เมื่อความมืดยามราตรีเยื้องกรายมา ในที่สุดเหล่าเจ้าหน้าที่ตรงจุดลงทะเบียนในห้องโถงที่ยุ่งวุ่นวายมาตลอดทั้งบ่ายก็โล่งอก ท่าอวกาศกำลังจะปิด นี่ทำให้โรงเรียทหารที่เข้าร่วมการแข่งขันต่างมาถึงกันเกือบหมดแล้ว…
เจ้าหน้าที่ที่รับปากลั่วเฉากับหานซู่หย่าว่าจะส่งข้อความให้คนนั้นหยิบกระดาษโน้ตที่วางไว้ในลิ้นชักของเคาน์เตอร์ขึ้นมา เขาดูยุ่งยากใจอยู่บ้าง
“พี่ซวี่ ทำไมยังไม่ไปกินข้าวอีกล่ะ?” พวกเขาถึงเวลาทานข้าวแล้วจึงเตรียมตัวออกจากห้องโถง คนที่ถูกเรียกว่า ‘พี่ซวี่’ ผู้นี้แอบถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยปากว่า “พวกนายไปกันก่อนเถอะ ฉันอยู่ที่นี่คนเดียวได้”
คนผู้นั้นเห็นกระดาษในมือพี่ซวี่ก็ขยิบตากล่าวว่า “ที่แท้ก็เพราะการฝากฝังของคนงามนี่เอง พี่ซวี่!” กล่าวจบก็ยังไม่ลืมใช้ไหล่กระแทกพี่ซวี่
พี่ซวี่ผลักอีกฝ่ายอย่างไม่สบอารมณ์ และพูดว่า “อย่าพูดเหลวไหล ยังไม่ไสหัวไปกินข้าวอีก”
เมื่อเห็นคนผู้นั้นเก็บข้าวของพลางหัวเราะคิกคักเตรียมออกไปพร้อมกับทุกคน พี่ซวี่ครุ่นคิดสักพักแล้วก็เอ่ยว่า “สั่งข้าวกลับมาให้ฉันด้วย” ในเมื่อรับปากแล้ว เขาก็ต้องทำให้ได้
“รู้แล้ว รู้แล้ว ไม่กวนเรื่องที่พี่ทำตามคำขอของสาวสวยหรอกน่า” คนผู้นั้นโบกมือ เอ่ยอย่างไม่สนใจเลยสักนิดเดียว
พี่ซวี่ยิ้มอย่างเอือมระอา ถึงแม้สาวสวยเป็นเหตุ แต่สาเหตุใหญ่ที่สุดคือเขาไม่อยากผิดสัญญากับคนอื่น
ไม่นาน ห้องโถงก็เปลี่ยนเป็นเงียบงันขึ้นมา พี่ซวี่ได้แต่นั่งอยู่ในเขตทำงานคนเดียว เปิดอุปกรณ์สื่อสาร เริ่มค้นดูข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับศึกประลองหุ่นรบในครั้งนี้
“ที่แท้ นอกจากเฉียวถิงที่โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งส่งมาแล้ว โรงเรียนทหารชายที่สองกับที่สามก็ไม่ได้ด้อยเหมือนกัน นึกไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะส่งนักเรียนปีหกที่เลื่อนขั้นเป็นผู้ควบคุมไพ่ราชาเหมือนกันมาด้วย…ดูท่าการแข่งขันคราวนี้น่าจะเป็นการต่อสู้ของพยัคฆ์มังกรแล้ว”
“ต่อให้เป็นโรงเรียนทหารสหศึกษาสหพันธรัฐที่หนึ่งของเด็กสาวสองคนนั้น คนที่นำทีมก็ไม่เลวเหมือนกัน หลินเซียว ฉันจำหมอนี่ได้ เอ๋? ไม่ได้ระบุระดับหุ่นรบชัดเจน ครั้งที่แล้วเขาก็เคยเข้าร่วม เขาอยู่ปีสามก็เป็นผู้ควบคุมระดับพิเศษแล้ว ตอนนี้อยู่ปีหกแล้ว ยังหยุดอยู่ที่ผู้ควบคุมระดับพิเศษอีกหรือไง?” แววตาของพี่ซวี่ดูใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง เขาจำหลินเซียวได้ เพราะว่าชื่อนี้อ่านคล้ายคลึงแต่ว่าเขียนคนละตัวกับชื่อของหลิงเซียวที่เป็นไอดอลของเขา ก็เลยประทับอยู่ในความทรงจำ
