ที่นี่คือตำหนักข้างในวังไทเฮา ระยะห่างระหว่างห้องกับห้องไม่ไกล เวลานี้พวกนางเดินมาได้ช่วงหนึ่งแล้ว ได้ยินเสียงหัวเราะเอะอะของเหล่าองค์ชายองค์หญิงแล้ว
คุณหนูจวินเอ่ยถามคำนี้ออกมา สายลมราตรีเดือนสามก็พัดไล้นางขนลุก ยื่นมือลูบขนที่ลุกตั้ง อีกมือหนึ่งลูบเสื้อกระโปรงที่ที่ยุ่งเหยิงจากที่หวิดหกล้มเมื่อครู่ สีหน้าสบายๆ
นางกำนัลน้อยร้องเอ๋
“ไม่มีกระมัง” นางเอ่ย
ปิงเอ๋อร์มีพี่สาวเพียงคนเดียว ในบ้านพี่สาวมีเด็กหรือไม่ก็ไม่รู้ หรือว่าจะไม่มี?
มือของคุณหนูจวินกำเบาๆ
“คุณหนูจวินท่านคงจำผิดแล้วกระมังเจ้าคะ” นางกำนัลน้อยเอ่ยต่อ “คนที่รินสุราให้ท่านที่ตำหนักหลักต้องไม่ได้ชื่อปิงเอ๋อร์แน่”
คุณหนูจวินร้องอ้อทีหนึ่ง
“น่าจะใช่นะ เวลานั้นข้ากังวลมากเกินไปก็ฟังไม่ชัดเหมือนกัน” นางเอ่ยขึ้นท่าทางขออภัยอยู่นิดๆ “ได้ยินคลับคล้ายว่าเป็นปิงเอ๋อร์”
นางกำนัลน้อยพยักน้า
“ต้องผิดแล้วแน่ ไม่มีทางเป็นปิงเอ๋อร์” นางเอ่ย
คุณหนูจวินเม้มปากยิ้มพลางก้าวเดินไปข้างหน้า
“ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ เหมือนจะมีคนที่ชื่อปิงเอ๋อร์จริงๆ?” นางเอ่ยถาม
นางกำนัลน้อยพยักหน้า ใต้แสงโคมวังสาดส่อง บนใบหน้าความโศกศัลย์จางๆ แล่นผ่าน
“ใช่มีอยู่คนหนึ่ง” นางเอ่ย “เพียงแต่เมื่อปีก่อนป่วยตายไปแล้ว”
ฝีเท้าของคุณหนูจวินชะงักไปวูบหนึ่ง เหยียบลงบนบันไดขั้นหนึ่ง
ป่วย ตาย ไปแล้ว
ปีก่อน
หลังจากที่ตนเองตายงั้นหรือ?
ถูกพบเข้างั้นรึ?
แต่ไม่ถูกต้องสิ หากถูกพบเข้าจริงๆ ทำไมพี่สาวของปิงเอ๋อร์ถึงเพิ่งหายไปตอนนี้? ไม่ใช่ควรถูกกำจัดไปด้วยกันหรือ?
