยากให้นีย่าไป?”
แพทริเซียเอ่ยถามด้วยใจที่สั่นไหว แต่โชคดีที่คำตอบที่ได้รับไม่แย่นัก
“ไม่หรอก ใจจริงพ่อก็อยากให้เจ้าไป”
“…อย่างนั้นหรือคะ”
ไม่ต้องถามเหตุผลก็พอจะรู้ บิดาของนางเป็นถึงมาร์ควิส ท่านคงคิดว่าหากส่งตัวนางซึ่งเป็นคนเงียบขรึมไปน่าจะวางใจมากกว่า และตัวนางเองก็ไม่ได้ไม่พอใจหรือน้อยเนื้อต่ำใจกับความคิดนั้น
“สัปดาห์หน้าหรือคะ ที่ข้าต้องเข้าวัง” นางถามต่อ
ควิเนสทั้งห้าคนจะไปรวมกันเพื่อเข้ารับการทดสอบในพระราชวังเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ และหนึ่งในนั้นจะถูกเลือกเป็นจักรพรรดินี มาร์ควิสพยักหน้าก่อนจะกล่าวด้วยความเคลือบแคลงใจ
“เจ้าดูนิ่งและไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย พ่อก็พอรู้ว่าเจ้าเป็นคนเงียบขรึม แต่ไม่รู้ทำไม…เหมือนเจ้าคุ้นชินกับสิ่งนี้แล้วอย่างไรอย่างนั้น”
แพทริเซียหัวเราะไม่ออกเสียงให้กับคำพูดของบิดาเพราะมันคือความทรงจำที่ปวดร้าวสำหรับนาง แต่นางไม่อาจบอกอะไรให้อีกฝ่ายรู้จึงพูดเรื่องจริงให้เหมือนคำโกหกออกไป
“ข้าคงเคยเห็นในฝันมาแล้วกระมัง”
“เจ้านี่นะ”
มาร์ควิสแย้มยิ้ม ส่วนแพทริเซียพูดเหมือนแจ้งให้รู้ไว้ก่อน
“ท่านพ่อ ข้าไม่คิดจะชนะนะคะ ข้าจะกลับบ้าน”
ควิเนสมีทั้งหมดห้าคน แต่คนที่จะได้เป็นจักรพรรดินีมีเพียงหนึ่งเดียว ควิเนสที่ไม่ได้รับคัดเลือกจะได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ แน่นอนว่าสามารถแต่งงานกับลอร์ด[1]ตระกูลใดก็ได้ เหมือนอย่างมารดาของนาง ก่อนจะย้อนเวลากลับมา แพทริเชียก็ไม่ได้อยากขึ้นไปอยู่บนที่ที่สูงกว่าผู้อื่น หลังย้อนเวลากลับมาแล้วยิ่งไม่ชอบใจเข้าไปใหญ่ แม้ว่าตอนนี้ทุกๆ อย่างจะเป็นเพียงความทรงจำก็ตาม แต่จะให้ไปแต่งงานกับผู้ชายที่เคยเป็นพี่เขยจนถึงเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ คงไม่สอดคล้องกับหลักศีลธรรมสักเท่าไร
“ท่านพ่อจะว่าไหมคะ” นางยิ้มพลางเอ่ยปากถามมาร์ควิส
“ไม่เลย ลูกจงพ่ายแพ้และกลับมาหาพ่อเถอะ”
เขาจุมพิตที่หน้าผากของบุตรสาวอย่างแผ่วเบา ก่อนจะพูดราวกับกระซิบ
“ตอนนี้พ่อก็ยังไม่อยากยกเจ้าหญิงของพ่อให้ผู้ชายหน้าไหนเหมือนกัน”
แพทริเซียกลับมาที่ห้องและทิ้งตัวลงบนที่นอน ย้อนอดีตกลับมายังไม่ทันถึงสองชั่วโมง แต่นางกลับเปลี่ยนเหตุการณ์ที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องในอดีตไปแล้ว จำได้ว่าที่จริงแล้ว เปโตรนิยาซึ่งเป็นคนจับสลากแพ้ต่างหากที่เป็นคนบอกผู้เป็นบิดาว่าจะเป็นควิเนส แพทริเซียกัดปากแน่นโดยไม่รู้ตัว
