ตนเองช่วงนี้เข้าใกล้นางมากเกินไป ดังนั้นที่จริงทำให้นางคิดมากแล้วหรือไม่?
ที่จริงตนเองไม่ได้มีความหมายอย่างอื่น เพียงแค่บังเอิญพบเข้า แล้วก็เป็นคนบ้านเดียวกัน ดังนั้นถึงยากหลีกเลี่ยงดูแลมากสักหน่อย
หวังว่านางจะไม่คิดมาก
เรื่องบางเรื่องคิดมากเข้า จะทำให้คนทุกข์ใจจริงๆ
หนิงอวิ๋นเจาคลายคิ้วออกเพิ่มความเร็วก้าวเท้าเดินทางไปที่สำนักวิชา
แต่เดินไปได้สองก้าวเขาก็ชะงักฝีเท้าลงเล็กน้อย
แต่เขาไม่ได้มีความหมายอื่นจริงๆ ใช่ไหม?
เพียงแค่บังเอิญพบ บังเอิญเป็นคนบ้านเดียวกัน ดังนั้นถึงไม่มีเวลาใดตอนใดไม่อยากดูแลนางให้มาก?
หนิงอวิ๋นเจายื่นมือกดบนหน้าอก
หากมีหัวใจนักปราชญ์ใจกว้างขวาง ทำไมเขาไม่กล้าไปคิดมาก?
กลางป่ายามเช้าตรู่ ร่างสูงของชายหนุ่มยืนสงบไม่ขยับอยู่เนิ่นนาน รู้สึกถึงอารมณ์ที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนพุ่งเข้าชนเป็นครั้งแรก
ส่วนเวลานี้คุณหนูจวินกลับยังคงนอนอยู่บนเตียงไม่ลุก
นางไม่ได้ดื่มเมา ทั้งนอนหลับดียิ่ง รวดเดียวถึงฟ้าสว่าง แต่นางก็ไม่อยากลุกขึ้น
ที่พำนักตอนนี้ด้านหน้าเป็นร้าน มีลานเล็กๆ แห่งหนึ่งกับเรือนขนาบข้าง เก็บของจิปปาถะอุปกรณ์ทำยาเครื่องยา จอดรถม้า ห้องครัวขนาดเล็กทำอาหาร ตัดผ่านลานเล็กก็เป็นเรือนด้านหลัง หอสามชั้นขนาดเล็กหลังหนึ่ง
ในลานปลูกต้นไหว[1]อายุมากต้นหนึ่ง กิ่งแผ่กว้างใบไม้ดกครึ้ม กั้นความร้อนบังแสงตะวัน ทำให้ที่นี่สงบร่มรื่นอย่างยิ่ง
ประตูหน้าต่างของที่นี่เปลี่ยนเป็นแก้วห้าสีที่ตระกูลฟางมักจะใช้ ทำให้ท่ามกลางสีเขียวครึ้มมีแต้มสีละลานตา เพิ่มสีสันชีวิตชีวาขึ้นหลายส่วน
หอสามชั้นไม่ได้ปรับเปลี่ยน แค่ติดม่านโปร่งที่หน้าต่างตามความต้องการของคุณหนูจวิน แหงนหน้ามองไปเหนือยอดไม้ราวกับหมอกเมฆ ดุจดังแดนเซียน
คุณหนูจวินย่อมไม่ได้อยู่ที่นี่เพราะดุจดั่งแดนเซียน ก็แค่ที่นี่สูงที่สุด
พิงหมอนหนุน มองทิวทัศน์ถนนไกลๆ ผ่านม่านโปร่งดุจก้อนเมฆ รวมถึงวังหลวงอันไกลลิบ
ใต้วังหลวงมีถนนเส้นหนึ่ง บนถนนคนที่นางรักที่สุดอยากพบที่สุดอาศัยอยู่
พี่สาวแต่งงานไปแล้วไม่อาจแก้ไขและต่อต้าน
น้องชายยังคงถูกขังแน่นหนาอยู่ในคุกแห่งนั้น
ส่วนนางมีชีวิตอยู่กลับได้แต่มอง
นี่ก็คือความทุกข์ใจยามนี้ของนาง ส่วนที่ทุกข์ใจยิ่งกว่า…
คุณหนูจวินลุกขึ้นนั่งมองเมืองหลวงที่อยู่ในสายตา
แย่งชิงแผ่นดินนี้
คุณหนูจวินล้มตัวกลับลงไปบนหมอนหนุนอีกครั้ง ยกแขนเสื้อตัวในสีเหลืองอ่อนขึ้นปิดหน้า
ยิ่งคิดก็ไม่อยากคิด
ความทุกข์ใจมีเกิดมีดับ ก่อนหน้านี้มีไม่ได้หมายความว่ายามนี้ไม่มี ยามนี้มีไม่ได้หมายความว่าต่อไปก็จะมี มีความทุกข์ใจก็แก้ความทุกข์ใจเสีย
แก้ไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นก็รอ
รอรึ?
