ถึงจะยังไม่ชัดเจนว่าตอนนี้พวกเราเป็นคนรักกันหรือเป็นแค่เพื่อนกัน แล้วก็ไม่รู้ว่าพวกเรากำลังก้าวไปข้างหน้าหรือกำลังเดินถอยหลังกันแน่ แต่ค่าความสัมพันธ์ของพวกเรานั้นเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนนับตั้งแต่วันที่เราเดินจับมือกันแบบคู่รักในตอนนั้น
อืม…ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือพวกเราพยายามที่จะเพิ่มมันน่ะนะ
อย่างแรกเลย…คือเวลาในช่วงเช้า
ในขณะที่ผมพึ่งจะตื่นนอนและสติยังคงไม่ตื่นตัวเต็มที่ เสียงเครื่องอินเตอร์คอมของบ้านมาเอะฮาระที่ช่วงนี้ทำงานค่อนข้างบ่อยก็ดังขึ้น
“ค่ะ ค่ะ มาเอะฮาระค่ะ”
“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณป้ามาซากิ มากิตื่นหรือยังนะคะ?”
“โอ้ อรุณสวัสดิ์อุมิจัง มากิพึ่งจะตื่นน่ะ ผมยังยุ่งอยู่เลยล่ะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ ถ้างั้นหนูขอรบกวนหน่อยนะคะ จะเข้าไปให้กำลังใจมากิสักหน่อย”
“อย่ามาแอบวางแผนกันผ่านหน้าจออินเตอร์คอมแบบนี้สิ”
เมื่อผมพูดขัดขึ้นมา สีหน้าของอุมิก็สดใสขึ้นทันที
ถ้าอุมิมาถึงที่นี่ตอนที่ผมพึ่งจะตื่น แสดงว่าเธอต้องตื่นเช้ามากแน่ๆ…เต็มไปด้วยจิตวิญญาณจังเลยนะ
“มากิ อรุณสวัสดิ์ มารับแล้วนะ”
“อือ อรุณสวัสดิ์ เข้ามาในบ้านก่อนสิ…แล้วนี่กินข้าวเช้ามาหรือยังล่ะ?”
“เรียบร้อยแล้วล่ะ อ๊ะ แต่ฉันขอแค่ข้าว ไข่เจียว แล้วก็ซุปมิโซะก็พอนะ”
“กินข้าวเช้าสองมื้อนี่เธอเป็นเด็กกำลังโตใช่ไหม?”
แม้จะไม่ใช่ทุกวัน แต่ถ้าวันไหนอุมิมีเวลาว่าง พวกเราก็จะไปโรงเรียนด้วยกันแบบนี้เสมอ แต่ยังไงก็ตาม…พวกเราก็จะต้องไปเจอกับอามามิซังที่กลางทางอยู่แล้ว…ดังนั้นแล้วนี่ก็ไม่ถือว่าเราได้ใช้เวลาร่วมกันแบบสองต่อสองหรอกนะ
…และแน่นอนว่าพอเป็นแบบนี้ คนอื่นๆก็ยิ่งอิจฉาตาร้อนกันไปใหญ่เลยล่ะ
“ขอโทษที่มารบกวนค่า~ …อุหว่า เกิดอะไรขึ้นน่ะ ทำไมผมของมากิถึงยุ่งขนาดนั้นล่ะ เอาหัวมานี่เลยนะ ฉันจะจัดการแก้ให้เอง”
“มะ-ไม่เป็นไร ถ้ามันยุ่งขนาดนั้น เดี๋ยวฉันไปแก้เองในห้องน้ำก็ได้”
“นี่มากิได้ฟังที่ฉันพูดอยู่หรือเปล่า? ฉันบอกว่าฉันจะแก้ให้ไง เอาหัวมานี่แล้วอยู่เงียบๆไปเลย”
พอพูดจบอุมิก็ใช้เจลแต่งผมและหวีของเธอแก้ทรงผมยุ่งๆของผมอย่างชำนาญ
“แม่ ทำไมถึงยิ้มแบบนั้นล่ะ?”
“หืม~? แม่แค่กำลังคิดว่าตอนนี้แม่คงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอนาคตของมากิแล้วล่ะ…”
“…งั้นเหรอครับ”
ผมต้องพยายามอดทนต่อสายตาอันร้อนแรงของแม่เป็นเวลาประมาณห้านาที ในที่สุดอุมิก็จัดการกับทรงผมของผมเสร็จเรียบร้อยสักที
“…เรียบร้อย ถ้าทำทรงแบบนี้นายคิดว่าไง?”
