มีจริงหรือ?
“ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินนี่” นางเอ่ยขึ้นท่าทางสงสัยอยู่บ้าง “เปิดใหม่หรือ?”
หญิงรับใช้พยักหน้า
“เปิดใหม่เจ้าค่ะ แต่โด่งดังมากแล้ว” นางว่า
ได้ยินว่าโด่งดังนางกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไร ตรงกันข้ามหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบข้าวและกับในชาม ขานรับไม่ใคร่สนใจ
“นางน่ะเดินวนในเมืองมาหลายวันแล้ว เปิดโรงหมอจริง แต่ดันไม่ออกตรวจ บอกอะไรว่าจะเป็นหมอเร่ เดินไปเดินมาในเมือง ทำให้คนรำคาญยิ่งนัก” หญิงรับใช้เอ่ยขึ้นอย่างกระตือรือร้น
เรื่องเล่าลือหัวถนนท้ายซอยเช่นนี้พวกนางชมชอบที่สุด
“เปิดกิจการใหม่ ทั้งยังอายุนอ้ย กิจการไม่ดี ยากเลี่ยงกวนชาวบ้านล่ะนะ” นายหญิงคีบอาหารคำหนึ่งทานพลางเอ่ยขึ้น
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ” หญิงรับใช้ก็รอนางเอ่ยประโยคนี้ ตบมือ “ไม่ใช่ไม่มีคนมาหานางขอรักษา หานางแล้ว นางกลับไม่ตรวจ”
ไม่ตรวจ?
นายหญิงกัดตะเกียบ แล้ววางลงยกชามน้ำแกงขึ้นมา
“ตรวจไม่ไหวงั้นรึ” นางเอ่ยขึ้นตาม หยิบช้อนน้ำแกงตักคำเล็กขึ้นมา
“ตรวจไหวไม่ไหวไม่ทราบเจ้าต่ะ แต่นางจะไม่ตรวจ” หญิงรับใช้เอ่ยขึ้น คิ้วเลิกสูง “หวังเฉาซื่อของตรอกไหวฮวาคนนั้น นายหญิงก็รู้จักนี่เจ้าคะ นางเรียกคนผู้นี้ ผลสุดท้ายคนผู้นี้กลับบอกว่าอาการป่วยของหวังเฉาซื่อไม่คู่ควรให้นางตรวจ”
พูดถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้หัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
“ทำหวังเฉาซื่อโกรธจนหน้าเบี้ยวไปเลย”
นายหญิงกลับไม่หัวเราะ ช้อนน้ำแกงที่ยกขึ้นชะงัก
“ทำไมไม่คู่คววรให้นางตรวจ?” นางเอ่ยถาม
“ไม่รู้เจ้าค่ะ ฟังความหมายนั่นไม่ใช่บอกว่าตรวจไม่ได้ แต่อาการป่วยของหวังเฉาซื่อไม่หนักหนา นางยังแนะนำให้หวังเฉาซื่อไปให้หมอท่านอื่นตรวจ” หญิงรับใช้เอ่ยขึ้น พูดพลางปิดปากหัวเราะ “น่าขำหรือไม่เจ้าคะ นางเองก็เป็นหมอ มีคนป่วยให้นางตรวจโรค นางกลับไล่คนไปหาหมอ”
นายหญิงยังคงไม่หัวเราะ ขานรับทีหนึ่ง แล้ววางช้อนน้ำแกงลง
นางไม่ตรวจให้หวังเฉาซื่อ บอกว่าไม่คู่ควรให้นางตรวจ แต่กลับเรียกตนเองไว้ตอนเดินผ่านบนถนน ใช่บอกว่าโรคของนางคู่ควรให้นางตรวจหรือไม่?
แม้กล่าวว่าทุกคนเท่าเทียม แต่พระพุทธองค์ช่วยคนมีวาสนา
นางมองเห็นอะไรกันแน่ถึงเป็นฝ่ายขวางตนเองไว้?
