King propose 1 หลอมรวม part 4

ตอนที่ 1 หลอมรวม part 4

「――โย่ว คุโอซากิ มายืนชมวิวอยู่ในที่แบบนี้เองเรอะ อารมณ์ดีจังนะเว้ย 」

 

ชายหนุ่มมีร่างกายที่เรียวแต่ก็มีกล้ามเนื้อ ร่างของเขาถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อเชิ้ตและเสื้อกั๊กอย่างดีกับกางเกงสแล็ค 

ผมสีดำที่ถูกถักเป็นเปีย ผิวสีน้ำตาลและดวงตาแหลมคมที่ราวกับกำลังจับจ้องเหยื่อและรอยยิ้มดุร้าย

เป็นภาพลักษณ์ที่ให้ความรู้สึกราวกับสัตว์ป่า

 

「คุณคือ――」

 

ไม่ผิดแน่ นี่คือจอมเวทย์ที่เพิ่งจัดการกับมังกรเมื่อกี้

ราวกับเป็นการยืนยัน อาวุธสีทองที่รูปร่างราวเหมือนกรงเล็บสามแฉก――วัชระทั้งสองที่บินวนรอบชายหนุ่มเรืองแสงและส่งเสียงช็อตไฟฟ้าออกมาเป็นพักๆ

ที่ด้านหลังชายหนุ่มมีวงแหวนแสงขนาดใหญ่สองวงกำลังเปล่งแสง รูปร่างที่ดูศักดิ์สิทธิ์ขัดกับภาพลักษณ์ป่าเถื่อนของเขา

พอเห็นสภาพมุชิกิที่กำลังงงกับสถานการณ์ ชายหนุ่มก็ยกริมฝีปากขึ้นเผยรอยยิ้มดุร้ายออกมา

 

「อะไรฟะ、ทำหน้าเหมือนนกพิราบโดนถั่วยิงใส่แบบนั้น ――เฮอะ นี่เห็นเวทย์ตูแล้วถึงกับตัวสั่นจนพูดไม่ออกเลยเหรอฟะ?」

 

ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงยียวนแล้วยักไหล่

แต่มุชิกิดันพยักหน้าหงกๆกลับไปแบบซื่อๆ

 

「――สุดยอดไปเลยครับ! เมื่อกี้นี้คือคุณเองหรอ?」

「…………หะ?」

 

พอได้ยินมุชิกิพูด ชายหนุ่มก็อ้าปากหวอส่งเสียงที่ดูโง่ๆออกมา

 

「สุดยอดมากจริงๆฮะ… มังกรตัวตั้งขนาดนั้น เป็นจอมเวทย์ที่แข็งแกร่งสุดๆไปเลยสินะครับ…?」

「ห๊ะ…นะ นี่พูดอะไรของแกฟะ กินอะไรผิดสำแดงเข้าไปหรือไง? วิธีพูดก็แปลกไปนะเฟ้ย…」

 

ชายหนุ่มผงะถอยหลังไป แต่ใบหน้ากลับแดงขึ้นเหมือนกำลังเขินอาย

 

「เปล่าครับ แค่เรียกอะไรที่สุดยอดว่าสุดยอดเท่านั้นเอง ว่าแต่ไอ้แบบนั้นน่ะ ทำยังไงเหรอครับ?」

「ทะ ทำยังไงเนี่ย… ก็แค่จำแลงระดับ 2 ทั่วๆไปแหละเฟ้ย แต่ว่าน้า… ก็แอบปรับแต่งสูตรเวทย์ไปนิดหน่อยอะนะ」

「อย่างนี้นี่เอง! สูตรเวทย์… ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจก็เถอะ ทำยังไงเหรอครับ?」

「ใครจะไปบอกล่ะโว้ย! ทำไมตูถึงต้องเผยไพ่ในมือให้แกเห็นด้วยฟะ!」

「อย่าพูดแบบนั้นสิครับ ไม่เห็นเป็นไรเลย ท่าเท่ๆแบบนั้นทำได้ยังไงน้า อยากรู้จัง」

「……ชะ ช่วยไม่ได้น้า… แค่นิดเดียวนะเฟ้ย…」

 

ชายหนุ่มหันหน้าหนีไปแอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วพูดออกมา

ถึงภายนอกจะดูน่ากลัว แต่จริงๆก็ง่ายใช้ได้แฮะ 

 

「จริงหรือครับ!? ขอบคุณมากครับ! เอ่อ…ว่าแต่…」

「หืม?」

「เมื่อกี้บอกว่าชื่ออะไรนะครับ?」

「อ๊ะ」

 

พอมุชิกิถามออกไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม คุโรเอะก็หลุดอุทานออกมาสั้นๆ ราวกับจะบอกว่า 「ซวยละ」

ในจังหวะเดียวกัน ชายที่ก่อนหน้านี้สีหน้าไม่ได้ดูแย่เริ่มมีเส้นเลือดนูนออกมาจากหน้าผาก

 

「…หือ ฮึ่ม…? อย่างนี้นี่เอง…? ชื่อของพวกปลาซิวปลาซ่อยแบบตูเนี่ย… แม้แต่ในเศษซากความทรงจำก็ยังไม่เหลือไว้งั้นสินะ…?」

「เอ๊ะ? มะ ไม่ใช่แบบนั้นครับ แค่เผลอลืมไปแค่นั้นเอ――」

「ได้เลย! จะซัดให้ลืมชื่ออัลเวียต สวาลน่าไม่ได้อีกเป็นครั้งที่สองเลยว้อยยยยยยยย!」

อัลเวียต (จะว่าไปก็ชื่อนี้นี่เอง) แสดงความเดือดดาลให้เห็น แล้วใช้ส้นเท้ากระแทกลงบนพื้นดาดฟ้า

พอส้นเท้ากระทบพื้น ก็เกิดสายฟ้ากระจัดกระจายไปรอบๆ

 

「……..!?」

 

เส้นสายฟ้าขยายออกทั่วดาดฟ้าเป็นรูปใยแมงมุม มุชิกิถึงกับหดตัวลงโดยไม่รู้ตัว

 

「ดะ เดี๋ยว หยุดเถอะครับ!」

「หนวกหูเฟ้ย! ถ้าจะร้องขอชีวิตละก็――」

「ถ้าเกิดหน้าสวยๆของคุณไซกะเป็นแผลขึ้นมาจะทำยังไงครับ!」

「……………..」

 

พอมุชิกิตะโกน ไม่รู้ทำไมหน้าของอัลเวียตก็เกิดกระตุกขึ้นมา

 

「ดูเหมือนว่าจะไม่ต้องออมมือแล้วสินะ…?」

 

อันเวียตนำแขนสองข้างลงไปตั้งท่าที่เอว

ในจังหวะเดียวกัน สามง่ามทั้งสองที่ลอยรอบตัวเขาราวกับดาวเทียมก็ค่อยๆหมุนเพิ่มความเร็วขึ้น มีสายฟ้าผ่าแปล๊บๆออกมา

 

「จงระเบิด! วัชระ(ค้อนสายฟ้า)!」

 

อันเวียตตะโกนออกมาพร้อมยื่นแขนสองข้างไปข้างหน้า ปล่อยเวทย์สังหารใส่มุชิกิ

ทัศนวิสัยของมุชิกิถูกปกคลุมด้วยแสงจ้า

 

「――หวา!?」

 

มุชิกิกลั้นหายใจ และยืนแข็งทื่อราวกับถูกมัดไว้กับที่

 

「คุณมุชิกิ!」

 

เสียงร้องของคุโรเอะ ถูกเสียงคำรามของสายฟ้ากลบหายไป

ถึงจะรู้ว่าต้องหลบให้ได้ แต่ร่างกายกลับไม่ยอมขยับ

พลังความรุนแรงที่กลืนกินเหตุผล ด้วยสัญชาติญาณดั้งเดิมของมนุษย์ ทำให้แม้แต่มุชิกิที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเวทมนต์ยังรู้ว่านี่เป็นการโจมตีที่สามารถพรากชีวิตอย่างง่ายดาย

ในพริบตาต่อมา ร่างกายของมุชิกิก็คงจะถูกสายฟ้าสีทองฉีกเป็นชิ้นๆอย่างแน่นอน

 

แต่ทว่า――

 

「―――」

 

ในจังหวะนั้น สิ่งที่อยู่ในหัวของมุชิกิ ไม่ใช่ความหวาดกลัวหรือความสิ้นหวัง แต่เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด

――สายฟ้าที่เหมือนจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อกลับดูช้าลงอย่างน่าประหลาด

ราวกับเวลากำลังไหลอย่างช้าๆ

โลกทั้งใบเข้าสู่โหมดสโลว์โมชั่น มีแค่ความคิดของตัวเองที่ยังแล่นได้ด้วยความเร็วเท่าเดิม

หรือว่าที่จะเป็นจังหวะแฟลชแบ็คที่เขาล่ำลือกัน

ในเวลาที่เจอเรื่องอันตรายถึงชีวิต สมองคนเราจะทำงานด้วยความเร็วสูงเพื่อไล่ย้อนดูประสบการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมาเพื่อหาวิธีเอาตัวรอด ทำให้รู้สึกว่าเวลาเดินช้าลง 

