เสียงเอะอะในห้องฉับพลันดังขึ้น ฉับพลันก็เงียบลง
ดังขึ้นเพราะชายหนุ่มคนนั้นชูแขนร้องตะโกน เงียบลงก็เพราะว่าชายหนุ่มคนนั้นยกมือโบกทีหนึ่ง
บนหน้าบรรดาแม่ทัพทหารความตื่นเต้นยังไม่ทันสลาย ในแววตายังคงเป็นประกาย หน้าอกของพวกเขาพองขึ้นยุบลงอย่างรุนแรง เหมือนกับเวลานี้ขอเพียงจูจั้นโบกมือไปข้างนอกทีหนึ่ง พูดว่าไปฟันโจรชาวจินฝูงนั้นกันเถอะ
ทุกคนก็จะไม่ลังเลสักนิดยกดาบโดดขึ้นม้าพุ่งออกไป
แน่นอนจูจั้นย่อมไม่ทำเช่นนั้น เขาคำนับให้ใต้เท้าที่ประชุมสอบสวนสามท่านซึ่งนั่งอยู่บนแท่นสูง
“แน่นอน ไม่อาจปฏิเสธว่าตอนเริ่มต้นข้าต้องการใช้สิ่งนี้หาเงินนิดหน่อยจริงๆ” เขาเอ่ย มองรองเจ้ากรมกลาโหม “ใต้เท้าหวงท่านคงยังจำได้ เวลานั้นพอดีช่วงหลงตง[1] งบทหารก้อนหนึ่งของพวกเราแถบเหนือเพราะเหตุผลนานานัปการไม่ส่งมาถึงสักที เหล่าพี่น้องอย่างไรก็ไม่แม้กระทั่งอาหารก็ไม่มีกินเสื้อผ้าหน้าหนาวก็ไม่มีใส่ได้กระมัง”
บนหน้าของรองเจ้ากรมกลาโหมติดจะเสียใจ
ความจริงแล้วเขาไหนเลยจะจำได้ว่าเวลาใด เพราะเรื่องงบทหารล่าช้าเป็นเรื่องที่เห็นบ่อยเหลือเกิน ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นการล่าช้าที่ตั้งใจ อย่างไรจะใช้เงิน ขั้นตอนที่จำเป็นต้องขออนุมัติก็มากเหลือเกิน กรมการคลังบอกไม่มีเงิน แล้วจะทำอย่างไรได้
“ทำให้พวกท่านลำบากแล้ว” เขาเอ่ยปาก “งบทหารของช่วงเข้าหน้าหนาวปีนี้ผ่านเดือนหกจะจ่ายไป”
เขาชะงักนิดหนึ่ง
“แผนที่นี่ อย่างไรก็เป็นเงินเล็กน้อย ทั้งยังไม่ถูกกฏเกณฑ์ ทีหลังยังไงก็อย่าทำอีกเลย”
จูจั้นรับคำ
“เดิมทีก็จะไม่ทำแล้ว” เขาว่า ผายมือทำหน้าบริสุทธิ์ “แต่สิ่งนี้แม้ดูไปแล้วเป็นเงินเล็กน้อย แต่คนที่ต้องการได้เงินเล็กน้อยมากนัก นอกจากนี้แผนที่แบบนี้ก็ง่ายมากอีก รู้ตัวหนังสือไม่กี่ตัวเขียนไม่กี่ทีก็ทำออกมาได้แล้ว ข้าก็จนปัญญา การค้าของพวกเราโดนแย่งเสียแล้ว”
ตุลาการศาลต้าหลี่ในใจหัวเราะฮ่ะฮ่ะ คนที่แย่งการค้าขายของท่านน่ากลัวว่าคงมีไม่มาก
แต่เรื่องมาถึงวันนี้ ท่านยอมรับเรื่องนี้กับปากและสัญญาว่าหลังจากนี้จะไม่ทำแล้วก็พอแล้ว ส่งให้ฝ่าบาทตัดสินเถอะ
“ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้ก็พอเท่านี้ชั่วคราว รอข้าไล่เรียงข้อกฏหมายค่อยให้ฝ่าบาทตัดสินลงโทษ” เขาเอ่ย มองซ้ายขวาสองด้าน “ใต้เท้าหวง หัวหน้ากองพันลู่ พวกท่านว่าเช่นนี้ได้หรือไ?”