ตอนนั้นทั้งนางและเปโตรนิยาต่างไม่มีใครอยากเป็นควิเนส อย่างที่พูดไปเมื่อครู่ ตัวนางเองไม่ได้อยากอยู่เหนือใคร นางเคยอ่านจากจารึกประวัติศาสตร์หลายต่อหลายฉบับกล่าวว่าบนนั้นมีด้านที่อันตราย แน่นอนว่าที่ตอนนี้นางเปลี่ยนใจก็เนื่องมาจากโศกนาฏกรรมในอดีต
อีกทั้งพี่สาวของนางเป็นคนที่ช่างเพ้อฝัน เปโตรนิยาเฝ้าฝันว่าจะได้เจอเจ้าชายขี่ม้าขาวเหมือนในนิทาน นางไม่มีทางมองว่าตำแหน่งควิเนสที่เหมือนถูกจับคลุมถุงชนกลายๆ นั้นน่าดึงดูดเป็นแน่
ด้วยเหตุนั้น ในอดีตพวกนางสองพี่น้องจึงใช้วิธีที่แม้แต่แพทริเซียในตอนนี้ก็ยังคิดว่าน่าอดสูอย่างการจับสลากเพื่อตัดสินว่าใครจะได้เป็นควิเนส สุดท้ายแล้วคนที่ได้เป็นก็คือเปโตรนิยา และบทสรุปของนางคือความตาย เมื่อแพทริเซียคิดมาถึงตรงนี้ ปากของนางก็เยินจนเลือดซึมแล้ว
แพทริเซียย้อนเวลากลับมาแล้ว และนางเปลี่ยนอนาคตด้วยการเสนอตัวเป็นควิเนสแทนเปโตรนิยา ซึ่งปลายทางของมันอาจไม่ซ้ำรอยโศกนาฏกรรมที่ตัวนางและครอบครัวต้องตาย
ต่อให้แพทริเซียต้องเป็นควิเนส แต่ถ้านางไม่ได้เป็นจักรพรรดินีทุกอย่างก็จบ และต่อให้นางได้เป็นจักรพรรดินี ถ้าการเสียสละของนางจะทำให้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไปได้ เพียงเท่านั้นนางก็พอใจแล้ว ขอเพียงไม่เกิดความสูญเสียเช่นนั้นอีก ย่อมดีกว่าเป็นร้อยเท่าพันทวี
“เรื่องนั้นยังอีกตั้งสามปี”
เพราะฉะนั้นนางจะเปลี่ยนอนาคตเท่าไรก็ย่อมได้ นางจะต้องเปลี่ยนมันให้ได้
แพทริเซียไม่อาจรู้ได้ว่าอนาคตที่รออยู่จะเป็นเช่นไร แต่อย่างน้อยนางก็จะไม่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมเช่นที่เคยเกิด นางจะพยายามด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีเพื่อให้เรื่องนั้นไม่เกิดขึ้นอีกครั้ง เพราะฉะนั้นชีวิตที่ได้รับมาใหม่นี้ เจ้าหวังให้มันจบอย่างมีความสุขได้เลยนะ ท่านพี่
“ข้าจะทำให้มันจบอย่างมีความสุขให้ได้”
แพทริเซียตั้งใจเช่นนั้น นางจะเป็นควิเนส ดีไม่ดีอาจจะต้องเป็นจักรพรรดินีแทนพี่สาว นางจะลบรอยแผลในอดีตให้สิ้นซาก ไม่เหลืออยู่แม้แต่ในความทรงจำ
***
ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ทุกคนก็พอจะทราบกันแล้วว่าควิเนสทั้งห้าคน ได้แก่ เลดี้[2]ราฟาเอลา จากตระกูลมาร์ควิสบริงสโตน เลดี้เกรตา จากตระกูลเคานต์อาร์เซลโด เลดี้บาร์บรา จากตระกูลมาร์ควิสดิวาร์ เลดี้ทริชา จากตระกูลดยุกวาเซียร์ และตัวนาง
เดิมทีเลดี้ทริชาซึ่งเป็นบุตรีของดยุก[3]ควรจะได้เป็นจักรพรรดินี แต่ในตอนนั้นไม่รู้ว่าพี่สาวเอาชนะเลดี้ทริชาแล้วกลายเป็นจักรพรรดินีได้อย่างไร แพทริเซียตั้งใจจะทำให้ตัวเองสอบตกและไม่ต้องเป็นจักรพรรดินี แต่นางก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก เพราะเรื่องเหนือความคาดหมายเคยเกิดขึ้นไปแล้วครั้งหนึ่ง
