「――โย่ว คุโอซากิ มายืนชมวิวอยู่ในที่แบบนี้เองเรอะ อารมณ์ดีจังนะเว้ย 」
ชายหนุ่มมีร่างกายที่เรียวแต่ก็มีกล้ามเนื้อ ร่างของเขาถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อเชิ้ตและเสื้อกั๊กอย่างดีกับกางเกงสแล็ค
ผมสีดำที่ถูกถักเป็นเปีย ผิวสีน้ำตาลและดวงตาแหลมคมที่ราวกับกำลังจับจ้องเหยื่อและรอยยิ้มดุร้าย
เป็นภาพลักษณ์ที่ให้ความรู้สึกราวกับสัตว์ป่า
「คุณคือ――」
ไม่ผิดแน่ นี่คือจอมเวทย์ที่เพิ่งจัดการกับมังกรเมื่อกี้
ราวกับเป็นการยืนยัน อาวุธสีทองที่รูปร่างราวเหมือนกรงเล็บสามแฉก――วัชระทั้งสองที่บินวนรอบชายหนุ่มเรืองแสงและส่งเสียงช็อตไฟฟ้าออกมาเป็นพักๆ
ที่ด้านหลังชายหนุ่มมีวงแหวนแสงขนาดใหญ่สองวงกำลังเปล่งแสง รูปร่างที่ดูศักดิ์สิทธิ์ขัดกับภาพลักษณ์ป่าเถื่อนของเขา
พอเห็นสภาพมุชิกิที่กำลังงงกับสถานการณ์ ชายหนุ่มก็ยกริมฝีปากขึ้นเผยรอยยิ้มดุร้ายออกมา
「อะไรฟะ、ทำหน้าเหมือนนกพิราบโดนถั่วยิงใส่แบบนั้น ――เฮอะ นี่เห็นเวทย์ตูแล้วถึงกับตัวสั่นจนพูดไม่ออกเลยเหรอฟะ?」
ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงยียวนแล้วยักไหล่
แต่มุชิกิดันพยักหน้าหงกๆกลับไปแบบซื่อๆ
「――สุดยอดไปเลยครับ! เมื่อกี้นี้คือคุณเองหรอ?」
「…………หะ?」
พอได้ยินมุชิกิพูด ชายหนุ่มก็อ้าปากหวอส่งเสียงที่ดูโง่ๆออกมา
「สุดยอดมากจริงๆฮะ… มังกรตัวตั้งขนาดนั้น เป็นจอมเวทย์ที่แข็งแกร่งสุดๆไปเลยสินะครับ…?」
「ห๊ะ…นะ นี่พูดอะไรของแกฟะ กินอะไรผิดสำแดงเข้าไปหรือไง? วิธีพูดก็แปลกไปนะเฟ้ย…」
ชายหนุ่มผงะถอยหลังไป แต่ใบหน้ากลับแดงขึ้นเหมือนกำลังเขินอาย
「เปล่าครับ แค่เรียกอะไรที่สุดยอดว่าสุดยอดเท่านั้นเอง ว่าแต่ไอ้แบบนั้นน่ะ ทำยังไงเหรอครับ?」
「ทะ ทำยังไงเนี่ย… ก็แค่จำแลงระดับ 2 ทั่วๆไปแหละเฟ้ย แต่ว่าน้า… ก็แอบปรับแต่งสูตรเวทย์ไปนิดหน่อยอะนะ」
「อย่างนี้นี่เอง! สูตรเวทย์… ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจก็เถอะ ทำยังไงเหรอครับ?」
「ใครจะไปบอกล่ะโว้ย! ทำไมตูถึงต้องเผยไพ่ในมือให้แกเห็นด้วยฟะ!」
「อย่าพูดแบบนั้นสิครับ ไม่เห็นเป็นไรเลย ท่าเท่ๆแบบนั้นทำได้ยังไงน้า อยากรู้จัง」
「……ชะ ช่วยไม่ได้น้า… แค่นิดเดียวนะเฟ้ย…」
ชายหนุ่มหันหน้าหนีไปแอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วพูดออกมา
ถึงภายนอกจะดูน่ากลัว แต่จริงๆก็ง่ายใช้ได้แฮะ
「จริงหรือครับ!? ขอบคุณมากครับ! เอ่อ…ว่าแต่…」
「หืม?」
「เมื่อกี้บอกว่าชื่ออะไรนะครับ?」
「อ๊ะ」
พอมุชิกิถามออกไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม คุโรเอะก็หลุดอุทานออกมาสั้นๆ ราวกับจะบอกว่า 「ซวยละ」
