I Became Friends with the Second Cutest Girl in My Class 69

ตอนที่ 69

สาเหตุที่คนส่วนใหญ่ตกหลุมรักอามามิซังนั้นมีไม่กีสาเหตุ และเซกิคุงเองก็มีเหตุผลเหมือนกับคนส่วนใหญ่ นั่นคือตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบ

 

จะว่าไปอุมิเองก็ตกหลุมรักอามามิซังตั้งแต่แรกพบเหมือนกัน…ดังนั้นผมคงจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็แล้วกันนะ

 

แล้วก็เพราะว่าอามามิซังเป็นคนที่มีเสน่ห์ที่ทำให้เป็นแบบนั้นด้วยล่ะนะ

 

“ตอนที่ฉันอยู่ม.ต้นเนื่องจากฉันเล่นกีฬาเก่งแล้วบวกกับการเป็นคนตัวสูง ดังนั้นฉันเลยค่อนข้างเป็นที่นิยมอยู่น่ะ แต่เพราะฉันเอาแต่ให้ความสำคัญไปกับกิจกรรมชมรมก็เลยไม่ได้สนใจเรื่องความรักสักเท่าไหร่ แล้วก็คิดว่าพอขึ้นม.ปลายแล้วก็คงรุ้สึกเหมือนเดิมนั่นแหละ…จะว่าไงดีล่ะ…เหมือนกับว่าพอฉันได้เจอกับอามามิซังมันก็เหมือนโดนยิงเข้าที่หัวใจเต็มๆ อะไรประมาณนั้นละมั้ง? แล้วก็รู้สึกว่าความรักมันมีอยู่จริงๆด้วยสินะ?”

 

“…อ่า ก็ไม่ได้อยากละลาบละล้วงหรอกนะ แต่เป็นไปได้ไหมว่าอามามิซังคือรักแรกของเซกิคุง?”

 

“…นายห้ามบอกใครในห้องเด็ดขาดเลยนะ”

 

“อ่า ไม่บอกหรอก”

 

เซกิคุงที่ตัวสูงกว่าผมค่อนข้างมาก พยักหน้าให้ผมด้วยใบหน้าของเขากลายเป็นสีแดงและตอนนี้ก็กำลังก้มหน้างุดพร้อมกับมีอาการเขินอย่างหนัก…

 

พูดก็พูดเถอะ ตัวผมเองก็ไม่เคยคิดว่าพอขึ้นม.ปลายมาตัวเองจะได้สัมผัสกับความรู้สึกที่เรียกว่าความรักเหมือนกัน…อืม ต้องบอกว่าอุมิเองก็เป็นรักแรกของผมเช่นเดียวกัน…แต่ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างเซกิคุงจะดันมีความคล้ายคลึงกับผมในเรื่องนี้

 

“ถึงฉันจะคอยแสดงท่าทางทำเป็นเก่งตอนอยู่ในห้องเรียน…แต่พออามามิซังเข้ามาอยู่ใกล้ๆฉันก็อดรู้สึกประหม่าไม่ได้ ในโลกนี้มีนางฟ้าอยู่จริงๆสินะ…เธอทั้งน่ารัก ตัวก็หอมมาก แล้วเธอยังยิ้มแย้มอยู่เสมอด้วย…ตอนที่มีคนอื่นอยู่ใกล้ๆด้วยฉันก็พอที่จะใส่หน้ากากแล้วเก็บความรู้สึกไว้ได้อยู่หรอกนะ…แต่ถ้าได้อยู่กับอามามิซังสองต่อสองล่ะก็…ฉันคงทนไม่ไหวแน่ๆ”

 

เท่าที่ผมสังเกตมา…เซกิคุงดูเป็นคนที่จริงจังอยู่เสมอ แต่ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าเขากำลังแสดงละครด้วยการพยายามทำให้ผมรู้สึกเห็นใจเขา เพื่อที่จะขอให้ผมให้ความร่วมมือกับเขาอยู่หรือเปล่านี่สิ? แต่ถ้าเป็นแบบนั้นเซกิคุงก็น่าจะเขามาหาผมตั้งนานแล้วสิ

 

ถ้าเซกิคุงปรึกษาเรื่องนี้กับเพื่อนในกลุ่มของเขา มันก็เป็นไปได้ว่าจะมีข่าวเรื่องที่เซกิคุงชอบอามามิซังหลุดออกมาก็ได้

 

