เมื่อพวกหลิงหลานมาถึงเขตที่พัก สนามรบก็ถูกจัดการจนถึงช่วงสุดท้ายแล้ว สำหรับผู้รุกรานแล้ว หลิงเซียวที่ลอยสูงอยู่กลางอากาศประหนึ่งภูเขาลูกใหญ่ กดดันพวกเขาจนหายใจไม่ออก กอปรกับขอเพียงมีใครพยายามสู้ตาย ลำแสงของหลิงเซียวก็จะโจมตีใส่อีกฝ่าย สังหารทิ้งทันทีโดยไม่มีความปรานีเลยแม้แต่น้อย
พลังรบแบบนี้ทำให้ผู้รุกรานทุกคนไม่มีความคิดที่จะต่อสู้โดยสิ้นเชิงแล้ว สาเหตุที่พวกเขาไม่วางอาวุธยอมจำนนเป็นเพราะในใจพวกเขายังคงกอดความหวังลมๆ แล้งๆ สุดท้ายเอาไว้ ภาวนาว่ากองยานรบในอวกาศสามารถร่อนลงมาที่ดาวซินสิง ขัดขวางหลิงเซียวช่วยเหลือพวกเขาออกไป
แน่นอนว่าพวกเขาผิดหวังในท้ายที่สุด เนื่องจากไม่นานกองกำลังภาคพื้นดินส่งภาพถ่ายมาจากดาวเทียมที่สัญญาณกลับมาเป็นปกติแล้วไปให้พวกเขา เมื่อพวกเขาเห็นว่าเวลานี้ความหวังสุดท้ายของพวกเขากำลังถูกกองยานรบใหญ่ที่รีบมาสี่กองรุมทำลาย หลังจากที่เอาตัวเองไม่รอดแล้วก็ยังไม่มีโชคอีก พวกเขาจึงพากันวางอาวุธ ประกาศยอมแพ้กลายเป็นเชลยของสหพันธรัฐหัวเซี่ย
เนื่องจากไม่มียานอวกาศ หุ่นรบที่มีระดับต่ำกว่าหุ่นรบระดับราชันลงไปล้วนไม่อาจอาศัยแรงขับเคลื่อนของตัวหุ่นรบสลัดหลุดจากแรงโน้มถ่วงกลับไปที่อวกาศได้อีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ถ้าหากพวกเขาไม่เลือกยอกจำนน จุดจบในตอนท้ายมีเพียงพลีชีพในสงครามเท่านั้น ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเห็นความตายดั่งคืนสู่มาตุภูมิได้ ดังนั้น เมื่อคนแรกวางอาวุธ คนอื่นๆ ก็วางอาวุธตาม นี่บ่งบอกว่าการต่อสู้บุกจู่โจมทางอากาศในครั้งนี้ได้จบลงแล้วในที่สุด
กองกำลังภาคพื้นดินจับเชลยที่ยอมจำนนเหล่านี้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะเริ่มทำการกวาดล้างสนามรบ พลางค้นหาบรรดาทหารที่รอดชีวิต ส่วนเขตที่พักก็เริ่มทำการช่วยเหลือตนเองหลังจากที่ผ่านช่วงเวลาอลหม่านวุ่นวายสั้นๆ ภายใต้การนำของเหล่าอาจารย์ ปืนใหญ่ของผู้ควบคุมระดับราชันลูกนั้นทำให้บรรดานักเรียนทหารบาดเจ็บล้มตายอย่างแสนสาหัส ทั้งโรงเรียนตกอยู่ในบรรยากาศโศกเศร้ารันทดใจไประยะหนึ่ง
สงครามบนพื้นดินสิ้นสุดลงแล้ว ทว่าการต่อสู้ในอวกาศกลับโหมกระหน่ำรุนแรง สาเหตุที่กองยานรบใหญ่สี่กองมาถึงดาวซินสิงไวขนาดนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะหลิงเซียว
ตอนที่หลิงเซียวขับ Belief มาที่ดาวซินสิง เขาก็ส่งคำสั่งขอความช่วยเหลือไปที่กองยานรบใหญ่ทั้งสี่กองพร้อมกัน ถึงแม้หลิงเซียวไม่รู้แน่ชัดว่าดาวซินสิงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่การที่หลิงหลานใช้วิธีการเช่นนี้ส่งข้อความ หลิงเซียวเชื่อว่าสถานการณ์ของดาวซินสิงจะต้องเลวร้ายมากแล้วแน่นอน ตอนแรกหลิงเซียวสงสัยว่าสัตว์อสูรน่ากลัวรอบๆ ดาวซินสิงเกิดการคลุ้มคลั่ง ดังนั้นเลยอยากให้กองยานรบใหญ่ทั้งสี่รับพวกนักเรียนทหารออกมาจากดาวซินสิงเพื่อรับรองความปลอดภัยของพวกเขา
นับว่าทำผิดพลาดได้ดี เมื่อหลิงเซียวมาถึงน่านฟ้าอวกาศของดาวซินสิง เขาก็พบว่ามียานอวกาศที่ไม่อาจระบุได้นับไม่ถ้วน รู้ทันทีว่านี่ต้องเป็นการรุกรานอย่างแน่นอน หลิงเซียวนึกได้ว่ากองยานรบใหญ่ทั้งสี่กำลังรีบมา บวกกับเป็นห่วงความปลอดภัยของลูกสาวตัวเอง เขาเลยทิ้งยานรบพวกนี้ไว้แล้วลอบบินเข้าไปในดาวซินสิงภายใต้จมูกของยานอวกาศ จำเป็นต้องพูดว่า หุ่นรบขั้นเทวะน่ากลัวมากอย่างแท้จริง ปกปิดภาพและสัญญาณของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ยานอวกาศมากมายไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดเดียว ท้ายที่สุดเขาก็ลอบเข้าไปในดาวซินสิงอย่างเงียบงัน
ผลสุดท้ายเมื่อเผชิญหน้ากับวงล้อมของกองยานรบใหญ่ทั้งสี่ กองยานอวกาศของศัตรูย่อมพินาศย่อยยับ ต่อให้มียานอวกาศหลายลำหนีรอดออกจากวงล้อม ไปจากเขตดาวซินสิงได้ แต่พวกเขาก็ถูกกองยานรบใหญ่ทั้งสี่ไล่ตามอย่างบ้าคลั่ง
ต้องพูดว่าการที่บุกรุกดาวซินสิงพยายามเข่นฆ่าเมล็ดพันธุ์แห่งความหวังในอนาคตของสหพันธรัฐ การกระทำนี้ได้กระตุ้นต่อมโมโหของระดับสูงทั้งหมดในสหพันธรัฐ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือว่ากองทัพ ไม่สนว่าเป็นฝ่ายใดก็ตาม พวกเขาต่างออกคำสั่งสังหาร ต่อให้แต่ละฝ่ายมีความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์แบบนั้นแบบนี้ แต่เรื่องปกป้องอนาคตของสหพันธรัฐคือเป้าหมายร่วมกัน ดังนั้นทุกคนจึงเลือกวิธีการแบบเดียวกัน นั่นก็คือใช้วิธีนองเลือดสยบประเทศรอบๆ ที่มีใจออกห่าง บอกพวกเขาว่า สหพันธรัฐหัวเซี่ยไม่ใช่ประเทศที่พวกเขาคิดจะยั่วโทสะได้ง่ายๆ
ท้ายที่สุดการรุกรานในครั้งนี้รวมถึงผู้รุกรานทั้งหมดต่างพ่ายแพ้ยับเยิน ทว่าการบาดเจ็บล้มตายของดาวซินสิงก็ทำให้รัฐบาลและกองทัพสหพันธรัฐตื่นตระหนก กองกำลังภาคพื้นดินพลีชีพไปมากกว่าครึ่งกอง หน่วยหุ่นรบต่างๆ ก็แทบจะถูกทำลาย และสิ่งที่ทำให้พวกเขาเจ็บปวดใจมากกว่านั้นคือ นักเรียนทหารแสนคนได้เสียชีวิตไปแปดพันคนเต็มๆ ในสงครามครั้งนี้ คนเหล่านี้คือเมล็ดพันธุ์ที่โดดเด่นของกองทัพต่างๆ ในอนาคต แต่ยังไม่ทันเข้าสู่สนามรบก็ถูกเด็ดปีกในโรงเรียนทหารเสียแล้ว นี่คือบาปกรรมของพวกเขาแล้ว