“การแข่งขันครั้งนี้น่าสนุกขึ้นมาแล้ว โรงเรียนทหารพวกนี้ถึงกับส่งนักเรียนปีหกออกมาเพื่อกดหัวโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งไว้ นานมากแล้วที่นักเรียนปีหกไม่โผล่ออกมา จนเกือบลืมไปเลยนะเนี่ยว่าโรงเรียนทหารเป็นระบบหกปี” พี่ซวี่พึมพำกับตัวเอง
“โรงเรียนไหนส่งปีหกมาเหรอครับ พี่ชาย คุณบอกผมได้หรือเปล่า?” ทันใดนั้นเอง เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ข้างหูพี่ซวี่ พี่ซวี่ตกใจ เงยหน้าขึ้นมาฉับพลัน ก่อนจะเห็นว่าเบื้องหน้ามีศีรษะใหญ่กำลังเท้าคางอยู่บนเคาน์เตอร์ มองเขาด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้
พี่ซวี่ตั้งสติถึงค่อยสังเกตเห็นว่า ในห้องโถงปรากฏชายสองคนอย่างไร้ที่มาที่ไป หนึ่งคือเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลามากซึ่งเปี่ยมไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ตรงหน้านี้ ส่วนอีกคนหันหลังให้เขา มองไปยังประตูใหญ่คล้ายกับกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง
“นี่ พี่ชาย ผมกำลังถามพี่อยู่นะ? โรงเรียนไหนส่งนักเรียนปีหกมาเหรอครับ รีบบอกผมหน่อยสิ” เด็กหนุ่มหล่อเหลาเผยรอยยิ้มกว้าง เจิดจ้าเสียจนทำให้คนไม่อาจปฏิเสธได้
พี่ซวี่พูดโพล่งออกมาว่า “โงเรียนทหารชายที่สองกับที่สาม แล้วก็โรงเรียนทหารสหศึกษาสหพันธรัฐที่หนึ่งด้วย” พอกล่าวออกมาแล้ว พี่ซวี่ก็หงุดหงิดใจเล็กน้อยว่า ทำไมเขาถึงพูดแบบนี้ เขาเผยสายตาระแวง เอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “นายเป็นใคร? มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
เด็กหนุ่มคนนั้นเผยรอยยิ้มที่เปิดเผยจริงใจออกมาอีกครั้ง ตอบกลับว่า “ขอโทษทีครับ รบกวนพี่ชายแล้ว ผมชื่อเซี่ยอี๋ มาจากโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งครับ” เขายืนตัวตรง เห็นพี่ซวี่เพ่งความสนใจไปที่ด้านหลังตน เขาก็ยกมือขวาขึ้นมา ชี้ไปที่เด็กหนุ่มด้านหลังตัวเองด้วยนิ้วโป้งพลางกล่าวว่า “หมอนั่นชื่อลั่วล่างครับ พี่ชายไม่ต้องสนใจเขาหรอก ตราบใดที่ลูกพี่ของเรายังมาไม่ถึง หมอนั่นก็จะเป็นคนปิดปากเงียบแหละครับ”
จากนั้นเขาก็ถามอีกว่า “พี่ชาย ผมควรเรียกพี่ว่าอะไรดี?”
