King propose 2 อุทยาน part 4

ตอนที่ 2 อุทยาน part 4

ตั้งแต่ตอนนี้ คำว่า顕現 ที่ของเดิมแปลไว้ว่า จำแลง ขอเปลี่ยนเป็นตรงตัวว่า วิวรณ์ ถ้ามีเล่มสองแล้วเข้าใจโลกมากค่อยดูอีกที

—————–

หลังผ่านช่วงพักกลางวัน เข้าคาบเรียนที่ 5

 

มุชิกิและเพื่อนร่วมชั้น ย้ายจากห้องเรียนไปยังอาคารที่เรียกว่าลานฝึก

 

เป็นสิ่งปลูกสร้างขนาดมหึมาที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของ〈อุทยาน〉 ลานกว้างที่โดยรอบถูกวาดด้วยลวดลายที่ไม่คุ้นตา และมีอุปกรณ์ที่ไม่เคยเห็นเช่นกัน

ที่นั่งผู้ชมเป็นแบบขั้นบันได มีเพดานที่สามารถเปิดปิดได้ แทนที่จะเรียกว่าโรงยิมหรือห้องออกกำลังกาย กลับดูเหมือนสเตเดียม  โดม หรือโคลอสเซียมของโรมันโบราณมากกว่า 

 

ช่างเป็นอาคารที่ดูยิ่งใหญ่เว่อวังจริงๆ ถ้าเป็นมุชิกิตามปกติอาจจะไปยืนตรงกลางแล้วหมุนตัวมองรอบๆด้วยความประทับใจแล้วก็เป็นได้

 

แต่ว่า ก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น

 

เหตุผลมีสองข้อ

ข้อหนึ่งคือ นั่นเป็นพฤติกรรมที่ไม่สมเป็นไซกะ

ส่วนอีกข้อก็คือ มุชิกิกำลังจดจ่ออยู่กับสิ่งอื่นยังไงล่ะ

 

「โฮ่โฮ่……อย่างนี้นี่เอง……เจ้านี่เป็นอย่างนี้…」

 

ก้มมองรูปลักษณ์ของตัวเอง แล้วพึมพำออกมาเบาๆ

 

ใช่แล้ว คาบที่ 5 และคาบที่ 6 เป็นคาบเรียนภาคปฏิบัติ มุชิกิเปลี่ยนจากชุดนักเรียนที่สวมอยู่จนถึงเมื่อกี้ เป็นชุดพละที่ดูขยับตัวง่ายขึ้น

เสื้อแขนกุดกับชั้นในยาวและกางเกงขาสั้น พอลองจับดูเหมือนว่าจะทำจากวัสดุชนิดเดียวกับชุดนักเรียน ดูค่อนข้างทนทาน

 

มองดูแวบแรก เหมือนจะเป็นชุดแนวแอคทีฟที่ดูไม่เข้ากับคาแรกเตอร์ลึกลับของไซกะ

แต่ว่า เพราะความขัดกันอย่างน่าประหลาดนี้เอง ที่ทำให้สเน่ห์ด้านใหม่ของไซกะที่แม้แต่มุชิกิก็ยังคาดไม่ถึงเบ่งบานออกมา

พูดตามตรง การที่ที่นี่ไม่มีกระจกเต็มตัวนี่มันน่าเสียดายจริงๆ

 

ในตอนที่มุชิกิกำลังคิดเช่นนั้น ก็ได้ยินเสียงสำลักลมหายใจดังขึ้นจากด้านหลัง

 

「…….อึก! ทะ ท่านแม่มดในชุดพละ……!? มะ มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจะดีเหรอ……!? นี่มันกาชาโคตรลิมิตเลยไม่ใช่หรือไง…..มะ ไม่กดไม่ได้แล้ว…..!」

 

