แผนที่แผ่นนี้หลิ่วเอ๋อร์ไม่แปลกหน้า
แผ่นที่นี่ผู้ดูแลเกาส่งมาให้ ต่อมาคุณหนูสั่งให้นางคืนแผนที่แผ่นนี้ให้ผู้ดูแลเกา คิดไม่ถึงว่าคุณหนูจะเอากลับมาอีก
แต่นางไม่แน่ใจนักว่าแผนที่นี้ใช้ทำอะไร
“แผนที่นี้น่ะ ที่วาดไว้คือสถานที่กินดื่มเที่ยวเล่นในเมืองหลวง…” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น มุมปากแต้มรอยยิ้ม “แม้ไม่สวย หยาบอยู่มาก แต่ก็ชัดเจนกระจ่างแจ้ง สำหรับพวกเราคนที่มาเมืองหลวงครั้งแรกเหล่านี้แล้วมีประโยชน์ยิ่งนัก”
หลิ่วเอ๋อร์พิงหัวไหล่นางมองแผนที่
“เอ คุณหนูท่านดู…” นางยื่นมือชี้บนแผนนที่ “ตรงนี้ยังมีห้องส้วมด้วย…”
พูดพลางหัวเราะคิกคัก
“ดีเหลือเกิน พวกเราไม่ต้องกลัวหาห้องส้วมไม่เจอแล้ว นี่สำคัญที่สุดเชียว”
กิจเร่งด่วนทั้งสามของคน[1]สำคัญที่สุดอย่างแท้จริง นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมแผนที่นี้ถึงได้รับความนิยมเช่นนี้
คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า
จูจั้น
นางเงยหน้ามองไปทางด้านหน้า
ตลอดทางที่เดินทางมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้าใกล้เมืองหลวง ศาลาพักม้าก็ดี โรงเตี๊ยมก็ดี ทุกหนทุกแห่งล้วนมีแผนที่นี้ขายอยู่
แผนที่นี้แม้ทางการจะตรวจสอบ แต่เวลาส่วนมากก็ลืมตาข้างหลับตาข้าง เพราะแผนที่จำนวนหนึ่งก็เป็นคนที่ศาลาพักม้าขายอยู่
นายศาลาในศาลาพักม้าส่วนมากฐานะเป็นนายทหาร เห็นได้ชัดว่าถูกจูจั้นใช้ประโยชน์อย่างสมบูรณ์แบบ
จูจั้นได้เงินทองกองย่อมๆ กองหนึ่งแล้ว อย่ามองว่าหนึ่งอีแปะสองอีแปะไม่นับเป็นเงิน สู้จำนวนมากไม่ได้หรอก
คุณหนูจวินเม้มปากยิ้ม
แม้มองเห็นตัวเมืองของเมืองหลวงแล้ว แต่เดินทางขึ้นมาก็ยังมีระยะห่างช่วงหนึ่ง
เมืองหลวงแม้บอกว่าเป็นบ้านของนาง แต่บ้านก็มีเพียงสถานที่ผืนน้อยนั่นในพระราชวังเท่านั้น เวลาอื่นนางล้วนอยู่ต่างถิ่น เมืองหลวงนางไม่คุ้นเคยนักจริงๆ
นางเคยระหกระเหินอยู่ข้างนอกไปมาเร่งรีบไม่มีเวลาเดินเที่ยวเมืองหลวง ต่อมาแต่งงานไม่ออกไประหกระเหินแล้ว ลู่อวิ๋นฉีบอกว่าจะพานางไปกินดื่มเที่ยวเล่นในเมืองหลวง เพียงแต่แต่งงานปีแรกนางไม่มีกะจิตกะใจ ปีที่สองนางก็ตายเสียแล้ว
คุณหนูจวินก้มศีรษะลงมองแผนที่ในมืออีกครั้ง
