ตระกูลเสี่ย –> เชี่ย นะครับ
หลังจากที่ยุคถ้ำพ่ายแพ้ ไม่มีผู้พิทักษ์ไหนท้าทายยาอีก เวลาผ่านไปจนเหลือเวลาเพียงหนึ่งวินาทีก่อนที่ผู้พิทักษ์อีกคนจะท้าทายยา
“เอาตามตรง พวกเขาจะไม่ยอมให้ยา ครึ่งมนุษย์ชนะได้ง่ายๆ” จางชุนชิวมองไปที่ลูกบาศก์และถอนหายใจ
“แม้แต่ยุคถ้ำที่มีพลังเวลาก็ยังแพ้ มีผู้พิทักษ์ที่มีพลังแข็งแกร่งกว่าพลังเวลาอีกเหรอ?” จางหยูจือถามด้วยความสงสัย
จางชุนชิวยิ้มและกล่าว “เวลาเป็นความสามารถที่ทรงพลังมาก ในทางทฤษี เวลาและมิติถูกยอมรับว่าเป็นความสามารถชั้นยอดในบรรดาความสามารถต่างๆ ทั้งหมด ทว่าเมื่อถึงขอบเขตหนึ่ง ความสามารถไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด ความแข็งแกร่งของทักษะก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญในการกำหนดความแข็งแกร่งในการต่อสู้อีกต่อไปเช่นกัน”
“แล้วเราจะตัดสินได้ไงว่าใครแข็งแกร่งและใครอ่อนแอกว่า” จงหยูจือถาม
“มันขึ้นอยู่กับว่าพลังใจของใครแข็งแกร่งกว่า มีสติปัญญาที่มากกว่า และการแก้ไขสถานการณ์ของการต่อสู้ของใครดีกว่ากัน เมื่อถึงระดับนั้น แม้แต่คนที่มีความสามารถอ่อนแอ ก็สามารถชนะได้ ตราบใดที่ใช้อย่างเหมาะสม” จางชุนชิวหยุดชั่วคราวก่อนที่จะเสริม “แน่นอนว่าก็ต่อเมื่แเมื่อความแตกต่างของความแข็งแกร่งไม่แตกต่างกันเกินไป ถ้าความแข็งแกร่งต่างกันมากก็อีกเรื่อง ความแข็งแกร่งและความสามารถของยาได้รับการพิจารณาว่าอยู่ในอันดับต้นๆของโลก ไม่น่าเป็นไปได้ที่จะมีกองกำลังบนโลกที่สามารถปราบปรามเขาได้อย่างสมบูรณ์”
“ทำไมมันถึงไม่ตัวขึ้นมา? คุณไม่ได้บอกว่ามีระดับภัยพิบัติที่แข็งแกร่งกว่าระดับความกลัวไม่ใช่เหรอ” จางหยูจือยังคงแสดงท่าทางไม่เข้าใจ
“ระดับภัยพิบัติสามารถบดขยี้ระดับความกลัวได้ แต่ในสถานที่เช่นโลกมีความเป็นไปได้เพียงสองอย่างเท่านั้นที่สิ่งมีชีวิตระดับภัยพิบัติจะปรากขึ้น ข้อแรกคือเป็นระดับภัยพิบัติที่มาจากต่างมิติ แต่ระดับภัยพิบัติจากต่างมิติจะถูกจำกัดโดยกของโลกหลังจากการมาถึง เป็นไปไม่ได้ที่พวกมันจะปลดปล่อยความแข็งแกร่งของระดับภัยพิบัติ หากพวกมันใช้ความแข็งแกร่งระดับภัยพิบัติ พวกมันอาจถูกลดระดับเป็นระดับเร้นลับด้วยก”
จางชุนชิวคิดก่อนจะพูดต่อ “มีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง หลังจากที่ผู้พิทักษ์ทำสัญญากับมนุษย์ พวกมันสามารถใช้ร่างกายของมนุษย์เพื่อเลื่อนระดับไปสู่ระดับภัยพิบัติได้ ผู้พิทักษ์ที่เกิดในยุคนี้มีเวลาน้อยเกินไป ไม่ต้องพูดถึงระดับภัยพิบัติ ระดับความกลัวยังมีไม่มากนัก ดังนั้น หากสิ่งมีชีวิตระดับภัยพิบัติปรากขึ้นบนโลก ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็คือมันเป็นผู้พิทักษ์ระดับภัยพิบัติที่รอดชีวิตจากสงครามครั้งก่อน”