คุณหนูจวินชีวิตนี้ไม่เคยรอมาก่อน นางมีแต่จะไปทำ
พวกเขาบอกว่าบิดาไม่อาจมีชีวิตยืนยาว แม้ตั้งชื่อที่มีความหมายเป็นนัยเช่นนี้ให้แก่ตนเองก็ไม่มีประโยชน์
บิดาป่วย ถ้าอย่างนั้นก็รักษาอาการป่วยสิ คนนี้รักษาไม่หายก็ค่อยหาท่านหมอคนใหม่ วันนี้รักษาไม่หายพรุ่งนี้ก็รักษาต่อ
ชื่อของนางไม่มีประโยชน์ แต่นางมีประโยชน์
นางไปขอร้องท่านหมอ ไปร่ำเรียนวิชาแพทย์ ไประหกระเหิน ไปเร่ร่อน นางไม่รอหรอก
ถึงแม้บิดายังคงสิ้นพระชนม์ก็ตาม
ได้รู้ว่าบิดาไม่ได้ป่วยตายแต่ถูกทำร้ายตาย นางถือมีดขึ้นมาก็บุกเข้าไปในวังฮ่องเต้ทันที
คิดถึงตรงนี้คุณหนูจวินก็เลื่อนชายเสื้อออก พลิกตัวบนเตียงทีหนึ่ง
หลังจากนั้นนางก็ตาย
ก็ไม่ได้มีผลดีงามอะไร
“คุณหนู”
หลิ่วเอ๋อรยื่นศีรษะเข้ามาจากด้านนอกประตู
“จะทานอาหารไหมเจ้าคะ?”
“ไม่ทานล่ะ” คุณหนูจวินศีรษะอยู่บนหมอนเอ่ยขึ้นกลัดกลุ้ม
หลิ่วเอ๋อร์ส่งเสียงตอบรับทีหนึ่งไม่ได้เอ่ยถามมากอีก ปิดประตูถอยออกไป นางฮัมเพลงเดินตึงตังลงไปจากหอมาถึงเรือนด้านหน้า ตนเองตักข้าวกิน พนักงานน้อยสองคนก็มาทำงานแล้ว ยื่นศีรษะออกมาจากด้านในโถง
“แม่นางหลิ่วเอ๋อร์ วันนี้เปิดประตูไหมขอรับ?” พวกเขาเอ่ยถาม
“เปิดประตูสิ” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้น “ทำไมไม่เปิดประตู?”
ก็คุณหนูจวินยังไม่มานั่งออกตรวจเลยนี่
พนักงานสองคนมองไปทางด้านหลัง
“คุณหนูไม่มา ประตูก็เปิดได้ไหม” หลิ่วเอ๋อร์ส่ายตะเกียบเอ่ยขึ้น “ขายยาได้ไหม”
ขายยา?
โรงหมอผู้อื่นส่วนมากมีท่านหมอดีๆ ดึงคนมาซื้อยา พวกเขาที่นี่ท่านหมอยังไม่อยู่ ใครจะมาซื้อยาเล่า นอกจากนี้ยังเป็นโรงหมอเปิดใหม่แห่งหนึ่ง
ก็ว่าแล้วเด็กสาวคนหนึ่งจะเป็นหมอได้อย่างไร จะออกตรวจได้อย่างไร ไม่ไหวจริงๆ ด้วยสินะ
นี่ไม่ใช่ก่อเรื่องวุ่นวายรึ
แล้วจะทำอย่างไรได้ คนเขามีเงินอยากเล่นอะไรก็เล่นอย่างนั้นไหม
พนักงานสองคนส่ายศีรษะเข้าไป
ตอนผู้ดูแลใหญ่เต๋อเซิ่งชางที่เมืองหลวงเข้ามา ก็เห็นว่านอกจากพนักงานสองคนงีบหลับอยู่ด้านหลังตู้ยา ในห้องก็ว่างโล่งคนสักคนก็ไม่มี
ลูกค้าไม่มี หมอก็ไม่มี
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ผู้ดูแลใหญ่เคาะโต๊ะขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น “พวกเจ้ากำลังทำอะไร?”
