ตอนที่ 353 คําสั่งฆ่า
ผู้เยาว์ในชุดสีขาว,อายุประมาณสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี,นั่งอยู่ด้านข้างของฟงซวน
ผู้เยาว์ผู้นี้หน้าตาหล่อเหลาและมีความอ่อนเยาว์ แต่อย่างไรก็ตาม,เขามีกระแสพลังที่นิ่งสงบอย่ายิ่งในตอนที่เขาได้ยินผู้อาวุโสกําลังพูดคุยกันเกี่ยวกับตัวเขา,สีหน้าของเขาก็ไม่มีผันผวนแม้แต่น้อยเขาราวกับเป็นดาบในฝักที่นิ่งสงบ
หลิงเฉินหัวเราะเบาๆและเหลียวไปมองผู้เยาที่เมินเฉยเขาอย่างนิ่งสงบ เขารู้สึกว่าช่างโชคไม่ดีพรสวรรค์ของผู้เยาว์ผู้นี้ต่ํากว่าฉ่ฉาวอริ้นเพียงเล็กน้อย
ที่โต๊ะน้ําชาที่อยู่ด้านหลังไปเล็กน้อย,สายตาอันเย็นชาไร้อารมณ์ของต้วนมู่ฉิงมองกวาดไปตามโต๊ะน้ําชาของศาบากระบี่สวรรค์ราวกับกําลังมองหาใครบางคนอยู่
เมื่อจีชางคงเห็นสายตาของตัวนมู่ฉิง,เขาหัวเราะออกเบาๆและกล่าว “แม่นางตัวนม,เจ้ากําลังมองหาใครบางคน?”
ตัวนมู่ลิ้งถอนสายตากลับมาและกล่าวอย่างไม่แยแส “เจ้าน่าจะกล่าวออกมาเลยว่าข้าถ่าลังมองหาใคร”
ฮวาหยุนเฟย, ที่นั่งอยู่ข้างๆ เข้ามาร่วมสนทนา “คนผู้นั้นยังไม่มาถึง ในครั้งสุดท้ายที่พวกเราพบเขา,เขายังไม่เผยตัวตนออกมา บางที่พวกเราสามารถยืนยันตัวตนของเขาได้ในครั้งนี้
ในปีที่ผ่านมา,ตระกูลเหล่านี้มีสานุศิษย์สายนอกหลายคนที่ตกตาย,ถูกตัดเอาหัวไป
ชัดเจนว่าหัวของพวกเขาถูกนําไปขึ้นรางวัลที่คฤหาสน์หิมะล่องลอย ความตายของสานุศิษย์สายนอกเหล่านั้นไม่ได้ไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับตระกูลมากนักแต่อย่างไรก็ตามมันส่งผลให้ตระกูลของพวกเขาเสียความน่าเชื่อถือ
มันทําให้คนของพวกเขาตื่นกลัว นอกจากนั้น ในปีที่ผ่านมา,สองสามตระกูลชั้นสูงไม่อาจพบแม้แต่ร่องรอยของเซียวเฉิน มันทําให้พวกเขาดูเป็นตัวตลกสําหรับคนทั้งโลก
ตัวนมู่ฉิงกล่าวอย่างมืดมัว “มีใครที่มีคําถามเกี่ยวกับที่พวกเราตกลงกับก่อนที่จะมาถึงหรือไม่?”