กองยานรบที่ใหญ่โตขนาดนี้สามารถลอบเข้ามาในสหพันธรัฐและมาถึงดาวซินสิงได้ ไม่ต้องสงสัยเลยสักนิดว่า ต้องมีปัญหาเกิดขึ้นในบางหน่วยของสหพันธรัฐอย่างแน่นอน ค่าตอบแทนด้วยเลือดทำให้รัฐบาลรวมถึงกองทัพสหพันธรัฐตัดสินใจไม่ปล่อยปละอีกต่อไป ประธานาธิบดีและจอมพลทั้งสามของกองทัพเซ็นคำสั่งร่วมกันหนึ่งฉบับให้กวาดล้างสายลับภายในกองทัพสหพันธรัฐทันที ถึงขนาดมีแมลงบางส่วนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนไม่สนใจผลประโยชน์ของประเทศชาติถูกกวาดล้างไปด้วยเช่นกัน
ปฏิบัติการนี้ถูกเรียกว่า ปฏิบัติการนองเลือด วิธีการที่รุนแรงทำให้บรรดาสายลับที่หนีรอดจากการจับกุมมาได้ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าเคลื่อนไหวไปอีกระยะหนึ่ง นี่จึงทำให้สงครามล้างแค้นของสหพันธรัฐหลังจากนั้นดำเนินไปอย่างราบรื่นจนน่าประหลาด เก็บเกี่ยวผลแห่งชัยชนะได้รวดเร็วมาก
แน่นอนว่า ภายในกองทัพก็สงสัยต่อการปรากฏตัวของหลิงเซียวในดาวซินสิงมากเช่นกัน ถึงอย่างไรหลิงเซียวที่อยู่ห่างออกไปหลายพันปีแสงกำลังเตรียมสร้างกองทัพที่ยี่สิบสาม ทำไมถึงปรากฏตัวขึ้นที่ดาวซินสิงในช่วงเวลานั้นได้ ทว่าหลิงเซียวปรากฏตัวขึ้นได้ทันเวลามากเกินไป ขณะเดียวกันการออกคำสั่งเรียกกองยานรบใหญ่ทั้งสี่กองมารวมตัวกันนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างมาก กอบกู้ความสูญเสียจากการขาดช่วงในอนาคตอย่างน้อยที่สุดห้าปีของสหพันธรัฐกลับมาได้
ผลลัพธ์นี้ทำให้ประธานาธิบดีกับจอมพลทั้งสามคนปีติยินดีมาก เป็นคุณงามความดีสูงสุดอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม พวกเขายังคงเรียกหลิงเซียวกลับมาสอบถามสาเหตุ หลังจากที่รู้เรื่องหลิงเซียวปลอมตัวเป็นทีมประเมินเข้าไปเพราะเป็นห่วงว่าลูกชายจะปรับตัวอยู่ในโรงเรียนทหารไม่ได้ พวกเขาก็พากันหัวเราะยกใหญ่ขึ้นมา
พวกเขาขำที่หลิงเซียวรักลูกชายมากเกินไป ขณะเดียวกันก็ดีใจเหมือนกันที่หลิงเซียวรีบไปดาวซินสิงเพราะสาเหตุนี้ ประธานาธิบดีกับจอมพลทั้งสามคนรู้ดีว่า ถ้าหากไม่มีหลิงเซียว การรุกรานในครั้งนี้จะต้องถูกฝ่ายตรงข้ามทำสำเร็จอย่างแน่นอน พอถึงเวลานั้น สิ่งที่พวกเขาได้รับก็คือข่าวโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งถูกทำลายจนหมด หากเกิดผลลัพธ์นี้ขึ้นมา ดูเหมือนพวกเขาจะต้องรับผิดชอบโดยการลาออกอย่างแน่นอนถึงจะสามารถดับโทสะของประชาชนทั้งหมดของสหพันธรัฐได้
ทว่าต่อให้เป็นแบบนี้ การบาดเจ็บล้มตายของนักเรียนทหารยังคงมากถึงแปดพันคน…โชคดีที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์จัดการวิกฤติของรัฐบาลยอดเยี่ยมมาก ย้ายความสนใจของประชาชนไปที่ฝ่ายศัตรูอย่างชาญฉลาดโดยเฉพาะเชลยหลายหมื่นคน เมื่อล่วงรู้ว่าการบุกจู่โจมทางอากาศในครั้งนี้มีหลายประเทศเข้าร่วมก็กระตุ้นความโกรธแค้นของประชาชนชาวสหพันธรัฐอย่างรุนแรงโดยพลัน เสียงคัดค้านการต่อสู้ภายในสหพันธรัฐหายไปอย่างไร้ร่องรอย อัตราการเข้าร่วมกองทัพที่แต่เดิมค่อยๆ ลดลงทุกปีก็เพิ่มพรวดขึ้นหลายเท่าตัวในเดือนนั้น
