“ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง…” หลิงหลานนึกถึงการตัดสินใจตั้งแต่แรกของเธอก็เอ่ยว่า “ได้ นายแจ้งลงไป หกโมงเย็นวันนี้ พวกเราจะเปิดประชุม” ควรให้พวกเขารู้ความคิดของเธอแล้ว
“ได้ ลูกพี่หลาน” พอได้รับเวลาที่แน่นอนแล้ว อู่จย่งก็ตอบกลับด้วยความดีใจ พวกเขามีเวลาแค่หนึ่งอาทิตย์ในการยืนยันรายชื่อ ถึงแม้หนึ่งร้อยไม่นับว่ามาก ทว่าอยากเลือกคัดเลือกนักเรียนที่โดดเด่นจากในภาควิชาทั้งหมดของทั้งโรงเรียน และยินดีเข้าร่วมหลิงเทียนของพวกเขานั้น อู่จย่งยังคิดว่าเวลากระชั้นชิดไปบ้าง
ไม่ช้า ราตรีก็เยื้องกรายลงมา หลิงหลานมาถึงศูนย์บัญชาการหลิงเทียน เธอเพิ่งก้าวเข้ามาในประตูใหญ่ หนึ่งในเจ้าหน้าที่ต้อนรับที่อยู่ในห้องโถงของศูนย์บัญชาการเห็นหัวหน้ากลุ่มของตัวเองมาถึง ปฏิกิริยาตอบสนองของเขารวดเร็วมาก พุ่งไปที่ลิฟต์ทันที ก่อนจะช่วยหลิงหลานกดลิฟต์ด้วยความกระตือรือร้น
หลิงหลานพยักหน้าน้อยๆ ให้สมาชิกกลุ่มคนนั้น บ่งบอกว่าขอบคุณ เมื่อเห็นประตูลิฟต์เปิดออก เธอก็ก้าวเข้าไปและหมุนกายกดชั้นที่ตัวเองต้องไป
ประตูลิฟต์เพิ่งจะปิด ความสามารถในการฟังของหลิงหลานดีเยี่ยมมาก ได้ยินเสียงพูดคุยด้วยความตื่นเต้นดังขึ้นด้านนอกว่า “สวรรค์ ไม่นึกเลยว่าฉันจะได้เจอหัวหน้ากลุ่มอันดับหนึ่งในตำนาน ลูกพี่หลานเท่มากจริงๆ” เห็นได้ชัดว่านี่คือสมาชิกที่เพิ่งเข้าร่วมหลิงเทียน สมาชิกเก่าย่อมเคยเห็นหลิงหลานแน่นอน
“อันจื่อ นายแม่งเร็วเกิน ฉวยโอกาสเข้าไปเจอลูกพี่ใกล้ๆ” สมาชิกคนหนึ่งเห็นเด็กหนุ่มยังคงยืนอยู่ข้างลิฟต์ เอ่ยด้วยเสียงที่เผยความริษยา
“พี่หลัว เมื่อตะกี้หัวหน้าพยักหน้าให้ฉันใช่ไหม…” คนที่ยืนอยู่หน้าประตูลิฟต์ผู้นั้นคล้ายกับยังไม่เชื่อฉากที่ตนเองเห็น น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความเพ้อฝัน
“ใช่ไง! ลูกพี่หลานเย็นชามาก แต่ครั้งนี้เขากลับตอบนาย นายแม่งโชคดีเกินไปแล้ว…” คนที่ถูกเรียกว่าพี่หลัวเอ่ยด้วยความอิจฉา
“ใช่ๆ พวกเราเห็นกันหมดเลย ลูกพี่ทั้งเท่ทั้งเย็นชาขนาดนี้ มองเขาแวบเดียวก็กลัวจนใจสั่นแล้ว แต่เขากลับพยักหน้าให้นาย นายโคตรโชคดี” สมาชิกทุกคนที่รั้งอยู่ในห้องโถงอิจฉาริษยาแค้นใจแล้ว แทบจะกระโจนเข้าไปรุมอัดเจ้าคนที่ดูตื่นเต้นมากเกินไป แม่งเอ๊ย ทำไมเมื่อตะกี้พวกเขาถึงช้าไปหนึ่งจังหวะนะ?
เสียงดังเกรียวกราวในห้องโถงทำให้หลิงหลานอายจนเหงื่อตก ไม่นึกเลยว่าเธอแค่พยักหน้าให้หมอนั่นตามมารยาท ก็ทำให้สมาชิกเหล่านี้ตื่นเต้นได้แล้ว หรือว่าปกติแล้วเธอทำตัวสูงส่งเย็นชามากเกินไป?
