ตอนที่ 18 เจ้ายากหนี
ฉู่จิ่วหลิง
ชื่อนี้ นางอยากให้คนบางคนรู้คนบางคนเรียก ตัวอย่างเช่นพี่สาวกับน้องชาย
แล้วก็มีคนที่คิดไม่ถึงไม่เคยคาดไว้รู้และเรียกออกมา ตัวอย่างเช่นจูจั้น
แต่มีคนผู้หนึ่งที่นางไม่อยากได้ยินชื่อนี้เรียกออกมาจากปากเขาอย่างเด็ดขาด
คุณหนูจวินยืนอยู่ที่เดิมไม่หันศีรษะกลับ ฝีเท้าหลังร่างก็หยุดลงด้วย
ไม่มีใครพูดแล้วก็ไม่มีใครขยับ ทั้งโลกพริบตาหยุดชะงัก
สายตาด้านหลังร่างประหนึ่งงูตัวหนึ่งยึดครองบนแผ่นหลังของนาง ไม่ได้เลื้อย มีเพียงความหนาวเย็นยะเยือกแทรกซึมไม่หยุด
ทำอย่างไร?
นางเคยแสร้งเป็นฉู่จิ่วหลิงเพื่อซ่อนจดหมายของอาจารย์ที่ฝังอยู่ไม่ให้ถูกลู่อวิ๋นฉีค้นพบ
ถ้าเช่นนั้นตอนนี้เพื่อไม่ให้เขาคิดว่านางคือฉู่จิ่วหลิง นางควรแสร้งทำอะไร?
นางได้ยินผิดแล้ว ไม่ได้ยินฉู่แซ่นี้ ได้ยินเพียงจิ่วหลิง นี่เป็นชื่อที่นางคุ้นเคย ดังนั้นจึงเข้าใจผิดตอบรับ
พระราชวังนี่นางเคยมาครั้งสองครั้ง ความจำนางดี ดังนั้นต่อให้ไม่มีคนนำทาง นางก็เหมือนเดินบนที่ราบ
เดินบนที่ราบ
ความคิดแล่นผ่าน คุณหนูจวินพลันยกเท้าวิ่งทะยานไปข้างหน้า
วิ่งออกไป วิ่งออกจากที่นี่ ขอเพียงไปถึงต่อหน้าผู้คนย่อมมีวิธีพูดอธิบายเป็นพันเป็นหมื่นแบบ ไม่อาจตกอยู่ในมือเขาได้เด็ดขาด
หลังร่างไม่มีฝีเท้าไล่ตามมา ด้านหน้าก็ไม่มีคนขวาง ประตูวังอยู่แค่ตรงหน้า มองเห็นองครักษ์ทั้งหลายเดินอยู่แล้ว ได้ยินเสียงพูดคุยของผู้ติดตามทั้งหลายของเหล่าขุนนางนอกประตูวังได้เลือนรางแล้ว
ทว่าครู่ต่อมาหลังร่างพลันมีเสียงแหวกอากาศดังขึ้น ด้านหลังลำคอของนางชาวูบ
ครั้งนี้ประมาทแล้วจริงๆ
ความคิดสุดท้ายแล่นผ่าน คุณหนูจวินครางเสียงต่ำทีหนึ่งเบื้องหน้าพลันมืดมิดล้มไปข้างหน้า นางไม่ได้ล้มลงบนพื้น องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งวิ่งออกมาจากด้านข้าง คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้นมือหนึ่งรับนางไว้อย่างมั่นคง มือหนึ่งสะบัดผ้าคลุมสีแดงเลือดคลุมคนไว้อุ้มขึ้นมาถอยออกไป
หน้าประตูวังฟื้นกลับมาสงบเงียบ ขันทีที่ผ่านทางมองมาโดยไม่ทันคิด เห็นลู่อวิ๋นฉียืนเอามือไพล่หลังอยู่ในทางเดินแคบ คนทั้งร่างซ่อนอยู่ในเงามืดใต้กำแพงสูง มีเพียงผ้าคลุมสีแดงเลือดสะบัดไหวตามลม ขันทีทั้งหลายพลันตัวสั่นทีหนึ่งรีบหลบสายตาหดศีรษะก้าวเร็วไวเดินผ่านไป
……………………………………….
หนิงอวิ๋นเจาหนาวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ จากนั้นในหูได้ยินเสียงป้าบดังขึ้น
ฮ่องเต้โยนฎีกาในพระหัตถ์ลงบนโต๊ะ ฎีกาที่กองอยู่ถูกแรงมากฟาดล้มทันที เสียงเกรียวกราวดังสะท้อนในตำหนัก
“ข้าไม่เชื่อ!” ฮ่องเต้ตวาด สีหน้าเศร้าโศกโกรธเกรี้ยว ชี้แม่ทัพสองคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น “ข้าไม่เชื่อคำที่พวกเจ้าพูด”
“ฝ่าบาท พวกกระหม่อมพูดจริงทุกประโยค” แม่ทัพทั้งสองโขกศีรษะ “หากมีคำโกหกขอให้ฟ้าลงทัณฑ์ห้าอสนีบาตฟาด”
“ฝ่าบาท กระหม่อมทราบว่าเรื่องนี้ทำให้คนตื่นตะลึงเกินไปแล้ว อดีตฮ่องเต้กับฝ่าบาทไว้วางพระทัยเฉิงกั๋วกงเช่นนี้ ยากจะเชื่อลงจริงๆ แต่พยานและหลักฐานล้วนมี นี่ไม่ใช่กระหม่อมใส่ร้ายด้วยความแค้นส่วนตัวนะพ่ะย่ะค่ะ” หวงเฉิงเอ่ย สีหน้ายังคงโศกเศร้าโกรธเกรี้ยวคุกเข่าลง “ขอฝ่าบาทตรวจสอบให้กระจ่างด้วย”
ฮ่องเต้ลุกขึ้นเดินไปมา หวาดผวา โกรธเกรี้ยวทั้งยังกระวนกระวาย
“ข้าไม่เชื่อ” พระองค์เพียงเอ่ยซ้ำ “ข้าไม่เชื่อพวกเจ้าพยานเหล่านี้ ไม่เชื่อหลักฐานเหล่านี้ของพวกเจ้า”
พระองค์ฉับพลันหยุดงฝีเท้า
“ข้าต้องการฟังเฉิงกั๋วกงพูด”
พูดจบพลันโบกพระหัตถ์
“ลู่อวิ๋นฉี เรียกลู่อวิ๋นฉีมา”
ต้องการฟังเฉิงกั๋วกงพูด นอกจากนี้ให้ลู่อวิ๋นฉ๊ไปถาม นั่นย่อมต้องการจับกุมเข้าเมืองหลวงแล้ว
หวงเฉิงค้อมร่างกำลังจะตะโกนว่าฝ่าบาททรงพระปรีชา แต่มีคนชิงก่อนอีกครั้ง
“ฝ่าบาท” หนิงอวิ๋นเจาหมุนตัวค้อมกาย “กระหม่อมคิดว่าไม่เหมาะสม”
สิ่งที่พูดถึงกับไม่ใช่ฝ่าบาททรงพระปรีชา?
หวงเฉิงตะลึงนิดหนึ่งจากนั้นก็ยิ้มหยัน
เป็นอย่างที่คิด อาศัยการประจบยืนอยู่ตรงนี้ ย่อมไม่มีทางพอใจเอ่ยเพียงฝ่าบาททรงพระปรีชา ดูเถอะเริ่มต้องการพูดคำที่ตนเองคิดจะพูดแล้ว
แต่เจ้าหนู ก็รอเจ้าอ้าปากนี่อยู่เลย เจ้าคิดว่าเจ้ากล่อมไม่ให้ฝ่าบาทจัดการเฉิงกั๋วกงได้หรือ? ก็แค่ทำให้ฝ่าบาทรู้ว่าพวกเจ้าอาหลานแซ่หนิงเป็นอสรพิษมุสิกรังเดียวกับเฉิงกั๋วกงอย่างที่คิดเท่านั้น
ฮ่องเต้เห็นชัดยิ่งว่าประหลาดใจอยู่บ้าง สายตาทอดลงจากเบื้องสูงมองไปหาหนิงอวิ๋นเจา
“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าให้ใต้เท้าลู่ไปไม่เหมาะ” หนิงอวิ๋นเจาไม่รอฮ่องเต้ตรัสถามก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น สีหน้าจริงจังตรงไปตรงมา “สมควรให้ศาลต้าหลี่ออกหน้าพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่ห้ามหรือ? หวงเฉิงไม่ได้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“ศาลต้าหลี่ นั่นไยไม่ใช่ต้องการเอาผิด” พระองค์ตรัสพลางส่ายศีรษะ “ข้าเพียงต้องการถามเขาดูก่อน ข้าไม่เชื่อว่าเขามีความผิด”
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท หากฝ่าบาทไม่ต้องการเอาผิดเขาก็มีแต่ให้ศาลต้าหลี่ทำ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย “ให้ใต้เท้าลู่กับองครักษ์เสื้อแพรออกหน้ากลับจะทำให้ประชาชนทั้งหลายพากันวิพากษ์วิจารณ์ ยิ่งจะถูกคนเล่าลือว่าใส่ร้าย”
ชื่อเสียงขององครักษ์เสื้อแพรไม่น่าฟัง แต่ก็เป็นคนที่ฮ่องเต้ไว้วางพระทัยที่สุด
ฮ่องเต้สีพระพักตร์ลังเล
“เฉิงกั๋วกงถูกร้องเรียนว่าคิดกบฏเป็นเรื่องใหญ่หลวงนัก ต้องลือลั่นใต้หล้าแน่ กระหม่อมไม่ต้องการให้ฝ่าบาทมีพระทัยเชื่อมั่น ตั้งพระทัยจะปกป้องเฉิงกั๋วกงแท้ๆ กลับถูกผู้คนคลางแคลง” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยพลางก้าวเท้ามาข้างหน้าหนึ่งก้าวอีกหน “ฝ่าบาทไม่มีสิ่งใดให้ละอายต่อเฉิงกั๋วกง ก็ดูแค่ว่าเฉิงกั๋วกงกล้าประจันหน้ากับศาลต้าหลี่ในใจไม่มีสิ่งใดให้ละอายหรือไม่”
ใช่แล้ว เรื่องนี้เมื่อประกาศออกไปปุบย่อมต้องฮือฮาทั้งใต้หล้า ต่อหน้าคนทั้งใต้หล้า เรื่องนี้อย่างไรก็ให้ผู้อื่นออกหน้าเป็นดี
ฮ่องเต้พยักหน้า
“ใต้เท้าหนิงพูดถูกต้องอย่างที่สุด” พระองค์ตรัส สูดหายใจลึกคำหนึ่ง “ข้าเชื่อเขา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ยิ่งต้องไม่มีปิดบังไม่มีซ่อนเร้น นี่ถึงเป็นการเชื่อเขาอย่างแท้จริง”
สายพระเนตรของพระองค์มองไปยังขุนนางคนหนึ่งในท้องพระโรง
“ศาลต้าหลี่รับบัญชา รับคดีหวังชง จางกุ้ยฟ้องเฉิงกั๋วกงจูซานคิดกบฏ”
สีหน้าของขุนนางแม้ไม่น่าดู เห็นชัดยิ่งว่าไม่อยากรับงานโชคร้ายนี่ แต่ก็จนปัญญาค้อมกายขานรับพ่ะย่ะค่ะ
ที่แท้ต้องการให้ศาลาต้าหลี่มาสอบสวนตดี นี่มีประโยชน์อะไรอีกเล่า?
ให้องครักษ์เสื้อแพรสืบสวนหรือให้ศาลต้าหลี่สืบสวน ผลลัพธ์ก็ไม่มีสิ่งใดแตกต่าง
หวงเฉิงมองหนิงอวิ๋นเจาทีหนึ่ง หยุดเท้าที่ก้าวออกไปกำลังจะขวาง
หรือคิดว่าศาลต้าหลี่จะเป็นธรรมกว่าคุกขององครักษ์เสื้อแพรหรือ? เป็นคนอายุน้อยจริงๆ
จัดการทุกสิ่งนี่แล้วฮ่องเต้ก็คล้ายเหน็ดเหนื่อยนักหนา กระทั่งสักประโยคก็ไม่ต้องการตรัสเพิ่ม
“ก่อนหน้าศาลต้าหลี่สอบสวน พวกเจ้าสิ่งใดล้วนไม่ต้องพูด” พระองค์นั่งลงค้ำพระนลาฏ “ข้าไม่เชื่อคำพูดผู้ใดทั้งนั้น”
ตรัสจบก็โบกพระหัตถ์
ขุนนางทั้งหลายค้อมกายคำนับเดินเรียงแถวถอยออกไป แต่ละคนๆ จิตใจไม่สงบ สีหน้าหลากหลายอารมณ์เหม่อลอยจนไม่ได้เห็นฮ่องเต้เงยพระเศียรขึ้นด้านหลังร่างพวกเขา สายตาจับอยู่บนร่างแม่ทัพจางกุ้ยที่กำลังก้มศีรษะถอยออกไป
จางกุ้ยคล้ายสัมผัสได้จึงหันหน้ากลับมาเล็กน้อย เห็นสายพระเนตรของฮ่องเต้ สีหน้ากลับไม่ได้สั่นกลัวอย่างก่อนหน้านี้ เพียงค้อมร่างนิดหนึ่งทันทีแสดงความเคารพ คล้ายคำนับแล้วก็คล้ายกำลังรับปากอันใด
คนทั้งหมดล้วนถอยออกไปแล้ว ขันทีทั้งหลายปิดประตูตำหนักอย่างระมัดระวัง จนกระทั่งนาทีนี้ฮ่องเต้ถึงคลายมือที่กุมหน้าผากออก ความเหนื่อยล้าโศกเศร้าโกรธเกรี้ยวเต็มพระพักตร์กวาดทีเดียวหายสิ้น คนเอนกลับไปบนพนักบัลลังก์ ยกเท้าสองสามทีถีบฎีกาที่กระจายเกลื่อนบนโต๊ะลงไป
ในตำหนักเสียงโครมครามดังขึ้น
ขันทีทั้งหลายด้านนอกได้ยินเข้าคิดเพียงว่าฮ่องเต้ยังบันดาลโทสะอยู่ สีหน้าตึงเครียดรีบก้มศีรษะเงียบเสียง
ฮ่องเต้พิงพนักบัลลังก์ สีพระพักตร์กลับเบิกบานใจอย่างยิ่ง
“สิบปี” พระองค์เอ่ยกับตนเอง “เฉิงกั๋วกงควบคุมแดนเหนือสิบกว่าปี ข้าจะทำไม่ได้หรือ?”
ขาที่ยกวางบนโต๊ะของพระองค์เขย่านิดๆ คล้ายตรงหน้ามีหญิงงามอ่อนหวานกำลังดีดพิณครวญเพลงอยู่
“ข้าหาเงินมาได้มากปานนั้น พวกเจ้าคิดว่าทำไมข้ายังจนเช่นนี้? เงิน วางไว้ในนั้นไม่มีประโยชน์ เงินย่อมต้องใช้มาต่อเงิน มีเงิน เรื่องใดๆ ถึงทำง่าย”
พระองค์ตรัสพลางก็ท่าทางคับแค้นอยู่บ้าง ถีบโต๊ะแรงๆ ทีหนึ่ง เกิดเสียงดังกึง
“ข้าอยู่ข้างนอกทำงานตั้งเท่าไร ซื้อใจคนเท่าไร สร้างสายสัมพันธ์กี่ปี บอกว่าข้าเป็นตัวไร้ประโยชน์ คิดว่าข้าเป็นตัวไร้ประโยชน์จริงๆ คิดว่าแผ่นดินนี้สตรีที่เล่นเล่ห์อยู่ในวังหลังคนหนึ่งอย่างเจ้าแย่งเอามาให้ข้าจริงๆ”
“ไม่มีเงิน ไม่มีคน ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าคนตายนั่นโรคกำเริบเวลาใด เจ้าคนตายนั่นทุกวันทำอะไร”
“ข้าเข้าเมืองหลวงน้อยนิดนับครั้งได้แต่เข้าออกสถานที่มากมายได้ดั่งใจได้อย่างไร?”
“เฉิงกั๋วกงควบคุมแดนเหนือประหนึ่งถังเหล็ก ข้าออกราชโองการทีเดียวทหารที่แดนเหนือบอกถอยก็ถอยได้อย่างไร?”
“บอกว่าข้าเป็นตัวไร้ประโยชน์ ใต้หล้านี่เป็นข้าตัวไร้ประโยชน์คนนี้แย่งมา พวกเจ้าถึงเป็นตัวไร้ประโยชน์ พวกเจ้าถึงเป็น”
เสียงตึงดังขึ้น โต๊ะพลิกล้มกลิ้ง เสียงดังกลบคำพูดกับตนเองของฮ่องเต้
เมื่อหนิงอวิ๋นเจาก้าวออกจากตำหนักฉินเจิ้งก็ทิ้งเรื่องนี้ไว้หลังสมอง ไม่ได้ถกเถียงเรื่องนี้กับขุนนางคนอื่นๆ แต่ก้าวเร็วไวเดินไปทางประตูวัง
“คุณหนูจวินออกมาแล้วไหม?” เขาถามองครักษ์คนหนึ่ง
องครักษ์พยักหน้า
“ครึ่งชั่วยามก่อนจากไปแล้วขอรับ” เขาเอ่ยสีหน้านิ่งเฉย
ไปแล้วรึ หนิงอวิ๋นเจามองไปยังที่ไม่ไกลออกไป รถม้าของโรงหมอจิ่วหลิงกับผู้ติดตามไม่เห็นแล้วจริงๆ
เขาไม่ได้รั้งอยู่ แต่ขี่ม้าไปยังโรงหมอจิ่วหลิง แม้ตอนนี้เวลานี้ไปไม่เหมาะสม แต่ไม่มีเวลาสนใจเลือกเวลาเหมาะสมแล้ว
ทว่าเห็นเขามาถามหา เฉินชีกลับตกใจสะดุ้งโหยง
“คุณหนูจวินยังไม่กลับมานะขอรับ” เขาเอ่ย
ยังไม่กลับมา? สีหน้าหนิงอวิ๋นเจาฉับพลันเปลี่ยนไป หัวใจร่วงลงไปทันที
แย่แล้ว
……………………………………….
……………………………………….
แย่แล้ว
คุณหนูจวินค่อยๆ ตื่นขึ้นมา แม้ความคิดยังสับสนอยู่บ้างอีก แต่ความคิดแรกที่แล่นผ่านไปก็ยังคงเป็นแย่แล้ว
หลังจากนั้นนางก็ได้สติตื่นขึ้นมาเต็มตา นี่ถึงพบว่าสิ่งที่เข้าสู่สายตาคือความมืดสลัวไปหมด แต่ร่างกายแขนขาล้วนถูกมัดไว้
ไม่ทันรอนางปรับสภาพกับความมืดสลัว แสงไฟหย่อมหนึ่งก็สว่างขึ้น ส่องดวงหน้าขาวดุจกระเบื้องของลู่อวิ๋นฉี ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ
นางนอนอยู่บนไม้กระดานเตียง เขานั่งยองอยู่ด้านข้างทอดมองลงมาก มือข้างหนึ่งชูคบไฟ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งกำกริชเล่มหนึ่งไว้
“จิ่วหลิง” เขาเสียงทุ่มต่ำทั้งยังแอบแหบพร่า ในดวงตาแสงไฟเต้นระริก “ทำไมเจ้าซ่อนอยู่ในร่างคนผู้นี้เล่า? ข้าปล่อยเจ้าออกมานะ?”
รถม้าขับช้าๆ ไปบนถนนยามเช้าครู่ เสียงกีบเท้าม้าสะท้อนก้องดังกุบกับ
“ข้าก็บอกไม่ได้ว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย “ถึงใจกล้าถอยรวดเร็วเป็นเรื่องดีกับเฉิงกั๋วกงตอนนี้ แต่เกรงว่าถอยทีละก้าวๆ กลับจะบีบตนเองให้จนหนทาง”
หลังพบหน้านี่คือประโยคแรกที่เขาเอ่ย
ไม่เกรงใจไม่มีถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ เปิดปากเข้าประเด็นก็เป็นประโยคแรกนี้
คุณหนูจวินมองไปหาเขาจากหน้าต่างรถที่เลิกม่านขึ้น
“แต่หากไม่ถอย ก็เป็นทางตัน” นางเอ่ยตอบ
อย่างไรก็ไม่อาจฝืนต่อต้านฮ่องเต้ได้กระมัง เกรงว่าฮ่องเต้ก็กำลังรอเขาทำเช่นนี้ นั่นย่อมยิ่งมีเหตุผลเอาผิด
เขารู้ว่าสิ่งที่นางกังวลคืออะไร นางก็ไม่ปิดบังสิ่งใดกับเขา บทสนทนาระหว่างพวกเขาก็ผ่อนคลายสบายๆ เช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องพูดมาก
หนิงอวิ๋นเจายิ้มแล้ว
“ก็ใช่” เขาเอ่ย แล้วเอนกายเข้าใกล้นิดหนึ่งอีกหน “ฝ่าบาทพักนี้นับวันยิ่งตรงไปตรงมาเด็ดขาดขึ้นทุกทีแล้ว”
ตรงไปตรงมา
คำนี้ใช้ได้ดีจริง
ฮ่องเต้จอมเสแสร้งเช่นนี้ในที่สุดก็จะตรงไปตรงมาแล้ว บัลลังก์ยิ่งนั่งยิ่งมั่นคง ขุนนางใหญ่ที่ไม่ใช่พวกเดียวกันล้วนถูกกำจัดแล้ว เขาไม่ต้องกังวลแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งดีงามเมตตาอีกต่อไปแล้ว
คุณหนูจวินหัวเราะเย้ยหยันทีหนึ่ง
“แต่ข้ากลับไม่เป็นห่วงเฉิงกั๋วกง” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยต่อ “ในเมื่อเขาทำเรื่องเช่นนี้ออกมา เรื่องดีเรื่องไม่ดีเขาย่อมล้วนคิดไว้แล้ว”
คุณหนูจวินพยักหน้า
แม้เฉิงกั๋วกงสิ่งใดก็ไม่ได้พูด ดูไปแล้วอยากกลับบ้านเกิดใช้ชีวิตบั้นปลายเสพสุขอย่างสบายๆ จริง แต่เขาย่อมรู้ว่าวันนี้ไม่ใช่เวลาที่จะเสพสุขสบายๆ ได้จริง
ส่วนเขาวางแผนอะไรไว้ คนทุกคนล้วนมีเรื่องที่ไม่อยากบอกผู้อื่น เขาไม่พูดก็ไม่มีอะไร
“กฎของการเข้าเฝ้าคืออะไร?” หนิงอวิ๋นเจาพลันเอ่ยขึ้น
“ฟังให้มากพูดให้น้อย” คุณหนูจวินเม้มปากยิ้มเอ่ย
หนิงอวิ๋นเจาก็ยิ้มด้วย นั่งตัวตรงเงยสายตามองไปข้างหน้า ตลอดทางไม่พูดเพิ่มอีกก็มาถึงหน้าประตูวัง เขามองคุณหนูจวินลงจากรถตามขันทีผู้มาต้อนรับไปยังวังหลังถึงเดินมาหาหมู่ขุนนางที่ทยอยมา
สตรีคนหนึ่งปรากฏตัวหน้าประตูวังดึงดูดความสนใจของผู้คนตั้งนานแล้ว ส่วนคุณหนูจวินก็เป็นคนที่ทุกคนล้วนรู้จัก ความสัมพันธ์ของคุณหนูจวินกับหนิงอวิ๋นเจาทุกคนยิ่งรู้
“ใต้เท้าหนิงกับคุณหนูจวินคนนี้ดูแล้วก็ยังคงเหมือนเช่นวันวาน” หวงเฉิงพลันเอ่ย
วันวานหนิงอวิ๋นเจากับคุณหนูจวินคนนี้เป็นคนที่จะเป็นสามีภรรยากันเชียวนะ
หนิงอวิ๋นเจายิ้ม
“นั่นแน่นอน” เขาเอ่ย “ต้องรู้ว่าสัญญาหมั้นของข้ากับคุณหนูจวินมาจากบุญคุณช่วยชีวิตที่ตระกูลจวินมีต่อตระกูลหนิง สัญญาหมั้นไม่อยู่ บุญคุณช่วยชีวิตทั้งชีวิตยากลืม”
อย่างไรก็ล้วนยากลืม ทำไมยากลืมไม่ใช่เขาพูดไปตามใจรึ
หวงเฉิงยิ้มแล้ว สรุปคือหากเจ้าพูดแทนคุณหนูจวินย่อมมาจากความรู้สึกส่วนตัวไม่ใช่ความถูกต้อง
ครั้งนี้ฮ่องเต้ไม่ได้มาสาย ทรงมาถึงตำหนักฉินเจิ้งพร้อมกับเหล่าขุนนาง ฮ่องเต้ดูไปแล้วกระปรี้กระเปร่าดียิ่งกว่าก่อนหน้านี้ สองตาระยิบระยับ กวาดท่าทางอ่อนโยนถึงขั้นขี้ขลาดอ่อนแออยู่บ้างก่อนหน้านี้ไปทีเดียวจนสิ้น
ปลดอำนาจทหารของเฉิงกั๋วกงไปดูท่าจะแก้ปมในใจของฮ่องเต้แล้วจริงๆ
หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยในใจ เพิ่งยืนเรียบร้อยก็เห็นหวงเฉิงก้าวออกมาก้าวหนึ่ง
“ฝ่าบาท” เขาค้อมกายเอ่ย “กระหม่อมขอโปรดลงโทษเฉิงกั๋วกงจูซานโทษฐานเลี่ยงศึกจนพลาดเกิดอันตราย”
อืม เป็นอย่างที่คิดถอยทีละก้าวกลายเป็นบีบแน่นทีละก้าวๆ หนิงอวิ๋นเจาถือป้ายเตือนความจำสีหน้านิ่งสนิท
“ใต้เท้าหวง เฉิงกั๋วกงลงจากตำแหน่งแล้ว ความผิดก่อนหน้านี้ก็ช่างเถิด” ฮ่องเต้ตรัสอย่างอ่อนโยน “เห็นแก่ที่เขาปกป้องชายแดนให้แคว้นมาสิบปี ใช้ความชอบทดแทนเถอะ”
หวงเฉิงเงยศีรษะ
“ฝ่าบาททรงเมตตา ทว่าต้องดูว่าเป็นความผิดอันใด” เขาเอ่ย “บางสิ่งทดแทนได้ บางสิ่งไม่ได้”
ฮ่องเต้ขานอ้อ
“ตัวอย่างเช่น?” เขาเอ่ยถาม
“คิดกบฏ” หวงเฉิงเอ่ย
คำนี้เอ่ยออกมา กระทั่งหนิงอวิ๋นเจาที่คาดการณ์ไว้ก่อนแล้วยังตกใจสะดุ้งโหยงเช่นกัน
คิดกบฏ? โทษนี่แรงจริงๆ
พระเนตรของฮ่องเต้วาววับ
“ใต้เท้าหวง” พระองค์ตวาด “วาจาไม่อาจพูดส่งเดชได้!”
หวงเฉิงก้าวมมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง
“กระหม่อมไม่กล้าพูดส่งเดช” เขาเอ่ยเสียงมั่นคง “ตั้งแต่เฉิงกั๋วกงออกจากแดนเหนือ ทหารทั้งหลายก็ไม่ถูกอำนาจกดดันอีกต่อไป คนไม่น้อยพากันฟ้องการกระทำชั่วร้ายเรื่องเลวทรามของเขา”
“ข้ารู้เรื่องเหล่านี้ ฎีกากล่าวโทษเฉิงกั๋วกงมากนักเสมอ” ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์เอ่ย
“ไม่ ฝ่าบาท คำกล่าวโทษก่อนหน้านี้มาจากสำนักผู้ตรวจการไม่ก็ขุนนางฝ่ายพลเรือนทั้งหลายของเมืองในแดนเหนือ” หวงเฉิงเอ่ย “แต่ครั้งนี้ผู้ที่ร้องเรียนเปิดโปงล้วนเป็นทหารทั้งหลายของแดนเหนือ”
เขาก้าวเท้ามั่นคงมาข้างหน้าหนึ่งก้าว
“ก่อนหน้านี้กระหม่อมไม่เคยกราบทูล ประการแรกด้วยไม่เชื่อว่าเฉิงกั๋วกงจะเหิมเกริมถึงขั้นนี้ ประการที่สองฝ่าบาทพระราชทานรางวัลความชอบยิ่งใหญ่ให้เฉิงกั๋วกง ดังนั้นกระหม่อมจึงลอบตรวจสอบมาตลอด คิดไม่ถึงยิ่งค้นยิ่งมาก ส่วนพฤติกรรมของเฉิงกั๋วกงก็ยิ่งกำเริบเสิบสาน แทบจะยุแยงให้สองแคว้นขัดแย้ง กระหม่อมไม่กล้าปิดบังอีกต่อไป”
ในท้องพระโรงเสียงวิพากษ์วิจารณ์หึ่งๆ ดังขึ้น
“เฉิงกั๋วกงพฤติกรรมกำเริบเสิบสาน ข้าเข้าใจจุดนี้ เขาโอหังยึดครองความชอบกดขี่ทหาร ข้าก็เข้าใจได้” ฮ่องเต้ถอนพระปัสสาสะตรัส “แต่คิดกบฏนี่…”
พระองค์ส่ายศีรษะ
“เฉิงกั๋วกงเป็นแม่ทัพที่อดีตฮ่องเต้ไว้วางพระทัย คุณธรรมสูงส่งชื่อเสียงเลื่องลือ เรื่องเช่นนี้ข้าไม่เชื่อ”
หวงเฉิงไม่รีบไม่ร้อนสีหน้านิ่งสงบเฉกเช่นน้ำเสียง
“กระหม่อมรู้ว่าพูดปากเปล่าไม่น่าเชื่อ” เขาเอ่ย “กระหม่อมมีพยานและหลักฐาน”
พยานและหลักฐาน?
ฮ่องเต้นั่งพระวรกายตรง
“พาเข้ามา” พระองค์ตรัส
บรรดาขันทีรับบัญชาประกาศเรียก ขุนนางทั้งหลายหันศีรษะมองไป เห็นนอกท้องพระโรงมีคนสองคนเดินเข้ามา
พวกเขาสวมชุดขุนนางของแม่ทัพ รูปร่างกำยำ แต่เหมือนขุนนางที่เพิ่งเข้าวังเผชิญหน้าเจ้าแผ่นดินเป็นครั้งแรกทุกคนก้มศีรษะตัวสั่นระริก ไม่รอเดินมาถึงด้านหน้าใกล้ๆ ก็คุกเข่าลงร้องทรงพระเจริญหมื่นปีเสียงดัง
“เงยหน้าขึ้นมา” ฮ่องเต้ตรัส
แม่ทัพทั้งสองเงยหน้าขึ้น ขุนนางทั้งหลายที่นั่นล้วนสีหน้าประหลาดใจ สีหน้าของหนิงอวิ๋นเจาก็เคร่งเครียดขึ้นเช่นกัน
“คิดว่าทุกคนคงรู้จัก” หวงเฉิงเอ่ย “สองคนนี้คือรองแม่ทัพสองคนที่เฉิงกั๋วกงวางใจที่สุด หวังชง จางกุ้ย พวกเจ้าบอกว่าพวกเจ้าติดตามเฉิงกั๋วกงมากี่ปีแล้ว?”
แม่ทัพทั้งสองคนค้อมกาย
“กระหม่อมติดตามเฉิงกั๋วกงมายี่สิบสามปีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” พวกเขาตอบเสียงพร้อมเพรียง
ไม่ต้องให้หวงเฉิงถาม ขุนนางทั้งหลายที่นั่นก็ล้วนรู้จัก รู้จักเฉิงกั๋วกงย่อมรู้เช่นกันว่าเฉิงกั๋วกงมีแม่ทัพคนสนิทสองนาย ตั้งแต่ยังไม่ได้ขึ้นครองอำนาจก็ติดตามอยู่ข้างกาย ครั้งนี้เฉิงกั๋วกงเข้าเมืองหลวง เพราะทิ้งสองคนนี้ประจำการที่แดนเหนือถึงวางใจ
คำให้การของแม่ทัพคนอื่นไม่น่าเชื่อ คำพูดของสองคนนี้ย่อมไม่เหมือนกัน
นี่เหลือเชื่อเกินไปแล้ว หรือจะคิดกบฏจริงๆ? ไม่เช่นนั้นใครจะเกลี้ยกล่อมสองคนนี้ให้ร้องเรียนเฉิงกั๋วกงได้?
สายตาของหนิงอวิ๋นเจากวาดผ่านหวงเฉิง ในใจส่ายศีรษะ
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาถามเรื่องนี้ ดูท่าครั้งนี้ไม่เพียงจะแย่งชิงอำนาจทหารของเฉิงกั๋วกง แต่จะเอาชีวิตของเขาแล้ว
บีบจนสิ้นหนทางจริงๆ แล้ว
นี่เร็วเกินไปแล้ว ยังคิดว่าจะถ่วงไปได้อีกช่วงหนึ่งเสียอีก
ความคิดแล่นผ่าน ในใจก็อดไม่ได้กระตุกวูบหนึ่ง ถ้าเช่นนั้นคุณหนูจวินข้างในวัง…จะยังอยู่ดีไหม?
……………………………………….
……………………………………….
คุณหนูจวินตอนนี้อยู่ในตำหนักชิวจิ่ง
นางยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในท้องพระโรง แล้วก็ไม่ได้ถูกกลั่นแกล้งอันใด
นางกำลังหยุดเท้ามองรอบด้าน
ที่นี่ห่างจากตำหนักไทเฮาไม่ไกล ที่นางมาที่นี่ก็เพราะไทเฮาให้นางมารักษาอาการป่วยให้สนมคนหนึ่ง
อาการป่วยของสนมไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แล้วนางก็ไม่ได้ถูกกลั่นแกล้ง เพียงแต่ตอนที่นางกำนัลของพระสนมมาส่งนางเดินมาถึงครึ่งทางฉับพลันก็เอ่ยว่ามีธุระ
“คุณหนูจวินท่านออกจากวังเองนะเจ้าคะ” นางเอ่ยประโยคหนึ่งก็ทิ้งนางไว้กลางทางแล้วจากไป
ตนเองออกจากวังไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพียงแต่เรื่องนี้แปลกพิกลอยู่บ้าง
นางกำนัลคนนี้ถูกคนสั่งให้จงใจกลั่นแกล้งนางหรือ?
เป้าหมายเล่า?
ให้นางเดินส่งเดชเพราะไม่รู้จักทางในวัง หลังจากนั้นตำหนิใส่ร้ายนางว่าชนกับผู้สูงศักดิ์อะไรเข้ารึ?
หากคิดหมายเรื่องนี้อยู่ ถ้าเช่นนั้นพวกนางก็คงต้องผิดหวังแล้ว
ที่นี่เป็นสถานที่ซึ่งนางใช้ชีวิตอยู่ตั้งแต่เล็ก ต่อให้ไม่มีนางกำนัลขันทีนำทาง นางหลับตาก็เดินออกไปได้
ในใจนางความคิดวนเวียน เท้าก็เดินผ่านทางแคบอ้อมผ่านตำหนักหลังแล้วหลังเล่าไม่หยุด ประตูวังเห็นอยู่ไกลๆอย่างรวดเร็วยิ่ง ขอเพียงเดินออกจากทางแคบเส้นนี้เท่านั้น
นางเร่งฝีเท้าเดินเข้าใกล้ประตูระหว่างพระราชฐานชั้นนอกกับชั้นใน ยกเท้าอย่างชำนาญ ไม่ก้าวข้ามไปคราวเดียว แต่แตะเท้าแผ่วเบา เหยียบผ่านบันไดขั้นหนึ่งถึงแตะเท้าลงอีกครั้ง
“ฉู่จิ่วหลิง”
เวลานี้เองเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น
คุณหนูจวินขานรับอย่างไม่ทันรู้ตัว จากนั้นก็ขนหัวลุกเหงื่อแตกทั้งร่าง
นางรู้ว่านี่เป้าหมายคืออะไรแล้ว!
