ความจริงแล้วสายตาของคนบนถนนเวลานี้ล้วนจับจ้องอยู่ที่ตัวเขา
นอกจากตรงหน้าเหล่านี้ ในที่ลับก็ยังมีสายตาของคนมากมายจับอยู่ที่ตัวเขา
แต่สายตาเหล่านี้ล้วนเป็นการลอบมอง
แต่สายตาที่เขารู้สึกเป็นการมอง
น้อยคนนักจะมองเขาได้
ความรู้สึกเช่นนี้บอกไม่ได้ มองข้ามไปยิ่งไม่พบอะไร
บางทีพักนี้เขาคงสงสัยมากเกินไปแล้ว
ลู่อวิ๋นฉีรั้งสายตากลับมา
หัวหน้ากองร้อยเจียงยังคงตั้งหูตั้งใจฟัง ทว่าหลังสามคำลู่อวิ๋นฉีก็ไม่ส่งเสียงแล้ว กลับเร่งม้าเดินหน้า
ธุระของคนใหญ่คนโตมากมาย ทั้งยังใกล้วันแต่งงาน เรื่องที่คิดมากอยู่บ้าง
เขาไม่เอ่ยถามต่อ ติดตามหลังร่างลู่อวิ๋นฉีไป
แสงอรุณสว่างบนถนนใหญ่ความครึกครื้นฟื้นกลับคืนมาอีกครั้ง ราวกับพริบตาหนึ่งฝูงชนก็ผุดออกมาจากใต้ดิน รวมตัวกันถกเถียง คุยเล่นถึงเรื่องสนุกหวาดเสียวเมื่อครู่
คุณหนูจวินแนบร่างอยู่กับกำแพงด้านข้าง มองความครึกครื้นนี้นิ่งๆ ครู่หนึ่งถึงได้สติกลับคืนเดินออกมา
ในใจนางว้าวุ่นอยู่บ้าง อยากคิดอะไรแต่ก็ฝืนบังคับไม่ให้ไปคิด จนทำให้สติว่างเปล่าไปบ้าง
นางเดินผ่านท่ามกลางฝูงชน จนกระทั่งมีคนยืนอยู่เบื้องหน้านาง ขวางทางนางไว้
“คุณหนูจวิน?” มีเสียงผู้ชายเอ่ยขึ้น
คุณหนูจวินเงยหน้าขึ้น มองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“คุณชายหนิง” นางเอ่ยเรียก
มองดวงหน้าที่เงยขึ้นรวมถึงเสียงคุ้นเคยที่ลอยเข้าในหู หนิงอวิ๋นเจารู้สึกเพียงดวงตาพร่าไปบ้าง
เป็นนางจริงๆ!
เขาไม่ได้ฝันไปใช่ไหม? หนิงอวิ๋นเจาคิดขึ้นมา
…
หนิงอวิ๋นเจาคืนวานแทบไม่ได้หลับทั้งคืน อ่านจดหมายที่ส่งมาจากหยางเฉิงซ้ำไปมา คิดเรื่องราวมากมาย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร ถึงขนาดที่ไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงนอนไม่หลับ
เหมือนกับตอนยังเล็กได้ยินว่าครอบครัววางแผนออกไปข้างนอกเที่ยวเดินเล่นวันรุ่งขึ้น ตื่นเต้นนอนไม่หลับ คาดหวังให้วันพรุ่งนี้มาถึงเร็วขึ้นอีกนิด จินตนาการว่าจะเล่นอย่างไรจะไปเล่นอะไร
แน่นนอนว่า นี่เป็นคนละเรื่องกับสิ่งนั้นอย่างสิ้นเชิง
คงเป็นเพราะนิทานเรื่องนี้ยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว
เขาเคยอ่านหนังสือมากมาย ได้อ่านเรื่องราวประหลาดมาบ้าง แต่เรื่องราวที่เหมือนกับของคุณหนูจวินยังเพิ่งพบเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ตัวเอกของเรื่องก็ยังเป็นคนคุ้นเคยของตนเอง
แน่นอนว่าก็นับเป็นคนคุ้นเคยไม่ได้
แต่อย่างน้อยก็บอกได้ว่ารู้จักกัน
สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเองรวมถึงคนรู้จัก อย่างไรก็ทำให้คนหวั่นไหวได้มากกว่าเรื่องของผู้อื่นอยู่บ้าง
อย่างไรก็นอนไม่หลับ เขาจึงเรียกบรรดาสหายให้ตื่นออกมากินข้าวเช้าเสียเลย คิดไม่ถึงที่หอน้ำชากลับมองเห็นภาพองครักษ์เสื้อแพรจับบุตรชายของเฉิงกั๋วกง
แน่นอนว่าเรื่องสนุกเช่นนั้นเขาไม่สนใจ
องครักษ์เสื้อแพรไม่อาจทำอันใดบุตรชายเฉิงกั๋วกงได้ อย่างมากที่สุดก็ข่มขู่ให้หวาดกลัวยกหนึ่ง
ก่อนหน้าที่จะมีขุนพลผู้รับภาระหนักทางการทหารปกป้องประเทศแทนเฉิงกั๋วกงได้อย่างมั่นคงเหมาะสม ฮ่องเต้ไม่อาจทำเฉิงกั๋วกงโกรธได้
อย่างไรสงครามที่เมืองหลวงถูกโจมตีแตกก็เพิ่งผ่านไปไม่นาน
แน่นอนว่ากับเฉิงกั๋วกงที่ครองแถบเหนือมานานปีขนาดนี้ ขุมกำลังพลังศรัทธาค่อยๆ หนักแน่น ฮ่องเต้ก็ทรงวิตกอย่างมากเช่นกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม้กระทั่งบรรดาขุนนางแถบเหนือยังพากันเชื่อฟังคำสั่งเฉิงกั๋วกง ถึงขั้นประจบ ตัวอย่างเช่นเฉิงกั๋วกงต้องการให้แถบเหนือเพิ่มความเข้มงวดที่ประตูเมือง ไม่เพียงมณฑลเหอเป่ย แม้กระทั่งมณฑลเหอหนานซานซีก็ล้วนโดดตามกระแสไปด้วย
ดังนั้นฏีการ้องเรียนกล่าวโทษเฉิงกั๋วกงจึงยิ่งมากขึ้นทุกทีเช่นกัน นี่เป็นสัญญาณเตือนแล้วก็เป็นการข่มขวัญ
ทว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาสะบั้นสัมพันธ์ ทุกสิ่งล้วนมีประเทศชาวประชาเป็นสำคัญ
เป็นอย่างที่คิดฝั่งนี้ประจันหน้าเพียงชั่วครู่ ฮ่องเต้ด้านนั้นก็ส่งคนมาคลี่คลายสถานการณ์แล้ว
“ให้ข้าพูด ตอนแรกก็ไม่ควรตามใจเช่นนี้ มีที่ไหนผู้บัญชาการทหารพาลูกเมียไปรับหน้าที่ด้วย”
“บ้านเมืองบ้านเมือง บ้านกับเมืองอยู่ด้วยกัน ยากเลี่ยงกำเริบเสินสาน”
“ครั้งนี้ต้องรั้งบุตรชายของเฉิงกั๋วกงไว้ที่เมืองหลวงแน่”
“เฉิงกั๋วกงในเมื่อส่งบุตรชายกลับมาก็ย่อมตั้งใจเช่นนี้อยู่แล้ว”
“นับว่าเขายังยึดถือฟ้าดินจักรพรรดิครอบครัวอาจารย์อยู่”
บรรดาองครักษ์เสื้อแพรและทหารบนถนนสลายตัวไปหมดแล้ว กลับมาอึกทึกครึกครื้นใหม่ การถกเถียง
ของสหายก็ดังขึ้นตามมา หนิงอวิ๋นเจาดื่มชาไปพลางมองด้านนอกไปพลาง
“ดังนั้นตอนแรกปฐมจักรพรรดิถึงให้ใช้พลเรือนควบคุมทหาร ป้องกันนายทหารอย่างเข้มงวด เพราะปฐมจักรพรรดิรู้ว่าขุนพลแม่ทัพเมื่อเป็นใหญ่ปุบย่อมควบคุมไม่ง่าย” เขาหลุดปากเอ่ยตอบ “ยังมีใครรู้ชัดเรื่องนี้ยิ่งกว่าปฐมจักรพรรดิอีก”
ตอกแรกปฐมจักรพรรดิก็เป็นแม่ทัพก่อกบฏแย่งชิงใต้หล้ามา
บรรดาสหายกระแอมหลายที
“คำพูดนี้พูดไม่ได้…” มีคนรีบเอ่ยขึ้น
คำพูดนี้หากพูดออกไป ใยไม่ใช่บอกว่าเฉิงกั๋วกงมีใจคิดกบฏ