“นายหญิง?”
เสียงของหญิงรับใช้ดังขึ้น
นายหญิงได้สติกลับมาดันชามตะเกียบออก
“จองโรงเจไว้แล้วใช่ไหม?” นางเอ่ยถาม “พวกเยี่ยนเหนียงแจ้งหมดแล้วสินะ”
หญิงรับใช้เข้าใจ ที่แท้นายหญิงเหมือนคิดเรื่องนี้อยู่ ก็ใช่ หมอเร่นั่นก็ดี หวังเฉาซื่อก็ดีล้วนเป็นเรื่องของผู้อื่น ไม่เกี่ยวข้องกับพวกนาง
“เจ้าค่ะ จองเรียบร้อยแล้ว คนในวัดบอกว่าวันนี้ยังมีคนยินดีมาร้องเล่นละครอีก พวกเราทานอาหารยังดูละครได้ด้วย” นางหัวเราะเอ่ยขึ้น
นายหญิงยิ้มพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมออกจากบ้านกันเถอะ” นางเอ่ย
หญิงรับใช้ขานรับหมุนตัวจะออกเดินก็ถูกนายหญิงเรียกไว้
“ของพวกนี้เอาเก็บเถอะ” นางเอ่ยขึ้น
อาหารนี่แทบจะไม่แตะเลยนะ หญิงรับใช้มองทีหนึ่งไม่กล้าถามมากขานรับ
…
เมื่อแสงอัสดงมาเยือน จางเป่าถังก็มาหยุดยืนด้านนอกโรงหมอจิ่วหลิง มองป้ายโรงหมอ แล้วก็ลังเลอยู่บ้างก้าวเข้ามา
พนักงานสองคนที่นั่งงีบหลับอยู่ตรงตู้ยารีบลุกขึ้นยืน
คนด้านนอกประตูก้าวเข้ามา นี่เป็นชายหนุ่มกำยำคนหนึ่ง
คนผู้นี้ดูไปแล้วท่าทางดุร้าย
ใช่คุณหนูจวินเป็นหมอเร่ทำคนโกรธมาหาเรื่องแล้วหรือเปล่า?
พนักงานสองคนสีหน้ากังวลอยู่บ้างมองผู้มาเยือน
จางเป่าถังสีหน้าก็กังวลอยู่บ้างเหมือนกัน
ว่าตามหลักแล้ว ลูกค้ามาถึงก็ต้องต้อนรับสักหน่อยสิ แม้จะบอกว่าโรงหมอไม่เหมือนกิจการอย่างอื่น ไม่อาจต้อนรับลูกค้าอย่างกระตือรือร้นได้ แต่อย่างน้อยก็พูดสักประโยคเถอะ
สองฝ่ายด้านนอกด้านในสบตากันชะงักค้างอย่างประหลาด
“ขอเรียนถาม ท่านหมอจวินอยู่ไหม?” จางเป่าถังได้แต่เป็นฝ่ายเอ่ยปากถามเอง
พนักงานสองคนยังคงกังวลอยู่บ้าง
“ไม่ ไม่อยู่” พวกเขาเอ่ย
“ยังไม่กลับมาหรือ?” จางเป่าถังเอ่ยขึ้น ตนเองดูแลตนเองเสียเลย นั่งลงตรงม้านั่งยาวสำหรับคนรอตรวจในห้องโถง “ท่านหมอจวินให้ข้ามา ข้ารอสักครู่แล้วกัน”
คุณหนูจวินให้มา?
ในที่สุดก็หลอกลูกค้ามาได้แล้ว?