รองเจ้ากรมกลาโหมย่อมไม่มีความเห็น ลู่อวิ๋นฉีก็ดุจดั่งรูปปั้นดินองค์หนึ่ง
“ถ้าเช่นนี้ก็แบบนี้!” ตุลาการศาลต้าหลี่ตบไม้ปลุกสติทีหนึ่งปิดคดี “ถ้าอย่างนั้น…”
“ช้าก่อน” องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งเอ่ยปากออกมา มองจูจั้น “บุตรชายแห่งเฉิงกั๋วกงท่านผลักรถม้าของผู้ตรวจการหูลงแม่น้ำยังไม่ได้อธิบายเลยนะ”
พูดขึ้นมาที่ฮ่องเต้ต้องการให้บุตรชายเฉิงกั๋วกงมาเมืองหลวง ต้นเหตุก็เพราะเขาโยนผู้ตรวจการที่เมืองหลวงส่งไปแถบเหนือลงแม่น้ำ ผู้ตรวจการหูทั้งชีวิตไม่เคยถูกหยามหมิ่นเช่นนี้ โกรธจนออกจากแถบเหนือไปเดี๋ยวนั้น ร้องไห้กับฮ่องเต้ขอลาออก
ฮ่องเต้ตั้งคำถาม บุตรชายเฉิงกั๋วกงกัดฟันบอกท่าเดียวว่าแจ้งข่าวด่วนทางการทหารไม่ตั้งใจชน
“เรื่องนี้หรือ” จูจั้นเอ่ยขึ้น มองคนของกรมกลาโหม “ไม่ใช่จบไปแล้วรึ?”
รองเจ้ากรมกลาโหมตอนนี้ถึงทำท่าฉุกคิดอะไรขึ้นได้ ตบหน้าผากทีหนึ่ง
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ข้าลืมไปเลย” เขาหันไปบอกกับลู่อวิ๋นฉี “หัวหน้ากองพันลู่ เป็นแบบนี้ ช่วงก่อนหน้านี้ตอนพวกเราได้รับคำสั่งให้ตรวจสอบ ผู้ตรวจการหูบอกแล้วว่านี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด ตอนนั้นเขาดื่มสุรา เมาหนัก จำผิดแล้ว”
อะไร?
ตุลาการศาลต้าหลี่สีหน้าอึ้ง แม้กระทั่งองครักษ์เสื้อแพรที่อยู่ที่นั่นล้วนทำหน้าราวกับเห็นผี
แบบนี้ก็ได้?