ในที่สุดก็ถึงวันที่แพทริเซียต้องเดินทางเข้าวัง เปโตรนิยาที่น้ำปริ่มขอบตาไม่ยอมปล่อยมือของน้องสาว
“ริซซี่ เจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องอื่น เดินทางดีๆ แล้วก็รีบไปรีบมานะ เข้าใจไหม”
ครั้นได้ฟังดังนั้น แววตาของแพทริเซียที่มองอีกฝ่ายก็ลุ่มลึกขึ้น เมื่อสามปีก่อนตัวนางเองก็เป็นเช่นนี้ สองมือของนางกอบกุมมือของเปโตรนิยาที่กำลังจะเข้าวัง ปากก็บอกว่าให้รีบสอบตกและรีบกลับมา ให้พี่สาวเดินทางปลอดภัย ซึ่งท้ายที่สุดพี่สาวของนางก็ได้เป็นจักรพรรดินีและกลับมาโดยไม่มีรอยขีดข่วน แพทริเซียยิ้มบางๆ
“ข้าต้องคิดถึงเจ้าแน่ นิล”
“ข้าก็เหมือนกัน ริซซี่ พวกเราไม่เคยอยู่ห่างกันนานๆ แบบนี้เลยนะ…”
เสียงของเปโตรนิยาอู้อี้ ตั้งแต่อยู่ในท้องมารดาจนเวลาผ่านเลยมาถึงตอนนี้ก็สิบเก้าปีแล้ว พวกนางไม่เคยอยู่ห่างกันนานๆ เช่นนี้เลย บางคนอาจค่อนแคะได้ว่าห่างกันเพียงสัปดาห์เดียวจะอะไรกันหนักหนา แต่สำหรับพี่น้องคู่นี้ นี่คือครั้งแรก แพทริเซียกำชับเบาๆ ในขณะที่เปโตรนิยากอดนางไว้ในอ้อมอกราวกับนางเป็นเด็กเล็ก
“…ห้ามมาที่วังนะ เข้าใจไหม”
ที่พูดออกไปนั้นอาจเป็นเพราะแพทริเซียกังวลเกินกว่าเหตุ คราวก่อนคนที่ได้เป็นควิเนสคือเปโตรนิยาที่บ่นหนักหนาว่าไม่อยากเป็นจักรพรรดินี แต่ที่สุดแล้วนางกลับตกหลุมรักจักรพรรดิตั้งแต่แรกพบ และพยายามทุกทางเพื่อที่จะได้เป็นจักรพรรดินี
แน่นอนว่าคราวนี้คนที่ได้เป็นควิเนสคือตนไม่ใช่พี่สาว แต่ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ระวังไว้ก่อนไม่เสียหาย เปโตรนิยาหัวเราะคิกคักเมื่อถูกกำชับเช่นนั้น
“เจ้านี่นะ เห็นข้าเป็นคนอย่างไร ข้าไม่คิดจะทำลายชื่อเสียงของน้องสาวหรือตระกูลเราสักนิด ไม่ต้องกังวลหรอก”
“…นั่นสินะ”
แพทริเซียตบบ่าพี่สาวเบาๆ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะไปร่ำลามาร์ควิสและมาร์เชอเนส
“ข้าจะรีบไปรีบมานะคะ”
“จ้ะ ริซซี่ เดินทางปลอดภัยเหมือนที่พี่สาวลูกอวยพรนะ”
“เราเชื่อว่าลูกสาวของเราจะรักษากิริยาได้ดี”
แพทริเซียเกือบจะร้องไห้ให้กับน้ำเสียงที่เจือความห่วงใยของบิดาและมารดา แต่โชคดีที่คนขับรถม้าเข้ามาพอดี นางจึงรอดจากเรื่องน่าอายเช่นนั้นไปได้ มาร์ควิสและมาร์เชอเนสกอดแพทริเซียอีกครั้ง ก่อนจะปล่อยนางมาขึ้นรถม้า และมุ่งหน้าสู่พระราชวัง
และนี่คือจุดเริ่มต้นของอดีตที่เปลี่ยนไป
[1] ลอร์ด (Lord) เป็นคำเรียกที่ใช้เรียกขุนนางชายตั้งแต่ยศมาร์ควิสลงไปจนถึงบารอน หรือลูกชายของขุนนาง ไม่ใช่ตำแหน่งทางการ
[2] เลดี้ (Lady) เป็นคำเรียกที่ใช้เรียกหญิงชนชั้นสูงที่มีบรรดาศักดิ์ตั้งแต่มาร์เชอเนสลงไปจนถึงบารอเนส รวมถึงภรรยาและบุตรีของขุนนาง ไม่ใช่ตำแหน่งทางการ