มีเสียงฝีเท้าหนักแน่นทีละก้าวๆ ดังมาจากด้านหลังร่างพร้อมกับเสียงเข้มต่ำของบุรุษ
“เจ้ากลับมาแล้ว”
อรุณรุ่งต้นฤดูหนาวในห้องมักจะมืดสลัวอยู่บ้าง
ม่านหนาหนักที่ทิ้งตัวลงมาถูกนางกำนัลสองคนเลิกขึ้น ฮ่องเต้เดินออกมาจากด้านใน
“ฝ่าบาท” ขันทีหลายคนรีบเข้ามา
ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ปิดพระโอษฐ์กระแอมเบาๆ สองที
“ฝ่าบาท เสวยโอสถค่อยเสด็จนะพ่ะย่ะค่ะ” เสียงอ่อนหวานเอ่ยเรียกเบื้องหลังร่าง
ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เลิกประชุมค่อยทานก็ไม่สาย” พระองค์ตรัส ศีรษะไม่หันกลับพระเนตรไม่เหล่มอง ตรงดิ่งเสด็จไปด้านนอก
ขันทีทั้งหลายสบตากันทีหนึ่ง หวาดหวั่นทั้งยังวิตก
“ฝ่าบาท ฝ่าบาทพระวรกายสำคัญนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาท ไทเฮาได้ยินว่าฝ่าบาทประชุมจนดึกดื่น กำลังกังวลว่าฝ่าบาทจะเกิดเรื่องอันใดถึงให้พวกเรามาเฝ้าดู”
พวกเขารีบเอ่ย
ฮ่องเต้แย้มสรวลอย่างเป็นมิตร
“โทษข้าเอง ข้าไม่อยากให้เสด็จแม่ทรงกังวล จึงไม่ได้พูด” พระองค์ตรัส “อีกประเดี๋ยวพวกเจ้าตอบไทเฮาก็ไม่ต้องพูด แค่บอกว่าข้าตื่นสาย เป็นความผิดของข้าเอง ครั้งหน้าจะไม่แอบเกียจคร้านอีก”
ขันทีทั้งหลายสีหน้าตื้นตัน
“ฝ่าบาททรมานตนเองเกินไปแล้วจริงๆ” พวกเขาถอนหายใจเอ่ย คำนับอย่างเคารพถอยออกไป
พวกเขาย่อมไม่มีทางไม่บอกองค์ไทเฮาว่าฮ่องเต้ประชวรจริงๆ เรื่องขัดพระบัญชาเจ้าแผ่นดินเช่นนี้ย่อมไม่ใช่ความผิดแต่เป็นความชอบครั้งใหญ่
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรพวกขันทีเหล่านี้จากไป จากนั้นพระพักตร์พลันบึ้งตึงทันที หันพระเศียรสบถกับด้านข้างทีหนึ่ง
ขันทีน้อยทั้งหลายที่รอรับใช้อยู่สองข้างพากันก้มศีรษะทำเหมือนไม่เห็น
หลังฉีอ๋องสืบทอดราชบัลลังก์ ไม่เคยกวาดล้างผลัดเปลี่ยนขันทีและนางกำนัลในวัง ดังนั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนของไทเฮา แต่เรื่องราวย่อมต้องเปลี่ยนไป
อย่างไรไทเฮาย่อมค่อยๆ ชราลง ฮ่องเต้นั่งบนบัลลังก์อย่างมั่นคงแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังฮ่องเต้ตั้งกรมขันทีจับกุมขึ้นใหม่ ขันทีก็ไม่ฟังคำสั่งไทเฮามากขึ้นทุกทีๆ
ฮ่องเต้เดินเข้าตำหนักฉินเจิ้ง บรรดาขุนนางที่รอมานานนักเดินเรียงแถว แวบแรกฮ่องเต้ก็เห็นหนิงอวิ๋นเจา ท่ามกลางหมู่ขุนนางอายุมากกลุ่มหนึ่ง คนรุ่นเยาว์มีบรรยากาศสดใหม่ไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบนหน้าเขามีความเลื่อมใสต่อฮ่องเต้อย่างไม่ปิดบังสักนิด
ขุนนางขี้ประจบฮ่องเต้ย่อมไม่ใช่ไม่เคยเห็น แต่พระองค์ไม่คิดว่าหนิงอวิ๋นเจาเป็นพวกเดียวกับคนเหล่านั้น
คนขี้ประจบเหล่านั้นเลื่อมใสเพียงตำแหน่งฮ่องเต้นี่ของเขา แต่ความเลื่อมใสของหนิงอวิ๋นเจามีต่อเขาคนผู้นี้ ตั้งแต่หลังให้เขามาแทนขุนนางจดบันทึกพระดำรัสชั่วคราวก็ได้สมาคมกันมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องการเมือง
ตามหลักแล้วหนิงอวิ๋นเจาควรหลบเลี่ยงหรือหวั่นเกรงปิดปากไม่พูด แต่เขากลับไม่ได้ทำเช่นนี้ ยามฮ่องเต้ตรัสถามเขาก็ขบคิดอย่างตั้งใจ เอ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา
“กระหม่อมคิดว่าฝ่าบาทพูดถูกต้อง” เขาเอ่ย
หากตอบเพียงเท่านี้ย่อมไม่แตกต่างอันใดกับขุนนางขี้ประจบคนอื่น แต่หนิงอวิ๋นเจายังจะบอกอย่างตั้งใจด้วยว่าทำไมคิดว่าถูกต้อง
“หากเป็นกระหม่อม กระหม่อมก็จะทำเช่นนี้เช่นกัน” ท้ายที่สุดเขาก็จะยังเอ่ยอีก
ถ้อยคำเช่นนี้มักจะให้ความรู้สึกว่าแทนที่จะบอกว่าชมฮ่องเต้ ยิ่งเหมือนชมตัวเขาเองอยู่บ้าง
แต่ฮ่องเต้ไม่ได้รู้สึกว่ามีสิ่งใดไม่เหมาะสม เพราะหนิงอวิ๋นเจาเป็นผู้มีความสามารถโดดเด่นของตระกูลหนิง ตั้งแต่เล็กก็เป็นเด็กอัจฉริยะ ชายหนุ่มเช่นนี้ย่อมทะนงในตนเอง
ก็เพราะความทะนงเช่นนี้ทำให้เขาไม่เหมือนกับขุนนางขี้ประจบเหล่านั้น การเห็นด้วยกับฮ่องเต้ของเขาเสมือนหนึ่งวีรบุรุษเข้าใจกันมากกว่า
ชมตนเองก็เหมือนชมผู้อื่น นี่ถึงเป็นการชื่นชมและการเห็นพ้องโดยไม่ต้องสงสัยอย่างแท้จริง
การเห็นพ้องเช่นนี้ทำให้ฮ่องเต้ทอดถอนใจยิ่ง พระองค์นั่งบนตำแหน่งนี้ แม้ใครไม่พูด แต่ฮ่องเต้มองอาการดูแคลนของพวกเขาในสายตาขุนนางเหล่านี้ออก
เทียบกับองค์รัชทายาทที่ตั้งแต่เล็กถูกเลี้ยงมาเบื้องพระพักตร์อดีตฮ่องเต้ มีอาจารย์ชื่อดังที่ดีที่สุดสั่งสอนออกมาคนนั้น ในสายตาพวกขุนนางเหล่านี้พระองค์ก็เป็นเพียงขยะชิ้นหนึ่งกระมัง
ทว่าพระองค์ไม่ได้โง่จริง เพียงแสร้งโง่มาหลายสิบปีเท่านั้น
คนเหล่านี้ที่ดูถูกพระองค์ถึงโง่เง่า
ดังนั้นได้เห็นชายหนุ่มที่ไม่โง่คนหนึ่งท่ามกลางคนโง่กลุ่มนี้จึงทำให้คนอารมณ์ดียิ่งจริงๆ สายพระเนตรของฮ่องเต้กวาดผ่านท้องพระโรงแล้วทรงนั่งลง ทอดพระเนตรขุนนางฝ่ายพลเรือนและทหารค้อมกายคำนับร้องทรงพระเจริญ เมื่อทอดพระเนตรเห็นในหมู่ขุนนางที่ยืนอยู่นี่ขาดไปคนหนึ่ง พระทัยยิ่งดีขึ้นอีก
เฉิงกั๋วกงคนผู้นี้เก่งนักจริงๆ ทว่าคนผู้ชื่อเสียงเลื่องลือทั้งเก่งทั้งในมือครองกำลังทหารเข้มแข็งผู้นี้เป็นคนสนิทของอดีตองค์รัชทาทยาท อดีตองค์รัชทายาทสิ้นไปแล้ว แต่ยังมีโอรสพระองค์หนึ่ง นอกจากนี้เฉิงกั๋วกงก็เป็นมิตรยิ่งกับโอรสพระองค์นี้
ตั้งแต่วันนั้นที่ได้ฟังว่าเฉิงกั๋วกงเข้าไปในวังไหวอ๋อง เยี่ยมเยียนไหวอ๋องด้วยตนเอง พระองค์ก็ฝันเห็นเฉิงกั๋วกงพาไหวอ๋องมาบีบพระองค์ให้สละราชสมบัติจนสะดุ้งตื่นหลายครั้ง
ให้ไหวอ๋องตายเสียเรื่องราวทุกอย่างก็จบได้ แต่วันนี้ไหวอ๋องยังตายไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องให้เฉิงกั๋วกงกลายเป็นคนที่ไม่มีภัยคุกคามคนหนึ่ง
เสือเฒ่าที่ถอดเขี้ยวแล้วย่อมกลายเป็นหนูเฒ่า ไม่มีสิ่งใดน่ากลัว แม้เข้าประขุมเหน็ดเหนื่อยนัก แต่ชีวิตย่อมดีขึ้นเรื่อยๆ ฮ่องเต้กระแอมเบาๆ สองที
“ขุนนางที่รักทั้งหลายรอนานแล้ว” พระองค์ตรัสอย่างตำหนิตนเอง
ขุนนางทั้งหลายค้อมกายคำนับ
“ฝ่าบาท คำหนังสือขอลาออกจากตำแหน่งครั้งที่สองของเฉิงกั๋วกงส่งมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางคนหนึ่งก้าวออกจากแถวกราบทูลพร้อมทูนฎีกาฉบับหนึ่ง
ฮ่องเต้ขานรับ มองฎีกา สีพระพักตร์ลังเลอยู่บ้าง
ตามหลักแล้วขุนนางผู้หนึ่งขอลาออกจากตำแหน่ง ฮ่องเต้จะไม่อนุญาต หลังจากนั้นขุนนางผู้นั้นจะส่งหนังสือขึ้นมาอีก หลังเช่นนี้สามครั้ง ฮ่องเต้ถึงพระราชทานอนุญาต เช่นนี้เพียงพอไว้หน้าเจ้าแผ่นดินและขุนนาง
แต่ครั้งนี้…
ฮ่องเต้ไม่ต้องการเล่นเช่นนี้ต่อแล้ว พระองค์ไว้หน้ามาพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องทรมานตนเองอีกต่อไป
“อนุญาต” พระองค์ตรัสเรียบๆ
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา”
หวงเฉิงกำลังจะเอ่ยปาก แต่ยังมีคนเร็วกว่าเขาก้าวหนึ่ง
เขามองหนิงอวิ๋นเจา โทสะก็คร้านจะมีด้วยแล้ว
แล้วแต่เขาเถอะ ประจบเช่นนี้ เวลานี้เป็นสิ่งน่ายินดีที่ได้เห็น
ดูท่าจะมองผิดแล้ว คิดว่าเจ้าหนูนี่ร่วมทางกับเฉิงกั๋วกงเสียอีก แต่ตอนนี้ดูท่าสุดท้ายคนก็รักตนเองยิ่งกว่า
“น้อมรับบัญชา” หวงเฉิงกับขุนนางคนอื่นค้อมกายคำนับรับคำสั่งเสียงพร้อมเพรียง
……………………………………….
……………………………………….
“สิ่งใดก็ไม่เหลือ” เฉินชีกลับมาจากถนน ถูมือขับไล่ความหนาวพลางเอ่ยขึ้น “นอกจากบรรดาศักดิ์เฉิงกั๋วกง ตำแหน่งขุนนางอื่นไม่เหลือสักอย่าง”
ตามหลักถอดอำนาจทหารไป อย่างน้อยก็ต้องแขวนตำแหน่งเปล่าในกรมกลาโหมหรือในกรมอะไรสักอย่างไว้ แต่ครั้งนี้ราชสำนักลงมือเด็ดขาดอย่างยิ่ง ปลดครั้งเดียวเรียบวุธ นี่ไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย
“เช่นนี้ย่อมทำให้คนใต้หล้ารู้ว่าการขอลาออกจากตำแหน่งของเฉิงกั๋วกงไม่ใช่การขอลาออกจากตำแหน่งปกติ แต่แบกโทษอยู่” ผู้แลใหญ่หลิ่วขมวดคิ้วเอ่ย
เฉินชีพยักหน้า
“เล่าลือกันออกไปแล้ว บอกว่าเฉิงกั๋วกงละโมบหวังความชอบสงคราม ละโมบยึดติดอำนาจทหาร หมายจะจุดสงครามสองแคว้นขึ้นอีกครั้ง” เขาเอ่ย “ฝ่าบาทตอนนี้ถึงไม่อาจไม่ปลดเขา”
“ถ้าเช่นนั้นเกรงว่าชาวบ้านคงมีแต่ไม่พอใจเฉิงกั๋วกง” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย
สำหรับประชาชนแล้วไม่เข้าใจหลักการยิ่งใหญ่อะไร พวกเขารู้แค่ทำสงครามเป็นเรื่องน่ากลัวนัก เพียงอยากใช้ชีวิตสงบสุข ผู้ที่หมายทำลายชีวิตอันสงบสุขเหล่านั้นล้วนเป็นคนเลว
เฉินชียิ้มขมขื่นทีหนึ่ง
“แค่กลัวที่ไหนเล่า” เขาผายมือออก “ไม่พอใจจริงๆ วันนี้หัวถนนท้ายซอย คำตำหนิที่มีต่อเฉิงกั๋วกงมากมายนัก”
เขาพูดพลางมองคุณหนูจวินด้านข้างทีหนึ่ง
“ล้วนบอกว่าที่จริงเฉิงกั๋วกงไม่ได้ร้ายกาจปานนั้น ที่ต้านการโจมตีของชาวจินได้ล้วนเป็นคุณงามความชอบของคุณหนูจวินแล้วมีเต๋อเซิ่งชางลงแรงออกเงิน ที่จริงเขาก็ไม่ได้ทำอะไร”
เรื่องราวเปลี่ยนแปลงรวดเร็วจริงๆ นี่เพิ่งขอลาออกจากตำแหน่ง สถานการณ์ก็ฉับพลันดิ่งลงอย่างรวดเร็ว
คุณหนูจวินลุกขึ้นยืน
“ข้าจะไปจวนกั๋วกงดูสักหน่อย” นางเอ่ย “ดูซิว่าท่านกั๋วกงมีแผนการอย่างไร”
เมื่อคุณหนูจวินมาถึงจวนกั๋วกง เฉิงกั๋วกงสามีภรรยาก็กำลังจัดเก็บสัมภาระเดินทาง พวกเขาจะจากเมืองหลวงกลับไปยังบ้านเก่าของเฉิงกั๋วกง จูจั้นบอกนางแล้ว แต่เห็นภาพนี้ ความรู้สึกของนางก็ยังคงสับสนยิ่งนัก
จะจากไปเช่นนี้หรือ?
จะจบเช่นนี้หรือ?
“นี่ไม่ใช่อยู่ในการคาดการณ์อยู่แล้วหรือ?” เฉิงกั๋วกงมองมาพลางยิ้มอย่างอ่อนโยนต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ข้างนอกที่คุณหนูจวินนำมา “ตอนที่ข้าตัดสินใจจะประกาศความดีความชอบของเจ้าต่อสาธารณะก็ล่วงรู้ถึงวันนี้แล้ว”
แบ่งความชอบไป ย่อมต้องกลายเป็นจุดอ่อนให้สงสัยในความชอบ
เพียงแต่เขาจะไม่ทำสิ่งใดแล้วหรือ? จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้หรือ?
“ไม่ เจ้าคิดผิดแล้ว สิ่งที่น่าสงสัยคือข้าคนนี้เท่านั้น แต่ความชอบยังอยู่” เฉิงกั๋วกงอมยิ้มเอ่ย ยื่นมือชี้นาง “นอกจากนี้ยังจะยิ่งเพิ่มพูน”
คุณหนูจวินก็มองตนเองบ้าง
“ความชอบเหล่านี้ล้วนจะรวมมาอยู่ที่ตัวข้าทั้งหมด” นางเอ่ย
“ใช่แล้ว นี่ยังคงเป็นเรื่องดี” เฉิงกั๋วกงเอ่ยตอบ
นี่นับเป็นเรื่องดีด้วยหรือ?
คุณหนูจวินยิ้มขมขื่นนิดหนึ่ง
นี่ก็เพื่อลดทอนชื่อเสียงของเฉิงกั่กวง ย้ายความสนใจของประชาชนทั้งหลาย นอกจากนี้ให้ประชาชนทั้งหลายยิ่งเชื่อว่าเฉิงกั๋วกงเล่นเล่ห์เอาความชอบ
“นี่สำหรับคุณหนูจวินแล้วเป็นเรื่องดี เจ้าต้องการชื่อเสียงเหล่านี้” เฉิงกั๋วกงเอ่ย “ยิ่งมากยิ่งดี”
ใช้แล้ว นางต้องการชื่อเสียง ชื่อเสียงที่เพียงพอให้หนึ่งเรียกร้อยขานรับได้
แต่ชื่อเสียงนี่กลับหั่นตรงนั้นมาเพิ่มตรงนี้…
“อย่างไรก็ดีกว่ากำจัดพวกเราทั้งสองคนนะ” เฉิงกั๋วกงยิ้มเอ่ย
นั่นก็ใช่ คุณหนูจวินยิ้มขมขื่น
“แต่ฝ่าบาทก็คงไม่ให้ข้าเพิ่มนานนัก” นางเอ่ยขึ้น
เฉิงกั๋วกงหัวเราะแล้ว
“สำหรับเรื่องที่เจ้าต้องการทำ น่าจะพอ” เขาตอบ
คุณหนูจวินตะลึงเล็กน้อย
เรื่องที่นางต้องการทำ? เฉิงกั๋วกงรู้อะไร?
จูจั้นบอกว่าไม่มีทางบอกเรื่องที่นางคือฉู่จิ่วหลิงกับผู้ใด รวมถึงบิดามารดา
ถ้าเช่นนั้นคำนี้ของเฉิงกั๋วกงหมายความว่าอย่างไร?
เรื่องที่นางต้องการทำมีมากมายนัก แต่ก็พูดได้ว่ามีเพียงเรื่องเดียวเช่นกัน
ตนเองมีชีวิตอยู่ ให้พี่สาวน้องชายมีชีวิตอยู่ แก้แค้นให้พระบิดา เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่นางต้องทำ ทว่าจะทำเรื่องเหล่านี้กลับจำเป็นต้องทำเพียงเรื่องเดียวให้สำเร็จ
เรื่องนี้นางซ่อนไว้ลึกในใจ มีเพียงบางครั้งสะดุ้งตื่นจากจากฝันยามดึกดื่นอาศัยราตรีปิดซ่อนความคิดที่แล่นผ่านไปนี้ไว้ ถือเสียว่ายังฝันอยู่
เรื่องนี้นางเองยังไม่กล้าคิดจริงจัง เพราะไกลเกินเอื้อมเกินไป เกรงแต่จะคิดมากจนหมกมุ่น ความคิดสติปัญญาสับสนทำลายโอกาสกลับมาใหม่ที่ได้มาไม่ง่าย
ไม่รู้ว่าเรื่องที่นางต้องการทำที่เฉิงกั๋วกงเอ่ยถึง หมายถึงอะไร?
ไม่ว่าหมายถึงอะไร ล้วนย่อมต้องเดาอะไรบางอย่างได้
เป้าหมายของนางเห็นชัดปานนี้แล้วหรือ?
“ช่วยโลกช่วยประชาชนน่ะ”
เสียงเฉิงกั๋วกงลอยมา
“ให้ตระกูลได้ชื่อเสียงสืบทอดชั่วกาลนาน”
คุณหนูจวินผ่อนลมหายใจ แล้วก็ขำอยู่บ้าง อย่างไรนางก็ไม่ใช่จวินเจินเจิน ยิ่งนานวันยิ่งลืมจุดนี้ จนถึงขั้นที่ผู้อื่นยังไม่ทันสงสัย ตนเองก็สงสัยตนเองก่อนเสียแล้ว
สำหรับจวินเจินเจินแล้ว ย่อมต้องการเชิดชูชื่อเสียงวงศ์ตระกูล
นางแย้มยิ้ม
“ดีมากแล้ว” นางเอ่ย
เฉิงกั๋วกงคล้ายไม่รู้สึกถึงอาการประหลาดของนาง
“ใช้ชื่อเสียงย่อมได้ชื่อเสียงมากกว่าเดิม” เขาเอ่ยต่ออย่างอ่อนโยน “มีชื่อเสียงมากกว่าเดิมก็ทำมากกว่าเดิมได้ ทำมากกว่าเดิมได้ก็ได้ชื่อเสียงมากกว่าเดิมได้ เป็นเช่นนี้ไม่จบสิ้น นับประสาอะไรเมื่อท่านเป็นหมอ สิ่งที่ทำคือรักษาโรคช่วยคน ต่อให้เพราะข้า ฮ่องเต้จึงไม่ชอบท่าน ท้ายที่สุดก็ยากจะสู้กับความคิดของประชาชน”
พูดมาพูดไป เฉิงกั๋วกงก็ยังคงกังวลว่าตนจะถูกเขาลากไปด้วย ดังนั้นรู้ชัดว่าภูเขามีเสือถึงยังขึ้นไปเผชิญความลำบาก เผชิญมรสุมคลื่นลมครั้งนี้ แล้วก็อาศัยโอกาสเพิ่มชื่อเสียงให้นาง
“ก็ไม่ใช่เจาะจงเพื่อท่านหรอก” เฉิงกั๋วกงอมยิ้มเอ่ย “เรื่องนี้ไม่อาจเลี่ยงได้ ในเมื่อไม่อาจเลี่ยงได้ก็เลือกวิธีที่ได้ประโยชน์ที่สุดเท่านั้น”
เลือกวิธีทีได้ประโยชน์ที่สุดหรือ?
“ถ้าเช่นนั้นท่านกั๋วกงท่านคิดว่าต่อไปจะทำอย่างไร?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม
“กลับบ้านสิ ข้าไม่ได้กลับหลายสิบปีแล้ว” เฉิงกั๋วกงยิ้มเอ่ย ท่าทางปรารถนา “ในที่สุดก็มีเวลากลับไปดูสักหน่อยได้แล้ว”
พวกเขากำลังคุยคำนี้อยู่ จูจั้นก็เข้ามา
“ในวังส่งคนไปโรงหมอจิ่วหลิงแล้ว” เขาเอ่ย มองคุณหนูจวิน “ไทเฮาเรียกเจ้าเข้าวัง”
ไทเฮา?
คุณหนูจวินขมวดคิ้วเล็กน้อย เฉิงกั๋วกงยิ้ม
“พูดถึงก็มา” เขาเอ่ยขึ้น “วางใจเถอะ ไม่สร้างความลำบากให้ท่านหรอก เวลานี้ไทเฮาเรียกพบก็เพื่อแสดงว่าให้ความสำคัญกับท่าน เป็นเกียรติยศที่พระราชทานให้ท่าน”
ในเมื่อในวังส่งคนมาแล้ว คุณหนูจวินก็ไม่สะดวกรั้งอยู่ที่จวนเฉิงกั๋วกงต่ออีกเช่นกัน นางขอตัวกับเฉิงกั๋วกงสามีภรรยา จูจั้นส่งนางตรงกลับโรงหมอจิ่งหลิว
“เกียรติยศของข้ายังต้องให้พวกเขามามอบให้” คุณหนูจวินเอ่ยพลางก้าวเท้าเข้าประตู
“ที่จริงไม่ใช่ เพียงแต่พวกเขาคิดว่าเป็นเช่นนี้เท่านั้น” จูจั้นเอ่ยแล้วดึงแขนของคุณหนูจวินไว้อีก “ข้าต้องส่งพ่อข้ากลับบ้านเดิม มีเรื่องหนึ่งข้า…”
“มีเรื่องท่านก็พูดสิ จับนู่นจับนี่” คุณหนูจวินขมวดคิ้วเอ่ย
จูจั้นไม่ได้ปล่อยมือออก
“พูดเรื่องจริงจัง อย่าเอาแต่สนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้สิ” เขาทำหน้าจริงจังเอ่ย
คุณหนูจวินหลุดหัวเราะ
“พูดสิ” นางเอ่ย ไม่สะบัดแขนออกอีก
“เจ้าเข้าวังไปอย่าได้ทำเรื่องโง่อย่างก่อนหน้านี้” จูจั้นเอ่ย
เรื่องโง่อย่างก่อนหน้านี้ คุณหนูจวินย่อมเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร
“เรื่องนั่นของข้าจะเรียกว่าเรื่องโง่ได้อย่างไร” คุณหนูจวินเอ่ยตอบ
สีหน้าของนางติดจะดื้อรั้นและไม่พอใจ ไม่ได้ทำให้คนเกลียด กลับกันแลดูซุกซน
จูจั้นอดยิ้มไม่ได้ แล้วก็คิดได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องน่าขำอันใดจึงรีบทำหน้าบึ้ง
“ไม่ประมาณกำลังตน ยังไม่เรียกโง่หรือ” เขาเอ่ยเสียงเข้ม “เจ้าก็พูดเอง ใจกล้าไร้แผนการคือก้าวไม่ใช่กล้า”
บทสนทนาสองประโยคสั้นๆ นี่หากคนนอกฟังคงมึนงงสับสน แต่เต็มไปด้วยเรื่องที่พวกเขาเท่านั้นที่รู้ รวมทั้งชาติก่อนชาตินี้
จูจั้นอดไม่ได้มีความสุขอยู่บ้าง แต่จากนั้นก็โมโหอีกหน
นี่มีสิ่งใดให้มีความสุข หากเป็นไปได้ใครจะยินดีตายไปเช่นนี้ครั้งหนี่ง
เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง พลันมีคนกระแอมทีหนึ่งด้านข้าง
จูจั้นกับคุณหนูจวินล้วนได้สติกลับมา มองไปก็เห็นเฉินชียืนอยู่ตรงหน้ามองพวกเขาอยู่
จูจั้นพลันกระแอมทีหนึ่งปล่อยมือออกด้วย
“พวกท่าน ไม่มีอะไรกันนะ?” เฉินชีสีหน้าพิกลเอ่ยถาม
“ไม่มีอะไร” คุณหนูจวินกับจูจั้นตอบพร้อมเพรียง “มีเรื่องอะไร?”
เฉินชีหัวเราะแห้งๆ สองที
“ไม่มีอะไรก็ดี” เขาเอ่ย “หากไม่มีอะไรก็ไปดูคุณหนูจ้าวหน่อยเถอะ พวกเขาจะไปแล้ว”
กองทหารชิงซานยังคงประจำการอยู่ที่ค่ายใหญ่ทางตะวันตกของเมืองหลวง แต่พร้อมกับการถอดตำแหน่งของเฉิงกั๋วกง กองทหารชิงซานที่เดิมทีไม่มีคนสนใจก็ถูกขอให้ออกจากเมืองหลวงกลับไปรับคำสั่งที่แดนเหนือทันทีด้วย
นี่เป็นเรื่องที่เหมาะสมสมควรไม่อาจคัดค้าน คุณหนูจวินก็ไม่ได้คัดค้าน
“เฉิงกั๋วกงจากไปก็ช่างเถิด กองทหารชิงซานนี่จากไปแล้ว ออกจะน่าเสียดาย” เฉินชีเอ่ย
กองทหารชิงซานแข็งแกร่งเช่นนี้ ทั้งยังเชื่อฟังคุณหนูจวินอีก ที่จริงหากเป็นองครักษ์จะยิ่งดี แต่กลับได้ยศทหาร เข้าสังกัดกองทัพ กลายเป็นกองทหารของต้าโจว นั่นย่อมไม่ใช่ทหารของใครคนหนึ่ง กระทั่งเฉิงกั๋วกง ถูกปลดจากตำแหน่งขุนนางปุบก็ไม่อาจสั่งเคลื่อนพวกเขาไปซ้ายขวาได้แล้วเช่นกัน
เท่ากับทหารที่แข็งแกร่งเช่นนี้มอบให้ชิงเหอปั๋วเปล่าๆ แล้ว
“นี่พูดว่าน่าเสียดายได้อย่างไร” คุณหนูจวินส่ายศีรษะ “เป็นองครักษ์ของคนผู้หนึ่งมีผืนดินแผ่นฟ้ากว้างใหญ่ได้เท่าไร เป็นผู้พิทักษ์ของแคว้นหนึ่งถึงผืนดินแผ่นฟ้ากว้างใหญ่”
ยามตนเองยากรักษา ใครยังสนผืนดินแผ่นฟ้ากว้างใหญ่ ผืนดินแผ่นฟ้ากว้างใหญ่แล้วมีประโยชน์อันใด
เฉินชีกลอกตาทีหนึ่ง ช่างเถอะ อย่างไรก็ไม่เคยเข้าใจว่าสตรีคนนี้คิดอย่างไร แต่ดีที่ทุกครั้งสิ่งที่นางทำล้วนถูกต้อง
คุณหนูจวินไม่อาลัยอาวรณ์กับการจากไปของกองทหารชิงซาน นางไม่อาลัยอาวรณ์ คนเหล่านี้ของกองทหารชิงซานก็ไม่อาลัยอาวรณ์ จ้าวฮั่นชิง เซี่ยหย่งรับคำสั่งจากไปอย่างเด็ดขาดฉับไว
กองทหารชิงซานกับเฉิงกั๋วกงจากไปวันเดียวกัน จากไปอย่างเงียบสงบยิ่ง คนเมืองหลวงแทบไม่รู้ เฉิงกั๋วกงถูกปลดจากตำแหน่ง จูจั้นเปล่า แต่เขาต้องอารักขาบิดามารดากลับภูมิลำเนา ดังนั้นจึงจากไปด้วย
“รู้สึกพริบตาเดียวก็เงียบเหงาอยู่บ้างแล้ว” เฉินชีถอนหายใจเอ่ย
เสียงคำของเขาเพิ่งจบก็ได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำตึงตึงพร้อมกับเสียงตะโกนของหลิ่วเอ๋อร์ด้านใน
“ผ้าคลุมของคุณหนูเล่า?”
“เมื่อคืนวานวางไว้เรียบร้อยแล้ว พวกเจ้าใครเอาไป?”
เอาล่ะ ที่จริงก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยน เฉินชีคิด ซุกมือในเสื้อเดินมาถึงโถงด้านหน้า มองโถงด้านหน้าที่ว่างเปล่าก็ถอนหายใจอีกหน
เปลี่ยนไปสิ จิ่นซิ่วของเขายังไม่กลับมา รับช่วงต่อร้านแลกเงินทีหนึ่งช้าเช่นนี้เชียว
เฉินชีเดินมาถึงนอกประตูก็เห็นพนักงานทั้งหลายเตรียมรถม้าเรียบร้อยแล้ว ฉับพลันก็เห็นคนผู้หนึ่งเดินมาบนถนน
ยามเช้าตรู่คนบนถนนยังไม่มาก คนที่ขี่ม้ามาจึงเห็นชัดยิ่ง
“อ้าว ขุนนางน้อยหนิง” เฉินชีรีบเอ่ยเรียก
หนิงอวิ๋นเจาอมยิ้มควบม้าเข้ามาใกล้
ไม่ได้เห็นหน้าเขาหลายวันแล้ว คุณหนูจวินกลับมาปุบก็พบเขาอีกแล้ว เฉินชียิ้ม
“ขุนนางน้อยหนิง ท่านผ่านทางมาหรือ?” เขาคิดถึงเรื่องที่ฟางจิ่นซิ่วล้อหนิงอวิ๋นเจาก่อนหน้านี้แล้วยิ้มถาม
หนิงอวิ๋นเจาหัวเราะแล้ว
“ไม่ใช่หรอก” เขาเอ่ย “วันนี้คุณหนูจวินต้องเข้าวัง ข้าจึงตั้งใจร่วมทางกับคุณหนูจวิน อย่างไรพวกเราก็เป็นสหายร่วมภูมิลำเนาที่หยางเฉิงไหม”
นับถือ
เข้าวังยังเอาภูมิลำเนามาอ้างได้ เหตุผลนี่ก็มีแต่ขุนนางน้อยหนิงที่คิดออกมาได้พูดออกมาได้
เฉินชีมองเขาด้วยสีหน้านับถือ
เข้าเมืองหลวงดูสักหน่อย ถ้อยคำประโยคนี้ครั้งนั้นเฉิงกั๋วกงเคยเอ่ย
เวลานั้นทุกคนล้วนไม่แนะนำให้เข้าเมืองหลวง เพราะรู้ว่าเข้าเมืองหลวงย่อมไม่มีเรื่องดี คุณหนูจวินก็บอกว่ามีวิธีให้เขาแสดงว่าบาดเจ็บหนัก แต่เฉิงกั๋วกงยังคงตัดสินใจเข้าเมืองหลวง ประการแรกเพื่อมอบฐานะให้กองทหารชิงซานได้อย่างราบรื่น มอบรางวัลที่ทุกคนสมควรมีให้ อีกประการเขาบอกว่าต้องการดูสักหน่อย
ตั้งแต่นาทีนั้นที่เข้าเมืองหลวงถูกขวางจนกระทั่งถึงวันนี้ถูกกล่าวโทษในที่สุดเขาก็ดูกระจ่างแล้วหรือ?
คุณหนูจวินเงียบงันครู่หนึ่ง
“หนาวใจแล้วหรือ?” นางเอ่ยขึ้น “คุณงามความชอบที่ตรากตรำเฝ้าแดนเหนือสิบปีนั่นก็ไม่ต้องการแล้วหรือ?”
“จะต้องการได้อย่างไร?” จูจั้นหัวเราะประชด “พบคนกลุ่มนี้ สิบปี ยี่สิบปีแล้วอย่างไร?”
ฮ่องเต้เช่นนี้น่ะ
คุณหนูจวินอารมณ์ซับซ้อน ฮ่องเต้เป็นเช่นนี้ทำให้ขุนนางภักดีหนาวใจขุนนางชั่วครองเมือง ยิ่งพิสูจน์ได้ว่าเป็นเจ้าแผ่นดินผู้มัวเมาไร้คุณธรรม นางน่าจะดีใจ ทว่าก็ไม่มีสิ่งใดดีใจได้จริงๆ
ขุนนางภักดีหนาวใจ ขุนนางชั่วครองเมือง การปกครองวุ่นวาย ประเทศชาติไม่มั่นคง ประชาชนไม่สงบสุข ผู้ที่ทุกข์คือประชาชน สิ่งที่เสียหายคือแผ่นดิน
“เจ้าไปที่ไหนก่อน?”
ข้างหูจูจั้นพลันเอ่ยถาม
คุณหนูจวินได้สติกลับมามองไปหาเขา คล้ายไม่เข้าใจอยู่บ้าง
“กลับบ้านกับข้า หรือไปโรงหมอจิ่วหลิงก่อน?” จูจั้นเอ่ยถาม
คำนี้ฟังดูแล้วมีตรงไหนไม่ถูกต้องอยู่บ้าง
“ไปโรงหมอจิ่งหลิงแล้วกัน” คุณหนูจวินเอ่ย “มีบางเรื่องท่านต้องคุยกับบิดาท่านก่อน”
จูจั้นขานอ้อ
“เรื่องของพวกเราคุยกับพ่อด้วยกันก็ไม่เป็นไร..” เขาหัวเราะฮ่ะฮ่ะเอ่ย “ก็ไม่ใช่คนอื่นไกล เจ้าเหมือนลูกพ่อข้ายิ่งกว่าข้าเสียอีกแน่ะ”
คุณหนูจวินตะลึงนิดหนึ่งจากนั้นพลันสบถ
ในที่สุดก็รู้ว่าตรงไหนไม่ถูกต้องแล้ว
กลับบ้านอันใด บ้านของนางคือโรงหมอจิ่วหลิงตกลงไหม อะไรเรียกกลับบ้านกับเขา
“พวกเรามีเรื่องอะไร!” นางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ท่านแสร้งโง่อะไร ท่านไม่รู้ว่าข้าให้ท่านคุยเรื่องอะไรกับบิดาท่านหรือ?”