รอยยิ้มที่สดใสร่าเริงรวมถึงท่าทีเคารพนับถือของเด็กหนุ่มได้รับความประทับใจดีๆ จากพี่ซวี่แล้ว เขาตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ชื่อซ่งเหยียนซวี่ นายเรียกฉันว่าพี่ซวี่ก็ได้”
“ได้ครับ พี่ซวี่” เซี่ยอี๋ไหลไปตามน้ำ เอ่ยรับคำทันที
“พวกนายมาจากโรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง ลงทะเบียนกันแล้วหรือยัง?” ซ่งเหยียนซวี่เปิดออปติคัลคอมพิวเตอร์ เอ่ยถามอย่างคล่องแคล่ว
“โรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง? พวกนายมากันแล้ว!” ซ่งเหยียนซวี่ไม่รอให้เซี่ยอี๋ตอบ และร้องอุทานขึ้นมาโดยพลัน เขาเพิ่งจะตระหนักได้ว่าคนตรงหน้านี้มาจากโรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง
ซ่งเหยียนซวี่รีบหยิบกระดาษออกมาแล้วยื่นให้เซี่ยอี๋พลางพูดว่า “ตอนบ่าย มีเด็กผู้หญิงสองคนมาหาพวกนายที่มาจากโรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง แถมยังทิ้งข้อความไว้ด้วย พวกนายดูหน่อยสิว่า รู้จักกันหรือเปล่า”
เซี่ยอี๋รับกระดาษมาอย่างงุนงง เมื่อเขาเปิดอ่านก็อุทานด้วยความตกใจว่า “อ้า น้องสาวลั่วเฉากับหานซู่หย่านี่นา”
สิ้นคำพูด กระดาษในมือก็ถูกมือเรียวข้างหนึ่งฉกไป ลั่วล่างคว้ากระดาษมา กวาดตามองอย่างรวดเร็ว ยากจะปกปิดความตกตะลึงเอาไว้ได้ “ไม่นึกเลยว่าพวกเธอก็เข้าร่วมศึกประลองหุ่นรบด้วย…”
คิดทบทวนดูแล้ว ช่วงนี้ตอนที่ติดต่อกับลั่วเฉา เธอดูขี้ตื่นอยู่บ้างจริงๆ ผิดปกติมาก ตอนนั้นยังนึกว่าน้องสาวของเขาขี้กลัว เวลานี้ขบคิดแล้วก็เข้าใจ น้องสาวของเขาปิดบังพวกเขา อยากเซอร์ไพรส์พวกเขาอย่างแน่นอน เหอะๆ แยกจากเขาไปปีกว่า ความกล้ามากขึ้นแล้ว ถึงกับกล้าปกปิดเขา…
ลั่วล่างงุ่นง่านใจ วางกระดาษในมือลงอย่างจนปัญญา เขาเดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว แล้วเบียดเซี่ยอี๋ไปด้านข้าง เอ่ยถามซ่งเหยียนซวี่ที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานว่า “พี่ซวี่ พวกเธอยังทิ้งข้อความอื่นไว้หรือเปล่าครับ?”
ซ่งเหยียนซวี่ได้ยินคำกล่าวก็อดเงยหน้าไม่ได้ เมื่อเห็นดวงหน้าที่คุ้นเคยนั้น เขาพลันเอ่ยด้วยความยินดีว่า “เธอมาได้จังหวะจริงๆ คนของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งมาถึงแล้ว พี่เพิ่งจะเอากระดาษโน้ตที่เธอทิ้งไว้ให้พวกเขาเอง” เขาชี้ไปที่เซี่ยอี๋พลางพูดว่า “เขาก็คือคนของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง เธอถามเขาได้เลย”
เซี่ยอี๋ได้ยินคำกล่าวก็หัวเราะลั่นขึ้นมาทันที ส่วนลั่วล่างก็โมโหแทบบ้า ใบหน้าทั้งดวงแดงก่ำ เขาเป็นผู้ชาย ผู้ชาย ผู้ชายยย!
เสียงหัวเราะดังลั่นของเซี่ยอี๋ทำให้ซ่งเหยียนซวี่อึ้งไป พอเห็นดวงหน้าที่คุ้นเคยไม่ได้เผยรอยยิ้มขัดเขิน หากแต่เป็นโทสะที่พุ่งเสียดฟ้า เขาก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องมากๆ แล้วก็เห็นว่าเครื่องแบบของอีกฝ่ายเหมือนกับเซี่ยอี๋ที่อยู่ข้างๆ ทุกกระเบียดนิ้ว…
“ธะ…เธอ…เธอเป็นผู้ชาย?” ซ่งเหยียนซวี่ชี้ลั่วล่างอย่างตกตะลึง ทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
เซี่ยอี๋โอบคอของลั่วล่างไว้ อธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่ครับ เขาเป็นพี่น้องของผมเอง และก็เป็นนักเรียนของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งด้วย ชื่อว่าลั่วล่าง ลั่วเฉาที่คุณเห็นคือน้องสาวฝาแฝดของหมอนี่ครับ”
ซ่งเหยียนซวี่ถึงค่อยเชื่อ เขาอดพึมพำเสียงเบาไม่ได้ว่า “น่ากลัวฉิบ ทำไมเหมือนน้องสาวไม่มีผิด? ไม่เหมือนผู้ชายเลยสักนิด?”