แต่ตอนนี้ดีแล้ว มีแผนที่แผ่นนี้ นางก็ไปเดินเที่ยวสนุกสนานเองได้แล้วเหมือนกัน
“หลิ่วเอ๋อร์ เหนื่อยหรือไม่?” นางหันกลับไปมองสาวใช้ตัวน้อยเอ่ยขึ้น
ขี่ตะบึงมาตลอดทางเช่นนี้ แม้กระทั่งผู้ชายตัวใหญ่บางคนยังทนไม่ไหว นับประสาอะไรกับสาวใช้ที่นั่งนอนยืนเดินถูกประคบประหงมจนชินเหมือนคุณหนูตระกูลร่ำรวยคนหนึ่ง
ตอนแรกเริ่มหลิ่วเอ๋อร์ลงจากม้าเดินยังไม่ไหว แต่ตลอดทางมานี้นางก็อดทนมาได้
หลิ่วเอ๋อร์ส่ายศีรษะให้นาง
“ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ…” นางเอ่ยเสียงดัง รู้แล้วว่าคุณหนูต้องการทำอะไร นางยื่นมือกอดเอวคุณหนูจวินไว้แน่น “คุณหนู พวกเรารีบเดินทางกันเถอะ”
คุณหนูจวินตบเบาๆ บนมือของนาง
“หลิ่วเอ๋อร์เก่งจริงๆ…” นางเอ่ยขึ้น “นั่งให้ดี”
เก็บแผนที่เข้าไป กำสายบังเหียนแน่น ม้าห้อตะบึงบนถนนใหญ่ฝุ่นฟุ้งเป็นควันลอยตลบ
…
ด้านในโรงน้ำชาซึ่งรายล้อมด้วยร่มไม้ในเมืองหลวง ความร้อนระอุถูกลดทอนลงไปมาก
หนิงอวิ๋นเจายืนอยู่ข้างหน้าต่างมองถนนที่ร่มไม้กระจายไปทั่ว น้ำชาในมือถือไว้เนิ่นนานแล้ว
“อวิ๋นเจา อวิ๋นเจา เติมน้ำชา”
บรรดาสหายด้านหลังร่างร้องเรียก
หนิงอวิ๋นเจาหันหน้ามามองผู้คนยกถ้วยน้ำชาขึ้น
“อย่างไรเจ้าก็นั่งไม่ลง ไม่สู้เติมน้ำชาให้พวกเรา…” พวกเขาหัวเราะเอ่ยขึ้น
หนิงอวิ๋นเจาก็หัวเราะแล้ว เดินไปด้านข้างตามคำบอกชงน้ำชาด้วยตนเอง
“อวิ๋นเจา ที่บ้านเจ้าไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหม…” สหายคนหนึ่งเดินมาเอ่ยถามเสียงเบาอย่างเป็นห่วงเป็นใย “ข้าเห็นเจ้าช่วงนี้รอจดหมายจากที่บ้านอยู่ตลอด”
หนิงอวิ๋นเจาหัวเราะแล้ว
“ไม่เป็นไร” เขาเอ่ยตอบอย่างจริงใจ มองความเป็นห่วงของสหายแล้วคิดนิดหนึ่ง “ไม่ใช่เรื่องของบ้านข้า เป็นเรื่องอื่นบางอย่าง”
คำตอบเช่นนี้จริงใจยิ่งนัก สหายก็รู้จักสมควร แม้ในใจสงสัยอยากรู้ แต่ก็เข้าใจว่าหากถามต่ออีกจะเสียมารยาท ทำให้ทุกคนกระอักกระอ่วน
“ไม่มีเรื่องก็ดีแล้ว…” เขาหัวเราะเอ่ยขึ้น
สิ้นเสียงด้านนอกประตูเสียงฝีเท้าดังตึงตึง ตามติดด้วยประตูถูกดึงเปิด บัณฑิตคนหนึ่งเหงื่อโชกศีรษะวิ่งเข้ามา
“ข่าวใหญ่ ข่าวใหญ่…” เขากดเสียงลงเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น
คนในห้องล้วนตกใจมองที่เขา
“ขุนนางหัวหน้าผู้คุมสอบของเดือนสามปีหน้ากำหนดแล้วหรือ?”