[3] ดยุก (Duke) เป็นตำแหน่งสูงสุดในบรรดาศักดินาขุนนางของยุโรป อันได้แก่ ดยุก มาร์ควิส เคานต์ ไวเคานต์ และบารอน เลดี้ทริชาซึ่งเป็นลูกสาวของดยุกวาเซียร์จึงมีศักดิ์สูงกว่าเลดี้คนอื่นๆ และมีโอกาสได้เป็นจักรพรรดินีมากที่สุด
Prologue : บทนำ
วันนี้เป็นวันประหารอดีตจักรพรรดินีเปโตรนิยาซึ่งถูกปลดออกจากตำแหน่ง
ผู้คนมากมายมารวมตัวกันที่นครหลวงคาร์วูดตั้งแต่เช้า เมืองหลวงที่เคยเงียบสงบพลันคึกคักอย่างผิดปกติ ทว่าบรรยากาศกลับดูไม่ค่อยดีนัก
กิโยตีนที่น่าพรั่นพรึงตั้งตระหง่านกลางลานประหารที่รายล้อมด้วยผู้คน ลานประหารนี้ตั้งอยู่ในจัตุรัสเจอร์เบียเน็นใกล้กับพระราชวัง
แพทริเซียนั่งคุกเข่าอยู่ไม่ไกลจากกิโยตีนในสภาพถูกมัดไว้ด้วยเชือกมัดนักโทษ รอเวลารับการลงทัณฑ์
หญิงสาวเอาแต่ก้มมองพื้นพลางเม้มปากแน่น ครั้นเงยหน้าขึ้นและหันไปมองเบื้องหลัง ก็พบบิดามารดาของตนกำลังรอรับโทษอยู่ในสภาพไม่ต่างกัน สภาพอันน่าสังเวชของตนและบุคคลอันเป็นที่รักทำให้แพทริเซียเกือบจะหลั่งน้ำตาออกมา แต่นางรู้ดีกว่าใครว่ามาถึงตอนนี้ ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไร้ประโยชน์
“ริซซี่”
แพทริเซียหันไปตามเสียงเรียบๆ ที่เรียกชื่อของตน แม้ร่างกายจะถูกพันธนาการทำให้ไม่สามารถขยับได้ดั่งใจ แต่นางยังพอจะหันหน้าไปมองได้ ผู้เรียกคือบิดาของนางเอง
“พ่อขอโทษนะ”
“…ไยท่านพ่อต้องขอโทษ”
แพทริเซียสงสัยจากใจจริงว่าทำไมผู้เป็นบิดาถึงเอ่ยขอโทษนาง ในสถานการณ์นี้ไม่มีใครต้องขอโทษนางทั้งนั้น ทุกคนล้วนเป็นผู้ถูกกระทำ และผู้กระทำก็ไม่ได้อยู่ ณ ที่นี้ เพราะฉะนั้น…หญิงสาวจึงไม่อาจกล่าวโทษใครได้ตามอำเภอใจ
แต่ความรู้สึกโศกเศร้าและความอัดอั้นตันใจที่ปะทุออกมา ทำให้แพทริเซียต้องกัดปากอย่างสุดกลั้น นางเอ่ยปากตอบบิดาพลางข่มน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด
“ท่านพ่ออย่าขอโทษข้าเลยค่ะ”
แพทริเซียพูดจากใจจริง หาได้มีความขุ่นเคือง ณ ที่ตรงนี้ไม่มีใครต้องขอโทษใครทั้งนั้น พวกเราทุกคนเป็นเพียงผู้ถูกกระทำ แพทริเซียเลิกซ่อนเร้นดวงตาที่หมองเศร้าและพูดต่อ
“ข้าเพียงแต่เสียดาย”
ถ้าสามารถย้อนเวลากลับไปยังวันที่เรื่องทั้งหมดนี้เริ่มต้นขึ้นได้ โศกนาฏกรรมในวันนี้คงไม่เกิดขึ้น แพทริเซียปล่อยให้น้ำตาที่มาคลอไหลรินเป็นสาย ในขณะเดียวกันผู้คนที่อยู่ ณ ลานประหารก็เริ่มส่งเสียงเซ็งแซ่ แสดงถึงการปรากฏตัวของใครคนหนึ่ง
“พระจักรพรรดิเสด็จ ทุกคนถวายความเคารพ”