“เหมือนในสุสานปีศาจของเรางั้นเหรอ” จงหยูจือถาม
จางชุนชิวไม่ตอบและกล่าวต่อ “อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้พิทักษ์ที่รอดชีวิตจากการต่อสู้จะมีพลังมหาศาล แต่มนุษย์ที่ทำสัญญากับพวกมันก็อยู่ได้ไม่นาน หลังจากไม่ได้ทำสัญญากับมนุษย์ ความแข็งแกร่งของพวกมันจะถูกระงับโดยกของโลกอีกครั้ง แม้ว่าพวกมันจะมีความแข็งแกร่งในระดับภัยพิบัติ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกมันจะใช้พลังบนโลกเว้นแต่พวกมันจะทำสัญญากับมนุษย์อีกครั้ง”
“มีมนุษย์มากมายบนโลกนี้ คงไม่ยากนักที่จะหาผู้ทำสัญญาใช่ไหม” จางหยูจือกล่าวหลังจากครุ่นคิด
“มันไม่ง่ายอย่างนั้น มีข้อจำกัดบางอย่าง คิดว่าสิ่งที่อยู่ในตระกูลเราไม่อยากออกมาเหรอ?” จางชุนชิวยิ้มและพูด “ในระยะสั้นดูเหมือนว่ายายังมีโอกาส ตราบใดที่เขาสามารถเอาชีวิตรอดจากการท้าทายครั้งต่อไปจากต่างมิติ เขาอาจจะกลายเป็นผู้ชนะคนสุดท้ายก็ได้”
“พี่ชาย คุณต้องการให้ยาชนะหรือให้เขาแพ้” จางหยูจือกระพริบตาและถาม
“จากมุมมองของฉัน ฉันหวังว่าเขาจะชนะ แต่โอกาสของเขาไม่สูง” จางชุนชิวตอบ
คนที่ท้าทายยาคือผู้พิทักษ์ชื่อจิ่วเย่วเป็นชื่อที่ไม่คุ้นเคยมาก เขาไม่เคยปรากตัวในการจัดอันดับมาก่อน ดังนั้นไม่มีใครรู้ว่าเขามีความสามารถอะไร
หลังจากการต่อสู้เริ่มขึ้น ผู้คนรู้ทันทีว่าเขามีความสามารถอะไร เพราะลักษณะเฉพาะของความสามารถของเขานั้นชัดเจนเกินไป
เทเลพอร์ต การโจมตีอย่างต่อเนื่องของยาไม่สามารถสัมผัสเสื้อผ้าของจิ่วเย่ว
จิ่งเย่วไม่มีเจตนาที่จะตอบโต้ ถ้ายาโจมตี เขาจะวาร์ปและหลบหลีก ถ้ายาไม่โจมตี เขาก็จะไม่ขยับเช่นกัน แทนที่จะเรียกมันว่าการต่อสู้ ดูเหมือนเขาจะถ่วงเวลามากกว่า
ยาไม่ได้ทำการโจมตีที่ไร้ความหมายอะไร ในขณะที่เขาใช้ร่างความกลัวของเขา ร่างกายของเขาเปลี่ยนเป็นลำแสง แต่จิวเย่วก็สามารถใช้ร่างความกลัวได้เช่นกัน หลังจากทำอย่างนั้น เขาก็หายตัวไปอย่างทั่วยิ่งกว่าเดิม
แต่ทว่าจิ่วเย่วในร่างความกลัวยังไม่มีความตั้งใจที่จะตอบโต้ เขาหลบต่อไป ตอนนี้ ใครๆ ก็บอกได้ว่าจิวเย่วกำลังถ่วงเวลาอยู่ พวกเขาแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่ลงมือ
“จิ่วเยว่ต้องการอะไร? ถ้าเขาต้องการให้ยาใช้พลังงานของเขานั่นก็ไม่ถูกต้อง พลังงานที่เขาใช้ตอนเทเลพอร์ตมีมากกว่ายา” เชี่ยชวนเย่วกล่าวขณะคิดขณะมองดูหน้าจอของลูกบาศก์
