ชายหนุ่มผู้นี้ลู่อวิ๋นฉีย่อมรู้จัก ครอบครัวสายตรงสายรองมิตรสหายของขุนนางทั้งราชสำนัก เขาล้วนรู้จัก
ลูกหลานของตระกูลหนิงแห่งเป่ยหลิว ลูกหลานของตระกูลใหญ่เป็นขุนนางชั้นสูงเงินเดือนมากมารุ่นแล้วรุ่นเล่าเช่นนี้มีความสะดวกสบายตั้งแต่เกิด
แน่นอนว่าลู่อวิ๋นฉีไม่ได้มีอคติกับคนเหล่านี้ บางทีอาจเคยมี แต่ตอนนี้ไม่ว่าคนอะไรก็ไม่พ้นเป็นคนผู้หนึ่ง
สีหน้าของหนิงอวิ๋นเจาแม้ประหลาดใจอยู่บ้าง แต่แววตานิ่งสงบ ไม่ได้หวาดกลัวและตื่นเต้นอย่างประชาชนเหล่านี้
แต่ในเมื่อล้วนเป็นคน แววตาหวาดกลัวอยากเห็นก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ เดินในคุกใหญ่ของกรมสืบสวนฝ่ายเหนือรอบหนึ่งก็ได้แล้ว
สายตาของลู่อวิ๋นฉีข้ามเขาไป หยุดอยู่บนร่างของเด็กสาว
เด็กสาวคนนี้ เงียบนิ่งสงบดุจเดียวกับหนิงอวิ๋นเจา ไม่มีจุดใดพิเศษ
สายตาของเขากวาดผ่านไป รถม้าเคลื่อนไปข้างหน้า
สายตาของคุณหนูจวินไล่ตามรถม้า
ฝูงชนข้างกายเริ่มเดินเคลื่อนไหววุ่นวายใหม่อีกครั้ง
“ไปเถอะ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น มองเด็กสาวที่สีหน้านิ่งสนิทแต่ร่างกายกลับยากจะปิดบังความแข็งทื่อนิดๆ ได้
กลัว คงไม่ถึงขั้นนั้น
ตอนนั้นที่หอจิ้นอวิ๋นนางเดินผ่านพวกองครักษ์เสื้อแพรพวกนั้นมองเห็นเหมือนไม่เห็น เคยกลัวสักนิดที่ไหน
แต่ระหว่างพวกองครักษ์เสื้อแพรกับพวกองครักษ์เสื้อแพรกก็ไม่เหมือนกัน ลู่อวิ๋นฉีชื่อเสียงเลวร้ายเลื่องลือเช่นนี้ทำให้คนกลัว ทำให้คนเคร่งเครียดอยู่บ้างจริงๆ
“หรือพวกเราจะเปลี่ยนร้าน?” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินรั้งสายตากลับมองไปทางเขา
ไม่รอนางเอ่ยอะไร หนิงอวิ๋นเจาก็พยักเพยิดคางไปทางร้านแม่เฒ่าหวังสื่อนัย
“เจ้าดู คนมากเกินไปแล้ว ไปมุงถาม” เขาว่า
สภาพแวดล้อมรับประทานอาหารเช่นนี้ไม่งามนักแล้ว ไม่ใช่ความหมายอื่น ตัวอย่างเช่นนางกลัวองครักษ์เสื้อแพรเป็นต้น
“ไปร่วมวงเถอะ” คุณหนูจวินว่า “ไปลองฟังว่าเล่าอะไร”
นางพูดจบก็เดินไปข้างหน้า หนิงอวิ๋นเจาอึ้งแล้วก็หลุดยิ้ม
ไม่ได้กลัวจริงๆ ด้วย นอกจากนี้ยังมีนิสัยอย่างแม่นางน้อยคนหนึ่งอีก
เขายิ้มตามไป
ร้านแม่เฒ่าหวังในห้องคับแคบคนเบียดเต็มเอะอะไปหมด
“…ทั้งหมดไม่ต้องโวยวาย จะกินหรือไม่กิน? พวกเรายังต้องค้าขายนะ”
เฒ่าแก่รับมือไม่ไหวแล้วจริงๆ ถือกระบวยร้องตะโกน
“…จะพูด ซื้อเต้าหู้ชุดหนึ่งก่อน”