จูจั้นขานอ้อ
“ตอนนี้คิดได้แล้ว” เขาเอ่ย สีหน้าตรงไปตรงมา “เมื่อครู่คิดผิดไปแล้วจริงๆ”
คุณหนูจวินตวัดตามองเขาทีหนึ่งไม่ได้เอ่ยวาจากอีก ขึ้นม้าไป
สองคนหนึ่งหน้าหนึ่งหลังมุ่งไปยังเมืองหลวง เดินทางมาถึงใกล้ประตูเมืองพวกจางเป่าถังไม่กี่คนที่ได้รับข่าวก็เร่งเดินทางมาแล้ว
รู้ว่าจูจั้นรีบร้อนกลับไปพบเฉิงกั๋วกง ทุกคนจึงไม่ได้คุยเรื่องต้อนรับขับสู้ แต่จางเป่าถังก็ให้เด็กรับใช้ที่ติดตามเอาตีนหมูย่างห่อหนึ่งส่งมา
“องค์หญิง พวกท่านเร่งเดินทางมาต้องไม่ทันสนใจกินดื่มแน่” เขาหัวเราะเอ่ยซื่อๆ “ท่านรับสิ่งนี้ไปรองท้องก่อน”
คุณหนูจวินหัวเราะรับไปอย่างไม่ขัดเขิน เอาหนึ่งชิ้นออกมากินทันที ไม่ได้เก็บไป
จางเป่าถังกลืนประโยคนั้นที่ว่าเจ้านี่ต้องกินตอนร้อนเย็นแล้วจะไม่อร่อยลงไป
“องค์หญิงเชี่ยวชาญเรื่องกินนัก” เขาหัวเราะฮ่ะฮ่ะ
นางไม่ใช่องค์หญิงบอบบางที่ถูกเลี้ยงมาลึกในวังหลวง นางเป็นคนที่ขึ้นเหนือลงใต้วิ่งวุ่นอยู่ข้างนอก คนเช่นนี้ย่อมรอบรู้กว้างขวาง แล้วก็รู้จักกินดื่มเที่ยวเล่นในสภาพแวดล้อมที่ไม่ค่อยจะดีดีอย่างที่สุดด้วย
ที่แท้หลายปีขนาดนั้นนางไม่ได้ถูกทอดทิ้งอยู่ข้างนอก แต่เป็นฝ่ายทำตามใจปรารถนา
เหมือนกับตน
จูจั้นอดไม่ได้ยิ้ม
“พี่รอง ข้าไม่ได้บอกว่าองค์หญิงเป็นเจ้าตัวตะกละนะ ท่านอย่าหัวเราะ” จางเป่าถังเอ่ยอย่างกังวลอยู่บ้าง
รอยยิ้มของจูจั้นฉับพลันแข็งทื่อ
เขาก็ไม่ได้หมายความอย่างนั้นตกลงไหม เจ้าหนูสารเลวคนนี้จงใจเล่นเขาใช่หรือไม่? ลำบากนักกว่าจะไม่ให้สตรีคนนี้คิดเหลวไหลวุ่นวายซ้ำไปมาได้
คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
“ได้เพิ่มมาอีกหนึ่งเจ้าก็ไม่เป็นไร” นางเอ่ยพลางหันหน้ามองจูจั้นจากนั้นก็ยิ้ม
พูดว่าอีก นั่นย่อมมีอันก่อนหน้า
เจ้างั่ง
นี่เป็นคำที่ตนเรียกนาง
จูจั้นคิดถึงตอนนั้นขึ้นมาก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างไร้สาเหตุขึ้นมาอีกครั้ง ทำไมเวลานั้นดันต้องพบนางเข้าด้วยนะ? คนมากมายมหาศาลนางพอดีอยู่ที่นั่นด้วยได้อย่างไร?
นี่นอกจากเป็นการจัดการของสวรรค์ ยังมีคำอธิบายอันใดได้อีกเล่า?
รอยยิ้มในหัวใจเขายากกดไว้เอ่อล้นออกมาจากมุมปากจากในดวงตา
จางเป่าถังสีหน้าสงสัยมองสองคนนี้ ทำไมไม่มีต้นสายปลายเหตุก็ยิ้มขึ้นมา? แล้วยังยิ้มโง่ๆ เช่นนี้อีก?
“แต่พวกท่านไม่ต้องเรียกข้าองค์หญิงหรอก” คุณหนูจวินคิดอะไรขึ้นมาได้เอ่ยขึ้น
เพราะเรียกเช่นนี้แลดูห่างเหินหรือ?
จางเป่าถังมองนาง
“ไม่น่าฟัง เหมือนหมู” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินจริงๆ ! นางอุตส่าห์คิดออกมาได้! แล้วนางยังอุตส่าห์กล้าพูดอีก!
พวกจางเป่าถังอึ้งงัน คุณหนูจวินควบม้าอาดๆ ไปข้างหน้าแล้ว
“พี่รอง ท่านดูความไม่ปกติของนางสิ” จางเป่าถังส่ายศีรษะถอนหายใจเอ่ย
“ไม่ปกติที่ไหน” จูจั้นขมวดคิ้วเอ่ย
พูดจบก็ถลึงตาใส่จางเป่าถังทีหนึ่งอีก
“นางเป็นคนออกจะปกติ เจ้าอย่าพูดเหลวไหล”
คนออกจะปกติ? จางเป่าถังอึ้งมองเขา นี่ปกติตรงไหนเล่า? อีกอย่างไม่ใช่เขาพูดอยู่ตลอดว่านางไม่ปกติหรือ?
ลู่อวิ๋นฉีที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างสูงที่สุดของเหลาสุราข้างประตูเมืองมองคุณหนูจวินขนาบด้วยคนหลายคนขี่ม้าผ่านประตูเมืองเข้าเมืองไปแล้ว ก็ยังคงไม่รั้งสายตากลับ
“โบราณว่าแผ่นดินเปลี่ยนง่ายนิสัยเปลี่ยนยาก” เขาเอ่ยขึ้นมา “คนผู้หนึ่งรูปลักษณ์ภายนอกเปลี่ยนได้ แต่ท่าทางกับความคุ้นชินกลับยากนักยากนัก ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้วว่าทำไมเหมือนเช่นนี้”
ประโยคนี้หัวหน้ากองพันเจียงรู้ แต่ทำไมตอนนี้เวลานี้เอ่ยประโยคนี้ เขาก็ไม่เข้าใจอยู่บ้างแล้ว
นี่คือกำลังพูดถึงบุตรชายเฉิงกั๋วกงหรือ?
เขามองไปทางลู่อวิ๋นฉี
ต้นฤดูหนาวยามเที่ยงแสงตะวันเจิดจ้า เผาดวงหน้านิ่งสนิทตลอดเวลาของลู่อวิ๋นฉีแดงประหนึ่งเปลวเพลิง หน้าต่างที่ถูกมือเขาบีบกำลังส่งเสียงปริแตกเบาๆ รอยร้าวเล็กๆ เส้นแล้วเส้นเล่าแผ่ขยายบนหน้าต่าง
……………………………………….
“ท่านอาจารย์มีประโยคหนึ่งพูดถูกจริงๆ”
หัวหน้าแม่ทัพจินคนหนึ่งที่ยืนอยู่ในเรือนหลังหนึ่งในเขตปั๋วเยี่ยเป่าโจว ถอนหายใจเอ่ยขึ้น
เรือนแห่งนี้แม้อยู่ในชนบทแต่ตกแต่งหรูหรายิ่งนัก เห็นชัดยิ่งว่าเป็นบ้านของผู้ดีชนบทผู้ร่ำรวยคนหนึ่ง
แน่นอนเวลานี้เป็นของแม่ทัพจินคนนี้แล้ว ส่วนผู้ดีชนบทคนนั้นไม่ตายไปแล้วก็หนีลงใต้ไปแล้ว
รอบด้านแม่ทัพจินยังมีลูกน้องอีกห้าคน พวกเขานั่งล้อมวงอยู่ ตรงหน้าตั้งโต๊ะน้ำชาไว้ บ่าวหญิงอายุน้อยสองคนกำลังชงชา
เพียงแต่บนร่างพวกเขาสวมชุดเกราะอยู่ ไม่เข้ากับภาพที่เดิมทีควรสง่างามนี่นัก
แน่นอนย่อมไม่มีคนสนใจ
“ตอนนั้นบอกว่าจะยกกำลังทั้งแคว้นโจมตีคราวเดียว อันตรายเกินไปแล้วจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนเฉิงกั๋วกงบุกอี้โจวกะทันหัน องค์ชายห้าเกือบถูกทำร้าย ฮ่องเต้ก็ลังเลแล้ว ที่ปรึกษาอวี้กล่อมแล้วกล่อมอีกบอกว่าไม่อาจถอย บอกว่าชนะได้” แม่ทัพจินเอ่ยต่อ “ฝ่าบาทสงสัยยิ่ง แรกสุดทหารโจวเหี้ยมหาญ ต่อมายังมีอาวุร้ายที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนอีก จะชนะได้อย่างไร”
“ใช่แล้ว” ลูกน้องทั้งหลายที่นั่งล้อมอยู่ข้างกายพากันพยักหน้า “อาวุร้ายนั่นน่ากลัวจริงๆ สอบถามดูได้ยินว่านานมาแล้วมีแม่ทัพชราเล่าว่าเมื่อยี่สิบปีก่อนเคยปรากฏอยู่หลายครั้งเช่นกัน บอกว่าเป็นอาวุธเทพที่ร่วงลงมาจากฟ้า ต่อมาก็หายไป ยังคิดว่าเทพบนสวรรค์เก็บกลับไปแล้ว คิดไม่ถึงเว้นไปนานเช่นนี้กลับปรากฏขึ้นมาอีก อาวุธเทพอันใด ล้วนเป็นคนกระทำ” แม่ทัพจินเอ่ย “ที่ปรึกษาอวี้บอกกับฝ่าบาทว่าขอเพียงเป็นคนกระทำก็ไม่มีสิ่งใดน่ากลัว”
“ทว่าของนั่นน่ากลัวจริงๆ นะ” ลูกน้องที่นั่งล้อมอยู่คนหนึ่งอดไม่ได้เอ่ยขึ้น “ที่ปรึกษาอวี้ทำไมมั่นใจเช่นนี้ว่าพวกเราชนะได้?”
แม่ทัพจินยิ้มเล็กน้อย
“ที่ปรึกษาอวี้บอกไว้” เขาเอ่ย เสียงฉับพลันเปลี่ยนไป “เพราะขุนนางมีอำนาจในราชสำนัก ไม่มีทางมีแม่ทัพใหญ่สร้างคุณงามความชอบอยู่ข้างนอกได้นาน”
ประโยคนี้เขาพูดด้วยภาษาโจว
แม้สำเนียงประหลาด แต่ก็นับว่าพูดสำเนียงแดนเหนือได้ชัดถ้อยชัดคำ เห็นชัดยิ่งว่านี่คือกำลังลอกเลียนที่ปรึกษาอวี้คนนั้นอยู่
แม่ทัพจินทั้งหลายที่ถูกส่งมาประจำการที่นี่มากน้อยล้วนเข้าใจภาษาโจวอยู่บ้าง เพียงแต่ถ้อยคำสละสลวยพวกเขาต้องคิดนิดหนึ่งถึงเข้าใจ จากนั้นจึงหัวเราะเสียงดังขึ้นมา
“ที่ปรึกษาอวี้คาดการณ์ได้ดั่งเทพ” พวกเขาพากันเอ่ย พลางชูชาขึ้น
ผู้คนดื่มคำเดียวหมดหัวเราะบ้าคลั่งอีกหน ท่ามกลางเสียงหัวเราะดุร้ายนี่บ่าวหญิงตัวน้อยสองคนนั้นอดไม่ได้ตัวสั่นระริก ศีรษะยังไม่กล้าเงยขึ้น
“เฉิงกั๋วกงจูซานจบสิ้นแล้ว ถ้าเช่นนั้นแผนการใหญ่ของพวกเราก็ดำเนินการได้แล้ว” ลูกน้องคนหนึ่งวางชามชาลงเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น
แม่ทัพจินกลับยกมือโบก
“ไม่ ที่ปรึกษาอวี้บอกว่าตอนนี้ยังไม่จบ” เขาเอ่ย สีหน้าเย็นเยียบแต่ก็มีความร้อนระอุบ้าคลั่งอยู่ด้วย “ยังไม่นับว่าจบ นี่แค่เพิ่งเริ่มต้น”
…………………………
ลอบออกคำสั่งให้ทหารแดนเหนือไม่ปรองดองกับชาวจิน
ไม่ต้องพูดถึงทหารกับชาวจินไม่ปรองดองคือการจุดความขัดแย้งทำให้ชายแดนไม่มั่นคง แค่พูดถึงลอบออกคำสั่งกระทำโดยพลการขัดขืนเจ้าแผ่นดินในสายตาไม่มีนายเหนือหัว
นี่ล้วนเป็นโทษหนักที่ต้องถูกกล่าวโทษ
เฉิงกั๋วกงถึงกับยอมรับแล้ว?
ถ้าอย่างนั้นหลักฐานขององครักษ์เสื้อแพรก็ไม่ต้องเอาออกมาแล้ว
ลู่อวิ๋นฉีที่ยืนอยู่ด้านข้างสีหน้านิ่งเฉย ไม่ได้ผิดหวังหรือโกรธเกรี้ยว คล้ายสิ่งใดก็ไม่ได้ยิน
แต่ขุนนางใหญ่คนอื่นไม่อาจแสร้งทำเป็นสิ่งใดก็ไม่ได้ยิน ในท้องพระโรงหลังเงียบงันครู่หนึ่งก็ตกอยู่ท่ามกลางเสียงเอ็ดตะโร
“เฉิงกั๋วกงกล้านัก!”
“ใจเนรคุณ!”
ไม่ใช่แค่ผู้ตรวจการคนนั้น ขุนนางใหญ่มากกว่าเดิมพากันก้าวออกมาตำหนิอย่างโกรธเกรี้ยว
ฮ่องเต้คล้ายถูกสถานการณ์นี้ทำให้ตกใจ ทั้งคล้ายตกตะลึงผิดหวังไม่อยากเชื่อเพราะคำพูดของเฉิงกั๋วกง
“หุบปากให้หมด” พระองค์ตะโกน แล้วทอดพระเนตรเฉิงกั๋วกงอีกครั้ง “เฉิงกั๋วกง นี่มีอะไรเข้าใจผิดกระมัง?”
คำนี้ทำให้ผู้ตรวจการหลายคนที่เงียบลงไม่พอใจอย่างมาก
“ฝ่าบาท ท่านตามใจจูซานคนนี้เกินไปแล้ว”
“ก็เพราะพระองค์ทรงเป็นเช่นนี้ จูซานถึงยิ่งทำตามอำเภอใจ”
“ฝ่าบาทท่านเชื่อเขาไม่เชื่อพวกเรา ถูกเขาทำให้งมงายมากเกินไปแล้วจริงๆ”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งขุนนางเฒ่าหลายคนยิ่งเจ็บปวดหัวใจ
ในท้องพระโรงตกอยู่ท่ามกลางเสียงอื้ออึง
ขันทีใหญ่ทั้งหลายไม่อาจไม่ปรามขุนนางใหญ่ทั้งหลายให้เงียบแทนฮ่องเต้
“สิ่งที่พวกเจ้าสมควรพูดข้าก็ให้พวกเจ้าพูดแล้ว ตอนนี้ข้าต้องการฟังว่าเฉิงกั๋วกงจะพูดอย่างไร” ฮ่องเต้ตรัส พลางมองไปทางเฉิงกั๋วกง “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าทำเช่นนี้จริงหรือ?”
เฉิงกั๋วกงพยักหน้า
“กระหม่อมทำเช่นนี้จริงพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ย “ฝ่าบาทไม่ต้องให้ผู้ตรวจการเหล่านี้สอบสวน”
เขามองไปทางลู่อวิ๋นฉีอีกครั้ง
“แล้วก็ไม่ต้องให้พวกองครักษ์เสื้อแพรสืบสวนด้วย”
เขามองไปทางฮ่องเต้อีกครั้ง
“เพราะกระหม่อมทำเช่นนี้เสมอมา” เขาเอ่ย “บอกทหารระดับบนระดับล่างที่แดนเหนือเสมอมาว่าต้องระวังชาวจินตลอดไป”
ร่างของเขาเหยียดตรง เสียงทุ้มนุ่มน้ำเสียงสบายๆ แต่ที่แปลกคือเหล่าขุนนางในท้องพระโรงฉับพลันรู้สึกตึงเครียดกดดันอยู่บ้าง
เสียงของเฉิงกั๋วกงยังคงดังต่อไป นอกจากนี้มองไปทางขุนนางใหญ่สองฝั่ง
“….ต้องไม่เกรงใจ”
“….ต้องโหดเหี้ยม”
“…ไม่มีเรื่องก็ต้องก่อเรื่อง”
“ต้องคว้าทุกโอกาสกำราบไว้”
“ไม่มีโอกาสก็ต้องสร้างโอกาส”
เหล่าขุนนางในท้องพระโรงตาโตอ้าปากค้าง
บ้าไปแล้วหรือ พูดอะไรน่ะ?
หนิงอวิ๋นเจาที่ยืนอยู่ด้านข้างก้มศีรษะลง
ดูสิ นี่ถึงเป็นเฉิงกั๋วกงที่แท้จริง ไม่เหมือนภายนอกของเขาที่สว่างอ่อนโยนดีงามเช่นนั้น เขาชอบสงครามจริงๆ ห้าวหาญจริงๆ แข็งกร้าวอย่างแท้จริง
“ทำไมข้าต้องทำเช่นนี้? เพราะข้าทำศึกกับพวกเขามาทั้งชีวิต ข้ารู้สันดานของพวกเขากระจ่างยิ่ง” เฉิงกั๋วกงเอ่ยต่อ “เป็นฝ่ายผูกมิตรไม่มีทางทำให้พวกเขาสวามิภักดิ์ได้แน่นอน ส่วนพวกเขาเป็นฝ่ายผูกมิตรย่อมต้องมีใจทะเยอทะยานโฉดชั่ว”
เขารั้งสายตากลับมามองไปหาฮ่องเต้
“ดังนั้นฝ่าบาท กระหม่อมอยู่ที่แดนเหนือสั่งทหารเช่นนี้ กระหม่อมไม่อยู่ที่แดนเหนือก็สั่งพวกเขาเช่นนี้ ยามสงครามสั่งเช่นนี้ ไม่ใช่ยามสงครามก็สั่งเช่นนี้”
ฮ่องเต้สีหน้าไม่รู้จะทำอันใดอยู่บ้าง
“ถ้าอย่างนั้น นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” พระองค์เอ่ยถาม
เฉิงกั๋วกงมองมาหาพระองค์
“แผ่นดินแคว้นต้าโจวของเราสักชุ่นสักฉื่อก็สละไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผ่นดินใกล้จุดสำคัญ วันนี้ชาวจินอยู่ด้านข้างหนึ่งวัน แผ่นดินที่ราบกลางก็ไม่ปลอดภัยหนึ่งวัน วันนี้ยอมยกให้สามเมือง วันหน้าย่อมต้องเสียหลายเมือง วันนี้เจรจาสงบศึกง่ายเท่าใด วันหน้าย่อมรบโหดร้ายมากเท่านั้น” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง ชูป้ายเตือนความจำขึ้นค้อมกาย “ดังนั้นสถานการณ์เวลานี้อันตรายยิ่งกว่าก่อนหน้า ไม่อาจวางใจเพราะเจรจาสงบศึก กระหม่อมขอให้ฝ่าบาทยิ่งเข้มงวดกับหน้าที่ทหาร ป้องกันชาวจินอย่างเข้มงวด ไม่อาจปฏิบัติด้วยอย่างอ่อนโยนแม้แต่น้อย”
พูดจบก็ยกชายเสื้อคุกเข่าลง
“นอกจากนี้หาโอกาสทำศึกอีกครั้ง” เขาค้อมกายโขกศีรษะ
ถึงกับยังขอทำศึกอีก!
“จูซาน เจ้ากล้านัก”
ขุนนางคนอื่นยังไม่ทันตอบสนองก็มีคนตวาดโกรธเกรี้ยวคำหนึ่ง
ทุกคนมองไปตามเสียง เห็นหวงเฉิงหัวเราะหยันก้าวออกมา
“กระหม่อมขอทรงลงโทษเฉิงกั๋วกงจูซานโทษฐานกบฏก่อภัยแก่ราชสำนัก” เขาค้อมกายให้ฮ่องเต้พลางเอ่ยขึ้น แล้วมองไปทางเฉิงกั๋วกง “จูซาน ตั้งแต่เจ้านำทหารที่แดนเหนือมา ชาวจินพ่ายแพ้แต่ไม่เสียหาย ยิ่งวันนี้เหิมเกริมรุกราน ทหารแดนเหนือของพวกเราพ่ายแพ้ เสียเมืองไม่หยุด นี่ก็คือกองทัพเหนือใต้ปกครองของเจ้า เจ้ายังมีหน้าอะไรมาเอ่ยวาจาใหญ่โตไม่ละอายที่นี่?”
“ชาวจินสั่งสมสรรพกำลัง บำรุงทหารอาชา เลือกใช้แม่ทัพกล้า ไม่เสียดายกำลังคนกำลังทรัพย์ ถึงมีทหารแข็งแกร่งอาชาพ่วงพีวันนี้” เฉิงกั๋วกงคุกเข่าหันหน้ามองไปทางหวงเฉิงเอ่ยอย่างไม่ลังเลสักนิด
หวงเฉิงหัวเราะหยัน
“ความหมายของเจ้าคือราชสำนักเราไม่บำรุงทหารอาชาไม่ใช้แม่ทัพเก่งกล้า เสียดายกำลังคนกำลังทรัพย์ถึงมีเรื่องพ่ายแพ้ก่อนหน้านี้?“ เขาเอ่ย
“จุดนี้ใต้เท้าหวงรู้ดีอยู่แก่ใจ เบี้ยหวัดเสบียงรางวัลที่แดนเหนือของเราหลายปีนี้ไม่เคยให้เพียงพอตามเวลา” เฉิงกั๋วกงเอ่ย “แต่ละระดับขูดรีด แต่ละชั้นยักยอก”
หวงเฉิงสบถ
“บ้าบอน่าขัน หน้าด้านไม่รู้จักอาย” เขามองด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว “รบชนะเพราะเจ้าปกครองกองทัพได้เหมาะสม ทำศึกแพ้เพราะความผิดของราชสำนัก เจ้ายกยอตนเองว่าเก่งกล้าชำนาญศึก กลับเมินเฉยหลักการระวังภายในผ่อนปรนภายนอก ละโมบความชอบกระหายสงคราม ผลาญท้องพระคลังแคว้นของพวกเรา สังเวยทหารดีหลายหมื่นของกองทัพเหนือเราให้ชาวจิน จนแคว้นว่างเปล่าทหารเสียหาย โชคดีได้เจรจาสงบศึกประเทศประชาชนถึงได้พักฟื้นอย่างสงบ เจ้ากลับยังจะทำศึก เจ้าจะมอบต้าโจวของเราให้ชาวจินด้วยใช่หรือไม่!”
ขุนนางคนอื่นก็พากันก้าวออกจากแถวมาด้วย
“ฝ่าบาท ไม่อาจทำศึกอีกนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาท ทุ่มทหารบุ่มบ่ามทำศึกจะสิ้นชาตินะพ่ะย่ะค่ะ”
พวกเขาพากันค้อมกายเอ่ย
ฮ่องเต้สายตากวาดบนร่างขุนนางทั้งหลาย ท้ายที่สุดมองไปหาเฉิงกั๋วกง ยกมือห้ามทุกคนโวยวาย
“เฉิงกั๋วกง” เขาเอย “ที่แท้จนถึงเวลานี้นาทีนี้เจ้าก็ยังไม่เห็นด้วยกับการเจรจาสงบศึก”
เฉิงกั๋วกงสีหน้าอ่อนโยนแววตาสงบนิ่ง
“ฝ่าบาท ชาวจินรวบรวมทหารมาทำศึกกับข้าจนหมดสิ้น ทรัพย์สินของแว่นแคว้นผลาญจนว่างเปล่า เวลานี้สมควรฮึดทีเดียวปราบให้พ่ายแพ้ ไม่อาจให้โอกาสพวกเขาได้หายใจเด็ดขาด แม้เจรจาสงบศึกแล้ว แต่ชาวจินเป็นฝ่ายขอเจรจาสงบศึก ทางเราอย่างไรก็กำลังใจทหารฮึกเหิม เวลาเหมาะ ชัยภูมิได้เปรียบ คนสามัคคี โอกาสยากจะเสีย” เขาค้อมกาย “กระหม่อมขอฝ่าบาทโปรดมุ่งหวังสิ่งนี้”
ที่ประชุมส่งเสียงเอะอะอีกครั้ง
“ฝ่าบาท กระหม่อมมีฎีกา” หวงเฉิงเอ่ยพลางยื่นมือชี้ไปด้านหลัง “ยกฎีกาเข้ามา”
ฎีกา?
ฮ่องเต้พระขนงมุ่นเล็กน้อย พยักหน้าให้ขันที ขันทีทั้งหลายรับคำสั่งตอนนี้ถึงออกไป ไม่นานก็ยกกล่องใบหนึ่งเข้ามา เปิดฝาออกฎีกาเทพรืดร่วงเกลื่อนพื้น
“นี่ล้วนเป็นฎีกาเชิญกลับที่แม่ทัพแดนเหนือส่งมาหลังเฉิงกั๋วกงเข้าเมืองหลวง ล้วนขอเชิญเฉิงกั๋วกงกลับแดนเหนือ”
“พวกเขากดดันราชสำนัก เมินเฉยงานราชการคำสั่งราชสำนัก”
“ชิงเหอปั๋วที่แดนเหนือทุกก้าวย่าวทำงานลำบาก แม่ทัพมณฑลต่างๆ ฉากหน้ารับคำสั่งเบื้องหลังขัดขืน”
ขุนนางหลายคนก้าวออกมาเอ่ย
ในท้องพระโรงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้น ชี้มือชี้ไม้ใส่ฎีกาด้านนี้ สีหน้าไม่อยากเชื่อทั้งยังส่ายศีรษะอย่างไม่พอใจ
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรฎีกาที่กระจายเกลื่อน ฟังเสียงวิพากวิจารณ์หึ่ง สีพระพักตร์ค่อยๆ เคร่งขรึม
“ฝ่าบาท มีจูซานอยู่วันหนึ่ง ความขัดแย้งที่ชายแดนก็ไม่มีวันจบวันหนึ่ง” หวงเฉิงเอ่ย ค้อมกายคำนับ “กระหม่อมขอให้ปลดหน้าที่ทางทหารของเฉิงกั๋วกง กระหม่อมขอโปรดลงโทษเฉิงกั๋วกงโทษฐานใช้อำนาจในทางมิชอบแอบอ้างสิทธิทั้งภายในและภายนอก”
ขุนนางมากกว่าเดิมคุกเข่าลงพากันเอ่ยตาม
ชั่วเวลาหนึ่งทั้งท้องพระโรงล้วนเป็นเสียงขอให้ลงโทษเฉิงกั๋วกง
มีเพียงสี่คนไม่ได้อยู่ในนั้น คนหนึ่งคือลู่อวิ๋นฉี นี่ย่อมไม่ใช่เพราะเขาไม่เห็นด้วย คนหนึ่งคือหนิงอวิ๋นเจา นี่เพราะฮ่องเต้ยังไม่เอ่ยโอษฐ์ ส่วนเฉิงกั๋วกงก็ไม่ได้เอ่ยวาจา ค้อมกายโขกศีรษะขอร้องเช่นกัน
คำขอร้องวิงวอนของเขาย่อมไม่เหมือนกับขุนนางทั้งหลายเหล่านี้
“จูซาน” ฮ่องเต้อ้าปากเอ่ย “ข้าไม่ถามเรื่องที่เจ้าปลุกปั่นความขัดแย้งที่ชายแดน”
ถึงกับไม่เอาผิดเรื่องนี้? ฮ่องเต้จะปล่อยเฉิงกั๋วกงไปอีกแล้วหรือ?
ขุนนางทั้งหลายพากันเงยหน้าขึ้น
เฉิงกั๋วกงก็เงยหน้าขึ้นด้วย
“ข้าเพียงถามเจ้า ไม่ทำศึกได้ไหม?” ฮ่องเต้ตรัสถาม
หวงเฉิงที่ค้อมกายอยู่ขมวดคิ้ว ฝ่าบาทนี่คิดจะถอยเพื่อรุกไม่ใช่เสี่ยงอันตรายไปหน่อยหรือ? จูซานน่ะหน้าไม่อายยิ่งนัก ไม่แน่ที่พูดออกมาเมื่อครู่นี้ก็เพื่อบีบฮ่องเต้ให้ตรัสประโยคนี้ออกมา อย่างไรวันนี้ที่ถามหาความผิดก็คือเรื่องที่เขาปลุกปั่นความขัดแย้งที่ชายแดน ฮ่องเต้ยามนี้ปล่อยเรื่องนี้ เขาพอดีไหลตามสถานการณ์ตอบรับ
อย่างไรเจรจาสงบศึกลุล่วงแล้ว ทำสงครามหรือไม่ทำสงครามก็เป็นเพียงถ้อยคำว่างเปล่าไม่กี่คำเท่านั้น
ครั้งนี้ก็จะถูกเขาหนีรอดไปได้อีกแล้วหรือ? ถ้าอย่างนั้นการเคลื่อนไหวก้าวต่อไปก็ลำบากอยู่บ้างแล้ว
หวงเฉิงครุ่นคิดกำลังจะพูดอะไรบ้าง เฉิงกั๋วกงพลันเอ่ยปากแล้ว
“ฝ่าบาท กระหม่อมทำไม่ได้” เฉิงกั๋วกงค้อมกายโขกศีรษะ เสียงอ่อนโยนทว่าหนักแน่น “เวลานี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะไม่ทำศึกก็สงบได้”
หวงเฉิงผ่อนลมหายใจ ได้ยินเสียงฮ่องเต้ดังมาเหนือศีรษะ
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าลาออกจากตำแหน่งเสียเถิด”
……………………………………….
……………………………………….
เฉิงกั๋วกงลาออกจากตำแหน่งแล้ว!
เฉิงกั๋วกงลาออกจากตำแหน่งแล้ว!
ข่าวประหนึ่งลมพัดวูบหนึ่งกระจายไปในเมืองหลวง กระจายไปข้างนอกรอบทิศ
“ลาออกจากตำแหน่งอะไรเล่า” ผู้เฒ่าคนหนึ่งนอกเพิงน้ำชาข้างถนนใหญ่ส่ายศีรษะ “นั่นคือปลดจากตำแหน่ง เพียงแต่ฮ่องเต้ไว้หน้าเฉิงกั๋วกง ถึงให้เขาลาออกจากตำแหน่ง อย่างไรก็น่าฟัง ดูดีกว่าปลดจากตำแหน่งอยู่บ้าง”
สนทำไมว่าเขาถูกปลดจากตำแหน่งหรือลาออกจากตำแหน่ง ชาวบ้านที่ฟังเรื่องสนุกอยู่ไม่สนใจกระบวนการสนใจเพียงผลลัพธ์
“หลังจากนั้นเล่า? เฉิงกั๋วกงออกจากตำแหน่งจริงๆ แล้วไหม?” พวกเขาเอ่ยถามอย่างรีบร้อน
ผู้เฒ่าพยักหน้า
“ออกจากตำแหน่งแล้ว” เขาเอ่ย
ได้ยินถึงตรงนี้จูจั้นพลันโยนเงินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นเดินไปข้างนอก คุณหนูจวินรีบติดตามไป
“ท่านกั๋วกงทำเช่นนี้ต้องมีความคิดของตนเองแน่” นางเอ่ย
จูจั้นจูงม้า ยิ้มแล้ว
“ก็ไม่มีสิ่งใดต้องคิด” เขาเอ่ย “เข้าเมืองหลวงไปดูสักหน่อย ตอนนี้ก็แค่ดูกระจ่างแล้วเท่านั้น”
………………………………
หลังจากนั้น หลังจากนั้นยังจะเอาอย่างไรอีก?
นางก็บอกแล้วว่าหลังจากนี้จะไม่โมโหเขาเพราะเรื่องก่อนหน้านี้อีกแล้ว เขาทำไมยังไม่จบไม่สิ้นอีก
คุณหนูจวินโมโหอยู่บ้างแล้วก็อายอยู่บ้าง
“หลังจากนั้นก็รีบเดินทาง” นางเอ่ย ดันเขาออกจะไปจูงม้า
ลำบากนักกว่าจะพูดถึงตรงนี้ได้ จะช่างมันเช่นนี้ได้อย่างไร
จูจั้นคว้าแขนนางไม่ปล่อย
“ข้าพูดจนหมดแล้ว เจ้าหลังจากนั้นจะ จะไม่พูดอะไรบ้างหรือ” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินยิ่งขัดเขินโมโหยิ่งกว่าเดิม รู้สึกว่าแขนที่ถูกเขาคว้าไว้ไม่สบายอย่างที่สุด
“พูดอะไรเล่า ข้าไม่ใช่พูดแล้วหรือ” นางออกแรงจะสะบัดออกพลางเอ่ยขึ้น
พูดอะไร?
สิ่งที่เขาต้องการฟังรวมถึงสิ่งที่ต้องการให้นางพูดคือหลังจากนี้ แต่ไม่ใช่หลังจากนี้จะไม่โมโหใส่ตนเองอีก
“ข้าพูดแล้วว่าข้าชอบเจ้า เจ้าล่ะ?” จูจั้นเอ่ย
ชอบเจ้า ไม่ใช่ชอบฉู่จิ่วหลิง แล้วก็ไม่ใช่จวินจิ่วหลิง เป็นเจ้า
ประโยคนี้พูดออกมาหูหน้าเขาก็ร้อนฉ่าไปหมด ไม่ทันรู้ตัวขยี้เท้าลงบนพื้น อยากขยี้พื้นจนเป็นหลุมสักหลุมหลังจากนั้นกระโดดเข้าไปใช้ดินกลบตนเอง หลังกลบแล้วก็ใช้เท้ากระทืบให้แน่นนัก มีเพียงเช่นนี้ใจถึงสงบลงได้
คุณหนูจวินได้ยินเขาเอ่ยประโยคนี้ออกมาสีหน้าก็ไม่ได้ดีไปถึงไหนเช่นกัน เดิมก็ลนลานอยู่ลบ้าง แต่เห็นสภาพนี่ของจูจั้นก็อยากหัวเราะอยู่บ้างอีก
ในเมื่อเขาลนลานยิ่งกว่าตนเอง ถ้าเช่นนั้นนางก็รู้สึกสงบอยู่บ้างเล็กน้อย
“อื้อ” นางเอ่ย
อื้อหมายความว่าอย่างไร? จูจั้นจับแขนนางอยู่อดไม่ได้แกว่งไกวนิดหนึ่ง
คุณหนูจวินอายจนโมโหอยู่บ้างสะบัดออก
“ข้าไม่รู้” นางเอ่ย
นี่มีสิ่งใดไม่รู้!
“เจ้า เจ้าคิดจะไม่รับผิดชอบอีกแล้ว” จูจั้นคว้าแขนนางไว้ไม่ปล่อย รีบเอ่ย
“ข้าทำอะไรท่านแล้วข้าถึงไม่รับผิดชอบ ทำไมข้าต้องรับผิดชอบ” คุณหนูจวินทั้งฉุนทั้งขันอีกหน
พูดถึงขั้นนี้แล้ว ก็ไม่ต้องอายแล้ว
“อย่างไร เจ้าก็ต้องพูดสักประโยค” จูจั้นเอ่ยเสียงงึมงำ มองนาง “เจ้าชอบหรือไม่ชอบข้า”
ในที่สุดก็ถามประโยคนี้ออกมาชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว
ชี้ตัวเจ้า ถามข้าชัดจน ไม่มีทางเลี่ยงรวมถึงบอกปัดอีกต่อไป
หนีก็ไม่อาจหนี เลี่ยงก็ไม่อาจเลี่ยง คนกลับเยือกเย็นลง
ความว้าวุ่นกับอับอายโมโหล้วนสลายไปแล้ว คุณหนูจวินตั้งใจคิดนิดหนึ่ง
“อืม” นางเอ่ย “ไม่เกลียด”
ไม่เกลียดก็คือชอบหรือ? จูจั้นก็ตั้งใจคิดนิดหนึ่งเช่นกัน
“ก็คือข้าไม่ได้เกลียดท่าน” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ สีหน้าจริงจังทั้งยังนิ่งสงบมองเขา “ส่วนชอบเรื่องนี้ ข้าไม่รู้”
ไม่รู้? จูจั้นตั้งใจมองนาง
ชอบ เป็นอย่างไร? ก็คือคิดถึงคนผู้หนึ่งตลอดเวลา เห็นเขาก็เบิกบานใจ อยากอยู่ด้วยกันกับเขาชั่วนิรันดร์เช่นนั้นหรือ?
