ในขณะที่ผมกำลังเปลี่ยนห้องเรียนในคาบที่ 5 หลังจากช่วงพักกลางวัน
ผมเดินอยู่คนเดียวตามปกติโดยทำตัวกลมกลืนไปกับฝูงชน พลางมองดูอุมิกับอามามิซังที่เดินอยู่ข้างหน้าผมเล็กน้อยที่กำลังคุยกันอยู่อย่างสนุกสนาน
“—มาเอะฮาระ หลังเลิกเรียน ช่วยมาเจอกันที่หลังอาคารของชมรมเบสบอลหน่อยได้ไหม?”
“เอ๊ะ…?”
เซกิคุงก็เดินมาโอบไหล่ของผมก่อนที่จะแอบกระซิบเบาๆให้ผมได้ยินเพียงคนเดียว
ชื่อเต็มของเซกิคือ โนโซมุ เซกิ เขาเป็นสมาชิกของชมรมเบสบอล
ในหมู่เด็กผู้ชาย เขาเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่ได้เข้ามาอยู่ในกลุ่มของอามามิซังกับอุมิ และถ้าผมจำไม่ผิดดูเหมือนว่าเขาจะโดนเรียกว่า「โนโซมิ」หรือไม่ก็「โนน」นี่แหละ
ถึงผมจะไม่ได้เป็นเพื่อนกับเซกิ แต่ผมกลับรู้เรื่องของเขาค่อนข้างมาก เนื่องจากเวลาเบื่อตอนที่อยู่คนเดียวในห้องเรียน ผมมักจะคอยฟังเรื่องที่คนอื่นในห้องคุยกันอยู่เสมอ
และบางครั้งก็จะมีเรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกอยากจะหัวเราะ ดังนั้นเวลาได้ยินเรื่องแบบนั้นผมก็จะฟุบลงไปกับโต๊ะเพื่อไม่ให้พวกเขารู้ตัวว่าผมแอบขำอยู่
…แน่นอน ผมรู้ตัวดีว่าเรื่องที่ทำมันเป็นการเสียมารยาท ดังนั้นหลังจากที่ผมได้เป็นเพื่อนกับอุมิแล้วผมก็เลยเลิกทำพฤติกรรมแบบนี้ไปแล้ว แต่เนื่องจากผมต้องใช้โทรศัพท์คุยกับอุมิอยู่เสมอทำให้สุดท้ายแล้วพฤติกรรมที่น่าสงสัยของผมก็ยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เอาล่ะ เลิกสนใจนิสัยที่ผมควรปรับปรุงไว้แค่นี้ แล้วกลับมาเรื่องของเซกิคุงกันดีกว่า
หลังเลิกเรียน ผมต้องไปที่หลังอาคารเรียนที่ตั้งของชมรมเบสบอลที่เซกิเป็นสมาชิกชมรมอยู่เพียงลำพัง
บางทีนี่อาจะจะเป็นสิ่งที่เรียกกันว่า「การเรียกตัว」ใช่ไหมนะ? ตอนม.ต้นผมก็เคยเห็นเรื่องแนวๆนี้มาเหมือนกัน แต่ตอนนั้นดูเหมือนว่าเด็กที่โดนเรียกไปจะโดนล้อมด้วยคนจำนวนมากก่อนที่จะเริ่มมีการใช้เสียงดังเพื่อจัดการเด็กคนนั้น
ผมรู้มาว่าพวกรุ่นพี่จะใช้วิธีแบบนี้กับคนที่มีพฤติกรรมลามปามพวกรุ่นพี่ หรือคนที่มีทัศนคติที่ไม่ค่อยดีในตอนทำกิจกรรมชมรม
แล้วทำไมเซกิถึงได้มาสนใจพวกโดดเดียวแบบผมกันล่ะ…ไม่สิ เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวลือว่าผมกำลังคบอยู่กับอามามิซังผู้ซึ่งเปรียบเสมือนไอดอลของเขาด้วยนี่นา หรือนั่นจะเป็นเห็นผลที่เซกิคุงเข้าใจว่าผมเป็นพวกอวดดี….
“…ฮ้…เฮ้! มาเอะฮาระ”
“คะ-ครับ!? วะ ว่าไง?”