และหลังจากได้ค้นสมองจนสะอาด ประสบการณ์ที่จะช่วยให้รอดจากสถานการณ์ตอนนี้ได้นั้น――

 

(――ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวหรอก เพราะตัวเธอในตอนนี้น่ะ…ครอบครองร่างกายที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ยังไงล่ะ――)

 

「เอ๊ะ――」

 

อยู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นในหัว มุชิกิตกใจจนแหวกตากว้าง

ถึงจะรู้สึกเบลออยู่บ้าง แต่ก็ชัดเจนเกินกว่าจะเรียกว่าประสาทหลอน 

เสียงนั้นคืออะไรมุชิกิก็ไม่รู้

แต่ว่า ในตอนที่ได้ยินเสียงนั้น มุชิกิกลับรู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาด 

เสียงนั้น――

คือเสียงเดียวกับที่มุชิกิได้ยินก่อนจะหมดสติเมื่อวาน เสียงของเด็กสาวผู้เป็นรักแรกของมุชิกิ

 

(――วิธีใช้พลังน่ะ ถูกจดบันทึกไว้ในร่างกายนั้นหมดแล้ว, สิ่งเธอต้องทำน่ะก็แค่…ปล่อยให้หัวใจพาไปก็พอ――)

 

มุชิกิยื่นมือทั้งสองข้างไปข้างหน้า

แม้จะไม่รู้ว่าเพื่ออะไร,  แต่เขากลับมั่นใจว่าสิ่งที่ทำตอนนี้คือสิ่งที่ถูกต้อง

ร่างกายร้อนผ่าวขึ้นราวกับเลือดในตัวกำลังเดือดพล่าน

วินาทีต่อมา ในทัศนวิสัยที่ถูกบดบังจากสายฟ้าของมุชิกินั้น ได้เห็นประกายแสงแห่งใหม่ขึ้น 

ข้างบนหัวมุชิกิ มีวงแหวนแสงที่ส่องประกายหลากหลายสีปรากฏขึ้นมา

ถ้าดูดีๆ จะเห็นเป็นรูปทรงที่ดูราวกับวงแหวนของนางฟ้า

ทว่า, วงแหวนแสงเหล่านั้นกลับซ้อนทับกันสูงขึ้นไป――เป็นรูปร่างราวกับหมวกแม่มด

 

「….., สี่วงอย่างงั้นเหรอ !?」

 

ได้ยินเสียงร้องด้วยความประหลาดใจของคุโรเอะดังขึ้นจากด้านหลัง

ทันใดนั้น, มิติรอบตัวมุชิกิก็บิดเบี้ยว――

 

และโลก… ก็ได้เปลี่ยนไป

 

ไม่ใช้ทั้งการพูดเปรียบเปรย หรือบรรยายเกินจริงอะไรทั้งนั้น

ทั้งมุชิกิ, คุโรเอะแล้วก็อัลเวียตที่ก่อนหน้านี้ควรจะอยู่ที่ดาดฟ้าอาคารเรียน

เพียงแค่พริบตาเดียว ทิวทัศน์ที่ปกคลุมรอบตัวทั้งสามคนก็เปลี่ยนไป 

 

――ท้องฟ้าสีน้ำเงินที่ทอดยาวจนสุดลูกหูลูกตา

 

เมื่อมุชิกิเลื่อนสายตาลงไปทางพื้นดินเห็นเป็นภาพเมือง และข้างบนฟ้าก็มีเมืองแบบหน้าตาแบบเดียวกันกำลังลอยกลับหัวอยู่

เป็นภาพที่คุ้นตาแต่ก็น่าประหลาด  ตึกสูงและหอคอยจำนวนมากที่ยื่นออกมาจากข้างบนและข้างล่างชี้มาทางพวกมุชิกิ ราวกับเป็นฟันของสัตว์ประหลาดขนาดยัก

 

เมื่อเห็นเช่นนั้น อันเวียตก็ส่งเสียงที่ดูลนลานออกมา

 

「เวทย์จำแลงระดับสี่……!? เฮ้ย คุโอซากิ! ขี้ขลาดนี่หว่า! ไอ้นั่นมันต้องห้ามไม่ชะ――」

 

แต่อยู่ๆ อัลเวียตที่กำลังตะโกนต่อว่ามุชิกิก็หยุดกระทันหัน

เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะภาพของเมืองขนาดยักทั้งทางพื้นดินและบนท้องฟ้านั้น กำลังพุ่งขึ้นและร่วงหล่นลงมาราวกับพยายามจะขบเคี้ยวตัวอัลเวียตเสียอย่างนั้น