บรรดาชาวบ้านหัวเราะด่า บ้างเดินออกไป บ้างควักเงินมาซื้อ ยืนอยู่นั่งอยู่รออยู่ เสี่ยวติงจองที่นั่งที่หนึ่งไว้ก่อนแล้ว ให้หนิงอวิ๋นเจากับคุณหนูจวินนั่งลง หลิ่วเอ๋อร์นั่งลงตามไปด้วย ถูกเสี่ยวติงดึงแขนเสื้อไว้
“ทำอะไร?” หลิ่วเอ๋อร์ถลึงตา ดึงแขนเสื้อคืนมา
“ที่นี่ไม่มีที่แล้ว” เสี่ยวติงพูดเสียงเบา ในใจคิดว่ายังสู้ตนเองไม่ได้เลย ไม่ดูตาม้าตาเรือสักนิด
“ถ้าอย่างนั้นข้าไปกินที่ไหน?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้น
เสี่ยวติงกลอกตา
“เจ้าดูคนเยอะแยะต้องรอนานนัก ด้านนอกมีร้านขนมทอด พวกเราซื้อมาลองชิมรอข้างๆ” เขาเอ่ย
หลิ่วเอ๋อร์ตอนนี้ถึงพยักหน้า
“คุณหนู พวกเราออกไปซื้อขนมทอดชิ้นหนึ่งก่อนนะเจ้าคะ” นางเอ่ยอย่างดีอกดีใจ
คุณหนูจวินพยักหน้า
เป็นเด็กรับใช้ของผู้อื่นไม่ง่ายเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กรับใช้ของนายน้อยที่หัวใจรักผลิบาน เสี่ยวติงยื่นมือเช็ดเหงื่อ พาสาวใช้คนนี้เดินออกไป
เต้าหู้ทอดต้องรอจริงๆ คุณหนูจวินไม่ได้รำคาญ ฟังผู้คนด้านข้างล้อมถามเฒ่าแก่
“…ลู่อวิ๋นฉีทำไมมาที่ร้านเจ้าได้?”
“พูดเหลวไหล ย่อมต้องมากินเต้าหู้สิ” เฒ่าแก่เอ่ยขึ้นอย่างภาคภูมิ แต่จากนั้นคิดนิดหนึ่งนี่มีอะไรน่าภาคภูมิ เต้าหู้ที่ลู่อวิ๋นฉีเคยกินมาก่อน ไม่รู้ว่าจะถูกครหาลับหลังหรือไม่ ฉับพลันคิ้วขมวดแต่ก็ไม่กล้าเปิดเผยเกินไปนัก
ไม่อย่างนั้นถูกกล่าวหาว่ารังเกียจลู่อวิ๋นฉีก็จบสิ้นกัน
“ที่จริงก็ไม่ใช่” เขาคิดนิดหนึ่งรีบอธิบายอีก “ไม่ใช่ลู่อวิ๋นฉีอยากกิน เป็นแม่นางน้อยคนนนั้น…”
ก็รอประโยคนี้นี่แหละ ดวงตาของชาวบ้านล้วนสว่างวาบขึ้นมา
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครหรือ?”
“ไม่เคยได้ยินว่าหัวหน้ากองพันลู่มีพี่สาวน้องสาวนี่”
“เจ้าตาบอดรึ มีที่ไหนสนิทสนมกับพี่สาวน้องสาวเช่นนั้น”
เฒ่าแก่ถูกเสียงโหวกเหวกทำให้ปวดหัว เคาะกระบวยหลายที
“พวกเจ้าจริงก็ไม่รู้ปลอมก็ไม่รู้” เขาว่า “แม่นางน้อยคนนั้นก็คือลูกสาวคนที่สามของบ้านตาเฒ่าเฉียวไง”
เป็นลูกสาวของบ้านตาเฒ่าเฉียวคนขายน้ำชาที่ลู่อวิ๋นฉีเลี้ยงไว้ที่เล่ากันคนนั้น
บรรดาชาวบ้านเข้าใจโดยพลัน
คุณหนูจวินก็พยักหน้าเหมือนกัน แล้วก็หมุนตัวฟังการถกเถียงด้านนั้นต่อ
ที่ถกเถียงกันจะมีอะไรอีกนอกเสียจากลู่อวิ๋นฉีคนนี้ต้องใจลูกสาวคนที่สามบ้านตระกูลเฉียวได้อย่างไร
“…ตอนนั้นหัวหน้ากองพันลู่เกิดอารมณ์สุนทรีย์มาชมดอกอิงฮวา..”