นี่ทำให้ประธานาธิบดีกับจอมพลทั้งสามคนโล่งอกทันใด สุดท้ายประธานาธิบดีกับจอมพลทั้งสามคนคิดเห็นเป็นเอกฉันท์ออกคำสั่งให้บุกจู่โจมสหภาพโดลันอย่างเต็มกำลัง นั่นเป็นประเทศที่เล็กและอ่อนแอมากที่สุดที่สหพันธรัฐตรวจสอบเจอในหมู่พันธมิตรของศัตรูที่รุกรานในคราวนี้
บางทีอาจกลัวว่าสหพันธรัฐจะเปิดการกระทำของพวกเขาออกไปจนส่งผลต่อภาพลักษณ์สูงส่งของประเทศมหาอำนาจตน จักรวรรดิซีซาร์จึงปิดปากเงียบอย่างเหนือความคาดหมายกับการที่สหพันธรัฐหัวเซี่ยส่งกองทัพไปยังโดลัน ส่วนสหพันธรัฐหัวเซี่ยรู้ดีว่าตัวต้นเหตุที่แท้จริงคือจักรวรรดิซีซาร์ แต่เนื่องจากกลัวว่าหากประเทศมหาอำนาจสองประเทศทำสงคราม โลกมนุษย์จะเข้าสู่สงครามโลกอีกครั้ง ดังนั้นสหพันธรัฐหัวเซี่ยเลยข่มกลั้นโทสะนี้อีกครั้งและตัดสินใจชำระความแค้นนี้จากพวกที่ช่วยก่อกรรมทำชั่วแทน
ตอนที่สหพันธรัฐส่งกองทัพไปยังโดลัน บทเพลง ‘ค่ำคืนแห่งความเงียบงัน’ ที่ปลอบประโลมส่งวิญญาณเหล่านักเรียนทหารผู้บริสุทธิ์ที่ล่วงลับได้แพร่หลายในโลกเสมือนจริงอย่างรวดเร็ว บางทีเนื้อร้องอาจตรงกับความร้าวรานในใจนักเรียนทหารรวมถึงสมาชิกครอบครัวผู้เสียชีวิตมาก ท่วงทำนองที่โศกเศร้าแฝงไปด้วยความเข้มแข็ง ทำให้ผู้ขับร้องกลายเป็นนักร้องที่นักเรียนทหารชื่นชอบมากที่สุดทันที…
เนื่องจากไม่มีการสนับสนุนอย่างลับๆ จากจักรวรรดิซีซาร์ และไม่มีสายลับเผยแผนการทหารของสหพันธรัฐ การบุกโจมตีของสหพันธรัฐต่อโดลันจึงเป็นไปอย่างราบรื่นมาก หนึ่งเดือนให้หลังก็ทำลายสหภาพโดลันจนราบเป็นหน้ากลอง และโดลันก็เข้าไปอยู่ในอาณาเขตของสหพันธรัฐอย่างเป็นทางการ ชัยชนะครั้งนี้ทำให้สหพันธรัฐจมอยู่ในความยินดีอย่างเหลือล้นทันที ความทุกข์ใจจากการที่โรงเรียนทหารถูกจู่โจมทางอากาศแต่เดิมนั้นก็ลดลงไปมากในชั่วพริบตา
ช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ความเดือดดาลของประชาชนและกองทัพสหพันธรัฐไม่เพียงทยอยสงบลง ภายในโรงเรียนทหารที่กลับมาเป็นปกติแล้วก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากความโศกเศร้าคับแค้นใจในตอนแรกกลับคืนสู่ความสงบนิ่งเช่นเดียวกัน แววตาของนักเรียนทุกคนที่เดิมทีเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวหวาดหวั่นและกังวลใจก็ค่อยๆ ใจเย็นลง กลับมายิ้มแย้มอีกครั้ง
