“จดหมายจากหยางเฉิงมาแล้ว”
เช้าตรู่ได้ยินพนักงานร้องแจ้ง คิ้วที่ไม่คลายออกมาหลายวันของผู้ดูแลใหญ่เต๋อเซิ่งชางสาขาเมืองหลวงในที่สุดก็คลายออกแล้ว ยังประหลาดใจอยู่บ้าง
“เร็วขนาดนี้?”
จดหมายที่บรรยายการบริหารโรงหมอจิ่วหลิงของคุณหนูจวินเพิ่งส่งออกไปเมื่อวานเองนะ
“จดหมายที่เพิ่งส่งออกไปคงยังไม่ทันได้รับ นี่คงเป็นจดหมายตอบจดหมายฉบับนั้นที่เล่าว่าคุณหนูจวินต้องการเปิดโรงหมอจิ่วหลิวรวมถึงตอนเปิดกิจการ” ผู้ดูแลใหญ่รับจดหมายมาแล้วเอ่ยขึ้น ตรวจสอบรอยประทับบนครั่งด้านบนรวมถึงตราประทับ
“แต่ก็ดี กำลังรออยู่เลย” ผู้ดูแลใหญ่เอ่ย ม้วนแขนเสื้อขึ้น
เวลานี้เป็นเวลาทานอาหาร ทว่าอยู่ตรงหน้าอาหารเต็มโต๊ะเขากลับไม่ม้วนแขนเสื้อ ตอนนี้ถึงม้วนแขนเสื้อพลางให้พนักงานยกอาหารที่ไม่แตะแม้สักนิดซึ่งวางอยู่ตรงหน้าออกไป
“ทำให้คนปวดหัวแย่จริงๆ เปิดโรงหมอ วันๆ ไม่ออกตรวจ ไม่ไปเที่ยวเล่นก็นอนหลับอุตุอยู่ในบ้าน” เขาถอนหายใจบอกกับบรรดาผู้ดูแลที่นั่งอยู่ด้านข้าง
“ใช่แล้ว นายน้อยป่วยมานานขนาดนี้ เพิ่งหายดีก็รับช่วงกิจการของตระกูล วันวันไม่ได้ว่าง เรื่องแล้วเรื่องเล่าวุ่นวายใจ” ผู้ดูแลคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “แม้กระทั่งบรรดาคุณหนูในตระกูลก็ยังคงทำงานกิจการอยู่ ไม่ได้นั่งรอใช้เงินทองคนอื่นกินดื่มเที่ยวเล่น”
“คำพูดไม่อาจกล่าวเช่นนี้ได้ ประการแรกคุณหนูจวินอย่างไรก็เป็นเด็กสาวคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นญาติ อีกอย่างนางมีบุญคุณใหญ่หลวงกับตระกูลฟาง” ผู้ดูแลใหญ่โบกมือเอ่ยขึ้น “นอกจากนี้ก็ไม่ใช่จะสนใจว่านางใช้เงินเท่าไร เพียงแต่พวกเราคนทำกิจการ ไม่ว่าเงินมากน้อย เงินก็ต้องใช้ในที่ซึ่งเกิดประโยชน์ สิ้นเปลืองอย่างไรก็ไม่ถูก”
บรรดาผู้ดูแลพยักหน้า มองผู้ดูแลใหญ่แกะจดหมาย
“นางเด็กสาวคนหนึ่งทำกิจการไม่เป็น ชาติกำเนิดเป็นคุณหนูตระกูลขุนนางยิ่งสูงส่ง พวกเราไม่สะดวกตัดสินใจแทนนาง ตอนนี้ดีแล้ว ตระกูลส่งคำสั่งมา พวกเราก็ทำตามคำสั่งของตระกูลเถอะ” ผู้ดูแลใหญ่พูดพลางอ่านจดหมายพลาง รอยยิ้มบนหน้าพลันหายไป คิ้วที่คลายออกขมวดจนเป็นปมทันที
“เป็นอะไร?” บรรดาผู้ดูแลรีบเอ่ยถาม
ผู้ดูแลใหญ่วางจดหมายลงบนโต๊ะถอนหายใจ
“นายน้อยสั่งว่าทุกสิ่งให้จัดการตามคำสั่งคุณหนูจวิน ไม่มีคำสั่งของนางไม่ให้ผลีผลามกระทำ” เขาเอ่ย
บรรดาผู้ดูแลหันหน้ามองกัน
“นี่เรียกว่าจัดการอย่างไร?”