หนิงอวิ๋นเจาหัวเราะ
“ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น” เขาว่า “ข้าเพียงแต่พูดว่า…”
เขาเอ่ยถึงตรงนี้ก็ทะลึ่งลุกขึ้นมา น้ำชาก็ทิ้งไว้บนโต๊ะ คนมองไปบนถนนใหญ่ด้านนอกหน้าต่าง สีหน้าประหลาดใจไม่อยากเชื่อ
“นางมาได้อย่างไร?” เขาหลุดปากเอ่ยขึ้นมา
บรรดาสหายที่กำลังรอคอยคำพูดต่อไปของเขาประหลาดใจ
“ใครมาหรือ?” ทุกคนเอ่ยถาม
แต่หนิงอวิ๋นเจาด้านนี้ไม่เห็นตัวแล้ว ประตูดึงเปิดไว้ ทางเดินในหอเสียงฝีเท้าตึงตึงไกลออกไป
…
หนิงอวิ๋นเจามองเด็กสาวตรงหน้า ความทรงจำที่เดิมทีคิดว่าเลือนรางไปแล้วพริบตาชัดเจนอย่างยิ่ง
ดวงหน้ายังคงเป็นดวงหน้านั้น สีหน้าก็ยังคงเป็นสีหน้าเช่นนั้นเหมือนกัน
แสงตะวันส่องล้อมบนร่างนางราวกับผ้าโปร่งบางเบาผืนหนึ่งคลุมไว้ เหมือนจริงทั้งเหมือนมายา
ข้างกายคนมาคนไป คุยเล่นเอะอะ รถม้าขับผ่าน
นี่คงไม่ใช่ความฝัน
แต่หยางเฉิงกับเมืองหลวงห่างไกลกันพันลี้ นางอยู่ดีๆ โผล่ขึ้นมาเช่นนี้ได้อย่างไร?
“นี่บังเอิญเกินไปแล้วจริงๆ” คุณหนูจวินว่า
ใช่สิ บังเอิญเกินไปแล้วจริงๆ
หนิงอวิ๋นเจาหัวเราะอีกครั้ง อยากพูดอะไรแต่ก็เหมือนพูดสิ่งใดล้วนไม่เหมาะสม
นี่กะทันหันเกินไปแล้ว เขายังไม่ทันคิดเลยว่าควรพูดอะไร
“ใช่แล้ว บังเอิญจริงๆ” เขาเอ่ยขึ้น “เจ้า มาได้อย่างไร?”
เมื่อเขาเอ่ยถามประโยคนี้ ด้านหลังร่างก็มีเสียงพูดดังขึ้น
“นี่ใครหรือ?”
หนิงอวิ๋นเจาสะดุ้งหันหน้าไป ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรสหายล้วนตามออกมา ยืนอยู่ด้านหลังร่างมองประเมินคุณหนูจวินอย่างสงสัยใคร่รู้
เขาลำบากใจนิดหน่อย จากนั้นก็ยิ้มหยันให้กับความลำบากใจของตนเอง
มีอะไรน่าลำบากใจเล่า เด็กสาวคนนี้เป็นคนที่ไม่ควรค่าแนะนำแก่ผู้อื่นงั้นรึ?
“นี่คือคนบ้านเดียวกันกับข้า” เขาเอ่ยอย่างเปิดเผย
สีหน้าบรรดาสหายพิลึก มองเขาแล้วก็มองนาง
“คนบ้านเดียวกันนี่เอง” พวกเขาลากเสียงยาวเอ่ยขึ้น
หนิงอวิ๋นเจาขมวดคิ้วนิดๆ มองไปทางคุณหนูจวิน
คุณหนูจวินยิ้มน้อยๆ แล้ว ย่อตัวคำนับบรรดาชายหนุ่มด้านนี้
“ข้าแซ่จวิน เป็นคนหยางเฉิง” นางเอ่ยขึ้น
นางทำตัวเป็นธรรมชาติ สีหน้าสงบนิ่ง รอยยิ้มจริงใจ ไม่มีท่าทางอึดอัดลำบากใจรวมไปถึงรู้สึกว่าถูกสายตามองประเมินเช่นนี้ คำถามเช่นนี้ล่วงเกินแม้แต่นิด
ทุกสิ่งที่นางทำล้วนเป็นเหมือนเก่าอย่างที่เขาเห็นครั้งแรก นางไม่เคยเปลี่ยน นางก็คือนาง ไม่ใช่คู่หมั้นที่อยู่ในคำเล่าลือพรรณนาของผู้อื่นคนนั้น แต่เป็นคุณหนูจวินที่บังเอิญพานพบในเทศกาลโคมไฟ
……………………………………….