「――กำเนิดแห่งทุกสรรพสิ่ง ดั่งสวงสวรรค์และผืนดินอยู่ใต้ฝ่ามือ」

 

「จงสาบานเชื่อฟังเสียเถอะ 

――แกน่ะ, จะทำให้เป็นเจ้าสาวเอง」

 

อัลเวียตที่พยายามต่อต้านชูมือทั้งสองข้างขึ้นฟ้า แต่สายฟ้าที่ปล่อยออกไปกลับสลายไปอย่างไร้ประโยชน์

 

「อุก……!? มะ, ม่างเอ๊ยยยยยยยยย ―――― !!」

 

อันเวียตที่น่าสงสารถูกพัดไปมาราวกับใบไม้ใบหญ้าและกลืนกินเข้าไปในหมู่ตึก

เสียงคำรามดังสนั่นขึ้น ตึกสูงที่ดูราวกับคมเขี้ยวพังทลายลงมา

จากนั้นไม่นาน ภาพทิวทัศน์ที่ห้อมล้อมรอบตัวมุชิกิก็กลับเป็นดาดฟ้า แม้แต่วงแหวนแสงที่ลอยอยู่บนหัวมุชิกิก็หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

ถ้าจะมีอะไรที่ต่างจากเดิม ก็คืออัลเวียตที่นอนแผ่อยู่ตรงพื้น

เสื้อเชิ้ตอย่างดีกับกางเกงเปรอะเปื้อนและฉีกขาดจนแทบจะไม่เหลือความเป็นเป็นเครื่องนุ่งห่ม

ผมดำยาวถูกซัดยุ่งเหยิง ตามร่างกายมีบาดแผลเล็กใหญ่เต็มไปหมด แต่อย่างน้อยก็ดูเหมือนจะยังมีชีวิตอยู่ สังเกตได้จากมือเท้าที่กระตุกอยู่เป็นพักๆ

 

「เมื่อกี้นี้มัน….」

 

มุชิกิพึมพำออกมา แล้วก้มลงไปมองที่ฝ่ามือตัวเองแล้วลองกำๆแบๆ นิ้วที่เรียวงามขยับไปมาตามคำสั่งของมุชิกิ

เมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้น แม้แต่ตัวเองก็ไม่ค่อยเข้าใจ

สิ่งเดียวที่รู้คือ ภาพทิวทัศน์แปลกประหลาดที่เพิ่งถูกขยายออกไปต่อตานั้น เกิดจากพลังของตัวเอง—ของไซกะ

ความรู้สึกแปลกประหลาดที่ไม่เคยรู้สึกขึ้นมาก่อน

ตั้งแต่บนศรีษะจนถึงปลายนิ้วรู้สึกเหมือนถูกเผาไหม้ด้วยเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในตัว

ความรู้สึกเหมือนตัวตนของตัวเองกำลังขยายขึ้นราวกับบอลลูน

และความรู้สึกไร้เทียมทานราวกับโลกทั้งใบอยู่ใต้ฝ่ามือ

ความรู้สึกเหล่านั้นผสมปนเปกันและไหลเข้ามาในทีเดียว ทำให้มุชิกิถึงกับตกตะลึงไปชั่วครู่

 

「กะ,แก…..」

「…..!」

 

สิ่งที่ดึงสติมุชิกิกลับมา คือเสียงโกรธเคืองของอัลเวียตที่นอนหน้าทิ่มเลียพื้นอยู่

 

「 คือว่า…เป็นอะไรหรือเปล่าครับ…?」

 

มุชิกิก้าวเข้าไปราวกับจะดูอาการ พอย่อตัวลงอันเวียตก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องด้วยตาแดงก่ำ

 

「จะ,จำไว้ซะ ….จะฆ่าแก――」

 

แต่ไม่ทันที่จะได้พูดจบ

คุโรเอะก็โผล่มาแล้วเหยียบหัวอัลเวียต

 

「บุเคี้ยฟ」

 

หน้าของอัลเวียตถูกกดลงไปบนพื้นดาดฟ้าแข็งๆ ร่างกายที่ยังเคลื่อนไหวเล็กน้อยจนถึงเมื่อครู่ ได้หยุดนิ่งลงอย่างสมบูรณ์

 

「……….」

 

ถึงจะเห็นแบบนั้น แต่จริงๆแล้วคุโรเอะไม่ได้ตั้งใจที่จะเหยียบลงไปเพื่อหุบปากอัลเวียตแต่อย่างใด

