ท้องฟ้าพลบค่ำเข้าล้อมท้องถนน ตะเกียงเจ้าพายุตะเกียงรั้วบนถนนส่องแสงดวงน้อยเรียงราย สว่างไสวท่ามกลางค่ำคืนมืดสลัว
ในสายตาของหนิงอวิ๋นเจาในที่สุดก็ปรากฏร่างที่คุ้นเคย
เขาสูดหายใจลึก หัวใจสงบลง
“เจ้าไปไหนมา?” เขาก้าวเข้าไปเอ่ยถามเสียงละมุน
คุณหนูจวินที่ก้มหน้าเดินเชื่องช้าอยู่ราวกับถูกเขาทำให้ตกใจ นางสะดุ้งโหยง มองเห็นเขาก็แปลกใจอยู่นิดๆ
“คุณชายหนิงหรือ” นางเอ่ยขึ้น
ราตรีทำให้ดวงหน้าของนางเลือนราง เสียงของนางก็หดหู่
นางอามรณ์ไม่ดี
หนิงอวิ๋นเจาสังเกตได้ทันที
“เป็นอะไร?” เขาเอ่ยถาม แล้วมองไปทางหลิ่วเอ๋อร์ข้างหลังร่างคุณหนูจวิน
หลิ่วเอ๋อร์จะพูดอะไร คุณหนูจวินก็ยิ้มเอ่ยปากเสียก่อน
“ไม่มีอะไร ก็แค่เดินตามใจนิดหน่อย” นางเอ่ยขึ้น มองเขาแปลกใจนิดๆ “เจ้ามาหาข้ามีธุระหรือ?”
ของขวัญที่ส่งให้พอใจไหม?
เปิดกิจการวันแรกเป็นอย่างไร?
ยังมีสิ่งใดต้องการความช่วยเหลือหรือไม่?
ธุระพูดอ้างออกมาได้มากมาย หนิงอวิ๋นเจามองนาง
“ไม่มีอะไร” เขาส่ายศีรษะแล้วก็ยิ้มบ้าง “ก็แค่มาดูๆ เจ้า คิดไม่ถึงว่าเจ้าไม่อยู่”
คุณหนูจวินร้องอ๋อทีหนึ่ง เหมือนยังตามไม่ทันอยู่บ้าง แต่ก็ตามทันแล้ว
“เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไร? รอนานมากแล้วสินะ?” นางรีบเอ่ยถาม พลางให้หลิ่วเอ๋อร์เปิดประตู “เข้ามานั่งเถอะ”
“เจ้ายังไม่ได้ทานอาหารใช่ไหม? ไม่สู้พวกเราไปหาสักที่หนึ่งนั่งลงแล้วทานอาหารไปด้วย?” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น
คุณหนูจวินหัวเราะแล้ว
“ที่แท้เจ้าก็มาเรียกข้าไปทานอาหารนี่เอง” นางว่า “เจ้าเลี้ยงข้าสองครั้งแล้ว มีมามีไป ครั้งนี้ข้าเลี้ยงเจ้า”
หนิงอวิ๋นเจายิ้มบอกว่าดี ไม่เกรงใจสักนิด
คุณหนูจวินคิดเล็กน้อยแล้วมองท้องฟ้า
“ตลาดกลางคืนของถนนจูเชวี่ยตอนนี้ก็เปิดแล้ว ข้าจำได้ว่ามีคนบอกว่าด้านนั้นมีร้านเนื้อย่างตาเฒ่าหยางอยู่ร้านหนึ่งค่อนข้างดี เหมาะดื่มสุรา”นางว่า
มีคนบอก คงจะเป็นแผ่นที่เดินทางเยือนเมืองหลวงบอกสินะ
หนิงอวิ๋นเจาพยักหน้า
“หอซานหยวนก็อยู่ฝั่งนั้น สุราเหมยเจียนที่หอซานหยวนขายหวานเข้มละมุน เหมาะดื่มคู่กับเนื้อย่างที่สุด” เขาว่า
คุณหนูจวินยื่นมือทำท่าเชิญ
“เชิญ” นางเอ่ยขึ้น
…
ด้านในจวนตระกูลลู่เวลานี้โคมไฟสว่างไสว ทุกหนทุกแห้งล้วนเป็นสีแดงแห่งการเฉลิมฉลอง
ฟ้าดินคำนับแล้ว เจ้าสาวนั่งอยู่ในเรือนหอ ส่วนเจ้าบ่าวมาถึงด้านในห้องโถงดื่มสุราคารวะมิตรสหาย
โถงใหญ่กว้างขวางมีคนนั่งอยู่เต็ม บรรดาหญิงรับใช้เดินตัดผ่านข้างในวางอาหารรินสุรา
คนที่นั่งอยู่ล้วนสวมอาภรณ์ธรรมดาในโอกาสเฉลิมฉลอง แต่ท่าทางสีหน้าของพวกเขาไม่เหมือนมาเป็นแขกแต่มาฟังคำสั่ง ขอเพียงคำสั่งหนึ่งลงมาก็ออกไปค้นบ้านยึดทรัพย์กวาดล้างตระกูลเยี่ยงสุนัขป่าเยี่ยงพยัคฆ์ได้ทันที