อัศวินราชองครักษ์เปล่งเสียงดังกึกก้องเพื่อเปิดทางให้จักรพรรดิปรากฏตัว เขาไม่ได้มาคนเดียว แต่มากับใครอีกคน ซึ่ง ‘ใครอีกคน’ ผู้ได้รับเกียรตินั้นคือ ‘มาร์เชอเนส[1]เฟ็ลปส์’ ผู้เป็นที่เลื่องลือกันว่าเป็นคนรักที่จักรพรรดิพาไปไหนมาไหนด้วยเสมอ แพทริเซียนิ่วหน้าขึ้นมาทันทีที่เห็นใบหน้าที่แสนจะน่ารังเกียจนั้น แต่เพียงครู่เดียวนางก็ปรับสีหน้ากลับไปเป็นปกติ
พระจักรพรรดินั่งอยู่กับมาร์เชอเนสเฟ็ลปส์ สีหน้าของเขาเรียบเฉยราวกับว่าเรื่องตรงหน้านี้ไม่ได้สลักสำคัญอะไร ท่าทีนั้นทำให้แพทริเซียรู้สึกว่าอารมณ์ของตนกำลังเดือดพล่าน แต่น่าเสียดายที่นางไม่สามารถทำอะไรตามอารมณ์ตัวเองได้…แม้แต่อย่างเดียว
“เบิกตัวอดีตจักรพรรดินี”
สิ้นเสียงที่ไร้อารมณ์เสียจนน่ากลัว หญิงสาวในชุดเดรสสีขาวขาดวิ่นผมเผ้ากระเซอะกระเซิงก็ถูกอัศวินสองนายประคองเดินเข้ามาในลานประหาร
หญิงสาวผู้นั้นก็คือเปโตรนิยา พี่สาวของแพทริเซีย นางนิ่วหน้าอีกครั้งเมื่อเห็นว่าสีหน้าของพี่สาวย่ำแย่กว่าตอนที่นางเห็นครั้งสุดท้ายเสียอีก
“นีย่า…”
แพทริเซียพึมพำชื่อเล่นของพี่สาวที่ตนชอบเรียกด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเวทนา แต่ยังไม่ทันที่เสียงนั้นจะออกจากปากก็ถูกเสียงอื้ออึงในลานประหารกลืนไปเสียหมดสิ้น นางหลั่งน้ำตาออกมาอีกครั้งอย่างปวดใจราวกับไม่อยากให้ชื่อนั้นหายไปแม้เพียงพยางค์เดียว ในขณะเดียวกันบิดามารดาของนางก็กำลังฟูมฟายอยู่เบื้องหลัง
“อดีตจักรพรรดินีเปโตรนิยา ลอว์รา เลอ โกรเชสเตอร์ ขาดศีลธรรมและกระทำความผิดมากมาย คิดปองร้ายสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ทายาทของจักรพรรดิ ทั้งยังปองร้ายจักรพรรดิของจักรวรรดิ ด้วยเหตุนั้น ตัวเรา ลูซิโอ แคร์ริก จอร์ช เดอ มาวินอส…”
น้ำเสียงอันน่าพรั่นพรึงนั้นที่สุดแล้วจะเป็นตัวตัดสินอนาคตของพวกเขาทุกคน
“ในนามของจักรพรรดิ ขอสั่งประหารชีวิตอดีตจักรพรรดินีรวมถึงคนในตระกูลโกรเชสเตอร์ทั้งหมดโดยการตัดศีรษะ”
สุดท้ายก็เหลือเพียงความพินาศ ความพินาศที่ได้ชื่อว่าโศกนาฏกรรม แพทริเซียหลับตาลง สีหน้าของนางไม่ยินดียินร้ายใดๆ
ทุกอย่าง…จบสิ้นแล้ว
“เริ่มการประหารอดีตจักรพรรดินีได้”
นางลืมตาขึ้นมองพี่สาวเป็นครั้งสุดท้าย เปโตรนิยาถูกลากไปที่กิโยตีน สีหน้าของนางไม่แสดงความรู้สึกใดๆ แต่แพทริเซียซึ่งมีสายเลือดเดียวกันย่อมรู้สึกได้ มันคือการยอมจำนน ความสิ้นหวัง และ…
‘ทั้งรักทั้งชัง’
เปโตรนิยายังคงรักจักรพรรดิหัวปักหัวปำราวกับคนบ้า ข้าจะทำอย่างไรกับพี่สาวผู้โง่เขลาคนนี้ดี ทั้งๆ ตัวเองกำลังจะตาย แต่เจ้าก็ยังคงเฝ้ามองแต่ชายผู้นั้น แพทริเซียรู้สึกถึงความเศร้าเกินพรรณนาในความจริงอันแสนโง่เง่าจนต้องร้องไห้โฮออกมาในที่สุด ไม่นะ…พี่…ท่านพี่…ท่านพี่ของข้า แพทริเซียมองดูวาระสุดท้ายของพี่สาวด้วยดวงตาที่เปิดกว้าง
“กรี๊ด!”