เพียงแค่อยากจะมายืนตรงหน้ามุชิกิ แล้วเห็นหัวอัลเวียตมันเกะกะขวางทางก็เท่านั้นเอง

 

「คุโรเอะ?」

 

มุชิกิเรียกชื่อคุโรเอะราวกับเป็นการไถ่ถาม

ใบหน้าที่จ้องมองมายังคงความไร้อารมณ์ แต่ก็รู้สึกได้ถึงความตกใจ, ตื่นเต้น และดีใจที่เอ่อล้นออกมา

 

「…….ไม่อยากจะเชื่อเลยค่ะ ต่อให้เป็นร่างกายของท่านไซกะ แต่อยู่ๆก็ใช้เวทย์จำแลงระดับ 4 …แต่ถ้าเป็นแบบนี้ละก็――」

 

จากนั้นคุโรเอะที่พูดพึมพำอะไรก็ไม่รู้อยู่คนเดียวก็หันไปมองที่มุชิกิอีกครั้ง

 

「คุณมุชิกิคะ」

「คะ, ครับ」

 

มุชิกิถูกดวงตาที่ฉายแสงแห่งความมุ่งมั่นกดดันจนเผลอพยักหน้ากลับไป 

 

「การที่คุณหลงเข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องนี้น่ะ ถือเป็นความโชคร้ายไม่ผิดแน่ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีเรื่องที่อยากจะขอร้องอยู่ค่ะ 

ได้โปรดร่วมมือกับฉัน 

――เพื่อช่วยโลกนี้ด้วยเถอะค่ะ」

 

กับคำพูดของคุโรเอะ――

 

「เอ๊ ไม่ไหวหรอกครับ….」

 

มุชิกิปฏิเสธทันควัน

มันแน่อยู่แล้ว ก็มุชิกิเป็นแค่นักเรียนชั้นมัธยมปลายธรรมดาๆ อยู่ๆจะมาบอกให้ไปช่วยโลกก็แย่สิ

 

「……….」

 

พอถูกพูดมาแบบนั้น คุโรเอะก็เหงื่อตกแล้วคิ้วขมวด

 

「……ไอ้เวลาแบบนี้เขาต้องตามน้ำกันไม่ใช่หรอคะ?」

「ตะ ต่อให้พูดแบบนั้นก็เถอะครับ」

「……….」

 

คุโรเอะทำท่าเหมือนคิดอะไรสักพัก จากนั้นก็จึงเริ่มพูดอีกครั้ง

 

「ถ้ายอมให้ความร่วมมือละก็, อาจจะเจอวิธีแยกคุณกับท่านไซกะออกจากกันก็ได้นะคะ เมื่อถึงตอนนั้น ฉันจะช่วยแนะนำคุณกับท่านไซกะอีกครั้งหนึ่ง ในฐานะผู้มีพระคุณที่ช่วยทำหน้าที่แทนในตอนที่ท่านไซกะไม่อยู่」

「ทำยังไงดีครับ อยู่ๆก็รู้สึกอยากช่วยโลกนี้ขึ้นมา」

「……….」

 

พอเห็นมุชิกิพยักหน้าอย่างขะมักเขม้น คุโรเอะก็เงียบไปอีกครั้ง 

จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเหมือนปลอบใจตัวเองได้

 

「ก่อนอื่นคงต้องเตรียมการหลายๆอย่างก่อนค่ะ เริ่มจากจัดการเรื่องยุ่งยากกันก่อนเถอะ」

「เรื่องยุ่งยาก?」

 

คุโรเอะพยักหน้าให้กับมุชิกิที่กำลังเอียงคอสงสัย

 

 

จากคนแปล : ตอนแรกที่หยิบเรื่องนี้มาแปลเริ่มจากอารมณ์อวยชั่ววูบล้วนๆ เป็นเรื่องแรกที่เคยแปล และไม่คิดว่าการแปลมันจะยากขนาดนี้ หลังจากแปลไปได้ 2 ตอนแรกก็หายไปเกือบเดือน ส่วนหนึ่งก็เพราะยุ่งกับเรื่องอื่นจนคิดว่าอาจจะไม่ทำต่อแล้ว แต่สุดท้ายเพราะรักเรื่องนี้ก็เลยตั้งใจว่าจะกลับมาแปลเรื่อยๆจนกว่าจะจบเล่มหรือถูก LC

ด้วยความที่ไม่ค่อยได้อ่านภาษาไทยเลย จะเห็นได้ชัดว่าทั้งสำนวนและการใช้คำจำกัดมาก บางทีก็มาแก้คำทีหลัง แต่จะพยายามศึกษาและทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆฮะ

Options

not work with dark mode
Reset