ความคิดของคุณหนูจวินสับสนอยู่บ้างเล็กน้อย
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอโทษจริงๆ” นางรีบเอ่ยท่าทางรู้สึกผิดอยู่บ้าง
นางกำนัลน้อยส่ายศีรษะให้นาง
“เหมันต์หนาว เป็นหวัดง่าย” นางเอ่ยเสียงเบา “บางคนร่างกายอ่อนแอยากเลี่ยงทนไม่ไหว”
เหมันต์
เป็นหลังจากตนเองตายจริงๆ
คุณหนูจวินยิ้มให้นางกำนัลน้อยก้าวเท้าขึ้นบันได นางกำนัลในตำหนักก็ออกมารับ ผลักประตูตำหนักเปิด เด็กๆในห้องหัวเราะส่งเสียงเอะอะ เสียงตำหนิของบรรดาพระชายานางสนมเล็ดลอดออกมา ครึกครื้นยิ่งนัก
สามวันให้หลัง คุณหนูจวินกับท่านหมอเฒ่าเฝิงก็เดินออกมาจากวังหลวง ที่มาด้วยกันกับพวกเขาคือรางวัลพระราชทานกองใหญ่ รวมถึงท่านอ๋องท่านกงผู้สูงศักดิ์ที่รุมล้อมเข้ามาที่ประตูวัง
“ท่านหมอเฝิง ท่านต้องไปบ้านของพวกเราก่อนนะ”
“คุณหนูจวิน พวกเราต่อแถวได้หมายเลขแล้ว”
ผู้คนที่กินดีอยู่ดีเหล่านี้ไม่สนเสียเกียรติ แต่ละคนๆ เดินทางมาเชิญด้วยตัวเอง อยากจะยื่นมือมาคว้าท่านหมอเฒ่าเฝิงหิ้วเขากลับไปทั้งอย่างนี้ จนปัญญาด้วยกลัวจะทำเขาโมโห แม้ร้อนรนก็ไม่กล้าล่วงเกิน
“มีหมดมีหมด ทุกท่านไม่ต้องรีบร้อน” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ย สีหน้าเขาสงบ ไม่ได้ถูกคนมากมายเช่นนี้ทำให้กลัว แล้วก็ไม่ได้ตกใจเพราะได้รับความโปรดปราณ
ไม่มีอะไรทำให้เขากลัวและทำให้เขาตกใจได้อีกแล้ว เขาเป็นถึงคนที่เคยเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ขยับตะไบกับพวกองค์ชายองค์หญิง ค้างในวังหลวงมาแล้วสามวันเชียวนะ
“ทุกคนไม่ต้องรีบร้อน การปลูกฝีพวกเรามีแผนการและการจัดเตรียม ไม่มีทางตกหล่นใครแล้วก็ไม่มีทางล่าช้าด้วย” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ย
ความสงบของเขาทำให้ฝูงชนที่วุ่นวายจำนวนหนึ่งเงียบสงบลง ฟังท่านหมอเฒ่าเฝิงอย่างตั้งใจ
บางคนรู้ว่าคุณหนูจวินจะไม่ปลูกฝีให้คนด้วยตนเอง ผู้คนก็ไม่สนใจนาง
คุณหนูจวินเดินผ่านฝูงชน มองเห็นจูจั้นที่อยู่บนถนนเสด็จพระราชดำเนิน
ไม่ใช่แค่จูจั้น ยังมีเด็กหลายคนนั้นของตระกูลโจวด้วย
เขาเหมือนกำลังรอคนอยู่ แล้วก็เหมือนพอดีปรากฏตัวอยู่ที่นี่เท่านั้น เพราะเมื่อมองเห็นคุณหนูจวินมองข้ามมา จูจั้นก็เคลื่อนสายตาออกทันที
ตอนที่เขาหมุนตัวไล่เด็กหลายคนของตระกูลโจวจะไป คุณหนูจวินก็ยิ้มไล่ตามมา เหมือนดั่งเดิม
“ข้าบอกแล้วว่าไม่เป็นไร ท่านไม่ต้องกังวล”
คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย
จูจั้นหยุดฝีเท้าหันมา