แน่นอน รูริไงล่ะ ร่างกายหุ้มด้วยชุดพละแบบเดียวกับมุชิกิ ตากลอกไปมาเหมือนกำลังสับสนอะไรสักอย่าง แล้วก็ทำท่าเหมือนถ่ายรูปออกมาทั้งอย่างนั้น แต่ว่าในมือกลับไม่มีอะไรอยู่

 

รูริใช้ส้นเท้ากระแทกพื้นลานฝึกอย่างเจ็บใจ

 

「คุ…. ท ทำไมตอนนี้ฉันถึงไม่มีกล้องล่ะ!?」

「เพราะทิ้งไว้ที่ห้องเปลี่ยนชุดหรือเปล่านะ…」

 

ฮิซุมิที่ยืนอยู่ข้างหลังรูริ ยกนิ้วขึ้นมาเกาแก้มแล้วตอบกลับ

 

「ทำไมถึงทิ้งไว้ล่ะ!?」

「เพราะต้องเรียนภาคปฏิบัติไม่ใช่เหรอ…」

 

ระหว่างที่รูริกับฮิซุมิกำลังคุยกันเรื่องแบบนั้น ชายคนหนึ่งก็เดินขี้เกียจออกมาจากข้างในลานฝึก

 

「ฮ่า… โอ้ มารวมตัวกันได้แล้ว ไอ้พวกเด็กเปรต」

 

พูดแล้วก็หาวออกมา

มุชิกิที่เห็นร่างนั้นก็ขยับคิ้วเล็กน้อย

 

ใช่แล้ว คนที่ปรากฏตัวออกมาที่ลานฝึก คือชายที่เผชิญหน้ากับมุชิกิเมื่อวาน หนึ่งในแถวหน้าของ〈กองอัศวิน〉 อัลเวียต สวาลน่า คนนั้นนั่นเอง จะว่าไปก็ได้ยินว่าในเวลาปกติทำหน้าที่เป็นครูเหมือนกัน

 

เหมือนว่าบาดแผลจะหายหมดแล้ว ถึงจะไม่รู้ว่าทำได้ยังไงแต่บนตัวไม่มีผ้าพันแผลเลยแม้แต่ชิ้นเดียว

วันนี้ไม่ได้ใส่กางเกงสแล็กกับเสื้อกั๊กเหมือนเมื่อวาน แต่เป็นเสื้อเชิ๊ตดำที่มีลายเส้นสีทอง 

แต่เพราะที่คอกับข้อมือยังคงเต็มไปด้วยเครื่องประดับน้อยใหญ่ไม่ต่างจากเมื่อวาน เลยดูเป็นเครื่องแต่งกายที่ไม่เหมาะกับการมาออกกำลังกายเท่าไหร่

 

「งั้นเริ่มล่ะเฟ้ย พออบอุ่นร่างกายเสร็จ จะเริ่มจากฝึกวิชาวิวรณ์พื้นฐาน──」

 

แต่แล้ว อัลเวียตก็หยุดพูดที่ตรงนั้น แล้วจ้องมาที่มุชิกิ

 

「…..อ๋า? นี่แกมาทำอะไรในที่แบบนี้ฟะเฮ้ยคุโอซากิ แถมยังแต่งตัวเหมือนนักเรียนแบบนั้น คราวนี้จะเล่นอะไรอีก? 」

 

พูดแล้วก็จ้องคิ้วขมวดส่งสายตาข่มขู่

แต่พอทำแบบนั้น ก่อนที่มุชิกิจะได้ต่อปากต่อคำกลับไป รูริก็เอามือขึ้นเท้าเอวแล้วก้าวออกไปข้างหน้า

 

「โอยะ เรื่องเมื่อวานพอถึงวันนี้ก็ลืมเสียแล้วเหรอคะ ตอนประชุมก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าจะเข้าเรียนในฐานะนักเรียนน่ะ」

「หา? ไอนั่นเอาจริงเหรอฟะ ตั้งใจทำอะไรกันแน่?」

 

อัลเวียตยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแล้วถาม

แต่มุชิกิกลับไม่ลุกลน แล้วยิ้มออกมาให้เห็น

 

「อา──แบบว่าช่วงนี้ร่างกายมันทื่อๆน่ะนะ อยากจะฟื้นความรู้สึกสมัยแรกเริ่มเลยว่าจะฝึกซ้อมสักหน่อยน่ะ ทำแบบนี้จะได้ดูพวกนักเรียนโดยตรงได้ด้วย แล้วก็──」

 

จากนั้น ก็ยิ้มอวดดีออกมาราวกับเล่นละคร

 

「── ยังตรวจสอบว่าความสามารถของครูฝึกถึงมาตรฐานหรือเปล่าได้ด้วยไม่ใช่เหรอ」

「…..อ๋า!?」

 

อัลเวียตเลือดขึ้นหน้ากับคำพูดของมุชิกิ

ก็คงต้องอย่างนั้นแหละ ยังไงตัวเองก็ถูกว่าแบบอ้อมๆว่าความสามารถไม่พอนี่นะ

แต่ว่า ปฏิกิริยานั่นก็เป็นไปตามที่คาดไว้

คุโรเอะเคยพูดไว้ว่า รูริคงไม่เห็นต่างกับการกระทำของไซกะตั้งแต่แรก เอลูลูก้าคงจะยอมเข้าใจให้ ส่วนอัลเวียตน่าจะบุกเข้ามาตรงๆ แต่ถ้าใส่ไฟเข้าไปสักหน่อยก็คงจะกลบเกลื่อนได้      

        

「ก็เอาสิฟะ แต่ถ้าเอาอย่างนั้น ก่อนอื่นก็จงสำเหนียกจุดยืนของตัวเองให้มันชัดๆก่อนนะ? เหตุผลจะอะไรก็ช่าง แต่ตอนนี้แกเป็นนักเรียนของอุทยาน วาจาท่าทางที่ทำกับอาจารย์น่ะ มันใช้ไม่ได้เลยไม่ใช่หรือไงฟะ? หา?」

「น่ะ…! อัลเวียต นี่นาย──」

 

รูริหมวดคิ้วตึงกับคำพูดยั่วยุของอัลเวียต

แต่ว่า มุชิกิกลับยกมือขึ้นมาห้ามรูริแล้วเผยยิ้มบางๆออกมา 

 

「──หึ นั่นสินะคะ ขออภัยด้วยค่ะ อาจารย์?」

「………..!」

 

คำพูดที่สุภาพจนถึงที่สุด แต่ด้วยท่าทางที่ดูอวดดี ทำให้สีหน้าของอัลเวียตเดือดขึ้นไปอีก

ความจริงแล้วถูกจ้องราวกับจะกินเนื้อแบบนี้ก็กลัวนิดหน่อย

แต่ว่า ถ้าเป็นไซกะก็คงไม่กลัว ถึงแม้มุชิกิจะประหม่า แต่ก็พยายามไม่ให้หลุดออกมาทางสีหน้า

 

「……ก็ได้ ถ้าแกตั้งใจอย่างนั้นก็จะตั้งใจสอนให้อย่างเข้มข้นเลย ระหว่างนั้นเกิดร้องไห้ขึ้นมาไม่รู้ด้วยนะเฟ้ย!」

 

อัลเวียตพูดแล้วหันหลังเดินออกไปเหมือนทิ้งท้าย

จากนั้นก็ไปตวาดใส่พวกนักเรียนที่ยืนกลั้นหายใจฟังบทสนทนาอยู่

 

「เว้ย ยืนเหม่ออะไรกันอยู่พวกเด็กเปรต รีบๆไปอบอุ่นร่างกายได้แล้วเฟ้ย!」

「คะ ครับ/ค่ะ!」

 