“…เฮ้ เฮ้ ทำไมต้องทำท่ากลัวขนาดนั้นด้วย ฉันไม่ได้จะทำอะไรสักหน่อย แล้วอีกอย่างฉันแค่มีเรื่องจะคุยกับนายแบบไม่ให้คนอื่นรู้แค่นั้นเอง…แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกๆด้วยอย่างเข้าใจผิดล่ะ”
“งะ-งั้นหรอกเหรอ”
ในวินาทีที่เซกิคุงผู้ที่มีส่วนสูงอยู่ที่ 180 เซนติเมตรเข้ามาโอบไหล่ของผม ในหัวของผมก็เริ่มคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆนาๆในแบบที่เคยกล่าวไปเมื่อสักครู่อยู่ตลอดเวลา แต่ดูเหมือนว่าตัวผมจะคิดมากเกินไปหน่อยจึงรู้สึกโล่งใจอย่างมากเมื่อได้ยินสิ่งที่เซกิคุงบอก
ว่าแต่เรื่องแบบไหนกันนะที่เซกิต้องการเก็บเป็นความลับไม่ให้คนอื่นรู้…แต่ถ้าคิดว่าเป็นเรื่องที่ต้องมาคุยกับผมแล้วล่ะก็…
“เอ่อ…หรือว่า…”
“ยังไงก็เถอะ เอาไว้เจอกันตอนหลังเลิกเรียนแล้วกันนะ แล้วก็ช่วยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับกับอาซานางิด้วยสิ”
“เข้าใจล่ะ ถ้างั้นหลังเลิกเรียนคือให้ผมไปเจอที่หลังอาคารชมรมเบสบอลใช่ไหม?”
“ฉันขอโทษนะ…แต่ได้โปรด…ฉันเหลือแค่นายเพียงคนเดียวจริงๆ”
หลังจากที่ตกลงกับผมเรียบร้อย เซกิคุงก็เดินแยกกลับไปที่กลุ่มของเขา แล้วทำตัวเป็นปกติราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
อาจจะเป็นเพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และโดยที่ผมยังไม่ทันตั้งตัวผมจึงเผลอรับปากไป…เอาเถอะ ถ้าฟังจากที่คุยกัน หากเป็นเรื่องที่ผมไม่สามารถร่วมมือด้วยได้ ผมก็จะปฏิเสธไปตรงๆล่ะนะ
แล้วก็ได้แต่หวังว่าหากผมปฏิเสธไม่ให้ความร่วมมือกับเซกิคุง…สมาชิกคนอื่นๆของชมรมคงไม่กรูกันออกมาเล่นงานผมหรอกนะ
※
เพราะตอนหลังเลิกเรียนผมต้องไปที่หลังอาคารชมรบเบสบอลตามที่นัดไว้เพียงลำพัง…ดังนั้นผมจึงตัดสินใจส่งข้อความไปหาอุมิไว้ก่อน
ถึงเซกิคุงจะบอกว่าให้「เก็บเรื่องนี้เป็นความลับกับอาซานางิ」 แต่ผมรู้สึกไม่อยากที่จะทำแบบนั้น เพราะถึงแม้ในตอนนี้อุมิจะให้ความสำคัญกับอามามิซังก็จริงแต่เธอก็ยังคงให้ความสำคัญกับผมด้วยเช่นกัน และอุมิคงจะรู้ตัวทันทีที่ผมมีท่าทางแปลกๆ และนอกจากนี้ผมก็ไม่อยากสร้างความรู้สึกกังวลให้กับอุมิโดยไม่จำเป็นด้วย ดังนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะบอกเธอ
[ มาเอะฮาระ ] : อุมิ
[ อาซานางิ ] : มีอะไรเหรอ?
[ มาเอะฮาระ ] : คือเย็นนี้ผมมีที่ที่ต้องแวะไปก่อนน่ะ
[ มาเอะฮาระ ] : พอดีติดธุระนิดหน่อย
[ อาซานางิ ] : หื-ม
[ อาซานางิ ] : จะไปเจอกับใครกันล่ะ? นัดไว้แล้วสินะ
[ มาเอะฮาระ ] : ก็ใช่ นัดไว้แล้วล่ะ
[ มาเอะฮาระ ] : แต่ว่าคงบอกรายละเอียดมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ
[ มาเอะฮาระ ] : ตอนนี้ก็แอบมาบอกไว้ก่อนน่ะ
[ อาซานางิ ] : เอาล่ะ ครั้งนี้จะยอมให้ก่อนก็แล้วกัน
[ อาซานางิ ] : เซกิใช่ไหมล่ะ?