“อืม…ก็ไม่เลวนะ”
ผมกำลังมองดูใบหน้าของตัวเองที่กำลังปรากฏอยู่บนกระจกแบบพกพาที่อุมิส่งมาให้…จากหัวยุ่งๆในตอนแรก ตอนนี้ก็กลายมาดูเป็นเด็กหนุ่มปกติที่ไว้ผมยาวทั่วไป
เพราะการใช้เจลแต่งผมที่มากเกินไปนั้นขัดกับกฏของโรงเรียน อุมิจึงไม่สามารถแต่งทรงผมของผมได้มากนัก แต่ว่าแบบนี้ก็ถือว่าดีกว่าการหวีผมธรรมดามากล่ะนะ
แต่ว่าหลังจากนี้ ดูเหมือนว่าผมคงต้องหาทางทำอะไรสักอย่างกับรอยคล้ำใต้ตาที่เป็นผลมาจากการนอนดึกทุกวันบ้างแล้วล่ะ…บางทีหน้าตาของผมอาจจะดูดีขึ้นมาสักเล็กน้อย
“คำขอบคุณล่ะ?”
“…ขอบคุณครับ”
“เฮะๆ ด้วยความยินดี แล้วก็เท่มากเลยล่ะ มากิ”
“อุ…ถึงพูดเอาใจไปก็ไม่มีอะไรให้หรอกนะ”
“ถ้าเทียบกับก่อนหน้านี้…ดูดีขึ้นประมาณหนึ่งเปอร์เซ็นล่ะมั้งนะ?”
“เดี๋ยวก่อนนะ”
เอาเวลาชั่วพริบตาที่ทำให้ผมรู้สึกประหม่าคืนมาเลยนะ!
“อาราอาราอาราอาร่าอาราอาร่าอาราอาร่าอาราอาร่า”
(TL:โคตรชอบคุณแม่เลยครับ)
และในตอนนี้แม่ของผมก็กำลังทำเสียง ‘อาราอารา’ เหมือนกำลังสนุกอยู่ยังไงอย่างงั้น…เอ่อ แล้วแม่ก็ช่วยหยุดถ่ายวิดีโอแบบโจ่งแจ้งแบบนั้นสักทีเถอะ…แล้วนี่แม่คิดจะถ่ายวิดีโอไปทำไมกัน?
และด้วยเหตุแบบนี้เอง ก็ดูเหมือนจะทำให้อุมิได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของบ้านมาเอะฮาระไปซะแล้ว
ผมคิดว่าบางทีนี่คงจะถึงเวลาที่ผมต้องหัดไปเยี่ยมเยือนบ้านอาซานางิบ้างแล้วสินะ?
ถ้าเป็นไปตามที่อุมิเล่าให้ฟัง ดูเหมือนตอนนี้โซระซังได้คุยเรื่องของผมกับไดจิซังไปบ้างแล้วด้วย…และสุดท้ายแล้วยังไงผมก็ไม่มีทางหนีเรื่องนี้พ้นอยู่ดี
และยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่าแม่ของผมกับโซระซังจะมามารถสนิทกันได้ไวมาก โดยนับตั้งแต่เหตุการณ์ที่อุมิได้มานอนค้างคืนที่บ้านของผมในตอนนั้น แม่ของผมกับแม่ของอุมิก็ดูเหมือนว่าจะติดต่อพูดคุยกันบ่อยๆจนในที่สุดทั้งคู่ก็สนิทกัน
หลังจากนั้นผมก็ได้ทำการไล่แม่ที่กำลังยิ้มเยาะเย้ยผมให้ไปทำงานสักที และในที่สุดผมก็ได้อยู่กับอุมิสองต่อสอง
ทั้งๆที่รสชาติอาหารก็เหมือนเดิม แต่ไม่รู้ทำไมช่วงนี้ผมถึงรู้สึกว่าตัวเองเจริญอาหารมากกว่าปกติ?
บางทีผมคงจะต้องเริ่มออกกำลังกายตามที่อุมิคอยบอกมาตลอดบ้างแล้วล่ะ
“เอาล่ะ ถึงจะเช้าไปหน่อย แต่ไปโรงเรียนกันเลยไหม?”