ร่องรอยเจตนาฆ่าฟันวูบไหวในดวงตาของฮวาหยุนเฟย เขากล่าวอย่างชั่วร้าย “เบาใจได้เจ้าหมอนั้นสังหารผู้อาวุโสของตระกูลข้าไปหลายคน หากพวกเราสามารถยืนยันตัวตนของมันได้,ข้า,ฮวาหยุนเฟย,จะเป็นคนแรกที่ลงมือ”
สายตาของจีชางคงนิ่งสงบ เขากล่าวอย่างเฉยเมย “มันสังหารลุงของข้า แม่ของข้าสั่งให้ข้าตามสังหารมัน”
ฉ่ฉาวอวน,ที่นั่งอยู่ด้านหน้า,เมื่อได้ยินทั้งหมด ความเย้ยหยันปรากฏขึ้นในดวงตาของเขาอย่างไรก็ตาม,เขาก็ปิดซ่อนเอาไว้อย่างดี,ไม่มีใครสังเกตเห็น
ด้านข้างโต๊ะของนิกายดาบเงาหมอก,เป็นโต๊ะของวังจิตวิญญาณค่ำคืน,มู่เฉิงเสวี่ยยกถ้วยชาขึ้นเบาๆ บางครั้ง,เขาจะเหลือบมองไปที่โต๊ะน้ําชาทางด้านซ้ายเป็นโต๊ะที่จัดเตรียมเอาไว้สําหรับยอดเขาฉิงหยุน
มู่เฉิงเสวียนั่งนิ่งเงียบอยู่ด้านข้าวมู่เยี่ยนเสวี่ยและชรือเฟิง เป็นเพราะวังจิตวิญญาณค่ำคืนอยู่ติดด้านหน้ามากกว่าโต๊ะของตระกูลชรือ,หรือเพิ่งจึงไม่ได้นั่งกับพวกเขาเขาเลือกที่จะเพลิดเพลินไปกับสิทธิพิเศษของวังจิตวิญญาณค่ำคืนที่อยู่โต๊ะที่สองจากด้านขวา
“พี่ใหญ่,ดูเหมือนเจ้าหมอนั้นจะยังมาไม่ถึง ท่านสัญญากับข้าว่าจะสั่งสอนมันแทนข้าท่านคงไม่กลับค่าพูด,ใช่หรือไม่?” ชรือเฟิงถามขึ้นด้วยน้ําเสียงบดบัง
มู่เฉิงเสวี่ยยิ้มเบาๆ,และกระจกทองแดงที่อยู่ส่วนลึกในดวงตาของเขาหมุนวนไม่หยุดเขาวางถ้วยชาลงบนโต๊ะและกล่าวขึ้น “วางใจได้ เจ้าต้องให้ข้าถึงหนึ่งพันหินวิญญาณระดับกลางข้าจะไม่เอาของของเจ้าไปเปล่าๆ”
ผู้นํากลุ่มวังจิตวิญญาณค่ำคืนก็เป็นผู้อาวุโสหนึ่งของพวกเขา เขานั่งอยู่ที่ตําแหน่งหน้าสุดของโต๊ะน้ําชา เมื่อเขาได้ยินคําของมู่เฉิงเสวี่ย,เขาคิ้วขมวดเล็กน้อย “เฉิงเสวี่ยวงจิตวิญญาณค่ำคืนจะได้เกาะชายเสื้อของดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าและมู่เยียนเสวี่ยอย่าทําลายโอกาสอันดีเช่นนี้ลงไปเพราะเรื่องส่วนตัว”
มู่เฉิงเสวี่ยตอบกลับอย่างเคารพ “ข้าเห็นด้วยกับผู้อาวุโสหนึ่งแต่อย่างไรก็ตาม,ข้าเพียงช่วยทําให้น้องชรือสบายใจในขณะเดียวกัน พวกเราสามารถสั่งสอนพวกศาลากระปสวรรค์ว่าวังจิตวิญญาณค่ำคืนของพวกเราไม่ได้ถูกรังแกอย่างง่านดาย”
ผู้อาวุโสหนึ่งพยักหน้าและกล่าว “ข้าได้ยินเรื่องของชรือเฟิลมาแล้ว มันเสื่อมเสียชื่อเสียงของวังจิตวิญญาณค่ำคืนอย่างแน่นอน การสั่งสอนไอ้คนผู้นั้นเกิดประโยชน์
บนถนนตามเส้นทางของฐานส่องสวรรค์,เซี่ยวเฉินเดินตามฝูงชนไปพร้อมกับความมุ่งมั่นเขาไม่รู้ว่าก่อนที่เขาจะได้ไปถึงก็มีคนปักเป้าลงบนหลังของเขาแล้ว