พวกนักเรียนตอบกลับเป็นเสียงเดียว แล้วรีบออกไปเรียงแถวยืดหยุ่นร่างกาย

ดูเหมือนจะมีลำดับขั้นไว้อยู่แล้ว มุชิกิเลียนแบบนักเรียนที่ยืนอยู่ข้างหน้า เริ่มขยับแขนขา

พอทำถึงตรงนั้น อัลเวียตก็ส่งเสียงโกรธเข้ามา

 

「อย่าทำตามความเคยชินสิฟะคุโอซากิ! ตั้งใจยืดเส้นดีๆซะ! อาการการบาดเจ็บน่ะ มันเริ่มจากความเลินเล่อนี่แหละเฟ้ย!」

「เอ๊ะ? อ่า….ขอโทษที」

 

มุชิกิตั้งใจยืดขาตามที่อัลเวียตพูด

พอทำเช่นนั้น ก็ยังถูกอัลเวียตเอ็ดใส่อีก

 

「เสร็จแล้วไปวิ่งรอบสนาม 3 รอบ! อย่าทำตัวยืดยาดนะเฟ้ย!」

「อา── อื๋อ? แค่ 3รอบจะดีรึ?」

 

เห็นพูดไว้ว่าจะสอนให้เข้ม เลยมั่นใจว่าจะให้ทำอะไรไร้เหตุผล

แล้วก็ถามกลับโดยแอบผิดหวัง

พอได้ยินแบบนั้น อัลเวียตก็เดินอุ้ยอ้ายเข้ามาด้วยท่าทีอวดเบ่งราวกับพวกนักเลงในมังงะ

 

「บ้าเหรอฟะแกน่ะ แค่วอร์มอัพนะเฟ้ย ถ้าเกิดโอเวอร์เวิร์คขึ้นมาจะกลายเป็นสร้างภาระให้กับร่างกาย นี่ความรู้พื้นฐานนะเฟ้ย! แกเองก็เป็นอาจารย์ไม่ใช่เหรอ? แทนที่จะทำแบบบ้าระห่ำเอาจำนวน สู้มาเพิ่มคุณภาพให้แต่ละรอบจะดีกว่า ตอนก้าวเท้าแกว่งแขนก็มีสติรู้ตัวไว้ด้วยนะเฟ้ย ไอ้บ้านี่! 」

「อะ อา」

 

มุชิกิวิ่งรอบสนามกับพวกนักเรียนด้วยความรู้สึกแปลกๆ

ไม่รู้ว่าเพราะอ่านใจมุชิกิได้หรืออะไร ฮิซุมิที่วิ่งอยู่ข้างๆหันมายิ้มแห้งๆแล้วพูด

 

「อะฮะฮะ…… อาจารย์อัลเวียต ถึงจะดูหน้ากลัว ปากก็เสีย แต่สิ่งที่พูดกลับถูกไปซะทุกอย่างเลยนะคะ….」

 

รูริทำหน้าเฉยเมยแล้วพูดต่อให้

 

「เพราะรากฐานเป็นคนจริงจังล่ะมั้งคะ ถึงจะเกลียดท่านแม่มดแค่ไหน แต่เมื่อตกเป็นนักเรียนของตัวเองแล้ว จะปฏิบัติแบบลวกๆใส่ก็ไม่ได้ ไม่ฝืนทำอะไรแย่ๆใส่ก็ดีแล้วค่ะ」

「……………」

 

ภาพลักษณ์ที่มองอัลเวียตของมุชิกิเปลี่ยนไปเล็กน้อย

รู้ตัวอีกทีก็วิ่งจ็อกกิ้งเสร็จแล้ว พวกนักเรียนกลับมารวมตัวกันที่กลางลานฝึกโดยมีอัลเวียตยืนอยู่ด้านหน้า

 

「ร่างกายเริ่มร้อนกันแล้วสินะ งั้นเริ่มล่ะเฟ้ย」

 