โดนจับได้แล้วสินะ
ตอนที่คุยกับเซกิคุง ตอนแรกผมคิดว่าอุมิจะไม่ทันสังเกตเห็น…ความรู้สึกหนาวเย็นเล็กน้อยไหลลงไปตามกระดูกสันหลังของผม
[ มาเอะฮาระ ] : ไม่ต้องห่วงนะ ไม่ได้คิดจะทำอะไรแปลกๆหรอก
[ อาซานางิ ] : ดูเหมือนจะเดาถูกสินะ
[ อาซานางิ ] : เอาเถอะ ฉันจะทำเป็นไม่เห็นก็แล้วกัน ไม่ต้องใส่ใจหรอก
[ มาเอะฮาระ ] : ไม่ต้องห่วงนะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นผมจะบอกเธอแน่นอน
[ อาซานางิ ] : อืม…ดีมาก
ดูเหมือนว่าอุมิจะคอยจับตาดูผมอย่างใกล้ชิด และผมคิดว่านี่เป็นหลักฐานยืนยันว่าเธอยังคงยึดติดกับเรื่องราวในอดีตอยู่
ไม่ใช่ว่าอุมิไม่เชื่อใจผม แต่เธอคงยังรู้สึกกังวลอะไรสักอย่างอยู่ภายในใจของเธอ
ผมอาจจะทำอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้ แต่มันคงจะดีถ้าผมสามารถค่อยๆรักษาเธอไปทีละเล็กทีละน้อย
ตอนนี้ผมได้รับคำอนุญาตจากอุมิแล้ว ดังนั้นผมจึงเตรียมตัวออกจากห้องเรียน แล้วเดินทางไปที่ด้านหลังอาคารชมรมเบสบอลตามที่ได้นัดกับเซกิคุงไว้
อาคารที่ชมรมเบสบอลตั้งอยู่ มันเป็นอาคารที่รวมชมรมกีฬาต่างๆไว้ด้วยกัน มันอยู่ตรงกันข้ามกับ「จุดโดดเดี่ยว」ที่ผมชอบใช้บ่อยๆถึงแม้ว่าช่วงนี้จะไม่ค่อยได้ใช้แล้วก็ตาม
เมื่อผมเดินไปที่ด้านหลังโดยเดินผ่านช่องทางเดินที่อยู่ระหว่างอาคารขนาดใหญ่ทั้งสองอาคาร พื้นที่ด้านหลังเต็มไปด้วยอุปกรณ์ที่ใช้ในกิจกรรมชมรมต่างๆมากมายวางกองอยู่ และเมื่อผมเดินไปถึงก็พบว่าเซกิคุงได้รออยู่ก่อนแล้ว
“โย้มาเอะฮาระ ขอโทษนะที่ต้องนัดนายมาเจอที่นี่ พอดีโดนโค้ชกับพวกรุ่นพี่จัดให้มาคอยดูแลอุปกรณ์พวกนี้น่ะ”
ผมคิดว่างานดูแลรักษาอุปกรณ์พวกนี้คงเป็นหน้าที่ของพวกเด็กปี 1 เซกิคุงกำลังตั้งใจขัดเครื่องยิงลูกบอลอย่างระมัดระวัง เขาตั้งใจทำความสะอาดถึงขั้นไม่ยอมปล่อยให้มีรอยเปื้อนเหลืออยู่เลยสักนิดจนมันดูเหมือนของใหม่เลยทีเดียว
หากไม่สนใจพฤติกรรมในห้องเรียนของเขา ผมก็สามารถเข้าใจได้ทันทีว่าเซกิคุงจริงจังกับชมรมเบสบอลมากขนาดไหน
“แล้วนายมีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”
“อา นั่นสินะ เพราะว่าฉันต้องจัดการพวกอุปกรณ์พวกนี้ต่อ ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะขอพูดกับนายตรงๆเลยแล้วกัน”
เมื่อพูดจบเซกิคุงก็หันมามองหน้าผม ก่อนจะก้มศีรษะให้ผมด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความจริงใจ
“—มาเอะฮาระ ได้โปรด ฉันอยากให้นายช่วยฉันเพื่อที่ฉันจะได้ไปงานปาร์ตี้คริสต์มาสกับอามามิซังด้วยเถอะ”
“…อย่างที่คิดจริงๆสินะ…”
ผมรู้ดีว่าเซกิคุงแอบชอบอามามิซังมานานแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นไปตามที่ผมคิดไว้
ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี…เอาเถอะ งั้นมาฟังเรื่องของเซกิคุงก่อนแล้วกัน….