“นั่นสินะ แล้วดูเหมือนว่ายูเองก็พึ่งออกจากบ้านเหมือนกัน”
หลังจากที่เราสองคนเก็บโต๊ะและล้างจานเรียบร้อย พวกเราก็เดินทางออกจากบ้านมาด้วยกัน
ถึงพวกเราจะไม่ได้เดินจับมือกันเมื่อตอนอยู่นอกบ้าน แต่พวกเราก็จับมือกันได้เป็นปกติตอนที่อยู่ในบ้าน บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าพวกเรายังรู้สึกอายอยู่และจิตใจก็ยังไม่ได้แข็งแกร่งพอที่จะทำแบบนั้นโดยที่ไม่สนใจสายตาของคนอื่นที่มองมาล่ะนะ
“…จริงสิ”
“หืม? อะไรเหรอ?”
“อืม…อุมิจำที่ฉันเคยบอกไปตอนก่อนหน้านี้ได้ไหม…อืม…ที่เคยบอกว่ารอยยิ้มของอุมิน่ารักมากอะไรประมาณนั้น”
“อา~ ที่เคยบอกว่า「รอยยิ้มของฉันน่ารักที่สุดในโลก」ใช่ไหม?”
“ดูเหมือนแปดสิบเปอร์เซ็นของประโยคจะเปลี่ยนไปนะ”
อ่า…จะว่าไปมันก็ไม่ต่างจากที่ผมจะสื่อเท่าไหร่
“…ก็ไม่เห็นเป็นอะไรสักหน่อยนี่นา? อีกเดี๋ยวฉันก็ต้องกลับไปเป็นอาซานางิ อุมิ…ที่ต้องคอยทำตัวเป็นนักเรียนดีเด่นเหมือนปกติแล้วนะ ขอแค่ตอนนี้…ขอฉันเอาแต่ใจหน่อยไม่ได้หรอ?”
“อืม ได้อยู่แล้ว”
ถึงตอนนี้อุมิจะค่อยๆเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเธอกับอามามิซังทีละนิด แต่เมื่ออยู่ในชั้นเรียน เธอก็ยังคงสวมหน้ากากนักเรียนดีเด่นอยู่ตลอดเวลา…แต่เนื่องจากเหตุการณ์การจับมือแบบคู่รักของพวกเราที่ผ่านมาเมื่อไม่นานมานี้ นั่นน่าจะทำให้มุมมองของคนอื่นๆในห้องที่มีต่ออุมิเปลี่ยนไปบ้างแล้วล่ะ…ผมคิดว่าบางทีอุมิควรจะคว้าโอกาสนี้ไว้ เพื่อทำให้คนอื่นๆได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอมากขึ้น
“อืม ก็จริงอยู่ที่มันค่อนข้างเหนื่อยที่ต้องทำตัวแบบนั้นตลอดเวลา..แต่ถึงอย่างนั้น…ตอนนี้ยูเองก็ค่อยๆรู้จักตัวจริงฉันมากขึ้นทีละนิดๆแบบนี้ แค่นี้ก็ถือว่าโอเคแล้วล่ะ…แล้วอีกอย่างนะ—“
“แล้วอีกอย่าง?”
“เอ่อ…ฉะ-ฉันจะพูดแค่ครั้งเดียวนะ เพราะฉะนั้นตั้งใจฟังให้ดีล่ะ”
“…อือ”
“…รอยยิ้มของฉันน่ะ…มัน..มะ-มีไว้ให้นายแค่คนเดียว…ทีนี้…นายเข้าใจหรือยัง?”
อุมิพึมพัมเบาๆอย่างเขินอายในขณะที่บีบแขนเสื้อของผม
“…งะ-งั้นเหรอ”
“อะ-อือ….”
พอถูกบอกแบบนี้ในระยะเผาขน…ผมเองก็เขินเป็นเหมือนกันนะเฟ้ย แล้วอีกอย่าง…ใบหน้าของผมก็รู้สึกร้อนอย่างมาก
โชคดีที่เราอยู่ในลิฟต์กันแค่สองคน ถ้ามีคนอื่นอยู่ด้วย…ผมนี่นึกภาพไม่ออกจริงๆว่าพวกเราจะมีสภาพยังไง
อุมิในเวลานี้ทั้งดูยุ่งเหยิง แล้วก็ดูน่ารักเป็นอย่างมากในเวลาเดียวกัน…ดังนั้นได้โปรดอย่าพูดอะไรที่มันไม่ดีต่อหัวใจแบบนี้ได้ไหม!!