ในจังหวะเดียวกัน ชายที่ก่อนหน้านี้สีหน้าไม่ได้ดูแย่เริ่มมีเส้นเลือดนูนออกมาจากหน้าผาก
「…หือ ฮึ่ม…? อย่างนี้นี่เอง…? ชื่อของพวกปลาซิวปลาซ่อยแบบตูเนี่ย… แม้แต่ในเศษซากความทรงจำก็ยังไม่เหลือไว้งั้นสินะ…?」
「เอ๊ะ? มะ ไม่ใช่แบบนั้นครับ แค่เผลอลืมไปแค่นั้นเอ――」
「ได้เลย! จะซัดให้ลืมชื่ออัลเวียต สวาลน่าไม่ได้อีกเป็นครั้งที่สองเลยว้อยยยยยยยย!」
อัลเวียต (จะว่าไปก็ชื่อนี้นี่เอง) แสดงความเดือดดาลให้เห็น แล้วใช้ส้นเท้ากระแทกลงบนพื้นดาดฟ้า
พอส้นเท้ากระทบพื้น ก็เกิดสายฟ้ากระจัดกระจายไปรอบๆ
「……..!?」
เส้นสายฟ้าขยายออกทั่วดาดฟ้าเป็นรูปใยแมงมุม มุชิกิถึงกับหดตัวลงโดยไม่รู้ตัว
「ดะ เดี๋ยว หยุดเถอะครับ!」
「หนวกหูเฟ้ย! ถ้าจะร้องขอชีวิตละก็――」
「ถ้าเกิดหน้าสวยๆของคุณไซกะเป็นแผลขึ้นมาจะทำยังไงครับ!」
「……………..」
พอมุชิกิตะโกน ไม่รู้ทำไมหน้าของอัลเวียตก็เกิดกระตุกขึ้นมา
「ดูเหมือนว่าจะไม่ต้องออมมือแล้วสินะ…?」
อันเวียตนำแขนสองข้างลงไปตั้งท่าที่เอว
ในจังหวะเดียวกัน สามง่ามทั้งสองที่ลอยรอบตัวเขาราวกับดาวเทียมก็ค่อยๆหมุนเพิ่มความเร็วขึ้น มีสายฟ้าผ่าแปล๊บๆออกมา
「จงระเบิด! วัชระ(ค้อนสายฟ้า)!」
อันเวียตตะโกนออกมาพร้อมยื่นแขนสองข้างไปข้างหน้า ปล่อยเวทย์สังหารใส่มุชิกิ
ทัศนวิสัยของมุชิกิถูกปกคลุมด้วยแสงจ้า
「――หวา!?」
มุชิกิกลั้นหายใจ และยืนแข็งทื่อราวกับถูกมัดไว้กับที่
「คุณมุชิกิ!」
เสียงร้องของคุโรเอะ ถูกเสียงคำรามของสายฟ้ากลบหายไป
ถึงจะรู้ว่าต้องหลบให้ได้ แต่ร่างกายกลับไม่ยอมขยับ
พลังความรุนแรงที่กลืนกินเหตุผล ด้วยสัญชาติญาณดั้งเดิมของมนุษย์ ทำให้แม้แต่มุชิกิที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเวทมนต์ยังรู้ว่านี่เป็นการโจมตีที่สามารถพรากชีวิตอย่างง่ายดาย
ในพริบตาต่อมา ร่างกายของมุชิกิก็คงจะถูกสายฟ้าสีทองฉีกเป็นชิ้นๆอย่างแน่นอน
แต่ทว่า――
「―――」
ในจังหวะนั้น สิ่งที่อยู่ในหัวของมุชิกิ ไม่ใช่ความหวาดกลัวหรือความสิ้นหวัง แต่เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด
――สายฟ้าที่เหมือนจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อกลับดูช้าลงอย่างน่าประหลาด
ราวกับเวลากำลังไหลอย่างช้าๆ
โลกทั้งใบเข้าสู่โหมดสโลว์โมชั่น มีแค่ความคิดของตัวเองที่ยังแล่นได้ด้วยความเร็วเท่าเดิม
หรือว่าที่จะเป็นจังหวะแฟลชแบ็คที่เขาล่ำลือกัน
ในเวลาที่เจอเรื่องอันตรายถึงชีวิต สมองคนเราจะทำงานด้วยความเร็วสูงเพื่อไล่ย้อนดูประสบการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมาเพื่อหาวิธีเอาตัวรอด ทำให้รู้สึกว่าเวลาเดินช้าลง