“ข้าลู่อวิ๋นฉีไม่มีมิตรไม่มีสลาย” ลู่อวิ๋นฉียกจอกสุราเอ่ยขึ้น “คารวะ”
คำพูดของเขาสั้นๆ ได้ใจความ ถึงขั้นไม่มีหัวไม่มีหางไปบ้าง คนที่ไม่คุ้นเคยกับเขาบางครั้งก็ฟังคำพูดเขาไม่เข้าใจ แต่คนที่อยู่ที่นั่นล้วนฟังเข้าใจ
ความหมายของเขาก็คือพวกเขาคนเหล่านี้ก็คือมิตรสหายของเขา
เขาคารวะทุกคนหนึ่งจอก
ในวันมงคลของชีวิตมนุษย์วันนี้
ผู้คนที่นั่งอยู่ลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียง ถือจอกสุรา
“คารวะใต้เท้า” พวกเขาตะโกนดังก้อง
ในโถงใหญ่ที่โคมไฟสว่างไสวคนกลุ่มหนึ่งดื่มสุราคำเดียวหมดอย่างพร้อมเพรียง ดื่มต่อกันสามจอก
ลู่อวิ๋นฉีทำท่าทำทางให้ทุกคนนั่งลง ตนเองหมุนตัวเข้าไป
ผู้คนด้านในโถงใหญ่เริ่มทานอาหารดื่มสุรา บ้างพูดคุยกันเสียงเบา แต่กลับไม่มีคุยเล่นหัวเราะกันสักนิด แล้วก็ไม่มีบรรยากาศของงานฉลองแต่อย่างใด
ภาพนี้ดูแล้วประหลาดนิ่งนัก
ตกแต่งอย่างงานฉลองชัดๆ คนที่นั่งอยู่กลับไม่มีหน้าตายินดีสักนิด ดวงหน้าของพวกเขาเคร่งขรึม เสียงทุ้มต่ำพูดคุยกัน ราวกับเข้าร่วมงานศพ
ด้านเรือนหอฝั่งนี้ขันทีนางกำนัลยืนรอรับใช้อยู่ มองเห็นลู่อวิ๋นฉีเดินมาก็พากันแย้มยิ้มคำนับ ทำให้บรรยากาศเงียบสงบกลายเป็นครึกครื้นขึ้นมา
ประตูห้องถูกผลักเปิด
“พระราชบุตรเขยเชิญ” ขันทีผู้เป็นหัวหน้ายิ้มแย้มเอ่ยขึ้น
ลู่อวิ๋นฉีเดินเข้ามา คนเหล่านี้ไม่ได้ตามเข้ามา หญิงรับใช้สองคนที่คอยรับใช้เจ้าสาวอยู่ในห้องก็ก้มหน้าถอยออกมา ประตูห้องถูกปิดลง เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นพักหนึ่ง คนที่ยืนอยู่ตรงทางเดินล้วนถอยออกไปหมดแล้ว
ในห้องจุดเทียนมงคลสีแดงเล่มใหญ่ ส่งกลิ่นหอมกำจาย บนโต๊ะวางเครื่องใช้ที่ราชวงศ์เท่านั้นถึงจะใช้ได้ไว้ แสดงชัดถึงฐานะของคนในพิธีแต่งงานครั้งนี้
บนเตียงมุ้งมงคลสีแดงสด เจ้าสาวที่ถอดผ้าคลุมหน้าเปลี่ยนเป็นชุดพิธีสีแดงสดนั่งหลังตรง ก้มศีรษะเล็กน้อยเผยหน้าผากกลมมนนวลเนียน
ได้ยินเสียงฝีเท้าของลู่อวิ๋นฉี นางไม่ได้ขยับ ร่างกายยังคงเดิม ไม่ได้มีความเคร่งเครียดอย่างเจ้าสาวผูกรัดไว้
ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้เดินไปถึงข้างเตียง แต่ตรงไปนั่งหน้าโต๊ะ หยิบไหสุราจอกสุราที่วางอยู่ด้านบนขึ้นมารินสุราจอกหนึ่ง ดื่มคำเดียวหมด
เขานั่งอยู่หน้าโต๊ะเช่นนี้ดื่มต่อกันสามจอก ภายใต้เทียนสีแดงสดสาดส่อง บนใบหน้าขาวเผือดความเมามายเจ้าชู้สักนิดก็ไม่มี
“องค์หญิง ดื่มสักจอกไหม?” เขาพลันเอ่ยขึ้น
องค์หญิงจิ่วหลีที่นั่งอยู่ข้างเตียงเงยหน้าขึ้น เพราะการแต่งหน้าของเจ้าสาว หน้าตาที่เดิมทีงดงามเรียบร้อยของนาง ขนงถูกวาดจนยิ่งโค้ง ปากถูกจงใจแต้มให้เล็กวาดสีแดง ดูไปแล้วไม่เหมือนนางอยู่บ้าง แต่ก็แลดูเป็นการเฉลิมฉลองยิ่งนัก