ถึงแม้ซ่งเหยียนซวี่พูดเสียงเบาหวิวสุดขีด แต่ลั่วล่างคือใคร เขาย่อมได้ยินชัดเจนอยู่แล้ว คิ้วทั้งสองข้างของเขาเลิกขึ้น ขณะที่กำลังจะบันดาลโทสะ ก็ถูกเซี่ยอี๋ที่ได้ยินเหมือนกันห้ามปรามไว้ “ลูกพี่ใกล้จะมาแล้ว อย่าก่อเรื่อง”
นี่ถึงค่อยทำให้ลั่วล่างฝืนสะกดกลั้นความโกรธเกรี้ยวได้ เขาเกลียดเวลามีคนบอกว่าเขาเหมือนผู้หญิงมากที่สุด ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากนำพาปัญหามาให้ลูกพี่ของเขาละก็ เขาจะท้าดวลกับอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
อย่างที่คาดไว้จริงๆ ไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นด้านนอกห้องโถง ฟังเสียงแล้วจำนวนคนนับว่าไม่น้อย
คนที่นำหน้าเข้ามาคือ ชายหนุ่มที่ดูหล่อเหลาทรงพลังสวมชุดเครื่องแบบทหารสีขาว ดวงตาคมกริบ เป็นคนที่พูดคำไหนคำนั้นแน่นอน ซ่งเหยียนซวี่รู้ว่ามีเพียงนักเรียนดีเด่นเท่านั้นถึงมีคุณสมบัติสวมชุดสีนี้ได้ กอปรกับท่าทางของคนผู้นี้รวมถึงดวงหน้าที่เต็มไปด้วยความเคารพนอบน้อมของคนที่ติดตามอยู่ข้างกาย เขาก็รู้ว่าคนผู้นี้น่าจะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญอันดับหนึ่งของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง
ซ่งเหยียนซวี่ลุกขึ้นมา เอ่ยถามเสียงดังว่า “คนของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งสินะ? รบกวนเข้ามาลงทะเบียนด้วยครับ”
ชายหนุ่มในเครื่องแบบสีขาวได้ยินคำกล่าวก็พาคนเหล่านั้นเดินตรงเข้ามา เซี่ยอี๋เห็นแบบนั้นก็ยิ้ม และพาลั่วล่างถอยไปด้านข้าง เปิดที่ให้อีกฝ่าย
“ไม่ทราบว่า ต้องเรียกคุณว่าอะไรครับ?” ซ่งเหยียนซวี่เอ่ยถามด้วยท่าทีเคารพนับถือ
“เฉียวถิง!” ชายหนุ่มตอบชัดเจน จากนั้นก็หยิบป้ายชื่อออกมาจากในกระเป๋า ก่อนจะยื่นให้ซ่งเหยียนซวี่
ซ่งเหยียนซวี่รับป้ายซื่อแล้วแสกนกับออปติคัลคอมพิวเตอร์ ออปติคัลคอมพิวเตอร์รับข้อมูลจากในป้ายชื่อ เป็นเฉียวถิงที่ถูกขนานนามว่าเป็นหลิงเซียวคนที่สองในคำเล่าลือคนนั้นจริงๆ ด้วย ระดับหุ่นรบไพ่ราชา เวลาเดียวกันก็เป็นคนที่ได้รับเลือกให้เป็นกำลังรบสำคัญอันดับหนึ่งของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งด้วย
หลังจากที่เฉียวถิงลงทะเบียนเสร็จแล้ว ซ่งเหยียนซวี่ก็ยื่นคีย์การ์ดห้องมาให้เขาหนึ่งใบ นี่เป็นสถานที่พักผ่อนของเฉียวถิงนับจากนี้ไปอีกครึ่งเดือน นี่ก็บ่งบอกว่าขั้นตอนการลงทะเบียนของเฉียวถิงเสร็จสิ้นแล้ว คนที่ตามหลังเฉียวถิงรีบหยิบป้ายชื่อของตัวเองออกมา และยื่นให้ซ่งเหยียนซวี่ทำการลงทะเบียนทันที นี่เป็นขั้นตอนที่จำเป็นอย่างหนึ่ง ถ้าเกิดไม่ทำการลงทะเบียน พวกเขาก็จะสูญเสียคุณสมบัติในการเข้าร่วมศึกประลองหุ่นรบ