“…ขะ-ขอโทษ ถึงฉันจะเป็นคนพูดออกมาเองก็เถอะ…แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตายจากความอาย…”
“ถ-ถ้างั้นพวกเราแกล้งทำเป็นว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นแล้วกันนะ…ดีไหม?”
“นะ นั่นสินะ อืม ดูเหมือนจะพลาดไปหน่อย”
เมื่อผมออกมาจากลิฟต์ สายลมหนาวในช่วงเช้าก็พัดเข้ามาปะทะกับแก้มที่กำลังแดงระเรื่อของผม
ทั้งลมที่ค่อนข้างแรงและอุณหภูมิที่ต่ำ…สภาพอากาศในปัจจุบันนั้นต้องบอกว่าสมกับที่เป็นฤดูหนาวอย่างแท้จริง
หากพวกเราเดินไปท่ามกลางบรรยากาศที่หนาวเย็นแบบนี้ ไม่นานความร้อนที่ยังคงค้างอยู่ที่แก้ม และหัวใจที่กำลังเต้นแรงจากเหตุการณ์การจู่โจมแบบกระทันหันของอุมิเมื่อสักครู่คงจะบรรเทาลงไปบ้าง
“อ๊ะ! เดี๋ยวนะมากิ เหมือนฉันจะลืมของไว้ล่ะ…”
“เอ๊ะ? อา ขอโทษนะ ขอหากุญแจบ้านแป๊บ…”
—จุ๊บ!
ทันทีที่ผมหันหลังกลับไป ที่แก้มของผมก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่เต็มไปด้วยความชุ่มชื้นและอ่อนนุ่ม
“อุ-อุมิ…เอ่อ…คือ…”
“เฮะๆ มีช่องว่าง!”
อุมิรีบดึงใบหน้าออกเธอออกจากแก้มของผมที่กำลังตกตะลึงอยู่อย่างรวดเร็ว และพูดต่อในขณะที่เอานิ้วชี้ขึ้นมาวางไว้ที่ริมฝีปากของตัวเธอเอง
“ส่วนที่ริมฝีปากนี่…เอาไว้ตอนที่พวกเราคบกันอย่างเป็นทางการก่อนนะ…ถ้างั้น ฉันขอตัวไปหายูก่อนนะ”
“อ๊ะ…อะ-อือ เข้าใจแล้ว”
“เอเฮะๆ ไว้เจอกันนะ”
อุมิที่ใบหูเปลี่ยนเป็นสีแดง รีบวิ่งหนีด้วยท่าทางเขินอายออกไปที่ประตูทางเข้าอย่างรวดเร็ว
“ถ้าจะเขินขนาดนั้นก็อย่างทำตั้งแต่แรกสิเฟ้ย….”
ผมรีบดึงสติกลับมา
ดูเหมือนว่าอาการร้อนไปทั้งใบหน้าจะไม่สามารถหายไปได้ง่ายๆซะแล้วสิ…
☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆
☆จบบทที่ 1☆
☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆
ก็จบไปแล้วสำหรับบทที่ 1 ของเรื่องนะครับ ไม่ได้เอามาลงในนี้นานเลย ก็เลยลงทีเดียวชุดใหญ่ๆ
โดยเรื่องนี้ใน WN ทางผู้แต่ง ก็คือ อ.ทาคาตะ พึ่งจะเริ่มลงบทที่ 5 มาเมื่อช่วงกลางๆปีนี้เองครับ
ผมก็จะค่อยๆแปลไปเรื่อยๆครับ ถึงหนทางจะยังอีกยาวไกลก็ตาม(ฮา) แล้วก็ถ้าไม่โดนซื้อ LC ซะก่อนล่ะนะครับ
แล้วก็ฝากติดตาม Durimtok Channel | Facebook กันด้วยครับ
โดยที่ในเพจจะลงตอนใหม่ๆก่อนที่จะมาลงใน Nekopost ครับ
แล้วถ้าติดตรงไหนก็แจ้งกันเข้ามาไว้ได้ครับ พวกคำผิด หรือสำนวนอะไรพวกนี้
ถึงจะยังไม่ชัดเจนว่าตอนนี้พวกเราเป็นคนรักกันหรือเป็นแค่เพื่อนกัน แล้วก็ไม่รู้ว่าพวกเรากำลังก้าวไปข้างหน้าหรือกำลังเดินถอยหลังกันแน่ แต่ค่าความสัมพันธ์ของพวกเรานั้นเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนนับตั้งแต่วันที่เราเดินจับมือกันแบบคู่รักในตอนนั้น
อืม…ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือพวกเราพยายามที่จะเพิ่มมันน่ะนะ
อย่างแรกเลย…คือเวลาในช่วงเช้า
ในขณะที่ผมพึ่งจะตื่นนอนและสติยังคงไม่ตื่นตัวเต็มที่ เสียงเครื่องอินเตอร์คอมของบ้านมาเอะฮาระที่ช่วงนี้ทำงานค่อนข้างบ่อยก็ดังขึ้น
“ค่ะ ค่ะ มาเอะฮาระค่ะ”
“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณป้ามาซากิ มากิตื่นหรือยังนะคะ?”
