ประโยคนี้พวกเขาย่อมยังจำได้
ครั้งแรกที่ได้ยินประโยคนี้ รู้สึกว่าน่าขันทั้งยังน่าโมโห
แต่ต่อมาพวกเขาก็ไม่ถือสาแล้ว ไม่เพียงไม่ถือสา ตรงกันข้ามยังหวังให้นางพูดประโยคนี้ได้อยู่บ้าง
ตัวอย่างเช่นตอนที่ถูกเชิญให้ช่วยเหลือรักษาฝีดาษ ตัวอย่างเช่นตอนที่เผชิญหน้าคำถามของครอบครัวผู้ป่วยที่อาการป่วยไม่ดีขึ้น
ผลสุดท้ายนางกลับไม่พูด
นางอ่อนน้อมมีมารยาทจริงใจ
นี่ทำให้ทุกคนล้วนยอมรับแล้วว่าตอนนั้นประโยคโอหังนั่นของนางเป็นเพียงความเป็นเด็กไม่รู้ความ
ไม่คิดว่าตอนที่ทุกคนกำลังจะลืมเลือนประโยคนี้ นางกลับพูดออกมาอีกครั้ง
บรรดาท่านหมอมองเด็กสาวคนนี้สีหน้ายุ่งยาก รสชาติก็แปลกแปร่ง
ท่านหมอเฒ่าเฝิงหัวเราะเฝื่อนนิดหนึ่ง
“คุณหนูจวิน ท่านพูดเช่นนี้ นี่เป็นการเถียงกันของเด็กน้อยแล้ว” เขาเอ่ย “ท่านพูดท่านทำได้ เขาพูดว่าทำไม่ได้ พูดไปพูดมา ก็พิสูจน์อะไรไม่ได้”
คุณหนูจวินยิ้มแล้ว
“นี่จะเป็นการเถียงได้อย่างไรเล่า?” นางเอ่ย “วิชาแพทย์ของข้าสูงส่งกว่าพวกเจ้า ข้ารักษาโรคที่พวกท่านรักษาไม่ได้ ไม่ใช่เป็นข้อพิสูจน์แล้วหรือ?”
มาอีกแล้ว..
บรรดาท่านหมอที่นั่นอับจนวาจาอยู่บ้าง
เวลาที่ไม่ได้เชิญพวกเขาให้ช่วย นิสัยโอหังนี่ก็โผล่มาอีกแล้ว
แต่ก่อนหน้านี้เจ้าโอหังก็ช่างเถิด ตอนนี้เวลานี้แล้วเจ้าเอาความมั่นใจที่ไหนมาโอหังเช่นนี้อีกเล่า?
“วิชาแพทย์ของท่านสูงส่ง โรคที่พวกเรารักษาไม่หายท่านรักษาหาย ถ้าอย่างนั้นฝีดาษนี่ทำไมท่านรักษาไม่หาย” ท่านหมอคนหนึ่งโมโหเอ่ยอย่างไม่เกรงใจสักนิด
โบราณว่าผู้อื่นเคารพข้าหนึ่งศอกข้าเคารพผู้อื่นหนึ่งจ้าง ในสายตาของท่านหมอเหล่านี้ตอนแรกคุณหนูจวินคนนี้แสดงท่าทีไม่เกรงใจก่อน พวกเขาย่อมไม่เกรงใจนางเช่นกัน
ต่อมาเมื่อพวกเขาพบโรคที่ไม่อาจรักษาเข้าจริงๆ คุณหนูจวินไม่ได้เยาะหยันนอกจากนี้ยังชี้แนะวิชา พวกเขาย่อมขอบคุณและเคารพ
ต่อมานางมาเชิญพวกเขาช่วยเหลืออย่างจริงใจนอบน้อม พวกเขาจึงยอมรับอย่างจริงใจ
ตอนนี้นางวางท่าทางโอหังเช่นนี้ออกมาอีกครั้ง เช่นนี้ท่านหมอเหล่านี้ย่อมทนไม่ได้ไม่เกรงใจบ้างแล้ว
“โรคบางอย่างรักษาได้ โรคบางอย่างรักษาไม่ได้ ข้าพูดว่ารักษาโรคที่พวกท่านรักษาไม่ได้ได้ ที่พูดถึงหมายถึงแค่โรคที่เดิมรักษาได้แต่พวกท่านวิชาไม่แตกฉานจึงรักษาไม่ได้เท่านั้น” คุณหนูจวินเอ่ย
รักษาได้รักษาไม่ได้พรวนหนึ่งนี้ฟังแล้วบรรดาท่านหมอมึนงงอยู่บ้าง
แต่มีจุดหนึ่งพวกเขาฟังเข้าใจแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นจะบอกว่าท่านพูดอย่างไรท่านล้วนมีเหตุผลงั้นสิ” ท่านหมอหลายคนเอ่ยกรุ่นโกรธ
