จูจั้นมองนางอย่างเย็นชา
“น่าขำรึ?” เขาเอ่ย “ท่านหมอคนหนึ่งใช้อาการป่วยมาหลอกคนตามใจ”
คุณหนูจวินเก็บเสียงหัวเราะ
“ตอนนั้นท่านอยู่บนเขาหลายวันแล้ว น้ำอาหารไม่พรั่งพร้อม คอแห้ง ท่านพูดมากขนาดนั้นย่อมทำให้คอแห้งจนเจ็บ” นางว่า “ข้าให้ท่านคาบกิ่งไม้ ท่านก็พูดน้อยลงแล้วยังมีน้ำลายมากขึ้นให้ความชุ่มชื้น คอจึงดีขึ้นมาก นี่ยังไม่ใช่รักษาอาการป่วยหรือ”
พูดจบไม่รอจูจั้นเอ่ยวาจา ตัวนางเองก็หัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
จูจั้นมองนางอย่างเย็นชา
คุณหนูจวินหัวเราะเงยหน้าขึ้น ยกมือปิดปาก ตอนนี้ถึงกดเสียงหัวเราะไว้ได้
“อาการหัวไหล่เจ็บของสหายท่านไม่ใช่กระแทกเคล็ด” นางปรับสีหน้าเอ่ยขึ้น “เขาเป็นหวัดไอเส้นปราณปอดบาดเจ็บชักพาให้เกิด ท่านถามเขาดูได้ช่วงก่อนหน้านี้ตากฝนมาใช่หรือไม่ เป็นตอนนั้นแหละที่ฝังต้นเหตุโรคไว้”
จูจั้นยังคงมองนางไม่พูดจา
“ตอนนี้เขาอายุน้อยร่างกายแข็งแกร่ง ทานยากระตุ้นเลือดสลายเลือดคั่งนิดหน่อย แปะแผ่นยาหลายแผ่นก็ไม่ปวดแล้ว แต่รอถึงยามแก่ชรา โรคปวดที่สั่งสมในแขนข้างนี้จะเอาแขนข้างนี้ของเขาไป” คุณหนูจวินเอ่ย
จูจั้นแค่นเสียง มองบนจรดล่างประเมินนางทีหนึ่ง
“เท่าไร?” เขาเอ่ยขึ้น
คุณหนูจวินเม้มปากบิ้ม
“เดิมทีข้าอยากบอกว่าไม่เอาเงิน” นางว่า
“เอาต้นเซียนจื่ออิงมาแลกใช่หรือไม่”จูจั้นเอ่ยต่อ
คุณหนูจวินหัวเราะอีกครั้ง
ความคิดของคนผู้นี้เฉียบไหวจริงๆ
“ในเมื่อตอนนี้ต้นเซียนจื่ออิงไม่มีแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็…” นางเอ่ยขึ้น
จูจั้นเอ่ยขัดนาง
“ติดไว้ก่อน” เขาบอก กอดอกมองนาง “ไม่ใช่แค่ต้นเซียนจื่ออิงต้นหนึ่งหรือ ข้าหาให้เจ้าอีกต้นก็ได้”
คุณหนูจวินพยักหน้า
“ดี” นางเอ่ย คิดนิดหนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นท่านกับองค์หญิงจิ่วหลิง…”
จูจั้นยกมือขัดคำพูดนางอีกครั้ง
“คุณหนูจวิน” เขาเอ่ยขึ้น “ทำไมท่านมาเมืองหลวงข้าไม่สนใจ เจ้ากับข้าเคยมีข้อแลกเปลี่ยนกัน ก็เพียงแค่แลกเปลี่ยนเท่านั้น เงินไปของมาสองฝ่ายไม่ติดค้าง เจ้ากับข้าเป็นคนผ่านทาง ตอนนี้ข้ามาหาเจ้า มาหาหมอถามอาการ ส่วนเรื่องอื่น พวกเราไม่มีความจำเป็นต้องพูดกัน”
เขาไม่ได้ล้อเล้น ใต้แสงสีครามขมุกขมัวที่ห้อมล้อมอยู่ หน้าตาของเขาเคร่งขรึม มองไม่เห็นรอยยิ้มเสแสร้งแกล้งโง่แล้ว มีเพียงความเหินห่างพันลี้ที่ไม่ปิดบังสักนิด
คุณหนูจวินหัวเราะ
“ได้” นางเอ่ย “กลางวันข้าไม่อยู่บ้าน วันพรุ่งนี้ท่าน…”
พูดถึงตรงนี้นางมองท้องฟ้าด้านนอกทีหนึ่ง ทิศตะวันออกฟ้าสว่างแล้ว