“โอ้ อรุณสวัสดิ์อุมิจัง มากิพึ่งจะตื่นน่ะ ผมยังยุ่งอยู่เลยล่ะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ ถ้างั้นหนูขอรบกวนหน่อยนะคะ จะเข้าไปให้กำลังใจมากิสักหน่อย”
“อย่ามาแอบวางแผนกันผ่านหน้าจออินเตอร์คอมแบบนี้สิ”
เมื่อผมพูดขัดขึ้นมา สีหน้าของอุมิก็สดใสขึ้นทันที
ถ้าอุมิมาถึงที่นี่ตอนที่ผมพึ่งจะตื่น แสดงว่าเธอต้องตื่นเช้ามากแน่ๆ…เต็มไปด้วยจิตวิญญาณจังเลยนะ
“มากิ อรุณสวัสดิ์ มารับแล้วนะ”
“อือ อรุณสวัสดิ์ เข้ามาในบ้านก่อนสิ…แล้วนี่กินข้าวเช้ามาหรือยังล่ะ?”
“เรียบร้อยแล้วล่ะ อ๊ะ แต่ฉันขอแค่ข้าว ไข่เจียว แล้วก็ซุปมิโซะก็พอนะ”
“กินข้าวเช้าสองมื้อนี่เธอเป็นเด็กกำลังโตใช่ไหม?”
แม้จะไม่ใช่ทุกวัน แต่ถ้าวันไหนอุมิมีเวลาว่าง พวกเราก็จะไปโรงเรียนด้วยกันแบบนี้เสมอ แต่ยังไงก็ตาม…พวกเราก็จะต้องไปเจอกับอามามิซังที่กลางทางอยู่แล้ว…ดังนั้นแล้วนี่ก็ไม่ถือว่าเราได้ใช้เวลาร่วมกันแบบสองต่อสองหรอกนะ
…และแน่นอนว่าพอเป็นแบบนี้ คนอื่นๆก็ยิ่งอิจฉาตาร้อนกันไปใหญ่เลยล่ะ
“ขอโทษที่มารบกวนค่า~ …อุหว่า เกิดอะไรขึ้นน่ะ ทำไมผมของมากิถึงยุ่งขนาดนั้นล่ะ เอาหัวมานี่เลยนะ ฉันจะจัดการแก้ให้เอง”
“มะ-ไม่เป็นไร ถ้ามันยุ่งขนาดนั้น เดี๋ยวฉันไปแก้เองในห้องน้ำก็ได้”
“นี่มากิได้ฟังที่ฉันพูดอยู่หรือเปล่า? ฉันบอกว่าฉันจะแก้ให้ไง เอาหัวมานี่แล้วอยู่เงียบๆไปเลย”
พอพูดจบอุมิก็ใช้เจลแต่งผมและหวีของเธอแก้ทรงผมยุ่งๆของผมอย่างชำนาญ
“แม่ ทำไมถึงยิ้มแบบนั้นล่ะ?”
“หืม~? แม่แค่กำลังคิดว่าตอนนี้แม่คงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอนาคตของมากิแล้วล่ะ…”
“…งั้นเหรอครับ”
ผมต้องพยายามอดทนต่อสายตาอันร้อนแรงของแม่เป็นเวลาประมาณห้านาที ในที่สุดอุมิก็จัดการกับทรงผมของผมเสร็จเรียบร้อยสักที
“…เรียบร้อย ถ้าทำทรงแบบนี้นายคิดว่าไง?”