“เร็วขนาดนี้หัวข้อก็หลุดออกมาแล้วหรือ?”
“สอบใหญ่ยกเลิกรึ?”
ยิ่งถามยิ่งไม่เข้าท่า ผู้ที่มาสบถทีหนึ่งโบกมือ ไม่ทันนั่งลงก็ยกน้ำชาถ้วยหนึ่งดื่มคำใหญ่
“เป็นข่าวใหญ่ของหัวหน้ากองพันลู่…” ตอนนี้เขาถึงกดเสียงเอ่ยขึ้น
คนที่นั่งอยู่นั่งตัวตรงทันที
“จอมวายร้ายถูกยึดทรัพย์แล้วรึ?”
“จอมวายร้ายถูกแทงสังหารแล้วรึ?”
มีคนโพล่งถาม ไม่รอผู้ที่มาตอบสหายอีกคนก็หัวเราะแล้ว
“เป็นไปไม่ได้…” เขาเอ่ย “พวกเจ้ายังไม่ได้ยินหรือ? กัวเหล่าหนูขันทีพิธีการ นั่นเป็นถึงขันทีที่ติดตามองค์ฮ่องเต้มาตั้งแต่ตำหนักเดิม หลายวันก่อนหน้าเพิ่งถูกองค์ฮ่องเต้ใช้แท่นฝนหมึกทุบศีรษะแตก ถูกลากออกไปลงโทษโบยเกือบตายเดี๋ยวนั้น ไล่ไปเฝ้าสุสานของอดีตองค์ฮ่องเต้แล้ว”
“นี่ได้ยินมาแล้ว เพราะกัวเหล่าหนูรับเงินคนจงใจเก็บฏีกาไว้นาน ถูกฝ่าบาทค้นพบเข้า ฝ่าบาทเกลียดขันทีที่สร้างอำนาจที่สุดถึงลงโทษหนักหนาเช่นนี้” คนเอ่ยตอบ
วิธีปฏิบัติเช่นนี้ของฮ่องเต้บรรดาขุนนางใหญ่ชื่นชอบยิ่งนัก ทำให้ฮ่องเต้เพิ่มชื่อเสียงสุจริตไปอีก
“ทำไม? หรือนี่เกี่ยวข้องกับจอมวายร้าย?” มีคนเอ่ยถาม
สหายที่พูดทำท่าทางลึกลับมองทุกคน
“แน่นอน หากไม่ใช่จอมวายร้ายลงมือ กัวเหล่าหนูขันทีจากตำหนักเดิมที่ได้รับความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้อย่างยิ่งเช่นนั้นจะถูกผลักล้มง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร” เขาเอ่ยเสียงเบา
“กัวเหล่าหนูคนนี้ไปหาเรื่องจอมวายร้ายได้อย่างไรเล่า? คนเหล่านี้ยังไม่รู้ความร้ายกาจของจอมวายร้ายหรือ?”
“นั่นก็ไม่แน่ จอมวายร้ายคนเช่นนี้ก็เป็นสุนัขบ้าตัวหนึ่ง กัดคนต้องการเหตุผลรึ?”