หลิงหลานย่อมไม่รู้ว่า เนื่องจากเธอโยนเรื่องทุกอย่างให้หัวหน้ากลุ่มอีกสามคน เลยไม่ได้โผล่ตัวออกมาในเวลาปกติ สมาชิกทั่วไปอยากเจอหน้าเธอ โอกาสช่างเลือนราง นี่ทำให้เธอกลายเป็นหัวหน้ากลุ่มที่ลึกลับที่สุดในสายตาของสมาชิก กอปรกับเธอนำพาหลิงเทียนสร้างปาฏิหาริย์ครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เธอกลายเป็นไอดอลของบรรดาสมาชิกกลุ่ม ด้วยเหตุนี้ สมาชิกทั่วไปเจอหลิงหลานก็มักจะยากปกปิดความตื่นเต้นเอาไว้ได้
เมื่อหลิงหลานเดินเข้าไปใกล้หน้าประตูห้องประชุม ก็ได้ยินเสียงเอะอะจากด้านใน บรรยากาศดีเยี่ยมมาก หลิงหลานผลักประตูทันที ก่อนจะเห็นพวกระดับสูงทุกคนของหลิงเทียนมาถึงกันแล้ว กำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะประชุม พูดคุยกันอย่างคึกคัก ถึงขนาดที่มีคนคุ้นหน้าหลายคนหยอกเล่นกัน เมื่อเห็นหน้าประตูมีการเคลื่อนไหวก็หันหน้าพร้อมเพรียงกัน พอพวกเขาเห็นว่าคนที่มาคือ หลิงหลาน หัวหน้ากลุ่มของพวกเขาก็เงียบกริบทันที จากนั้นก็พากันลุกขึ้นมาจากที่นั่งอย่างรวดเร็ว ก้มศีรษะร้องเรียกว่า “ลูกพี่!”
หน้าผากหลิงหลานขึ้นขีดดำหลายเส้นทันที ถึงแม้พวกฉีหลงคอยเรียกเธอว่าลูกพี่มาตลอด แต่นั่นเป็นเพื่อนที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กๆ ตอนแรกเป็นการเรียกออกมาอย่างล้อเล่น สุดท้ายเป็นเพราะพวกเขาเรียกจนชินแล้วก็เลยปล่อยให้ทำไป แต่หัวหน้าทีมพวกนี้ต่างเข้าร่วมทีหลัง ถึงขนาดที่มีหลายคนยังเข้าร่วมกลุ่มหลังจากที่เข้าโรงเรียนทหารด้วย ถูกเรียกว่าลูกพี่ด้วยเสียงที่ดังร่วมกันมากมายแบบนี้ทำให้หลิงหลานเข้าใจผิดนิดหน่อยว่า เธอเป็นมาเฟียที่ชั่วร้าย!
“เรียกหัวหน้ากลุ่มก็พอ ไม่ต้องเรียกว่าลูกพี่” หลิงหลานตัดสินใจว่าจะแก้ไขทัศนคติที่ผิดพลาดของทุกคน กอบกู้ภาพลักษณ์หัวหน้ากลุ่มที่เจิดจรัสของตัวเองกลับมา เลยเอ่ยปากกล่าว เธอกวาดสายตาเย็นเยียบออกไป แฝงไปด้วยการข่มขู่เล็กน้อย หวังว่าต่อไปทุกคนจะไม่เรียกผิดอีก
บางทีสายตาเย็นชาของหลิงหลานอาจจะคุกคามมากเกินไป ทุกคนเลยก้มหน้างุดอีกครั้งภายใต้สายตาบีบคั้นของหลิงหลาน และตอบว่า “ครับ ลูกพี่”
หลิงหลานพูดไม่ออก นี่ถือว่าเป็นการรับปากเหรอ? แต่ทำไมยังเรียกเธอว่าลูกพี่ล่ะ? หลิงหลานมองสามคนที่ยืนต้อนรับเธออยู่ตรงหน้าประตู อู่จย่งกับหลี่อิงเจี๋ยคือเพื่อนร่วมงาน ไม่สามารถกดดันได้ ดังนั้นเธอเลยกวาดสายตาอำมหิตไปที่ฉีหลง หวังว่าหมอนี่จะเข้าใจสถานการณ์ ทำให้ทุกคนเปลี่ยนคำเรียกเธอเป็นหัวหน้ากลุ่ม เธอตั้งกลุ่มหุ่นรบ ไม่ใช่แก๊งมาเฟียนะ…
ฉีหลงต้านรับสายตาอำมหิตของลูกพี่ตัวเอง เอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “ลูกพี่ เริ่มประชุมได้หรือยัง?”