หลิวหรูเยวมองดูฝูงชนที่แออัดและกล่าว “เย่เฉิน,มีคนมากมายเกินไป พวกเราจะเสียเวลามากร่วมมือกันเปิดทางกันเถอะ”
เซี่ยวเฉินก็ตั้งใจจะทําเช่นนั้น ฝูงชนที่แออัดทําให้เริ่มรู้สึกกังวล
พวกเขาทั้งคู่ปลดปล่อยพลังงานของพวกเขาและทําให้เป็นรูปทรงกรวย จากนั้น พวกเขาก็ผสายพลังงานที่ดร้าย,และทางเดินกว้างก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางฝูงชนในทันที
พวกเขาไม่สนใจคําสาปด่าและรีบเดินหน้าต่อไปอย่างรวดเร็ว ความเร็วของพวกเขาเพิ่มขึ้นหลายเท่าในทันที
หลิวสุยเฟิงยิ้มและกล่าว “พวกเราควรจะทําเช่นนี้นานแล้ว หลังจากที่เย่เฉินและข้าต่อสู้เพื่อยอดเขาจึงหยุนและผลลัพธ์ออกมาดี,พวกเราน่าจะขอสภาสูงให้ส่งเรือสงครามมาให้พวกเราสักล่าในอนาคต,ปัญหาพวกนี้ก็จะหมดไป”
สิบนาทีต่อมา,กลุ่มคนทั้งหกก็มาถึงที่หน้าประตูของลานฝึกฝน หลิวหรูเยว่แสดงเหรียญแสดงตนสีทองของนาง,และสานุศิษย์ที่เฝ้าประตูก็นําคนทั้งหกไปที่ทางลในทันทีนอกจากนั้น,มันดูเหมือนว่าสานุศิษย์เหล่านั้นจะไม่ได้นําทางพวกเขาไปที่อัฒจันทร์เหมือนกับคนอื่นๆ
ทางออกของเส้นทางลับนําไปที่ด้านหลังของฐาน สานุศิษย์คนนั้นกล่าวอย่างเคารพ“อาจารย์ ป้าหลิว,ท่านควรเร่งฝีเท้า;เหล่าผู้อาวุโสรอท่านมาเป็นเวลานานแล้ว”
หลังจากที่หลิวหรูเยว่กล่าวขอบคุณ,นางก็นําทั้งห้าคนก้าวไปที่บันไดของฐานดาดฟ้าก่อนที่พวกเขาจะขึ้นไปบนฐาน,เซี่ยวเฉันรู้สึกได้ถึงกระแสพลังอันแข็งแกร่งในทันทีนอกจากนั้นยังมีกระแสพลังที่คุ้นเคย
หลังจากเดินไปตามตามบันไดยาวเหยียด,ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงบนฐานดาดฟ้าเซี่ยวเฉินรู้สึกถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้ายตรงมาทางเขา
เซียวเฉินจดจ่อ,รักษาความนิ่งสงบและเมินเฉยสายตาเหล่านั้น
“หรเยวมาช้า ผู้อาวุโสหนึ่ง,โปรดให้อภัย” หลิวหรูเยว่กล่าวและค่านับมือของนางอย่างเคารพต่อเจียงชื่อ
เจียงชื่อยิ้มและกล่าว “เจ้าก็ไม่ได้มาช้ คนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยังมาไม่ถึง นั่งลงก่อนสิข้าคาดหวังถึงศักยภาพของเยเงินอย่างเต็มที่”
ทั้งกลุ่มนั่งลงที่,และคนรับใช้ก็นําผลไม้เข้ามาและเติมถ้วยน้ําชาของพวกเขา
เซี่ยวเฉินมองเห็นเจตนาสังหารวูบไหวในดวงตาของท่านเจ้ายอดเขาซื้อวัน,ซ่งเฉว ซึ่งเฉวเหลียวมองเซี่ยวเฉินอย่างมีนัยก่อนที่จะถอนสายตากลับไป
ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาวอแวกับคนคนนี้ ก่อนที่ข้าจะได้รับการสนับสนุนจากเหล่าผู้อาวุโส,การสั่งหารบุคคลนี้จะเป็นการสร้างความขุ่นเคืองให้กับศาลากระบีสวรรค์