“…แล้วก็ในงานปาร์ตี้นี้น่ะ พวกเพื่อนผู้ชายคนอื่นของฉันก็ดันมีแฟนกันหมดเลยน่ะสิ แล้วมันก็ดันกลายเป็นว่าทุกคนจะพาแฟนไปงานปาร์ตี้กันหมดเลย ซึ่งฉันที่ไม่มีแฟนก็เลยโดนล้อเลียนเรื่องนี้เข้าน่ะ แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นหรอกนะ จนมันลามมาถึงตอนทำกิจกรรมชมรมด้วยนี่สิ…”

 

“อา…อืม พอจะเข้าใจแล้วล่ะ”

 

เขาไม่จำเป็นที่จะต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติมไปมากกว่านี้แล้วล่ะ

 

บางทีเซกิคุงคงจะเผลอหลุดพูดออกไปว่าตัวเองจะไปงานปาร์ตี้กับอามามิซังล่ะมั้ง?

 

แล้วคราวนี้เซกิคุงก็เลยตกอยู่ในสถานะที่จะถอยกลับไม่ได้

 

เซกิคุงอาจจะยังไม่สนิทกับอามามิซังมาพอที่จะถึงขนาดแลกช่องทางการติดต่อกัน

 

ผมชักสงสัยแล้วสิ เพื่อนร่วมชั้นของผม…ไม่ว่าจะเซกิคุงหรือนิตตะซังก็ดี ดูเหมือนพวกเขาล้วนเป็นตัวเจ้าปัญหากันทั้งนั้น

 

ผมไม่เข้าในว่าทำไมพวกเขาถึงต้องพยายามสร้างบรรยากาศแบบนั้นขึ้นมาแล้วหลังจากนั้นก็ต้องสวมหน้ากากเข้าหากัน? แล้วถ้าเกิดว่าพวกเขาไม่ทำแบบนั้นพวกเขาจะอยู่ด้วยกันไม่ได้หรือยังไง?

 

“ดังนั้นพอนายเห็นว่าผมสนิทกับอาซานางิกับอามามิซัง นายก็เลยขอนัดคุยกับผมอย่างลับๆเพื่อขอให้ผมช่วยสินะ”

 

“ตอนที่นายเริ่มสนิทกับอามามิซัง ฉันก็เลยต้องแสดงท่าทีว่าตั้งนายเป็น「คู่แข่ง」น่ะ แล้วที่อยู่ๆก็เข้าไปทักนายแบบนั้นก็เพื่อไม่ให้คนอื่นสงสัย ฉันต้องขอโทษนายด้วยจริงๆ”

 

อย่างไรก็ตาม พอเซกิคุงรู้แล้วว่าผู้หญิงที่ผมพยายามเข้าหาก็คืออุมิ ดังนั้นเซกิคุงจึงไม่ถือว่าผมเป็นคู่แข่งของเขาอีกต่อไป ในทางกลับกัน…เซกิคุงคงมองว่าผมเป็นคนที่สามารถปรึกษาเรื่องความรักได้มากที่สุด

 

“ยังไงก็เถอะมาเอะฮาระ…นายทำยังไงถึงสามารถเข้าไปสนิทกับอาซานางิซังได้งั้นเหรอ? ฉันคิดว่าอาซานางิซังน่ะเข้าหายากกว่าอามามิซังซะอีกนะ”

 

“สนิทกันได้ยังไงงั้นเหรอ…เอ่อ…เรียกว่าบังเอิญ…ก็ได้มั้ง…?”

 

ที่ผมจะบอกก็คือ…แม้แต่ตอนนี้ผมเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อตัวเองอยู่เหมือนกัน

 

ในตอนที่ได้รู้จักกับอุมิช่วงแรกๆ ผมคิดแค่ว่าอุมิเป็นเพื่อนที่มีงานอดิเรกเหมือนๆกันเท่านั้นเอง แต่เนื่องจากเธอเป็นเพื่อนคนแรกในชีวิตของผม ดังนั้นผมจึงคิดว่าอยากจะถนุถนอมและรักษามิตรภาพของเราให้ดีที่สุด…แล้วกว่าจะรู้ตัว…ก็กลายเป็นว่าเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆก็เข้าใจว่าพวกเราสนิทกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

ผมแน่ใจว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนที่จะเข้ากันได้กับชายที่ชื่อว่า มาเอะฮาระ มากิ มากไปกว่านี้อีกแล้ว

 

และผมก็มั่นใจว่าจะไม่มี อาซานางิ อุมิ คนที่สองปรากฏตัวออกมาในอนาคตอีกคนอย่างแน่นอน

 

สำหรับผมแล้ว…ผมคิดว่าการที่ผมได้มารู้จับกับอุมินั้นเป็นความบังเอิญที่ถือว่าเป็นความโชคดีของผมอย่างมาก

 

“ฉันรู้ว่าตัวเองไม่ควรขอร้องเรื่องนี้กับคนที่ไม่เคยได้คุยกันมาก่อนเลย แต่ถ้าฉันพลาดโอกาสนี้ไป…แล้วหลังจากนี้ไม่นานมันจะมีการเลื่อนชั้นปีพร้อมกับมีการย้ายห้องเรียนใช่ไหมล่ะ? แม้จะมีโอกาสที่จะได้อยู่ห้องเดียวกันอีก แต่มันก็เป็นไปได้สูงที่จะได้อยู่คนละห้องกับอามามิซัง…แล้วถ้าเป็นแบบนั้น…ฉันกลัวว่าตัวเองจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้วน่ะ”

 

“เรื่องนั้น…อืม นั่นสินะ”

 

แม้ว่าอามามิซังจะรู้จักกับนักเรียนห้องอื่นจำนวนมาก แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเธอจะใช้เวลาร่วมกับเพื่อนห้องเดียวกันมากกว่า

 

ผมรู้ว่าความรู้สึกรักของเซกิคุงที่มีต่ออามามิซังนั้นจริงจัง นั่นก็เพราะว่าผมเคยรู้สึกแบบเดียวกันกับอุมิมาก่อน

 

“ได้โปรดเถอะมาเอฮาระ! ตอนนี้ฉันมีแค่นายคนเดียว!”

 

“เดี๋ยวสิ…ถ้านายพูดดังขนาดนั้นเดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินหรอก…!”

 

ในที่นี้ถ้ามีคนอื่นได้ยินมันจะดูไม่ดี…ในหลายๆความหมายล่ะนะ

 

ถ้าใครมาได้ยินแบบนี้…มันก็เหมือนเซกิคุงมาสารภาพรักกับผมไม่ใช่รึไง!?

 

ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครได้ยินสินะ แต่ถ้าเกิดนิตตะซังมาได้ยินเข้าล่ะก็มันคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่…ไม่สิ ไม่ดีเลยต่างหาก!

 

“ขะ-ขอโทษที…แล้วนายว่าไงล่ะ?”

 

“เอ่อ…”

 

ผมก้มศีรษะให้เซกิคุงทันที

 

“…ขอโทษนะ แต่ผมช่วยนายไม่ได้”

 

“! ไม่ได้จริงๆงั้นเหรอ?”

 

“อือ ไม่ได้จริงๆ”

 

เช่นเดียวกับเซกิคุงก่อนหน้านี้ ผมก้มศีรษะให้กับเขาอย่างจริงใจ

 

ต้องบอกว่า…ตั้งแต่ที่ผมโดนเซกิคุงบอกว่าขอความช่วยเหลือ ผมก็ตั้งใจที่จะปฏิเสธตั้งแต่แรกแล้ว

 

“งั้นเหรอ…ดูเหมือนว่าฉันจะมองโลกในแง่ดีมากเกินไปสินะ ทั้งๆที่ยังไม่ได้เป็นเพื่อนกันเลย…แต่กลับไปขอให้เพื่อนร่วมชั้นที่ไม่เคยแม้แต่จะคุยกันให้มาช่วย…”

 

“…อา นายจะคิดแบบนั้นก็ได้…ก็เพราะผมเป็นคนแบบนี้ล่ะนะ”

 

แม้ว่าผมจะบอกเหตุผลกับเซกิคุงไปอย่างนั้น แต่จริงๆแล้วผมยังมีอีกเหตุผลที่ปฏิเสธเขาอยู่อีกข้อ

 

มันก็แน่นอนอยู่แล้ว…นั่นเพราะว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับเด็กผู้หญิงที่ผมชอบยังไงล่ะ….

สาเหตุที่คนส่วนใหญ่ตกหลุมรักอามามิซังนั้นมีไม่กีสาเหตุ และเซกิคุงเองก็มีเหตุผลเหมือนกับคนส่วนใหญ่ นั่นคือตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบ

 

จะว่าไปอุมิเองก็ตกหลุมรักอามามิซังตั้งแต่แรกพบเหมือนกัน…ดังนั้นผมคงจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็แล้วกันนะ

 

แล้วก็เพราะว่าอามามิซังเป็นคนที่มีเสน่ห์ที่ทำให้เป็นแบบนั้นด้วยล่ะนะ

 

“ตอนที่ฉันอยู่ม.ต้นเนื่องจากฉันเล่นกีฬาเก่งแล้วบวกกับการเป็นคนตัวสูง ดังนั้นฉันเลยค่อนข้างเป็นที่นิยมอยู่น่ะ แต่เพราะฉันเอาแต่ให้ความสำคัญไปกับกิจกรรมชมรมก็เลยไม่ได้สนใจเรื่องความรักสักเท่าไหร่ แล้วก็คิดว่าพอขึ้นม.ปลายแล้วก็คงรุ้สึกเหมือนเดิมนั่นแหละ…จะว่าไงดีล่ะ…เหมือนกับว่าพอฉันได้เจอกับอามามิซังมันก็เหมือนโดนยิงเข้าที่หัวใจเต็มๆ อะไรประมาณนั้นละมั้ง? แล้วก็รู้สึกว่าความรักมันมีอยู่จริงๆด้วยสินะ?”

 

“…อ่า ก็ไม่ได้อยากละลาบละล้วงหรอกนะ แต่เป็นไปได้ไหมว่าอามามิซังคือรักแรกของเซกิคุง?”

 

“…นายห้ามบอกใครในห้องเด็ดขาดเลยนะ”

 

“อ่า ไม่บอกหรอก”

 

เซกิคุงที่ตัวสูงกว่าผมค่อนข้างมาก พยักหน้าให้ผมด้วยใบหน้าของเขากลายเป็นสีแดงและตอนนี้ก็กำลังก้มหน้างุดพร้อมกับมีอาการเขินอย่างหนัก…

 

พูดก็พูดเถอะ ตัวผมเองก็ไม่เคยคิดว่าพอขึ้นม.ปลายมาตัวเองจะได้สัมผัสกับความรู้สึกที่เรียกว่าความรักเหมือนกัน…อืม ต้องบอกว่าอุมิเองก็เป็นรักแรกของผมเช่นเดียวกัน…แต่ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างเซกิคุงจะดันมีความคล้ายคลึงกับผมในเรื่องนี้

 

“ถึงฉันจะคอยแสดงท่าทางทำเป็นเก่งตอนอยู่ในห้องเรียน…แต่พออามามิซังเข้ามาอยู่ใกล้ๆฉันก็อดรู้สึกประหม่าไม่ได้ ในโลกนี้มีนางฟ้าอยู่จริงๆสินะ…เธอทั้งน่ารัก ตัวก็หอมมาก แล้วเธอยังยิ้มแย้มอยู่เสมอด้วย…ตอนที่มีคนอื่นอยู่ใกล้ๆด้วยฉันก็พอที่จะใส่หน้ากากแล้วเก็บความรู้สึกไว้ได้อยู่หรอกนะ…แต่ถ้าได้อยู่กับอามามิซังสองต่อสองล่ะก็…ฉันคงทนไม่ไหวแน่ๆ”

 

เท่าที่ผมสังเกตมา…เซกิคุงดูเป็นคนที่จริงจังอยู่เสมอ แต่ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าเขากำลังแสดงละครด้วยการพยายามทำให้ผมรู้สึกเห็นใจเขา เพื่อที่จะขอให้ผมให้ความร่วมมือกับเขาอยู่หรือเปล่านี่สิ? แต่ถ้าเป็นแบบนั้นเซกิคุงก็น่าจะเขามาหาผมตั้งนานแล้วสิ

 

ถ้าเซกิคุงปรึกษาเรื่องนี้กับเพื่อนในกลุ่มของเขา มันก็เป็นไปได้ว่าจะมีข่าวเรื่องที่เซกิคุงชอบอามามิซังหลุดออกมาก็ได้

 

“…แล้วก็ในงานปาร์ตี้นี้น่ะ พวกเพื่อนผู้ชายคนอื่นของฉันก็ดันมีแฟนกันหมดเลยน่ะสิ แล้วมันก็ดันกลายเป็นว่าทุกคนจะพาแฟนไปงานปาร์ตี้กันหมดเลย ซึ่งฉันที่ไม่มีแฟนก็เลยโดนล้อเลียนเรื่องนี้เข้าน่ะ แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นหรอกนะ จนมันลามมาถึงตอนทำกิจกรรมชมรมด้วยนี่สิ…”

 

“อา…อืม พอจะเข้าใจแล้วล่ะ”

 

เขาไม่จำเป็นที่จะต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติมไปมากกว่านี้แล้วล่ะ

 

บางทีเซกิคุงคงจะเผลอหลุดพูดออกไปว่าตัวเองจะไปงานปาร์ตี้กับอามามิซังล่ะมั้ง?