“ลูกพี่ ข่าวดี! ข่าวดีล่ะ!” เช้าตรู่วันหนึ่ง เซี่ยอี๋วิ่งปรื๋อลงมาจากชั้นบนด้วยใบหน้าตื่นเต้น เขาน่าจะเพิ่งตื่นนอน ยังไม่ได้แต่งตัวอะไร ภายนอกดูกระเซิงไม่เรียบร้อยมาก เขาไม่สังเกตเห็นเลยว่าพอหลิงหลานเห็นภาพลักษณ์ของเขาแล้ว คิ้วก็ขมวดเล็กน้อย เขาตะโกนบอกหลิงหลานที่กำลังนั่งทานข้าวอยู่ด้านหน้าโต๊ะอาหารด้วยสีหน้าตื่นเต้น
หลิงหลานไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ต่อเรื่องนี้เลยสักนิดเดียว เธอหยิบผ้าเช็ดปากสีขาวข้างกายขึ้นมาแตะๆ ที่ริมฝีปากตัวเอง ก่อนจะวางลงไปบนโต๊ะถึงค่อยเงยหน้าทอดสายตาเย็นชามองอย่างอำมหิต
เซี่ยอี๋ที่เดิมทีรู้สึกตื่นเต้นเห็นสีหน้าและแววตาที่เย็นเยียบของลูกพี่ตัวเองก็ได้สติฉับพลัน เขางุดหน้าลงอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าส่งเสียงร้องอีกต่อไป
ท่าทียอมจำนนของเซี่ยอี๋ทำให้ฉีหลงที่นั่งอยู่ด้านข้างหัวเราะหึๆ ขึ้นมา หานจี้จวินสะกิดเขาด้วยความจนใจ บ่งบอกว่าไว้หน้าเซี่ยอี๋หน่อย ขณะที่ลั่วล่างก็ปรายตามองอย่างเย็นชาอำมหิตเหมือนกับหลิงหลาน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ลูกพี่ไม่ชอบ เขาก็ไม่ชอบด้วยเช่นกัน
ส่วนหลินจงชิง เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา ยังคงก้มหน้าทานอาหารเช้าต่อไป อย่างไรเสียก็ไม่เกี่ยวกับเขา นี่เป็นสิ่งที่เซี่ยอี๋รนหาที่เองทั้งนั้น เอาเถอะ ตอนที่อยู่กันเอง ทีมหลิงหลานไม่ได้รักใคร่กลมเกลียวกันเหมือนอย่างที่คนภายนอกเห็นขนาดนั้น พอมีโอกาส พวกเขาย่อมเหยียบซ้ำกันเองอีก
“ว่ามา ข่าวดีอะไรที่ทำให้นายตื่นเต้นขนาดนั้น” หลิงหลานเห็นเซี่ยอี๋รู้ตัวแล้วว่าต้องสำรวมกิริยาในที่สุด เธอก็ค่อยเอ่ยถามเรียบๆ
เซี่ยอี๋ได้ยินก็รู้ว่าลูกพี่ตัวเองไม่ได้โมโหจริงๆ อารมณ์ตื่นเต้นที่เดิมทีถูกขัดก็พุ่งขึ้นมาอีกครั้ง “ลูกพี่ หลี่อินเฟยจะมาโรงเรียนเราแล้ว”
“หลี่อินเฟย?” หลิงหลานนิ่วหน้า คนนี้ใครอีกล่ะ?
“ว่าไงนะ หลี่อินเฟยจะมา จริงเหรอ?” ยังไม่ทันที่หลิงหลานนึกออกว่าเป็นใคร ฉีหลงที่อยู่ด้านข้างก็ตะโกนขึ้นมาอย่างตื่นเต้น “เซี่ยอี๋ นายรู้ได้ไง?”
“เมื่อตะกี้ฉันเข้าไปในฟอรัมของโรงเรียน พอเข้าไปก็เห็นข่าวนี้ ตอนนี้ทุกคนตื่นเต้นกันทั้งนั้นเลย” เซี่ยอี๋เจอคนที่ชอบแบบเดียวกันก็ยิ่งกระตือรือร้นมากขึ้น
หานจี้จวินกับลั่วล่างมองหน้ากัน นึกไม่ออกไปชั่วขณะเช่นกันว่าหลี่อินเฟยที่ทำให้ฉีหลงกับเซี่ยอี๋ตื่นเต้นขนาดนี้คือใครกันแน่
หลินจงชิงที่อยู่ด้านข้างวางตะเกียบลง เอ่ยอย่างนุ่มนวลว่า “ค่ำคืนแห่งความเงียบงัน!”
“อ้า เธอนี่เอง!” ลั่วล่างได้ยินคำกล่าวก็ร้องขึ้นมาทันที ก่อนหน้านี้เขาเองก็ติดเพลงนี้มากเหมือนกัน