“ผู้ดูแลใหญ่ ตอนที่นายน้อยเขียนจดหมายฉบับนี้ยังไม่เห็นข่าวที่ท่านส่งออกไปหรือไม่ เขาไม่รู้ว่าคุณหนูจวินไม่ได้จัดการ”
ทุกคนพากันเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
ผู้ดูแลใหญ่โบกมือ
“ไม่ต้อง ไม่ต้องแล้ว” เขาเอ่ย นายน้อยพูดเช่นนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว ตอนแรกคุณหนูจวินเพิ่งบอกว่าจะเปิดโรงหมอ นายน้อยก็ส่งป้ายโรงหมอมาแล้ว เห็นอยู่ว่าในใจเขารู้ชัดเจนยิ่งนักว่าคุณหนูจะทำอะไร สิ่งใดล้วนคาดคิดไว้แล้ว สิ่งใดล้วนคิดไว้แล้วก็ยังกล่าวเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นก็คือต้องการให้พวกเราทำเช่นนี้จริงๆ แล้ว
บรรดาผู้ดูแลพยักหน้า
“ข้าคิดว่าไม่ต้องกังวลหรอก คุณหนูจวินวางแผนต่อเนื่องแก้วิกฤตของตระกูลฟางเช่นนั้นได้ ทำการใดย่อมมีแผนการอยู่ในใจแล้วแน่นอน” ผู้ดูแลคนหนึ่งหัวเราะเอ่ยขึ้น
คำพูดนี้เอ่ยออกมาสีหน้าคนที่นั่งอยู่ล้วนพิกลไปบ้าง
คุณหนูจวินหญิงไม่ธรรมดาที่ช่วยแก้วิกฤตของตระกูลฟาง ไม่ใช่ละครเล่ารึ?
เรื่องในละครเล่าจริงๆ หลอกๆ ก็เชื่อได้ด้วยรึ?
“วันนี้โรงหมอจิ่วหลิงเปิดไหม” ผู้ดูแลใหญ่เอ่ยถามพนักงานที่ยืนรอรับใช้อยู่
พนักงานพยักหน้าทั้งส่ายศีรษะ
“เปิดขอรับ” เขาเอ่ย “แต่คุณหนูจวินไม่ได้นั่งออกตรวจ”
ผู้ดูแลถอนหายใจ
“ครั้งนี้อะไร? ออกไปเที่ยวหรือหลับอยู่ในห้อง? ” เขาเอ่ยถาม
“เช้าตรู่ก็ออกไปเที่ยวแล้วขอรับ” พนักงานเอ่ยตอบ
…
ในตรอกที่ห่างไกลถนนใหญ่ยามเช้าตรู่ เสียงกระดิ่งใสกังวานดังขึ้น เรียกเด็กน้อยทั้งหลายที่เล่นอยู่ในตรอกให้มองมา เห็นเด็กสาวสองคนเดินเชื่องช้าเข้ามา เด็กสาวคนหนึ่งแบกธงผืนหนึ่งไว้ ด้านบนเขียนอักษรทรงพลังพลิ้วไหว เด็กน้อยทั้งหลายล้วนอ่านไม่ออก สายตาจับอยู่บนร่างของเด็กสาวด้านหลัง
เด็กสาวคนนี้หัวไหล่สะพายหีบใบน้อยใบหนึ่งไว้ ในมือสั่นกระดิ่งใบหนึ่ง เสียงกระดิ่งใสกังวานก็ออกมาจากตรงนี้
เด็กน้อยทั้งหลายมองเห็นธงแล้ว มองเห็นหีบแล้ว พลันฮือล้อมเข้ามา
“ขายขนมหรือ?” พวกเขาแย่งกันตะโกน
“ไม่ได้ขายขนม ขายยา” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้น “พวกเจ้าจะซื้อยาไหม?”
กินยาสำหรับเด็กน้อยทั้งหลายแล้วเป็นเรื่องน่ากลัวนัก วิ่งกระเจิงไปทันที
คุณหนูจวินหัวเราะอยู่ข้างหลัง เก็บกระดิ่งในมือไป
“มีขนม มีขนม” นางว่า มือหนึ่งเปิดกล่องยาออก
เด็กทั้งหลายมองนางอย่างระแวงไม่ได้เดินเข้ามา จนกระทั่งมองเห็นคุณหนูจวินคว้าผลไม้เชื่อมห่อกระดาษลายกำหนึ่งออกมาจากในหีบจริงๆ ทุกคนถึงดีใจรุมเข้ามา
คุณหนูจวินส่งขนมให้กับพวกเขา
“อย่าสนแต่กินขนม ไปถามซิในบ้านพวกเจ้ามีคนป่วยต้องการหาหมอหรือไม่” หลิ่วเอ๋อร์พูดอยู่ด้านข้าง
สิ้นเสียงของนางก็มีผู้หญิงคนหนึ่งได้ยินเสียงเดินออกมา ได้ยินประโยคนี้ก็มองคุณหนูจวินที่กำลังส่งของอะไรไม่รู้ให้เด็กๆ ร้องตกใจทันที
“พวกเจ้าทำอะไรน่ะ?” นางเอ่ยขึ้น กวักมือเรียกเด็กน้อย “เอ้อเป่ารีบกลับมาเร็ว ระวังถูกขอทานจับไป”