และหลังจากได้ค้นสมองจนสะอาด ประสบการณ์ที่จะช่วยให้รอดจากสถานการณ์ตอนนี้ได้นั้น――
(――ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวหรอก เพราะตัวเธอในตอนนี้น่ะ…ครอบครองร่างกายที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ยังไงล่ะ――)
「เอ๊ะ――」
อยู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นในหัว มุชิกิตกใจจนแหวกตากว้าง
ถึงจะรู้สึกเบลออยู่บ้าง แต่ก็ชัดเจนเกินกว่าจะเรียกว่าประสาทหลอน
เสียงนั้นคืออะไรมุชิกิก็ไม่รู้
แต่ว่า ในตอนที่ได้ยินเสียงนั้น มุชิกิกลับรู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาด
เสียงนั้น――
คือเสียงเดียวกับที่มุชิกิได้ยินก่อนจะหมดสติเมื่อวาน เสียงของเด็กสาวผู้เป็นรักแรกของมุชิกิ
(――วิธีใช้พลังน่ะ ถูกจดบันทึกไว้ในร่างกายนั้นหมดแล้ว, สิ่งเธอต้องทำน่ะก็แค่…ปล่อยให้หัวใจพาไปก็พอ――)
มุชิกิยื่นมือทั้งสองข้างไปข้างหน้า
แม้จะไม่รู้ว่าเพื่ออะไร, แต่เขากลับมั่นใจว่าสิ่งที่ทำตอนนี้คือสิ่งที่ถูกต้อง
ร่างกายร้อนผ่าวขึ้นราวกับเลือดในตัวกำลังเดือดพล่าน
วินาทีต่อมา ในทัศนวิสัยที่ถูกบดบังจากสายฟ้าของมุชิกินั้น ได้เห็นประกายแสงแห่งใหม่ขึ้น
ข้างบนหัวมุชิกิ มีวงแหวนแสงที่ส่องประกายหลากหลายสีปรากฏขึ้นมา
ถ้าดูดีๆ จะเห็นเป็นรูปทรงที่ดูราวกับวงแหวนของนางฟ้า
ทว่า, วงแหวนแสงเหล่านั้นกลับซ้อนทับกันสูงขึ้นไป――เป็นรูปร่างราวกับหมวกแม่มด
「….., สี่วงอย่างงั้นเหรอ !?」
ได้ยินเสียงร้องด้วยความประหลาดใจของคุโรเอะดังขึ้นจากด้านหลัง
ทันใดนั้น, มิติรอบตัวมุชิกิก็บิดเบี้ยว――
และโลก… ก็ได้เปลี่ยนไป
ไม่ใช้ทั้งการพูดเปรียบเปรย หรือบรรยายเกินจริงอะไรทั้งนั้น
ทั้งมุชิกิ, คุโรเอะแล้วก็อัลเวียตที่ก่อนหน้านี้ควรจะอยู่ที่ดาดฟ้าอาคารเรียน
เพียงแค่พริบตาเดียว ทิวทัศน์ที่ปกคลุมรอบตัวทั้งสามคนก็เปลี่ยนไป
――ท้องฟ้าสีน้ำเงินที่ทอดยาวจนสุดลูกหูลูกตา
เมื่อมุชิกิเลื่อนสายตาลงไปทางพื้นดินเห็นเป็นภาพเมือง และข้างบนฟ้าก็มีเมืองแบบหน้าตาแบบเดียวกันกำลังลอยกลับหัวอยู่
เป็นภาพที่คุ้นตาแต่ก็น่าประหลาด ตึกสูงและหอคอยจำนวนมากที่ยื่นออกมาจากข้างบนและข้างล่างชี้มาทางพวกมุชิกิ ราวกับเป็นฟันของสัตว์ประหลาดขนาดยัก
เมื่อเห็นเช่นนั้น อันเวียตก็ส่งเสียงที่ดูลนลานออกมา
「เวทย์จำแลงระดับสี่……!? เฮ้ย คุโอซากิ! ขี้ขลาดนี่หว่า! ไอ้นั่นมันต้องห้ามไม่ชะ――」
แต่อยู่ๆ อัลเวียตที่กำลังตะโกนต่อว่ามุชิกิก็หยุดกระทันหัน
เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะภาพของเมืองขนาดยักทั้งทางพื้นดินและบนท้องฟ้านั้น กำลังพุ่งขึ้นและร่วงหล่นลงมาราวกับพยายามจะขบเคี้ยวตัวอัลเวียตเสียอย่างนั้น