ในขณะที่ผมกำลังเปลี่ยนห้องเรียนในคาบที่ 5 หลังจากช่วงพักกลางวัน
ผมเดินอยู่คนเดียวตามปกติโดยทำตัวกลมกลืนไปกับฝูงชน พลางมองดูอุมิกับอามามิซังที่เดินอยู่ข้างหน้าผมเล็กน้อยที่กำลังคุยกันอยู่อย่างสนุกสนาน
“—มาเอะฮาระ หลังเลิกเรียน ช่วยมาเจอกันที่หลังอาคารของชมรมเบสบอลหน่อยได้ไหม?”
“เอ๊ะ…?”
เซกิคุงก็เดินมาโอบไหล่ของผมก่อนที่จะแอบกระซิบเบาๆให้ผมได้ยินเพียงคนเดียว
ชื่อเต็มของเซกิคือ โนโซมุ เซกิ เขาเป็นสมาชิกของชมรมเบสบอล
ในหมู่เด็กผู้ชาย เขาเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่ได้เข้ามาอยู่ในกลุ่มของอามามิซังกับอุมิ และถ้าผมจำไม่ผิดดูเหมือนว่าเขาจะโดนเรียกว่า「โนโซมิ」หรือไม่ก็「โนน」นี่แหละ
ถึงผมจะไม่ได้เป็นเพื่อนกับเซกิ แต่ผมกลับรู้เรื่องของเขาค่อนข้างมาก เนื่องจากเวลาเบื่อตอนที่อยู่คนเดียวในห้องเรียน ผมมักจะคอยฟังเรื่องที่คนอื่นในห้องคุยกันอยู่เสมอ
และบางครั้งก็จะมีเรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกอยากจะหัวเราะ ดังนั้นเวลาได้ยินเรื่องแบบนั้นผมก็จะฟุบลงไปกับโต๊ะเพื่อไม่ให้พวกเขารู้ตัวว่าผมแอบขำอยู่
…แน่นอน ผมรู้ตัวดีว่าเรื่องที่ทำมันเป็นการเสียมารยาท ดังนั้นหลังจากที่ผมได้เป็นเพื่อนกับอุมิแล้วผมก็เลยเลิกทำพฤติกรรมแบบนี้ไปแล้ว แต่เนื่องจากผมต้องใช้โทรศัพท์คุยกับอุมิอยู่เสมอทำให้สุดท้ายแล้วพฤติกรรมที่น่าสงสัยของผมก็ยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เอาล่ะ เลิกสนใจนิสัยที่ผมควรปรับปรุงไว้แค่นี้ แล้วกลับมาเรื่องของเซกิคุงกันดีกว่า
หลังเลิกเรียน ผมต้องไปที่หลังอาคารเรียนที่ตั้งของชมรมเบสบอลที่เซกิเป็นสมาชิกชมรมอยู่เพียงลำพัง
บางทีนี่อาจะจะเป็นสิ่งที่เรียกกันว่า「การเรียกตัว」ใช่ไหมนะ? ตอนม.ต้นผมก็เคยเห็นเรื่องแนวๆนี้มาเหมือนกัน แต่ตอนนั้นดูเหมือนว่าเด็กที่โดนเรียกไปจะโดนล้อมด้วยคนจำนวนมากก่อนที่จะเริ่มมีการใช้เสียงดังเพื่อจัดการเด็กคนนั้น
ผมรู้มาว่าพวกรุ่นพี่จะใช้วิธีแบบนี้กับคนที่มีพฤติกรรมลามปามพวกรุ่นพี่ หรือคนที่มีทัศนคติที่ไม่ค่อยดีในตอนทำกิจกรรมชมรม
แล้วทำไมเซกิถึงได้มาสนใจพวกโดดเดียวแบบผมกันล่ะ…ไม่สิ เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวลือว่าผมกำลังคบอยู่กับอามามิซังผู้ซึ่งเปรียบเสมือนไอดอลของเขาด้วยนี่นา หรือนั่นจะเป็นเห็นผลที่เซกิคุงเข้าใจว่าผมเป็นพวกอวดดี….
“…ฮ้…เฮ้! มาเอะฮาระ”
“คะ-ครับ!? วะ ว่าไง?”