พนักงานสองคนตกใจตื่นลุกขึ้นทันที
“พวกเราสิ่งใดล้วนไม่ต้องทำ” พวกเขาเพียงเอ่ยความจริงตามจริง
สิ่งใดล้วนไม่ต้องทำจริงๆ ผู้ดูแลใหญ่มองด้านในโถงที่ไร้ลูกค้าทีหนึ่ง รวมถึงไม่มีผู้ใดหยุดรออยู่นอกประตู
“คุณหนูจวินเล่า? ออกไปข้างนอกอีกแล้วรึ?” เขาเอ่ยถาม
พนักงานทั้งสองส่ายศีรษะยื่นมือชี้ด้านใน
“ยังไม่ลุกเลย” พวกเขาเอ่ยเสียงเบา
ยังไม่ลุก? ไม่ได้เรื่องจริงๆ
คิ้วผู้ดูแลใหญ่ขมวดเป็นปม
วันแรกเปิดกิจการก็ปิดร้าน วันที่สองเปิดร้านดวงตะวันลอยสูงขนาดนี้ท่านหมอยังไม่ลุกจากเตียง ก่อเรื่องวุ่นวายจริงๆ
“นายท่านหลิ่ว จะบอกนายน้อยสักคำหรือไม่” ผู้ติดตามของผู้ดูแลเอ่ยถามเสียงเบา “ถามนายน้อยว่าจะจัดการอย่างไร? อย่างไรพวกเราก็ไม่อาจทำเช่นนี้ มองดูสิ่งใดล้วนไม่ทำได้กระมัง”
ก็ได้แต่ทำเช่นนี้แล้ว
ผู้ดูแลใหญ่พยักหน้า มองในห้องว่างโล่งอีกครั้ง มองม่านประตูที่ทิ้งตัวลงมาปิดซ่อนเรือนด้านหลัง ส่ายศีรษะเดินจากไป
จดหมายไปมาระหว่างร้านแลกเงินเดิมทีก็บ่อยครั้ง ตั้งแต่คุณหนูจวินออกจากหยางเฉิงยิ่งบ่อยขึ้น
เด็กรับใช้คนหนึ่งกระโดดลงม้า เข้าประตูบ้านไม่ถูกขัดขวางแต่อย่างใดวิ่งตรงเข้าไปในประตูใหญ่ตระกูลฟางดังเช่นก่อนหน้า ตัดลานด้านหน้าเข้าไปในเรือนด้านหลัง
แต่ที่ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้คือไม่ได้ไปหานายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางทางนั้น แต่มายังด้านในเรือนของฟางเฉิงอวี่
เรือนของฟางเฉิงอวี่ไม่ได้มีเขาเพียงคนเดียว
ฟางอวิ๋นซิ่ว ฟางอวี้ซิ่วล้วนอยู่ด้วย นั่งอยู่ตรงโต๊ะซึ่งตั้งบนทางเดินพร้อมกาดินเผา กำลังชงชาหาความสุข
สาวใช้อีกสองคนอยู่ด้านข้างดีดพิณช่วยเสริมความสุนทรีย์ เติมความผ่อนคลายสงบสุขขึ้นบ้างในฤดูร้อน
“จดหมายจากเมืองหลวงขอรับ” เด็กรับใช้เข้าประตูคำนับเอ่ยขึ้น
เด็กหนุ่มที่นั่งหลับตาสงบสมาธิอยู่ตรงทางเดินลืมตาลุกขึ้นนั่ง
ฟางอวิ๋นซิ่วกับฟางอวี้ซิ่วก็มองไปทางเขาด้วย
“เป็นจดหมายของจิ่วหลิงหรือ?” พวกนางเอ่ยถาม
“โรงหมอจิ่วหลิงเปิดกิจการที่เมืองหลวงแล้วจริงๆ” ฟางเฉิงอวี่รับจดหมายกวาดอ่านทีหนึ่ง บนหน้าเผยรอยยิ้ม
เขารู้อยู่แล้วว่านางจะทำเช่นนี้ ดังนั้นถึงส่งป้ายโรงหมอไปล่วงหน้า