ว่าแล้วอัลเวียตก็เขวี้ยงลูกบอลเหล็กในมือออกไป

จากนั้น บริเวณโดยรอบลูกบอลก็เรืองแสงอ่อนๆ แล้วแสงนั้นก็รวมกันกลายเป็นแขนขา กระโดดไปมา 

เหมือนจะเป็นเป้าแบบเคลื่อนไหว เจ้านี่ก็เป็นศาสตร์เวทย์ชนิดหนึ่งสินะ ช่างเป็นวิชาที่แปลกเหลือเกิน

 

「ก่อนอื่นก็── ฟุยะโจว แกนั่นแหละ」

「ค่ะ」

 

รูริขานรับแล้วก้าวเท้าออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ไม่รู้ว่าเพราะตั้งใจทำตามมุชิกิ หรือเพราะแยกแยะเรื่องเก่ากับเรื่องในห้องเรียนออกจากกันได้ น้ำเสียงของรูริดูสุภาพกว่าเมื่อก่อนหน้านี้

 

「ถ้างั้นท่านแม่มด ขอล่วงหน้าไปก่อนนะคะ」

「อา แสดงพลังให้เห็นหน่อยสิ」

 

พอมุชิกิพูดออกไป รูริก็หน้าแดงขึ้น  พร้อมกับ「เอาเว้ย!」ด้วยพลังใจอันเอ่อล้น

รูริหรี่ตาเหมือนกำลังรวบรวมสมาธิ ── แล้วยื่นมือออกไปข้างหน้า

 

「เซนจิตสึฟุยะโจว〈ปราการพันวันไร้คืน〉วิวรณ์บทที่ 2 ── รินโควจิน【ใบดาบประกายแสง】」

 

ในจังหวะที่ขานชื่อนั้น ──

บทหัวของเธอ ก็มีลวดลายสีน้ำเงินเข้ม 2 อัน ส่องสว่างขึ้น

 

── ตราสัญลักษณ์ ลายแสงที่ปรากฏขึ้นเมื่อใช้วิชาจำแลง

 

แบบเดียวกับที่ลอยขึ้นบนหัวไซกะกับด้านหลังอัลเวียตนั่นเอง ทว่าของรูรินั้น แทนที่จะเป็นวงแหวนเทวดา หรือแหวนทรงพระอาทิตย์ กลับเป็นสิ่งที่เหมือนหน้ากากของหมวกนักรบ หรือหน้ากากรูปโอนิโกรธมากกว่า

 

จากนั้น มือที่ยื่นไปข้างหน้าของรูริก็ส่องสว่าง และสิ่งที่ดูเหมือนอาวุธด้ามจับยาวก็ปรากฏขึ้นจากตรงนั้น

แสงสว่างที่สั่นไหวรวมตัวกันเป็นส่วนใบมีด กลายเป็นนากินาตะขนาดใหญ่ รูริเหวี่ยงเจ้าสิ่งนั้นอย่างสบายๆ แล้วขยับด้ามจับไปข้างตัวเป็นท่าพร้อมต่อสู้

 

「───」

 

ภาพที่ราวกับความฝันนั้น ทำให้มุชิกิเผลอเบิกตากว้าง

ได้เห็นวิวรณ์บทที่ 2 ของอัลเวียตกับวิวรณ์บทที่ 4 ของไซกะไปเมื่อวาน

แต่ว่า การได้มายืนดูอย่างสงบในฐานะบุคคลที่ 3 แบบนี้ถือเป็นครั้งแรก

 

「─── จะเริ่มเมื่อไหร่ก็ได้เลยค่ะ」

 

รูริประกาศด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบ

อัลเวียตดีดนิ้วเหมือนเป็นการตอบรับ แล้วเจ้าลูกบอลที่รอสิ่งนั้นอยู่ก็ขยับแขนขาที่ส่องสว่าง แล้วเริ่มเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง

อย่าว่าแต่จะโจมตีให้โดน แค่คิดจะถ่ายรูปยังลำบากเลย

ทว่า รูริกลับไม่ตื่นตระหนก แล้วด้วยสายตาอันเฉียบคม

 

