การสอบหน้าพระที่นั่งครั้งนี้ เร่งให้ทันคดีความอันหนึ่งที่ซีหนาน หนิงเหยียนวุ่นวายกับการจัดการไม่ได้เข้าร่วม แน่นอนคืนวานเขาก็ไม่ได้กลับ ก็อยู่ที่ในกรมรอผลการสอบหน้าพระที่นั่ง
การสอบหน้าพระที่นั่งสิ้นสุดก็ตกค่ำ ปรากฏว่าการขานชื่อแจ้งกลับไปแล้ว หนิงอวิ๋นเจาจอหงวนคนใหม่กลับไม่อยากกลับไป กลับบ้านไปก็เป็นหนึ่งคืนที่นอนไม่หลับ จึงเอาบทความที่วันนี้เขียนมาให้หนิงเหยียนตรวจรอบหนึ่งที่นี่
บรรดาชาวบ้านยังไม่รู้ว่าจอหงวนคือใคร จอหงวนก็ลืมฐานะของตนเองแล้ว อาหลานสองคนนั่งถกบทความ แล้วก็หารือตำแหน่งขุนนางที่หนิงอวิ๋นเจากำลังจะได้ด้วยความเบิกบานและผ่อนคลาย ไม่รู้เนื้อรู้ตัวฟ้าก็สว่างแล้ว
เพราะรู้ผลลัพธ์นานแล้ว อาหลานสองคนจึงไม่สนใจอีก หลังฟ้าสว่างก็ล้มตัวลงนอนหลับงีบหนึ่งจนถึงตอนนี้ พวกข้ารับใช้เร่งถึงตื่นมากลับไปบ้าน
พวกเขาอาหลานหลับสบายไม่รู้ด้านนอกเกิดเรื่อง บรรดาคนติดตามดูความครึกครื้นอยู่ครึ่งวันแล้ว
“เป็นบุตรชายเฉิงกั๋วกงกับหัวหน้ากองพันลู่ตีกัน กรมทหารม้าห้าเมืองที่มาแยกคนทะเลาะก็ผสมโรงเข้าไปด้วย” ผู้ติดตามคนหนึ่งหน้าตาระรื่นเล่า
บุตรชายเฉิงกั๋วกงกับหัวหน้ากองพันลู่ หนิงเหยียนล้วนไม่รู้สึกดีอะไร
“มีอย่างที่ไหน” เขาเอ่ย
ผู้ติดตามรีบเก็บสีหน้าระรื่นไป
“ใต้เท้าไป๋หยุดพวกเขาแล้ว ฝ่าบาทก็ให้คนมาตำหนิแล้ว” เขาเก็บสีหน้าเอ่ย
หยิงเหยียนสีหน้าเคร่งขรึมไม่พูดจาก้าวเดินจะจากไป หนิงอวิ๋นเจากลับมองด้านนั้นไม่ขยับ
“ทำไมพวกเขาทะเลาะกันเล่า?” เขาเอ่ยถาม
ไม่ว่าทำไมทะเลาะกัน อย่างไรทะเลาะกันก็เป็นเรื่องไร้สาระ นี่มีอะไรให้น่าถาม หนิงเหยียนมองหนิงอวิ๋นเจาทีหนึ่ง
ผู้ติดตามทนรอไม่ไหวอยากตอบคำถามนี้จะแย่แล้ว
“เพราะคุณหนูจวินของโรงหมอจิ่วหลิง” เขากดเสียงเบาหน้าตาสนุกสนานเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
คุณหนูจวินแห่งโรงหมอจิ่วหลิง
สีหน้าหนิงเหยียนยิ่งไม่น่าดูแล้ว หนิงอวิ๋นเจาขมวดคิ้ว
คุณหนูจวินโรงหมอจิ่วหลิงก่อนปีใหม่หลังปีใหม่ล้วนเป็นจุดสนใจของคนเมืองหลวง ก่อนหน้าเพราะฝีดาษ ต่อมาเพราะความขัดแย้งกับลู่อวิ๋นฉี
ฐานะของคุณหนูจวิน ฐานะของลู่อวิ๋นฉี รวมกับเรื่องบุรุษสตรี สามจุดสำคัญนี้ทำให้ทั้งเมืองหลวงครึกครื้นขึ้นมา ทุกหนทุกแห่งล้วนพูดถกกัน ไม่เพียงชาวบ้านที่หัวถนน คหบดีตระกูลใหญ่ บรรดาขุนนางของกรมกองทางการก็ถกกันไม่หยุดหย่อน