ได้ ฉีหลง นายเก่งมาก ไม่นึกเลยว่าจะไม่ยอมรับคำขู่ของฉัน กลับไปแล้วฉันจะจัดการนาย! หลิงหลานลอบกัดฟัน ทว่าฉากหน้าได้แต่ผงกศีรษะอย่างเย็นชาเท่านั้น
เมื่อเห็นหลิงหลานพยักหน้า ทุกคนค่อยพรูลมหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง ช่วยไม่ได้นี่นา พลังทำลายล้างในสายตาของลูกพี่หลานแข็งแกร่งมากเกินไป ไม่มีใครกล้าพูดจาขณะต้านทานสายตานั้น แต่ว่าฉีหลงยังคงหัวแข็ง ทุกคนส่งสายตานับถือให้ฉีหลงเงียบๆ ส่วนฉีหลงก็ลอบปาดเหงื่อ ว่าไปแล้ว ช่วงนี้กลิ่นอายพลังของลูกพี่แข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว กระทั่งเขาที่อยู่ข้างกายลูกพี่มาตลอดทั้งปีก็รู้สึกกดดันอย่างหนัก
หลิงหลานเดินเข้ามาในห้องประชุมภายใต้การติดตามของทั้งสามคน ฉีหลงชิงขึ้นหน้าก่อนหนึ่งก้าว ดึงเก้าอี้หัวโต๊ะประชุมออกด้วยความกระตือรือร้น แล้วเชื้อเชิญให้หลิงหลานนั่งลง หลังจากที่หลิงหลานนั่งลงไป และกวาดสายตาเย็นชามองพวกระดับสูงที่ยังคงยืนอยู่รอบหนึ่งแล้ว เธอถึงค่อยกล่าวว่า “นั่งสิ!”
“ครับ ลูกพี่!” เมื่อได้ยินหลิงหลานสั่งให้นั่งลง ทุกคนถึงค่อยนั่งลงมา ทว่าบรรยากาศในตอนนี้ไม่ได้คึกคักเหมือนตอนที่หลิงหลานยังไม่ได้เข้ามาแล้ว หากแต่เงียบกริบ
หลิงหลานกวาดตามองรอบหนึ่ง พบว่าคนที่เข้าร่วมการประชุม นอกจากหัวหน้าหน่วยรบกับพวกหัวหน้ากลุ่มสี่คนแล้ว หลี่หลานเฟิงกับหานจี้จวินที่เป็นเสนาธิการของหลิงเทียนก็เข้าร่วมการประชุมด้วย หลี่ซื่ออวี๋กับฉางซินหยวนที่เป็นนักเรียนดีเด่นของภาควิชาแพทย์ทหารกับช่างพัฒนาหุ่นรบอัจฉริยะก็เข้าร่วมประชุม ส่วนจ้าวจวิ้นที่เป็นกำลังรบอันดับหนึ่งในฉากหน้าของหลิงเทียนก็ถูกเชิญให้เข้าร่วมเป็นพิเศษเช่นกัน
หลินจงชิงเป็นเลขาจดบันทึกไฟล์การประชุม นั่งอยู่ด้านหลังหลิงหลานด้วยกัน ส่วนลั่วล่างกับเซี่ยอี๋กลับถูกลดขั้นเป็นเด็กเสิร์ฟชาอย่างน่าสงสาร รินน้ำ รินชาให้กับพวกหัวหน้าทีมต่างๆ ที่เข้าร่วมการประชุม…
สรุปคือ ทุกคนของหน่วยรบเธอต่างอยู่ในห้องประชุมกันหมด ไม่มีขาดไปเลยสักคน…หลิงหลานเหลือบมองอู่จย่งอย่างใคร่ครวญแวบหนึ่ง
อู่จย่งเห็นหลิงหลานชายตามองมาอย่างเย็นชา เขาก็กระแอมไอที่หนึ่ง เอ่ยปากกล่าวว่า “ในเมื่อลูกพี่มาแล้ว พวกเราก็เข้าสู่วาระการประชุมอย่างเป็นทางการ เมื่อวานทางระดับสูงของโรงเรียนประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่าจะมอบสิทธิ์การเข้าประลองศึกประลองหุ่นรบให้กลุ่มหุ่นรบหลิงเทียนเรารับผิดชอบ ทุกคนก็รู้ว่า ต่อให้ศึกประลองหุ่นรบครั้งใหญ่จะมีชื่อว่าศึกประลองหุ่นรบ แต่ความจริงแล้ว รายการแข่งขันมากมายหลากหลาย แทบจะครอบคลุมทุกภาควิชาของโรงเรียน แต่กลุ่มหุ่นรบของพวกเราเพิ่งก่อตั้งขึ้น สมาชิกส่วนใหญ่เป็นนักเรียนปีสอง พวกเราไม่เพียงขาดสมาชิกจากทุกภาควิชาแล้ว หรือว่าต่อให้มี ก็ไม่มีประสบการณ์ที่เรียนรู้มาสี่ปีอยู่ดี คิดจะรับมือกับการประลองพวกนี้ เกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย…”
คำพูดของอู่จย่งทำให้หัวหน้าหน่วยรบต่างๆ หัวใจหนักอึ้ง หลี่อิงเจี๋ยเอ่ยเสริมคำพูดของอู่จย่งว่า “กลุ่มที่ออกไปประลองรอบที่แล้วคือ กลุ่มหุ่นรบเหลยถิง ต่อให้เป็นกลุ่มหุ่นรบที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีเบื้องลึกหนามากๆ พวกเขาก็เลือกทิ้งภาควิชาที่ไม่ได้รับความนิยมไปหลายอันในการคัดเลือกรายชื่อคนเข้าประลอง เพราะว่าในกลุ่มพวกเขาก็ไม่มีสมาชิกจากภาควิชาพวกนี้เหมือนกัน…แต่เพราะเหลยถิงครองความได้เปรียบที่แน่นอนในจุดแข็งหลายอัน ดังนั้นต่อให้ทิ้งบางรายการไป แต่สุดท้ายเหลยถิงก็ยังคงคว้าผลคะแนนอันดับสองกลับมาได้ ถ้าเกิดผลคะแนนในครั้งนี้ของเราแย่มากเกินไปละก็ หลิงเทียนของเราคงจะกลายเป็นเป้าความเกลียดชังจากพวกนักเรียนทุกคนในโรงเรียนแล้ว”
ทุกคนต่างเข้าใจความหมายของหลี่อิงเจี๋ย ถึงแม้โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งจะมีศึกภายในไม่หยุด แต่พวกเขาก็ให้ความสำคัญต่อเกียรติยศของโรงเรียนมาก ถ้าเกิดหลิงเทียนพ่ายแพ้กลับมาจากในการแข่งขันครั้งนี้ละก็ ไม่เพียงบารมีที่สร้างมาตลอดสามเดือนนี้ของหลิงเทียนจะถูกกวาดล้างไปจนหมด ในอนาคต หลิงเทียนก็ไม่มีทางมีความก้าวหน้าที่ดีขึ้นด้วย ถึงขนาดที่จะล่มสลาย กลายเป็นกลุ่มหุ่นรบปีเดียวของโรงเรียนทหารเพราะเหตุนี้ได้เลย
สองคนที่นั่งถัดจากฉีหลงคือหลี่หลานเฟิงกับหานจี้จวินที่เป็นเสนาธิการของหลิงเทียน หลี่เหลานเฟิงเห็นทุกคนเงียบไปก็พูดสรุปหัวข้อว่า “ฉันมีรายชื่อรายการแข่งทั้งหมดของศึกประลองหุ่นรบ ฉันจะส่งให้ทุกคน ทุกคนดูกันได้เลย”กล่าวจบ หลี่หลานเฟิงก็ส่งข้อมูลให้กับทุกคน เมื่อทุกคนอ่านคร่าวๆ หนึ่งรอบแล้ว เขาค่อยเอ่ยปากต่อว่า “อันที่จริง รายการเล็กๆ อันอื่นไม่ได้สำคัญมาก อันที่สำคัญจริงๆ คือรายการสุดท้าย รายการนี้ยึดครองคะแนนครึ่งหนึ่งจากการประลองทั้งหมด พูดได้ว่า ถ้าเกิดเอาชนะรายการนี้ได้ ต่อให้พวกเราคว้าที่หนึ่งมาไม่ได้ แต่ก็ยังแน่ใจเรื่องอันดับสองได้”
คำพูดของหลี่หลานเฟิงทำให้ทุกคนเพ่งความสนใจไปที่รายการสุดท้ายอีกครั้ง ในนั้นเขียนชัดเจนว่าเป็น ‘การต่อสู้ประจัญบานแบบทีมผสม’!