“เอาคำว่าท่านทิ้งไปซะ” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
“หากกระทั่งความสามารถแค่นี้ยังไม่มี ยังกล้าเข้าวังหลวงปลูกฝี ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ตายไปแปดร้อยหนแล้ว ไหนเลยยังต้องให้ผู้อื่นกังวลใจ” จูจั้นเอ่ย
คุณหนูจวินพยักหน้า
“ท่านพูดถูก” นางเอ่ย สายตามองไปทางเด็กไม่กี่คนของตระกูลโจว
เด็กๆ ของตระกูลโจวก็กำลังลอบมองนาง เห็นนางมองข้ามมาล้วนหลบเลี่ยงสายตาอย่างขัดเขินอยู่บ้าง
“เรื่องของพวกเขาจัดการเรียบร้อยแล้วหรือ?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม
ตอนแรกจูจั้นบอกว่าให้เด็กตระกูลโจวมาทดลองยา สำเร็จก็งดเว้นโทษตายของพวกเขา ตอนนี้คำสั่งปิดล้อมวัดกวงหวายกเลิกแล้ว เป็นเวลาจัดการเรื่องนี้แล้ว
จูจั้นขานรับทีหนึ่ง
“ข้าจะส่งพวกเขาไปแล้ว” เขาเอ่ย
“กลับเจินติ้งหรือ?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม
“เจ้าถามมากมายปานนั้นทำอะไร?” จูจั้นคิ้วกระตุกเอ่ย “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
“ข้าไม่คิดจะทำอะไร เอาล่ะ ข้ารู้ว่าท่านจะออกจากบ้านแล้ว เดี๋ยวพบกัน” นางยิ้มเอ่ย โบกมือ
จูจั้นมองนางส่ายศีรษะ
“เจ้านี่มันคิดไปเองจริงๆ” เขาเอ่ย หมุนตัวก้าวยาวเดินไป
สำหรับจวินจิ่วหลิงแล้ว ใช่จริงๆ
แต่สำหรับฉู่จิ่วหลิงแล้ว ไม่ใช่
ทุกสิ่งในวันนี้ในมุมมองของจูจั้นล้วนเริ่มมาจากการรักษาโรคให้ไหวอ๋อง และเขารับปากไว้ รักษาไหวอ๋องหาย ปกป้องชีวิตนาง
ไมตรีนี้มีให้กับไหวอ๋อง ให้กับครอบครัวของพวกนาง
คุณหนูจวินมองแผ่นหลังของจูจั้นไม่เอ่ยวาจาอีก เด็กน้อยที่ก้าวเดินตามจูจั้นไม่กี่คนนั้นพลันหยุด
แรกสุดคนเดียว ต่อมาคนอื่นๆ ก็ล้วนหยุดไปด้วย ต่อมาโจวจิงที่นำอยู่ก็หันกายมา
โจวจิงค้อมกายคำนับคุณหนูจวิน เด็กคนอื่นที่เหลือก็ล้วนค้อมกาย โจวเหมาเหมาที่ถูกอุ้มอยู่ในอ้อมแขนก็ถูกวางลง คำนับอย่างเป็นการเป็นงาน
พวกเขาค้อมกายต่ำ คำนับยาวๆ หนหนึ่ง
“นี่ไม่ต้องขอบคุณข้าจริงๆ” คุณหนูจวินส่ายศีรษะเอ่ย “สำหรับข้า ผู้ใดล้วนเหมือนกัน คนที่เลือกพวกเจ้าไม่ใช่ข้า”
พวกโจวจิงยังคงไม่ยืดตัวขึ้น จูจั้นหมุนตัวมามือใหญ่ยื่นมาคว้าพวกเขาไว้
“เรื่องมากอะไรปานนั้น ยังจะเดินทางหรือไม่?” เขาเอ่ย
เด็กๆ ตระกูลโจวถูกเขารวบ ไล่ ประหนึ่งลูกเจี๊ยบเดินจากไปแล้ว
ท่านหมอเฒ่าเฝิงปลอบผู้คนที่รุมล้อมเหล่านั้นแล้วจึงเดินเข้ามา คุณหนูจวินกับเขาขึ้นรถม้าด้วยกัน ออกจากวังท่ามกลางบรรดาผู้คนที่ห้อมล้อม