「───── ฟู่ ────」

 

พ่นลมหายใจออกมาสั้นๆพร้อมกับตวัดนากินาตะ ร่องรอยของใบมีดที่ส่องประกายถูกวาดเป็นรูปจันทร์เสี้ยว

พริบตาต่อมา ลูกบอลที่ถูกตัดเป็นสองท่อนอย่างพอดิบพอดี ร่วงลงกระแทกพื้นด้วยเสียงหนักอึ้ง เป็นการฟันที่เฉียบขาดเพียงครั้งเดียว

 

เหล่านักเรียนพากันร้อง 『โอ……』ออกมาเป็นเสียงเดียวจากรอบๆ

 

「ฮึ่ม ผ่านพอดีล่ะนะ」

 

อัลเวียตกอดอกแล้วส่งเสียงขึ้นจมูกเบาๆ

พอทำแบบนั้น รูริก็ปล่อยให้นากินาตะในมือหายไปแล้วตอบกลับ

 

「ค่อยโล่งใจหน่อยค่ะ เพราะเป็นอาจารย์เลยกลัวว่าถ้าไม่ใช่การโจมตีที่ฉูดฉาดและเคลื่อนไหวเปล่าประโยชน์เยอะๆจะประเมินไม่เป็นซะแล้ว」

「อ๋า?」

 

อัลเวียตขมวดคิ้ว พอเห็นแบบนั้น ฮิซุมิที่กำลังเหงื่อตกก็รีบดันหลัง พารูริออกไปจากตรงนั้นอย่างลนลาน

 

「ชิ….อาช่างเถอะ ต่อไปคุโอซากิ แกนั่นแหละ จะแฟนซีอะไรก็ไม่รู้ล่ะ แต่เป็นโอกาสที่ดีเลย แสดงพลังของอาจารย์ใหญ่ให้เจ้าเด็กเปรตพวกนี้มันเห็นหน่อยซิ」

 

อัลเวียตพูดแล้วปล่อยบอลออกมาอีกรอบ

 

「อะ คือว่าฉัน ───」

 

มุชิกิรีบนึกหาข้ออ้างที่จะปฏิเสธกระทันหัน

แน่นอนล่ะ ตอนคาบบรรยาย แค่รวบรวมพลังเวทย์ระดับหนึ่งก็เผลอพังห้องเรียนไปซะแล้ว ถ้าตัวเองที่ยังควบคุมพลังเวทย์ของไซกะไม่ได้มาฝึกซ้อมสู้จริงตอนนี้ละก็ จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้

 

『………….』

 

แต่พอเห็นสายตาของเหล่านักเรียนที่จ้องมา มุชิกิก็ส่ายหน้าเบาๆ ……..จริงๆแล้วก็ยังกังวลว่าจะไปได้สวยหรือเปล่า แต่ว่า จะถอยหนีตอนนี้ก็ดูไม่สมเป็นไซกะเหมือนกัน

 

「อา──อือ ถ้างั้น ลองหน่อยแล้วกัน」

 

มุชิกิก้าวเท้าออกไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจเต็มที่

เรื่องที่คุโรเอะสอนเย็นเมื่อวาน เรื่องตอนที่เผชิญหน้ากับอัลเวียต และศาสตร์เวทย์ของรูริที่เพิ่งเห็นเมื่อกี้ลอยขึ้นมาในหัวพร้อมกับลดระดับสายตาลง

 

ศาสตร์เวทย์ชนิดใหม่ล่าสุด ─── วิชาวิวรณ์ วิชาที่ว่าด้วยการมอบรูปร่างให้กับสิ่งที่ไร้รูปร่าง งานแห่งปาฏิหาริย์ รากฐานของสิ่งนั้นคือทำให้พลังเวทย์กลายเป็นสสาร