“เอาสิ” นางเอ่ยเสียงละมุน ลุกขึ้นเดินเข้ามา นั่งลงตรงข้ามลู่อวิ๋นฉี
ลู่อวิ๋นฉีรินสุราให้นาง องค์หญิงจิ่วหลีรับไปยกแขนเสื้อบังดื่มคำเดียวหมด
ลู่อวิ๋นฉีเองก็รินสุราดื่มคำเดียวหมดเช่นกัน องค์หญิงจิ่วหลีหยิบไหสุรามารินเองจอกหนึ่ง ครั้งนี้นางค่อยๆ จิบ
ไหสุราบนโต๊ะถูกคนสองคนผลัดกันยกขึ้นมา รินสุรา วางลง คนหนึ่งดื่มคำเดียวหมด คนหนึ่งค่อยๆ ละเลียดสุรา
ลู่อวิ๋นฉีพลันทำสุราที่รินเต็มแล้วจอกหนึ่งหกลงกับพื้น จอกหนึ่งหกลงไป เขาก็จะทำหกอีกจอกหนึ่งต่อ
“นางไม่ดื่มสุรา” องค์หญิงจิ่วหลีเอ่ยปาก ค่อยๆ จิบสุราคำหนึ่ง
มือของลู่อวิ๋นฉีแข็งค้าง ไม่ขยับอีก
ส่วนจิ่วหลีถือจอกสุรารินสุราดื่มช้าๆ ต่อไป
ใครก็ไม่เอ่ยปากพูดอีกสักประโยค ในห้องมีเพียงเทียนมงคลสีแดงเต้นระริกอย่างเบิกบาน
…
“ดูไม่ออก เจ้าคอแข็งไม่เลวนี่”
คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยขึ้น นั่งอยู่ใต้เพิงหญ้าริมแม่น้ำ กำจอกสุราใบน้อยใบหนึ่งมองหนิงอวิ๋นเจาที่อยู่ตรงข้าม
ในมือของหนิงอวิ๋นเจาหิ้วไหสุราใบเล็กใบหนึ่งไว้ กำลังเทไหสุราพอดี ไม่มีสุราสักหยดเหลือ
“ข้าก็ดูไม่ออกเหมือนกัน” เขาว่า มองคุณหนูจวินส่ายศีรษะ “ดื่มสุราที่เจ้าว่าคือหนึ่งจอกถึงสว่างหรือ?”
คุณหนูจวินเม้มปากยิ้ม มองดูดวงจันทร์โค้งดุจกิ่งหลิวบนท้องฟ้ายามราตรี
ท่านอาจารย์บอกว่าผู้หญิงที่ออกท่องยุทธภพต้องดื่มสุราได้ ดังนั้นนางจึงดื่มจนสาแก่ใจเสียยกหนึ่ง หลังเมาหลับไปอาจารย์ก็หายไปไร้ร่องรอย
ดื่มสุราไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าตนเองเป็นผู้หญิงที่ออกท่องยุทธภพได้สักนิด แค่พิสูจน์ว่าถูกคนสลัดทิ้งได้ง่ายดายก็เท่านั้น
ไม่ว่าเวลาใด นางล้วนไม่ทำเรื่องที่ไม่มีประโยชน์แก่ตนเองพรรค์นี้
“ดื่มสุรา ที่ดื่มไม่ใช่สุรา แต่เป็นอารมณ์ มากน้อยล้วนเหมือนกัน” นางยิ้มแย้มเอ่ยขึ้น เม้มปากเบาๆ หยิบเนื้อย่างชิ้นหนึ่งโยนเข้าปาก
หนิงอวิ๋นเจาร้องอ้อทีหนึ่ง หยิบไหสุราใบหนึ่งขึ้นส่าย
“เช่นนั้นอารมณ์มากน้อยตัดสินอย่างไร?” เขาเอ่ยขึ้น “อารมณ์มากดื่มมาก? หรือว่าดื่มน้อย?”
คุณหนูจวินยิ้มแล้ว
นางไม่ถนัดพูดเช่นนี้กับผู้อื่น
ตั้งแต่เกิดมาฐานะก็กำหนดให้ไม่มีใครสนทนาอย่างเท่าเทียมกับนางได้ ต่อมาออกจากพระราชวัง ติดตามท่านอาจารย์ข้ามเขาข้ามภูวุ่งวิ่นไปทั่ว น้อยนักจะผูกมิตรสนทนากับผู้อื่น
คนที่อยู่ข้างๆ เป็นเวลายาวนานเพียงคนเดียวก็มีเพียงท่านอาจารย์ แต่ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยพูดคุยจริงจังกับนางมาก่อน
“เจ้าหมอนั่นดูแล้วก็ไม่ใช่คนน่าเชื่อถืออะไร”
ข้างหูนางพลันคิดถึงคำพูดที่จู่จั้นเอ่ยที่หรู่หนาน อดไม่ได้หัวเราะพรืด
“ข้าพูดตรงไหนผิดอีกแล้วเล่า?” หนิงอวิ๋นเจาหัวเราะเอ่ยถาม
……………………………………….