หนิงเหยียนต่อให้ไม่อยากรู้ก็ไม่อาจไม่รู้
แม้ผู้ติดตามพูดเพียงประโยคเดียว ก็ทำให้คนคาดเดาได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว
สายตาของหนิงอวิ๋นเจาทะลุผ่านฝูงชน มองเห็นรถม้าที่มีตราสัญลักษณ์โรงหมอจิ่วหลิงอยู่เลือนราง รวมถึงหีบห่อที่ตกกระจายบนพื้น ผ้าไหมแดงที่ถูกคนเหยียบย่ำใต้ฝ่าเท้า
ลู่อวิ๋นฉีทุกวันๆ ส่งสินสอดไปยังโรงหมอจิ่วหลิง ได้ยินว่ายังมีจดหมายที่องค์หญิงจิ่วลีทรงเขียนด้วยพระองค์เองอีกด้วย ส่วนโรงหมอจิ่วหลิงก็โยนสินสอดกลับมานอกประตูจวนสกุลลู่ครั้งแล้วครั้งเล่า
สองฝ่ายไม่ทะเลาะไม่โวยวาย ทำสงครามยื้อยุดเจ้ามาข้าไป
เห็นได้ชัด สงครามยื้อยุดอันเงียบงันถูกการกลับมาของบุตรชายเฉิงกั๋วกงทำลายแล้ว
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรก” ขุนนางผู้น้อยคนหนึ่งในฝูงชนเอ่ยเสียงเบาขึ้นมา “ก่อนหน้านี้ก็ทะเลาะกันเพราะคุณหนูจวินมาก่อน”
“ข้าก็เคยได้ยินเหมือนกัน เหมือนคุณหนูจวินไปทำให้หัวหน้ากองพันลู่โกรธ หัวหน้ากองพันลู่จะไปทุบโรงหมอจิ่วหลิง หลังจากนั้นบุตรชายเฉิงกั๋วกงไม่ยอม ตีกับหัวหน้ากองพันลู่ขึ้นมา” มีคนร่วมวงหัวเราะเสียงเบาเอ่ย
คำพูดนี้ดึงให้คนมากกว่าเดิมมาร่วมวงด้วย
“ถ้าอย่างนั้นพูดเช่นนี้หัวหน้ากองพันลู่กับคุณหนูจวินก็รู้จักกันเพราะทะเลาะกันน่ะสิ?”
“คุณหนูจวินที่แท้ชอบคนไหนเล่า?”
“ดูท่าคงชอบท่านชาย อย่างไรท่านชายก็ยังไม่แต่งงาน”
“ไม่แปลกที่ตลอดมาไม่รับปากนะ”
เสียงหัวเราะแผ่วเบากระซิบกระซาบแผ่ขยายไปข้างหลังของฝูงชน
หนิงเหยียนขมวดคิ้ว มองหนิงอวิ๋นเจาด้านหน้า ประหนึ่งรู้สึกถึงสายตาของเขา ไม่รอเขาเอ่ยวาจา หนิงอวิ๋นเจาก็หันกลับมา
“ทะเลาะกันเช่นนี้” เขาเอ่ยเสียงเบา “ทั้งสองคนอาจโดนลงโทษทั้งคู่?”
บุตรชายเฉิงกั๋วกงโอหังทำตามอำเภอใจ รั้งเขาไว้ที่เมืองหลวงก็เพื่อเตือนเฉิงกั๋วกง
ส่วนลู่อวิ๋นฉีลับๆ นับเป็นขุนนางชั่ว
การกระทำของทั้งสองคนนี้ล้วนไม่เข้ากับเส้นทางขุนนางผู้ทรงคุณธรรม
ในด้านงานขุนนาง ทั้งสองคนถนัดเล่นลิ้นไม่อาจจับความผิดของพวกเขาได้ หากจากเรื่องส่วนตัวเล่า? เวลาอื่นอาจไม่ได้ แต่ครั้งนี้ผู้หญิงที่เกี่ยวพันคือคุณหนูจวิน คุณหนูจวินชื่อเสียงวันนี้หาได้ธรรมดาไม่
หนิงเหยียนเข้าใจเจตนาของหนิงอวิ๋นเจา กลับส่ายศีรษะ
“ฝ่าบาทรงทราบ” เขาเพียงเอ่ยหนึ่งประโยค