พนักงานสองคนสบตากันทีหนึ่ง มองความนัยในดวงตากันและกัน
“ขอรับ ขอรับ ท่านรอสักครู่”
“คุณหนูจวินจะกลับมาแล้ว”
พวกเขาเพิ่งได้สติกลับมารีบเอ่ยทักทาย กำลังจะพูดก็มีเสียงกระดิ่งดังมาจากด้านนอก ในเวลาเดียวกันหลิ่วเอ๋อร์ก็แบกธงก้าวเข้ามา
“กลับมาแล้ว” พนักงานทั้งสองรีบเอ่ยขึ้น
จางเป่าถังก็ลุกขึ้นยืนด้วย มองคุณหนูจวินที่เดินเข้ามา คุณหนูจวินก็มองเห็นเขาแล้วเช่นกัน
“ท่านมาแล้ว” นางยิ้มเอ่ยขึ้น
จางเป่าถังรีบคำนับ ก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
“คุณหนูจวิน” เขาเอ่ยขึ้นอย่างโง่งม
“นั่งเถอะ ข้าล้างมือสักเดี๋ยวจะมาฝังเข็มให้ท่าน” คุณหนูจวินว่า
ไม่ได้เอ่ยคำกล่าวตามมารยาทมากเกินไปนัก แล้วไม่ได้ชวนคุยเรื่อยเปื่อย ง่ายๆ สบายๆ เช่นนี้เหมือนกับคุ้นเคยไม่ต้องพูดจามากมาย
จางเป่าถังโล่งใจ ความขัดเขินเพราะจูจั้นไม่ได้มาเป็นเพื่อนถดถอยลงไปแล้ว
ตอนเช้าจูจั้นมาบอกเขาว่าให้เขามาตรวจ เดิมทีเขาคิดว่าจูจั้นจะมาด้วยกันกับเขา ผลปรากฏว่าจูจั้นไม่สนใจสักนิด แม้รู้สึกว่าเรื่องนี้เดิมก็ไม่จำเป็นอยู่บ้าง แต่ในเมื่อจูจั้นพูดแล้วเขาก็ไม่กล้าไม่ฟัง มาอย่างว่าง่าย
คุณหนูจวินล้างมือแล้ว ถือเข็มทองออกมาจากหีบยา
“ถอดเสื้อออก” นางยิ้มเอ่ยขึ้น
ว่าตามหลักแล้วเด็กสาวคนหนึ่งบอกกับตนเองให้ถอดเสื้อ ตนเองคงตกใจวิ่งหนีแล้ว แต่เด็กสาวคนนี้พูดแล้วจางเป่าถังไม่ได้รู้สึกอึดอัดมากนัก
ดูท่าคงเพราะสีหน้าและน้ำเสียงนี่ของนาง ทำให้คนรู้สึกว่าเป็นหมอที่เชื่อถือได้คนหนึ่งจริงๆ
จางเป่าถังถอดเสื้อตัวนอกออกตามคำบอก เผยหัวไหล่ออกมา
คุณหนูจวินยื่นมือกดนวดหัวไหล่เขาอยู่ครู่หนึ่งจึงฝังเข็มช้าๆ
หลิ่วเอ๋อร์จุดโคมยกขึ้นยืนอยู่ด้านข้าง
…
“ผู้ชายมาคนหนึ่ง” เด็กรับใช้ที่ยืนอยู่มุมถนนบอกผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเสียงเบา
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองด้านในโรงหมอจิ่วหลิงอย่างระวัง ลอดประตูไปมองเห็นคุณหนูจวินกำลังฝังเข็มให้ชายหนุ่มคนนั้น เขาผ่อนลมหายใจ
“ก็บอกแล้วว่าตรวจโรค” เขาถลึงตามองเด็กรับใช้ทีหนึ่ง “พวกเจ้าพูดจาเหลวไหล”
เด็กรับใช้หดหัว มองไปทางโรงหมอจิ่วหลิงอีกครั้ง