“เฮือก!”
คอของเปโตรนิยาถูกสะบั้นลง เสียงกรีดร้องดังไปทั่วทุกสารทิศ แพทริเซียกัดปากตัวเองจนเลือดซึม
ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว ท่านพี่ตายแล้ว ตัวข้าและท่านพ่อท่านแม่ก็คงต้องประสบชะตากรรมเดียวกัน
“นำตัวครอบครัวของอดีตจักรพรรดินีออกมา”
ภรรยาที่รักตนมากตายไปแล้ว จักรพรรดินีผู้ซึ่งถูกผูกมัดด้วยคำว่าสามีภรรยามาถึงสามปีถูกบั่นคอไปแล้ว แต่ถึงกระนั้น เขากลับ…สงบนิ่งได้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ แพทริเซียเจ็บปวดราวกับถูกบีบหัวใจจนแทบหายใจไม่ออกกับความขมขื่นที่ตีรื้นขึ้นมา
“ตัดหัวทีละคน”
แพทริเซียหัวเราะให้กับคำสั่งที่โหดร้าย ในเมื่อทุกอย่างกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่หัวเราะหรือร้องไห้ ใครที่ไม่เสียสติในสถานการณ์เช่นนี้สิถึงจะแปลก แพทริเซียยิ้มออกมาอย่างงดงามเกินจะหาใครเทียบ ก่อนจะพาดลำคอเรียวบนแท่นกิโยตีน มองผู้ที่กำลังสั่งประหารตน คนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพี่เขย มองแล้วนางก็รู้สึกเสียใจ
‘หากคนที่ได้เป็นจักรพรรดินีของท่านคือข้า…’
แพทริเซียไม่ใช่คนที่ถวายหัวให้ใครด้วยใจรัก และนางไม่ได้พิศวาสจักรพรรดิถึงขั้นจะยอมปล่อยให้หญิงชู้จูงจมูก เพราะฉะนั้น หากนางได้เป็นจักรพรรดินี ทุกคนก็คงจะมีแต่ความสุข และคงไม่มีใครต้องตาย ไม่แน่ว่าลูกของนางอาจได้เป็นจักรพรรดิ และแก้แค้นมาร์เชอเนสเฟ็ลปส์ในภายภาคหน้าด้วยกระมัง
‘ข้าเสียใจที่ไม่ได้เป็นจักรพรรดินีในครานั้น’
ข้าพลาดเองที่ให้ท่านพี่ไปเข้ารับการคัดเลือกเป็นจักรพรรดินี ข้าพลาดไปที่ไม่ทันคิดว่านางจะตกหลุมรักจักรพรรดิตั้งแต่วันแรกที่พบหน้าเขา
เสียใจตอนนี้ไปก็สายไปเสียแล้ว เรื่องมาถึงขั้นนี้ สิ่งที่เหลืออยู่คือการใช้คอของตนและครอบครัวอันเป็นที่รองรับใบมีดอันเย็นเฉียบเท่านั้น
แพทริเซียไม่ยี่หระกับใบมีดที่ดิ่งลงมา นางยังคงเสียใจจนวาระสุดท้าย
‘หากย้อนเวลากลับไปได้…ข้าจะไม่มีทางปล่อยให้ท่านพี่เป็นจักรพรรดินีเด็ดขาด’
ณ จุดสิ้นสุดของความเสียใจ ลำคอของแพทริเซียขาดสะบั้น เสียงกรีดร้องของผู้คนเช่นเดียวกับเมื่อสักครู่ดังก้องในโสตประสาท
น้ำตาหยดสุดท้ายหลั่งริน พร้อมกับที่ลมหายใจสุดท้ายของแพทริเซียดับลงในวัยยี่สิบสองปี
………………………………………………
ส่วนที่ 1 Lady Patrizia (เลดี้แพทริเซีย)
“อ๊า!”