มีคนเข้ามาพร้อมกับเฉียวถิงยี่สิบกว่าคน เนื่องจากมีซ่งเหยียนซวี่รับผิดชอบลงทะเบียนคนเดียว เขาจึงยุ่งจนหัวหมุนหน้าผากหลั่งเหงื่อลงมาอย่างรวดเร็ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะลงทะเบียนให้คนเหล่านี้เสร็จ นี่ถึงทำให้เขานึกขึ้นได้ว่าสองคนที่มาในตอนแรกนั้นยังไม่ได้ลงทะเบียนเลย เขากำลังคิดจะตะโกนเรียกพวกเขาเข้ามา ทว่าเห็นเฉียวถิงเดินผ่านตัวสองคนนั้น…
เซี่ยอี๋กับลั่วล่างไม่ได้แสดงท่าทีอ่อนน้อมเหมือนกับคนอื่นๆ ตรงกันข้าม พวกเขากลับทำหน้าสบายๆ เซี่ยอี๋ถึงขนาดทักทายเฉียวถิงอย่างเป็นกันเองว่า “รุ่นพี่เฉียว ดีครับ”
ซ่งเหยียนซวี่เห็นแบบนี้ก็อึ้งไปทันที กำลังรบหลักอันดับหนึ่งคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดของโรงเรียน เขาชินกับการเห็นผู้ติดตามทำตัวเปี่ยมไปด้วยความเคารพนับถือ ทว่าท่าทีของเซี่ยอี๋กับลั่วล่างที่ไม่อาจเรียกได้ว่ามีความเคารพเกรงใจเช่นนี้ทำให้ซ่งเหยียนซวี่รู้สึกประหลาดใจ เขากลืนคำพูดที่อยากตะโกนเรียกให้พวกเขาเข้ามา เตรียมตัวดูสถานการณ์ต่อไป
เฉียวถิงได้ยินคำกล่าวก็ชะงักฝีเท้าโดยพลัน ก่อนจะหันหน้าไปหาเซี่ยอี๋และลั่วล่าง เขาไม่ได้โมโหเพราะท่าทีของพวกเขา และก็ไม่ได้เมินอีกฝ่ายด้วย ตรงกันข้าม เขากลับพูดขึ้นเองว่า “ลูกพี่ของพวกนายอยู่ด้านหลัง อีกเดี๋ยวก็มาถึงแล้ว…”
ลูกพี่ของพวกนาย? หรือว่าครั้งนี้โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งส่งกลุ่มอำนาจมาสองแห่ง? กลุ่มอำนาจทั้งสองนี้ยังไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน? ซ่งเหยียนซวี่สงสัยใคร่รู้แล้ว ต่อให้ไม่ใช่คนของโรงเรียนก็รู้กฎระเบียบของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งดีว่า ศึกประลองหุ่นรบแต่ละครั้งจะส่งกลุ่มหุ่นรบที่ได้รับตำแหน่งกลุ่มอำนาจอันดับหนึ่งมาเสมอ
“ขอบคุณนะ รุ่นพี่เฉียว!” เซี่ยอี๋ยิ้มขอบคุณให้เฉียวถิง เฉียวถิงยังอยากกล่าวอะไรบางอย่าง แต่สังเกตเห็นคนของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งมาอีกกลุ่มใหญ่ก็หยุดชะงักไป เขาพยักหน้าให้กับเซี่ยอี๋และลั่วล่าง กล่าวว่า “พวกเราไปก่อนล่ะ”
กล่าวจบ เฉียวถิงก็พาคนของเขาออกจากห้องโถง เซี่ยอี๋กับลั่วล่างถึงค่อยเพ่งความสนใจไปยังคนที่เพิ่งเข้ามาในห้องโถงเหล่านี้ พวกเขาคือหน่วยรบของเทียนจีกับอู๋จี๋ ยึดครองห้องโถงกันคนละฝั่ง ทั้งสองฝ่ายแยกห่างจากกันมาก มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นกลุ่มคนที่มาจากสองฝ่าย
———————–