“…หัวหน้ากองพันลู่มีอารมณ์สุนทรีย์ชมดอกไม้ด้วยรึ?”
คำพูดเพิ่งเริ่มก็ถูกคนขัดแล้ว
อย่าโทษคนผู้นี้ขัดเลย คุณหนูจวินก็สีหน้ายุ่งเหยิงเหมือนกัน ใช่สิ ลู่อวิ๋นฉีที่แท้มีอารมณ์สุนทรีย์อย่างนี้ด้วย น่าเสียดายเพื่อไม่ให้ตนเองออกจากบ้าน บางครั้งยามที่ตนเองพูดขึ้นว่าอยากไปชมดอกอิงฮวาจึงไม่ได้ตอบรับ
ลำบากเขาแล้ว เสแสร้งเป็นคนที่ไม่ใช่ตนเองอย่างสิ้นเชิงคนหนึ่ง
“…อย่างไรวันนั้นหัวหน้ากองพันลู่ก็ไปชมดอกไม้แล้ว เดินเข้าไปในเพิงน้ำชาของผู้เฒ่าเฉียว ตอนนั้นผู้เฒ่าเฉียววุ่นวายชงน้ำชาอยู่ ลูกสาวคนที่สามก็ไปส่งน้ำชาเหมือนก่อนหน้า พริบตานั่นที่ส่งน้ำชานั่นเอง ลู่อวิ๋นฉีเงยหน้าขึ้นมองดวงหน้าที่จันทร์หลบผกาละอายมัจฉาจมวารีปักษาตกนภา…”
“เจ้าหยุดเถอะ แม่นางสามเฉียวตั้งแต่เล็กเฝ้าเตาไฟชงน้ำชา รมผมหน้านานปีจนดำขมุกมขมัว ไหนเลยจะจันทร์หลบผกาละอายได้เล่า”
“เจ้าจะรู้อะไรเล่า นั่นเป็นความงามอีกรูปแบบหนึ่ง อย่างไรหัวหน้ากองพันลู่เห็นเข้าก็ต้องใจแล้ว ห่างไปสองวันก็ให้คนแบกเกี้ยวหลังเล็กยกเข้าประตูไปแล้ว บ้านตาเฒ่าเฉียวเหยียบก้าวเดียวขึ้นสวรรค์ไปด้วย”
คุณหนูจวินนั่งตัวตรง เหมือนคิดอะไรอยู่มองหนิงอวิ๋นเจา
“รักแรกพบ” นางเอ่ยขึ้น “เจ้าเชื่อไหม?”