ฟางอวิ๋นซิ่วยื่นมือรับจดหมายไปอ่าน ฟางอวี้ซิ่วชงชาต่อ
“พูดเช่นนี้เมื่อวานก็เปิดกิจการแล้ว” ฟางอวิ๋นซิ่วอ่านวันที่ซึ่งกล่าวถึงด้านบน “น้องสาวทำงานเก่งจริงๆ เอากิจการที่สืบทอดมาแต่บรรพบุรุษไปสร้างชื่อในเมืองหลวงเสียแล้ว”
“เมืองหลวง ไม่ได้เหมือนหรู่หนาน” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ยขึ้น หยุดมือมองไปทางฟางเฉิงอวี่ “อยู่ไม่ง่ายนะ หากทำเช่นนั้นเหมือนหรู่หนานอีก เกรงว่าคงไม่ไหว”
ฟางเฉิงอวี่ยิ้มพยักหน้า
“จิ่วหลิงรู้” เขาเอ่ย “ไม่เช่นนั้นบนจดหมายคนเหล่านี้คงไม่บอกในที่ลับที่แจ้งว่าคุณหนูจวินอะไรก็ไม่ได้เตรียม ท่าทางไม่เหมือนเปิดกิจการ ขอคำแนะนำว่าควรทำอย่างไรบ้าง”
ในเมื่อจะสร้างชื่อ ถ้าเช่นนั้นย่อมต้องทำอะไรบางอย่าง ตัวอย่างเช่นหรู่หนานอาศัยบ้านถูกล้มออกตรวจบนซากปรักหักพัง ไม่คิดค่าหมอค่ายาทั้งสิ้น ชั่วคืนเดียวรู้กันทุกบ้าน
“ถ้าอย่างนั้นนางจะทำอย่างไร?” ฟางอวิ๋นซิ่วเอ่ยถาม
“ข้าไม่รู้ว่าจิ่วหลิงจะทำอย่างไร แต่ข้ารู้ว่าข้าจะทำอย่างไร” ฟางเฉิงอวี่ลุกขึ้น มองเด็กรับใช้ “บอกทางเมืองหลวงว่า เรื่องทุกอย่างให้จัดการตามคำสั่งคุณหนูจวิน ให้พวกเขาทำอะไรพวกเขาก็ทำอย่างนั้น ไม่พูดพวกเขาสิ่งใดก็ไม่ต้องทำ”
เด็กรับใช้ขานทราบแล้ว มีหญิงรับใช้นำพู่กันหมึกมา เด็กรับใช้ยกพู่กันเขียนตรงนั้น ส่งให้ฟางเฉิงอวี่
ฟางเฉิงอวี่อ่านแล้ว หยิบป้ายคู่ชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าห้อยเอว หากผู้ดูแลเกาอยู่ที่นั่นล่ะก็คงจดจำได้ว่านั่นก็คือป้ายคู่ของนายหญิงผู้เฒ่าฟางที่เคยเห็น ณ เขาไป๋เฮ่อเหลียงนั่นเอง
ป้ายคู่ก็เป็นตราประทับด้วย แต้มหมึกแดงกดลงบนกระดาษจดหมาย
เด็กรับใช้ใช้ครั่งปิดผนึกจดหมาย หมุนตัวก้าวไวๆ ขอตัวไป
เด็กรับใช้เพิ่งออกไปก็มีหญิงรับใช้คนหนึ่งก้าวไวๆ เข้ามาอีก กระซิบเสียงเบาข้างหูฟางอวี้ซิ่วสองประโยค บนหน้าของฟางอวี้ซิ่วปรากฏรอยยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็เรื่องดีสองเรื่องมาเยือน” นางมองฟางเฉิงอวี่กับฟางอวิ๋นซิ่วเอ่ยว่า “ยังมีน้องสาวอีกคนหนึ่งเปิดกิจการการค้าแล้ว”
……………………………………….
[1] ต้นไหว (槐树) ต้นไม้ขนาดใหญ่ลำต้นสูงชนิดหนึ่ง ดอกเป็นสีเหลืองอ่อน ใช้ทำยาจีนหรือสีย้อมได้