ถ้าอย่างนั้นนางก็เคยชอบ
คุณหนูจวินสีหน้าเศร้าหมองอยู่บ้าง ตัวอย่างเช่นคนที่นางเคยแต่งงานด้วย คนที่อยากแก่เฒ่าผมขาวโพลนไปด้วยกัน ทว่านั่นล้วนเป็นเรื่องหลอกลวง ความอัปยศ
นางโศกเศร้าโกรธแค้นอยู่บ้างอีกหน
แน่นอน นางรู้ว่าคนไม่ใช่คนเดียวกัน เรื่องย่อมไม่อาจทำเหมือนกันได้ ยามนี้ไม่อาจใช้สิ่งนี้มาเป็นหลักอ้างอิงได้
ตอนนี้หรือ…
“ตอนนี้ข้าไม่เคยคิดว่าชอบไม่ชอบ” นางมองจูจั้น แววตากระจ่างใส สีหน้าจริงจัง “เพราะไม่รู้ว่าหลังจากชอบแล้วต้องทำอย่างไร”
ใช้แล้ว นางคือฉู่จิ่วหลิง พระบิดาของนางถูกทำร้ายยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ พี่น้องของนางถูกจองจำกักขังเป็นตายยังยากคาดเดา
ที่สำคัญที่สุดก็คือ นางไม่ได้พูดว่าไม่ แต่พูดว่าไม่รู้
ตอนนี้ไม่รู้ หลังจากนี้อย่างไรก็คงรู้
ตอนนี้ไม่เกลียด หลังจากนี้บางทีอาจชอบ
สีหน้าของจูจั้นฟื้นกลับมาสงบเช่นกัน
“ไม่รีบร้อน” เขาเอ่ยพลางยิ้มเล็กน้อย “หลังจากนี้ข้าค่อยถามเจ้าใหม่ เจ้าค่อยตอบใหม่”
ประเด็นนี้ก็นับว่าคลี่คลายแล้วกระมัง
คล้ายคำถามไม่ได้รับคำตอบ
แต่จูจั้นมองคุณหนูจวิน คุณหนูจวินก็มองเขา ความลนลานเมื่อครู่กลับมานิ่งสงบ แต่ก็มีความรู้สึกแปลกบางอย่างอยู่
“ถ้าเช่นนั้นก็ไปเถอะ” คุณหนูจวินเอ่ย ไม่หลบเลี่ยง สายตามองเขา
จูจั้นก็ไม่ได้หลบเลี่ยง
“ไปเถอะ” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินกลับไม่ขยับ
“ถ้าเช่นนั้นท่านปล่อยมือข้าก่อน” นางเอ่ย
จูจั้นตะลึงวูบหนึ่ง ตอนนี้ถึงรู้สึกตัวว่ายังจับแขนของนางอยู่ เขารีบปล่อยออก ลนลานอยู่บ้างทั้งยังน่าขันอยู่บ้าง หลังจากนั้นเขาก็หัวเราะขึ้นมาจริงๆ
คุณหนูจวินถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง หัวเราะด้วยแล้ว
ไม่เหมือนความเขินอายลนลานก่อนหน้านี้ พวกเขารู้สึกว่ารอยยิ้มของตนรวมถึงอีกฝ่ายยามนี้เวลานี้ล้วนผ่อนคลายและมีความสุข แต่ม้าสองตัวด้านข้างหายใจพรืด ส่ายหางมองมา คล้ายสงสัยอยู่บ้างว่าเจ้านายทั้งหลายของตนเองทำไมต้องมองกันหัวเราะโง่ๆ
และเวลานี้เรื่องเล็กน้อยที่แพะสองตัวจุดขึ้นมาที่เมืองอันกั๋วก็ลุกลามออกไปแล้ว ม้าเร็วตัวหนึ่งวิ่งจี๋ออกจากเมือง แต่เดินทางไปได้ไม่ไกลเท่าไรก็ถูกขวางไว้
“ใต้เท้า ข้าเป็นม้าเร็ว” นายทหารที่ถูกจับลงจากม้าสีหน้าไม่เข้าใจเอ่ยขึ้น พลางเอาม้วนสารในอกเสื้อออกมา “ล้วนเป็นข่าวด่วน”
ขบวนคนม้ากลุ่มหนึ่งตรงหน้าเขายืนขรึม ชุดเกราะครบครัน ในมือยิ่งเป็นคันศรเตรียมยิง
แม่ทัพที่เป็นหัวหน้าสีหน้าเย็นชามองเขา ไม่ได้รับม้วนสารที่เขาหยิบออกมา
“เบื้องบนมีคำสั่ง ศาลาพักม้าและม้าเร็วต้องตรวจสอบให้กระจ่าง หยุดการส่งข่าวด้วยม้าเร็วชั่วคราว” เขาเอ่ย แล้วโบกมือทีหนึ่ง “เชิญกลับไปเถอะ”
ม้าเร็วสีหน้าตะลึง
“ข้าไม่ได้รับแจ้งข่าวนี้” เขาเอ่ย แล้วท่าทางลำบากใจอยู่บ้าง “ใต้เท้า ท่านดูจดหมายนี่สำคัญอย่างที่สุด หากล่าช้า…”
“หากล่าช้าย่อมมีเบื้องบนรับผิดชอบ เจ้าไม่ต้องกังวล” แม่ทัพขัดเขาอย่างเย็นชา
ม้าเร็วยังอยากพูดอะไรอีก นายทหารทั้งหลายด้านนั้นก็ด่าทอพร้อมเพรียง เล็งศรในมือใส่เขา
“ไม่ถอยไปอีกจะถือว่าขัดขืนคำสั่งกองทัพลงโทษสังหารทันที” พวกเขาตวาด
ม้าเร็วได้แต่ลุกขึ้นรีบจูงม้าหันหัวกลับ นายทหารกลุ่มนี้ใช้คันศรเล็งเขาตั้งแต่ต้นจนจบ จนกระทั่งเขาเข้าเมืองไป
“ไป ป้องกันตรวจตราเข้มงวด” แม่ทัพที่เป็นหัวหน้าเอ่ย หันศีรษะมาก็เห็นชาวบ้านทั้งหลายที่หลบชมเรื่องสนุกอยู่บนถนนใหญ่
เห็นเขามองมา ชาวบ้านทั้งหลายพลันตกใจรีบหลบไปข้างหลังหลบสายตาไป
“ยังมีพวกเจ้าอีก วันนี้สองแคว้นติดกัน มีเป็นสายลับหรือไม่?” แม่ทัพเอ่ยเสียงเย็นชา
ชาวบ้านทั้งหลายกลัวรีบโบกมือ ยิ่งมีคนคุกเข่ากับพื้น
“ไม่กล้า ไม่กล้า”
“ท่านขุนนางโปรดตรวจสอบให้กระจ่าง”
คนเหล่านี้ไหล่หาบมือหิ้ว มองปราดเดียวก็คือชาวบ้านในท้องถิ่น แม่ทัพกวาดมองทีหนึ่งก็ไม่สนใจอีกต่อไป พาคนขี่ม้าเร็วรี่จากไป
จนกระทั่งทหารทั้งหลายจากไปไกลแล้ว ชาวบ้านทั้งหลายถึงเงยศีรษะขึ้น ทั้งแปลกใจทั้งวิตก แต่ก็ไม่กล้าถกเถียงมาก รีบแยกย้ายไป บุรุษคนหนึ่งในนั้นที่แบกไก่ป่าสองตัวกับฟืนกองหนึ่งสีหน้าเคร่งขรึมนิดหน่อย มองนายทหารที่ยืนตรงอยู่ที่ประตูเมืองซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแล้วก้มศีรษะก้าวยาววิ่งไปด้านหน้า
……………………………………….
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เห็นจูจั้นที่เดินออกมาจากศาลาพักม้า สีหน้าเห็นชัดว่าไม่เหมือนหลายครั้งก่อน คุณหนูจวินรีบเอ่ยถาม
“มีข่าวแล้ว?”
จูจั้นสีหน้าเคร่งเครียด
“เจ้าพูดถูกแล้ว ไม่มีข่าวก็คือข่าวดี” เขาเอ่ย
ถ้าเช่นนั้นก็มีข่าวแล้ว ไม่เช่นนั้นเขาไม่มีทางสีหน้าเช่นนี้
คงเพราะได้ฟังข่าวร้ายมาตลอด ดังนั้นจึงไม่รู้สึกอย่างไร ตรงกันข้ามกลับมีความรู้สึกว่ารองเท้าในที่สุดก็ตกถึงพื้น
“คืออะไร?” คุณหนูจวินเอ่ยถามอย่างนิ่งสงบ
……………………………………….
“จูซาน”
ในท้องพระโรงผู้ตรวจการคนหนึ่งหมุนตัวชี้เฉิงกั๋วกงที่อยู่ในขบวนแถว ตวาดเสียงเข้ม
“เจ้ารู้ความผิดไหม!”
เฉิงกั๋วกงเงยศีรษะขึ้น เดินออกมาจากในขบวนแถว
“ไม่ทราบ” เขาสีหน้านิ่งสงบเอ่ย
ผู้ตรวจการคนนั้นก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง ป้ายเตือนความจำในมือชูขึ้น
“เจ้าลอบสั่งให้ทหารแดนเหนือไม่ปรองดองกับชาวจินใช่ไหม?” เขาคิ้วตั้งตวาดเอ่ย “เจ้าจงใจให้ทหารทะเลาะกับชาวจินหรือไม่?”
ฮ่องเต้สีพระพักตร์คล้ายประหลาดใจ ทั้งยังวิตกอยู่บ้าง
“เฉิงกั๋วกง มีเรื่องนี้ไหม?” เขาเอ่ยถาม
นี่ไม่ใช่การประชุมใหญ่ ในตำหนักฉินเจิ้งมีเพียงขุนนางพลเรือนและทหารคนสำคัญอยู่ที่นั่น จำนวนคนไม่มาก แต่ล้วนตำแหน่งสูงไม่มีทางพูดพล่อยๆ พูดคำหนึ่งก็บงการงานราชการได้ แน่นอกนอกจากคนผู้หนึ่งเป็นข้อยกเว้น
สายตาของหวงเฉิงจับอยู่บนร่างขุนนางอายุน้อยคนหนึ่งที่ยืนอยู่ท้ายแถว นั่นคือหนิงอวิ๋นเขา เจ้าคนที่เดิมไม่ควรมีคุณสมบัติปรากฏตัวที่นี่ด้วยตำแหน่งขุนนางไม่พอ
ทว่าฮ่องเต้กลับเอาเหตุว่าขุนนางจดบันทึกพระดำรัสล้มป่วยให้หนิงอวิ๋นเจามารับใช้ข้างกาย
ไม่ต้องพูดถึงหนิงอวิ๋นเจามีคุณสมบัติพอมาแทนตำแหน่งนี้หรือไม่ ขุนนางคนนั้นไม่ได้ล้มป่วยสักนิด
ฮ่องเต้อยากฟังคำพูดน่าฟังสักหลายประโยค อยากถูกคนสนับสนุนจนถึงกับทำเรื่องบ้าบอเช่นนี้ออกมา ไม่เข้าท่าเกินไปแล้วจริงๆ!
หวงเฉิงปวดใจยิ่งนักกับเรื่องนี้
แต่ดีที่สุด วันนี้ขอให้เจ้ายังเยินยอฮ่องเต้ เคารพบัญชาฮ่องเต้เพียงอย่างเดียวเถอะ หลังจากนี้ค่อยจัดการเจ้า
หวงเฉิงรั้งสายตากลับมาจากบนร่างหนิงอวิ๋นเจา มองเฉิงกั๋วกงใหม่อีกหน ไม่ปิดบังแววตาเย็นเยียบสักนิด
หลักฐานปฏิเสธไม่ได้ ดูสิเจ้าจะปฏิเสธอย่างไร
“กระหม่อม” เฉิงกั๋วกงค้อมกาย “มีเรื่องนี้จริงๆ”
ถึงกับยอมรับแล้ว?
ผู้ตรวจการกับหวงเฉิงล้วนสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยวูบหนึ่ง ส่วนหนิงอวิ๋นเจาที่ท้ายแถวก้มศีรษะถอนหายใจแผ่วเบาทีหนึ่ง
ดูท่าเฉิงกั๋วกงจะเอาจริงแล้ว
…………………
แม้คนมาก อาหารในร้านพักเท้านี่กลับเร็วอย่างที่สุด
จานใหญ่ ชามใหญ่ เย็นร้อน เนื้อผัก หวานเค็ม เปรี้ยวเผ็ดผลัดเปลี่ยนยกมาแล้วยกไปลื่นไหลประหนึ่งกระแสน้ำ ส่วนคุณหนูจวินก็กินอย่างสบายอารมณ์ยิ่งเช่นกัน
ไม่รู้ว่าเหตุเพราะน้ำแกงเปรี้ยวเผ็ด หรือคนที่นั่งรอบด้านมากเกินไปเบียดเสียดเอะอะ คุณหนูจวินจึงกินจนเหงื่อโชกเต็มศีรษะ มันเยิ้มเต็มหน้า ดูไปแล้วน่าสนุกทั้งยังน่าขัน
เสียงเคร้งเบาๆ ทีหนึ่งดังขึ้น คุณหนูจวินวางช้อนในมือลงแล้วเงยหน้าขึ้น
“ท่านมองข้าทำอะไร?” นางเอ่ยขึ้นอย่างโมโหอยู่บ้าง ปลายจมูกเหงื่อเม็ดน้อยหยดร่วง
จูจั้นขานอ้อทีหนึ่ง
“ข้าทำหรือ?” เขาเอ่ยถาม คล้ายเพิ่งมองมาทางนาง ยกตะเกียบในมือขึ้น “ไม่กระมัง”
คุณหนูจวินก้มศีรษะคีบอาหารต่อ เพิ่งก้มศีรษะฉับพลันก็เงยขึ้นมาอีกหน สบสายตาจูจั้น
เขากำลังกัดตะเกียบ เห็นนางมองมาก็ยิ้ม
“เจ้านี่ เจ้านี่ไม่อร่อย เจ้าลองชิมอันนั้น” เขาใช้ตะเกียบชี้ลูกชิ้นทอดชามหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
คุณหนูจวินขมวดคิ้วมองเขาไม่สนใจ
“ท่านกินเอง อย่ามองข้า” นางเอ่ย
“ข้าไม่ได้มองเจ้า” จูจั้นเอ่ยอีกครั้ง จนปัญญาอยู่บ้าง
“ข้าเห็นท่านมอง หลังท่านนั่งลงตรงนี้ก็เป็นเช่นนี้ตอลด” คุณหนูจวินเอ่ยเสียงเบา สีหน้าโมโห “ท่านทำเช่นนี้กระทบข้าทานอาหาร”
จูจั้นหัวเราะแล้ว
“ที่ไหนเล่า ก่อนหน้านี้ข้าก็เป็นเช่นนี้นะ เจ้าไม่เห็นพูดแบบนี้” เขาก้มศีรษะ ลดเสียงเบาลงแล้วพึมพำประโยคหนึ่ง “เจ้าก็ไม่ได้กินน้อย”
ก่อนหน้านี้เขาก็เป็นเช่นนี้รึ?
นางทำไมไม่เคยสังเกต? คุณหนูจวินถือช้อนเหม่อลอยเล็กน้อย
แปลกจริงๆ วันนี้นางมักรู้สึกว่าสายตาของเขาเกาะหนึบอยู่บนร่างนางตลอด ไม่ว่าอยู่ด้านหน้าหรืออยู่ด้านหลัง ไม่ว่าทำอะไร ขอเพียงเงยสายตาไปก็เห็นสายตาของเขาได้ทันที ชวนให้คนโมโห
ฉับพลันนางก็รู้สึกว่าอยู่ตามลำพังสองคนเช่นนี้ขัดเขินนัก ดังนั้นหลังเอ่ยไปว่าพักแรมนอกเมือง ก็คิดขึ้นมาได้ว่านั่นต้องอยู่กันตามลำพังแน่นอน จึงกลับคำจะเข้าเมืองทันที
เดินอยู่ในเมืองคนมากครึกครื้น สายตาสับสน ยอมไม่ต้องถูกสายตาของเขากักไว้
ดังนั้นจึงเลือกโรงเตี๊ยมที่คนมาก แล้วก็นั่งล้อมวงทานอาหารในห้องโถงใหญ่ที่เบียดเสียดคึกคักครึกครื้น
แต่ทำไมเงยหน้าขึ้นมาก็ยังเจอสายตาของเขาอีก นั่งอยู่ในฝูงชนวุ่นวายอลหม่านก็คล้ายมีเพียงพวกเขาสองคนประจันหน้ากัน ประหนึ่งนอกกายไม่มีสิ่งใด สายตาของเขายังคงอยู่ทุกหนทุกแห่ง
โมโหจนทนไม่ไหวจริงๆ จึงต่อว่าเขา เขากลับทำหน้าเหมือนนางจงใจหาเรื่อง
ข้าก่อนหน้านี้ก็เป็นเช่นนี้รึ
เขาก่อนหน้านี้เป็นเช่นนี้ ตนเองไม่ได้สังเกต เพราะไม่ใส่ใจ? ตอนนี้เพราะรู้ความในใจของเขาดังนั้นจึงไม่เหมือนแล้ว
ที่แท้ไม่ใช่เขาเปลี่ยน เป็นนางเปลี่ยน
คุณหนูจวินคีบเกี๊ยวนึ่งตัวหนึ่งขึ้นมาช้าๆ กัดทีละนิดๆ
ก็เหมือนหลังเขาได้รู้ว่าตนเองคือองค์หญิงจิ่วหลิงแล้วลนลานทำอันใดไม่ถูกยามเผชิญหน้าตนเอง ตอนนั้นตนก็กล่อมเขาว่าให้เหมือนก่อนหน้านี้ อย่างไรนางก็ไม่ได้เปลี่ยน สิ่งที่เปลี่ยนมีเพียงความรู้สึกของเขา
ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ก็กลับกันแล้ว
เพราะแอบสอดส่องเห็นความรู้สึกบางอย่างของจูจั้น นางจึงลนลานทำอันใดไม่ถูก ดังนั้นสิ่งเหล่านั้นที่ก่อนหน้านี้ไม่สนใจจึงเปลี่ยนมาสนใจเป็นพิเศษ หากบอกว่าเขามองนางตลอดเวลา ถ้าเช่นนั้นไยนางไม่ใช่ก็มองเขาตลอดเวลาด้วย
คุณหนูจวินเม้มปากยิ้ม อับอายหงุดหงิดอยู่บ้างแล้วก็น่าขันอยู่บ้าง
นี่นับว่านางตื่นตระหนกไปเองแล้ว ท่าทีของเขาไม่ได้เปลี่ยน แต่นางเปลี่ยน
ที่จริงนี่มีอะไรเล่า มองก็มองสิ…
ความคิดแล่นผ่าน นางก็เงยสายตาโดยไม่รู้ตัว สบกับสายตาของจูจั้นอีกหน
เขาคล้ายตกใจสะดุ้ง
“เฮ้อ ข้าเห็นเจ้ากัดตะเกียบเลยคิดจะเตือนสักหน่อย” เขารีบเอ่ย “ไม่ได้จงใจมองเจ้านะ”
จงใจ แล้วอย่างไร? หรือนางกลัวเขามองรึ? คุณหนูจวินมองเขาทีหนึ่ง ยิ้มแล้ว
“ส่งหมี่น้ำแกงถั่วชามนั้นมาให้ข้า” นางเอ่ย
จูจั้นขานรับ ยื่นมือหยิบมาให้นาง แล้วมองนางอีก
คุณหนูจวินไม่โมโหอีกต่อไป แล้วก็ไม่สนใจเขา นางเติมข้าวและกับข้าวจดจ่อตั้งใจกินอย่างจริงจัง
แม้ไม่ทราบว่าทำไมนางเปลี่ยนมาอารมณ์ดีแล้ว แต่เขาก็รู้ว่าเวลาเช่นนี้ต้องสงบใจดื่มด่ำถึงจะได้ ไปสอบถามไปคาดคั้นจี้ถามนั่นเป็นการรนหาความลำบากให้ตนเองอย่างโง่เขลา
จูจั้นเลิกคิ้ว กินอย่างคึกคักเบิกบานใจเช่นกัน
……………………………………….
……………………………………….
“พวกเขาผ่านซินอันแล้วขอรับ” หัวหน้ากองพันเจียงเอ่ย ติดตามลู่อวิ๋นฉีที่เดินเข้าไปในพระราชวัง
ในทางเดินของพระราชวังด้านนี้องครักษ์เสื้อแพรยืนตรงอยู่ เห็นลู่อวิ๋นฉีผ่านมาก็พากันคำนับ
ลู่อวิ๋นฉีเดินผ่านไปตรงๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็ใกล้จะกลับมาแล้ว” เขาเอ่ย
หัวหน้ากองพันเจียงขานรับ
“ใต้เท้า ตอนเข้าเมืองหลวงจะ…” เขาคิดนิดหนึ่งก็เอ่ยถาม
ลู่อวิ๋นฉีส่ายศีรษะ หัวหหน้ากองพันเจียงพลันขานรับไม่พูดต่อ ทั้งสองคนเดินผ่านทางเดินมาถึงตำหนักฉินเจิ้งที่ฮ่องเต้ประทับอย่างรวดเร็วยิ่ง
“ใต้เท้าลู่มาแล้ว”
เสียงแหลมเล็กเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น
เสียงนี้ไม่รื่นหู โทนเสียงยิ่งไม่รื่นหูติดจะหยอกเย้าอยู่บ้าง
ในวังแห่งนี้ไม่มีใครกล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้กับลู่อวิ๋นฉีหรอก หัวหน้ากองพันเจียงขมวดคิ้วมองไป เห็นขันทีกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางองครักษ์เสื้อแพรบนทางเดินตำหนักด้านหน้า
ขันทีกลุ่มนี้ไม่เหมือนขันทีอื่น อาภรณ์ที่สวมแปลกอยู่บ้าง จะเป็นบ่าวก็ไม่เหมือนบ่าว จะเป็นขุนนางก็ไม่เหมือนขุนนาง
แต่ตอนนี้พวกหัวหน้ากองพันเจียงก็ไม่ใช่ไม่คุ้น นี่ก็คือเหล่าขันทีใหญ่ของกรมขันทีจับกุมที่ให้กรมขันทีพิธีการตั้งขึ้นใหม่ หรือก็คือสถานที่ที่หยวนเป่าเป็นขุนนางขันทีอยู่
คล้ายกับองครักษ์เสื้อแพร รับบัญชาสืบสวนสอดส่อง ช่วยเหลือการทำงานของกรมสืบสวนฝ่ายเหนือในนาม แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนี้
“ใต้เท้าลู่ ฝ่าบาทกำลังสนทนากับหยวนกงกงอยู่ ท่านโปรดรอสักครู่” ขันทีผู้เป็นหัวหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ย
ฮ่องเต้สั่งให้หลิ่วเทียนมาแล้วให้เขารอ นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน
สีหน้าหัวหน้ากองพันเจียงขุ่นเคืองเล็กน้อย
ลู่อวิ๋นฉีสีหน้านิ่งเรียบไร้คลื่น ไม่พูดสักคำ หมุนตัวก็ไปยืนอยู่ตรงทางเดินเหมือนเช่นองครักษ์เสื้อแพรคนอื่น
หัวหน้ากองพันเจียงมองขันทีคนนั้นอย่างเย็นชาทีหนึ่งแล้วตามไปยืนด้วย
เห็นพวกเขาเป็นเช่นนี้ ขันทีคนนั้นกลับเบื่ออยู่บ้าง เบ้ปากไม่เอ่ยวาจาต่อแล้ว
หยวนเป่าด้านในเปิดจดหมายลับให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตรอย่างระมัดระวัง
“แบ่งเป็นสามส่วน” เขากราบทูล “นายน้อยตระกูลฟางคนนั้นได้ส่วนใหญ่ ร้านแลกเงินเจ็ดสิบสองร้อนได้ห้าสิบ นอกจากนี้ร้านที่เลือกก็ล้วนเป็นที่เจริญรุ่งเรือง คุณหนูสามคน คุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองร่วมหุ้นกันได้สิบหกร้าน ฟางจิ่นซิ่วคุณหนูสามน้อยที่สุด มีแค่หกร้าน แต่ร้านที่เลือกอยู่ใกล้เมืองหลวง”
ฮ่องเต้มองกระดาษจดหมาย สีพระพักตร์คิดไม่ถึงแค่นเสียงเหอะคำหนึ่ง
“นี่ล้วนเป็นของข้า” พระองค์ตรัส “หากไม่มีข้า ไหนเลยจะมีสิ่งเหล่านี้วันนี้ของพวกเขา”
หยวนเป่ายิ้มประจบขานรับ
“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ย ยื่นมือชี้บนจดหมาย “แบ่งเต๋อเซิ่งชางจริงๆ แล้ว ร้านแลกเงินของคุณหนูใหญ่คุณหนูรองเปลี่ยนชื่อเป็นตงเฟิงหยวน คุณหนูสามอันนี้ก็เปลี่ยนเป็นต้าเหิงชาง นี่เปลี่ยนชื่อแล้ว สำหรับร้านแลกเงินก็คือน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลองจริงๆ เต๋อเซิ่งชางอยู่ดีๆ ก็ถูกฉีกกระจัดกระจาย”
“เป็นพวกผลาญทรัพย์จริงๆ” ฮ่องเต้ตรัส ตบกระดาษจดหมายลงบนโต๊ะ “หลานอกตัญญูที่ได้แต่ร่วมทุกข์ไม่อาจร่วมสุข”
หยวนเป่าหัวเราะคิกๆ ขานรับ
“ถ้าเช่นนั้นที่ยังไม่ถูกพวกเขาผลาญไป บ่าวเอากลับมาให้ฝ่าบาทไหมพ่ะย่ะค่ะ?” เขาเอ่ยถาม
ฮ่องเต้ตริตรองครู่หนึ่ง
“ทำให้ปลอดภัยหน่อย” พระองค์ตรัสแล้วคิดอีกนิดหนึ่ง “เก็บเจ้าใหญ่มาก่อน ของสตรีไม่กี่คนที่เหมือนเล่นขายของไม่ต้องไปสนใจ รอเจ้าใหญ่ล้มแล้ว ร้านพวกนั้นของพวกนางลมหอบเดียวก็พัดครืนได้”
หยวนเป่าขานรับอย่างยินดี เงยศีรษะขึ้นท่าทางละอายอีหหน
“ฝ่าบาท บ่าวไม่ทำงานให้เรียบร้อย ฝ่าบาทยังให้อภัยเชื่อใจบ่าวเช่นนี้…” เขาสะอื้นเอ่ย ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา “ไม่เช่นนั้น เรื่องนี้ให้ใต้เท้าลู่กับบ่าวทำด้วยกันเถอะ ไม่ให้บ่าวไร้ความสามารถ…”
“พอแล้ว” ฮ่องเต้ขัดเขาอย่างรำคาญ “เจ้ามีงานของเจ้า เขามีงานของเขา อยู่ด้วยกันจะทำอย่างไร? เจ้าทำไม่ดี ข้าก็ลงโทษเจ้าเอง ไม่ต้องกังวล”
หยวนเป่าหัวเราะฮ่ะฮ่ะคุกเข่าดังตึกโขกศีรษะ
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เขาเอ่ย
หยวนเป่าเดินออกมานอกตำหนักก็เหยียดหลังตรง ขันทีทั้งหลายแห่เข้ามาล้อมเอ่ยวาจาเยินยอเขาทันที
“อ้าว ใต้เท้าลู่มาแล้ว” หยวนเป่าคล้ายเพิ่งมองเห็นลู่อวิ๋นฉี รีบยกมือคำนับ ยิ้มแก้มตุ่ย “ท่านรีบเข้าไป ฝ่าบาทกำลังถามหาท่าน”
พูดเหมือนฝ่าบาทจะให้ลู่อวิ๋นฉีเข้าไปยังต้องผ่านเขา หัวหน้ากองพันเจียงสีหน้ายิ่งเย็นชาขึ้นหลายส่วน ลู่อวิ๋นฉีคล้ายไม่ได้ยินแล้วก็มองไม่เห็นเขา เดินผ่านเขาตรงเข้าไป
หยวนเป่าหมดอารมณ์อยู่บ้าง หัวเราะแห้งๆ หลายที พาขันทีทั้งหลายเดินเชิดจากไป
ในตำหนักฮ่องเต้วางฎีกาในพระหัตถ์ลง มองลู่อวิ๋นฉี
“จูซานส่งจดหมายลับอันใดไปแดนเหนือ?” พระองค์ตรัสถาม
…………………………
ยามฮ่องเต้ไม่พอพระทัยจะเรียกขานชื่อจูซานตรงๆ
ลู่อวิ๋นฉีขานรับ ไม่ตอบแต่เอาจดหมายฉบับหนึ่งออกมาทันที
ถึงกับไม่ใช่เพียงสอดส่องเนื้อหา กระทั่งจดหมายก็คัดลอกออกมาได้ด้วย ฮ่องเต้สีหน้าพอพระทัย
“ดูท่าคนส่งสารของจูซานคงถูกเจ้าจับไว้แล้ว” พระองค์ตรัส
“ภรรยาของเขาเพิ่งตั้งครรภ์ คนที่จะเป็นบิดา มักยินดีขบคิดเพื่อบุตรชายบุตรสาวทั้งหลาย” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย
เสียงของเขาตรงทื่อทุ่มนุ่ม ฟังแล้วจริงใจนัก
ทว่าประกอบกับใบหน้าของเขารวมถึงเมื่อขบคิดความหมายที่เขาพูดอย่างละเอียด ก็ทำให้คนขนลุกทั้งที่ไม่หนาว
ฮ่องเต้หาได้ขนลุกทั้งที่ไม่หนาว แต่แย้มสรวลยิ่งกว้าง เปิดจดหมายกวาดตาผ่านทีหนึ่ง หลังจากนั้นพลันหัวเราะหยัน ตบจดหมายลงบนโต๊ะ
“ในเมื่อชอบชี้มือบงการงานราชการของแดนเหนือเช่นนี้ ทำไมไม่ส่งหนังสือขอกลับเสียเลย” พระองค์ตรัส “จะรอข้าเชิญเขารึ? จะให้ทุกคนเห็นว่าเขาเหนื่อยยากลำบากแค่ไหน ให้ทุกคนเห็นว่าข้าขาดเขาไม่ได้รึ?”
ลู่อวิ๋นฉีเงียบงันไม่พูด
คำถามเช่นนี้ฮ่องเต้ไม่ต้องการคำตอบของเขา
ฮ่องเต้บ่นไม่กี่ประโยคก็หยุด
“ชิงเหอปั๋วคงไม่ทำให้ข้าผิดหวังหรอกนะ?” พระองค์ตรัสถาม
ลู่อวิ๋นฉีค้อมกาย
“ฝ่าบาทจะได้ทอดพระเนตรในไม่ช้า” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น
ฮ่องเต้มองเขาแล้วเลิกคิ้ว
“เก็บความลับจากข้า?” พระองค์ตรัส ไม่ได้โกรธกลับสรวล “เอาสิ ข้าจะรอ”
ลู่อวิ๋นฉีค้อมกายคำนับ เงียบงันและนิ่งสงบ ทว่ายืนอยู่ที่นั่นกลับไม่มีทางทำให้คนมองเมินแต่สงบใจเป็นพิเศษ
“อย่างไรก็ยังเป็นเจ้าทำงานวางใจได้” ฮ่องเต้อดไม่ได้ถอนพระปัสสาสะตรัส “ไม่พูดมากพูดมาย แต่ไม่ว่าข้าคิดสิ่งใดหรือไม่ทันคิดสิ่งใด ทุกเรื่องเจ้าล้วนทำได้ดี”
“คนย่อมต้องมีประโยชน์” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย “ไม่เช่นนั้นอาศัยสิ่งใดขอความโปรดปรานจากฝ่าบาท”
ฮ่องเต้สรวลฮ่าฮ่าแล้ว
“พูดได้ถูกต้อง” พระองค์ท่าทางทอดถอนใจอยู่บ้าง “เจ้าคนที่เคยได้อ่านหนังสือแค่ไม่กี่เล่มคนหนึ่งล้วนคิดได้เช่นนี้ ขุนนางทั้งหลายที่ร่ำเรียนหนังสือมาเหล่านั้นมากมายกลับไม่รู้ แต่ละคนๆ คิดเพียงว่าข้าติดค้างพวกเขา ทำท่าไม่จำนนต่ออำนาจไม่หวั่นไหวต่อลาภยศ ก็ไม่คิดเสียบ้างว่าพวกเขามีวันนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะข้าให้”
พระองค์ทอดพระเนตรลู่อวิ๋นฉีแล้วพยักพระพักตร์อย่างปลาบปลื้ม
“ยังดีงานฝั่งพลเรือนฝั่งทหารทั้งราชสำนักนี่มีเจ้า ข้าจึงหลับสนิทได้”
ลู่อวิ่นฉีค้อมกายคำนับ
“ใต้เท้าหวงส่งทรายทองกระปุกหนึ่งมาให้กระหม่อมอีกแล้ว” เขาเอ่ยขึ้น
“สุนัขเฒ่าตัวนี้รวยจริง” ฮ่องเต้ด่าคำหนึ่ง “ขอให้มากไว้ อย่าปฏิเสธให้เสียเปล่า”
ลู่อวิ๋นฉีขานรับ
“ดูสุนัขเฒ่าตัวนี้กัดทึ้งจูซานก็สนุกไม่หยอก” ฮ่องเต้สรวลตรัส ท่าทางสนุกอยู่บ้าง “ข้าบอกตั้งนานแล้ว สิ่งหนึ่งข่มสิ่งหนึ่ง ดังนั้นเจ้าดูสิ ตอนนั้นเหลือสายเลือดของตระกูลว่านต้าชุนไว้คนหนึ่งมีประโยชน์ใช่ไหม หากไม่ใช่เพื่อตนเอง ใครจะยอมแลกชีวิตเพื่อใคร ขุนนางพวกนี้ ข้ามองทะลุปรุโปร่ง มีแต่เกี่ยวข้องกับตัวพวกเขาเองถึงทุ่มเทกายทุ่มเทใจ”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย
ฮ่องเต้มองลู่อวิ๋นฉีถอยออกไป แล้วเลิกคิ้วอีกครั้ง
“เจ้าก็เหมือนกัน” พระองค์ตรัสกับตนเอง “หากไม่ใช่เพื่อครอบครัวนั่น เจ้าจะยอมขายชีวิตเช่นนี้ได้อย่างไร ทุกคนต่างคว้าสิ่งที่ต้องการเถอะ”
พูดถึงตรงนี้ก็ทอดพระเนตรเห็นฎีกากองหนาบนโต๊ะ ฉับพลันรู้สึกเบื่อหน่าย แต่นึกขึ้นได้อีกว่าบนโต๊ะนี่นอกจากวินิจฉัยฎีกายังทำสิ่งอื่นได้อีกก็อดไม่ได้ตื่นเต้นขึ้นมาอีกหน
“ใครมานี่ซิ ใครมานี่ซิ” พระองค์ตรัสเรียก
นอกประตูขันทีรีบร้อนเข้ามาแล้วขานรับ
“ไปเรียกสนมเหลียงมา” ฮ่องเต้ตรัส
ขันทีกลับไม่รับคำสั่ง สีหน้ากระวนกระวายอยู่บ้าง
“ฝ่าบาท สนมเหลียงถูกไทเฮาเรียกไปพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยอย่างระมัดระวัง “บอกว่าต้องการฟังพิณ หลายวันนี้จึงรั้งอยู่ในตำหนักของไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พิโรธมาก
ฟังพิณอันใด รู้เรื่องครั้งก่อนของพระองค์กับสนมเหลียงคนนี้ในตำหนักฉินเจิ้งจึงจงใจลงโทษชัดๆ
ยัยแก่หนังเหนียวคนนี้ ยังคิดว่าตนเป็นสวรรค์จริงๆ
ฮ่องเต้ค้ำโต๊ะสีพระพัตร์เดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาวอยู่ครู่หนึ่ง
“ข้ารู้แล้ว” พระองค์ตรัส ไม่บันดาลโทสะ แล้วยังละอายอยู่นิดๆ
ขันทีโล่งอก รู้อยู่แล้วเชียวว่าฝ่าบาทไม่ทรงอารมณ์ร้าย
……………………………………….
