บรรดาท่านหมอล้อมเข้ามาตั้งใจฟังคุณหนูจวินพูด
“ข้ารู้สึกว่าเป็นเพราะปากแผลที่มีเลือดสัมผัสกับพิษฝี” คุณหนูจวินเอ่ย “นี่เกิดผลเร็วยิ่งกว่ายัดเข้าจมูก”
เป็นเช่นนี้หรือ?
บรรดาท่านหมอมองเด็กๆ ฝั่งนี้
“หากเป็นเช่นนี้หลังจากนี้พวกเราจะเลือกใช้วิธีนี้” คุณหนูจวินเอ่ย “ส่วนที่ฝีบนร่างเขาน้อย บ่งบอกว่าพิษฝีครั้งนี้ดีกว่า ครั้งนี้ที่ให้พวกเขาใช้คือหน่อฝีที่เอามาจากตัวพวกท่านหมอชวี่”
บรรดาท่านหมอพยักหน้า
“ที่แท้เป็นเช่นนี้” พวกเขาเอ่ย “นี่ก็คือที่ท่านบอกว่าพิษฝีอยู่บนตัวคนจะค่อยๆ ถูกขจัดพิษ ดังนั้นยิ่งปลอดภัยมากขึ้น”
คุณหนูจวินพยักหน้า
“วางใจเถอะ ไม่มีปัญหาหรอก” นางเอ่ย “พวกท่านจัดคนดูแลพวกเขาก็พอแล้ว”
บรรดาท่านหมอพยักหน้า ทิ้งคนไว้ดูแล ตามคุณหนูจวินไปพลาง หารืออาการป่วยของเด็กคนนี้ต่อพลาง แล้วจากไป
เด็กทั้งหลายที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างสบตากันทีหนึ่ง เมื่อครู่คุณหนูจวินพูดกับท่านหมอเหล่านี้ต่อหน้าพวกเขา ตั้งใจอธิบายให้พวกเขาฟังสินะ
“พวกเขาว่าน้องชายไม่เป็นไร” เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา
สีหน้าของเด็กทั้งหลายผ่อนคลายลงไปมาก
“ท่านปู่บอกว่าท่านชายพูดได้ทำได้ พวกเราจะไม่เป็นไร” เด็กผู้ชายคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา มือน้อยกำแน่น
“ท่านชายก็บอกแล้ว คุณหนูคนนี้ร้ายกาจนัก” เด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา มองร่างที่ไกลออกไปด้านนั้น “ท่านชายเชื่อนาง พวกเราก็เชื่อ”
…
“ข้ากินผลไม้เชื่อมได้หรือยัง?”
เสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อยดังขึ้นในเรือนยามเช้าตรู่
ท่านหมอคนหนึ่งมองเด็กน้อยข้างต้นขา ยิ้มนั่งยองๆ ลงไป
“เหมาเหมา เจ้ากินข้าวเสร็จแล้วหรือ?” เขาเอ่ยถาม
โจวเหมาเหมาวันนั้นเป็นไข้อยู่แค่วันเดียว วันที่สองก็เป็นอย่างที่คุณหนูจวินว่าจริงๆ หายดีแล้ว
โจวเหมาเหมาพยักหน้า ท่านหมอก็มองไปทางคนงานด้านหลังอีกครั้ง
นี่เป็นคนที่เฉินชีส่งมาดูแลโจวเหมาเหมาที่หายป่วยแล้ว
คนงานยิ้มพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นเอาอย่างนี้” ท่านหมอยิ้มเอ่ย “เจ้าช่วยข้าไปส่งข้าวให้พวกพี่ชายพี่สาวของเจ้า หลังจากนั้นข้าจะให้ผลไม้เชื่อมเจ้าเม็ดหนึ่ง”
โจวเหมาเหมาพยักหน้าติดๆ กัน เป็นฝ่ายวิ่งไปยังห้องที่พวกพี่ชายพี่สาวอยู่ก่อนแล้ว
เด็กคนอื่นของตระกูลโจวต่างก็ตัวร้อนหลังหนึ่งวันสองวัน เทียบกับโจวเหมาเหมาอาการป่วยของพวกเขาเบากว่า
แม้ตัวร้อน แต่กำลังวังชากลับไม่เลว ไม่ได้นอนอยู่บนเตียงแต่นั่งอยู่
มองเห็นท่านหมอเข้ามาก็ยังลุกขึ้นคำนับ