“อืม…ก็ไม่เลวนะ”
ผมกำลังมองดูใบหน้าของตัวเองที่กำลังปรากฏอยู่บนกระจกแบบพกพาที่อุมิส่งมาให้…จากหัวยุ่งๆในตอนแรก ตอนนี้ก็กลายมาดูเป็นเด็กหนุ่มปกติที่ไว้ผมยาวทั่วไป
เพราะการใช้เจลแต่งผมที่มากเกินไปนั้นขัดกับกฏของโรงเรียน อุมิจึงไม่สามารถแต่งทรงผมของผมได้มากนัก แต่ว่าแบบนี้ก็ถือว่าดีกว่าการหวีผมธรรมดามากล่ะนะ
แต่ว่าหลังจากนี้ ดูเหมือนว่าผมคงต้องหาทางทำอะไรสักอย่างกับรอยคล้ำใต้ตาที่เป็นผลมาจากการนอนดึกทุกวันบ้างแล้วล่ะ…บางทีหน้าตาของผมอาจจะดูดีขึ้นมาสักเล็กน้อย
“คำขอบคุณล่ะ?”
“…ขอบคุณครับ”
“เฮะๆ ด้วยความยินดี แล้วก็เท่มากเลยล่ะ มากิ”
“อุ…ถึงพูดเอาใจไปก็ไม่มีอะไรให้หรอกนะ”
“ถ้าเทียบกับก่อนหน้านี้…ดูดีขึ้นประมาณหนึ่งเปอร์เซ็นล่ะมั้งนะ?”
“เดี๋ยวก่อนนะ”
เอาเวลาชั่วพริบตาที่ทำให้ผมรู้สึกประหม่าคืนมาเลยนะ!
“อาราอาราอาราอาร่าอาราอาร่าอาราอาร่าอาราอาร่า”
(TL:โคตรชอบคุณแม่เลยครับ)
และในตอนนี้แม่ของผมก็กำลังทำเสียง ‘อาราอารา’ เหมือนกำลังสนุกอยู่ยังไงอย่างงั้น…เอ่อ แล้วแม่ก็ช่วยหยุดถ่ายวิดีโอแบบโจ่งแจ้งแบบนั้นสักทีเถอะ…แล้วนี่แม่คิดจะถ่ายวิดีโอไปทำไมกัน?
และด้วยเหตุแบบนี้เอง ก็ดูเหมือนจะทำให้อุมิได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของบ้านมาเอะฮาระไปซะแล้ว
ผมคิดว่าบางทีนี่คงจะถึงเวลาที่ผมต้องหัดไปเยี่ยมเยือนบ้านอาซานางิบ้างแล้วสินะ?
ถ้าเป็นไปตามที่อุมิเล่าให้ฟัง ดูเหมือนตอนนี้โซระซังได้คุยเรื่องของผมกับไดจิซังไปบ้างแล้วด้วย…และสุดท้ายแล้วยังไงผมก็ไม่มีทางหนีเรื่องนี้พ้นอยู่ดี
และยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่าแม่ของผมกับโซระซังจะมามารถสนิทกันได้ไวมาก โดยนับตั้งแต่เหตุการณ์ที่อุมิได้มานอนค้างคืนที่บ้านของผมในตอนนั้น แม่ของผมกับแม่ของอุมิก็ดูเหมือนว่าจะติดต่อพูดคุยกันบ่อยๆจนในที่สุดทั้งคู่ก็สนิทกัน
หลังจากนั้นผมก็ได้ทำการไล่แม่ที่กำลังยิ้มเยาะเย้ยผมให้ไปทำงานสักที และในที่สุดผมก็ได้อยู่กับอุมิสองต่อสอง
ทั้งๆที่รสชาติอาหารก็เหมือนเดิม แต่ไม่รู้ทำไมช่วงนี้ผมถึงรู้สึกว่าตัวเองเจริญอาหารมากกว่าปกติ?
บางทีผมคงจะต้องเริ่มออกกำลังกายตามที่อุมิคอยบอกมาตลอดบ้างแล้วล่ะ
“เอาล่ะ ถึงจะเช้าไปหน่อย แต่ไปโรงเรียนกันเลยไหม?”