หนิงอวิ๋นเจาก็เข้าใจความหมายสี่คำนี้ของเขา ความหมายนี้ก็คือฝ่าบาทไม่ยุ่ง เขาขมวดคิ้ว เดินไปข้างหน้าหลายก้าวอีกครั้ง ราวกับจะมองให้ชัดว่าขันทีด้านนั้นจะจัดการสองคนนี้อย่างไร
หยิงเหยียนอ้าปากสุดท้ายก็ไม่ได้เรียกเขาไว้ อนาคตเป็นขุนนางในราชสำนัก ย่อมเลี่ยงคบหากับสองคนนี้ไม่ได้ สนใจสักหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ
ขันทีในเหตุการณ์ถูกจูจั้นเกาะจนทุลักทุเลอยู่บ้าง แต่ยังคงกัดปากไว้สนิท
“ท่านชาย ฝ่าบาทไม่พบพวกท่าน และฝ่าบาทก็ทรงไม่ยุ่งเรื่องของพวกท่าน พวกท่านก่อเรื่องต่อหน้าผู้คน พวกท่านก็อธิบายต่อหน้าผู้คนเถอะ” เขาตะโกนเอ่ย
“เรื่องเช่นนี้มีอะไรต้องอธิบาย” จูจั้นเอ่ย “ย่อมเป็นหัวหน้ากองพันลู่กระทำเรื่องที่สวรรค์พิโรธคนคั่งแค้น ทุกคนในใจใครไม่เข้าใจ”
“ข้าไม่เข้าใจ” เสียงของลู่อวิ๋นฉีดังขึ้นตามมา
ลู่อวิ๋นฉีที่เงียบงันไม่พูดจามาตลอดเดินเข้ามา รอยเลือดที่มุมปากเช็ดไปแล้ว แต่รอยช้ำยิ่งเห็นชัดบนหน้าขาวประหนึ่งเครื่องเคลือบ ดูสะบักสะบอมอยู่บ้าง
จูจั้นยกคิ้วขึ้น สีหน้าทะมึน
หนิงอวิ๋นเจาที่ยืนอยู่ในฝูงชนก็สีหน้าทะมึนไปเช่นกัน
“ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมท่านชายมาก่อเรื่อง” ลู่อวิ๋นฉีสีหน้านิ่งสนิทเอ่ย “พังประตูใหญ่กรมสืบสวนของข้า”
สายตามองไปทางหีบหอที่ร่วงกระจายอยู่บนพื้น
“ที่ใช้ยังเป็นสินสอดของข้าอีก”
เขามองไปทางจูจั้นอีกครั้ง
“สินสอดของข้าไปทำอะไรท่านชายแล้ว?”
ฝูงชนกลายเป็นวุ่นวายอยู่บ้าง
ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยวาจาน้อยนัก ต่อหน้าผู้คนยิ่งแทบไม่พูด คนในที่นั้นเพิ่งได้ยินเขาพูดมากเช่นนี้เป็นครั้งแรก ดูท่ายังจะพูดต่ออีก
นอกจากนี้ที่จะพูดยังเป็นเรื่องบุรุษสตรีอีกด้วย
“ข้าชอบพอคุณหนูจวิน ขอแต่งงานอย่างจริงใจ ท่านชายเล่าทำเพื่ออะไร?” เสียงของลู่อวิ๋นฉีเอ่ยต่อ
พูดออกมาแล้ว พูดออกมาแล้ว
จะเล่าเรื่องรักๆ ใคร่ๆ กับคุณหนูจวินต่อหน้าผู้คนแล้ว
ความวุ่นวายของฝูงชนสงบลงในพริบตา
คำพูดนี้ลู่อวิ๋นฉีคนพรรค์นี้กล้าพูด บุตรชายเฉิงกั๋วกงจะกล้าพูดไหม? บุตรชายเฉิงกั๋วกงจะว่าอย่างไร?
คนทั้งหมดล้วนสีหน้าตื่นเต้นมองไปทางจูจั้น
จะเล่าความขัดแย้งของพวกเขาสามคนไหม? รู้จักกันได้อย่างไร? ที่แท้ใครชอบใคร?
บุตรชายเฉิงกั๋วกงจะบอกว่าชอบพอนาง ขอคุณหนูจวินแต่งงานไหม?