“เพราะข้าพูดมีเหตุผล” คุณหนูจวินเอ่ย
บรรยากาศในอุโบสถเปลี่ยนเป็นนิ่งค้าง ค่ำคืนไม่รู้เวลาใดแล้ว ไฟเทียนในโถงยิ่งแลดูสว่างบาดตาขึ้นทุกที
“คุณหนูจวิน ท่านยืนยันจะทำเรื่องเช่นนี้จริงหรือ?” เสียงของท่านหมอเฒ่าเฝิงพลันดังขึ้น
ตั้งแต่การตั้งคำถามแรกสุดชักนำให้บรรดาหมอเอ่ยปากวุ่นวายตามหลัง เขากลับไม่ได้เอ่ยวาจาอีก เงียบอยู่จนกระทั่งตอนนี้
ได้ยินเขาเอ่ยปาก หมอคนอื่นล้วนมองไป
“คุณหนูจวิน บางเรื่องท่านอาจไม่รู้” ท่านหมอคนหนึ่งพลันเอ่ยแทรก
“ที่พวกเรามา หนึ่งคือได้รับคำเชิญของท่าน สองยังเพราะท่านหมอเฒ่าเฝิงไปเชิญ”
ท่านหมอเฒ่าเฝิงรีบร้องเฮ้ยขัด
“ไม่มีสักหน่อย พูดเรื่องนี้ทำไม” เขาเอ่ย
แต่บรรดาท่านหมอคนอื่นพากันเอ่ยปากด้วยแล้ว
“ใช่แล้ว ท่านหมอเฒ่าเฝิงเที่ยงคืนมาถึงบ้านตามหาข้า”
“ท่านหมอเฒ่าเฝิงพูดกับข้าตั้งนาน”
คุณหนูจวินมองพวกเขาในดวงตาความประหลาดใจเบาบางแล่นผ่าน บรรดาท่านหมอเหล่านี้ไม่รู้ ที่นางเชิญพวกเขาดูไปแล้วเป็นการเชิญพวกเขามาช่วยเหลือ ที่จริงนอกจากช่วยเหลือที่สำคัญยิ่งกว่าคือให้โอกาสใหญ่หลวงครั้งหนึ่งกับพวกเขา
ดังนั้นความเชื่อถือฮึกเหิมสละตนของทุกคน นางขอบคุณนักและย่อมต้องตอบแทนกลับคืน แต่ไม่ได้ไปถามพวกเขาว่าทำไมตัดสินใจ
ที่แท้ก็ยังมีเหตุผลนี้
คุณหนูจวินมองท่านหมอเฒ่าเฝิงย่อเขาต่ำคำนับ
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง” ท่านหมอเฒ่าเฝิงโบกมือ “ข้า นี่เป็นการตัดสินใจของตัวข้าเอง ไม่ใช่เพื่อท่าน เป็นตัวข้าตาแก่เกิดฮึกเหิมเป็นหนุ่มครั้งหนึ่ง คิดว่าหากรักษาฝีดาษได้ ชีวิตนี้ได้ทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ นับว่าคุ้มแล้ว”
พูดถึงตรงนี้เขาก็หน้าแดงอีกครั้ง
“ใช่แล้ว ที่จริงในใจพวกเขาก็เพราะเรื่องนี้ ช่วยโลกช่วยเพื่อมนุษย์อะไรล้วนลวงหลอกอยู่บ้าง”
บรรดาท่านหมออดไม่ได้หัวเราะ
“นี่มีอะไรลวงหลอก ข้าก็คิดเช่นนี้”
“ใช่แล้ว ช่วยโลกช่วยชีวิตเป็นหน้าที่ ข้าอยากทิ้งชื่อไว้ก็เป็นปกติของมนุษย์ ไม่ขัดแย้ง”
ทุกคนพากันเอ่ย
บางทีเพราะพูดถึงตอนแรก อารมณ์ของทุกคนจึงอ่อนลงไป จิตใจสงบนิ่งลงไปบ้าง
“คุณหนูจวิน” ท่านหมอที่เอ่ยแทรกคนนั้นเอ่ยปากอีกครั้ง “เจตนาที่ข้าพูดถึงเรื่องนี้ไม่ใช่จะเผยความดีความชอบให้ท่านหอมเฒ่าเฝิง ข้าแค่จะบอกท่านว่า พวกเราทำตามการตัดสินใจของท่านหมอเฒ่าเฝิง”
คำพูดนี้ออกมาปุบ หมอคนอื่นก็ได้สติกลับมา คิดถึงคำพูดที่ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยถามหลังเงียบไปพักหนึ่ง
คุณหนูจวิน ท่านยืนยันจะทำเรื่องนี้หรือ?