“วันนี้พลบค่ำท่านให้สหายของท่านมา ข้าจะฝังเข็มประคบร้อนให้เขา” นางเอ่ย “ตอนนี้ข้าจะให้ยาท่านไปก่อน ให้เขากินก่อนหนึ่งขนาน”
จูจั้นมองนางนิ่งไม่ขยับ
“ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน ท่านจะรอที่นี่หรือข้างล่าง?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม พลางเดินไปทางห้องน้ำ
จูจั้นตอนนี้ถึงนึกได้ ผู้หญิงคนนี้ยังสวมเสื้อตัวในอยู่
เขาแค่นเสียงทีหนึ่ง ยกเท้าเหยียบหน้าต่าง ค่อยหันไปมองเด็กสาวที่เข้าไปในห้องน้ำแล้ว
ช่างไม่รู้จักอายจริงๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้าผู้ชายแล้วยังบอกให้ผู้อื่นรอในห้อง
ไม่ใช่คนปกติจริงๆ
เขาก้าวเดียวกระโดดออกไป เกาะชายหลังคากิ่งไม้ทีสองทีก็ลงมาถึงพื้น
เขาเงยหน้ามองบนหอ เมื่อครู่เขายังคิดว่าในลานมีต้นไม้ใหญ่ขนาดนี้สมควรถูกคนปีนหน้าต่างเข้าบ้าน ตอนนี้ดูแล้ว คนก็ไม่โง่เหอะ
ไม่รู้เนื้อรู้ตัวฟ้าก็สว่าง เวลานี้โดยปกติก็เป็นเวลาตื่นนอนของเขาแล้ว
จูจั้นขยับร่างกายด้วยความคุ้นชิน มองดูในลานมีหลักไม้แท่งหนึ่งตั้งอยู่ เห็นได้ชัดว่าไว้ใช้ต่อยหลักไม้
คนเก็บสมุนไพร
จูจั้นแค่นเสียงขึ้นจมูกอีกครั้ง
คนเก็บสมุนไพร คนเก็บสมุนไพรที่ทั้งตัวพกอาวุธลับไว้ตลอดเวลา นอนหลับยังวางการป้องกันไว้ด้วย หลอกผีเรอะ
เขาก้าวไปข้างหน้าต่อยหลักไม้ดังปึงปัง
คุณหนูวันนี้ตื่นเช้าเชียว
หลิ่วเอ๋อร์ที่นอนอยู่บนชั้นสองพลิกกายพึมพำหลายประโยค นอนหลับไปอีกครั้งเหมือนเช่นเคย
หลังคุณหนูออกกำลังกายจะอาบน้ำ หลังจากนั้นถึงแต่งตัวทำผม ถึงเวลานั้นนางค่อยลุกมาเตรียมอาหารเช้าก็ได้
จูจั้นต่อยสิบแปดท่า คุณหนูจวินฝั่งนี้ก็ลงมาด้านล่างแล้ว
“หลักไม้ของข้าเป็นอย่างไร?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม
“ก็งั้นๆ” จูจั้นเอ่ยขึ้น ตบหลักไม้ทีหนึ่งเดินตามไปยังเรือนด้านหน้า
บนถนนเริ่มมีคนเดิน เป็นเวลาที่บรรดาแผงร้านตลาดกลางคืนเก็บร้านกลับบ้าน พนักงานสองคนก็มาถึงด้านหน้าโรงหมอจิ่วหลิง
พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ แม้เดิมทีผู้ดูแลใหญ่หลิ่วจัดการให้พวกเขาคอยรับใช้ที่นี่เฝ้าประตู แต่คุณหนูจวินบอกว่าไม่จำเป็น ดังนั้นพวกเขาทุกวันตอนเช้าถึงมาเปิดประตูปัดกวาด
งานนี้สบายนัก แต่สองพนักงานกลับไม่ยินดี
“สบายมีประโยชน์อะไร พวกเรานี่มาเล่นเป็นเพื่อนคนแล้ว ถึงเวลาเปิดต่อไปไม่ได้ปิดกิจการไป พวกเราก็เสียเวลาเปล่า”
“ใช่แล้ว เจ้าไม่ได้เห็นซูปาที่เข้ามาพร้อมกันกับพวกเรา หลายวันก่อนถูกย้ายไปติดตามทำงานให้ผู้ดูแลหวงแล้ว”
“ผู้ดูแลหวงหรือ ถ้าอย่างนั้นก็ใกล้จะได้เป็นคนกลางส่งของแล้วใช่หรือไม่”