ขนมแบ่งถึงมือแล้ว บวกกับหวาดกลัวขอทาน เด็กทั้งหลายจึงวิ่งฮือกลับมา
“ท่านแม่ มีขนม” เด็กน้อยคนหนึ่งยกผลไม้เชื่อมที่แจกมาเมื่อครู่ขึ้นเอ่ยบอก
ผู้หญิงมองกระดายลายที่แกะออกแล้วทีหนึ่ง เผยก้อนอะไรไม่รู้ก้อนหนึ่งเคลือบน้ำตาลแวววาว ดูไปแล้วล่อตาล่อใจคนยิ่งนัก ดมขึ้นมาเปรี้ยวนิดๆ แล้วยังมีกลิ่นยาอยู่นิดหน่อย
“อั้ยย่ะ นี่อะไรหึ” นางรีบยกมือตี
ผลไม้เชื่อมตกลงพื้นกลิ้งกับฝุ่นดินจนเป็นก้อน
เด็กน้อยร้องโวยวายขึ้นมาทันที
หลิ่วเอ๋อร์ก็ถลึงตาเหมือนกัน
“เฮ้ เจ้าทำอะไร! นี่เป็นถึงผลไม้เชื่อมที่โรงหมอจิ่วหลิงของพวกเราทำขึ้นเป็นพิเศษ แพงมากนะ” นางร้อง
ผู้หญิงทำหน้ารังเกียจ
“โรงหมอจิ่วหลิงอะไรกัน” นางเอ่ย ดึงเด็กน้อยไปไว้ด้านหลังร่างอย่างระแวง “พวกต้มตุ๋นที่ไหนมา”
หลิ่วเอ๋อร์ยังคิดพูดอะไร คุณหนูจวินก็ดึงนางไว้ ตนเองก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง
“พี่สาว ข้าไม่ใช่พวกต้มตุ๋น ข้าเป็นหมอเร่” นางเอ่ยเสียงอ่อนโยน ไกวกระดิ่งในมือตน แล้วชี้ธงที่หลิ่วเอ๋อร์อุ้มอยู่ “ท่านดู”
ผู้หญิงมองตามที่นางชี้
“ข้าอ่านไม่ออก” นางว่า ไม่มองธงผืนนั้น เพียงประเมินคุณหนูจวินทีหนึ่ง เบ้ปาก “แม่นางน้อยคนหนึ่งสะอาดสะอ้าน เรียนอะไรไม่เรียน เลียนแบบคนอื่นมาเป็นนักต้มตุ๋น”
พูดจบก็โอบเด็กๆ เดินเข้าไปในบ้าน พลางถลึงตาใส่เด็กคนอื่น
“อย่าพูดจากับคนแปลกๆ สิ แล้วก็อย่าไปอยากได้ของของคนอื่น ระวังใส่หนอนเข้าไปในท้องพวกเจ้า กัดพวกเจ้าตาย”
ในท้องถูกหนอนไชน่ากลัวนัก บรรดาเด็กน้อยโยนผลไม้เชื่อมในมือทิ้งบนพื้นวิ่งแตกกระเจิงกลับบ้านไปแล้ว
หลิ่วเอ๋อร์มองผลไม้เชื่อมที่ถูกโยนทิ้งไว้ โกรธกระทืบเท้า
“คนพวกนี้เกินไปแล้ว” นางตะโกน
คุณหนูจวินสีหน้ายังคงเดิม ปิดหีบเรียบร้อย
“นี่มีอะไรเกินไป” นางว่า “ก็สมควร ไม่แปลก ค่อยค่อยก็ได้”
นางเอ่ยจบก็เดินไปข้างหน้าต่อ กระดิ่งใบน้อยในมือเขย่าอีกครั้ง หลิ่วเอ๋อร์ติดตามไป
…
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยืนอยู่บนถนน มองเด็กสาวที่เดินอยู่ด้านหน้า เสียงกระดิ่งใสกังวานติดตามการเดินของนางไปตลอดถนน
“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว ท่านดู เป็นหมอเร่จริงๆ แล้ว” พนักงานคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงเบา “หลายวันแล้ว เดือนมั่วทั่วเมือง แจกขนมให้เด็กไปทุกที่ ผู้ใหญ่หลายคนตามหาแล้ว”
“พูดเช่นนี้ พวกเขาล้วนรู้จักโรงหมอจิ่วหลิงแล้ว?” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยขึ้น
พนักงานตัวน้อยเบะมุมปาก
“ขอรับ คุณหนูจวินบอกกับผู้คนว่านางเป็นคนของโรงหมอจิ่วหลิง ดังนั้นคนเหล่านั้นเลยตามหา” เขาเอ่ย ก้มหน้าไป “บอกว่าโรงหมอจิ่วหลิงก่อกวนประชาชนเช่นนี้ พวกเขาจะปล่อยสุนัขแล้ว”
ปล่อยสุนัข…ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหางคิ้วกระตุก
“ก็นับว่ามีชื่อแล้วล่ะนะ” เขาเอ่ยกับตนเอง
……………………………………….