ความหมายนี้บ่งบอกว่าเป็นการเกลี้ยกล่อมครั้งสุดท้ายแล้ว หากกล่อมไม่ไหว เขาก็จะถอยแล้ว
แม้เวลานี้ทอดทิ้งเดินจากไปไร้น้ำใจยิ่ง แต่ยังมีวิธีใดอีกเล่า เด็กสาวคนนี้เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่สุ่มสี่สุ่มห้า พวกเขาผิดหวังแล้วจริงๆ
บรรดาท่านหมอแม้ไม่ได้เอ่ยวาจา แต่ก็ล้วนพยักหน้า แสดงว่าเห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้
คุณหนูจวินมองไปทางท่านหมอเฒ่าเฝิง
ท่านหมอเฒ่าเฝิงก็มองนาง
“คุณหนูจวิน ท่านยืนยันจะทำเรื่องนี้หรือ?” เขาหน้าขรึมเอ่ยถามอีกครั้ง
คุณหนูจวินยิ้มแล้ว
“แน่นอน ข้ามาที่นี่ก็เพื่อทำเรื่องนี้” นางเอ่ย
“ท่านเชื่อมั่นเพียงนี้เชียวว่าท่านทำได้?” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ย “ท่านบอกเองว่าท่านไม่เคยพิสูจน์มาก่อน”
คุณหนูจวินมองหลอดทองแดงบนโต๊ะทีหนึ่ง
ใช่แล้ว ไม่เคยพิสูจน์มาก่อน
ทำไมถึงเชื่อมั่นว่าจะทำได้ ปลอดภัยไม่มีเรื่อง?
“ข้าน่ะ ข้าเป็นใครกัน ข้าร้ายกาจปานนี้ พูดอะไรย่อมเป็นอย่างนั้น”
ผู้ชายคนนั้นเลิกคิ้วเอ่ย
คุณหนูจวินยิ้มแล้ว
“แน่นอนเชื่อมั่น” นางเอ่ย มองท่านหมอเฒ่าเฝิง
“เพราะอะไร?” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยถาม
ท่านหมอเฒ่าเฝิงถามประโยคนี้ออกมา บรรดาท่านหมอคนอื่นในใจแทบจะมีคำตอบผุดขึ้นมาโดยแทบไม่ต้องคิด
เพราะว่าวิชาแพทย์ของข้าสูงส่ง เพราะโรงหมอจิ่วหลิงมุ่งรักษาโรคร้ายรักษายาก ฝีมือเยี่ยมโรคร้ายหายดี ได้ยาโรคหาย
ความคิดของพวกเขาแล่นผ่านไป หูก็มีเสียงอ่อนโยนใสกังวานของเด็กสาวดังขึ้น
“เพราะว่าวิชาแพทย์ของข้าสูงส่ง เพราะโรงหมอจิ่วหลิงมุ่งรักษาโรคร้ายรักษายาก ฝีมือเยี่ยมโรคร้ายหายดี ได้ยาโรคหาย”
ดูสิ รู้อยู่
ในใจบรรดาท่านหมอหัวเราะขมขื่นทำอันใดไม่ได้อยู่บ้าง
แต่มีคนหัวเราะออกมาจริงๆ แล้ว พร้อมกันนั้นเสียงปรบมีอก็ดังขึ้น
“ดี”
ดี?
ดีจริงหรือดีปลอม?
บรรดาท่านหมอตะลึงมองข้ามไป มองเห็นคนที่หัวเราะปรบมือถึงกับเป็นท่านหมอเฒ่าเฝิง
นี่ประชดรึ?
สีหน้าของท่านหมอเฒ่าเฝิงกวาดความเคร่งขรึมก่อนหน้าไปสิ้น ที่มาแทนที่คือความฮึกเหิม
“คุณหนูจวิน ในที่สุดก็รอจนท่านพูดประโยคนี้ออกมาแล้ว” เขาเอ่ย “ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านต้องพูดประโยคนี้ออกมา ข้ารู้อยู่แล้วเรื่องครั้งนี้ไม่มีทางจบเช่นนี้”
หมายความว่าอะไร?
บรรดาท่านหมอตะลึง คุณหนูจวินกลับเข้าใจความหมายของท่านหมอเฒ่าเฝิง รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งกว้าง
“ใช่แล้ว เรื่องครั้งนี้ไม่เพียงยังไม่จบ แต่เพิ่งเริ่มต้น” นางเอ่ย
บรรดาท่านหมอนับว่าฟังเข้าใจแล้ว ไม่มองคุณหนูจวินแล้ว ฟังนางเสียสติทั้งคืนจนชาหนึบแล้ว เพียงแต่ทำไมท่านหมอเฒ่าเฝิงก็เสียสติตามไปด้วยเล่า?