“นั่นสินะ แล้วดูเหมือนว่ายูเองก็พึ่งออกจากบ้านเหมือนกัน”
หลังจากที่เราสองคนเก็บโต๊ะและล้างจานเรียบร้อย พวกเราก็เดินทางออกจากบ้านมาด้วยกัน
ถึงพวกเราจะไม่ได้เดินจับมือกันเมื่อตอนอยู่นอกบ้าน แต่พวกเราก็จับมือกันได้เป็นปกติตอนที่อยู่ในบ้าน บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าพวกเรายังรู้สึกอายอยู่และจิตใจก็ยังไม่ได้แข็งแกร่งพอที่จะทำแบบนั้นโดยที่ไม่สนใจสายตาของคนอื่นที่มองมาล่ะนะ
“…จริงสิ”
“หืม? อะไรเหรอ?”
“อืม…อุมิจำที่ฉันเคยบอกไปตอนก่อนหน้านี้ได้ไหม…อืม…ที่เคยบอกว่ารอยยิ้มของอุมิน่ารักมากอะไรประมาณนั้น”
“อา~ ที่เคยบอกว่า「รอยยิ้มของฉันน่ารักที่สุดในโลก」ใช่ไหม?”
“ดูเหมือนแปดสิบเปอร์เซ็นของประโยคจะเปลี่ยนไปนะ”
อ่า…จะว่าไปมันก็ไม่ต่างจากที่ผมจะสื่อเท่าไหร่
“…ก็ไม่เห็นเป็นอะไรสักหน่อยนี่นา? อีกเดี๋ยวฉันก็ต้องกลับไปเป็นอาซานางิ อุมิ…ที่ต้องคอยทำตัวเป็นนักเรียนดีเด่นเหมือนปกติแล้วนะ ขอแค่ตอนนี้…ขอฉันเอาแต่ใจหน่อยไม่ได้หรอ?”
“อืม ได้อยู่แล้ว”
ถึงตอนนี้อุมิจะค่อยๆเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเธอกับอามามิซังทีละนิด แต่เมื่ออยู่ในชั้นเรียน เธอก็ยังคงสวมหน้ากากนักเรียนดีเด่นอยู่ตลอดเวลา…แต่เนื่องจากเหตุการณ์การจับมือแบบคู่รักของพวกเราที่ผ่านมาเมื่อไม่นานมานี้ นั่นน่าจะทำให้มุมมองของคนอื่นๆในห้องที่มีต่ออุมิเปลี่ยนไปบ้างแล้วล่ะ…ผมคิดว่าบางทีอุมิควรจะคว้าโอกาสนี้ไว้ เพื่อทำให้คนอื่นๆได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอมากขึ้น
“อืม ก็จริงอยู่ที่มันค่อนข้างเหนื่อยที่ต้องทำตัวแบบนั้นตลอดเวลา..แต่ถึงอย่างนั้น…ตอนนี้ยูเองก็ค่อยๆรู้จักตัวจริงฉันมากขึ้นทีละนิดๆแบบนี้ แค่นี้ก็ถือว่าโอเคแล้วล่ะ…แล้วอีกอย่างนะ—“
“แล้วอีกอย่าง?”
“เอ่อ…ฉะ-ฉันจะพูดแค่ครั้งเดียวนะ เพราะฉะนั้นตั้งใจฟังให้ดีล่ะ”
“…อือ”
“…รอยยิ้มของฉันน่ะ…มัน..มะ-มีไว้ให้นายแค่คนเดียว…ทีนี้…นายเข้าใจหรือยัง?”
อุมิพึมพัมเบาๆอย่างเขินอายในขณะที่บีบแขนเสื้อของผม
“…งะ-งั้นเหรอ”
“อะ-อือ….”
พอถูกบอกแบบนี้ในระยะเผาขน…ผมเองก็เขินเป็นเหมือนกันนะเฟ้ย แล้วอีกอย่าง…ใบหน้าของผมก็รู้สึกร้อนอย่างมาก
โชคดีที่เราอยู่ในลิฟต์กันแค่สองคน ถ้ามีคนอื่นอยู่ด้วย…ผมนี่นึกภาพไม่ออกจริงๆว่าพวกเราจะมีสภาพยังไง
อุมิในเวลานี้ทั้งดูยุ่งเหยิง แล้วก็ดูน่ารักเป็นอย่างมากในเวลาเดียวกัน…ดังนั้นได้โปรดอย่าพูดอะไรที่มันไม่ดีต่อหัวใจแบบนี้ได้ไหม!!