เชี่ยหลิวชวนมองไปที่หน้าจอและขมวดคิ้ว “ฉันรู้สึกลางไม่ดี ฉันเกรงว่าการต่อสู้เพื่อชิงที่หนึ่งจะไม่จบลงง่ายๆ”
“ทำไมคุณพูดแบบนั้น?” เชี่ยชวนเย่วถามด้วยความสงสัย
“ฉันไม่รู้ มันเป็นแค่ลางสังหรณ์” เชี่ยหลิวชวนส่ายหัวเล็กน้อย แต่การแสดงออกของเขาเคร่งขรึม
เหมือนกับที่เชี่ยหลิวชวนพูดจิ่วเย่วทำการเทเลพอร์ตอย่างต่อเนื่องในร่างความกลัวของเขาและพลังงานที่ใช้ก็มากกว่าของยามาก ถ้าเขาสู้ต่อไป ยาจะชนะแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ยาไม่ได้โจมตีต่อ เขาหยุดและออกจากร่างความกลัวของเขา เขานั่งลงในสนามประลองและวางดาบอมตะบรรพกาลไว้บนตักของเขา
“ทำไมไม่สู้ล่ะ” จิ่วเย่วออกจากร่างความกลัวของเขาในขณะที่เขามองไปที่ยาและถามด้วยความงุนงง
“คุณไม่ต้องการเวลาเพื่อเตรียมรับมือกับฉันเหรอ? ฉันจะให้เวลาคุณ” ยาพูดอย่างเฉยเมย
จิ่วเย่วมองไปที่ยาด้วยท่าทางที่ชับช้อน “เจ้าก็รู้ว่าข้าต้องการเวลาในการจัดการกับเจ้า ทำไมเจ้าไม่เอาชนะข้าโดยเร็วที่สุด? หากเจ้าเร็วพอเจ้าอาจจะสามารถหลีกเลี่ยงปัญหามากมายได้”
“อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด นอกจากนี้ฉันไม่กลัวปัญหา” ยากล่าว
“ไม่เสียใจ?” จิ่วเย่วถามยา
“ชีวิตไม่ใช่ความเสียใจ แต่คือการทำในสิ่งที่อยากทำ” ยาตอบ
จิ่วเย่วมองไปที่ยาและถอนหายใจ “ถ้าข้าพบเจ้าก่อนหน้านี้ เราอาจจะเป็นเพื่อนกัน”
“เราจะไม่เป็นเพื่อนกัน ฉันเลิกคบเพื่อนไปนานแล้ว” ยากล่าว
“ทำไม?” จิ่วเย่วถามยาด้วยความงุนงง
“เพราะฉันมีเพียงชีวิตเดียว ฉันไม่สามารถมอบให้พวกเขาได้ทั้งหมดเมื่อมีเพื่อนมากเกินไป” ยาตอบ
จิ่วเย่วไม่ได้พูดอะไรเมื่อได้ยินอย่างนั้น เขามองไปที่ยาอย่างเงียบๆ ผ่านไปครู่หนึ่ง จิ่วเยว่กล่าว “หากเจ้าโจมตีตอนนี้ เจ้ายังมีโอกาสเอาชนะข้าได้ภายในสิบห้านาที”
ยาไม่มีเจตนาจะลงมือ เขายังคงนั่งอยู่ที่นั่นโดยหลับตา จิ่วเหย่วมองมาที่เขาและถาม “เจ้าคิดว่าข้าโกหกเจ้สเหรอ?”
“ไม่ ฉันเชื่อว่าคุณกำลังพูดความจริง” ยากล่าวด้วยความมั่นใจ
“แล้วทำไมไม่สู้ล่ะ” จิ่วเยว่ถามด้วยความสงสัย
“เพราะฉันไม่อยากเป็นเพื่อน ฉันจะไม่เอาของที่เป็นของคุณไป” ยากล่าว
จิ่วเย่วมองไปที่ยาด้วยสายตาแปลกๆในสายตาของเขา ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาต้องการจะพูดบางอย่าง แต่สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที เขามองเข้าไปในความว่างเปล่าและถอนหายใจ “ตอนนี้มันสายเกินไปแล้ว”
ในความว่างเปล่า มีลำแสงส่องลงมา ส่องสว่างทั่วทั้งสนามประลองของลูกบาศก์