ลู่อวิ๋นฉีไม่มีพ่อไม่มีแม่ เรื่องแต่งงานนอกจากฮ่องเต้ก็เป็นเขาคนเดียวตัดสินใจ ไม่ว่าหญิงคณิกาหรือภรรยาผู้อื่น เขาอย่างทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ในบ้านไม่มีใครคุม แต่บุตรชายเฉิงกั๋วกงย่อมไม่เหมือนกัน
มีสามีภรรยาเฉิงกั๋วกงอยู่ คำสั่งของบิดามารดาวาจาแม่สื่อ ตั้งแต่นาทีนั้นที่ท่านชายเกิดก็มีครอบครัวมากมายมาขอเกี่ยวดอง นานปีขนาดนี้คู่สามีภรรยาเฉิงกั๋วกงปฏิเสธการแต่งงานนับครั้งไม่ถ้วน กระทั่งการจับคู่ของฮ่องเต้กับไทเฮาก็ปฏิเสธ
ผู้ใหญ่ในบ้านที่แข็งแกร่งปานนี้ยังอยู่ จูจั้นเขาจะตัดสินใจเองได้อย่างไร?
คู่สามีภรรยาเฉิงกั๋วกงรักใคร่ตามใจเขาอย่างไร เรื่องแต่งงานก็ไม่มีทางส่งเดชได้ อย่างไรจูจั้นก็ต้องสืบอทดบรรดาศักดิ์เฉิงกั๋วกง เกี่ยวข้องกับการสืบต่อของตระกูลจูทั้งตระกูล
หากบุตรชายเฉิงกั๋วกงพูดออกมา คู่สามีภรรยาเฉิงกั๋วกงไม่เห็นด้วย คุณหนูจวินก็กลายเป็นตัวตลกแล้ว
หากบุตรชายเฉิงกั๋วกงไม่กล้าพูด จะอธิบายการกระทำของตนเองตอนนี้ได้อย่างไรอีก? เหมือนกับแย่งยอดหญิงงามของหอนางโลม?
ไม่ว่าเขาพูดอย่างไร สตรีผู้หนึ่งถูกบุรุษสองคนต่อสู้แย่งกันต่อหน้าผู้คนก็ล้วนเป็นเรื่องตลก
สีหน้าเฉินชีซีดขาว
ลู่อวิ๋นฉีไม่มีทางสนใจชื่อเสียงของคุณหนู สำหรับเขาแล้ว ทำลายชื่อเสียงของคุณหนูได้ยิ่งดี ยิ่งยากหนีไปจากฝ่ามือของเขา
เป็นการกระทำที่เลวทรามไร้ยางอายจริงๆ
เหตุการณ์ที่นิ่งชะงักอยู่ถูกเสียงหนึ่งทำลาย
“เจ้าชอบพอนางขอแต่งงานแล้วอย่างไร?” จูจั้นสีหน้าเหยียดหยัน “เจ้าทำเรื่องพรรค์นี้ ใครเป็นคนก็ต้องถ่มน้ำลายประณาม”
สีหน้าลู่อวิ๋นฉีนิ่งสนิทมองเขา
“เหตุใดต้องถ่มน้ำลายประณาม?” เขาเอ่ย
จูจั้นยิ้มมองเขา ดวงตาเปลี่ยนเป็นคมกริบ ปล่อยขันทีคนนั้น
“เพราะว่านาง…” เขาเอ่ย
คำพูดเพิ่งออกจากปากก็ได้ยินเสียงบุรุษกังวานเสียงหนึ่งลอยมา
“เพราะนางเป็นคู่หมั้นของข้า”
คู่หมั้น?
ในที่นั้นชะงักนิ่งไปหมด คนทั้งหมดล้วนมองไปทางต้นเสียงโดยไม่รู้ตัว เห็นเพียงบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งก้าวเดินเชื่องช้าออกมาจากในฝูงชน
หน้าผากของเขานูน จมูกโด่งเป็นสัน หน้าตาโดดเด่น สีหน้าอบอุ่น สวมเสื้อตัวยาวสีน้ำเงิน ใต้แสงตะวันรูปร่างสะโอดสะอง หล่อเหลาสง่างาม
“ใต้เท้าลู่อาจไม่รู้” เขายิ้มเล็กน้อยให้หัวหน้ากองพันลู่ “ข้ากับคุณหนูจวินมีสัญญาหมั้นหมายกันตั้งแต่เล็ก ดังนั้นการกระทำของใต้เท้าไม่เหมาะสมจริงๆ โปรดอย่าตำหนิที่ท่านชายโกรธเกรี้ยว”
จูจั้นขมวดคิ้ว ฮะ…
เฉินชีอ้าปาก ฮ่ะ…
ส่วนหนิงเหยียนที่ยืนอยู่ในฝูงชนพริบตามึนงง
ตอนนี้เขากำลังฝันอยู่รึ?
ใช้ยังนอนหลับอุตุอยู่ในกรมหรือไม่?
ไม่เช่นนั้นทำไมมองเห็นได้ยินเรื่องบ้าบอเช่นนี้?
……………………………………….