เฉิงกั๋วกงสามารถจริงๆ นะ ผู้ตรวจการหูยังถูกกล่อมได้
ตุลาการศาลต้าหลี่ในใจถอนหายใจอีกครั้ง
มิน่ากล้าให้บุตรชายถูกส่งมาถึงเมืองหลวง นี่จัดการไว้เหมาะสมหมดแล้ว
“ใช่แล้ว พวกเรายังไม่ทันได้รายงาน รอท่านชายมาแล้วสอบทานก่อนค่อยสรุปสำนวนปิดคดี” รองเจ้ากรมกลาโหมมองตุลาการศาลต้าหลี่อีกครั้ง “ผู้ตรวจการหูบอกว่าท่านชายตอนนั้นบอกเขาชัดเจนแล้วว่ามีกิจทางการทหารเร่งด่วนต้องส่งข่าว เขาก็กำลังจะหลีกทางแล้ว แต่เพราะดื่มมากไปยืนไม่มั่นคง ผลสุดท้ายตกลงไปในแม่น้ำ ยังเป็นท่านชายช่วยเขาขึ้นมา”
เขาพูดแล้วก็ยกมือให้ผู้คนของกรมกลาโหมที่ยืนอยู่ข้างล่าง
“ไปเชิญผู้ตรวจการหูมา”
บรรดาทหารข้างนอกห้องโถงรับคำ กำลังจะไป ลู่อวิ๋นฉีลุกขึ้นยืน
“ไม่ต้องแล้ว” เขาเอ่ย
นี่เป็นประโยคแรกที่เขาพูดหลังเข้ามา คนทั้งหมดล้วนหยุดมองเขา
ลู่อวิ๋นฉีมองจูจั้น จากด้านบนแท่นอ้อมโต๊ะหลายตัวเดินลงมา
จูจั้นก็มองเขา
ลู่อวิ๋นฉีบนหน้าเรียบเฉย ส่วนจูจั้นมีรอยยิ้ม แต่คนทั้งหมดรู้สึกว่าบรรยากาศราวกับเงื้อดาบง้างธนูอยู่บ้าง
ลู่อวิ๋นฉีเดินไม่หยุดมาถึงตรงหน้าจูจั้นจึงหยุดลง
“คำถามสุดท้าย” เขาเอ่ยขึ้น “หัวหน้าของคนตัดฟืน เป็นใคร?”
คนตัดฟืน
ผู้คนได้ยินเข้าสีหน้าอึ้งไปพริบตาหนึ่ง แต่ก็คิดขึ้นมาได้ในทันที อย่างไรสำหรับกรมกลาโหมแล้ว คนตัดฟืนก็เป็นพวกที่ทำให้คนปวดหัวพวกหนึ่ง
ขบถใจกล้า แม้สังหารศัตรูได้ แต่ที่สุดก็ไม่ใช่พวกที่พวกเขาควบคุมได้
เหมือนกับดาบเป็นดาบดีเล่มหนึ่ง แต่ดาบนี้ไม่ได้กำอยู่ในมือตน นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องที่ทำให้คนดีใจ แต่เป็นเรื่องที่ทำให้คนไม่เบิกบานอยู่บ้างแล้ว
คำถามนี้ของลู่อวิ๋นฉีฟังดูแล้วน่าสนใจ
สายตาของผู้คนหยุดบนร่างของจูจั้น
จูจั้นหัวเราะแล้ว
“ข้าก็อยากรู้มากเหมือนกัน” เขาว่า สีหน้าจริงจัง “เพียงแต่น่าเสียดายพวกเขาไม่ชอบพวกเราที่เป็นทหารเหล่านี้ ดังนั้นพบหน้ายากนัก แต่ข้าได้ยินมาว่าหัวหน้าของพวกเขาเป็นผู้นำที่ฉลาดเฉลียวยิ่งนัก หัวใจกว้างขวางดุจทุ่งหญ้า แม้เขาไม่อาจตัดฟืนได้ด้วยตนเอง แต่ในสายตาของทุกคนกลับเป็นคนตัดฟืนที่ยอดเยี่ยมที่สุด ดีที่สุด”
นับถือและชื่นชมอย่างจริงใจเช่นนี้ ไม่ได้ปิดบังเพราะคนตัดฟืนเป็นที่หวั่นเกรงของราชสำนักและกองทัพ
ลู่อวิ๋นฉีมุมปากขยับแล้ว นี่คือเขากำลังยิ้ม แม้ไม่ได้เจิดจ้าเช่นนั้นอย่างรอยยิ้มของจูจั้น แต่ก็ทำให้หน้าของเขาอ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อยอยู่บ้าง
“ท่านไม่ใช่คนตัดฟืนคนหนึ่งหรือ?” องครักษ์เสื้อแพรด้านข้างมองเข้าใจรอยยิ้มของเขา พูดขึ้นทันที “ต้องการให้พวกเราหยิบพยานบุคคลพยานหลักฐานมาไหม?”