「――กำเนิดแห่งทุกสรรพสิ่ง ดั่งสวงสวรรค์และผืนดินอยู่ใต้ฝ่ามือ」
「จงสาบานเชื่อฟังเสียเถอะ
――แกน่ะ, จะทำให้เป็นเจ้าสาวเอง」
อัลเวียตที่พยายามต่อต้านชูมือทั้งสองข้างขึ้นฟ้า แต่สายฟ้าที่ปล่อยออกไปกลับสลายไปอย่างไร้ประโยชน์
「อุก……!? มะ, ม่างเอ๊ยยยยยยยยย ―――― !!」
อันเวียตที่น่าสงสารถูกพัดไปมาราวกับใบไม้ใบหญ้าและกลืนกินเข้าไปในหมู่ตึก
เสียงคำรามดังสนั่นขึ้น ตึกสูงที่ดูราวกับคมเขี้ยวพังทลายลงมา
จากนั้นไม่นาน ภาพทิวทัศน์ที่ห้อมล้อมรอบตัวมุชิกิก็กลับเป็นดาดฟ้า แม้แต่วงแหวนแสงที่ลอยอยู่บนหัวมุชิกิก็หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
ถ้าจะมีอะไรที่ต่างจากเดิม ก็คืออัลเวียตที่นอนแผ่อยู่ตรงพื้น
เสื้อเชิ้ตอย่างดีกับกางเกงเปรอะเปื้อนและฉีกขาดจนแทบจะไม่เหลือความเป็นเป็นเครื่องนุ่งห่ม
ผมดำยาวถูกซัดยุ่งเหยิง ตามร่างกายมีบาดแผลเล็กใหญ่เต็มไปหมด แต่อย่างน้อยก็ดูเหมือนจะยังมีชีวิตอยู่ สังเกตได้จากมือเท้าที่กระตุกอยู่เป็นพักๆ
「เมื่อกี้นี้มัน….」
มุชิกิพึมพำออกมา แล้วก้มลงไปมองที่ฝ่ามือตัวเองแล้วลองกำๆแบๆ นิ้วที่เรียวงามขยับไปมาตามคำสั่งของมุชิกิ
เมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้น แม้แต่ตัวเองก็ไม่ค่อยเข้าใจ
สิ่งเดียวที่รู้คือ ภาพทิวทัศน์แปลกประหลาดที่เพิ่งถูกขยายออกไปต่อตานั้น เกิดจากพลังของตัวเอง—ของไซกะ
ความรู้สึกแปลกประหลาดที่ไม่เคยรู้สึกขึ้นมาก่อน
ตั้งแต่บนศรีษะจนถึงปลายนิ้วรู้สึกเหมือนถูกเผาไหม้ด้วยเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในตัว
ความรู้สึกเหมือนตัวตนของตัวเองกำลังขยายขึ้นราวกับบอลลูน
และความรู้สึกไร้เทียมทานราวกับโลกทั้งใบอยู่ใต้ฝ่ามือ
ความรู้สึกเหล่านั้นผสมปนเปกันและไหลเข้ามาในทีเดียว ทำให้มุชิกิถึงกับตกตะลึงไปชั่วครู่
「กะ,แก…..」
「…..!」
สิ่งที่ดึงสติมุชิกิกลับมา คือเสียงโกรธเคืองของอัลเวียตที่นอนหน้าทิ่มเลียพื้นอยู่
「 คือว่า…เป็นอะไรหรือเปล่าครับ…?」
มุชิกิก้าวเข้าไปราวกับจะดูอาการ พอย่อตัวลงอันเวียตก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องด้วยตาแดงก่ำ
「จะ,จำไว้ซะ ….จะฆ่าแก――」
แต่ไม่ทันที่จะได้พูดจบ
คุโรเอะก็โผล่มาแล้วเหยียบหัวอัลเวียต
「บุเคี้ยฟ」
หน้าของอัลเวียตถูกกดลงไปบนพื้นดาดฟ้าแข็งๆ ร่างกายที่ยังเคลื่อนไหวเล็กน้อยจนถึงเมื่อครู่ ได้หยุดนิ่งลงอย่างสมบูรณ์
「……….」
ถึงจะเห็นแบบนั้น แต่จริงๆแล้วคุโรเอะไม่ได้ตั้งใจที่จะเหยียบลงไปเพื่อหุบปากอัลเวียตแต่อย่างใด