“…ขะ-ขอโทษ ถึงฉันจะเป็นคนพูดออกมาเองก็เถอะ…แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตายจากความอาย…”
“ถ-ถ้างั้นพวกเราแกล้งทำเป็นว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นแล้วกันนะ…ดีไหม?”
“นะ นั่นสินะ อืม ดูเหมือนจะพลาดไปหน่อย”
เมื่อผมออกมาจากลิฟต์ สายลมหนาวในช่วงเช้าก็พัดเข้ามาปะทะกับแก้มที่กำลังแดงระเรื่อของผม
ทั้งลมที่ค่อนข้างแรงและอุณหภูมิที่ต่ำ…สภาพอากาศในปัจจุบันนั้นต้องบอกว่าสมกับที่เป็นฤดูหนาวอย่างแท้จริง
หากพวกเราเดินไปท่ามกลางบรรยากาศที่หนาวเย็นแบบนี้ ไม่นานความร้อนที่ยังคงค้างอยู่ที่แก้ม และหัวใจที่กำลังเต้นแรงจากเหตุการณ์การจู่โจมแบบกระทันหันของอุมิเมื่อสักครู่คงจะบรรเทาลงไปบ้าง
“อ๊ะ! เดี๋ยวนะมากิ เหมือนฉันจะลืมของไว้ล่ะ…”
“เอ๊ะ? อา ขอโทษนะ ขอหากุญแจบ้านแป๊บ…”
—จุ๊บ!
ทันทีที่ผมหันหลังกลับไป ที่แก้มของผมก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่เต็มไปด้วยความชุ่มชื้นและอ่อนนุ่ม
“อุ-อุมิ…เอ่อ…คือ…”
“เฮะๆ มีช่องว่าง!”
อุมิรีบดึงใบหน้าออกเธอออกจากแก้มของผมที่กำลังตกตะลึงอยู่อย่างรวดเร็ว และพูดต่อในขณะที่เอานิ้วชี้ขึ้นมาวางไว้ที่ริมฝีปากของตัวเธอเอง
“ส่วนที่ริมฝีปากนี่…เอาไว้ตอนที่พวกเราคบกันอย่างเป็นทางการก่อนนะ…ถ้างั้น ฉันขอตัวไปหายูก่อนนะ”
“อ๊ะ…อะ-อือ เข้าใจแล้ว”
“เอเฮะๆ ไว้เจอกันนะ”
อุมิที่ใบหูเปลี่ยนเป็นสีแดง รีบวิ่งหนีด้วยท่าทางเขินอายออกไปที่ประตูทางเข้าอย่างรวดเร็ว
“ถ้าจะเขินขนาดนั้นก็อย่างทำตั้งแต่แรกสิเฟ้ย….”
ผมรีบดึงสติกลับมา
ดูเหมือนว่าอาการร้อนไปทั้งใบหน้าจะไม่สามารถหายไปได้ง่ายๆซะแล้วสิ…
☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆
☆จบบทที่ 1☆
☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆
ก็จบไปแล้วสำหรับบทที่ 1 ของเรื่องนะครับ ไม่ได้เอามาลงในนี้นานเลย ก็เลยลงทีเดียวชุดใหญ่ๆ
โดยเรื่องนี้ใน WN ทางผู้แต่ง ก็คือ อ.ทาคาตะ พึ่งจะเริ่มลงบทที่ 5 มาเมื่อช่วงกลางๆปีนี้เองครับ
ผมก็จะค่อยๆแปลไปเรื่อยๆครับ ถึงหนทางจะยังอีกยาวไกลก็ตาม(ฮา) แล้วก็ถ้าไม่โดนซื้อ LC ซะก่อนล่ะนะครับ
แล้วก็ฝากติดตาม Durimtok Channel | Facebook กันด้วยครับ
โดยที่ในเพจจะลงตอนใหม่ๆก่อนที่จะมาลงใน Nekopost ครับ
แล้วถ้าติดตรงไหนก็แจ้งกันเข้ามาไว้ได้ครับ พวกคำผิด หรือสำนวนอะไรพวกนี้