“…เฮ้ เฮ้ ทำไมต้องทำท่ากลัวขนาดนั้นด้วย ฉันไม่ได้จะทำอะไรสักหน่อย แล้วอีกอย่างฉันแค่มีเรื่องจะคุยกับนายแบบไม่ให้คนอื่นรู้แค่นั้นเอง…แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกๆด้วยอย่างเข้าใจผิดล่ะ”
“งะ-งั้นหรอกเหรอ”
ในวินาทีที่เซกิคุงผู้ที่มีส่วนสูงอยู่ที่ 180 เซนติเมตรเข้ามาโอบไหล่ของผม ในหัวของผมก็เริ่มคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆนาๆในแบบที่เคยกล่าวไปเมื่อสักครู่อยู่ตลอดเวลา แต่ดูเหมือนว่าตัวผมจะคิดมากเกินไปหน่อยจึงรู้สึกโล่งใจอย่างมากเมื่อได้ยินสิ่งที่เซกิคุงบอก
ว่าแต่เรื่องแบบไหนกันนะที่เซกิต้องการเก็บเป็นความลับไม่ให้คนอื่นรู้…แต่ถ้าคิดว่าเป็นเรื่องที่ต้องมาคุยกับผมแล้วล่ะก็…
“เอ่อ…หรือว่า…”
“ยังไงก็เถอะ เอาไว้เจอกันตอนหลังเลิกเรียนแล้วกันนะ แล้วก็ช่วยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับกับอาซานางิด้วยสิ”
“เข้าใจล่ะ ถ้างั้นหลังเลิกเรียนคือให้ผมไปเจอที่หลังอาคารชมรมเบสบอลใช่ไหม?”
“ฉันขอโทษนะ…แต่ได้โปรด…ฉันเหลือแค่นายเพียงคนเดียวจริงๆ”
หลังจากที่ตกลงกับผมเรียบร้อย เซกิคุงก็เดินแยกกลับไปที่กลุ่มของเขา แล้วทำตัวเป็นปกติราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
อาจจะเป็นเพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และโดยที่ผมยังไม่ทันตั้งตัวผมจึงเผลอรับปากไป…เอาเถอะ ถ้าฟังจากที่คุยกัน หากเป็นเรื่องที่ผมไม่สามารถร่วมมือด้วยได้ ผมก็จะปฏิเสธไปตรงๆล่ะนะ
แล้วก็ได้แต่หวังว่าหากผมปฏิเสธไม่ให้ความร่วมมือกับเซกิคุง…สมาชิกคนอื่นๆของชมรมคงไม่กรูกันออกมาเล่นงานผมหรอกนะ
※
เพราะตอนหลังเลิกเรียนผมต้องไปที่หลังอาคารชมรบเบสบอลตามที่นัดไว้เพียงลำพัง…ดังนั้นผมจึงตัดสินใจส่งข้อความไปหาอุมิไว้ก่อน
ถึงเซกิคุงจะบอกว่าให้「เก็บเรื่องนี้เป็นความลับกับอาซานางิ」 แต่ผมรู้สึกไม่อยากที่จะทำแบบนั้น เพราะถึงแม้ในตอนนี้อุมิจะให้ความสำคัญกับอามามิซังก็จริงแต่เธอก็ยังคงให้ความสำคัญกับผมด้วยเช่นกัน และอุมิคงจะรู้ตัวทันทีที่ผมมีท่าทางแปลกๆ และนอกจากนี้ผมก็ไม่อยากสร้างความรู้สึกกังวลให้กับอุมิโดยไม่จำเป็นด้วย ดังนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะบอกเธอ
[ มาเอะฮาระ ] : อุมิ
[ อาซานางิ ] : มีอะไรเหรอ?
[ มาเอะฮาระ ] : คือเย็นนี้ผมมีที่ที่ต้องแวะไปก่อนน่ะ
[ มาเอะฮาระ ] : พอดีติดธุระนิดหน่อย
[ อาซานางิ ] : หื-ม
[ อาซานางิ ] : จะไปเจอกับใครกันล่ะ? นัดไว้แล้วสินะ
[ มาเอะฮาระ ] : ก็ใช่ นัดไว้แล้วล่ะ
[ มาเอะฮาระ ] : แต่ว่าคงบอกรายละเอียดมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ
[ มาเอะฮาระ ] : ตอนนี้ก็แอบมาบอกไว้ก่อนน่ะ
[ อาซานางิ ] : เอาล่ะ ครั้งนี้จะยอมให้ก่อนก็แล้วกัน
[ อาซานางิ ] : เซกิใช่ไหมล่ะ?
โดนจับได้แล้วสินะ
ตอนที่คุยกับเซกิคุง ตอนแรกผมคิดว่าอุมิจะไม่ทันสังเกตเห็น…ความรู้สึกหนาวเย็นเล็กน้อยไหลลงไปตามกระดูกสันหลังของผม
[ มาเอะฮาระ ] : ไม่ต้องห่วงนะ ไม่ได้คิดจะทำอะไรแปลกๆหรอก
[ อาซานางิ ] : ดูเหมือนจะเดาถูกสินะ
[ อาซานางิ ] : เอาเถอะ ฉันจะทำเป็นไม่เห็นก็แล้วกัน ไม่ต้องใส่ใจหรอก
[ มาเอะฮาระ ] : ไม่ต้องห่วงนะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นผมจะบอกเธอแน่นอน
[ อาซานางิ ] : อืม…ดีมาก
ดูเหมือนว่าอุมิจะคอยจับตาดูผมอย่างใกล้ชิด และผมคิดว่านี่เป็นหลักฐานยืนยันว่าเธอยังคงยึดติดกับเรื่องราวในอดีตอยู่
ไม่ใช่ว่าอุมิไม่เชื่อใจผม แต่เธอคงยังรู้สึกกังวลอะไรสักอย่างอยู่ภายในใจของเธอ
ผมอาจจะทำอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้ แต่มันคงจะดีถ้าผมสามารถค่อยๆรักษาเธอไปทีละเล็กทีละน้อย
ตอนนี้ผมได้รับคำอนุญาตจากอุมิแล้ว ดังนั้นผมจึงเตรียมตัวออกจากห้องเรียน แล้วเดินทางไปที่ด้านหลังอาคารชมรมเบสบอลตามที่ได้นัดกับเซกิคุงไว้
อาคารที่ชมรมเบสบอลตั้งอยู่ มันเป็นอาคารที่รวมชมรมกีฬาต่างๆไว้ด้วยกัน มันอยู่ตรงกันข้ามกับ「จุดโดดเดี่ยว」ที่ผมชอบใช้บ่อยๆถึงแม้ว่าช่วงนี้จะไม่ค่อยได้ใช้แล้วก็ตาม
เมื่อผมเดินไปที่ด้านหลังโดยเดินผ่านช่องทางเดินที่อยู่ระหว่างอาคารขนาดใหญ่ทั้งสองอาคาร พื้นที่ด้านหลังเต็มไปด้วยอุปกรณ์ที่ใช้ในกิจกรรมชมรมต่างๆมากมายวางกองอยู่ และเมื่อผมเดินไปถึงก็พบว่าเซกิคุงได้รออยู่ก่อนแล้ว
“โย้มาเอะฮาระ ขอโทษนะที่ต้องนัดนายมาเจอที่นี่ พอดีโดนโค้ชกับพวกรุ่นพี่จัดให้มาคอยดูแลอุปกรณ์พวกนี้น่ะ”
ผมคิดว่างานดูแลรักษาอุปกรณ์พวกนี้คงเป็นหน้าที่ของพวกเด็กปี 1 เซกิคุงกำลังตั้งใจขัดเครื่องยิงลูกบอลอย่างระมัดระวัง เขาตั้งใจทำความสะอาดถึงขั้นไม่ยอมปล่อยให้มีรอยเปื้อนเหลืออยู่เลยสักนิดจนมันดูเหมือนของใหม่เลยทีเดียว
หากไม่สนใจพฤติกรรมในห้องเรียนของเขา ผมก็สามารถเข้าใจได้ทันทีว่าเซกิคุงจริงจังกับชมรมเบสบอลมากขนาดไหน
“แล้วนายมีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”
“อา นั่นสินะ เพราะว่าฉันต้องจัดการพวกอุปกรณ์พวกนี้ต่อ ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะขอพูดกับนายตรงๆเลยแล้วกัน”
เมื่อพูดจบเซกิคุงก็หันมามองหน้าผม ก่อนจะก้มศีรษะให้ผมด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความจริงใจ
“—มาเอะฮาระ ได้โปรด ฉันอยากให้นายช่วยฉันเพื่อที่ฉันจะได้ไปงานปาร์ตี้คริสต์มาสกับอามามิซังด้วยเถอะ”
“…อย่างที่คิดจริงๆสินะ…”
ผมรู้ดีว่าเซกิคุงแอบชอบอามามิซังมานานแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นไปตามที่ผมคิดไว้
ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี…เอาเถอะ งั้นมาฟังเรื่องของเซกิคุงก่อนแล้วกัน….