แพทริเซียกรีดร้องพร้อมกับลืมตาตื่น ตรงหน้าคือโต๊ะหนังสือสีน้ำตาลมะฮอกกานี บนนั้นมีหนังสือสีขาววางอยู่ และผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้คือ…ตัวนางเอง นางนั่งเหม่ออยู่สักครู่ก่อนจะระลึกได้ถึงเรื่องสำคัญ
“ข้าว่า…ข้า…”
ตายแล้ว ตัวของนางนั้น…
“ตายไปแล้ว…”
แพทริเซียยังจำความรู้สึกตอนที่ใบมีดดิ่งลงมาตัดลำคอนี้ได้ ความทรงจำที่น่ากลัวและสยดสยองทำเอาขนลุก จู่ๆ ร่างกายของนางก็สั่นขึ้นมา สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือนางกำลังหวาดกลัว ความหวาดกลัวเป็นความรู้สึกของคนที่มีชีวิตอยู่เท่านั้น แพทริเซียยังทำใจยอมรับเหตุการณ์นี้ไม่ได้ ไม่สิ นางไม่สามารถยอมรับได้ต่างหาก
“เป็นไปได้อย่างไร ทำไมข้าถึง…”
ความจริงที่ว่าเสียงของนางที่พูดซ้ำๆ กำลังหลั่งไหลเข้ามาในโสตประสาทก็น่าตกใจไม่แพ้กัน คนตายจะไม่ได้ยินเสียง ถ้าอย่างนั้นตอนนี้นางยังมีชีวิตอยู่อย่างนั้นหรือ? แพทริเซียค่อยๆ ยื่นมือออกไปพลิกหน้าหนังสือ ตัวเลขที่เขียนไว้ที่หน้าสุดท้ายเพิ่มขึ้นมาหนึ่งจำนวน
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่หญิงสาวก็ยังเชื่อไม่ลง นางจึงลองทดสอบให้แน่ใจที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย แพทริเซียยกมือขึ้นและฟาดลงไปที่แก้มของตนอย่างแรง
เสียงเนื้อกระทบเนื้อหนักๆ ดังเพี้ยะมาพร้อมกับความเจ็บแปลบ แพทริเซียกุมแก้มที่แดงเรื่อขึ้นด้วยแรงกระทบพลางพูดพึมพำ
“เจ็บ…”
เป็นที่แน่ชัดแล้ว นางยังมีชีวิตอยู่ แต่…เป็นไปได้อย่างไร…
ในระหว่างที่แพทริเซียใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนมองลงไปยังเรือนร่างของตน ใครคนหนึ่งก็เปิดประตูพรวดเข้ามา
“แพทริเซีย!”
เสียงนี้ หรือว่า …
“นิล…”
“ริซซี่ อ่านหนังสืออีกแล้วเหรอ”
เปโตรนิยาทำหน้าเบื่อหน่ายพลางเข้ามายืนข้างกายน้องสาวฝาแฝด แพทริเซียตัวสั่นราวกับเห็นผี ก่อนจะถามออกไปอย่างไม่เชื่อสายตา
“นิล…จริงๆ หรือ นีย่า นี่เจ้าจริงๆ ใช่ไหม”
“ริซซี่?”