โจวเหมาเหมาวิ่งเข้าไปแล้ว
“พี่สาว ท่านรีบกินข้าว ท่านกินข้าวดีๆ ถึงจะหายไวๆ” เขาตั้งใจพูด
เด็กผู้หญิงพยักหน้า ไม่ได้ลูบศีรษะน้องชาย จงใจนั่งอีกด้านหนึ่ง
นางรู้ว่าอาการป่วยบนร่างนางคือฝีดาษ ฝีดาษย่อมติดต่อได้
บรรดาท่านหมอตอนแรกก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้โจวเหมาเหมายังมาที่นี่ แต่คุณหนูจวินบอกว่าไม่เป็นไร ก็ได้แต่ฟังนางแล้ว
สามวันให้หลัง เด็กตระกูลโจวทั้งหมดล้วนหายจากอาการตัวร้อน เร็วจนบรรดาท่านหมอล้วนไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง
“ไม่สำเร็จใช่หรือไม่?” บรรดาท่านหมอถึงกับสงสัย “มีฝีเกิดขึ้นมาแค่ไม่กี่เม็ดเท่านั่นเอง”
“เพราใช้หน่อฝีที่ดีขึ้นน่ะสิ” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย แล้วก็หยุดไปนิดหนึ่ง “สำเร็จไม่สำเร็จ พิสูจน์ดูก็รู้แล้ว”
ต้องพิสูจน์อีก?
บรรดาท่านหมอได้ยินคำนี้ล้วนหวาดกลัวอยู่บ้าง อดไม่ได้มองไปรอบด้าน
“ยังต้องพิสูจน์อย่างไรอีกหรือ?” ท่านหมอคนหนึ่งกดเสียงเบาเอ่ยถาม
คุณหนูจวินยิ้ม
“ที่นี่ของพวกเราเป็นที่ไหนเล่า” นางเอ่ย “พวกเรามีผู้ป่วยฝีดาษตั้งมากมกาย”
ดังนั้น…
บรรดาท่านหมอหัวใจหยุดเต้นไปวูบหนึ่ง
“ดังนั้นให้พวกเขาไปอยู่กับผู้ป่วยฝีดาษด้านนั้นก็พิสูจน์ได้แล้วว่าจะถูกฝีดาษเล่นงานอีกหรือไม่” คุณหนูจวินเอ่ย
นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว
แต่ครั้งนี้ทั้งไม่มีองครักษ์เสื้อแพรโดดออกมา แล้วไม่มีบุตรชายเฉิงกั๋วกงเดินออกมาคว้าเด็กหลายคนนี้ปุบก็ไป
บรรดาท่านหมอจึงไม่ตื่นเต้นเช่นนั้นอย่างสองครั้งก่อนแล้ว แต่เงียบงันไปครู่หนึ่ง
“แบบนี้จะไม่เป็นไรจริงหรือ?” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยถาม
นั่นเป็นถึงฝีดาษเชียวนะ ผู้ใหญ่ไม่หลบเลี่ยงได้ แต่บ้านใครมีเด็กเป็นฝีดาษ เด็กข้างบ้านรอบด้านล้วนหลบไปไกลโพ้น แต่เด็กหลายคนนี้ไม่เพียงไม่หลบ ยังต้องส่งไปอยู่ท่ามกลางผู้ป่วยฝีดาษอีก
ได้ฟังทำให้คนกลัวนักจริงๆ
“ไม่มีปัญหา” คุณหนูจวินเอ่ย
ประโยคนี้เริ่มตั้งแต่นางประกาศว่ามีวิธีป้องกันฝีดาษก็พูดมาหลายครั้งแล้ว
หลายครั้งก่อนหน้าพิสูจน์แล้วว่านางไม่ได้พูดโกหก
ท่านหมอเฒ่าเฝิงมองไปทางนางพยักหน้า
“ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ลองดูเถอะ” เขาเอ่ย
…
ตั้งแต่ได้รู้ว่าคุณหนูจวินกับบรรดาท่านหมอค้นพบวิธีป้องกันฝีดาษ คนทั้งหมดในวัดกวงหวาก็สนใจความเป็นไปของฝั่งนี้
“ให้เด็กหลายคนปลูกพิษฝีแล้ว”
“สวรรค์ เอาเด็กโชคร้ายที่ไหนมา”
“พวกเจ้ารู้หรือไม่? เด็กพวกนั้นไม่เป็นไรจริรงๆ”
“หรือว่าพิษฝีนี่ไม่เป็นไรจริงๆ?”