เจียงโหย่วซู่ยืนอยู่ด้านนอกสำนักแพทย์หลวงอีกครั้ง หลายวันนี้เขาล้วนยืนอยู่ที่นี่ เขายืนอยู่ที่นี่ไม่ใช่รอใครอยู่ แต่คาดหวังว่าจะไม่มีวันมองเห็นสองคนนั้นอีก
คนที่เข้าไปในวังหลวงสองคนนั้น ดีที่สุดไม่ต้องออกมาอีกแล้ว หรือไม่ถูกพวกขันทีแบกออกมา หรือถูกพวกองครักษ์เสื้อแพรหิ้วออกมา
ขอให้พวกเขาพลาดระหว่างปลูกฝีให้บรรดาองค์ชายองค์หญิง
ในใจเจียงโหย่วซู่คาดหวังอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ เขาไม่ใช่ไม่เคยลองเข้าวังไปดู แต่เพราะการปลูกฝีสำคัญยิ่งยวด ไทเฮาเคร่งเครียดมาก สองวันนี้ไม่ยอมให้ผู้ใดก็ตามเข้าวัง
ผู้ใดก็ตาม
เขาเจียงโหย่วซู่ หมอที่ดีที่สุดในใต้หล้าวันนี้ เจ้าสำนักของสำนักแพทย์หลวง หมอที่ฮ่องเต้ไทเฮาเชื่อใจที่สุด ผู้คนล้วนอยากขอร้องให้เขารักษาโรค
ถึงกับมีวันหนึ่งที่ถูกปฏิบัติเป็นผู้ใดก็ตาม
ไม่ ในอดีตก็เคยมีครั้งหนึ่ง จางชิงซานผู้นั้นมาถึงเมืองหลวง ได้ฮ่องเต้ยกย่องเป็นแขกคนสำคัญ เขาก็ถูกผลักไปด้านข้างเช่นเดียวกับหมอคนอื่น
ที่โชคดีก็คือจางชิงซานคนนี้เป็นแค่คนคุยโวใหญ่โตคนหนึ่ง รักษาโรคขององค์รัชทายาทไม่หายหนีไปแล้ว ตั้งแต่นั้นเงียบงันไร้ร่องรอย
คนเหล่านี้สร้างเรื่องครึกโครมประหนึ่งดอกไม้ไฟดึงดูดให้ชาวบ้านกรีดร้องไล่ตาม แต่ก็ครึกโครมอยู่เพียงประเดี๋ยวเดียวนั้นก็สลายหายไปดั่งหมอกควัน กลายเป็นเถ้าธุลีกองหนึ่ง
มีเพียงเขา ยังยืนอยู่ตรงนี้ และจะยืนอยู่ตรงนี้ตลอดไป
เจียงโหย่วซู่พรูลมหายใจยาวๆ เอาความหงุดหงิดในอกออกมา แต่ยังไม่ทันพรูหมด เสียงกีบเท้าม้าเอะอะก็ดังมาจากบนถนน
รถม้าคันนั้นปรากฏขึ้นอีกแล้ว
ไม่ใช่แค่รถม้าคันเดียว ยังเพิ่มรถคันหนึ่งที่กองของพระราชทานคลุมผ้าต่วนสีเหลืองสดไว้เต็มคันหนึ่งอีกด้วย
ส่วนด้านหลังพวกเขายังมีคนผู้อาภรณ์หรูหรางดงามท่าทางน่าเกรงขามหยิ่งยโสกลุ่มหนึ่งตามมาอีก
พวกเขาคนเหล่านี้ก่อนหน้านี้ย่อมไม่เคยเดินตามหลังผู้อื่น เวลานี้นาทีนี้อยู่ด้านหลังรถม้าเชื่องช้าสองคันนั้นกลับไม่มีรำคาญสักนิด ตรงกันข้ามท่าทางมีความสุข
สวรรค์ช่างไม่มีตาจริงๆ
ความโกรธที่เหลืออยู่ของเจียงโหย่วซู่จุกอยู่ในลำคอ หมุนตัวสะบัดแขนเสื้อเข้าไปแล้ว
ขุนนางผู้น้อยที่หลบอยู่ด้านข้างตอนนี้ถึงเดินออกมาอย่างระมัดระวัง ยื่นศีรษะมองดูรถม้าที่เล่นไปไกลแล้วบนถนน หันกลับมามองดูประตูใหญ่ของสำนักแพทย์หลวงอีกครั้ง
ประตูใหญ่ที่เคยถูกองครักษ์เสื้อแพรทุบเสีย เวลานี้ย่อมซ่อมเสร็จดีแล้ว
มองผ่านประตูใหญ่เข้าไปด้านในสำนัก เป็นกลางวันแท้ๆ แต่กลับแลดูเงียบสงัดยิ่ง
“ต่อไปคาดว่าคงยิ่งเงียบแล้ว” เขาเอ่ยกับตนเอง
……………………………………….