เพียงแค่อยากจะมายืนตรงหน้ามุชิกิ แล้วเห็นหัวอัลเวียตมันเกะกะขวางทางก็เท่านั้นเอง
「คุโรเอะ?」
มุชิกิเรียกชื่อคุโรเอะราวกับเป็นการไถ่ถาม
ใบหน้าที่จ้องมองมายังคงความไร้อารมณ์ แต่ก็รู้สึกได้ถึงความตกใจ, ตื่นเต้น และดีใจที่เอ่อล้นออกมา
「…….ไม่อยากจะเชื่อเลยค่ะ ต่อให้เป็นร่างกายของท่านไซกะ แต่อยู่ๆก็ใช้เวทย์จำแลงระดับ 4 …แต่ถ้าเป็นแบบนี้ละก็――」
จากนั้นคุโรเอะที่พูดพึมพำอะไรก็ไม่รู้อยู่คนเดียวก็หันไปมองที่มุชิกิอีกครั้ง
「คุณมุชิกิคะ」
「คะ, ครับ」
มุชิกิถูกดวงตาที่ฉายแสงแห่งความมุ่งมั่นกดดันจนเผลอพยักหน้ากลับไป
「การที่คุณหลงเข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องนี้น่ะ ถือเป็นความโชคร้ายไม่ผิดแน่ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีเรื่องที่อยากจะขอร้องอยู่ค่ะ
ได้โปรดร่วมมือกับฉัน
――เพื่อช่วยโลกนี้ด้วยเถอะค่ะ」
กับคำพูดของคุโรเอะ――
「เอ๊ ไม่ไหวหรอกครับ….」
มุชิกิปฏิเสธทันควัน
มันแน่อยู่แล้ว ก็มุชิกิเป็นแค่นักเรียนชั้นมัธยมปลายธรรมดาๆ อยู่ๆจะมาบอกให้ไปช่วยโลกก็แย่สิ
「……….」
พอถูกพูดมาแบบนั้น คุโรเอะก็เหงื่อตกแล้วคิ้วขมวด
「……ไอ้เวลาแบบนี้เขาต้องตามน้ำกันไม่ใช่หรอคะ?」
「ตะ ต่อให้พูดแบบนั้นก็เถอะครับ」
「……….」
คุโรเอะทำท่าเหมือนคิดอะไรสักพัก จากนั้นก็จึงเริ่มพูดอีกครั้ง
「ถ้ายอมให้ความร่วมมือละก็, อาจจะเจอวิธีแยกคุณกับท่านไซกะออกจากกันก็ได้นะคะ เมื่อถึงตอนนั้น ฉันจะช่วยแนะนำคุณกับท่านไซกะอีกครั้งหนึ่ง ในฐานะผู้มีพระคุณที่ช่วยทำหน้าที่แทนในตอนที่ท่านไซกะไม่อยู่」
「ทำยังไงดีครับ อยู่ๆก็รู้สึกอยากช่วยโลกนี้ขึ้นมา」
「……….」
พอเห็นมุชิกิพยักหน้าอย่างขะมักเขม้น คุโรเอะก็เงียบไปอีกครั้ง
จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเหมือนปลอบใจตัวเองได้
「ก่อนอื่นคงต้องเตรียมการหลายๆอย่างก่อนค่ะ เริ่มจากจัดการเรื่องยุ่งยากกันก่อนเถอะ」
「เรื่องยุ่งยาก?」
คุโรเอะพยักหน้าให้กับมุชิกิที่กำลังเอียงคอสงสัย
จากคนแปล : ตอนแรกที่หยิบเรื่องนี้มาแปลเริ่มจากอารมณ์อวยชั่ววูบล้วนๆ เป็นเรื่องแรกที่เคยแปล และไม่คิดว่าการแปลมันจะยากขนาดนี้ หลังจากแปลไปได้ 2 ตอนแรกก็หายไปเกือบเดือน ส่วนหนึ่งก็เพราะยุ่งกับเรื่องอื่นจนคิดว่าอาจจะไม่ทำต่อแล้ว แต่สุดท้ายเพราะรักเรื่องนี้ก็เลยตั้งใจว่าจะกลับมาแปลเรื่อยๆจนกว่าจะจบเล่มหรือถูก LC
ด้วยความที่ไม่ค่อยได้อ่านภาษาไทยเลย จะเห็นได้ชัดว่าทั้งสำนวนและการใช้คำจำกัดมาก บางทีก็มาแก้คำทีหลัง แต่จะพยายามศึกษาและทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆฮะ