I Became Friends with the Second Cutest Girl in My Class 68

ตอนที่ 68

ในขณะที่ผมกำลังเปลี่ยนห้องเรียนในคาบที่ 5 หลังจากช่วงพักกลางวัน

 

ผมเดินอยู่คนเดียวตามปกติโดยทำตัวกลมกลืนไปกับฝูงชน พลางมองดูอุมิกับอามามิซังที่เดินอยู่ข้างหน้าผมเล็กน้อยที่กำลังคุยกันอยู่อย่างสนุกสนาน

 

“—มาเอะฮาระ หลังเลิกเรียน ช่วยมาเจอกันที่หลังอาคารของชมรมเบสบอลหน่อยได้ไหม?”

 

“เอ๊ะ…?”

 

เซกิคุงก็เดินมาโอบไหล่ของผมก่อนที่จะแอบกระซิบเบาๆให้ผมได้ยินเพียงคนเดียว

 

ชื่อเต็มของเซกิคือ โนโซมุ เซกิ เขาเป็นสมาชิกของชมรมเบสบอล

 

ในหมู่เด็กผู้ชาย เขาเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่ได้เข้ามาอยู่ในกลุ่มของอามามิซังกับอุมิ และถ้าผมจำไม่ผิดดูเหมือนว่าเขาจะโดนเรียกว่า「โนโซมิ」หรือไม่ก็「โนน」นี่แหละ

 

ถึงผมจะไม่ได้เป็นเพื่อนกับเซกิ แต่ผมกลับรู้เรื่องของเขาค่อนข้างมาก เนื่องจากเวลาเบื่อตอนที่อยู่คนเดียวในห้องเรียน ผมมักจะคอยฟังเรื่องที่คนอื่นในห้องคุยกันอยู่เสมอ

 

และบางครั้งก็จะมีเรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกอยากจะหัวเราะ ดังนั้นเวลาได้ยินเรื่องแบบนั้นผมก็จะฟุบลงไปกับโต๊ะเพื่อไม่ให้พวกเขารู้ตัวว่าผมแอบขำอยู่

 

…แน่นอน ผมรู้ตัวดีว่าเรื่องที่ทำมันเป็นการเสียมารยาท ดังนั้นหลังจากที่ผมได้เป็นเพื่อนกับอุมิแล้วผมก็เลยเลิกทำพฤติกรรมแบบนี้ไปแล้ว แต่เนื่องจากผมต้องใช้โทรศัพท์คุยกับอุมิอยู่เสมอทำให้สุดท้ายแล้วพฤติกรรมที่น่าสงสัยของผมก็ยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

 

เอาล่ะ เลิกสนใจนิสัยที่ผมควรปรับปรุงไว้แค่นี้ แล้วกลับมาเรื่องของเซกิคุงกันดีกว่า

 

หลังเลิกเรียน ผมต้องไปที่หลังอาคารเรียนที่ตั้งของชมรมเบสบอลที่เซกิเป็นสมาชิกชมรมอยู่เพียงลำพัง

 

บางทีนี่อาจะจะเป็นสิ่งที่เรียกกันว่า「การเรียกตัว」ใช่ไหมนะ? ตอนม.ต้นผมก็เคยเห็นเรื่องแนวๆนี้มาเหมือนกัน แต่ตอนนั้นดูเหมือนว่าเด็กที่โดนเรียกไปจะโดนล้อมด้วยคนจำนวนมากก่อนที่จะเริ่มมีการใช้เสียงดังเพื่อจัดการเด็กคนนั้น

 

ผมรู้มาว่าพวกรุ่นพี่จะใช้วิธีแบบนี้กับคนที่มีพฤติกรรมลามปามพวกรุ่นพี่ หรือคนที่มีทัศนคติที่ไม่ค่อยดีในตอนทำกิจกรรมชมรม

 

แล้วทำไมเซกิถึงได้มาสนใจพวกโดดเดียวแบบผมกันล่ะ…ไม่สิ เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวลือว่าผมกำลังคบอยู่กับอามามิซังผู้ซึ่งเปรียบเสมือนไอดอลของเขาด้วยนี่นา หรือนั่นจะเป็นเห็นผลที่เซกิคุงเข้าใจว่าผมเป็นพวกอวดดี….

 

“…ฮ้…เฮ้! มาเอะฮาระ”

 

“คะ-ครับ!? วะ ว่าไง?”

 

“…เฮ้ เฮ้ ทำไมต้องทำท่ากลัวขนาดนั้นด้วย ฉันไม่ได้จะทำอะไรสักหน่อย แล้วอีกอย่างฉันแค่มีเรื่องจะคุยกับนายแบบไม่ให้คนอื่นรู้แค่นั้นเอง…แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกๆด้วยอย่างเข้าใจผิดล่ะ”

 

“งะ-งั้นหรอกเหรอ”

 

ในวินาทีที่เซกิคุงผู้ที่มีส่วนสูงอยู่ที่ 180 เซนติเมตรเข้ามาโอบไหล่ของผม ในหัวของผมก็เริ่มคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆนาๆในแบบที่เคยกล่าวไปเมื่อสักครู่อยู่ตลอดเวลา แต่ดูเหมือนว่าตัวผมจะคิดมากเกินไปหน่อยจึงรู้สึกโล่งใจอย่างมากเมื่อได้ยินสิ่งที่เซกิคุงบอก

 

ว่าแต่เรื่องแบบไหนกันนะที่เซกิต้องการเก็บเป็นความลับไม่ให้คนอื่นรู้…แต่ถ้าคิดว่าเป็นเรื่องที่ต้องมาคุยกับผมแล้วล่ะก็…

 

“เอ่อ…หรือว่า…”

 

“ยังไงก็เถอะ เอาไว้เจอกันตอนหลังเลิกเรียนแล้วกันนะ แล้วก็ช่วยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับกับอาซานางิด้วยสิ”

 

“เข้าใจล่ะ ถ้างั้นหลังเลิกเรียนคือให้ผมไปเจอที่หลังอาคารชมรมเบสบอลใช่ไหม?”

 

“ฉันขอโทษนะ…แต่ได้โปรด…ฉันเหลือแค่นายเพียงคนเดียวจริงๆ”

 

หลังจากที่ตกลงกับผมเรียบร้อย เซกิคุงก็เดินแยกกลับไปที่กลุ่มของเขา แล้วทำตัวเป็นปกติราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

 

อาจจะเป็นเพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และโดยที่ผมยังไม่ทันตั้งตัวผมจึงเผลอรับปากไป…เอาเถอะ ถ้าฟังจากที่คุยกัน หากเป็นเรื่องที่ผมไม่สามารถร่วมมือด้วยได้ ผมก็จะปฏิเสธไปตรงๆล่ะนะ

 

แล้วก็ได้แต่หวังว่าหากผมปฏิเสธไม่ให้ความร่วมมือกับเซกิคุง…สมาชิกคนอื่นๆของชมรมคงไม่กรูกันออกมาเล่นงานผมหรอกนะ

 

 

เพราะตอนหลังเลิกเรียนผมต้องไปที่หลังอาคารชมรบเบสบอลตามที่นัดไว้เพียงลำพัง…ดังนั้นผมจึงตัดสินใจส่งข้อความไปหาอุมิไว้ก่อน

 

ถึงเซกิคุงจะบอกว่าให้「เก็บเรื่องนี้เป็นความลับกับอาซานางิ」 แต่ผมรู้สึกไม่อยากที่จะทำแบบนั้น เพราะถึงแม้ในตอนนี้อุมิจะให้ความสำคัญกับอามามิซังก็จริงแต่เธอก็ยังคงให้ความสำคัญกับผมด้วยเช่นกัน และอุมิคงจะรู้ตัวทันทีที่ผมมีท่าทางแปลกๆ และนอกจากนี้ผมก็ไม่อยากสร้างความรู้สึกกังวลให้กับอุมิโดยไม่จำเป็นด้วย ดังนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะบอกเธอ

 

[ มาเอะฮาระ ] : อุมิ

[ อาซานางิ ] : มีอะไรเหรอ?

[ มาเอะฮาระ ] : คือเย็นนี้ผมมีที่ที่ต้องแวะไปก่อนน่ะ

[ มาเอะฮาระ ] : พอดีติดธุระนิดหน่อย

[ อาซานางิ ] : หื-ม

[ อาซานางิ ] : จะไปเจอกับใครกันล่ะ? นัดไว้แล้วสินะ

[ มาเอะฮาระ ] : ก็ใช่ นัดไว้แล้วล่ะ

[ มาเอะฮาระ ] : แต่ว่าคงบอกรายละเอียดมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ

[ มาเอะฮาระ ] : ตอนนี้ก็แอบมาบอกไว้ก่อนน่ะ

[ อาซานางิ ] : เอาล่ะ ครั้งนี้จะยอมให้ก่อนก็แล้วกัน

[ อาซานางิ ] : เซกิใช่ไหมล่ะ?

 

โดนจับได้แล้วสินะ

 

ตอนที่คุยกับเซกิคุง ตอนแรกผมคิดว่าอุมิจะไม่ทันสังเกตเห็น…ความรู้สึกหนาวเย็นเล็กน้อยไหลลงไปตามกระดูกสันหลังของผม

 

[ มาเอะฮาระ ] : ไม่ต้องห่วงนะ ไม่ได้คิดจะทำอะไรแปลกๆหรอก

[ อาซานางิ ] : ดูเหมือนจะเดาถูกสินะ

[ อาซานางิ ] : เอาเถอะ ฉันจะทำเป็นไม่เห็นก็แล้วกัน ไม่ต้องใส่ใจหรอก

[ มาเอะฮาระ ] : ไม่ต้องห่วงนะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นผมจะบอกเธอแน่นอน

[ อาซานางิ ] : อืม…ดีมาก

 

ดูเหมือนว่าอุมิจะคอยจับตาดูผมอย่างใกล้ชิด และผมคิดว่านี่เป็นหลักฐานยืนยันว่าเธอยังคงยึดติดกับเรื่องราวในอดีตอยู่

 

ไม่ใช่ว่าอุมิไม่เชื่อใจผม แต่เธอคงยังรู้สึกกังวลอะไรสักอย่างอยู่ภายในใจของเธอ

 

ผมอาจจะทำอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้ แต่มันคงจะดีถ้าผมสามารถค่อยๆรักษาเธอไปทีละเล็กทีละน้อย

 

ตอนนี้ผมได้รับคำอนุญาตจากอุมิแล้ว ดังนั้นผมจึงเตรียมตัวออกจากห้องเรียน แล้วเดินทางไปที่ด้านหลังอาคารชมรมเบสบอลตามที่ได้นัดกับเซกิคุงไว้

 

อาคารที่ชมรมเบสบอลตั้งอยู่ มันเป็นอาคารที่รวมชมรมกีฬาต่างๆไว้ด้วยกัน มันอยู่ตรงกันข้ามกับ「จุดโดดเดี่ยว」ที่ผมชอบใช้บ่อยๆถึงแม้ว่าช่วงนี้จะไม่ค่อยได้ใช้แล้วก็ตาม

 

เมื่อผมเดินไปที่ด้านหลังโดยเดินผ่านช่องทางเดินที่อยู่ระหว่างอาคารขนาดใหญ่ทั้งสองอาคาร พื้นที่ด้านหลังเต็มไปด้วยอุปกรณ์ที่ใช้ในกิจกรรมชมรมต่างๆมากมายวางกองอยู่ และเมื่อผมเดินไปถึงก็พบว่าเซกิคุงได้รออยู่ก่อนแล้ว

 

“โย้มาเอะฮาระ ขอโทษนะที่ต้องนัดนายมาเจอที่นี่ พอดีโดนโค้ชกับพวกรุ่นพี่จัดให้มาคอยดูแลอุปกรณ์พวกนี้น่ะ”

 

ผมคิดว่างานดูแลรักษาอุปกรณ์พวกนี้คงเป็นหน้าที่ของพวกเด็กปี 1 เซกิคุงกำลังตั้งใจขัดเครื่องยิงลูกบอลอย่างระมัดระวัง เขาตั้งใจทำความสะอาดถึงขั้นไม่ยอมปล่อยให้มีรอยเปื้อนเหลืออยู่เลยสักนิดจนมันดูเหมือนของใหม่เลยทีเดียว

 

หากไม่สนใจพฤติกรรมในห้องเรียนของเขา ผมก็สามารถเข้าใจได้ทันทีว่าเซกิคุงจริงจังกับชมรมเบสบอลมากขนาดไหน

 

“แล้วนายมีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”

 

“อา นั่นสินะ เพราะว่าฉันต้องจัดการพวกอุปกรณ์พวกนี้ต่อ ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะขอพูดกับนายตรงๆเลยแล้วกัน”

 

เมื่อพูดจบเซกิคุงก็หันมามองหน้าผม ก่อนจะก้มศีรษะให้ผมด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความจริงใจ

 

“—มาเอะฮาระ ได้โปรด ฉันอยากให้นายช่วยฉันเพื่อที่ฉันจะได้ไปงานปาร์ตี้คริสต์มาสกับอามามิซังด้วยเถอะ”

 

“…อย่างที่คิดจริงๆสินะ…”

 

ผมรู้ดีว่าเซกิคุงแอบชอบอามามิซังมานานแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นไปตามที่ผมคิดไว้

 

ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี…เอาเถอะ งั้นมาฟังเรื่องของเซกิคุงก่อนแล้วกัน….

ในขณะที่ผมกำลังเปลี่ยนห้องเรียนในคาบที่ 5 หลังจากช่วงพักกลางวัน

 

ผมเดินอยู่คนเดียวตามปกติโดยทำตัวกลมกลืนไปกับฝูงชน พลางมองดูอุมิกับอามามิซังที่เดินอยู่ข้างหน้าผมเล็กน้อยที่กำลังคุยกันอยู่อย่างสนุกสนาน

 

“—มาเอะฮาระ หลังเลิกเรียน ช่วยมาเจอกันที่หลังอาคารของชมรมเบสบอลหน่อยได้ไหม?”

 

“เอ๊ะ…?”

 

เซกิคุงก็เดินมาโอบไหล่ของผมก่อนที่จะแอบกระซิบเบาๆให้ผมได้ยินเพียงคนเดียว

 

ชื่อเต็มของเซกิคือ โนโซมุ เซกิ เขาเป็นสมาชิกของชมรมเบสบอล

 

ในหมู่เด็กผู้ชาย เขาเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่ได้เข้ามาอยู่ในกลุ่มของอามามิซังกับอุมิ และถ้าผมจำไม่ผิดดูเหมือนว่าเขาจะโดนเรียกว่า「โนโซมิ」หรือไม่ก็「โนน」นี่แหละ

 

ถึงผมจะไม่ได้เป็นเพื่อนกับเซกิ แต่ผมกลับรู้เรื่องของเขาค่อนข้างมาก เนื่องจากเวลาเบื่อตอนที่อยู่คนเดียวในห้องเรียน ผมมักจะคอยฟังเรื่องที่คนอื่นในห้องคุยกันอยู่เสมอ

 

และบางครั้งก็จะมีเรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกอยากจะหัวเราะ ดังนั้นเวลาได้ยินเรื่องแบบนั้นผมก็จะฟุบลงไปกับโต๊ะเพื่อไม่ให้พวกเขารู้ตัวว่าผมแอบขำอยู่

 

…แน่นอน ผมรู้ตัวดีว่าเรื่องที่ทำมันเป็นการเสียมารยาท ดังนั้นหลังจากที่ผมได้เป็นเพื่อนกับอุมิแล้วผมก็เลยเลิกทำพฤติกรรมแบบนี้ไปแล้ว แต่เนื่องจากผมต้องใช้โทรศัพท์คุยกับอุมิอยู่เสมอทำให้สุดท้ายแล้วพฤติกรรมที่น่าสงสัยของผมก็ยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

 

เอาล่ะ เลิกสนใจนิสัยที่ผมควรปรับปรุงไว้แค่นี้ แล้วกลับมาเรื่องของเซกิคุงกันดีกว่า

 

หลังเลิกเรียน ผมต้องไปที่หลังอาคารเรียนที่ตั้งของชมรมเบสบอลที่เซกิเป็นสมาชิกชมรมอยู่เพียงลำพัง

 

บางทีนี่อาจะจะเป็นสิ่งที่เรียกกันว่า「การเรียกตัว」ใช่ไหมนะ? ตอนม.ต้นผมก็เคยเห็นเรื่องแนวๆนี้มาเหมือนกัน แต่ตอนนั้นดูเหมือนว่าเด็กที่โดนเรียกไปจะโดนล้อมด้วยคนจำนวนมากก่อนที่จะเริ่มมีการใช้เสียงดังเพื่อจัดการเด็กคนนั้น

 

ผมรู้มาว่าพวกรุ่นพี่จะใช้วิธีแบบนี้กับคนที่มีพฤติกรรมลามปามพวกรุ่นพี่ หรือคนที่มีทัศนคติที่ไม่ค่อยดีในตอนทำกิจกรรมชมรม

 

แล้วทำไมเซกิถึงได้มาสนใจพวกโดดเดียวแบบผมกันล่ะ…ไม่สิ เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวลือว่าผมกำลังคบอยู่กับอามามิซังผู้ซึ่งเปรียบเสมือนไอดอลของเขาด้วยนี่นา หรือนั่นจะเป็นเห็นผลที่เซกิคุงเข้าใจว่าผมเป็นพวกอวดดี….

 

“…ฮ้…เฮ้! มาเอะฮาระ”

 

“คะ-ครับ!? วะ ว่าไง?”

 

“…เฮ้ เฮ้ ทำไมต้องทำท่ากลัวขนาดนั้นด้วย ฉันไม่ได้จะทำอะไรสักหน่อย แล้วอีกอย่างฉันแค่มีเรื่องจะคุยกับนายแบบไม่ให้คนอื่นรู้แค่นั้นเอง…แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกๆด้วยอย่างเข้าใจผิดล่ะ”

 

“งะ-งั้นหรอกเหรอ”

 

ในวินาทีที่เซกิคุงผู้ที่มีส่วนสูงอยู่ที่ 180 เซนติเมตรเข้ามาโอบไหล่ของผม ในหัวของผมก็เริ่มคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆนาๆในแบบที่เคยกล่าวไปเมื่อสักครู่อยู่ตลอดเวลา แต่ดูเหมือนว่าตัวผมจะคิดมากเกินไปหน่อยจึงรู้สึกโล่งใจอย่างมากเมื่อได้ยินสิ่งที่เซกิคุงบอก

 

ว่าแต่เรื่องแบบไหนกันนะที่เซกิต้องการเก็บเป็นความลับไม่ให้คนอื่นรู้…แต่ถ้าคิดว่าเป็นเรื่องที่ต้องมาคุยกับผมแล้วล่ะก็…

 

“เอ่อ…หรือว่า…”

 

“ยังไงก็เถอะ เอาไว้เจอกันตอนหลังเลิกเรียนแล้วกันนะ แล้วก็ช่วยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับกับอาซานางิด้วยสิ”

 

“เข้าใจล่ะ ถ้างั้นหลังเลิกเรียนคือให้ผมไปเจอที่หลังอาคารชมรมเบสบอลใช่ไหม?”

 

“ฉันขอโทษนะ…แต่ได้โปรด…ฉันเหลือแค่นายเพียงคนเดียวจริงๆ”

 

หลังจากที่ตกลงกับผมเรียบร้อย เซกิคุงก็เดินแยกกลับไปที่กลุ่มของเขา แล้วทำตัวเป็นปกติราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

 

อาจจะเป็นเพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และโดยที่ผมยังไม่ทันตั้งตัวผมจึงเผลอรับปากไป…เอาเถอะ ถ้าฟังจากที่คุยกัน หากเป็นเรื่องที่ผมไม่สามารถร่วมมือด้วยได้ ผมก็จะปฏิเสธไปตรงๆล่ะนะ

 

แล้วก็ได้แต่หวังว่าหากผมปฏิเสธไม่ให้ความร่วมมือกับเซกิคุง…สมาชิกคนอื่นๆของชมรมคงไม่กรูกันออกมาเล่นงานผมหรอกนะ

 

 

เพราะตอนหลังเลิกเรียนผมต้องไปที่หลังอาคารชมรบเบสบอลตามที่นัดไว้เพียงลำพัง…ดังนั้นผมจึงตัดสินใจส่งข้อความไปหาอุมิไว้ก่อน

 

ถึงเซกิคุงจะบอกว่าให้「เก็บเรื่องนี้เป็นความลับกับอาซานางิ」 แต่ผมรู้สึกไม่อยากที่จะทำแบบนั้น เพราะถึงแม้ในตอนนี้อุมิจะให้ความสำคัญกับอามามิซังก็จริงแต่เธอก็ยังคงให้ความสำคัญกับผมด้วยเช่นกัน และอุมิคงจะรู้ตัวทันทีที่ผมมีท่าทางแปลกๆ และนอกจากนี้ผมก็ไม่อยากสร้างความรู้สึกกังวลให้กับอุมิโดยไม่จำเป็นด้วย ดังนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะบอกเธอ

 

[ มาเอะฮาระ ] : อุมิ

[ อาซานางิ ] : มีอะไรเหรอ?

[ มาเอะฮาระ ] : คือเย็นนี้ผมมีที่ที่ต้องแวะไปก่อนน่ะ

[ มาเอะฮาระ ] : พอดีติดธุระนิดหน่อย

[ อาซานางิ ] : หื-ม

[ อาซานางิ ] : จะไปเจอกับใครกันล่ะ? นัดไว้แล้วสินะ

[ มาเอะฮาระ ] : ก็ใช่ นัดไว้แล้วล่ะ

[ มาเอะฮาระ ] : แต่ว่าคงบอกรายละเอียดมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ

[ มาเอะฮาระ ] : ตอนนี้ก็แอบมาบอกไว้ก่อนน่ะ

[ อาซานางิ ] : เอาล่ะ ครั้งนี้จะยอมให้ก่อนก็แล้วกัน

[ อาซานางิ ] : เซกิใช่ไหมล่ะ?

 

โดนจับได้แล้วสินะ

 

ตอนที่คุยกับเซกิคุง ตอนแรกผมคิดว่าอุมิจะไม่ทันสังเกตเห็น…ความรู้สึกหนาวเย็นเล็กน้อยไหลลงไปตามกระดูกสันหลังของผม

 

[ มาเอะฮาระ ] : ไม่ต้องห่วงนะ ไม่ได้คิดจะทำอะไรแปลกๆหรอก

[ อาซานางิ ] : ดูเหมือนจะเดาถูกสินะ

[ อาซานางิ ] : เอาเถอะ ฉันจะทำเป็นไม่เห็นก็แล้วกัน ไม่ต้องใส่ใจหรอก

[ มาเอะฮาระ ] : ไม่ต้องห่วงนะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นผมจะบอกเธอแน่นอน

[ อาซานางิ ] : อืม…ดีมาก

 

ดูเหมือนว่าอุมิจะคอยจับตาดูผมอย่างใกล้ชิด และผมคิดว่านี่เป็นหลักฐานยืนยันว่าเธอยังคงยึดติดกับเรื่องราวในอดีตอยู่

 

ไม่ใช่ว่าอุมิไม่เชื่อใจผม แต่เธอคงยังรู้สึกกังวลอะไรสักอย่างอยู่ภายในใจของเธอ

 

ผมอาจจะทำอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้ แต่มันคงจะดีถ้าผมสามารถค่อยๆรักษาเธอไปทีละเล็กทีละน้อย

 

ตอนนี้ผมได้รับคำอนุญาตจากอุมิแล้ว ดังนั้นผมจึงเตรียมตัวออกจากห้องเรียน แล้วเดินทางไปที่ด้านหลังอาคารชมรมเบสบอลตามที่ได้นัดกับเซกิคุงไว้

 

อาคารที่ชมรมเบสบอลตั้งอยู่ มันเป็นอาคารที่รวมชมรมกีฬาต่างๆไว้ด้วยกัน มันอยู่ตรงกันข้ามกับ「จุดโดดเดี่ยว」ที่ผมชอบใช้บ่อยๆถึงแม้ว่าช่วงนี้จะไม่ค่อยได้ใช้แล้วก็ตาม

 

เมื่อผมเดินไปที่ด้านหลังโดยเดินผ่านช่องทางเดินที่อยู่ระหว่างอาคารขนาดใหญ่ทั้งสองอาคาร พื้นที่ด้านหลังเต็มไปด้วยอุปกรณ์ที่ใช้ในกิจกรรมชมรมต่างๆมากมายวางกองอยู่ และเมื่อผมเดินไปถึงก็พบว่าเซกิคุงได้รออยู่ก่อนแล้ว

 

“โย้มาเอะฮาระ ขอโทษนะที่ต้องนัดนายมาเจอที่นี่ พอดีโดนโค้ชกับพวกรุ่นพี่จัดให้มาคอยดูแลอุปกรณ์พวกนี้น่ะ”

 

ผมคิดว่างานดูแลรักษาอุปกรณ์พวกนี้คงเป็นหน้าที่ของพวกเด็กปี 1 เซกิคุงกำลังตั้งใจขัดเครื่องยิงลูกบอลอย่างระมัดระวัง เขาตั้งใจทำความสะอาดถึงขั้นไม่ยอมปล่อยให้มีรอยเปื้อนเหลืออยู่เลยสักนิดจนมันดูเหมือนของใหม่เลยทีเดียว

 

หากไม่สนใจพฤติกรรมในห้องเรียนของเขา ผมก็สามารถเข้าใจได้ทันทีว่าเซกิคุงจริงจังกับชมรมเบสบอลมากขนาดไหน

 

“แล้วนายมีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”

 

“อา นั่นสินะ เพราะว่าฉันต้องจัดการพวกอุปกรณ์พวกนี้ต่อ ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะขอพูดกับนายตรงๆเลยแล้วกัน”

 

เมื่อพูดจบเซกิคุงก็หันมามองหน้าผม ก่อนจะก้มศีรษะให้ผมด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความจริงใจ

 

“—มาเอะฮาระ ได้โปรด ฉันอยากให้นายช่วยฉันเพื่อที่ฉันจะได้ไปงานปาร์ตี้คริสต์มาสกับอามามิซังด้วยเถอะ”

 

“…อย่างที่คิดจริงๆสินะ…”

 

ผมรู้ดีว่าเซกิคุงแอบชอบอามามิซังมานานแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นไปตามที่ผมคิดไว้

 

ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี…เอาเถอะ งั้นมาฟังเรื่องของเซกิคุงก่อนแล้วกัน….

I Became Friends with the Second Cutest Girl in My Class

I Became Friends with the Second Cutest Girl in My Class

Score 10
Status: Completed
ผมชื่อ มาเอะฮาระ มากิ คนที่ไม่เพื่อน หรือคนรู้จักในโรงเรียนม.ปลาย แต่ในที่สุดก็มีคนที่ผมสามารถออกไปเที่ยวด้วยกัน ภายนอกรั้วโรงเรียนด้วยได้ เธอคือเด็กสาวคนหนึ่ง เธอชื่อ อะสะนางิซัง เด็กสาวที่พวกนักเรียนชายในชั้นเรียนต่างเรียกเธอว่า 'สาวน่ารักอันดับสองของชั้นเรียน'

Recommended Series

Options

not work with dark mode
Reset