“ตาเฒ่าเฝิง เรื่องนี้ เจ้าเชื่อหรือ?” ท่านหมอคนหนึ่งถอนหายใจเอ่ย
“ข้าย่อมเชื่อ” ท่านหมอเฒ่าเฝิงสีหน้าตื่นเต้นเอ่ย “ทำไมข้าจะไม่เชื่อ? คำพูดที่คุณหนูจวินพูดครั้งไหนเชื่อไม่ได้?”
บรรดาท่านหมอตะลึงไป มองท่านหมอเฒ่าเฝิง
“นางบอกว่านางวิชาแพทย์สูงส่ง รักษาโรคที่พวกเรารักษาไม่ได้ได้ ไม่ใช่เคยพิสูจน์มาแล้วหรือ? เป็นจริงหรือว่าลวง?” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยถาม
ครึ่งปีนี้พิสูจน์มาแล้วจริงๆ
แต่..
“แต่เป็นฝีดาษสินะ ก่อนหน้าจะมาคุณหนูจวินก็ไม่ได้บอกว่านางรักษาโรคนี้ได้ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็ไม่ใช่พิสูจน์แล้วเหมือนกันหรือว่านางไม่ได้พูดโกหกน่ะ” ท่านหมอเฒ่าเฝิงผายมือเอ่ย
ก็จริงอยู่
บรรดาท่านหมอคนอื่นถูกหยอกเล่นแล้ว
พวกเรายังคิดว่าผู้อื่นถ่อมตัว ตอนนี้ดูท่าผู้อื่นเตรียมถมหลุมทั้งหมดไว้ก่อนแล้ว ไม่ว่าพูดอย่างไรนางล้วนมีเหตุผล
“นี่ไม่ได้นะ”
“นี่น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว”
“นี่ไม่เคยมีมาก่อน…”
ในโถงพระพุทธรูปทยอยถกเถียง
ท่านหมอเฒ่าเฝิงจะเอ่ยวาจา แต่คุณหนูจวินกดแขนของเขาไว้ ท่านหมอเฒ่าเฝิงหันกลับ มองคุณหนูจวินส่ายศีรษะให้เขา
ข้าเอง…
สีหน้าของนางบอก
ท่านหมอเฒ่าเฝิงยิ้มไม่เอ่ยอีก ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง มองมือของคุณหนูจวินเคาะโต๊ะอีกครั้ง
“ใช่น่าเหลือเชื่อ ใช่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีมาก่อน แต่นั่นแล้วอย่างไร” คุณหนูจวินเอ่ย “เรื่องใดๆ ล้วนจากไม่มีกลายเป็นมี ไม่ว่าคนแรกที่คิดเอาสารหนูผสมเข้าไปในยาคิดอย่างไรและคนรอบด้านมองเขาอย่างไร”
บรรดาท่านหมอค่อยๆ หยุดถกเถียง
“คุณหนูจวิน ฝีดาษนี่ไม่เหมือนกับสารหนูนะ สารหนูคนป่วยใช้ ฝีดาษนี่ของท่านจะใช้กับตัวคนที่ไม่ป่วยนะ” ท่านหมอคนหนึ่งถอนหายใจ “ท่านทำไมกล้ามั่นใจเช่นนี้ล่ะ?
คุณหนูจวินไล้มุมโต๊ะเดินเชื่องช้าหลายก้าว มายืนตรงหน้าพระพุทธรูป
“เพราะข้าถามใจไม่ละอาย” นางเอ่ย มือยกขึ้นช้าๆ “ทุกสิ่งที่ข้าทำแม้ไม่มีการพิสูจน์ แต่ข้ากล้าสาบานต่อหน้าฟ้าดินเทพยาดาองค์พระพุทธ ข้าจวินจิ่วหลิงเพียงทำดีไม่ถามถึงอนาคต ข้าจวินจิ่วหลิงช่วยคนหรือสังหารคน ต่อให้คนไม่รู้ ย่อมมีฟ้ารู้ดินรู้เทพยาดาพระพุทธองค์รู้”
แสงโคมด้านในโถงพระพุทธรูปสว่างไสว เด็กสาวคนนี้ยืนอยู่ตรงหน้าพระพุทธรูปพอดี เบื้องหลังพระพุทธองค์ผู้เมตตากรุณาหลุบตาอมยิ้ม ภาพวาดทวยเทพโปรดสัตว์สองข้างสีสันยังคงอยู่ดั่งมีชีวิต
บรรดาท่านหมอมองฉากนี้รู้สึกเพียงชาไปทั้งร่าง
เฉินชีที่ยืนอยู่ด้านนอกเกือบวิญญาณหลุดออกจากร่างเหมือนกัน
มิน่าคุณหนูจวินจะต้องให้หารืออาการป่วยในโถงพระพุทธรูปนี่ ที่แท้ก็เพื่อนาทีนี้นี่เอง
……………………………………….