“ใช่สิ อนาคตมีโอกาสได้นั่งโต๊ะแล้ว”
สองคนพูดพลางใบหน้าเต็มไปด้วยความอิจฉา กำลังจะยื่นมือหยิบกุญแจเปิดประตู
ประตูบานนี้ด้านในด้านนอกล้วนเปิดออกได้ โดยทั่วไปแล้วพวกเขาเป็นคนเปิด เพราะทางที่ไปเรือนด้านในยังมีประตูอีก
แต่ครั้งนี้เพิ่งแตะประตูก็ได้ยินเสียงกลอนประตูด้านในดังขึ้น เปิดออกมา
ทั้งสองคนยังไม่ทันตอบสนองก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามา
“ถ้าอย่างนั้นตอนค่ำค่อยมา”
เสียงคุณหนูจวินลอยมาจากด้านในด้วย
พนักงานสองคนยืนค้างอยู่นอกประตู มองชายหนุ่มหล่อเหลาคนหนึ่งเดินออกมา
เรื่องอะไรกัน?
จูจั้นมองพนักงานสองคนนี้ก้าวยาวจากไป
“พวกเจ้ามาแล้ว” คุณหนูจวินก็มองเห็นพวกเขาด้วย คิดนิดหนึ่ง “มาเอายา”
นางชี้จูจั้นที่เดินไปแล้ว
พนักงานสองคนพยักหน้างงๆ เค้นรอยยิ้มบางออกมา
คุณหนูจวินหมุนตัวเข้าไปแล้ว
พนักงานสองคนยังยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตู สองคนสบตากันทีหนึ่ง ต่างมองเห็นความตระหนกในแววตาอีกฝ่าย
นี่ฟ้ายังไม่สว่างผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน
เอายา?
ก็พออ้างไปได้ อย่างไรโรคร้ายก็ไม่รอใคร เที่ยงคืนเคาะประตูเรียกหมอก็มีมากไป
เพียงแค่เอายา ไม่ต้องลงกลอนประตูกระมัง
นอกจากนี้ กลางคืนค่อยมา หมายความว่าอย่างไร?
มาเอายาอีกหรือ?
ทำไมกลางวันมาไม่ได้?
…
“ผู้ดูแล ผู้ดูแล”
เด็กรับใช้ด้านนอกตะโกนสุดเสียงวิ่งเข้ามา
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วที่กำลังจะทานอาหารเช้าขมวดคิ้วเคี้ยวข้าวและกับไม่สนใจ
เด็กรับใช้หยุดยืนตรงหน้าเขา
“คุณหนูจวินทางนั้น เกิดเรื่อง” เขากดเสียงเบาเอ่ยขึ้น
ปากของผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหยุดนิ่ง มองไปทางเขา
มีคนมาโวยวายแล้วหรือ?
แม้บอกว่าไม่สน แต่เขายังให้พวกเขาจับตาดูโรงหมอจิ่วหลิง ดูว่าเมื่อวานผู้หญิงที่ถูกบอกว่ามีลางร้ายจะมาโวยวายหรือไม่
“ผู้ชายคนหนึ่งฟ้ายังไม่สว่างก็ออกมาจากคุณหนูจวินที่นั่น” เด็กรับใช้เอ่ยต่อเสียงเบา
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วสำลักพรืด อาหารที่กำลังกลืนลงคอสำลักจนไอติดต่อกัน เด็กรับใช้รีบเช็ดให้เขาวุ่นวาย
“ผู้ชายไหน? พูดเหลวไหลอะไรกัน!” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วผลักเขาออกตวาดอย่างไม่สบอารมณ์
“จริงขอรับ” เด็กรับใช้เอ่ยขึ้น “คนด้านนั้นล้วนเห็นกันหมด ฟ้ายังไม่ทันสว่างเลยก็เดินออกมาจากด้านในประตู”
พูดแล้วก็ขยิบตา
“อายุน้อย หล่อเหลา” เขาเอ่ยเสริม
อายุน้อย หล่อเหลา ทำไมฟังแล้วอกุศลขนาดนั้นเล่า?