ยามแสงตะวันค่อยๆ สว่าง จูจั้นเห็นเด็กสาวเดินออกมาจากห้อง บนหน้าก็ประดับรอยยิ้ม
ดูท่าวันนี้อารมณ์ดีไม่เลว
“อาหารเช้าข้าจัดการไว้แล้ว” จูจั้นประหนึ่งเพิ่งเห็นนางจึงกวักมือเรียก แล้วชี้ไปด้านนอก
คุณหนูจวินขานอ้อ
“เอาอาหารแห้งไปกินระหว่างทางเถอะ” นางเอ่ย “เดินทางเร่งด่วน”
“ไม่ต้องรีบหรอก” จูจั้นเอ่ย “พักอีกสองวันเถอะ”
คุณหนูจวินไม่เข้าใจอยู่บ้างมองเขา
“ทำไม?” นางเอ่ยถาม
จูจั้นมองนางแล้วกะพริบตา
“ไม่ทำไม” เขาว่า “พักผ่อนหน่อยก็ดี”
เขาอยากพัก? เหนื่อยแล้ว? ร่างกายไม่สบายหรือ? คุณหนูจวินมองเขา ดูไปแล้วก็ยังกระปรี้กระเปร่าไม่เลวนี่ แต่วิ่งไปกลับเป็นเพื่อนตนนานปานนี้ก็ยากเลี่ยงเหนื่อย
ไม่ได้ให้เขามาก็จะมา โทษใครเล่า
คุณหนูจวินคิดในใจ แล้วก็ไม่สบายใจอยู่บ้าง
เห็นชัดยิ่งว่าในที่สุดนางก็รู้ว่าทำไมเขาต้องตามมาให้ได้แล้ว นอกจากเหตุผลเรื่องแม่ข้าบีบบังคับ บ้านข้าติดค้างน้ำใจเจ้าพวกนั้น
แค่อยากเรียกชื่อน อยากติดตามคนผู้นี้
แม้ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แล้วก็ประหลาดอยู่นิดๆ แต่ชอบอย่างไรก็เป็นเจตนาที่ดี ในเมื่อเป็นเจตนาที่ดีก็ควรปฏิบัติด้วยอย่างอ่อนโยน
“ถ้าเช่นนั้นก็ได้” คุณหนูจวินเอ่ย เสียงละมุน “ข้าก็กำลังอยากพักผ่อนอยู่บ้างเหมือนกัน”
รอยยิ้มของจูจั้นยิ่งคลี่ออกมา
เห็นไหม เป็นอย่างที่คิดจัดการใส่ใจหน่อยเช่นนี้ไม่ผิด เพิ่งเป็นครั้งแรกที่เห็นนางเผยสีหน้าเช่นนี้
ในห้องโถงใหญ่ยามเช้าตรู่ลูกค้าไม่มากเช่นนั้นอย่างเมื่อคืน
“เจ้านั่งก่อน” จูจั้นเอ่ยขึ้น “ข้าจะไปดูกับข้าว”
พูดพลางไม่รอคุณหนูจวินเอ่ยวาจาก็เดินออกไปแล้ว
สตรีส่งอาหารเดินมาจากห้องครัว เห็นจูจั้นก็คลี่คิ้วดวงตาแย้มยิ้มทันที
“คุณชายจู” นางเอ่ยอย่างเป็นมิตร
จูจั้นมองกล่องอาหารที่นางหิ้วมา
“เตรียมตามที่ข้าบอกไหม?” เขาเอ่ยถาม
“คุณชายท่านวางใจเถอะ” นางเอ่ย “ข้าแม่เฒ่าเหยาทำอาหารมาทั้งชีวิตแล้ว ผู้ใดไม่เคยรับใช้”
จูจั้นพยักหน้า เดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ด้วยกันกับนาง
อาหารหนึ่งชามหนึ่งจานจากในกล่องอาหารวางไว้บนโต๊ะ พร้อมกับที่นางยิ้มแย้มพูดคุย
“แม่นางน้อยเจ้าวางใจทาน” นางเอ่ย “นี่ล้วนเป็นข้าทำเองกับมือง สะอาดแน่นอน”
เห็นสตรีคนนี้กับจูจั้นเดินเข้ามาด้วยกัน คุณหนูจวินก็รู้ว่าอาหารนี่เป็นเขาจัดการไว้เป็นพิเศษ นี่ก็ไม่มีอะไร แต่เห็นอาหารที่ยกออกมา นางยิ่งรู้สึกว่าไม่ถูกอยู่บ้างแล้ว
“พวกนี้ให้ข้ากินหรือ?” นางเอ่ยถาม มองไปทางสตรีเฒ่า
นางพยักหน้า ยิ้มอย่างเป็นมิตรแล้วยังเย้าหยอก
“แม่นางน้อยช่างโชคดีนักจริงๆ” นางยิ้มเอ่ย “พวกนี้ล้วนเป็นของดี”
คุณหนูจวินพยักหน้า
“ข้ารู้ว่านี่เป็นของดี” นางเอ่ย สีหน้านิ่งสงบ “แต่ข้าไม่ต้องบำรุงครรภ์”
จูจั้นที่กำลังก้มศีรษะหยิบตะเกียบได้ยินเข้าพลันอึ้งจากนั้นหน้าพลันแดง
บำรุงครรภ์?
เขารู้ว่าสตรีคนนี้เป็นหมอเทวดา ประโยชน์ของสมุนไพรทำอาหารย่อมรู้ชัดกว่าใครทั้งหมด คำพูดนี้ต้องไม่ผิดแน่นอน
“โธ่ เจ้าเตรียมอะไรมาเนี่ย” เขาถลึงตารีบเอ่ยกับสตรีเฒ่าผู้นั้น “ข้าไม่ได้ให้เจ้าเตรียมอันนั้นหรือ? ทำไมเจ้า…”
นางก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
“คุณชายไม่ได้บอกว่าแม่นางน้อยร่างกายไม่ค่อยสบาย ไม่สะดวกเดินทางอะไรหรือ?” นางเอ่ยขึ้น มือก็เช็ดบนผ้ากันเปื้อน “นั่นนอกจากมีครรภ์…”
“ข้าหมายถึงนางเจ้านั่นมา ดังนั้นร่างกายขยับไม่สะดวกไม่ค่อยสบายต้องบำรุงสักหน่อย” จูจั้นตบโต๊ะเอ่ย
สตรีเฒ่าถูกตวาดอึ้งไป ตอนนี้ถึงได้สติกลับมา
“อ้อ เช่นนี้หรือ” นางขัดเขินอีก แต่เมื่อคิดขึ้นว่าเงินมาอยู่ในมือแล้วไม่อยากคืนกลับไปจริงๆ ก็รีบยกยิ้มอีกหนมองไปทางคุณหนูจวิน “แม่นางน้อยก็ไม่ต้องรีบร้อน อุ้มท้องเด็กเรื่องเช่นนี้รีบร้อนไม่ได้ อาหารบำรุงเหล่านี้ของข้าก็มีประโยชน์เรื่องบำรุงร่างกายเหมือนกัน…”
จูจั้นสบถทีหนึ่ง หิ้วสตรีเฒ่าไล่นางออกไป หันกลับมาอีกทีก็เห็นคุณหนูจวินยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว เขาตกใจถอยหลังไปหลายก้าว
คุณหนูจวินสีหน้าไม่มีความโมโห นิ่งสงบมองเขา
“จูจั้น” นางเอ่ย “ท่านโง่ใช่หรือไม่?”
………………………
ม้าควบเร็วรี่บนถนนใหญ่ แต่นี่ไม่ได้ส่งผลกับการพูดคุยของคนที่ขี่ม้า
“นี่จะบอกว่าข้าโง่ได้อย่างไร” จูจั้นที่อยู่บนม้าผายมือเอ่ย ร่างกายมั่นคง
คุณหนูจวินหันศีรษะไปมองเขา
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นข้ายังต้องชมท่านว่าฉลาดหรือ?” นางคิ้วตั้งเอ่ย
อย่างไรขายหน้าก็ขายหน้าสุดๆ ไปแล้ว ยังกลัวอะไรอีก จูจั้นตาไม่กะพริบหัวใจไม่กระตุก
“นี่บอกได้ว่าข้าฉลาด” เขาเอ่ยตอบ “อย่างน้อยข้าก็มองออกว่าอารมณ์เจ้าแปลกไปไหม?”
“ท่านสิถึงอารมณ์แปลกน่ะ” คุณหนูจวินถลึงตาเอ่ย
“เจ้าดูสิดู นี่แหละแปลก” จูจั้นเอ่ย “ก่อนหน้านี้เจ้าไม่เคยเป็นเช่นนี้ มีสิ่งใดก็พูดสิ่งนั้น เป็นอะไรก็ยอมรับอันนั้น เจ้าถามใจดู ลองพูดสิว่าเจ้าไม่ได้ปากไม่ตรงกับใจ?”
คุณหนูจวินมองเขาคล้ายอ้าปากแต่ลิ้นผูกเป็นปมอยู่นิดๆ
จูจั้นยังไม่จบ ร้องเอ๋ยื่นมือชี้ใบหูของนาง
“เจ้าดู หูแดงแล้ว” เขาตะโกน
ทั้งหน้าของคุณหนูจวินล้วนแดงแล้ว โกรธแล้ว
“ก่อนหน้านี้ข้าก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ท่านไม่มองสักนิดต่างหาก” นางคิ้วตั้งยิ้มหยัน “ตอนนี้ท่านรู้สึกว่าแปลก? ท่านถามใจท่านดู พูดสิว่าเป็นปัญหาของใคร”
กลัวอะไรก็เจออย่างนั้น จูจั้นฉับพลันสมองส่งเสียงดังบึ้ม รู้ตั้งนานแล้วว่าไม่ควรเอ่ยถึงก่อนหน้านี้
นอกจากนี้สตรีล้วนปากไม่ตรงกับใจ พูดอะไรว่าก่อนหน้านี้ล้วนผ่านไปแล้ว ให้คุ้นชินกับตอนนี้มองไปข้างหน้า หลอกผีชัดๆ เจ้าดูสินางยังจดจำอยู่เลย
นางก่อนหน้านี้ก็เป็นเช่นนี้หรือ? ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สังเกตจริงๆ จุดนี้ไม่อาจโต้แย้งได้อย่างแท้จริง
จูจั้นหน้าแดง สักประโยคก็เอ่ยไม่ออก
คุณหนูจวินแค่นเสียงเหอะ หมุนร่างกระตุ้นม้าไปข้างหน้า ตอนนี้ถึงรู้สึกว่าได้ใจอยู่บ้างเล็กน้อย คิดถึงว่าเจ้าหมอนี่ถึงกับสัมผัสอาการเสียกิริยากับอาการตื่นเต้นอยู่บ้างของตนได้ แต่คิดถึงว่าเขากลับคิดว่าอาการเสียกิริยาของตนคือร่างกายไม่สบาย เขาก็อุตส่าห์คิดออกมาได้
โง่หรือไม่โง่น่ะ
นางกัดริมฝีปากล่างกลั้นยิ้ม จูจั้นเงียบไม่พูดไม่จาตามอยู่ด้านหลัง ย่อมไม่กลัวถูกเขาพบ
“ได้ ตอนนี้เป็นปัญหาของข้า”
จูจั้นพลันตะโกน กระตุ้นม้าตามมาอีกหน
คุณหนูจวินรีบเก็บสีหน้า ดวงตาไม่เหล่มอง
“รู้ก็ดี” นางเอ่ย “มีปัญหาอย่าโยนมาให้ผู้อื่น เป็นปัญหาของท่านเองชัดๆ ท่านควรคิดดูว่าท่านทำไมรู้สึกไม่เหมือนเดิม”
“นั่นง่ายดายยิ่ง” จูจั้นเอ่ย “เพราะข้าชอบฉู่จิ่วหลิง ข้าย่อมใส่ใจมากหน่อย ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ใช่ ข้าย่อมไม่ใส่ใจ”
เหมือนมีคำแปลกๆ อะไรอยู่ คุณหนูจวินขานอ้อพลางรู้สึกว่าแปลกนัก
“ท่านทำไมชอบฉู่จิ่วหลิง?” ในเมื่อรู้สึกแปลก นางก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “พวกท่านก็ไม่รู้จักกันไหม?”
ถึงกับถามถึงฉู่จิ่วหลิงหรือ? จูจั้นลนลานอยู่บ้าง ที่จริงเขาไม่อยากคุยเรื่องนี้กับผู้อื่น
“ชอบก็คือชอบสิ มีทำไมที่ไหน” เขาเอ่ยตอบตรงๆ จบประเด็นนี้อย่างรวดเร็ว
“ท่านกับนางก็ไม่คุ้นเคยกันสักหน่อย” คุณหนูจวินกลับรู้สึกแปลกนัก ประเด็นจุดขึ้นมาแล้วย่อมต่อง่ายดายนัก
“เรื่องเช่นนี้เกี่ยวอันใดกับคุ้นเคยไม่คุ้นเคย!” จูจั้นถลึงตาเอ่ย “คนที่ข้าคุ้นเคยมากไป ก่อนหน้านี้ไม่คุ้นเคยกับเจ้าหรือ? หรือข้าก็ควรชอบเจ้าด้วย”
คุณหนูจวินขานอ้อพลางพยักหน้า
เหมือนจะถูก เขากับนางนับว่าเริ่มรู้จักกันที่หรู่หนาน ต่อมาก็พัวพันยุ่งเกี่ยวกัน ไปมาหาสู่กันอีกมากหลายหน คุ้นเคยกันมากจริงๆ แต่เวลานั้นไม่ชอบตนจริงๆ ยังรังเกียจจงใจออกห่างอย่างยิ่งด้วย
สายตาของทั้งสองคนสบกัน
ไม่ถูกต้อง!
ประหนึ่งอสนีบาตเส้นหนึ่งแล่นผ่านกลางอากาศ สะเทือนทั้งสองคนให้ล้วนฉุกใจคิดได้
ฉู่จิ่วหลิงก็คือจวินจิ่วหลิงนี่ นี่ไม่ใช่คนสองคน นี่เป็นคนคนเดียวนะ
“ข้าเข้าใจแล้ว ที่จริงสิ่งที่ท่านชอบคือชื่อชื่อหนึ่ง” คุณหนูจวินรีบเอ่ย คล้ายช้าอีกชั่วครู่จะมีเรื่องยุ่งยากอันใดเกิดขึ้น
“เจ้าจะเข้าใจอะไร” จูจั้นหน้าแดงรีบเอ่ย “ที่ข้าชอบคือคน เจ้าสภาพนี้ข้าจะจำได้ได้อย่างไร หากตั้งแต่เริ่มแรกเจ้าบอกว่าเจ้าคือฉู่จิ่วหลิง เจ้าลองดูสิว่าข้าจะชอบหรือไม่ชอบเจ้า”
เขายังมีเหตุผลอีก คุณหนูจวินอดไม่ได้ถลึงตาบ้าง
“ข้าบอกตั้งแต่แรก ท่านจะเชื่อรึ?” นางเอ่ย
จูจั้นสะอึก
“ไม่เชื่อ” เขาเอ่ยเสียงงึมงำ
นับว่าเขาไม่ได้พูดโกหกหน้าด้านๆ คุณหนูจวินแค่นเสียงเหอะแล้ว
“ท่านเกือบจะบีบคอข้าตายอยู่แล้ว” นางเอ่ย ยื่นมือชี้ลำคอของตนเอง
ที่พูดถึงนี่ย่อมเป็นตอนที่นางเรียกชื่อเขาออกมากะทันหันที่หรู่หนาน
จูจั้นก้มศีรษะอยากขยี้ปลายเท้า แต่พบว่าตนเองขี่อยู่บนม้า
“เจ้าต้องพูดถึงเหตุผลด้วยสิ” เขาเอ่ยเสียงงึมงำ “เวลาเช่นนั้น เปลี่ยนเป็นเจ้า เจ้าไม่ทำเช่นนี้หรือ?”
หากเวลานั้นฉับพลันมีคนเรียกนางว่าฉู่จิ่วหลิง นางคงวางยาเขาตายทันทีแน่นอน คุณหนูจวินคิดอย่างตั้งใจ
“แน่นอนไม่มีทาง” นางแค่นเสียงเหอะเอ่ยขึ้น
จูจั้นมองนางทีหนึ่ง
“ข้ายังพูดอะไรได้อีก” เขาผายมือเอ่ย
สตรีหากไม่พูดกันด้วยเหตุผล ยังจะทำสิ่งใดได้อีก?
“ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้ท่านผิดถูกหรือไม่” คุณหนูจวินเอ่ย
จูจั้นขานอ้อ ฉับพลันก็แปลกใจอยู่บ้างอีกหน
“เรื่องไหน?” เขาเอ่ยถาม หลังจากนั้นในใจก็ยิ่งรู้สึกแปลก “พวกเรากำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่?”
เขามองคุณหนูจวิน คุณหนูจวินก็มองเขา
ถูกแล้ว พวกเขากำลังคุยเรื่องอะไรอยู่?
เหมือนพูดถึงเรื่องเขาชอบฉู่จิ่วหลิง
ฟ้าแจ้งคล้ายมีอสนีบาตสายหนึ่งฟาดลงมาอีกหน ระเบิดจูจั้นจนรู้สึกว่าทั้งร่างควันโชยขึ้นมา
“ข้า ข้าพูดไปแล้วหรือ?” เขาเอ่ยติดอ่าง
“ท่านยังไม่ได้พูด” คุณหนูจวินมองเขาแล้วเอ่ยอย่างตั้งใจ ยื่นมือชี้ด้านหน้าอีกหน “เดินไปข้างหน้าอีกไม่ไกลก็มีศาลาพักม้าแห่งหนึ่ง ท่านไม่ใช่กังวลถึงข่าวแดนเหนืออยู่ตลอดหรือ? ไปถึงที่นั่นก็ลองดูสิว่ามีของที่ท่านต้องการหรือไม่”
จูจั้นขานอ้อมองไปทางด้านหน้า พูดไปแล้วก็ไม่ได้รับข่าวแดนเหนือมาพักหนึ่งแล้ว เกิดปัญหาอะไรขึ้นหรือไม่? เขาขมวดคิ้ว
คุณหนูจวินเร่งม้าเดินไปข้างหน้าเร็วไว คล้ายสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของนาง ฝีเท้าม้าเปลี่ยนเป็นแผ่วเบา เสียงฝีเท้าม้าก็คล้ายไม่ได้ยิน เกรงว่าจะทำให้รบกวนสิ่งใดเข้า
……………………………………….
……………………………………….
แดนเหนือไม่มีเรื่องใหญ่อันใด ตั้งแต่หลังเจรจาสงบศึกก็สงบไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ใกล้เป่าโจว สยงโจวกับป้าโจว
ชาวจินย้ายเข้ามาแล้ว ไม่ได้เหิมเกริมรุกรานชายแดน นอกจากนี้ชาวโจวในเมืองทั้งสามที่หนีออกมาไม่ทันนี่ก็ได้รับการจัดการอย่างดีเช่นกัน ไม่ได้ถูกข่มเหงหยามหมิ่นจับเป็นทาส ชีวิตสงบนักจนทำให้คนรู้สึกว่าสงครามการเข่นฆ่าช่วงก่อนหน้านี้ล้วนเป็นภาพฝัน
ทว่าอย่างไรก็ใกล้เมืองชายแดนเกินไปแล้ว ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่มีแม่น้ำจวี้หม่า มีพื้นที่ว่างเปล่าที่เกิดจากสงครามนับร้อยปีกั้นขวาง หนึ่งก้าวก็ข้ามไปได้ ดังนั้นยังมีเรื่องเล็กน้อยบางอย่างเกิดขึ้น
บนป้อมปราการแห่งหนึ่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของอันกั๋วเมืองฉีโจว ทหารโจวสิบกว่านายกำคันศรในมือแน่น สีหน้าตึงเครียดมองไปนอกป้องปราการ
นอกป้อมปราการไม่มีทหารม้าที่น่ากลัวอันใด มีเพียงผู้เฒ่าสองคนที่สวมเสื้อขนสัตว์เห็นชัดว่าเป็นเครื่องแต่งกายของชาวจิน
พวกเขาไม่มีดาบหอก แล้วก็ไม่ได้มีสีหน้าดุร้ายชั่วร้าย ตรงกันข้ามกำลังยกมือเช็ดน้ำตาคล้ายกำลังร้องไห้ แล้วพุ่งมาคำนับที่ป้อมปราการด้านนี้หลายครั้งหลายหน
“รีบไล่ไป!” แม่ทัพที่เป็นหัวหน้าตวาดเสียงดังอีกครั้ง โบกมือใส่พวกเขา พลางยกคันศรในมือขึ้น “ผู้ที่ข้ามแดนสังหารไม่เว้น”
ชาวจินสองคนสะอึกสะอื้นเอ่ยภาษาหูที่ฟังไม่เข้าใจอีกพรวนหนึ่ง ท้ายที่สุดหวาดกลัวลูกธนูที่ฉายประกายเย็นเยียบบนป้อมปราการจึงส่ายศีรษะจากไปอย่างจนปัญญา
คนบนป้อมปราการเห็นพวกเขาหายไปจากสายตาถึงโล่งอก
“จางจือเฉิง พวกเขาทำอะไร?” ผู้บัญชาการทหารหลี่ที่ได้ข่าวรีบมาเอ่ยถาม
จางจือเฉิงท่าทางไม่ใส่ใจอยู่บ้าง
“คนเลี้ยงสัตว์ชาวจินสองคน บอกว่าแพะหลายตัวหายไป เห็นวิ่งมาในเมืองของพวกเรา จึงอยากเข้ามาหาดู” เขาเอ่ย
…………………………
ฝูงแพะวิ่งมาด้านนี้ ไม่ใช่เรื่องพบยาก
ฉีโจวกับเป่าโจวเขตแดนเชื่อมติดกัน ถึงขั้นมีหมู่บ้านบางแห่งครึ่งหนึ่งอยู่ที่ฉีโจวครึ่งหนึ่งอยู่ที่เป่าโจว ยามปกติทุกคนก็ไม่แบ่งแยกข้าเจ้า แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว
“มาหลายครั้งแล้วหรือ? ไม่หาให้พวกเขาเล่า?” ผู้บัญชาการทหารหลี่ลังเลครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น
จางจือเฉิงถลึงตาทันที
“อาศัยอะไร” เขาเอ่ย “เฉิงกั๋วกงเคยสอนพวกเรา ต้องไร้หัวใจอย่างสิ้นเชิงกับชาวจิน เจ้าพวกลูกสัตว์ฝูงนี้ล้วนเป็นพวกไม่ตีไม่จำนน”
ผู้บัญชาการทหารหลี่สีหน้าลังเล
“ตอนนี้ไม่ใช่เฉิงกั๋วกงไม่อยู่รึ” เขาเอ่ย “ชิงเหอปั๋วหลายวันก่อนหน้านี้เพิ่งออกคำสั่งบอกว่าต้องรักษาความกลมเกลียวที่ชายแดน หลีกเลี่ยงก่อเรื่องจุดความขัดแย้ง”
จางจือเฉิงไม่ชอบฟังคำนี้
“อะไรคือก่อเรื่อง?” เขาเอ่ยขึ้น “แต่ไหนแต่ไรล้วนไม่ใช่พวกเราก่อเรื่อง พวกเราปกบ้านป้องเมืองกลายเป็นก่อเรื่องได้อย่างไรแล้ว?”
ผู้บัญชาการทหารหลี่ก็ไม่ชอบฟังคำนี้เช่นกัน
“ใครว่าพวกเจ้าก่อเรื่อง? อย่าพูดเหลวไหล นี่ข้าแค่เตือนนิดหน่อย วันนี้โลกไม่เหมือนเดิมแล้ว ทุกคนทำงานก็ต้องเปลี่ยนสักหน่อย” เขาบอกกล่าว
ได้ยินคำนี้ จางจือเฉิงยิ่งหดหู่
“กฎไร้สาระยิ่งมากขึ้นทุกทีจริงๆ” เขาเอ่ย “ก่อนหน้านี้เฉิงกั๋วกงนอกจากเรื่องฝึกทหารกับการป้องกันที่ไม่อนุญาตให้หละหลวมสักนิด เรื่องอื่นล้วนเป็นไปตามโอกาส ไหนเลยมีกฎมากมายเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังพูดถึงกฎกับชาวจินอีก กำปั้นก็คือกฎ”
ผู้บัญชาการทหารหลี่ตบโต๊ะทีหนึ่ง
“เจ้านี่เรียกว่ากฎอะไร? ตะโกนอะไรกับข้า” เขาหน้าบึ้งตวาดแล้ว “ยังมีกฎระเบียบหรือไม่?
จางจือเฉิงยืนตัวตรงสีหน้าเคร่งขรึมขานขอรับทันที
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าตอนนี้ปรับตัวไม่ค่อยได้” ผู้บัญชาการทหารหลี่ผ่อนเสียงลงอีกครั้ง “แต่ตอนนี้กับก่อนหน้านี้ไม่เหมือนกัน เจรจรสงบศึกกับชาวจินแล้ว ไม่อาจเผชิญหน้าก็ทำร้ายเข่นฆ่าเช่นนั้นอย่างก่อนหน้านี้ได้”
จางจือเฉิงอดกลั้นแล้วอดกลั้นอีกก็ยังอดกลั้นไม่อยู่
“ใต้เท้า เจรจาสงบศึกแล้วก็เจรจาสงบศึกแล้ว แต่ชาวจินก็ยังเป็นชาวจินนะขอรับ พวกเราอยู่กับพวกเขามานานปี ยังไม่รู้สันดานของพวกเขาหรือ” เขาเอ่ย “เจ้าพวกนี้รู้จักแต่ไม่แข็งไม่รู้จักไม้อ่อน ไม่มีทางคุยเรื่องความสงบกับพวกเขาได้เด็ดขาด”
ผู้บัญชาการทหารหลี่ตบโต๊ะอีกครั้ง
“เจ้าหุบปาก” เขาถลึงตาตวาด “สรุปคือเบื้องบนมีคำสั่ง ห้ามทำลายกฎระเบียบ”
จางจือเฉิงก้มศีรษะขานรับทราบ
ด้านนี้กำลังพูดจากัน พลันมีนายทหารก้าวเร็วไววิ่งเข้ามาในโถงที่ว่าการ
“ใต้เท้า ใต้เท้าผู้ตรวจการชั่วคราวส่งคนมาขอรับ” เขาตะโกน
ผู้บัญชาการทหารหลี่ลุกขึ้นจากเก้าอี้
“รีบเชิญ” เขาเอ่ยอย่างเคารพ พลางก้าวไวไปข้างนอกต้อนรับ เดินไม่กี่ก้าวก็คล้ายเพิ่งคิดถึงจางจือเฉิงที่ยังยืนอยู่ตรงนี้ได้ “เจ้าไปเถอะ”
จางจือเฉิงขานรับมองผู้บัญชาการทหารหลี่แล้วก้าวเร็วไวจากไป
“จริงๆ เลย ต้องเคารพเช่นนี้หรือ? ก่อนหน้านี้ใครเห็นขุนนางพลเรือนเจ้าพนักงานเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ” ตอนนี้เขาถึงเงยศีรษะพึมพำทีหนึ่ง
ผู้ตรวจการชั่วคราวของมณฑลฉีโจวเป็นขุนนางพลเรือน คนที่เขาส่งมาย่อมเป็นขุนนางพลเรือนเช่นกัน หากเป็นก่อนหน้านี้ผู้บัญชาการทหารหลี่คงไม่เห็นอยู่ในสายตาอย่างสิ้นเชิง แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้แล้ว
นี่ล้วนเพราะเฉิงกั๋วกงไม่อยู่
“ท่านกั๋วกงจะกลับมาเมื่อไร?”
นอกป้อมปราการ นายทหารกลุ่มหนึ่งบ้างนั่งยองบ้างยืนมองจางจือเฉิงแล้วเอ่ยขึ้น
“วันเวลานี้คงไม่สั้น”
“ใช่แล้ว แม่ทัพของที่อื่นล้วนกลับมาแล้ว เหลือเพียงท่านกั๋วกง”
จางจือเฉิงถ่มหญ้าแห้งที่คาบอยู่ในปากออก
“ใกล้แล้วกระมัง” เขาเอ่ยอย่างคลุมเครือ
เพิ่งพูดจบนายทหารคนหนึ่งก็ก้าวเร็วไววิ่งมา
“ใต้เท้าจาง ใต้เท้าผู้บัญชาการทหารให้ท่านพาคนไปหาแพะที่ชาวจินทำหายขอรับ” เขาเอ่ย
คำนี้ออกมาปุบ นายทหารที่อยู่ที่นั่นตกตะลึงอย่างยิ่ง
“อาศัยอะไร!” นายทหารที่อยู่ที่นั่นก็ตกตะลึงอย่างยิ่งเช่นกัน
“อาศัยอะไร!” จางจือเฉิงถลึงตา กระโดดลุกขึ้นมาตะโกน
นายทหารหวาดกลัวอยู่บ้างถอยหลังก้าวหนึ่ง
“ใต้เท้าผู้ตรวจการชั่วคราวทราบเข้าขอรับ บอกว่าชาวจินน่าสงสาร เพื่อความสงบของชายแดนและความสัมพันธ์ที่ดีของสองแคว้น ให้ช่วยเหลือให้ดี” เขาเอ่ยอย่างรีบร้อน คำพูดสละสลวยเหล่านั้นเขาก็เลียนแบบไม่ได้ “สรุปคือให้พวกท่านไปหา หาพบหาไม่พบล้วนต้องมีคำอธิบาย”
พูดจบก็วิ่งจู๊ดไปแล้ว กลัวจะถูกจางจือเฉิงตีสักยก
จางจือเฉิงโกรธจนอยากตีคนจริงๆ
“ข้าจะไปถกกับพวกเขา” เขาตะโกน “ครั้งนั้นโจรจินปล้นวัวแพะของพวกเราไปเท่าไร ย่ามันสิจริงๆ ตอนนี้จะให้พวกเราไปหาแพะให้เขา”
นายทหารทั้งหลายรีบขวางเขาไว้ แม้โกรธเกรี้ยวแต่ก็รู้ว่าคำสั่งของเบื้องบนไม่อาจขัดขืนได้
“แค่เพราะชาวบ้านตัวเล็กตัวน้อยชาวจิน ใต้เท้าจะทะเลาะกับขุนนางเบื้องบนไม่ได้นะขอรับ นั่นย่อมยกประโยชน์ให้พวกเขา”
ทุกคนพากันเอ่ยกล่อม
จางจือเฉิงก็รู้ว่าตนเองคนต้อยต่ำวาจาแผ่วเบา คำสั่งที่ใต้เท้าผู้ตรวจการชั่วคราวสั่งลงมา เขาโวยวายก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ได้แต่สะบัดมืออย่างขุ่นเคือง
“อีกอย่างให้หาก็หาสิ ใครบอกว่าจะต้องหาพบ” มีนายทหารเอ่ยปลอบ
แต่บางครั้งเรื่องก็ไม่ได้เป็นไปดังคนหวังเช่นนั้น แพะสองตัวที่ชาวจินทำหายนั่นหาเจอแล้วจริงๆ แต่สิ่งที่พบคือแพะตายสองร่าง
ที่ระบุออกมาได้ เพราะหางแพะของแพะทั้งสองตัวนี้ย้อมเป็นสีแดง
ในท้องถิ่นไม่มีธรรมเนียมประการนี้
“พวกเราไม่ทราบว่าเป็นแพะของใคร ถูกสุนัขไล่จนขาหัก ถือโอกาสเก็บกลับมาก็ตายเสียแล้ว” ชาวหมู่บ้านสองคนตัวสั่นระริกเอ่ย “พวกเราถามในหมู่บ้าน ก็บอกว่าไม่ใช่แพะของบ้านตน คิดไม่ถึง…”
แม้บอกว่าสงบสุขเหลือเกิน แต่ชาวจินอย่างไรก็เป็นคำที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวยิ่งนัก วันนี้ได้ยินว่าแพะตายสองตัวนี้เป็นของชาวจิน พวกเขาก็ตกใจจนหน้าซีดขาวแล้ว
พวกเขาจะถูกจับไปฝังตามแพะของชาวจินหรือไม่?
จางจือเฉิงในใจด่าคำหนึ่ง เดินวนรอบแพะตาย ลูกตากลอกไปมา
“แพะในโลกนี้ก็หน้าตาเหมือนกันหมด” เขาเอ่ย ฉับพลันชักดาบที่เอวออกมา
ชาวบ้านทั้งสองตกใจคุกเข่าลงไป สายลมดาบวาดผ่าน หางแพะพลันลอยขึ้น
“นี่ไม่ใช่เรียบร้อยแล้วรึ” จางจือเฉิงวางดาบกลับไปข้างเอว มองแพะตายสองตัวที่ถูกตัดหางบนพื้นอย่างพอใจอยู่บ้าง พลางยกมือขึ้น “มา ในเมื่อสหายร่วมภูมิลำเนาทั้งหลายมีน้ำใจ พวกเราก็ไม่เกรงใจ คืนวันนี้กลับไปกินแพะย่าง”
ชาวบ้านกับนายทหารล้วนตะลึง จากนั้นก็เข้าใจ
ชาวบ้านทั้งหลายสีหน้าซาบซึ้งโขกศีรษะไม่หยุด นายทหารทั้งหลายก็จงใจโห่ร้องยินดีเกินจริงหัวเราะเฮฮาหิ้วแพะตายขึ้นมา
ยามม่านราตรีมาเยือน ใต้ป้อมปราการก่อกองไฟ นายทหารสิบกว่าคนล้อมวง มองดูทหารพลาธิการทำงานยุ่ง แพะย่างสองตัวบนราวน้ำมันชุ่มกลิ่นหอมฟุ้งรอบด้าน แค่กลิ่นนี้ก็มีคนไม่น้อยดื่มสุราหลายชามนักแล้ว จางจือเฉิงยิ่งถูกผู้ใต้บังคับบัญชาเป่ายิ้งฉุบกรอกเหล้า
“ย่างเสร็จแล้ว” นายทหารด้านนั้นพลันตะโกนเสียงดัง พลางตัดเนื้อตรงขาแพะออกมา “เชิญใต้เท้าชิมก่อน”
จางจือเฉิงหัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดังลุกขึ้นยืน ตอนที่กำลังจะเตรียมรับเนื้อแพะนั่นเอง ก็มีขบวนคนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งขี่ม้าเร็วรี่มา
“จางจือเฉิง” เสียงผู้บัญชาการทหารหลี่ตวาดแหลมอยู่บ้าง “พวกเจ้ากำลังทำอะไร?”
ที่แท้เป็นใต้เท้าผู้บัญชาการทหารมา
จางจือเฉิงเมากึ่มๆ ชูสุราขึ้น
“ใต้เท้าหลี่มาเร็วกำลังจะเชิญท่านเลย” เขาเอ่ย “มาๆ กินเนื้อแพะ”
ผู้บัญชาการทหารหลี่กระโดดลงจากม้าหน้าแข็งทื่อ ส่งสายตาให้จางจือเฉิงไม่หยุด
“ใครให้เจ้าดื่มสุรา” เขาตะโกนไปพลาง
แต่ยังช้าไปก้าวหนึ่ง มีคนก้าวหนึ่งก้าวแซงมาจากด้านหลังเขา
“แพะนี่ของพวกเจ้าได้มาจากที่ไหน?” คนผู้นั้นเสียงแหลมตวาดเอ่ย
กองไฟสาดส่องชุดขุนนางพลเรือนของเขา สีหน้าทะมึนไม่นิ่งดูไปแล้วน่ากลัวอยู่บ้าง
จางจือเฉิงส่างเมาขึ้นมาครึ่งหนึ่ง รู้ว่าคนผู้นี้น่าจะเป็นขุนนางที่ใต้เท้าผู้ตรวจการชั่วคราวส่งมาสอบถามเรื่องแพะที่หายไปของชาวจิน
“สหายร่วมบ้านเกิดทั้งหลายมอบให้พวกเรา” เขาเอ่ยเสียงดัง “หากใต้เท้าไม่เชื่อไปลองถามดูก็รู้”
เสียงเขาจบลงก็เห็นมีคนพุ่งออกมาจากด้านข้างคุกเข่าลงดังตึก
“ใต้เท้า ผู้น้อยขอเรียน นี่คือผู้ที่ปล้นแพะของชาวจิน” เขาตะโกนเอ่ยพลางชูมือขึ้นสูง
ในมือเขาชูหางแพะสองตัวไว้ในมือ ใต้แสงกองไฟสาดส่องสีแดงที่ย้อมด้านบนยิ่งแสบตา
………………………
“มีข่าวอะไรไหม?”
คุณหนูจวินมองจูจั้นที่เดินออกมาจากศาลาพักม้าแล้วเอ่ยถาม
“ไม่มีข่าวอะไร” จูจั้นตอบ
“ไม่มีข่าวก็คือข่าวดี” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น
“คำนี้ไม่ถูกต้อง” จูจั้นแย้ง คำพูดเอ่ยออกมาก็รีบเงยหน้ามองนางแล้วยิ้ม “แต่บางครั้งก็ถูก ที่เจ้าพูดก็ถูก”
คุณหนูจวินมองเขา
“เจ้าอยากพูดอะไรก็พูดมา ปากไม่ตรงกันใจทำอะไร?” นางเอ่ยขึ้นมา “แค่เพราะข้าคือฉู่จิ่วหลิง? ท่านก็ดูถูกคนเช่นนี้หรือ?”
เอาอีกแล้ว..
จูจั้นกุมหน้าผาก
“ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” เขาเอ่ย
“ไม่ใช่หรือ?” คุณหนูจวินคิ้วตั้งเอ่ย “หากข้ายังเป็นจวินจิ่วหลิง ท่านจะพูดเช่นนี้ไหม?”