ในการต่อสู้ประจัญบานแบบทีมผสม แต่ละทีมจะมีจำนวนคนเข้าร่วมการแข่งขัน 120 คน รวบรวมทีมจากโรงเรียนทหารทั้งหมดของทสหพันธรัฐให้อยู่บนแผนที่เดียวกัน ทำการต่อสู้ตะลุมบอนกันในเวลาที่จำกัด ซึ่งจำกัดเวลาไว้สามวัน หรือก็คือ 72 ชั่วโมง
หลี่หลานเฟิงเอ่ยวิเคราะห์ต่อว่า “การต่อสู้ประจัญบานไม่ได้ดูแค่กำลังรบเพียงอย่างเดียว แต่ว่ามีการทำลายล้างอย่างต่อเนื่อง การซ้อนกล การวางอุบายต่างๆ นานาที่โผล่ขึ้นมาไม่ขาดสาย เรียกได้ว่ามีวิธีการเป็นร้อย 120 คนของทีมไม่ได้เป็นแค่คนจากภาควิชาเดียว มันเป็นทีมที่มาจากการร่วมมือกันของทุกภาควิชา เป็นการสะท้อนความสามารถที่แท้จริงของโรงเรียน และเพราะแบบนี้ โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งถึงได้อยู่อันดับสองติดต่อกันเจ็ดรุ่น ทุกคนต่างรู้ว่า ภาควิชาของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งที่เข้าร่วมศึกประลองหุ่นรบรวมศูนย์มากเกินไป โดยพื้นฐานแล้วเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบหมดเลย”
“แบบนี้ดูเหมือนว่า ถ้าอยากได้ผลคะแนนดี อาศัยแค่คนของพวกเราก็คงไม่ได้แล้ว” หัวหน้าหน่วยรบคนหนึ่งของกลุ่มหุ่นรบหลิงเทียนเอ่ยอย่างเศร้าใจ
“ใช่ ดูจากทีม 120 คน ทางที่ดีที่สุดต้องมีเสนาธิการร่วมมือปฏิบัติการห้าคน” หานจี้จวินยืนยันคำพูดของหัวหน้าหน่วยรบคนนั้น “แต่ตอนนี้ คนที่สามารถดำรงตำแหน่งเสนาธิการของหลิงเทียนได้มีแค่ฉันกับหลี่หลานเฟิง ขาดไปสามคน ถ้าคิดจะเอาชนะการแข่งขัน ต้องหาให้ครบห้าคน”
“น่าเสียดายที่บทบาทอย่างเสนาธิการ ขอเพียงเผยเค้าออกมาก็ถูกกลุ่มหุ่นรบอื่นแย่งชิงไปแล้ว ตอนนี้น่าจะหายากมากๆ” เกาจิ้นอวิ๋นนิ่วหน้ากล่าว “เรายังชิงคนจากในกลุ่มหุ่นรบอื่นได้หรือเปล่า?”
“ต่อให้พวกเราอยากชิง กลุ่มหุ่นรบอื่นก็ไม่มีทางปล่อยไปหรอก” หัวหน้าทีมคนนึ่งที่อยู่ข้างกายเกาจิ้นอวิ๋นเอ่ยปากค้านทันที
“ไม่ได้ชิง แต่ร่วมมือกัน!” หลิงหลานพลันเอ่ยปากขึ้นมา
อู่จย่งกล่าวด้วยประหลาดใจแกมสงสัยว่า “ความหมายของลูกพี่หลานคือ ร่วมมือกับกลุ่มหุ่นรบอื่นเหรอ?”
หลิงหลานพยักหน้ากล่าวว่า “ใช่แล้ว ส่งจดหมายเชิญให้กับกลุ่มหุ่นรบใหญ่ต่างๆ ดึงตัวคนที่พวกเราต้องการ ทำการร่วมมือกันทั้งโรงเรียน! และเป้าหมายในการร่วมมืออันดับหนึ่งก็คือ ราชันสายฟ้าเฉียวถิง!”
คำกล่าวของหลิงหลานทำให้ทุกคนในห้องประชุมตกตะลึงพรึงเพริด ร่วมมือกับราชันสายฟ้าเฉียวถิง? พวกเขาฟังผิดไปหรือเปล่า?
————————