ในห้องเสียงถกเถียงวุ่นวาย
แย่งความสนใจไปจากคนที่มาผู้ต้องการเล่าข่าวใหญ่อย่างสิ้นเชิง จนเขาอดไม่ได้ต้องเคาะโต๊ะ
“ฟังข้าเล่า ฟังข้าเล่า” เขาเอ่ย
ตอนนี้ทุกคนถึงมองไปทางเขาใหม่อีกครั้ง
“จอมวายร้าย สำหรับขันทีตำหนักเดิมคนหนึ่งก็ไม่ใช่อะไรยิ่งใหญ่นัก พวกเจ้ารู้ว่าพักนี้เขาทำเรื่องอะไรไหม?” คนมากระแอมเบาๆ เอ่ยขึ้น
“ไม่ต้องกั๊กแล้ว”
“เล่าเร็ว”
ทุกคนมองเขากันเอ่ยเร่ง
“เขาซื้อบ้านหลังหนึ่งด้านในตรอกอู๋หมี่” คนที่มาเอ่ยขึ้น
คำพูดนี้ออกมาบรรดาสหายก็ส่งเสียงโห่พร้อมเพรียง
“เขาซื้อบ้านหลังหนึ่งมีอะไรแปลกเล่า?”
“เขามีทรัพย์สมบัติเท่าไรอยู่ข้างนอกที่แจ้งที่ลับ ทุกคนใครไม่รู้”
“ถ้าเข้าบ้านสักหลังก็ไม่มีสิถึงจะแปลกน่ะ”
ตาเห็นในห้องหัวเราะครืน
“พวกเจ้ารู้ว่าบ้านหลังนั้นของเขาไว้ทำอะไรไหม?” คนที่มาแค่นเสียงเหอะเอ่ยขึ้น
“สถานที่คุมขังสอบสวนอย่างไม่เป็นทางการ?”
“ซ่อนสมบัติ?”
ทุกคนคาดเดาเรื่องราวต่างๆ นานา
ผู้ที่มาเพียงส่ายศีรษะ หลังไม่มีใครคาดเดาแล้วถึงเอนตัวไปข้างหน้าเอ่ยเสียงเบา
“เขาเลี้ยงผู้หญิงคนหนึ่งไว้ในบ้านหลังนั้น” เขาเอ่ยช้าๆ
บรรดาสหายเงียบไปวูบหนึ่งจากนั้นก็ฮือฮา สีหน้าไม่อยากเชื่อ
“นี่เป็นไปได้อย่างไร?”
“เดือนนี้เขาก็จะแต่งงานกับองค์หญิงจิ่วหลีแล้ว”
“ต่อให้จะรับภรรยาน้อยเลี้ยงบ้านเล็ก ก็ต้องรอหลังแต่งงานสิ”
ผู้ที่มาพอใจกับอากัปกิริยาตื่นตะลึงของทุกคนอย่างยิ่ง
“จริงแท้แน่นอน” เขาเอ่ย “พวกเจ้ารู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครไหม?”
นี่ใครจะรู้เล่า!
แต่คนอื่นเลี้ยงผู้หญิงไว้เท่าไร ค่อนข้างดีกับคนไหน ลู่อวิ๋นฉีล้วนรู้ได้
บรรดาสหายนิ่งเงียบมองเขา
“ทุกคนยังจำตอนอิงฮวาเดือนสี่ได้ไหม เขาก็ออกมาริมทะเลสาบชมบุปผาด้วยใช่ไหม?” ผู้ที่มาเอ่ยขึ้น
ผู้คนพยักหน้า ลู่อวิ๋นฉีออกมาเดินถนนกลางวันน้อยนัก ดังนั้นทุกคนจดจำได้แม่น
“วันนั้นเขาเข้าไปในเพิงน้ำชาแห่งหนึ่งใช่หรือไม่?” ผู้ที่มาเอ่ยต่อ
ผู้คนพยักหน้าอีกครั้ง
ผู้ที่มานั่งตัวตรงยิ้มติดจะมีเลศนัย
“ที่หัวหน้ากองพันลู่ใช้บ้านหลังหนึ่งเลี้ยงเก็บไว้ก็คือเด็กสาวที่ชงชาในเพิงน้ำชาแห่งนี้เอง” เขาเอ่ยขึ้น
……………………………………….
[1] กิจเร่งด่วนทั้งสามของคน(人的三急) หมายถึงถ่ายเบา ถ่ายหนักและผายลม