แน่นอนไม่มีทาง คงมีแต่ชื่นมื่นไม่ปล่อยโอกาสเสียดสีนางไป มือของจูจั้นที่กุมหน้าผากอยู่เลื่อนมาปิดตา สักประโยคก็ไม่กล้าเอ่ยอีก
คุณหนูจวินสะบัดแส้ม้าเร่งม้าควบเร็วรี่ไปข้างหน้า ไม่นานนักก็ได้ยินจูจั้นตามมาด้านหลัง ปลายหางตาเห็นท่าทางเขาก้มศีรษะหดหู่ พลันรู้สึกเบิกบานใจอย่างประหลาด
“ท่านรู้สึกว่าเรื่องราวไม่ดี ไม่ดีอย่างไร?” นางหันกลับมาเอ่ยถาม
ขอแค่ก่อนหน้าไม่มีเรื่องได้หาเรื่องระบายโทสะ ต่อมาก็ไม่มีเรื่องแล้ว จูจั้นมองนางอย่างค่อนข้างจนปัญญาอยู่บ้าง แต่แน่นอนเขาย่อมไม่หาเรื่องอีก
“ข้าคิดว่าด้านนั้นสงบสุขเกินไป” เขาเอ่ยจริงจัง “ต้องรู้ว่าคนที่คุมด้านนั้นอยู่ตอนนี้คือชิงเหอปั๋ว”
ชิงเหอปั๋วคนผู้นี้นางไม่รู้จักจริงๆ หลายปีนั้นที่พระบิดายังอยู่ชิงเหอปั๋วคล้ายถูกราชสำนักลืมเลือน เพียงรู้ว่าคนผู้นี้ชื่อเสียงไม่ดี
“นั่นน่ะเป็นคนถ่อยคนหนึ่ง” จูจั้นเอ่ย “ไม่อาจปฏิเสธว่าเขากล้าหาญเชี่ยวชาญการรบ แต่ก็เพราะกล้าหาญเชี่ยวชาญการรบ ต่อมาจึงยิ่งถือดีขึ้นทุกที นอกจากนี้ละโมบทรัพย์ดันทุกรัง ผู้ตรวจการเหล่านั้นบอกว่าบิดาข้ากระหายความชอบ ที่จริงผู้ที่กระหายความชอบอย่างแท้จริงคือชิงเหอปั๋ว”
คุณหนูจวินพยักหน้า
“ข้าได้ยินมาบ้าง” นางเอ่ย “ได้ยินพระบิดาเคยเอ่ยถึง ดังนั้นจึงคัดค้านการใช้งานเขามาตลอด”
จูจั้นขานอืม
“เขาคิดเสมอว่าบิดาของข้าปล้นความชอบของเขาไป” เขาเอ่ย “ครั้งนี้ในที่สุดมีโอกาสรับช่วงแดนเหนือ เจ้าคิดว่าเขาจะยินดีปล่อยมือหรือ?”
นี่เป็นปัญหาหนึ่งอย่างแท้จริง คุณหนูจวินก็เงียบงันครู่หนึ่งด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮ่องเต้เห็นชัดยิ่งว่าไม่ชอบเฉิงกั๋วกง
นายชอบอะไรขี้ข้าต้องชอบยิ่งกว่า
“ท่านสงสัยว่าข่าวที่แดนเหนือถูกขวางไว้หรือ?” นางเอ่ยถาม
เดินทางมาตลอดทาง คุณหนูจวินรู้ว่าจูจั้นจะได้ข่าวของทุกหนทุกแห่งจากศาลาพักม้า นี่เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาจากการขายแผนที่เมืองหลวงเมื่อตอนนั้น
จูจั้นพยักหน้า
“อย่างน้อยก็เชื่อไม่ได้เท่าก่อนหน้านี้แล้ว” เขาเอ่ยบอก “โอรสสวรรค์หนึ่งรัชสมัยขุนนางหนึ่งรัชสมัย วางไว้ที่ไหนก็ถูก”
เฉิงกั๋วกงออกจากแดนเหนือไม่ได้กำหนดวันกลับ ชิงเหอปั๋วเข้าประจำการที่แดนเหนือต้องฉวยโอกาสกำจัดคนของเฉิงกั่วกงแน่
คุณหนูจวินเงียบงันครู่หนึ่ง
“พวกเรารีบกลับเมืองหลวงให้เร็วที่สุด” นางเอ่ย พลางเร่งม้าอีกครั้ง
แทบจะไม่ได้พักผ่อนดีๆ หกเจ็ดวันต่อกันแล้ว จูจั้นมองนางที่ยากจะซ่อนสีหน้าซีดเซียว แม้นางจะรีบกลับเมืองหลวงเช่นกัน แต่ที่ร้อนรนยิ่งกว่าก็คือเขาที่ออกจากเมืองหลวงมา เกรงแต่จะถ่วงเวลาเรื่องของเฉิงกั๋วกง
นอกจากสาดโทสะอย่างไม่มีเหตุผล นางล้วนดีที่สุด ในใจจูจั้นคิด อดไม่ได้บีบนิ้วมือยิ้ม
“ท่านคิดอะไรอีกแล้วน่ะ? ยิ้มประหลาดเช่นนั้น” คุณหนูจวินเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
เอาอีกแล้ว! จูจั้นตัวสั่น
“ไม่มีอะไร” เขารีบเอ่ย
“ไม่มีอะไร? ก่อนหน้านี้ทำไมไม่เห็นท่านยิ้มเช่นนี้?” คุณหนูจวินเลิกคิ้วเอ่ย
จูจั้นอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา ใช่แล้วเขาเสียใจจริงๆ ก่อนหน้านี้ทำไมโง่เช่นนั้นนะ
คุณหนูจวินไม่สนใจเขา แค่นเสียงเหออะอีกครั้ง กระตุ้นม้าควบเร็วรี่ไปข้างหน้า
ไม่อาจทำเช่นนี้ได้แล้ว เป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่จบไม่สิ้น จูจั้นกัดฟันทีหนึ่งไล่ตามไป
“เจ้าเป็นเช่นนี้ไม่ได้แล้ว” เขาทะยานม้าขวางคุณหนูจวิน สีหน้าเคร่งขรึมเอ่ย “เจ้าเป็นเช่นนี้ไม่ถูกต้อง”
“ข้าเป็นอย่างไร?” คุณหนูจวินเอ่ย “ข้าเป็นเช่นนี้เสมอ ไม่ถูกต้องอย่างไร?”
“เจ้าไม่อาจเพราะตอนนี้ข้าดีกับเจ้า เจ้าก็คิดว่าไม่ยุติธรรมกับตัวเจ้าก่อนหน้านี้ นี่เจ้าไยไม่ใช่กำลังตนเองหึงตนเองอยู่” จูจั้นสีหน้าจริงจังเอ่ย
คำพูดออกจากปากปุบ ทั้งสองคนล้วนตะลึงแล้ว
หึง?
หึงรึ?
ที่แท้อาการประหลาดหลายวันนี้ก็เพราะหึงรึ?
สถานการณ์อะไรคนผู้หนึ่งถึงหึงได้?
ย่อมเป็น…
จูจั้นรู้สึกว่าร่างกายถูกน้ำมันร้อนกระทะหนึ่งสาด คนทั้งร่างแดงแปร๊ด
“ที่แท้หึงหรือ?”
“จริงหรือ? เจ้า…” เขาเอ่ยถามติดๆ ขัดๆ
หน้าของคุณหนูจวินก็แดงด้วยแล้ว ดวงตาเบิกกลมน่ารัก
“ไม่ใช่” นางเอ่ย “ท่านพูดไร้สาระคิดเหลวไหลอะไร? ไม่มีต้นสายปลายเหตุจริงๆ ”
พูดจบพลันสะบัดแส้ม้าทีหนึ่งเร่งม้าอ้อมไป
“ท่านไม่มีต้นสายปลายเหตุอยู่เสมอ” นางโยนต่อมาอีกประโยค
จูจั้นคนทั้งร่างร้อนฉ่าแล้ว ม้าควบเร็วรี่ผ่านไปพาสายลมพัดให้เขาเย็นสบายอยู่บ้าง
“ไม่ใช่” เขาเอ่ย
ไม่ใช่ไร้ต้นสายปลายเหตุ แล้วก็ไม่ใช่คิดเหลวไหล ไม่ใช่
เขาหันหัวม้ามองคนที่อยู่ด้านหน้า ควบเร็วรี่ไล่ตามไป
กีบเท้าม้าวุ่นวายก่อกวนทุ่งกว้างปลายฤดูใบไม้ร่วงให้เปลี่ยนเป็นอึกทึก
……………………………………….
……………………………………….
ส่วนที่อันกั๋วเมืองเล็กๆ ในฉีโจวเวลานี้บรรยากาศตึงเครียดอยู่บ้าง เพราะองครักษ์เสื้อแพรกลุ่มหนึ่งกำลังตัดผ่านถนนใหญ่
ชาวบ้านบนถนนกลั้นหายใจเงียบเสียงสีหน้าหวาดกลัว มองคนกลุ่มนี้วิ่งไปทางจวนที่ว่าการ
“ใครทำผิดหรือ?”
“ไม่ได้ยินนะ”
“พักนี้ไม่มีเรื่องอะไรนี่?”
“มี เหมือนจะมีทหารคนหนึ่งกินแพะของสหายร่วมภูมิลำเนาสองตัวไป”
“นี่นับเป็นเรื่องอะไร?”
คนบนถนนถกเถียงเสียงเบา
“ข้าไม่คิดว่านี่มีสิ่งใดผิด”
ในห้องขังของจวนอันกั๋ว จางจือเฉิงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
“แพะนี่วิ่งมาที่นี่ของพวกเราแล้ว นั่นย่อมเป็นของพวกเรา”
ผู้บัญชาการทหารหลี่ยืนอยู่นอกประตูห้องขังโกรธจนถลึงตา
“เจ้ายังไม่สำนึกผิดอีก?” เขาเอ็ดเสียงเบา “เจ้ายังมีเหตุผลด้วย?”
“ข้าย่อมมีเหตุผล ใต้เท้าท่านว่านี่เรียกเรื่องไหม? ไม่ใช่แค่กินแพะตายสองตัวหรือ?” จางจือเฉิงก็ถลึงตาบ้าง “กินของสหายร่วมบ้านเกิดของพวกเราข้ายอมรับโทษ กินของชาวจิน ข้ารู้สึกว่าควรให้รางวัลข้า”
ผู้บัญชาการทหารหลี่สบถทีหนึ่ง
“เจ้ารอความตายเถอะ” เขาเอ่ยด่าอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้ารู้หรือไม่ ใต้เท้าผู้ตรวจการชั่วคราวต้องการคำอธิบายให้ชาวจิน หากส่งเจ้าออกไป เจ้าไม่รับโทษเป็นไปไม่ได้”
เขาเดินกลับไปมา
“เจ้าก็พูดความจริงไปเถอะ เป็นเรื่องของชาวบ้านสองคนนั้น”
จางจือเฉิงกระโดดลุกขึ้น
“เกี่ยวอะไรกับชาวบ้านสองคนนั้น” เขาเอ่ย “แพะถูกสุนัขกัดตาย เนื้อเป็นข้ากิน ต้องการคำอธิบายก็ส่งข้ากับสุนัขไปอธิบายด้วยกัน”
พูดพลางก็สบถอีกทีหนึ่ง
“ถึงเวลาให้ทุกคนได้รู้ว่าข้าจางเถี่ยโถวไม่ตายเพราะสังหารชาวจิน แต่ตายเพราะกินแพะของชาวจิน ก็นับว่าทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์แล้ว”
ผู้บัญชาการทหารหลี่โกรธจนหน้าเขียว ถลึงตามองเขาทีหนึ่ง กำลังจะพูดอะไรนายทหารนอกประตูก็เข้ามา
“ใต้เท้าหลี่ ใต้เท้าควั่งกลับมาแล้วต้องการพบท่านขอรับ” เขาเอ่ย
ใต้เท้าควั่งก็คือขุนนางที่ใต้เท้าผู้ตรวจการชั่วคราวส่งมาจัดการเรื่องนี้ หลังจับจางจือเฉิงที่กินแพะอยู่คาหนังคาได้เขาก็กลับไปรายงาน เวลานี้รับคำสั่งกลับมาแล้ว
“เจ้าทำตัวดีๆ กับข้าหน่อย” ผู้บังคับบัญชาทหารหลี่ถลึงตามองจางจือเฉิงอย่างเหี้ยมเกรียมทีหนึ่ง ก้าวเร็วไวออกไปแล้ว
ใต้เท้าควั่งนั่งอยู่ในโถงที่ว่าการแล้ว ในนั้นยังมีพวกองครักษ์เสื้อแพรนั่งอยู่ด้วย
ผู้บัญชาการทหารหลี่เห็นคนเหล่านี้ในใจพลันกระตุกวูบหนึ่ง
ถึงกับ…
“ใต้เท้า” เขารีบเข้าไปคำนับ สีหน้าต่ำต้อยนอบน้อม “ใต้เท้าทุกท่าน”
พวกองครักษ์เสื้อแพรไม่สนใจเขา
“ใต้เท้าหลี่ เพราะรับบัญชาให้สืบค้นสักหน่อย ดังนั้นใต้เท้าผู้ตรวจการชั่วคราวจึงให้พวกเขามาถามสักคำ” ใต้เท้าควั่งเอ่ย ชี้องครักษ์เสื้อแพรข้างกาย
ผู้บัญชาการทหารหลี่กล้าขวางที่ไหน กำลังจะพาเข้าไปด้วยตนเองกลับถูกใต้เท้าควั่งขวางไว้
“พวกเขาถามคำถามไม่ชอบให้คนนอกอยู่ในเหตุการณ์” เขาเอ่ยขึ้น
ผู้บัญชาการทหารหลี่ได้แต่มองเหล่าองครักษ์เสื้อแพรเข้าไป
“ใต้เท้าควั่ง” เขารีบร้อนดึงใต้เท้าควั่งไว้ ยัดเงินถุงหนึ่งไว้ในแขนเสื้อของเขา
ใต้เท้าควั่งตกใจสะดุ้งโหยง
“นี่เจ้ากำลังทำอะไร!” เขารีบดันกลับไป
“จางจือเฉิงเจ้าหนูนี่ก็แค่คนสมองทื่อคนหนึ่ง ไม่มีหัวคิด” ผู้บัญชาการทหารหลี่เอ่ยอย่างจริงใจ “เติบโตมาท่ามกลางการเข่นฆ่า ทั้งครอบครัวผู้เฒ่าเด็กน้อยล้วนตายในมือชาวจิน เขาไม่มีทางทำตัวดีกับชาวจิน ครั้งนี้กินแพะไป ขอใต้เท้าอภัยด้วย”
ใต้เท้าควั่งมองเขาแล้วส่ายศีรษะถอนหายใจ
“แค้นของบ้านเมืองทุกคนล้วนมี แต่ก็ต้องว่าตามกฎสิ” เขาเอ่ย “จะทำตามใจได้อย่างไร?”
ผู้บัญชาการทหารหลี่ขานรับหลายหน
“ครั้งนี้อย่างไรก็โปรดอภัยด้วย ข้ารับประกันว่าจะลงโทษเขาให้ดีๆ ไม่ให้เขาทำผิดอีกเด็ดขาด” เขาเอ่ยพลางยัดถุงเงินไปอีกครั้ง “ความเคารพเล็กน้อย ความเคารพเล็กน้อย”
ใต้เท้าควั่งดันถุงเงินกลับไปกดไว้บนมือผู้บัญชาการทหารหลี่
“ข้าเข้าใจ” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าอ่อนโยน “พวกเจ้าในใจวิตก คิดว่าหากเฉิงกั๋วกงอยู่ เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ย่อมไม่นับเป็นเรื่อง วันนี้ชิงเหอปั๋วปกครอง พวกเจ้ายากเลี่ยงในใจหวาดหวั่น”
ผู้บัญชาการทหารหลี่ส่ายศีรษะปฏิเสธย้ำๆ อย่างรวดเร็ว
“จะบอกให้เจ้าวางใจ” ใต้เท้าควั่งเอ่ย “ใต้เท้าผู้ตรวจการชั่วคราวพบชาวจินแล้ว บอกพวกเขาว่าหาแพะไม่พบ ให้พวกเขาลองหาดูด้านนั้นของตนเองดีๆ นอกจากนี้ดูแพะของตนเองให้ดีด้วย”
ถึงกับคลี่คลายเช่นนี้แล้ว? ผู้บัญชาการทหารหลี่ชั่วขณะไม่ทันตอบสนอง อึ้งนิดหนึ่งถึงเข้าใจความหมายคำพูดของใต้เท้าควั่ง ฉับพลันดีใจยิ่ง
“ใต้เท้าทั้งหลายฉลาดเฉลียว” เขาคำนับอย่างตื่นเต้น
ใต้เท้าควั่งแค่นเสียงเหอะ
“ใต้เท้าทั้งหลายข้างบนก็ไม่ได้โง่ ใครเป็นคนของตนเอง ใครเป็นคนนอกจะไม่รู้หรือ?” เขาเอ่ย “พี่น้องของตนเองก่อเรื่องอย่างไรก็ได้ กับข้างนอกย่อมไม่อาจขายหน้าได้”
ผู้บัญชาการทหารหลี่เอ่ยขอบคุณหลายครั้งทั้งตื่นเต้นทั้งปลื้มใจจริงๆ
“เป็นพวกเราใจแคบแล้ว” เขาเอ่ยอย่างจริงใจ “”ขอใต้เท้าทั้งหลายโปรดวางใจ ข้าจะดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาให้ดีแน่นอน ไม่ให้เกิดเรื่องขายหน้าที่ทำให้ใต้เท้าทั้งหลายลำบากใจเช่นนี้อีกเด็ดขาด”
ใต้เท้าควั่งพยักหน้า ยัดถุงเงินกลับไป
“พวกเจ้าทำได้เช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว ดีกว่ายัดเงินมาก” เขาเอ่ย
ผู้บัญชาการทหารหลี่ท่าทางอับอายอยู่บ้างแล้วก็ซาบซึ้ง เก็บถุงเงินกลับไปอย่างไม่สงสัยอีก ยืนตัวตรง
“ขอรับ” เขาคำนับอย่างนอบน้อม
พูดถึงตรงนี้เสียงฝีเท้ากลุ่มหนึ่งก็ดังขึ้น พวกองครักษ์เสื้อแพรกลุ่มนั้นเดินออกมาแล้ว
“ถามกระจ่างแล้ว” คนที่เป็นหัวหน้าสีหน้าเย็นชาเอ่ย สะบัดกระดาษแผ่นหนึ่งในมือนิดหนึ่ง “จางเถี่ยโถวยอมรับว่าได้รับการบงการจากเฉิงกั๋วกงจูซาน จะหาเรื่องทะเลาะกับชาวจิน”
ผู้บัญชาการทหารหลี่รู้สึกว่าสมองดังบึ้มทีหนึ่ง ในหูดังวิ้งๆ คล้ายได้ยินอะไรแล้วก็คล้ายไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น
อะไรนะ?
สายตาของเขาจับอยู่บนกระดาษที่ถืออยู่ในมือองครักษ์เสื้อแพรคนนั้น อักษรที่เขียนด้านบนมองไม่ชัด เห็นเพียงรอยประทับมือสีแดงสดข้างหนึ่ง
มาได้อย่างไร?
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง”
ผู้บัญชาการทหารหลี่ได้ยินใต้เท้าควั่งเอ่ย เสียงเดี๋ยวไกลเดี๋ยวใกล้
“มิน่าถึงทำเรื่องเช่นนี้ออกมา”
ทำเรื่องอะไรออกมา? ที่แท้อย่างไรนะ?
ผู้บัญชาการทหารหลี่รู้สึกเพียงจิตใจว้าวุ่น เขายืนไม่มั่นคงอยู่บ้าง
“ใต้เท้า…” เขายื่นมือ มองใต้เท้าพลางเอ่ยเรียกอย่างไม่ทันรู้ตัว
องครักษ์เสื้อแพรคนนั้นพลันชี้ด้านหลัง
“อ้อ ถูกต้องแล้ว อีกอย่าง” เสียงเขานิ่งเรียบเอ่ยขึ้น “จางเถี่ยโถวถูกลงทัณฑ์จนทนไม่ไหว ลงชื่อประทับลายมือเสร็จก็ตายแล้ว พวกเจ้าจัดการเถอะ”
ตายแล้ว?
ใครตายแล้ว?
ผู้บัญชาการทหารหลี่หันศีรษะกลับมานิ่งอึ้ง เห็นเจ้าพนักงานสองคนยกแผ่นกระดานแผ่นหนึ่งเดินออกมา บนนั้นร่างใหญ่ร่างหนึ่งนอนอยู่ จางเถี่ยโถวที่เมื่อครู่ยังกระทืบเท้าถลึงตาใส่เขาอยู่ในห้องเขานั่นเอง
บนร่างเขากลับไม่เห็นบาดแผล ดูไปแล้วคล้ายนอนหลับอยู่ เพียงแต่สองตานั่นเบิกโพลง สีหน้าที่เขียวคล้ำบิดเบี้ยวแข็งทื่อไปแล้ว
ผู้บัญชาการทหารหลี่รู้สึกเพียงหัวใจที่เต้นอยู่พริบตาหยุดนิ่ง คนก็โงนเงนล้มนั่งไปข้างหลัง เขายื่นมือไปด้านหน้าคว้าจับไว้โดยไม่ทันรู้ตัว
ฟ้าทำไมมืดแล้ว?
เขาทำไมสิ่งใดก็มองไม่เห็นแล้วเหมือนกันเล่า?
เกิดเรื่องอะไรขึ้น?
ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้น?
……………………………
เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองอันกั๋วที่ห่างไกล จูจั้นกับคุณหนูจวินที่ขี่ม้าเดินทางอยู่ระหว่างทางมาเมืองหลวงเวลานี้นาทีนี้ยังไม่รู้
ม้าสองตัวของพวกเขาหนึ่งหน้าหนึ่งหลังควบเร็วรี่ไม่หยุด
“มีเรื่องหนึ่ง…” จูจั้นเอ่ยขึ้น
“มีเรื่องอะไรเข้าเมืองหลวงค่อยพูด” คุณหนูจวินขัดเขา “นอกจากนี้ก็ไม่มีเรื่องอะไรควรค่าให้พูด”
นี่เป็นครั้งที่เท่าไรไม่รู้ที่พวกเขาสนทนากันเช่นนี้ จูจั้นจะเอ่ยคำพูด คุณหนูจวินขัด
“จวินจิ่วหลิง” จูจั้นเอ่ยเรียก ขวางนางไว้ “เจ้าพูดกับข้าดีๆ ได้หรือไม่?”
เขาเรียกนางจวินจิ่วหลิง ความรู้สึกนี่กลับน่าสนใจ
ทว่าคุณหนูจวิน มองก็ไม่มองเขาสักที
“ไม่ได้” นางว่า
จูจั้นสะอึกถลึงตา
“หมดหนทางกับเจ้าจริงๆ” เขาโกรธเอ่ยขึ้น
“นั่นคือท่านหมดหนทางกับข้าในตอนนี้ ที่เป็นฉู่จิ่วหลิงเช่นนี้ หากเป็นจวินจิ่วหลิงก่อนหน้านี้เล่า?” คุณหนูจวินคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มมองเขาพลางเอ่ยขึ้น
“จวินจิ่วหลิงก่อนหน้านี้ข้าก็หมดหนทางเหมือนกัน”จูจั้นเอ่ย “เจ้าก็คิดถึงก่อนหน้านี้ เจ้าลองคิดดู ข้าเคยทำอันใดเจ้าจริงๆ หรือ”
ไม่หรือ?
คุณหนูจวินสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ไม่ต้องพูดถึงเงินโคมไฟที่หยางเฉิง” จูจั้นเอ่ยต่อ “เวลานั้นไม่นับ พูดตั้งแต่ต้นเซียนจื่ออิงครั้ง ข้าแย่งสมุนไพรของเจ้า แต่เจ้าข้าเป็นคนแปลกหน้า ข้าเก็บค่าตอบแทนไม่เป็นปัญหากระมัง? ข้ายอมรับว่าตนไม่ทำร้ายคน แต่ก็ไม่ใช่คนดี”
คุณหนูจวินเงียบครู่หนึ่ง
“ท่านเป็นคนดีคนหนึ่ง” นางเอ่ย จากนั้นก็ยิ้มแล้ว
แม้เขามีท่าทีเลวร้ายต่อผู้อื่น แต่ไม่เคยทำเรื่องเลวร้าย ตรงกันข้ามทำเรื่องกล้าหาญดีงามเสมอ
“ใช่ ท่าทีที่ข้ามีต่อเจ้าไม่ดี นี่ไม่ได้เจาะจงใส่เจ้า กับทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรี ท่าทีของข้าล้วนไม่ดี” จูจั้นเอ่ย พลางยื่นมือลูบหน้าของตนเอง “ที่สำคัญคือข้าคนนี้น่าจับตาเกินไป เรียกคนให้ชมชอบเกินไป ดีกับสตรีนิดหน่อยก็ทำให้พวกนางเข้าใจผิดง่าย น่ารำคาญจริงๆ”
คุณหนูจวินสีหน้าประหลาดอยู่บ้าง
“แม้ที่ท่านพูดน่าจะเป็นความจริง แต่ทำไมฟังแล้วน่าขันเช่นนี้” นางเอ่ย
จูจั้นไม่ได้สนใจรอยยิ้มของนาง
“ตอนนั้นข้าไม่ดีกับเจ้าก็ไม่ใช่ความผิดข้าคนเดียว เจ้าก็เป็นเหตุผลประการใหญ่” เขาสีหน้าเคร่งขรึมเอ่ย
“ข้ารู้แล้ว ข้าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ ไปเถอะ ไปเถอะ” คุณหนูจวินขัดเขาต้องการกระตุ้นม้าเดินหน้า
นางก็แค่คิดขึ้นมาได้ จึงตะบึงตะบอนเล่นสักหน่อยเท่านั้น แต่หากพูดเรื่องนี้จริงๆ อย่างไรก็รู้สึกหัวใจว้าวุ่นอยู่บ้าง
“ไม่ได้!” จูจั้นกระโดดลงจากม้า ยื่นมือแย่งบังเหียนม้าของนางไป ท่าทางไม่ยอมรับคำปฏิเสธ
“ท่านพาลกับข้าแล้ว” คุณหนูจวินคิ้วตั้งเอ่ย ฉวยแย่งเชือกบังเหียน “เอามาให้ข้า”
จูจั้นปล่อยให้นางแย่งเชือกบังเหียนไป แต่ยื่นมืออุ้มนางลงมาจากม้า
คุณหนูจวินไม่ทันป้องกันตกใจสะดุ้งโหยง
“ท่านทำอะไร?” นางตะโกน
“เรื่องนี้ต้องพูดกันให้ชัด” จูจั้นสีหน้าขรึมเอ่ย กดนางไว้บนร่างไม่ให้ขยับ “เวลานั้นเจ้าจำข้าได้ แต่ข้าจำเจ้าไม่ได้ สำหรับเจ้า ข้าคือคนคุ้นเคย ดังนั้นเจ้าอยู่ต่อหน้าข้าจึงทำตัวตามใจไม่หวั่นเกรง แต่ข้าเล่า ข้าจำเจ้าไม่ได้นะ เจ้าลองคิดดู สตรีแปลกหน้าคนหนึ่งอยู่ดีๆ ทำท่าคุ้นเคยทำตัวตามอำเภอใจ เจ้าไม่กลัวหรือ? เจ้าไม่สงสัยว่านางมีแผนการอื่นหรือ? ข้าย่อมต้องป้องกัน ระแวง แต่เจ้าถามใจตนเองดู ท่าทีข้าไม่ดี แต่ข้าเคยทำเรื่องไม่ดีกับเจ้าไหม?”
ที่จริง แน่นอนไม่มี เขาเคยช่วยชีวิตนาง ช่วยนางขวางลู่อวิ๋นฉี ไม่เสียดายหาเรื่องยุ่งยากสังหารใต้เท้าน้อยหวงแทนนาง สัญญาว่าจะปกป้องชีวิตนาง ช่วยนางหาทายาทนักโทษมาทดลองยาจนเกลี้ยกล่อมหมอทั้งหลายได้อีก…
คุณหนูจวินออกแรงดึงมือเขาออก
“ข้ารู้แล้ว” นางเอ่ย “หลังจากนี้ข้าไม่พูดแล้วก็ได้”
จูจั้นกดนางไว้ไม่ปล่อย
“เจ้าไม่รู้” เขาเอ่ย “ข้าไม่ดีกับเจ้า ก็เพราะรู้สึกว่าเจ้าดียิ่งนัก”
นี่ตรรกะอันใด?
คุณหนูจวินมองเขา
“แต่ ข้าชอบฉู่จิ่วหลิง ข้าไม่อาจชอบสตรีคนอื่นได้อีก” จูจั้นมองนางพลางเอ่ย “ดังนั้นข้าจึงได้แต่ไม่ดีกับเจ้า ให้เจ้าไม่ดีกับข้าอีกต่อไป”
นี่มันตรรกะอะไรอีก?
คุณหนูจวินมองเขา
“เหตุผลนี่ก็เพราะข้ากลัวข้าชอบเจ้า” จูจั้นเอ่ย “ข้ากลัวข้าชอบจวินจิ่วหลิงแล้วลืมฉู่จิ่วหลิง”
ไม่ได้พูดสิ่งใดชัดๆ เมื่อได้ยินประโยคหนึ่งนี้ ดวงตาของคุณหนูจวินกลับขัดเขืองอย่างไร้สาเหตุ น้ำตาหวิดจะเอ่อล้นออกมา
“ท่าน” นางเอ่ยพึมพำเสียงเบา “ฉู่จิ่วหลิงตายแล้ว ท่านกับนางก็ไม่สนิทกัน ลืมก็ลืมไปสิ”
จูจั้นมองนาง ฉับพลันก็ยิ้ม แหงนหน้ามองฟ้า
“ใช่ ข้ากับเจ้าไม่สนิทกัน เจ้าจำข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ” เขาเอ่ย “ข้าก็เคยเห็นเจ้าเพียงสองครั้ง”
พูดถึงตรงนี้ก็หัวเราะขึ้นมาอีกหน
“ครั้งหนึ่งถูกตี ครั้งหนึ่งมองเจ้าถูกตี ทั้งอเนจอนาถทั้งน่าขันจริงๆ”
ถูกนางตีคือครั้งนั้นทีประตูเมือง เป็นเขาจริงๆ คุณหนูจวินเงียบงัน ส่วนตนเองถูกตีคือครั้งนั้นที่ปีนกำแพงบ้านเฉิงกั๋วกง
“ข้าไม่รู้ว่าสิ่งใดเรียกชอบ” จูจั้นเอ่ยต่อ “เพียงรู้สึกว่าคนผู้นี้น่าสนใจทีเดียว ไม่รู้ตัวก็สนใจเพิ่มขึ้นหน่อย คิดอยากมีโอกาสรู้จักอีกนิด มีโอกาส…”
เขายิ้มอีกครั้ง เพียงแต่รอยยิ้มไม่น่ามองอยู่บ้าง
“…มีโอกาสดีกับนาง” เขาเอ่ย “แต่คิดไม่ถึงว่าต่อมากลับไม่มีโอกาสนี้อีกแล้ว”
นางแต่งงานแล้ว นางตายแล้ว บนโลกนี้ไม่มีนางอีกต่อไปแล้ว
เขามองไปทางคุณหนูจวิน
“เจ้าว่า นางตายไป อายุน้อยเช่นนั้นก็ตายแล้ว คนมากมายเช่นนั้นจะลืมเลือนนาง จะลบการมีอยู่ของนาง หากข้าลืมนางด้วย นางจะน่าสงสารเพียงไร เดียวดายเพียงไร…”
คำพูดของเขายังเอ่ยไม่ทันจบ คุณหนูจวินพลันยื่นมือกอดเขาไว้
จูจั้นร่างกายแข็งทื่อนิดหนึ่ง แต่ไม่ได้หยุดพูด
“…เจ้ามักจะพูดว่าข้ามองเจ้าก่อนหน้ากับให้หลังไม่เหมือนกัน บอกว่าหากเจ้าไม่ใช่ฉู่จิ่วหลิงข้ายังจะดีกับเจ้าเช่นนี้หรือ แต่เจ้าลืมไปแล้วเจ้าก็ดีกับข้ามากเช่นกัน หากเจ้าไม่ใช่ฉู่จิ่วหลิง เจ้ายังจะดีกับข้าเช่นนี้ไหม? จะดีกับครอบครัวของข้าเช่นนี้ไหม? เจ้ากับข้าจะยังพบพานรู้จักกันเฉกเช่นตอนนี้เช่นนี้ไหม?”
ไม่รู้ เพราะตั้งแต่แรกนางก็คือฉู่จิ่วหลิง นางไม่รู้ว่าหากเปลี่ยนเป็นคนอีกคนหนึ่ง เรื่องราวจะเป็นอย่างไร
เขาไม่มีทางได้พบนาง นางก็ไม่มีทางรู้จักเขา เขาจะคิดถึงฉู่จิ่วหลิงของเขาต่อไป ส่วนนางก็ใช้ชีวิตของตน ชีวิตที่ไม่เกี่ยวข้องกับฉู่จิ่วหลิงอย่างสิ้นเชิง
คุณหนูจวินส่ายศีรษะอยู่หน้าตัวเขา
“ข้าไม่รู้จัก ไม่เข้าใจว่าองค์หญิงจิ่วหลิงเป็นคนอย่างไร ข้าก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าคือนาง เจ้าดียิ่งนัก ดียิ่งนัก” จูจั้นเอ่ยต่อ “แต่ข้ายังไม่อยากและไม่อาจลืมเลือนคนที่ข้าไม่ทันได้ดีกับนางคนนั้น ข้าเคยคิดว่าข้าติดค้างเจ้า ชีวิตนี้จะติดตามเจ้ายอมให้เจ้าเรียกใช้ จนกระทั่งเจ้าไม่ต้องการ จนกระทั่งเจ้าแต่งงาน จนกระทั่งเจ้าไล่ข้าไป ข้าค่อยจากไป”
เขาก้มศีรษะ มองสตรีร่างเล็กตรงหน้าตัว ยกมือวางบนหัวไหล่นางช้าๆ ไขว้หากันช้าๆ
“ข้าคิดไม่ถึงว่าสวรรค์จะให้โอกาสนี้กับข้า” เขากอดนางไว้แน่นๆ ซุกศีรษะอยู่หลังลำคอของนาง “ให้ข้ามีโอกาสดีกับนาง ให้ข้ารู้สึกว่าคนที่ดีก็คือคนที่ต้องการดีกับนางที่สุด”
คุณหนูจวินรู้สึกได้ว่ามีน้ำอุ่นร้อนกระจายหลังลำคอ ทำคอเสื้อเปียกชื้น นี่ทำให้นางได้สติขึ้นมา
“เฮ้” นางดิ้นดันเขาออก “เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว”
จูจั้นมองนาง
“รู้อะไร?” เขาเอ่ยถาม
คุณหนูจวินหลบสายตาเขา มองไปทางม้าที่กินหญ้าอยู่ด้านข้าง
“ข้ารู้ว่าท่านไม่ได้ก่อนหน้าหยิ่งยโสภายหลังเคารพ ท่านดีกับทั้งจวินจิ่วหลิง ฉู่จิ่วหลิง ดีด้วยเหมือนกัน” นางเอ่ย
จูจั้นยังคงมองนาง
“หลังจากนั้นเล่า?” เขาเอ่ยถาม
มีหลังจากนั้นอะไรเล่า
“หลังจากนี้ข้าจะไม่เอาเรื่องนี้มาแกล้งท่านอีกแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ย
จูจั้นมองนางต่อ
“หลังจากนั้นเล่า?” เขาเอ่ยถาม
……………………
แม้คุณหนูจวินอยากควบเร็วรี่เช่นนี้ไปตลอด แต่ต่อให้นางไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ม้าก็ทนไม่ไหว
พลบค่ำนางรั้งม้าหยุด
“จิ่วหลิง”
เสียงของจูจั้นดังขึ้นด้านหลัง
คุณหนูจวินคล้ายตกใจสะดุ้งโหยง
“อย่าเรียกคนกะทันหันสิ” นางเอ่ย นั่งตัวตรงบนม้าศีรษะก็ไม่หันกลับเอ่ยเสียงนิ่ง
“นี่เรียกกะทันหันอย่างไร” จูจั้นเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าอยู่ดีๆ ก็หยุด ข้า…”
“ท่านทำไมคำพูดมากปานนั้น?” คุณหนูจวินหันหน้ามองเขาทีหนึ่ง เอ่ยขึ้นอย่างโมโหอยู่บ้าง
จูจั้นยิ่งไม่เข้าใจ
ในใจคิดว่าข้าเพิ่งเอ่ยประโยคเดียวเท่านั้นนะ
ทำไมโมโหแล้วเล่า?