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วสบถสองที
“ให้พวกเจ้าเฝ้าดูโรงหมอจิ่วหลิง ให้พวกเจ้าเฝ้าดูว่ามีคนมาหาเรื่องหรือไม่ พวกเจ้ามัวแต่ไปดูอะไรหะ” เขาตวาดไม่สบอารมณ์
เด็กรับใช้ร้องอ๋อ
“ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องดูว่ามีหรือไม่มีผู้ชายมาหรือขอรับ?” เขากดเสียงเบาเอยถาม
คำพูดนี้ทำไมฟังดูแล้วอกุศลขนาดนี้นะ
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยกมือขึ้นตีเขา
“นี่เป็นโรงหมอ ที่คุณหนูจวินเปิดคือโรงหมอ ด้านในโรงหมอล้วนเป็นคนที่มาพบหมอเอายา ไม่แบ่งชายหญิงผู้เฒ่าเด็ก ที่มาล้วนเป็นลูกค้า” เขาเอ่ยด่า “พวกเจ้าตาเฉหัวใจก็เอนเอียงไปด้วยแล้ว คิดอะไรๆ ไปกันหมด”
เด็กรับใช้ถูกตีกุมศีรษะยอมรับผิดหลายที
“ไป ไป ไป” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วร้องด่า
เด็กรับใช้รีบกุมศีรษะวิ่งออกไป
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้โกรธจนหอบ ใช้แขนเสื้อพัดลม
เด็กสาวคนหนึ่งอยู่ดีๆ เปิดโรงหมออะไร นี่ก็คือความไม่สะดวกของผู้หญิง
ชายหนุ่ม อายุน้อย หล่อเหลา ฟ้ายังไม่สว่าง
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วสะบัดศีรษะ ไล่ความคิดอกุศลเหล่านั้นไป แต่ก็ขมวดคิ้วเคร่ง
เด็กสาวคนนี้ทำตามใจชอบที่เมืองหลวง ไม่มีผู้ใหญ่สักคนดูแล นี่ ได้จริงหรือ?
ดูสิเพิ่งมาได้ไม่กี่วันเท่านี้ก็ก่อเรื่องจนคนรู้จักกันหมดแล้ว
กลุ้มจะตายแล้วจริงๆ
ยังลืมถามเรื่องหลักอีก
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วรีบตะโกนเรียกเด็กรับใช้อีกครั้ง
“มีคนมาโวยวายที่โรงหมอไหม?” เขาเอ่ยถาม
เด็กรับใช้ส่ายศีรษะ
ไม่ได้โวยวายรึ
“ถ้าอย่างนั้นมีคนมาขอแก้ลางร้ายหรือไม่?” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วลองถามขึ้นอีก
ลางร้าย?
เด็กรับใช้ถูกถามงงไปครู่หนึ่ง
“แก้ลางร้ายทำไมต้องมาโรงหมอล่ะขอรับ?” เขาอดไม่ได้ถามขึ้น
ถามข้า ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วพิงกลับไปที่เก้าอี้โบกมือให้เด็กรับใช้ออกไป
ส่วนในคฤหาสน์ในตรอกเมื่อวาน ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังทานอาหารเช้า เพียงแต่ชามตะเกียบด้านหน้าไม่ขยับ นางมองนอกหน้าต่างราวกับจิตใจไม่สงบอยู่บ้าง
หญิงรับใช้คนหนึ่งรีบร้อนเข้ามา
“นายหญิง สืบมาชัดแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยขึ้น “คนผู้นี้เป็นหมอเร่จริงๆ ที่ถนนก็มีโรงหมอจิ่วหลิงแห่งหนึ่ง”
……………………………………….