เหมือนกับการปั้นดิน จินตนาการว่ากำลังปั้นพลังเวทย์

ไม่รู้ทำไม แต่ความรู้สึกที่เพิ่งเคยสัมผัสเป็นครั้งแรกอย่างแน่นอนนี้ กลับรู้สึกคุ้นมืออย่างน่าประหลาด

แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังคงต้องระวัง ถ้าเผลอทำเกินไปจะเกิดซ้ำรอยกับตอนห้องเรียนขึ้นมา

พยายามกดพลังลงเท่าที่ทำได้ ให้เล็กลง ให้นิ่งสงบ ให้ไร้อันตราย ราวกับจะดีดเป่าเป้าหมายด้วยปลายนิ้วก้อย ──

 

「────!?」

 

มุชิกิลืมตาโพล่งขึ้นมาแล้วเงยหน้า

 

พอรู้ตัวอีกที ก็เห็นร่างของรูริกับอัลเวียตที่ไม่รู้อ้อมมาตั้งแต่เมื่อไหร่ มายืนอยู่ข้างหน้า

ทั้งคู่มีเหงื่อผุดเต็มหน้า และกำลังหายใจอย่างรุนแรง───

ใช่แล้ว ราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งอยู่อย่างไรอย่างนั้น

ไม่ใช่แต่เพียงเท่านั้น ที่ด้านหลังของอัลเวียตยังมีวงแหวนแสงอยู่สองวง ส่วนทางรูริก็มีลวดลายที่ดูเหมือนหน้ากากโอนิลอยอยู่เหนือหัว นอกจากนั้นทั้งคู่ก็กำลังกำวัชระและนากินาตะอยู่ในมือ

วิวรณ์บทที่ 2  อัศวินทั้งที่ถูกยกย่องให้เป็นกำลังรบที่แข็งแกร่งที่สุดใน〈อุทยาน〉ทั้งคู่กำลังยืนเรียงหน้าด้วยท่าทีพร้อมรบอยู่

 

「คือว่า───」

 

ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น มุชิกิได้แต่มองอย่างงุนงง เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลผ่านคางของอัลเวียตหยดลงสู่พื้น

 

「คุ…. คุโอซากิ นี่แก….. คิดจะทำอะไรกันแน่……? ลานฝึก──ไม่สิ คิดจะเป่า〈อุทยาน〉แห่งนี้ทิ้งไปหรือไงฟะ ….. !?」

「เอ๊──?」

 

จากนั้น รูริก็ทรุดไปคุกเข่ากับพื้น

 

「ขะ ขออภัยจริงๆค่ะ ท่านแม่มด…..! เรื่องที่หันปลายดาบใส่ท่านแม่มด……! แต่ว่า ร่างกายมันเผลอขยับไปเอง….」

 

พอพูดจบ รูริก็กดหัวตัวเองลง

 

「เปล่า คือว่า」

 

อะไรคืออะไรก็ไม่รู้ แต่ว่า ดูเหมือนมุชิกิจะเพิ่งทำอะไรไปสักอย่าง

 มุชิกิกำลังเครียดว่าจะต้องตอบทั้งคู่กลับอย่างไรดี──

 

「…..หึ ทั้งสองคน การตอบสนองใช้ได้เลยนี่….?」

 

ก็รู้ตัวอยู่ว่าเป็นคำแก้ตัวที่น่าเจ็บปวด แต่ก็ตัดสินใจชมอัศวินทั้งสองออกไป

รูริยังพอว่า แต่อัลเวียตเนี่ย ตอนนี้ก็ยังจ้องมุชิกิไม่เลิก

 

「……….」

 

…..อย่าบอกนะว่า ทั้งที่อุตส่ากดพลังลงขนาดนั้นก็ยังอยู่ในระดับอันตราย มุชิกิก้มลงมองมือที่ขาวและบอบบางของตัวเอง แล้วก็ตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของพลังที่ได้รับมาอีกครั้ง

 

Options

not work with dark mode
Reset