จูจั้นหัวเราะ ราวกับกระดากอายอยู่บ้าง
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง” เขาเอ่ยขึ้น “ไม่ผิดข้าเคยพูดว่าข้าเป็นคนตัดฟืน…”
“เคยทำ ไม่ใช่เคยพูด” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยรับคำพูดของเขา
จูจั้นกลอกตาใส่เขา
“ใช่สิ คนตัดฟืนเท่ขนาดนั้น ข้าย่อมต้องไปลองดูบ้าง แต่ข้าห่วยเกินไป พวกเขาไม่ยอมให้ข้าลงสนามสักนิด แม้กระทั่งรังของพวกเขาก็ไม่ได้แตะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพบหัวหน้าเลย” เขาว่า “ยังไงพวกเจ้าถามมาข้า ข้าก็ไม่รู้ อยากทำอะไรก็ทำอย่างนั้นเถอะ”
เขาห่วย ยังห่วยเกินไปอีกหรือ?
หนีรอดจากมือองครักษ์เสื้อแพรได้ ถ้าเช่นนั้นคนตัดฟืนพวกนั้นต้องร้ายกาจมากเท่าใดกัน
บรรดาองครักษ์เสื้อแพรสีหน้ายิ่งไม่น่าดู
นี่จงใจเยินยอผู้อื่นเหยียบย่ำพวกเขางั้นสิ
ฝ่ายตุลาการศาลต้าหลี่ทนไม่ไหวยกมือแตะขมับ
คำถามแรกกลายเป็นเขามีเหตุผลหนักแน่น คำถามที่สองกลายเป็นความเข้าใจผิด คำถามที่สามนี่กลับตอบปลิ้นปล้อนแล้ว
จะทำอะไรได้เล่า?
อย่างไรศาลต้าหลี่ก็เพียงถามคำถาม ท้ายที่สุดทำอย่างไรให้ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยเถอะ
“ใต้เท้าหวง ใต้เท้าลู่ พวกท่านว่าเรื่องนี้…” เขาเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามขึ้น
“เรื่องนี้ก็ให้เป็นเช่นนี้เถอะ” ลู่อวิ๋นฉียากจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากเอง มองยังไม่มองตุลาการศาลต้าหลี่สักที เพียงแค่มองจูจั้น
จูจั้นยิ้มให้เขา
“ถ้าเช่นนั้นจะบอกว่าใต้เท้าลู่ท่านย่อมปล่อยข้าแล้ว?” เขาเอ่ยขึ้น
ลู่อวิ๋นฉีก็ยิ้ม ก้าวเข้าไปข้างหน้าอีกก้าว
“เจ้ารู้ไหมทำไมข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้?” เขากดเสียงเบาเอ่ยขึ้น “เพราะเจ้ามีบิดา”
จูจั้นมองเขาหัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดัง
“ข้าย่อมรู้” เขาหัวเราะเอ่ยขึ้น เมื่อเก็บเสียงหัวเราะไปได้ก็กดเสียงเบาเอ่ยขึ้น “เจ้ารู้ไหมทำไมตอนนี้เจ้าจองหองเช่นนี้ได้?”
ลู่อวิ๋นฉีเพียงมองเขา
“เพราะเจ้าไม่มีบิดา” จูจั้นกดเสียงเบา เอ่ยคำหนึ่งเว้นจังหวะหนึ่ง “คนที่ไม่มีบิดาคนหนึ่ง ไร้ศีลธรรม ไร้ความเป็นมนุษย์ เดรัจฉาน เดรัจฉาน ย่อมจองหองพองขนได้”
พวกเขาแม้กดเสียงเบาเอ่ยกัน แต่ในโถงใหญ่เงียบสนิทไร้เสียง เสียงกดเบานี่จะเบาไปถึงไหนได้
ในห้องโถงใหญ่เงียบกริบ บรรยากาศในห้องโถงใหญ่ชะงักนิ่งอีกครั้ง
……………………………………….
[1] หลงตง (隆冬) ช่วงเวลาที่หนาวที่สุดในปี