 

แล้วคราวนี้เซกิคุงก็เลยตกอยู่ในสถานะที่จะถอยกลับไม่ได้

 

เซกิคุงอาจจะยังไม่สนิทกับอามามิซังมาพอที่จะถึงขนาดแลกช่องทางการติดต่อกัน

 

ผมชักสงสัยแล้วสิ เพื่อนร่วมชั้นของผม…ไม่ว่าจะเซกิคุงหรือนิตตะซังก็ดี ดูเหมือนพวกเขาล้วนเป็นตัวเจ้าปัญหากันทั้งนั้น

 

ผมไม่เข้าในว่าทำไมพวกเขาถึงต้องพยายามสร้างบรรยากาศแบบนั้นขึ้นมาแล้วหลังจากนั้นก็ต้องสวมหน้ากากเข้าหากัน? แล้วถ้าเกิดว่าพวกเขาไม่ทำแบบนั้นพวกเขาจะอยู่ด้วยกันไม่ได้หรือยังไง?

 

“ดังนั้นพอนายเห็นว่าผมสนิทกับอาซานางิกับอามามิซัง นายก็เลยขอนัดคุยกับผมอย่างลับๆเพื่อขอให้ผมช่วยสินะ”

 

“ตอนที่นายเริ่มสนิทกับอามามิซัง ฉันก็เลยต้องแสดงท่าทีว่าตั้งนายเป็น「คู่แข่ง」น่ะ แล้วที่อยู่ๆก็เข้าไปทักนายแบบนั้นก็เพื่อไม่ให้คนอื่นสงสัย ฉันต้องขอโทษนายด้วยจริงๆ”

 

อย่างไรก็ตาม พอเซกิคุงรู้แล้วว่าผู้หญิงที่ผมพยายามเข้าหาก็คืออุมิ ดังนั้นเซกิคุงจึงไม่ถือว่าผมเป็นคู่แข่งของเขาอีกต่อไป ในทางกลับกัน…เซกิคุงคงมองว่าผมเป็นคนที่สามารถปรึกษาเรื่องความรักได้มากที่สุด

 

“ยังไงก็เถอะมาเอะฮาระ…นายทำยังไงถึงสามารถเข้าไปสนิทกับอาซานางิซังได้งั้นเหรอ? ฉันคิดว่าอาซานางิซังน่ะเข้าหายากกว่าอามามิซังซะอีกนะ”

 

“สนิทกันได้ยังไงงั้นเหรอ…เอ่อ…เรียกว่าบังเอิญ…ก็ได้มั้ง…?”

 

ที่ผมจะบอกก็คือ…แม้แต่ตอนนี้ผมเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อตัวเองอยู่เหมือนกัน

 

ในตอนที่ได้รู้จักกับอุมิช่วงแรกๆ ผมคิดแค่ว่าอุมิเป็นเพื่อนที่มีงานอดิเรกเหมือนๆกันเท่านั้นเอง แต่เนื่องจากเธอเป็นเพื่อนคนแรกในชีวิตของผม ดังนั้นผมจึงคิดว่าอยากจะถนุถนอมและรักษามิตรภาพของเราให้ดีที่สุด…แล้วกว่าจะรู้ตัว…ก็กลายเป็นว่าเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆก็เข้าใจว่าพวกเราสนิทกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

ผมแน่ใจว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนที่จะเข้ากันได้กับชายที่ชื่อว่า มาเอะฮาระ มากิ มากไปกว่านี้อีกแล้ว

 

และผมก็มั่นใจว่าจะไม่มี อาซานางิ อุมิ คนที่สองปรากฏตัวออกมาในอนาคตอีกคนอย่างแน่นอน

 

สำหรับผมแล้ว…ผมคิดว่าการที่ผมได้มารู้จับกับอุมินั้นเป็นความบังเอิญที่ถือว่าเป็นความโชคดีของผมอย่างมาก

 