“บางทีอาจไม่ใช่พิษฝีก็ได้นะ ใครจะรู้ว่าพวกเขาทำเช่นนี้มีประโยชน์อะไร”
คนฝั่งนี้พากันถกเถียง แต่ไม่นานการถกเถียงนี้ก็หยุดลง คนทั้งหมดมองไปทางประตูเรือน
ครั้งนี้นอกจากพวกท่านหมอเช่นคุณหนูจวินที่มาให้ยาตามปกติ ยังเพิ่มเด็กมาห้าคน
นี่ก็คือเด็กไม่กี่คนนั้นที่ทดลองพิษฝีมา
พวกเขามาทำอะไรที่นี่?
ที่นี่ไม่ใช่ที่ๆ เด็กๆ มาได้นะ
คนในเรือนล้วนเงียบไป
แต่คนในเรือนเงียบลง เรือนแห่งนี้กลับไม่เงียบ ในปากจมูกล้วนเป็นกลิ่นเหล้ากลิ่นยาเข้มข้นรวมถึงกลิ่นเน่า หูได้ยินเสียงร้องไห้ครวญครางลอยมาจากในห้องแถบนั้น
มีคนงานยกแผ่นกระดานเดินออกมาจากในห้อง คลุมผ้าสีขาวไว้เห็นชัดว่าเป็นรูปร่างของเด็กที่ตายไปแล้ว ข้างกายครอบครัวที่ร้องไห้จนน้ำตาเหือดแห้งจิตใจสลายติดตาม
เด็กหลายคนอดไม่ได้จับมือกันแน่น พวกคนงานผ่านไป บรรดาท่านหมอหลีกทางก้มศีรษะไว้อาลัยเงียบงันเหมือนเช่นเคย
สายลมต้นฤดูใบไม้ผลิพัดเข้ามาอย่างแรงผ่านช่องประตูที่เหล่าคนงานยกแผ่นกระดานผ่านไป พลิกผ้าขาวนั่นเปิด หลายคนที่ไม่กล้ามองดู อดไม่ไหวปลายหางตามองไปยังเด็กๆ ที่บังเอิญมองเห็นสภาพของคนตายพอดีอีกครั้ง ฝีดำโหดร้ายเต็มหน้านั่น เด็กหลายคนอย่างไรก็เป็นเด็ก หลุดเสียงร้องตกใจ
นอกจากโจวเหมาเหมาที่ร่างสูงแค่ขาคนนั้น
เพราะตัวเตี้ยเขาจึงมองไม่เห็น แล้วก็ไม่รู้ว่าสิ่งใดเรียกหวาดกลัว หัวเราะฮิฮะมองมาด้านนี้อย่างสงสัย
บรรดาท่านหมอจูงเด็กเหล่านี้เพื่อแสดงการปลอบขวัญ พร้อมกันนั้นบนหน้าก็ทนไม่ไหวมากด้วย
ให้เด็กๆ มาที่นี่น่ากลัวเกินไป แล้วก็โหดร้ายเกินไปแล้วจริงๆ
“เอาล่ะ เก็บกวาดห้องห้องหนึ่งให้พวกเจ้าแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ยสั่งบรรดาคนงาน “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพวกเขาจะอยู่ที่นี่ช่วยทำงาน”
อยู่ที่นี่ช่วยทำงาน? เด็กไม่กี่คนนี้ทำงานอะไรได้?
คนในเรือนยิ่งประหลาดใจแล้ว
ที่นี่ล้วนเป็นผู้ป่วยฝีดาษ เผชิญหน้ากับผู้ป่วยผีดาษ เด็กๆ คนอื่นหลบยังหลบไม่ทันเลย ยังให้เด็กเข้าไปใกล้อีกได้อย่างไร?
นี่เป็นการฆ่าคนนะ
ล้อเล่นใช่ไหม?
……………………………………….