เมื่อช่วเฉวหันหลังให้กับเซียวเฉิน, มันรู้สึกราวกับมีคนที่มแทงหลังของเขาด้วยกระบี่แหลมคม:มันเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง
มันจะต้องเป็นเจตนาฆ่าฟันของไอ้เด็กเหลือขอนั้น มันเติบโตขึ้นมาได้อย่างน่ากลัว,ซ่งเฉวครุ่ยคิดพร้อมกับกําหมัดแน่น;ความเกลีดชังเติมเต็มหัวใจของเขา
ในตอนที่เซี่ยวเฉินเดินขึ้นมาบนฐานดาดฟ้า,ผู้เยาว์หน้าตาหล่อเหลาที่นั่งอยู่ข้างฟงซวนคิ้วขมวดเล็กน้อยเจตนารมณ์แห่งดาบของเขาระเบิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดและไม่อาจควบคุมได้
“เกิดอะไรขึ้น? ข้าไม่สามารถควบคุมเจตนารมณ์แห่งดาบของข้าได้” ผู้เยาว์ตัวสั้นสายตาระมัดระวังของเขาตรงไปที่เซี่ยวเฉิน
เจตนารมณ์แห่งดาบจะตอบสนองเช่นนี้ก็ร่อเมื่อมันรู้สึกได้ถึงอันตรายหรือเจตนาฆ่าฟันอันแข็งแกร่งนี้เป็นการรับประกันว่าเจ้านายของมันจะไม่ได้รับอันตราย
อย่างไรก็ตาม,ผู้เยาว์ผู้นี่สัมผัสไม่ได้ถึงเจตนารมณ์ฆ่าฟันจากเซียวเฉินแม้แต่น้อยขณะที่เขาจ้องมองผู้เยาว์ในชุดขาว,สีหน้าของเขานิ่งสงบ;ไม่มีความผันผวนในอารมณ์ของเขา
ผู้เยาว์คนนั้นคิ้วขมวดเขาไม่อาจเข้าใจถึงเหตุผล ดังนั้นเขาจึงกระซิบกับเฟิงซวย,เล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับเรื่องนี้
หลังจากที่ฟังชวนย์ได้ฟังดังนั้น,เขารู้สึกประหลาดใจเช่นกัน เขาตรวจสอบเซียวเฉินแย่างละเอียดราวกับว่าการจ้องมองของเขาเป็นดาบคมกําลังทะลุทะลวงผ่านมอติ,พยายามมองลึกลงไปที่ความลับของเซี่ยวเฉิน
สัมผัสวิญญาณของเซียวเฉินตรวจจับพลังงานจิตที่แข็งแกร่งที่กําลังตรวจสอบเขาได้ในทันทีสัมผัสวิญญาณอันแข็งแกร่งเปลี่ยนกลายเป็นกระบี่แหลมคมและตัดพลังงานจิตนั้นลงในทันที
จากนั้นสัมผัสวิญญาณก็รีบเปลี่ยนรูปเป็นเกราะป้องกัน,ขัดขวางไม่ให้พลังงานจิตเข้ามาตรวจสอบเขาเป็นครั้งที่สองในเวลาเดียวกัน,สัมผัสวิญญาณก็ขยายออกไปในทิศทางที่พบังงานจิตนั้นออกมา,พยายามมองหาผู้ที่มาตรวจสอบเขา
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตา,มันรวดเร็วจนน่าตกใจ
อย่างไรก็ตาม อีกฝ่าตัดขาดพลังงานจิตนี้ทิ้งไป ทําให้เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะติดตามร่องรอยสัมผัสวิญญาณของเซี่ยวเฉินหมุนวนอยู่ในอากาศอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะถอนกลับมาอย่างช่วยไม่ได้อย่างไรก็ตาม,เกราะป้องกันได้ตั้งขึ้นมาแล้ว
เซียวเฉินมองกวาดผ่านฝูงชน เขารู้สึกสงสัย: ใครเป็นคนที่ตรวจสอบเขา?