นางไม่ใช่คนบันดาลโทสะตามใจเช่นนั้น ตลอดมาเยือกเย็นสำรวมทั้งยังไม่พาลโกรธ
เขาเพ่งสายตาสำรวจคุณหนูจวินเล็กน้อยคิดอยากมองให้ออกว่านางคิดอะไรอยู่
คุณหนูจวินหันกลับมาแล้ว
“คืนนี้จะเดินทางกลางคืนหรือพักล่ะ?” นางเอ่ยขึ้น เสียงนิ่งสงบคล้ายโทสะก่อนหน้านี้เป็นจูจั้นเข้าใจผิดไปเอง
“เร่งเดินทางตอนกลางคืนต่อกันมาหลายวันแล้ว วันนี้พักผ่อนคืนหนึ่งเถอะ” จูจั้นเอ่ยพลางมองไปข้างหน้า
ด้านหน้าเมืองแห่งหนึ่งเลือนรางอยู่
“ตัดผ่านหมู่บ้านแห่งนี้พักแรมนอกเมือง หรือตอนนี้จะเข้าเมืองพักผ่อน?” เขาเอ่ยถาม
“พักแรมนอกเมืองเถอะ” คุณหนูจวินเอ่ย มองสีท้องฟ้า “เวลายังเช้าอยู่”
จูจั้นพยักหน้ากระตุ้นม้า
“ไปเถอะ” เขาเอ่ย “ไม่ต้องเข้าเมืองอ้อมไปก็ได้”
เพิ่งกระตุ้นม้า คุณหนูจวินกลับร้องเฮ้ทีหนึ่งอีก
“เข้าเมืองพักผ่อนดีกว่านะ” นางเอ่ย
นางตัดสินใจเด็ดขาดมาเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างการเดินทาง ยามเอ่ยออกมา ในใจย่อมขบคิดทุกสิ่งฃเสร็จสรรพเรียบร้อย เลือกสิ่งที่ดีที่สุดออกมาแล้ว
กลับคำไปมาเช่นนี้เพิ่งเป็นครั้งแรก
เหมือนก่อนหน้านี้ที่ตอบว่าไม่เข้าเมืองเป็นเพียงคำพูดหลุดปากที่ไม่ทันคิดให้ละเอียด
นางไม่ใช่คนเช่นนี้ น่าจะมีเรื่องอันใดต้องการเข้าเมืองหรือไม่สะดวกพักแรมนอกเมือง
“ทำไมหรือ?” จูจั้นเพ่งสมาธิจดจ่อ เอ่ยถามพลางมองรอบด้านอีกหน “มีเรื่องอะไร?”
ตลอดทางนี่สงบสุขนักจนทำให้คนรู้สึกไม่อยากเชื่อ ไม่มีการสอดแนมอย่างใด แม้คุณหนูจวินวิเคราะห์ว่าโอกาสซ่อนเงินตระกูลฟาง ฮ่องเต้อย่อมต้องป้องกันผู้ใดก็ตามสอดแนมที่นี่อย่างเคร่งขรัด ดังนั้นถึงไม่สนใจไยดีพวกเขาด้วย แต่จูจั้นไม่เชื่อหรอกว่าลู่อวิ๋นฉีจะว่าง่ายเชื่อฟังเช่นนั้น
ถ้าเช่นนั้นตอนนี้คือรู้สึกว่ามีสิ่งใดไม่ชอบมาพากลหรือ?
“มีทำไมที่ไหน” คุณหนูจวินเอ่ย แล้วท่าทางโมโหอีกหน “ก็แค่อยากเข้าเมือง”
ทำไมโมโหอีกแล้วเล่า?
จูจั้นมองนางอย่างไม่เข้าใจ
คุณหนูจวินก็มองเขา เหมือนเช่นก่อนหน้านี้ หยิ่งทะนงและนิ่งสงบ แต่สีแดงแต้มหนึ่งบนปลายใบหูหนีไม่พ้นดวงตาของจูจั้น
นี่โมโหหรืออาย? เพราะตนเองจี้ถามสาเหตุที่เข้าเมืองรึ? สาเหตุใดทำให้สตรียามถูกถามไม่สะดวกตอบแล้วอับอายโกรธเคือง?
ความคิดของจูจั้นชั่วความคิดก็กระจ่าง มองคุณหนูจวินแล้วยิ้ม
“ได้ ถ้าเช่นนั้นก็เข้าเมือง” เขาหุบรอยยิ้มอีกหน พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าก็อยากเข้าเมืองเหมือนกัน”
เอ่ยจบก็กระตุ้นม้าเดินไปข้างหน้าก่อนหนึ่งก้าว
ไม่รู้ในใจคิดไร้สาระอะไรอีก คุณหนูจวินมองท่าทางของเขาพลางพึมพำในใจคำหนึ่ง แต่เขาไม่จี้ถามอีกก็ทำให้นางโล่งออก นางมองบุรุษที่เดินทางอยู่ข้างหน้าคนนั้น ยื่นมือลูบใบหูอย่างระวัง ตื่นเต้นอยู่บ้างเล็กน้อยพยายามถูให้ความร้อนสลายไป
เมืองยามพลบค่ำยังคงครึกครื้นยิ่งนัก ท้องถนนในฤดูใบไม้ร่วงผลหมกรากไม้ธัญญาหารที่เพิ่งเก็บเกี่ยวมาใหม่ๆ นานาชนิดวางแผงขายเบียดเสียดครึกครื้น ทั้งสองคนไม่อาจไม่จูงม้าตัดผ่านในนั้น
“เจ้าตามมาล่ะ” จูจั้นหันกลับมาเป็นระยะ มองสตรีที่ตามอยู่ด้านหลัง
นางเดินช้ายิ่งแล้วยังสนใจตลาดร้านค้าแผงลอยด้านข้างยิ่งนัก มักจะหยุดเสมอ ไม่ระวังปุบหันกลับมาก็ไม่เห็นคนแล้ว
พริบตานี้ที่ห่างออกจากกันไม่กี่ก้าวนี่เองพลันมีสตรีอุ้มเด็กน้อยและชายชราแบกตะกร้าผ่านมา แยกพวกเขาออกจากกัน
จูจั้นไม่อาจไม่ยื่นร่างไปซ้ายขวา เดินผ่านคนเหล่านี้ถึงมองเห็นคุณหนูจวินได้
บนหน้าคุณหนูจวินประดับรอยยิ้ม เชือกบังเหียนถูกนางไพล่อยู่หลังร่างแกว่งไกวเบาๆ เดินทอดน่องคล้ายไม่ได้ยินถ้อยคำเร่งของจูจั้น
เข้าเมืองถูกแล้วจริงๆ นางมองดูผู้คนที่เบียดเต็มข้างกาย รู้สึกว่าหัวใจในที่สุดก็สงบลงแล้ว
“เฮ้” จูจั้นเบียดมาจากด้านหน้าคล้ายจนปัญญาอยู่บ้าง “เจ้าจะซื้อของหรือ?”
“ไม่ซื้อหรอก” คุณหนูจวินเอ่ย
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าดูอะไร?” จูจั้นเอ่ยถาม
“ข้าอยากดู” คุณหนูจวินเลิกคิ้วเอ่ย
จริงๆ เลย ไม่จริงจังอีกแล้ว แต่ก็ไม่เหมือนความไม่จริงจังก่อนหน้านี้อยู่บ้างอีก ความไม่จริงจังก่อนหน้านี้เผยออกมาอย่างเป็นธรรมชาติเป็นโดยกำเนิด ส่วนตอนนี้จงใจขึ้นมาหลายส่วน
จูจั้นขมวดคิ้วมองนาง แต่เหมือนได้ยินมาว่านี่ก็ปกติ เขาท่าทางเข้าใจอยู่บ้างอีก
“พวกเราจะพักที่ไหน?” เขาเอ่ยถาม ไม่ยุ่งกับคำถามน่ากลัวเรื่องซื้อกับดูอันนี้อีก มองไปด้านหน้า “ด้านหน้ามีโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ดูแล้วคนมากนัก เอะอะ แต่หน้าประตูเมืองด้านนั้นต้องมีเหมือนกันแน่ ที่นั่นน่าจะสงบเงียบ…”
คำพูดของเขายังเอ่ยไม่ทันจบ คุณหนูจวินก็ยื่นมือชี้
“พักที่นี่” นางเอ่ยเด็ดขาดฉับไว พูดจบแล้วก็เห็นจูจั้นมองตนเอง นางเบิกตาจนกลม “ท่านมองข้าทำอะไร?”
“จะเปลี่ยนอีกไหม?” จูจั้นลังเลนิดหนึ่งถามขึ้นมา
คำพูดเอ่ยออกจากปากปุบก็เสียใจแล้ว นี่ไม่ใช่กำลังตำหนินางที่ก่อนหน้านี้ที่นางตามใจตัวไม่เข้าเมืองแล้วก็จะเข้าเมืองชัดๆ หรือ เป็นอย่างที่คิดสตรีตรงหน้าหน้าบึ้งตึง ไม่พูดสักคำก็เดินผ่านเขาจากไปแล้ว
ถ้อยคำบางอย่างในใจคิดก็เอ่ยออกมาไม่ได้นะ แน่นอนนอกจากจงใจ หรือพูดได้ว่าหากเป็นก่อนหน้านี้เขาคงระริกระรี้เอ่ยออกมา แต่ที่สำคัญคือตอนนี้ไม่ใช่ก่อนหน้านี้แล้ว
ในใจจูจั้นอารมณ์เสียไม่เลิก จูงม้าสองตัวคิ้วลู่ก้มหน้าติดตามไป พลางอธิบายหลายประโยค
“ตอนนี้ไม่ใช่ก่อนหน้านี้อย่างไร?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม “ข้ามีสิ่งใดไม่เหมือนกัน?”
แม้เสียงของนางนิ่งสงบอย่างก่อนหน้านี้ แต่จูจั้นย่อมไม่คิดว่านางเหมือก่อนหน้านี้จริงๆ
คำอธิบายนี่ยังไม่สู้ไม่อธิบาย แล้วก็พูดถึงตอนนั้นอีกแล้ว
ตอนนั้นกระทำเรื่องโง่เง่ามากมายใส่นาง จูจั้นสักนิดก็ไม่อยากนึกขึ้นมาเหมือนกัน ยิ่งไม่อยากให้นางนึกขึ้นมาด้วย
“เปล่า ข้าไม่ได้ว่าเจ้านะ” เขาจริงจังแล้วก็เคร่งขรึม ไม่มีหยอกล้อสักนิด “ข้าว่าตัวเอง เป็นข้าไม่เหมือน”
“ท่านอย่างไร…” คุณหนูจวินเอ่ย “…กินข้าวเถอะ”
จูจั้นกำลังตั้งหูฟังอยู่แน่ะ รู้สึกว่าประโยคนี้คล้ายไม่ใช่ความหมายนี้
“อะไร?” เขาเอ่ยถาม “กินข้าวเถอะอะไร?”
เวลานี้พวกเขาเข้ามาในโรงเตี๊ยมแล้ว โรงเตี๊ยมในเมืองเล็กๆ เรียบง่าย ทั้งยังตั้งอยู่ในตลาดคึกคัก เห็นเพียงโถงด้านหน้าเรือนด้านหลังคนมาคนไปพ่อค้าหาบเร่เดินกันฉวัดเฉวียน ครึกครื้นเหมือนบนท้องถนน
พนักงานโรงเตี๊ยมที่เข้ามารับก็หูไวได้ยินแล้ว
“ท่านลูกค้าต้องการรับประทานอาหารหรือขอรับ?” เขาเอ่ยอย่างกระตือรือร้น พาดผ้าขนหนูในมือไปไว้บนหัวไหล่ ชี้ไปด้านข้าง “โรงเตี๊ยมของพวกเราก็มี”
คล้ายร้านพักเท้า ในโรงเตี๊ยมยังมีบริการอาหารเครื่องดื่มด้วย เวลานี้ในโถงด้านหน้าคนนั่งอยู่ไม่น้อย สุรากับเนื้อชามโตกินกันคึกคัก มองแวบเดียวก็ไม่มีที่เหลือ
“ไม่สู้ไปกินในห้อง” จูจั้นเอ่ยขึ้น
คุณหนูจวินกลับส่ายศีรษะ
“ที่นี่เแหละ ข้างในยังมีที่หนึ่ง” นางเอ่ย
พนักงานขานรับดังกังวาน พลางเอ่ยทักลูกค้าด้านในโถงใหญ่ที่ยื่นขาเท้ายาวออกมาให้หลีกทางหน่อย พลางเชิญพวกเขาเดินไปด้านใน
จูจั้นไม่ได้ก้าวเท้าแต่มองคุณหนูจวิน
“ข้าเข้าใจแล้ว” เขาพลันเอ่ยขึ้น
คุณหนูจวินมองเขานิ่งๆ สีหน้ายิ่งสงบ แต่มือที่ทิ้งอยู่ข้างตัวกำนิดๆ โดยไม่ทันรู้ตัว เล็บกดลงกลางฝ่ามือ
“อะไร?” นางเอ่ยขึ้น
“วันนี้เจ้าจะตั้งตัวเป็นอริขัดข้า” จูจั้นเอ่ย
มือที่กำอยู่ของคุณหนูจวินคลายออก เม้มปากยิ้ม
“ทำไมไม่ใช่ท่านจะต้องขัดที่ข้าคิดให้ได้เล่า?” นางเลิกคิ้วเอ่ยขึ้น
จูจั้นมองนาง
“เจ้าพูดมีเหตุผลยิ่ง” เขาพยักหน้าเอ่ยอย่างจริงจัง
…………………………
เรื่องตระกูลฟางแบ่งสมบัติ ฟางเฉิงอวี่ไม่ปิดบังคุณหนูจวิน คุณหนูจวินอ่านจดหมายที่ฟางเฉิงอวี่ส่งมาแล้วเงียบงันไม่เอ่ยวาจา
มีกระบองไม้ทิ่มนางข้างหลัง
“ท่านทำอะไร?” คุณหนูจวินดึงออกโดยที่ศีรษะก็ไม่หันกลับ “มีอะไรก็พูด อย่าทั้งวันจับนั่นจับนี่”
“ข้าทำที่ไหน” จูจั้นหนึ่งก้าวเดินเข้ามานั่งลงข้างนาง ก้มศีรษะเด็ดหญ้าบนพื้น “เจ้าสิแจับนั่นจับนี่น่ะ”
คุณหนูจวินไม่สนใจเขา มองถนนใหญ่ด้านหน้า
“มีอะไรเจ้าก็พูดสิ เก็บไว้มีความหมายอะไร” จูจั้นเอ่ย
“ก็ไม่มีอะไรให้พูดได้” คุณหนูจวินเอ่ย “พูดไปแล้วตระกูลฟางก็เป็นคนน่าสงสาร”
“น่าสงสารอะไร ใครรู้ว่าตอนแรกพวกเขารู้อะไรบ้าง” จูจั้นเอ่ยพลางโยนหญ้าในมือทิ้ง
คุณหนูจวินเลี่ยงการสืบสาวราวเรื่องสิ่งนี้มาตลอด ได้ยินพลันเงียบไปครู่หนึ่ง
“ไม่ว่าจะพูดอย่างไร พี่น้องตระกูลฟางก็เป็นผู้บริสุทธิ์” นางเอ่ย “ตระกูลฟางมารวมกันเพราะทรัพย์ วันนี้ก็แยกจากกันเพราะทรัพย์ แม้สำหรับเต๋อเซิ่งชางแล้วเป็นความเสียหาย แต่ก็ไม่แน่ว่าจะไม่ค้นพบหนทางอื่น ก้าวเดินบนทางรอดเส้นหนึ่งใหม่อีกครั้ง”
พูดจบก็ตบมือลุกขึ้นยืน
“พวกเราไปเถอะ”
นางหมุนตัวเดินไปไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงฝีเท้าไม่ได้ยินเสียงพูดจึงอดไม่ได้หันกลับไปมอง
จูจั้นกำลังยิ้มตามมา ฉับพลันนางหยุดหันมาก็คล้ายตกใจสะดุ้งโหยง รีบหุบยิ้ม กะพริบตา ยังคงไม่พูดเช่นเดิม
คุณหนูจวินมองเขา
“ท่านไม่เป็นไรนะ?” นางเอ่ยถาม
จูจั้นส่ายศีรษะอย่างไม่เข้าใจอยู่บ้าง
“ท่านทำไมไม่พูดเป็นต่อยหอยแล้วเล่า?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม คิดขึ้นมาเหมือนเนิ่นนานนักแล้วที่จูจั้นไม่ได้พร่ำพูดไม่จบไม่สิ้น
จูจั้นถลึงตา
“เจ้าถึงพูดเป็นต่อยหอย” เขาเอ่ย “ข้าเดิมก็ไม่ชอบพูด”
พูดถึงตรงนี้ก็เสียงเบาลงอีก
“ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เคยพูดรึ”
นั่นเป็นระหว่างจากแดนเหนือกลับเมืองหลวง เขาไล่ตามมาร่วมทางกับนาง ถูกนางโกรธจนเลิกโกรธ คร้านจะเปลืองคำพูดสอบสวนอีก
ไม่รู้ว่านางยังจำได้ไหม?
จากนั้นก็คิดถึงเรื่องโง่เขลามากมายเมื่อตอนนั้นอีก ฉับพลันทั้งร่างขนลุก อยากให้ตอนนั้นไม่เคยเกิดขึ้นยิ่งนัก นางอย่าจำได้เชียวนะ
คุณหนูจวินไม่รู้ว่าชั่วหนึ่งประโยคในใจเขาผุดความคิดว้าวุ่นสารพันมากมายปานนี้ นางเพียงถามส่งๆ หนึ่งประโยค ถามจบก็หมุนตัวเดินจากไปแล้ว ไม่ได้พูดอันใด
จูจั้นโล่งอกแล้วก็ผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดให้ผิดหวังเช่นกัน อย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องสุขสันต์อันใด ลืมไปเสียจะดีกว่า เขาเผยรอยยิ้มตามไปอีกหน
คุณหนูจวินรั้งม้าหันกลับมาจ้องมองเขาอีกหน
“ท่านมีเรื่องใดมีความสุขเช่นนี้?” นางเอ่ยถาม
จูจั้นตะลึงอีกหน หน้าบึ้งตึง
“ไม่มีนี่” เขาเอ่ย
มีเรื่องมีความสุขอะไรที่ไหน ความลับที่ป้องกันแล้วป้องกันอีกของตระกูลฟาง ที่แท้กลับคือเรื่องอื้อฉาวสุดจะรับเช่นนั้นของราชวงศ์ เขาจะดีใจอะไร มีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่นหรือ?
“ถ้าเช่นนั้นวันจรดค่ำท่านยิ้มอะไร?” คุณหนูจวินเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
จูจั้นยื่นมือลูบใบหน้า
“ข้าทำหรือ?” เขาเอ่ยถาม
คุณหนูจวินค้อนเขาทีหนึ่งไม่พูดอีกหันไปเร่งม้า เพิ่งหันศีรษะไปฉับพลันก็หันมาอีกครั้ง เห็นมุมปากจูจั้นยกขึ้น
“แน่ะแน่ะ” นางยื่นมือชี้ “ท่านดูสิท่านดู”
มือจูจั้นลูบมุมปากที่ยกขึ้น ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าน่าขันนัก เขาหัวเราะฮ่าฮ่าออกมาเสียเลย
คุณหนูจวินเหล่มองเขาทีหนึ่งไม่เอ่ยวาจาอีกเร่งม้าวิ่งเร็วรี่ไปข้างหน้า
จูจั้นมองแผ่นหลังของนาง สตรีสวมชุดเดินทางเปื้อนฝุ่นซีดหมองบนกลางทุ่งกว้างยามฤดูใบไม้ร่วงที่สีสันตัดสลับกัน ดูไปแล้วเดียวดายทั้งยังองอาจ เหมือนเช่นนั้นที่เขาจดจำได้มาตลอดมา
อายุจริงขององค์หญิงจิ่วหลิงยี่สิบกว่าปีแล้ว แต่วันนี้ร่างกายร่างนี้เพิ่งอายุสิบหกสิบเจ็ดปี ไม่แตกต่างอันใดนักกับอายุสิบสามปีเมื่อตอนนั้น ดังนั้นดูไปแล้วจึงเหมือนเวลาไหลย้อนกลับ
คนที่เคยหายไปยิ่งวิ่งยิ่งไกลในความทรงจำ ปรากฏตัวชัดเจน
“นี่” จูจั้นป้องมือข้างปากอดไม่ได้ตะโกนเสียงดัง
เงาร่างที่ควบเร็วรี่ไม่ได้จากไปไม่เห็นฝุ่นแล้วก็ไม่ได้ไม่สนใจไยดี แต่หยุดลง คนบนม้าหันกลับมา ลมสารทฤดูพัดเป่าเสื้อผ้าและเส้นผมของนาง
“อะไร?” นางเอ่ยถาม
จูจั้นยิ้ม
“ไม่มีอะไร” เขาเอ่ย
คนบนม้าเหล่มองเขาทีหนึ่ง หมุนตัวเร่งม้าต่อ
“นี่” จูจั้นตะโกนอีกครั้ง
ครั้งนี้ม้ารั้งบังเหียนหยุด คนกลับไม่หันหน้ากลับมา
“ข้ามีชื่อนะ” นางเพียงตะเบ็งเสียงเอ่ย ท่าทางรำคาญอยู่บ้าง
นางมีชื่อ
ใช้แล้ว ชื่อนั้น
จูจั้นสองมือออกแรงกำข้างริมฝีปาก คล้ายผนึกกำลังนับไม่ถ้วนขึ้นมา
“จิ่วหลิง” เขาตะโกน
เขาคิดว่ากำลังตะโกน ที่จริงเสียงเพียงประหนึ่งยุงและแมลงวัน
คนในสายตายิ่งไกลออกไปทุกที
“จิ่วหลิง” เขาตะโกนเสียงดังอีกครั้ง
เสียงดังกังวานส่งออกไป เขาเห็นสตรีในสายตาหันกลับมาเล็กน้อย นางไม่ตอบ เพียงยกมือขึ้น
มีชีวิต ขยับได้ จูจั้นฉับพลันรู้สึกว่าดวงตาถูกทิ่มแทงจนเจ็บปวดไม่อาจมองได้อีกต่อไป เขาเงยศีรษะมองท้องฟ้า
“จิ่วหลิง” เขาตะโกนเสียงดังอีกครั้ง คล้ายส่งเสียงไปยังท้องฟ้า
ดังกังวานจนคล้ายเสียงแตก ฟังแล้วระคายหูอยู่บ้าง
เสียงนี้ยังไม่ทันจบ เขาก็ตะโกนออกมาอีก
เสียงดังกังวานแล้วยังแหบพร่า ทั้งยังแหลมสูงคล้ายต้องการตะโกนให้ทะลุฟ้าดิน บนทุ่งกว้างรกร้างเสียงหนึ่งตามต่ออีกเสียงหนึ่งกระจายออกไป
กีบเท้าม้าดังรัวเร็ว พร้อมกับเสียงแส้ม้าหวดตีดังปั้บ
“จูจั้น ท่านเป็นบ้าอะไร!” คุณหนูจวินตะโกนขุ่นเคือง
จูจั้นตอนนี้ถึงวางมือลง มองคุณหนูจวินที่ขี่ม้าวิ่งกลับมา
“ไม่มีอะไรนี่” เขายิ้มบอก “ตะโกนชื่อของเจ้าไง”
“ต้องตะโกนเช่นนี้ไหม?” คุณหนูจวินเอ่ย “ข้าไม่ได้หูหนวก ท่านตะโกนไม่มีจบสิ้นรึไง?”
จูจั้นมองนางแล้วยิ้ม
“ก็แค่อยากเรียกชื่อของเจ้า” เขาเอ่ย พลางผายมือ “ก็เลยเรียก”
ก็แค่อยากเรียกชื่อของเจ้า
คุณหนูจวินมองเขา จูจั้นไม่ได้ไม่กล้ามองนางหลบสายตาออกไปทันทีเช่นนั้นอย่างปกติแล้ว แต่ยิ้มสบสายตาของนาง
คุณหนูจวินพลันคิดขึ้นมาได้ ไม่นานก่อนหน้านี้ระหว่างทางจากแดนเหนือกลับเมืองหลวง นางเคยหยอกล้อจูจั้น ให้เขาเรียกตนเองว่าจิ่วหลิง แต่จูจั้นโมโหปฎิเสธอย่างไม่ลังเลสักนิด
หลังจากนั้นนางก็คิดได้ ตั้งแต่รู้จักจูจั้นมา เขาไม่เคยเรียกจิ่วหลิงชื่อนี้
นั่นเพราะเขาจำชื่อนี้ไม่ได้หรือ?
แน่นอนไม่ใช่ เขาวิ่งมายังเมืองหลวงไปหน้าสุสานขององค์หญิงจิ่วหลิงด้วยตนเอง ต่อให้อยู่ต่อหน้าสุสานคนตายที่ว่างเปล่า เขาก็ตั้งใจใช้น้ำค้างจัดการเสื้อผ้าหน้าผม
ถ้าเช่นนั้นก็เพราะเขาไม่ชอบชื่อนี้หรือ?
แน่นอนไม่ใช่ เขาเดินทางอยู่ข้างนอก ไม่ว่าใครถามล้วนประสานหมัดแจ้งชื่อหลิงจิ่ว หลิงจิ่วด้วยเสียงดังกังวาน
เขาอารมณ์หม่นหมองเพราะจางเป่าถังเอ่ยชื่อนี้ขึ้นมาบนโต๊ะอาหารอย่างไม่ตั้งใจ
เขาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเพราะประโยคที่ว่าข้าคือองค์หญิงจิ่วหลิงประโยคเดียวของตน
นี่เพราะอะไรเล่า?
ทำไมเขาไม่เคยเอ่ยชื่อนี้ขึ้นมา?
ทำไมเขาฉับพลันกล้าตะโกนชื่อนี้เสียงดังเช่นนี้?
ทำไมเขาฉับพลันไม่พูดมากเช่นนั้นอีกต่อไป ไม่พูดไร้สาระหยอกล้ออีกต่อไป แต่มักจะยิ้มเพียงอย่างเดียว ยามเดินมาข้างกายนาง ตามอยู่หลังร่างนางก็แย้มยิ้มเต็มหน้าโดยไม่รู้ตัว?
เพราะ ชอบชื่อนี้สินะ
คุณหนูจวินมองเขาแล้วขานอืมคำหนึ่ง เก็บแส้ม้าไป กระตุ้นม้าหันกลับ มุ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง
บางทีตัวนางเองก็ไม่ทันรู้สึกตัวว่านางเร่งม้าให้ความเร็วเร็วยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ เช่นนี้ลมที่พัดต้องใบหน้าถึงยิ่งรุนแรง เช่นนี้ถึงพาความร้อนบนใบหน้านางไปได้มากขึ้น ไม่ให้ความร้อนนี่แผ่ลามขยายเช่นต้นหญ้าวสันต์ฤดู แหวกกำแพงศิลาทะลวงดินโคลนเติบโตงอกเงยอย่างสะเปะสะปะและไร้การควบคุม
………………………
คำตอบเช่นนี้ไม่ใช่คำตอบอย่างที่ควรเป็น
ตามหลักแล้วเขาควรจะส่ายศีรษะอย่างลำบากใจยิ่ง
“ท่านย่าสมมติเช่นนี้ไม่ได้” แล้วเขาก็จะเอ่ยอย่างเจ็บปวด
หรือทำหน้าระรื่น
“ท่านย่าเรื่องเช่นนี้จะเป็นไปได้อย่างไร” เขาจะเอ่ยตอบปฏิเสธ
อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะเลือกตรงไปตรงมาเด็ดขาดเช่นนี้ คนที่เลือกยังเป็นพี่ใหญ่กับพี่รองอีก
นายหญิงผู้เฒ่าฟางตะลึง จากนั้นก็คิ้วตั้ง
ใครจะเชื่อกัน!
ฟางเฉิงอวี่ยิ้มลำบากใจ ผายมือออก
“ในใจท่านย่ามีคำตอบของตนเองแล้ว ข้าตอบสิ่งที่ท่านอยากฟังท่านไม่เชื่อหลังจากนั้นก็โกรธเกรี้ยวด่าข้า ข้าตอบสิ่งที่ท่านไม่อยากได้ยิน ท่านก็ยังจะโกรธเกรี้ยวด่าข้า” เขาเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยต้องถามข้าเล่า”
“นั่นเพราะข้ามองเจ้าทะลุ” นายหญิงผู้เฒ่าฟางตวาดเอ่ย
“ในเมื่อท่านย่ามองทะลุแล้วก็น่าจะเชื่อคำที่ข้าตอบ” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย มองนายหญิงผู้เฒ่าฟางอย่างตั้งใจ “หากมีสถานการณ์เช่นนี้จริง จิ่วหลิงต้องให้ข้าช่วยพี่ใหญ่กับพี่รองแน่”
“เจ้า!” นายหญิงผู้เฒ่าฟางคิ้วตั้ง หัวเราะหยันอีกครั้ง “คำตอบนี้ของเจ้าพอใจทั้งสองฝ่ายจริงๆ”
“ท่านย่า เรื่องบนโลกนี้ไหนเลยจะมีพอใจทั้งสองฝ่ายได้” ฟางเฉิงอวี่ถอนหายใจเอ่ย เด็กหนุ่มถอนหายใจทำให้คนรู้สึกว่าน่าขันอยู่บ้าง
นายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่หัวเราะ ถอนหายใจเช่นกัน
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนไร้หัวใจเช่นนั้น” นางเอ่ย “แล้วข้าก็รู้ว่าชีวิตก่อนหน้านี้ของตระกูลฟางเราไม่สงบนัก อนาคตก็คงไม่สงบนัก เจ้าจะทำสิ่งใดย่าต้องอยู่กับเจ้าแน่นอน เพียงแต่พี่สาวทั้งหลายของเจ้าน่ะช่างเถิด เกิดที่ตระกูลฟาง พวกนางก็โชคร้ายพอแล้ว”
“ข้าไม่ได้ไร้หัวใจนะ” ดวงตาฟางเฉิงอวี่อมยิ้มเอ่ย “ข้าให้พี่สาวทั้งหลายเลือกด้วยตัวเอง”
“ตัวเลือกนั่นของเจ้าเรียกว่าเลือกอย่างไร?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางหัวเราะหยัน “ข้าเลือกแทนพวกนางเอง ข้าให้พวกนางแต่งออกไป”
“ท่านย่า อย่างไรท่านก็ให้พี่สาวทั้งหลายเลือกเองเถอะ” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยแล้วยิ้ม “อย่างไรพวกนางก็เกิดที่ตระกูลฟาง”
คำพูดของนาง เขาเอ่ยซ้ำอีกหน มีสิ่งใดไม่เหมือนกันหรือ?
เกิดที่ตระกูลฟางโชคร้ายเช่นนี้ไม่อาจมีทางเลือกได้เชียวหรือ?
นายหญิงผู้เฒ่าฟางโบกมือท่าทางโกรธเคือง
“เชิญคุณหนูทั้งหลายมา” นางเอ่ย
……………………………………….
……………………………………….
เด็กผู้หญิงทั้งหลายไม่เหมือนเด็กผู้ชาย สตรีทั้งสามเดินเข้ามา แม้ไม่มีการพูดคุยเจื้อยแจ้ว ในห้องก็ยังคงครึกครื้นขึ้นมา
บนโต๊ะวางของว่างนานาชนิดไว้เฉกเช่นวันวาน
นายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่คุยเล่นหัวเราะกับหลานสาวทั้งหลายอย่างไรนัก หลานสาวทั้งหลายมาหานางที่นี่ล้วนเพื่อคุยเรื่องกิจการ แต่ทุกครั้งนายหญิงผู้เฒ่าฟางล้วนเตรียมของว่างไว้เสมอ
ฟางอวี้ซิ่วนั่งลงเช่นปกติ
“เอาน้ำบ๊วยมาให้ข้า” นางเอ่ยกับสาวใช้ทั้งหลาย “เอาน้ำขิงใส่น้ำผึ้งให้คุณหนูใหญ่”
พูดพลางมองฟางจิ่นซิ่วอีก
“จิ่นซิ่วรสนิยมเจ้าเปลี่ยนหรือยัง? น้ำสาลี่ภูเขาหรือน้ำไม้กฤษณา?”
“ตอนี้ข้าชอบดื่มน้ำถั่วกระวาน” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย
“รสนิยมเป็นคนเมืองหลวงแล้วจริงๆ” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย พยักหน้าให้สาวใช้ทั้งหลาย
สาวใช้ทั้งหลายถอยไปครู่หนึ่งก็ยกน้ำหวานมาตามคำสั่ง สาวใช้หญิงรับใช้ทั้งหลายทั้งหมดถอยออกไป เหลือเพียงพวกนางย่าหลานนั่งอยู่ด้วยกัน
“ไม่ต้องฟังน้องชายเจ้า ตระกูลนี้ยังผลัดไม่ถึงตาเขาตัดสิน” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเปิดปากเข้าประเด็นเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าแต่งออกไปเถอะ สินเดิมเจ้าสาวจะไม่น้อยกว่าสมบัติตระกูล ข้าจะเลือกคนดีๆ ให้พวกเจ้าเช่นกัน”
ฟางอวิ๋นซิ่วไม่เอ่ยวาจามองไปทางฟางอวี้ซิ่ว
“ท่านย่า สินเดิมเจ้าสาวมากอีกเท่าใดก็ไม่สู้ร้านแลกเงินที่ให้กำเนิดเงินได้ไหมเจ้าคะ” ฟางอวี้ซิ่วยิ้มเอ่ย
“ข้าต้องการร้านแลกเงิน” ฟางจิ่นซิ่วก็เอ่ยอย่างเด็ดขาดตรงไปตรงมาเช่นกัน
นายหญิงผู้เฒ่าฟางขมวดคิ้วมองพวกนาง แต่ไม่บันดาลโทสะเช่นนั้นอย่างที่ฟางอวิ๋นซิ่วกังวล
“เอาล่ะ ไม่ต้องเอ่ยวาจาวางมาดกันแล้ว” นางเอ่ย “พวกเจ้ารู้ว่าเฉิงอวี่ทำไมต้องแยกตระกูล เพราะต่อไปตระกูลฟางจะอันตรายยิ่ง เขาคิดแบกรับเผชิญหน้าเพียงคนเดียวลำพังจึงคิดเป็นกระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรง ไม่ให้ย่อยยับทั้งรัง พวกเราก็รู้ว่าพวกเจ้าทำไมเลือกแยกตระกูล ก็เพื่อร่วมแรงร่วมใจ วันหน้าช่วยเหลือเขาได้”
แม้เดาได้แล้ว แต่ได้ยินชัดๆ บนหน้าฟางอวิ๋นซิ่วถึงโล่งอกอย่างสิ้นเชิง
“ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ พวกเจ้าแต่งงานไปใช้ชีวิตดีๆ มีความช่วยเหลือของตระกูลสามี ตระกูลฟางพบเรื่องลำบากก็ช่วยเหลือพวกเราได้เหมือนกัน ต่อให้อนาคตวันนั้นมาถึงจริงๆ พวกเจ้าใช้ชีวิตดีๆ มีชีวิตอยู่ดี ก็นับว่ารักษาตระกูลฟางไม่ให้ย่อยยับทั้งรังเหมือนกัน” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยต่อ
ฟางอวี้ซิ่วยิ้ม วางน้ำหวานในมือลง
“ท่านย่า ท่านพูดผิดแล้ว” นางเอ่ย “หากมีวันนั้นจริง พวกเราไม่มีทางมีชีวิตดีๆ ได้ เพราะพวกเราแซ่ฟาง”
นายหญิงผู้เฒ่าฟางขมวดคิ้วมองนาง
“เจ้าจะบอกว่า แซ่นี้ยังจะพัวพันไปทำร้ายพวกเจ้าที่แต่งออกไปแล้วได้อีกหรือ?” นางเอ่ย สีหน้านิ่งเฉย “ข้าเชื่อว่าด้วยความฉลาดของพวกเจ้า เพียงพอทำให้ตนเองใช้ชีวิตดียิ่งที่บ้านตระกูลสามีได้”
“เรื่องนี้แน่นอนไม่ต้องสงสัย” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย “แต่สิ่งที่ข้าพูดไม่ใช่หมายถึงนี้ สิ่งที่ข้าพูดคือ ท่านย่า ท่านคิดว่าเห็นตระกูลฟางย่อยยับ เห็นท่าน ท่านแม่กับเฉิงอวี่พบโชคร้าย พวกเราจะยังมีชีวิตที่ดีได้หรือ?”
นางเน้นเสียงที่คำว่าดี คำว่าดีนี้มีความหมายมากกว่านั้น ใช้ชีวิตดีๆ กับมีชีวิตที่ดี
ไม่ได้พูดสิ่งใดชัดๆ แต่เมื่อประโยคนี้ดังขึ้น น้ำตาของฟางอวิ๋นซิ่วพลันหลั่งไหลลงมาอย่างไม่อาจห้ามได้ กระทั่งนางยังไม่ทันรู้ตัว เพียงแค่ลองคิดว่า ลองคิดว่าตระกูลฟางย่อยยับท่านย่า ท่านแม่กับน้องชาย…
นางยกมือขึ้นปิดปาก
นายหญิงผู้เฒ่าฟางตะลึงอยู่บ้าง
“ท่านย่า ท่านดูสิ” ฟางอวี้ซิ่วผายมือเบาๆ “แค่คิดนิดเดียว พี่ใหญ่ก็เป็นเช่นนี้แล้ว หากเรื่องเกิดขึ้นจริง ท่านคิดว่าพวกเรายังจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร?”