“ฉันรู้ว่าตัวเองไม่ควรขอร้องเรื่องนี้กับคนที่ไม่เคยได้คุยกันมาก่อนเลย แต่ถ้าฉันพลาดโอกาสนี้ไป…แล้วหลังจากนี้ไม่นานมันจะมีการเลื่อนชั้นปีพร้อมกับมีการย้ายห้องเรียนใช่ไหมล่ะ? แม้จะมีโอกาสที่จะได้อยู่ห้องเดียวกันอีก แต่มันก็เป็นไปได้สูงที่จะได้อยู่คนละห้องกับอามามิซัง…แล้วถ้าเป็นแบบนั้น…ฉันกลัวว่าตัวเองจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้วน่ะ”

 

“เรื่องนั้น…อืม นั่นสินะ”

 

แม้ว่าอามามิซังจะรู้จักกับนักเรียนห้องอื่นจำนวนมาก แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเธอจะใช้เวลาร่วมกับเพื่อนห้องเดียวกันมากกว่า

 

ผมรู้ว่าความรู้สึกรักของเซกิคุงที่มีต่ออามามิซังนั้นจริงจัง นั่นก็เพราะว่าผมเคยรู้สึกแบบเดียวกันกับอุมิมาก่อน

 

“ได้โปรดเถอะมาเอฮาระ! ตอนนี้ฉันมีแค่นายคนเดียว!”

 

“เดี๋ยวสิ…ถ้านายพูดดังขนาดนั้นเดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินหรอก…!”

 

ในที่นี้ถ้ามีคนอื่นได้ยินมันจะดูไม่ดี…ในหลายๆความหมายล่ะนะ

 

ถ้าใครมาได้ยินแบบนี้…มันก็เหมือนเซกิคุงมาสารภาพรักกับผมไม่ใช่รึไง!?

 

ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครได้ยินสินะ แต่ถ้าเกิดนิตตะซังมาได้ยินเข้าล่ะก็มันคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่…ไม่สิ ไม่ดีเลยต่างหาก!

 

“ขะ-ขอโทษที…แล้วนายว่าไงล่ะ?”

 

“เอ่อ…”

 

ผมก้มศีรษะให้เซกิคุงทันที

 

“…ขอโทษนะ แต่ผมช่วยนายไม่ได้”

 

“! ไม่ได้จริงๆงั้นเหรอ?”

 

“อือ ไม่ได้จริงๆ”

 

เช่นเดียวกับเซกิคุงก่อนหน้านี้ ผมก้มศีรษะให้กับเขาอย่างจริงใจ

 

ต้องบอกว่า…ตั้งแต่ที่ผมโดนเซกิคุงบอกว่าขอความช่วยเหลือ ผมก็ตั้งใจที่จะปฏิเสธตั้งแต่แรกแล้ว

 

“งั้นเหรอ…ดูเหมือนว่าฉันจะมองโลกในแง่ดีมากเกินไปสินะ ทั้งๆที่ยังไม่ได้เป็นเพื่อนกันเลย…แต่กลับไปขอให้เพื่อนร่วมชั้นที่ไม่เคยแม้แต่จะคุยกันให้มาช่วย…”

 

“…อา นายจะคิดแบบนั้นก็ได้…ก็เพราะผมเป็นคนแบบนี้ล่ะนะ”

 

แม้ว่าผมจะบอกเหตุผลกับเซกิคุงไปอย่างนั้น แต่จริงๆแล้วผมยังมีอีกเหตุผลที่ปฏิเสธเขาอยู่อีกข้อ

 

มันก็แน่นอนอยู่แล้ว…นั่นเพราะว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับเด็กผู้หญิงที่ผมชอบยังไงล่ะ….

I Became Friends with the Second Cutest Girl in My Class

I Became Friends with the Second Cutest Girl in My Class

Score 10
Status: Completed
ผมชื่อ มาเอะฮาระ มากิ คนที่ไม่เพื่อน หรือคนรู้จักในโรงเรียนม.ปลาย แต่ในที่สุดก็มีคนที่ผมสามารถออกไปเที่ยวด้วยกัน ภายนอกรั้วโรงเรียนด้วยได้ เธอคือเด็กสาวคนหนึ่ง เธอชื่อ อะสะนางิซัง เด็กสาวที่พวกนักเรียนชายในชั้นเรียนต่างเรียกเธอว่า 'สาวน่ารักอันดับสองของชั้นเรียน'

Options

not work with dark mode
Reset