“แต่ ท่านผู้ดูแลใหญ่ ผู้ชายคนนี้กับคนนั้นเมื่อเช้าไม่ใช่คนเดียวกัน” เขาเอ่ยพึมพำ
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วสบถทีหนึ่ง
“อย่ามาทั้งวันผู้ชาย ผู้ชาย ดูให้มากหน่อยว่ามีผู้หญิงมาหรือไม่” เขาเอ่ย
ผู้หญิงที่ลางร้ายคนนั้น คงจะไม่มาแล้วล่ะมั้ง
เดิมทีก็เป็นเรื่องไร้สาระน่าขัน
ราตรีมืดมิด หญิงที่เที่ยวเล่นเหนื่อยมาทั้งวันสีหน้าเหน็ดเหนื่อย บรรดาสาวใช้หญิงรับใช้ปลดมุ้งลงวางโคมไฟกลางคืนไว้หนึ่งดวง ทยอยถอยออกไป
ข้างในข้างนอกล้วนตกจมสู่ความเงียบ ผู้หญิงที่นั่งอยู่ในมุ้งกลับลุกขึ้นมา นางมองด้านนอกประตูความหวาดกลัวผุดพรายขึ้นมาบางส่วน ในเวลาเดียวกันก็คลำขวดใบน้อยใบหนึ่งออกมาจากใต้หมอน เปิดฝาออกเผยใบสนเต็มไปหมดออกมา
นางมองใบสนเหล่านี้ สีหน้าสับสน
“นายหญิง ท่านไม่อยากรักษาอาการป่วยนี้ก็ช่างเถิด แต่หากอยากให้ค่ำคืนสงบขึ้นหน่อยอยู่สบายสักหลายวัน ก็โปรยใบสนกำหนึ่งไว้ข้างประตู เช่นนี้มันก็จะไม่กล้าเข้ามาแล้ว”
เสียงของเด็กสาวคนนั้นสะท้อนก้องอยู่ในหู
คืนวานนางโปรยใบสนข้างประตูจริงๆ นอกจากนี้นางก็หลับสบายมากจริงๆ
นานขนาดนี้นางหลับสบายขนาดนี้เป็นครั้งแรก
นี่บังเอิญใช่หรือไม่? หรือเป็นผลจากจิตใจ?
เรื่องนี้เป็นความลับเช่นนี้ นอกจากนางไม่มีบุคคลที่สองรู้ หมอเร่ของโรงหมอจิ่วหลิงที่เปิดกิจการใหม่นั่นจะรู้ได้อย่างไร?
ผู้หญิงมองใบสนครู่หนึ่งก็ปิดฝายัดเข้าไปข้างหมอนนอนลงหลับตา
ค่ำคืนยิ่งดึกขึ้นทุกที เงียบขึ้นทุกที ท่ามกลางความเงียบนี้กลับเหมือนมีเสียงเอะอะอยู่นิด
ผู้หญิงที่เหมือนกับหลับลึกฉับพลันลืมตาโพลงคนทั้งร่างเกร็งขึ้นมา นางค่อยๆ มองไปทางประตู ก็เห็นมุ้งในห้องที่ไร้ลมขยับไหวเปิดออกอย่างแรง ในสายตาปรากฏคนผู้หนึ่งกำลังก้าวเข้ามาจากด้านนอกประตู
ผู้หญิงส่งเสียงกรีดร้องทีหนึ่ง คว้าขวดใบสนข้างหมอนเขวี้ยงไป
เสียงนี้ทำให้เรือนหลังเล็กอันเงียบสงบวุ่นวายขึ้นมา โคมไฟค่อยๆ จุดสว่าง เสียงฝีเท้าแห่มา
“นายหญิง นายหญิง”
พร้อมกับเสียงร้องตะโกนของหญิงรับใช้สาวใช้ที่แห่เข้ามา
ผู้หญิงคนนั้นล้มลุกคลุกคลานจากบนเตียงนอนลงมาด้วย โถมเข้าไปในอ้อมกอดของหญิงรับใช้เวรกลางคืน
“เร็ว รีบไปเชิญหมอเร่คนนั้น” นางร้องเสียงหวาดกลัว
……………………………………….