“พวกเราคงร่ำไห้ทุกวัน ถึงต่อหน้าคนจะฝืนยิ้มแย้มมีความสุข แต่คงกินไม่ได้นอนไม่หลับ ค่ำคืนฝันร้ายไม่หยุด”
“พี่ใหญ่จะทนตรอมตรมเช่นนี้ตายไป”
“ส่วนข้ารวมถึงจิ่นซิ่วเพื่อแก้แค้นจะไม่สนทุกสิ่ง ไม่ตนเองตาย ก็ลากตระกูลสามีทั้งตระกูลไปด้วย”
“ท่านย่า ท่านคิดว่านี่คือชีวิตที่ดีที่พวกเราจะมีหรือ?”
นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองฟางอวี้ซิ่ว แม้นางไม่ปิดหน้าร้องไห้เช่นนั้นอย่างฟางอวิ๋นซิ่ว น้ำเสียงก็ยังคงเจ็บปวดรวดร้าว
“พวกเจ้า นี่ไยต้อง…” นางเอ่ยเสียงพร่า
ฟางอวี้ซิ่วยิ้มเล็กน้อย
“ไม่ใช่ไยต้อง แต่เพราะพวกเราแซ่ฟาง” นางเอ่ย เฉิงอวี่พูดถูกต้อง พวกเราเกิดที่ตระกูลฟางเพราะสวรรค์ลิขิตไว้ ไม่อาจเลือกได้ ทว่าพวกเราเลือกได้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร
แซ่ฟาง ประการแรกพูดถึงสายเลือดผูกพัน ท่านย่ากับท่านแม่เกิดเรื่อง พวกนางย่อมไม่มีวันทำตัวเป็นคนผ่านทางทำเหมือนไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นได้ อาจถึงขั้นหันไปก็ลืมเลือนการมีชีวิตอย่างมีความสุข อีกประการก็คือเรื่องที่เฉิงอวี่ผู้แซ่ฟางทำได้กล้าทำ พวกนางก็กล้าก็ทำได้เช่นกัน
นายหญิงผู้เฒ่าฟางสีหน้าผ่อนคลายลงช้าๆ เปลี่ยนเป็นนิ่งสงบ
นางเข้าใจว่าประโยค ‘พวกนางเกิดที่ตระกูลฟาง’ นั่นที่ฟางเฉิงอวี่เอ่ยซ้ำหมายความว่าอย่างไรแล้ว
เฉิงอวี่มองออกนานแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องร้องไห้รำพันเจ้าห้ามข้าข้าห้ามเจ้า ไม่สู้เหี้ยมไปเลยเถอะ
เขาจะเหี้ยมขับไล่พี่สาวทั้งหลายออกจากตระกูล เลือกบ้านสามีส่งเดชให้พวกนางจริงๆ เพราะบ้านสามีดีหรือเลวล้วนเหมือนกัน ขอเพียงคนยังอยู่ ชีวิตเลวร้ายก็ใช้ชีวิตอยู่ดีได้ หากคนไม่อยู่แล้ว ชีวิตที่ดีย่อมอันตรธานไม่เหลือ
แทนที่จะให้ผู้อื่นบีบบังคับ ไม่สู้ตนลงมือกับคนของตนเองเถอะ
แม้เขาทำเพื่อเป็นกระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรง บีบบังคับให้พี่สาวทั้งหลายเลือกดูแลร้านแลกเงินต่ออย่างไร้หัวใจ แต่ต่อให้เขาไม่ไร้หัวใจ ศัตรูในอนาคตยิ่งไร้หัวใจ
“ดี” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเหยียดหลังตรง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นก็ให้เป็นดังที่ทุกคนปรารถนาเถอะ”
……………………………………….
……………………………………….
ฟางเฉิงอวี่เดินออกจากเรือนของนายหญิงผู้เฒ่าฟาง รออยู่ด้านนอก
“ดูท่าพี่สาวทั้งหลายก็เกลี้ยกล่อมท่านย่าได้เหมือนกัน” เขายิ้มเอ่ย “ร้ายกาจจริงๆ”
ฟางอวี้ซิ่วเลิกคิ้วหัวเราะ
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ต้องร้ายกาจขึ้นหน่อย อย่าทำเรื่องเลินเล่อ พัวพันพวกเรา” นางเอ่ย “พวกเราหาเงินได้นิดหน่อยไม่ง่าย เจ้าก็รู้สตรีคนนั้นใช้เงินขึ้นมาเหมือนไม่ใช่เงิน”
ฟางเฉิงอวี่หัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นพี่สาวทั้งหลายก็ต้องยิ่งร้ายกาจ เช่นนี้ถึงจะไม่ถูกคนเลินเล่อพัวพันเอาได้” เขาเอ่ย
ฟางอวี้ซิ่วโบกมือให้เขา คล้องแขนฟางอวิ๋นซิ่ว
“พี่ใหญ่ ท่านว่าร้านแลกเงินของพวกเราจะชื่ออะไรดี?” นางดวงตาวิบวับเอ่ยขึ้นท่าทางตื่นเต้น
กระทั่งชื่อก็ต้องเปลี่ยนหรือ ร้านแลกเงินที่พวกนางได้มาหลังจากนี้ก็ไม่ใช่เต๋อเซิ่งชางแล้ว นี่แบ่งแยกได้ชัดเจนและถึงที่สุดจริงๆ ฟางอวิ๋นซิ่วในใจรสชาติแปลกแปร่ง อมยิ้มพยักหน้าให้ฟางอวี้ซิ่ว
“เจ้าว่าอะไรดีก็อันนั้นดี” นางว่า
ฟางจิ่นซิ่วที่อยู่ด้านข้างกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง
“พี่ใหญ่ ข้าคิดๆ ดู ท่านมาอยู่ด้วยกันกับข้าเถอะ” นางเอ่ยขึ้น
ฟางอวี้ซิ่วตวัดตามองนางทีหนึ่ง
“โอ๊ะโอ๋ น้องสาม เจ้าจะแย่งคนหรือแย่งกิจการกับข้าล่ะ?” นางเอ่ยถาม
“แย่งกิจการสิ” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย เม้มปากยิ้ม
ฟางอวิ๋นซิ่วก็ยิ้มแล้ว นางยิ้มเพราะคำว่าพี่ใหญ่คำนั้นของฟางจิ่นซิ่วรวมถึงน้องสามคำนั้นของอวี้ซิ่ว
เสียงหยอกล้อโต้เถียงคุยเล่นของบรรดาแม่นางในเรือน นายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่ได้ยิน นางเดินเข้ามาในห้องเล็กห้องหนึ่งด้านหลังห้องนอนแล้ว ยามปกติภาพวาดผืนหนาบนฝาผนังบังอยู่จึงไม่มีคนสังเกตว่าตรงนี้ยังมีห้องห้องหนึ่ง
ในห้องมืดสลัวคับแคบ วางโต๊ะบูชาเล็กๆ กับเบาะกลมอันหนึ่งไว้ เหนือโต๊ะบูชาแขวนรูปวาดไว้รูปหนึ่ง
นายหญิงผู้เฒ่าฟางจุดธูปสามดอกอย่างเคารพนบนอบ มองคนในภาพวาด
ในภาพวาดเป็นสตรีชราคนหนึ่ง มองแวบเดียวก็เหมือนนายหญิงผู้เฒ่าฟางยิ่งนัก
“แม่” นายหญิงผู้เฒ่าฟางคุกเข่าลง ใบหน้าเหี่ยวย่นมีน้ำตาไหลลงมา “ชีวิตหน้าข้าใช้คืนท่าน ที่ข้าติดค้างท่าน ชีวิตหน้าใช้คืนให้นะ”
นางค้อมกายโขกศีรษะครั้งหนึ่งแล้วก็อีกครั้งหนึ่ง
……………………
ถ้อยคำของฟางเฉิงอวี่ไม่ทำให้คนสุขสันต์ คำพูดของฟางอวี้ซิ่วก็ไม่น่าฟังอย่างไร ฟางอวิ๋นซิ่วเลิกขบคิดถึงความจริงลวงของความรู้สึกระหว่างพี่น้อง รวมถึงกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรแล้ว
“ข้าฟังพวกเจ้า” นางเอ่ยพลางมองฟางเฉิงอวี่ “เจ้าให้ทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น”
แล้วนางก็มองไปทางฟางอวี้ซิ่วอีก
“เจ้าว่าอย่างไรก็ทำอย่างนั้น”
ฟังเขาแล้วก็ฟังนางด้วย ฟังดูเหมือนสิ่งใดก็ไม่ได้พูด
ฟางเฉิงอวี่ยิ้มแล้ว ฟางอวี้ซิ่วก็พยักหน้า
“ส่วนของพี่ใหญ่นั่นเป็นของข้า” นางมองฟางเฉิงอวี่แล้วเอ่ยอย่างเด็ดขาดยิ่ง พูดจบสายตาก็มองไปทางฟางจิ่นซิ่ว
“ข้าไม่อยู่ด้วยกันกับพวกเจ้า” ฟางจิ่นซิ่วก็เอ่ยอย่างเด็ดขาดเช่นกัน
ฟางอวี้ซิ่วเบ้ปาก
“ข้าก็ไม่อยากอยู่ด้วยกันกับเจ้า เจ้าไม่ว่าง่ายเหมือนพี่ใหญ่” นางเอ่ย
ฟางเฉิงอวี่ยิ้ม
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ตกลงกันแล้ว” เขาเอ่ย ประกบฝ่ามือกำลังจะคำนับ
นี่ก็เป็นความคุ้นชินในกิจการของพวกเขา คุยกันเสร็จก็คำนับให้แก่กัน แสดงความขอบคุณแล้วก็แสดงว่าตกลงไม่เปลี่ยน
ฟางอวี้ซิ่วรีบยกมือห้าม
“อย่าเพิ่ง ตกลงว่าพวกเราเลือกแบ่งสมบัติตะรกูล แต่แบ่งอย่างไรยังไม่ได้เริ่มคุยเลยนะ” นางเอ่ย
ฟางเฉิงอวี่ยิ้ม
“ไม่ต้องยุ่งยากเช่นนั้นหรอก” เขาเอ่ย “อย่างไรล้วนเป็นข้าตัดสิน”
ฟางอวี้ซิ่วยกมือซัดหัวไหล่เขาทีหนึ่ง
“เจ้า เจ้าหนูคนนี้รังแกคนเกินไปแล้วกระมัง?” นางเอ่ยขึ้น “หากเจ้าเป็นเช่นนี้ต่อ ข้าที่เป็นพี่สาวจะรังแกเจ้าบ้างแล้ว”
ฟางเฉิงอวี่ยิ้มคล้องหัวไหล่นางไว้
“พี่รองจะตัดใจรังแกข้าลงได้อย่างไรเล่า” เขาหัวเราะคิกคักเอ่ย
เวลาพริบตาเดียวนี่ พี่น้องก็สนิทสนมเหมือนปกติอีกแล้ว ฟางอวิ๋นซิ่วสีหน้านิ่งอึ้งนิดหนึ่งแล้วก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง นางตามไม่ทันอย่างสิ้นเชิงแล้ว พวกเจ้าคุยว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้นเถอะ
“ฤกษ์ดีไม่สู้ฤกษ์เหมาะ ตอนนี้พวกเรากลับไปบอกท่านย่ากับท่านแม่เลย หลังจากนั้นคงมีงานยุ่งพักหนึ่ง” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย
แบ่งสมบัติตระกูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการแบ่งร้านแลกเงิน นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายดาย บัญชีเท่าไรต้องจัดการ
ฟางอวี้ซิ่วพยักหน้าอมยิ้มเรียกรถม้า
“จิ่นซิ่ว คราวนี้เจ้าต้องเข้าบ้านแล้วนะ ไม่เช่นนั้นอย่าพูดว่าพวกเรารังแกเจ้า” นางหันกลับมาเอ่ยกับฟางจิ่นซิ่วอีกหน “แบ่งสมบัติตระกูลข้าไม่ไว้ไมตรีเจ้าหรอก”
ฟางจิ่นซิ่วหัวเราะ
“วางใจเถอะ ข้าก็ไม่มีทางให้พวกเจ้ารังแกข้าหรอก” นางเอ่ย
เห็นด้านนี้พี่น้องทั้งหลายคุยเล่นเดินมา ผู้คุ้มกันทั้งหลายก็รีบยิ้มจูงรถม้ามาด้วย บรรยากาศผ่อนคลายทั้งยังมีความสุข ไม่รู้สักนิดว่าพี่น้องเหล่านี้จะแยกบ้านแบ่งกิจการแล้ว
ฟางอวี้ซิ่วมองภาพตรงหน้ารู้สึกประหนึ่งฝันอยู่ ทำไมอยู่ดีๆ เรื่องหลอกก็กลายเป็นเรื่องจริงได้เล่า? หวังว่าครั้งนี้ได้ยินว่าแบ่งสมบัติตระกูลอีกหน นายหญิงผู้เฒ่าฟางจะไม่ตกใจจนเสียจริตเช่นนั้นอย่างครั้งก่อนหน้า
แต่นางก็รู้ นี่เป็นไปไม่ได้ ครั้งก่อนเป็นพวกนางพี่น้องเอ่ยออกมา นายหญิงผู้เฒ่าฟางประหลาดใจอีกเท่าใดในใจก็ยังสงสัย ดังนั้นพูดไม่ได้ว่าตกอกตกใจอันใด แต่หากฟางเฉิงอวี่เอ่ยอกมา นั่นย่อมไม่เหมือนกันแล้ว
“ท่านย่าจะตกลงหรือ?”
ฟางอวิ๋นซิ่วมองแผ่นหลังของฟางเฉิงอวี่ที่เดินไปทางเรือนของนายหญิงผู้เฒ่าฟางแล้วเอ่ยพึมพำ
ฟางเฉิงอวี่ให้พวกนางรอ เขาจะคุยกับนายหญิงผู้เฒ่าฟางก่อน
“เรื่องนั้นข้าไม่กังวล ข้ากลับกังวลว่าเขาจะโน้มน้าวท่านย่าให้โหดร้ายพวกเรา” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย
ฟางอวิ๋นซิ่วหลุดหัวเราะ ทั้งยังส่ายศีรษะ
“เจ้าคิดเรื่องนี้จริงรึ” นางเอ่ยแล้วยิ้มเจื่อนนิดหนึ่ง มองดูฟางอวี้ซิ่วกับฟางจิ่นซิ่วสองคนที่สีหน้านิ่งสงบ “พวกเจ้าคนฉลาดสองคนบอกข้าได้ไหมว่านี่ที่แท้เพื่ออะไร? อยู่ดีๆ ทำไมเป็นเช่นนี้แล้ว?”
ฟางอวิ๋นซิ่ว[U1] ขานอ้อ
“สนทำไมว่าเพื่ออะไร ในเมื่อเขากล้าเอ่ยออกมา ข้าก็กล้าทำ” นางเอ่ยอย่างผ่อนคลายสบายๆ
ฟางอวิ๋นซิ่วมองนางครู่หนึ่ง ฉับพลันก็ยิ้ม ความวิตกกังวลที่ยากปิดบังในดวงตาพริบตาพลันสลายไปด้วย หัวใจที่สับสนอยู่บ้างก็สงบลง
ไม่ว่าเพื่ออะไร อย่างน้อยหัวใจของพี่น้องก็ยังเหมือนกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางก็ไม่มีสิ่งใดน่ากังวล ก็ไม่ต้องสนมันแล้ว
พวกนางคนหนุ่มสาวคร้านจะคิดเรื่องราว ไม่ได้หมายความว่าคนอายุมากไม่คิด ได้ยินคำพูดของฟางเฉิงอวี่ แม้นายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่ได้ตกใจเป็นลมไป แต่สีหน้าก็ไม่อยากเชื่อ
“เฉิงอวี่ เจ้ารู้ว่าแยกบ้านหมายความว่าอะไรไหม?” นางเอ่ยถาม
ฟางเฉิงอวี่พยักหน้า
“หมายความว่าคฤหาสน์หลังนี้จากหนึ่งจะแบ่งเป็นสี่ หมายความว่าหนทางที่เคยเชื่อมทะลุกันจะถูกปิด หมายความว่าคฤหาสน์แถบนี้จะไม่ได้มีเพียงประตูใหญ่บานเดียวอีกต่อไป และอนาคตคฤหาสน์แถบนี้ก็จะไม่แน่ว่าจะล้วนแซ่ฟาง” เขาเอ่ย
นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองเขา
“ผู้อื่นล้วนผนึกต้นไม้รวมเป็นป่าถึงต้านพายุทรายโจมตีได้ หวังให้กิ่งใบอุดมรุ่นสู่รุ่นไม่โรยรา แต่เจ้ากลับจะโค่นไม้ทำลายป่า เจ้าเดิมก็ไม่มีพี่น้องผู้ชาย มีเพียงพี่สาวไม่กี่คนนี้ ทำไมจะไม่เอาแล้วเล่า?” นาเงอ่ยถาม “ไม่ต้องพูดว่าเพื่อความยุติธรรม เจ้าข้ารวมถึงพวกนางในใจต่างกระจ่างชัด ต่อให้ไม่แยกบ้าน สมบัติตระกูลนี่ก็ไม่มีทางเอาเปรียบพวกนาง”
“ท่านย่า พวกเราตระกูลฟางแต่ไหนแต่ไรไม่เคยกิ่งใบอุดมต้านพายุทราย มีแต่ไม้เดี่ยวผืนดินเดียวดาย สิ่งที่ป้องกันคือมีอสนีบาตเพลิงสวรรค์ร่วงลงมากะทันหันไม่พัวพันถึงคนอื่นจนทั้งตระกูลล่มจม” เขาเอ่ยต่อ
นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองใบหน้ากระจ่างใสทั้งยังสงบนิ่งของเด็กหนุ่มที่แหงนศีรษะอยู่ อดไม่ได้ยิ้มขมขื่นนิดหนึ่ง
“เจ้าเด็กคนนี้ ทำไมฉลาดเช่นนี้คิดถึงสิ่งเหล่านี้ได้?” นางเอ่ยขึ้น “ข้าจนกระทั่งถึงก่อนหน้านี้ไม่นานถึงคิดเข้าใจถ่องแท้”
ฟางเฉิงอวี่หัวเราะแล้ว
“นั่นก็เพราะท่านย่า ท่านรู้สิ่งที่ข้าไม่รู้ เพราะรู้มากเกินไปท่านจึงคิดน้อยลง” เขาเอ่ย “แต่ข้าไม่รู้ ดังนั้นจึงคิดมากแล้วก็กล้าคิด”
นี่ก็คงเป็นประโยคนั้นที่ว่าคนในสับสนเหตุผลสินะ เพราะนางรู้ความเป็นมาของที่พึ่งของตระกูลฟาง ดังนั้นจึงยำเกรงและเชื่อมั่น ดังนั้นจึงไม่มีทางและไม่กล้าไปตั้งคำถามอะไร แต่ฟางเฉิงอวี่ไม่รู้ ดังนั้นยืนอยู่นอกสถานการณ์กล้าคิดกล้ามองแล้วก็คิดเข้าใจ
นายหญิงผู้เฒ่าฟางทอดถอนใจอยู่บ้าง
“ฉับพลันข้าก็รู้สึกว่าข้าอยู่มานานอยู่บ้างเป็นบุญของตระกูลฟางจริงๆ” นางเอ่ย “ไม่เช่นนั้นหากข้าบอกสิ่งที่ข้ารู้กับเจ้าแล้ว ตระกูลฟางของพวกเราก็คงเดินออกจากเกมนี้ไม่ได้ตลอดไปแล้วใช่หรือไม่?”
ฟางเฉิงอวี่ยิ้มจนดวงตาโค้งทันที
“ไม่มีทางหรอก” เขาเอ่ย “มีจิ่วหลิงอยู่นะ”
ได้ยินเขาเอ่ยถึงชื่อนี้ นายหญิงผู้เฒ่าฟางที่เดิมทีอมยิ้มอยู่พลันสีหน้าพลันบึ้งตึง ฉับพลันยกมือขึ้น ตบหน้าฟางเฉิงอวี่อย่างแรงดังป้าบ
เด็กหนุ่มไม่ทันป้องกัน ดวงหน้าประหนึ่งหยกขาวปรากฏรอยฝ่ามือข้างหนึ่งทันที จากขาวกลายเป็นเขียวกลายเป็นแดง เห็นชัดเป็นพิเศษ
มุมปากของเขามีเลือดไหลลงมาช้าๆ ไหลตามคางร่วงลงมาบนคอเสื้อสีขาวพิสุทธิ์ประหนึ่งแต้มดอกเหมย
“ข้ารู้ว่าภักดีกับกตัญญูยากทำพร้อมกัน แต่เป็นพี่น้องเหมือนกัน เจ้าออกจะใจเหี้ยมกับพวกนางเกินไปหน่อยแล้ว” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยเสียงแหบ “ข้าไม่อยากพูดมาตลอด แล้วก็ไม่อยากไปคิด ตั้งแต่เจ้าปีนกลับมาจากประตูผี ร่างกายดีขึ้นทุกวันๆ สามารถขึ้นทุกวันๆ แต่บางครั้งใต้หนังสดใสน่ารักนี่ของเจ้า มักจะน่ากลัวประหนึ่งถูกผีร้ายครองร่าง”
ฟางเฉิงอวี่เช็ดเลือดที่มุมปากนิดหน่อย
“ท่านย่า นี่ท่านคิดมากเกินไปแล้วกระมัง” เขายิ้มเจื่อนนิดหนึ่ง
นายหญิงผู้เฒ่าฟางยื่นมือลูบใบหน้าเขา
“ข้าคิดมากเกินไปรึ?” นางคิ้วตั้งเอ่ย “ถ้าเช่นนั้นข้าถามเจ้า หากอวิ๋นซิ่วอวี้ซิ่วพวกนางกับจวินเจินเจินถูกจับไป ช่วยได้ฝั่งเดียวเท่านั้น เจ้าจะช่วยใคร?”
“ช่วยพี่ใหญ่พี่รอง” ฟางเฉิงอวี่ตอบอย่างไม่ลังเลสักนิด
………………………
ภาพทิวทัศน์สารทฤดูงดงาม กิ่งไม้เหลืองอร่าม ผลไม้นับไม่ถ้วนรอคอยการเก็บเกี่ยว ในเวลานี้ชายหนุ่มผู้อยู่ในช่วงเวลาอันงดงามกลับเอ่ยคำว่าตายออกมาแล้ว
เขาพูดออกมาอย่างสบายๆ คล้ายเป็นเรื่องธรรมดายิ่ง
สำหรับฟางเฉิงอวี่แล้ว ความตายเป็นเรื่องธรรมดายิ่ง แต่นั่นเป็นอดีต ในอดีตที่ชีวิตไร้ความหวังเขาล้วนไม่กล้าเอ่ยคำว่าตายง่ายๆ วันนี้ร่างกายแข็งแกร่งทำไมเริ่มพูดถึงความตายแล้วเล่า?
“คนยามไม่มีสิ่งใดถึงยิ่งต้องการสิ่งนั้นจริงๆ” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย “ตอนนั้นน้องเล็กตายได้ตลอดเวลา ทุกคนใครก็ไม่กล้าพูดคำว่าตาย วันนี้เจ้ามีชีวิตอยู่ดี ความตายนี่ความตายนั่นกลับกลายเป็นสิ่งที่เจ้าคิดถึงเสียแล้ว”
หากต้องการให้คนรู้สึกไม่สบาย ปากฟางอวี้ซิ่วก็โยนดาบออกมาได้ตลอดเวลา ฟางอวิ๋นซิ่วดึงแขนเสื้อนางไว้
“น้องเล็กไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” นางเอ่ย
ฟางอวี้ซิ่วคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มมองฟางเฉิงอวี่
“ถ้าเช่นนั้นหมายความว่าอะไรเล่า? พกวเราไม่ใช่ภรรยาบุตรชายบุตรสาวของเจ้าเสียหน่อย สั่งเสียอะไรกับพวกเรา” นางเอ่ย
ยิ่งพูดยิ่งไม่เข้าท่า ฟางอวิ๋นซิ่วกระแอมไอ
ฟางเฉิงอวี่ยิ้มแล้ว
“พี่รอง คนที่ยึดติดเป็นท่านไม่ใช่ข้า” เขาเอ่ย “ข้าไม่เคยถือสาการพูดถึงความตาย คนล้วนต้องตายไหม เพียงแต่เวลานั้นเพื่อพวกท่าน ข้าจึงปิดปากไม่พูดเท่านั้น”
ฟางอวี้ซิ่วพยักหน้า
“เจ้าพูดถูก พวกเราเป็นตัวถ่วงเจ้าแล้ว” นางเอ่ยขึ้น
ฟางอวี้ซิ่วยามพูดล้อเล่นไม่หัวเราะ ยามเอ่ยถ้อยคำโมโหก็ไม่แสดงโทสะ ดังนั้นบางครั้งคนนอกถูกด่าก็ยังไม่รู้ ฟางอวิ๋นซิ่วแม้ตอบสนองช้าแต่พี่น้องของตนย่อมคุ้นเคยนัก ฟังออกทันทีว่าฟางอวี้ซิ่วโกรธแล้ว โกรธอย่างยิ่ง
“นี่เป็นอะไรกัน” นางดึงนางไว้พลาง มองฟางเฉิงอวี่พลาง “มีอะไรก็พูดกันดีๆ เดี๋ยวตายเดี๋ยวเป็นอะไรกัน ล้วนเป็นพี่น้องครอบครัวเดียวกัน เป็นตายนี่เดิมทีก็ไม่ใช่เรื่องของคนผู้เดียว”
ฟางอวี้ซิ่วมองฟางเฉิงอวี่แต่ไม่พูดจาแล้ว ฟางจิ่นซิ่วที่อยู่ด้านข้างก้มศีรษะ แม้ไม่เอ่ยวาจา แต่ก็ไม่ยกเท้าจากไปเช่นกัน
“พี่สาวทั้งหลายไม่ต้องกังวล นี่ข้าไม่ได้สั่งเสีย” ฟางเฉิงอวี่คำนับให้พวกนาง “ทำให้พวกท่านตกใจข้าผิดเอง”
“ไม่ได้สั่งเสีย ถ้าเช่นนั้นนี่เจ้าหมายความว่าอะไรเล่า?” ฟางอวิ๋นซิ่วเอ่ยถาม
“แค่พูดเงื่อนไขน่ะ” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยพลางยิ้มเล็กน้อย “พี่รองท่านก็พูดเอง พวกท่านไม่ใช่ภรรยาบุตรชายบุตรสาวของข้า เป็นแค่พี่สาวทั้งหลายของข้าเท่านั้น พี่น้องแท้ๆ ก็ต้องคิดบัญชีให้ชัด ดังนั้นถ้อยคำไม่น่าฟังพวกเราย่อมต้องพูดไว้ก่อน”
ฟางอวิ๋นซิ่วมองฟางอวี้ซิ่วทีหนึ่ง
“เจ้าพูดจริงรึ?” นางเอ่ยถามฟางเฉิงอวี่อีกหน
“แน่นอน จริงสิ” ฟางเฉิงอวี่อมยิ้มเอ่ย “เรื่องแบ่งสมบัติตระกูล แม้เริ่มต้นเป็นเรื่องหลอก แต่ตอนนี้ข้าคิดจะเปลี่ยนมันกลายเป็นเรื่องจริง พวกเราสี่คนแบ่งเต๋อเซิ่งชางกันเถอะ”
แบ่งจริงรึ
ฟางอวิ๋นซิ่วสีหน้าประหลาดใจ
“เจ้าบอกว่าแบ่งพวกเราก็ต้องเอารึ?” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย
“หากพวกท่านไม่เอา ถ้าเช่นนั้นพวกท่านก็เตรียมแต่งงานเถอะ” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย “กิจการร้านแลกเงินพวกท่านวางลงได้แล้ว”
ฟางอวิ๋นซิ่วสีหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย ฟางอวี้ซิ่วสีหน้านิ่งสงบ ส่วนฟางจิ่นซิ่วเงยศีรษะขึ้น
“จะกวาดพวกเราออกจากตระกูลเช่นนี้รึ?” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย
“พี่สาววางใจ สินเดิมเจ้าสาวข้าจะมอบให้ จะทำให้พวกท่านพอใจแน่นอน” ฟางเฉิงอวี่อมยิ้มเอ่ย
“ข้าจะเอาร้านแลกเงิน” ฟางจิ่นซิ่วพลันเอ่ยขึ้น
ฟางอวิ๋นซิ่วมองไปหานาง ฟางอวี้ซิ่วก็เหล่ตามองนางเหมือนกัน
“เจ้ามาร่วมวงสนุกอะไรด้วย” นางเอ่ยขึ้น “เจ้าไม่ใช่ไม่ได้แซ่ฟางรึ?”
“ข้าแซ่ฟางหรือไม่ ไม่ใช่พวกเจ้าตัดสิน” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย “สวรรค์ตัดสิน นี่เป็นสิ่งที่สวรรค์กำหนด ในเมื่อสวรรค์กำหนด ถ้าเช่นนั้นข้าก็ต้องคว้าสิ่งที่ถูกกำหนดไว้ให้ข้าควรได้”
ฟางเฉิงอวี่พยักหน้า
“ได้สิ แบ่งให้ท่าน เพียงแต่ว่าน้อยหน่อย“ เขาเอ่ย
“เงื่อนไขเหมือนกันไหม?” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยถาม
ฟางเฉิงอวี่หัวเราะแล้วพยักหน้า
“นี่นับเป็นเงื่อนไขอย่างไร?” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ยขึ้นอย่างไม่อินังขังขอบ “ร้านแลกเงินแบ่งให้พวกเรา กลับยังต้องเชื่อฟังนาง ถ้าเช่นนั้นที่แท้ให้พวกเราหรือให้นางเล่า? นี่พวกเรานับเป็นอะไร ทำงานให้นางเปล่าๆ รึ?”
“เงื่อนไขนี้โหดอยู่บ้าง แต่ข้าคิดว่าสำหรับพวกท่านที่ได้แบ่งร้านแลกเงิน ยังนับว่าคุ้มยิ่ง” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย สีหน้าก็ไม่สะทกสะท้านเช่นกัน ถึงขั้นเฉยเมยอยู่บ้าง
สีหน้าเช่นนี้พี่น้องตระกูลฟางคุ้นตาดี พวกนางทำการค้ามานานปี ระหว่างทำการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาแบ่งผลประโยชน์กับผู้อื่น ล้วนทำสีหน้าเอ่ยวาจาเช่นนี้
ถ้าเช่นนั้นตอนนี้พวกนางพี่น้องก็ไม่ได้คุยกันอย่างพี่น้อง แต่เจรจาการค้ากันอยู่
ฟางอวิ๋นซิ่วอดไม่ได้มองไปข้างกาย แสงบนท้องฟ้าสว่างมากแล้ว ในสายตาสีฟ้ากระจ่างกว้างไกล บนถนนใหญ่กว้างขวางคนเดินทางไปๆ มาๆ ต้นไม้ใหญ่ริมทางใบไม้เหลืองอร่ามประหนึ่งเปลวเพลิง อ่อนโยนทั้งยังเจิดจ้า
ผุ้คุ้มกันจวนที่รอคอยอยู่ด้านข้างคุยเล่นสนทนาเสียงเบา ส่วนม้าก้มหัวกินหญ้าสะบัดหางอย่างสบายอารมณ์
การทะเลาะโหวกเหวกแบ่งสมบัติตระกูลในศาลอันเคร่งขรึมคือการเล่นละคร แต่เวลานี้ภายใต้ความงดงามของทิวทัศน์ฤดูใบไม้ร่วง ท่ามกลางความสุขสันต์ พวกเขาขยับดาบจริงหอกจริงเกี่ยวกับสมบัติตระกูล
ฟางอวิ๋นซิ่วหลุบตาลง ฟังเสียงของฟางเฉิงอวี่ลอยมาต่อ
“แม้พี่รองพูดกับชาวบ้านข้างนอกว่าพวกท่านตรากตรำบริหารกิจการอย่างไร ผลาญสิ้นเวลาวัยเยาว์อันงดงามกับกิจการ ฟังดูแล้วไม่ยุติธรรมยิ่ง แล้วก็ควรค่าให้คนสงสาร ทว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกท่านควรทำหรือ?” เขาเอ่ย แย้มรอยยิ้มนิดๆ “เลือดเนื้อของพวกท่านเป็นตระกูลฟางมอบให้ อาการการกินของพวกท่าน กระทั่งที่พวกท่านมีโอกาสทำกิจการนี่ ก็เพราะตระกูลฟางมอบให้ พวกท่านเกิดเป็นบุตรชายบุตรสาว นี่เป็นเรื่องสมควร”
ฟางอวี้ซิ่วตอบอ้อ
“ดังนั้น?” นางเอ่ย
“ดังนั้นสมบัติตระกูลนี่พวกท่านเดิมทีก็ไม่อาจแบ่งได้” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย “แน่นอนนอกจากงานที่พวกท่านทำเป็นเรื่องสมควรแล้ว ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ พวกท่านเป็นสตรี ข้าเป็นบุรุษ”
เขายื่นมือตบหน้าอก
“แค่อาศัยข้อนี้ สวรรค์ก็กำหนดแล้วให้ทุกสิ่งเป็นของข้า ต่อให้พูดจนฟ้าทะลุก็เป็นของข้า เงินสักอีแปะเดียวพวกท่านก็ไม่อาจแบ่งไปได้”
ฟางอวิ๋นซิ่วถอนหายใจแผ่วเบา
“เจ้าก็ไม่ต้องพูดให้ไม่น่าฟังเช่นนี้ พวกเราก็ไม่ได้คิด…” นางเอ่ย
ฟางอวี้ซิ่วยกมือห้ามนาง
“ดังนั้นหากพวกเราอยากแบ่งก็ต้องรับปากเงื่อนไขของเจ้า” นางเอ่ย
ฟางเฉิงอวี่พยักหน้า
“หากพวกเราไม่อยากแบ่ง เจ้าก็จะขับไล่พวกเราออกจากตระกูล” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ยถาม
ฟางเฉิงอวี่อมยิ้มพยักหน้า
“ถ้าพวกเราไม่แบ่งแล้วจับพวกเราแต่งงาน ดูท่าคงไม่คิดหาคนดีๆ ให้สินะ?” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ยถาม
ฟางเฉิงอวี่พยักหน้า
“ย่อมต้องหาส่งเดชสิ บอกแล้วว่าขับไล่ออกจากตระกูลไหม ทั้งยังเป็นลูกสาวที่แต่งออก ไม่มีค่าให้สิ้นเปลืองความคิด” เขาเอ่ยอย่างจริงจัง
ไม่เสียทีเป็นพี่น้องกันแท้ๆ ฟางอวิ๋นซิ่วมองฟางเฉิงอวี่ คิดถึงคำพูดที่วันนั้นฟางอวี้ซิ่วพูดยามต้องการแบ่งสมบัติตระกูลกับนายหญิงผู้เฒ่าฟาง
เหี้ยมจริงนะ
นางอดไม่ได้กุมหน้าอก รู้สึกเพียงสั่นสะท้านหนาวยะเยือก มองดูฟางเฉิงอวี่
ที่เจ้าพูดจริงไหม? หากเลือกทางนี้จริง เจ้าก็จะทำเช่นนี้จริงหรือ?
ฟางอวี้ซิ่วยังดี ไม่เหมือนนายหญิงผู้เฒ่าฟางโมโหจนเป็นลมไปเช่นนั้น
“ถ้าพวกเราแบ่ง ก็ต้องตกลงทำงานให้คนแซ่จวินคนนี้เปล่าๆ” นางเอ่ย “นี่เลือกอย่างไรพวกเราก็เสียเปรียบนะ”
ฟางเฉิงอวี่พยักหน้าต่อ
“ใช่แล้ว ชีวิตคนก็เป็นเช่นนี้ ไม่เสียเปรียบน้อยก็เสียเปรียบมาก” เขาเอ่ย “ยังดีพวกเราเป็นพี่น้อง ข้ายังให้โอกาสพี่สาวทั้งหลายเลือกว่าจะเสียเปรียบมากหรือเสียเปรียบน้อย”
ฟางอวี้ซิ่วมองแววตาใสกระจ่าง ดวงหน้างดงามของเด็กหนุ่มแล้วเม้มปาก
“ไม่รู้คุณหนูจวินมองความวิปริตเช่นนี้ของเจ้าออกหรือไม่?” นางเอ่ยขึ้น
……………………