หนิงอวิ๋นเจาถูกถามจนอยากหัวเราะอยู่บ้าง
เขาย่อมไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งตนเองจะได้มาถกเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของผู้อื่นกับเด็กสาวคนหนึ่ง
เขาคิดอย่างตั้งใจครู่หนึ่ง
“ไม่เชื่อนัก” เขาเอ่ยขึ้น
“ไม่เชื่อนักว่าบนโลกนี้มีรักแรกพบ?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม
หนิงอวิ๋นเจายิ้ม
รักแรกพบหรือ
“จะพูดอย่างไรดีล่ะ มีก็คงมี แต่คงไม่ใช่เห็นปุบก็ตกหลุมรักปับแบบนั้น” เขาว่า “ใจชมชอบความงามทุกคนล้วนมี คนมากมายล้วนพูดได้ว่ารักแรกพบเป็นเพราะรูปโฉมงดงาม เกินขึ้นจากราคะ แต่บางครั้งที่จริงก็ไม่ใช่”
คุณหนูจวินตั้งใจมองเขา
ความตั้งใจแบบนี้ทำให้คนรู้สึกได้รับความเคารพอย่างมาก แล้วก็จริงใจมากเช่นกัน ไม่ได้มีท่าทีเสแสร้งสักนิด
นี่ก็คือจุดที่ทำไมหนิงอวิ๋นเจารู้สึกว่านางไม่เหมือนเด็กสาวคนอื่น แล้วก็เป็นสาเหตุที่ทำไมยินดีสนทนากับนาง
เพราะทำให้คนสบายใจมากจริงๆ
ความสบายใจเช่นนี้ทำให้เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าตนเองกำลังพูดถึงเรื่องอะไร เหมือนเช่นเดียวกับถกหลักคุณธรรมกับบรรดาสหายบัณฑิต
“หลายครั้งรักคำนี้ของรักแรกพบเกิดมาจากตนเอง” เขาว่า “สิ่งที่ตนเองนับถือที่ชมชอบที่ไม่มี แล้วก็อาจเป็นจิตใจสภาพคุณธรรมเช่นนั้นที่มี เป็นความรู้สึกเช่นมองหานางในฝูงชนร้อยพันหนฉับพลันปรากฏอยู่ตรงหน้า เจ้าก็รู้ว่าคนผู้นี้ก็คือคนผู้นั้นที่เจ้ารอคอยมาตลอด”
เหมือนกับคราวนั้นดวลหมากใต้ต้นไม้ในเทศกาลโคมไฟ แม้ไม่ได้เห็นหน้าตา แต่แค่เกมหมากเขาก็รู้ว่าคนที่เล่นหมากผู้นี้เป็นคนที่ทำให้….
ความคิดแล่นถึงตรงนี้เขาก็ชะงัก เขาคิดไปถึงไหนแล้ว เวลานี้ยกตัวอย่างเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะสม
เขากระแอมทีหนึ่ง
“ดังนั้นรักของรักแรกพบเช่นนี้ มากกว่าครึ่งเป็นรักของตนเอง อีกครึ่งหนึ่งเป็นรักต่อสิ่งที่อีกฝ่ายครอบครอง หน้าตาเป็นด้านหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด” เขาเอ่ยขึ้น “ไม่เช่นนั้นหญิงสาวงดงามในหอคณิกามากมายนัก ทุกคนไล่ตามชมชอบหลงรัก แต่รักเช่นนั้นไม่ใช่รักที่ต้องจิตวิญญาณ”
สิ้นเสียงของเขา เด็กสาวฝั่งตรงข้ามก็ยิ้ม
เพราะอยู่ในร้านเล็กๆ แออัด นางจึงไม่ได้หัวเราะลั่นออกมา แต่ใช้มือปิดไว้หัวเราะ
“เจ้าหัวเราะเช่นนี้ ทำให้ข้าเขินแล้ว” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้นอย่างเป็นการเป็นงาน “ข้าพูดตรงไหนไม่ถูกต้อง เจ้าพูดสิ อย่าหัวเราะ”
คุณหนูจวินหัวเราะอีกครั้ง แล้วก็กลั้นไว้ส่ายศีรษะ
“ไม่มี” นางว่า ตั้งใจคิดนิดหนึ่ง ท่าทีสงบลงนิดหนึ่ง “เพียงแต่ข้าไม่เคยคิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นไม่รู้ว่าถูกหรือผิด”
หนิงอวิ๋นเจาคิดนิดหนึ่งบ้าง หัวเราะขึ้นมา
“ที่จริงข้าก็ไม่เคยคิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน” เขาว่า
เหมือนกับเด็กน้อยยังไม่รู้จักโลกสองคนเล่นพ่อแม่ลูกถกการเป็นภรรยาการเป็นสามีอย่างตั้งใจแต่กลับน่าขัน
“ก็แค่ความคิดวุ่นวาย” เขาว่า ทั้งจริงจังอยู่บ้าง ทั้งเฉยชาอยู่บ้าง
……………………………………….