เปโตรนิยาเอียงคอเล็กน้อยเพราะนางเพิ่งสังเกตเห็นว่าน้องสาวมีอาการแปลกๆ
“เป็นอะไรไปน่ะ เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“แต่…”
เปโตรนิยาดึงแพทริเซียเข้ามากอดโดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบคำถาม แพทริเซียเอาแต่พึมพำว่า เจ้ายังอยู่ตรงหน้าข้าจริงๆ นีย่า…ครอบครัวที่แสนสำคัญของข้า…ยังมีชีวิตอยู่
“พระเจ้า ไม่น่าเชื่อ …”
“ริซซี่ เจ้าเป็นอะไรกันแน่”
เปโตรนิยารู้สึกไม่ชอบมาพากลอีกทั้งยังรู้สึกฉงน ตอนนั้นเองที่แพทริเซียผละออกจากอ้อมกอดพร้อมทำสีหน้าคล้ายจะร้องไห้
ชัดเจนแล้ว ข้ายังมีชีวิตอยู่ นีย่าก็ยังมีชีวิตอยู่ ว่าแต่ที่นี่มันที่ไหน… แพทริเซียสงสัยได้ไม่นานก็ได้ยินคำพูดที่ทำให้นางรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่ากลางใจ
“ไม่ได้ผลหรอกนะริซซี่ ข้าไม่ยอมเป็นควิเนส[2]แน่ ๆ”
ตึง! เสี้ยววินาทีนั้นแพทริเซียรู้สึกเหมือนมีอะไรมากระแทกศีรษะ นางเอ่ยถามอ้ำๆ อึ้งๆ
“คะ ควิเนสหรือ”
“ใช่สิ ควิเนส เราต้องให้คำตอบในวันพรุ่งนี้อย่างไรเล่า”
“เป็นไปไม่ได้”
“ทำไมจะไม่ได้ เมื่อวานข้ายังคุยเรื่องนี้กับเจ้าอยู่เลย”
เปโตรนิยาพูดกับแพทริเซียด้วยรอยยิ้ม
“แล้วก็นะ ริซซี่ ข้ามาลองคิดๆ ดูแล้ว…”
“…”
“เรามาจับสลากกันไหม”
แต่แพทริเซียก็ยังไม่หือไม่อือกับคำถามของเปโตรนิยา ทำเอาคนถามรู้สึกอึดอัด แต่เมื่อกำลังจะอ้าปากพูดต่อ แพทริเซียก็เรียกเอาไว้เสียก่อน
“ท่านพี่”
“ว่าอย่างไรริซซี่ เจ้าก็ว่าดีใช่ไหม”
“ตอนนี้… เอ่อ คือท่านพี่กับข้า…”
แพทริเซียถามต่อไปทั้งๆ ที่ริมฝีปากยังสั่นระริก
“อายุสิบเก้าปีหรือ? เป็นเช่นนั้นหรือ?”
“เจ้านี่มัน… คนฉลาดอย่างเจ้าลืมว่าตัวเองอายุเท่าไรเนี่ยนะ”
เปโตรนิยาตำหนิน้องสาวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“เพิ่งผ่านวันเกิดของเรามาได้ไม่เท่าไรเอง วันนี้เจ้าเป็นอะไรไป”
แม้แพทริเซียจะได้ยินเปโตรนิยาพูดกระเซ้าว่า ‘อ่านหนังสือมากไปจนสมองฟั่นเฟือนหรือไร’ แต่ตอนนี้หัวสมองของนางไม่สงบมากพอที่จะยินดียินร้ายกับคำพูดนั้น พี่สาวของนางได้รับเลือกเป็นควิเนสผู้ซึ่งจะเข้ารับการคัดเลือกเป็นจักรพรรดินี เช่นนั้นหรือว่า…
“ย้อนกลับมาตอนอายุสิบเก้า…”
“อะไรนะ?”
เปโตรนิยาที่จับต้นชนปลายไม่ถูกถามขึ้น แต่แพทริเซียก็ยังคงพูดคนเดียวต่อไป
“ย้อนเวลา…ย้อนเวลาอย่างนั้นหรือ แต่…ได้อย่างไร…”
“ริซซี่ ตั้งสติสิ!”
เปโตรนิยาถลึงตาดุน้องสาว
“วันนี้เจ้าแปลกๆ นะ ยังตื่นไม่เต็มตาหรือเปล่า”
“อะ อืม…”
ในที่สุดแพทริเซียก็ดึงสติกลับมาที่ปัจจุบัน แม้จะไม่น่าเชื่อ แต่ถึงอย่างไรนางก็คงต้องยอมรับว่าตอนนี้นางย้อนกลับมา ณ ช่วงเวลาก่อนเข้ารับการคัดเลือกควิเนส ตอนนางอายุได้สิบเก้าปี
[1] มาร์เชอเนส (อังกฤษ: marchioness) หรือ มาร์กีซ (ฝรั่งเศส: marquise) คือสุภาพสตรีที่มีบรรดาศักดิ์เป็นมาร์ควิสซึ่งเป็นบรรดาศักดิ์ชนชั้นหนึ่งของขุนนางยุโรป ซึ่งมาร์ควิส (อังกฤษ: marquess) หรือ มาร์กี (ฝรั่งเศส: marquis) เป็นบรรดาศักดิ์สืบตระกูลแบบหนึ่งใน 5 ลำดับชั้นหลักๆ ของยุโรป เรียงจากสูงไปต่ำ ได้แก่ ดยุก มาร์ควิส เคานต์ ไวเคานต์ และบารอน
[2] ควิเนส คือผู้ที่จะเข้ารับการคัดเลือกเป็นจักรพรรดินี