พลังงานจิตที่แข็งแกร่งเมื่อครู่นี้แตกต่างจากระดับขอบเขตกษัตริย์ยุทธทั่วไป มีเพียงครึ่งการสู่ระดับขอบเขตยอดกษัตริย์ยุทธหรือสูงกว่าที่จะมีความสามารถระดับนี้
ครึ่งก้าวสู่ระดับขอบเขตยอดกษัตริย์ยุทธหรือระดับที่สูงกว่าเป็นตัวตนที่เซียวเฉินไม่อาจไปขัดใจได้ในตอนนี้: ไม่มีความจําเป็นที่จะต้องตามหาว่าเขาคือใคร
ข้าเพียงต้องระวังตัว เซียวเฉินถอนสายตากลับมาและเมินเฉยไป
อีกฝ่ายหนึ่ง,ฟงซวนที่ได้เห็นการตอบสนองที่รวดเร็วและพลังงานจิตอันแข็งแกร่งของเซี่ยวเฉิน,เขาตกตะลึงไร้คําพูด
ฟงซวนไม่คาดคิดว่าอีกใยจะตอบสนองได้รวดเร็วเช่นนี้ แต่อย่างไรก็ตาม,เขารู้แล้วว่าทําไมเจตนารมณ์แห่งดาบของหลานชายของเขาถึงไม่อาจควบคุมได้
“ฟงเซ็น,ระวังตัวหากเจ้าเผชิญหน้ากับเขา คนผู้นี้ปิดซ่อนความแข็งแกร่งในสภาวะแห่งการฆ่าล้างเจตจํานงแห่งดาบของเจ้ามาถึงระดับสมบูรณ์ขั้นต้น มันรู้สึกถึงภัยคุกคามเป็นเหตุให้มันปกป้องเจ้าโดยอัตโนมัติ”
ฟงซวนยอธิบายให้ฟังเชินฟังทุกรายละเอียด
เดิมที่เขาตั้งใจจะสังเกตการณ์ต่ออีกสักเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตาม การตอบสนองของเซียวเฉินรวดเร็วเกินไป นอกจากนั้น พลังงานจิตของเขายังรวดเร็วอย่าน่าประหลาดเป็นผลให้สิ่งเดียวที่ฟงซวนพบก็คือสภาวะแห่งการฆ่าล่าง
ขณะที่พวกเขากําลังรอคอยการมาถึงของดินแดนศักดิ์สิทธิ์,ฝูงชนที่โต๊ะน้ําชาก็เริ่มพูดคุยกัน
ถึงอย่างไร มันก็หายากที่จะมีอัจฉริยะมากมายมารวมตัวกันเช่นนี้ การพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาในการบ่มเพาะพลังของพวกเขาเป็นประโยชน์ให้กับทุกคน
ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง,ดวงตะวันสีแดงพลันปรากฎขึ้นหมื่นหมตรบนท้องฟ้า
เมื่อผู้คนมองขึ้นไปและสังเกตอย่างละเอียด,พวกเขาพบส่ามันไม่ใช่ดวงอาทิตย์มันเป็นวิหคเพลิงสีแดงตัวมหึมา
ขนทุกเส้นบนตัวของวิหคมีเปลวเพลิงสีแดง:พวกมันร้อนและรุ่งโรจน์อย่างไร้ขอบเขตกล่าวสั้นๆคือมันดูราวกับดวงอาทิตย์
อณหภูมิภายในลานฝึกฝนเพิ่มขึ้นในทันที มันราวกับอากาศถูกเผาจนเดือดแห้งเป็นผลทําให้หายใจไม่สบายปอด
“ซี่!”
เสียงร้องอันไพเราะดังสะท้อนบนท้องฟ้า วิหคสีแดงขมิ้นสยายปีก,และอํานาจแห่งสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์โบราณแผ่ขยายออกไปทั่วลานฝึกฝน
ผู้บ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งรู้สึกถึงแรงกดดัน จิตวิญญาณยุทธภายในร่างของพวกเขารู้สึกร้อนรนพวกมันหวาดกลัวออกมาจากก้นบึงของจิตใจ
พลังปราณของพวกเขาปั่นป่วนและสะบัดไปรอบอย่างไร้การควบคุม,สร้างความเจ็บปวดในเส้นปราณของพวกเขา
ผู้บ่มเพาะพลังทั้งหมดรีบเร่งพยายามระงับปราณที่ปั่นป่วนในร่างของพวกเขาและสงบจิตใจลง,พยายามควบคุมจิตวิญญาณยุทธที่บ้าคลั่งของพวกเขา
“ฟู!”
วิหคสีเพลิงแดงกระพือปีกของมันและถอนกระแสพลังของมันกลับ ทันใดนั้น,ฝูงชนรู้สึกกดดันลดลง,ความรู้สึกไม่สบายก็หายไปพวกเขาผ่อนคลายลงหลังจากนั้น
“นี่คือสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์, วิหคสีชาด ช่างเป็นแรงกดดันที่น่าหวาดกลัว โชคดี,ที่มันเป็นเวลาเพียงชั่วครู่มิฉะนั้นหากมันกินเวลานานกว่านี้ข้าจะไม่อาจควบคุมจิตวิญญาณยุทธของข้าได้”
“ก่อนการต่อสู้,พลังปราณของพวกเขากลายเป็นปั่นป่วน,และจิตวิญญาณยุทธก็ไม่อาจควบคุมหากเขาประมือกับคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์,พวกเราจะพ่ายแพ้ภายในกระบวณท่าเดียว”