“อา~ วันนี้เล่นกับมากิสนุกเกินไปหน่อย รู้ตัวอีกทีเวลาก็ผ่านไปขนาดนี้แล้วหรอเนี่ย? หืม เป็นอะไรไปมากิ ท่าทางดูเหนื่อยๆนะ”
“มันก็เป็นเพราะเธอไม่ใช่หรือเรอะ”
หลังจากนั้นผมก็โดนแกล้งมาตลอด และพอผมพยายามที่จะหนี อุมิก็จะใช้ไม้ตายบอกมาว่าถ้าหนีออกไปจะเป็นหวัดเอานะ…ต้องขอบคุณอุมิจริงๆที่มาเตือนให้ผมรู้สึกตัวว่าอากาศข้างนอกผ้าห่มมันหนาวขนาดไหน…
แล้วอีกอย่าง ผมก็พึ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าในห้องของแม่ก็มีผ้าห่มอยู่อีกผืน แค่ผมเดินไปหยิบมันมา ผมก็ไม่ต้องมาใช้ผ้าห่มผืนเดียวกับอุมิแล้ว…แต่ว่า ทำไมผมถึงรู้สึกไม่อยากทำแบบนั้นกันนะ?
นั่นก็เพราะ…รอยยิ้มแสนน่ารักของอุมิที่ดูน่ารักไม่แพ้อามามิซัง แล้วนอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลายเรื่องเยอะแยะไปหมด…อ๊ากกก น่าอายชะมัด
และผมก็รู้สึกร้อนขึ้นที่หูของตัวเองเมื่อนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาเมื่อสักครู่
“อา~ นี่พวกเรากำลังทำอะไรกันอยู่เนี่ย ทั้งๆที่บอกว่าจะไม่มาเล่นด้วยกันสักพักแท้ๆ…แต่สุดท้ายฉันกลับรู้สึกสนุกที่ได้มาเล่นกับมากิซะได้”
“นั่นสินะ…พวกเรานี่มันน่าสิ้นหวังจริงๆ”
บางทีที่อามามิซังบังคับให้อุมิมาที่นี่ก็เพื่อให้มันกลายมาเป็นแบบนี้ก็ได้ แม้ว่าพวกเราจะสัญญากับเธอเอาไว้ แต่อามามิซังก็เป็นคนที่ไม่เห็นด้วยกับสัญญาแบบนี้มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
อามามิซังเป็นคนที่ดูถูกไม่ได้จริงๆ ช่วงเวลาที่เธอพาอุมิมาส่งที่นี่ช่างเป็นช่วงเวลาที่พอเหมาะพอเจาะเหลือเกิน…นี่มันคือเรื่องบังเอิญ หรือว่าเธอคำนวนเอาไว้แล้วกันแน่นะ…หรือว่าจะทั้งสองอย่าง?
“ขอโทษที่ฉันชอบแกล้งนายนะมากิ”
“ไม่เป็นไร ฉันชินแล้วล่ะ…แล้วอีกอย่างมีอุมิมาคอยแกล้งแบบนี้ก็ไม่ทำให้รู้สึกเหงาด้วย…”
แล้วก็เรื่องของสัญญาที่บอกอามามิซังไว้ พวกเราปรึกษากันแล้วว่าจะไปคุยกับอามามิซังอีกครั้ง เรื่องที่จะขอยกเลิกสัญญาครั้งนี้ไปก่อน…
ในที่สุดพวกเราก็รู้ตัว…ว่าช่วงเวลาสุดสัปดาห์นั้นมีความสำคัญกับทั้งผมและอุมิมากขนาดไหน
นั่นก็เป็นสาเหตุที่เราจะต้องไปคุยกับอามามิซังอีกครั้ง แต่เราจะให้อามามิซังเป็นคนตัดสินใจ…แน่นอนว่าพวกเราก็ต้องเตรียมตัวยอมรับคำตัดสินของอามามิซังเอาไว้ด้วย…
“เอาล่ะ ฉันพร้อมแล้ว ไปกันเถอะ”
“อืม”
เราสองคนออกจากบ้านมาพร้อมกัน เพราะว่าถนนตอนกลางคืนในช่วงฤดูหนาวมันอันตราย ผมเลยอ้างว่าจะออกไปร้านสะดวกซื้อพอดี ก็เลยถือโอกาสไปส่งอุมิที่บ้านด้วยเลยทีเดียว…แต่ความจริงแล้วผมก็แค่อยากอยู่กับอุมิให้นานขึ้นอีกหน่อยเท่านั้นเอง
ทันทีที่พวกเราเดินออกมาจากคอนโด ลมหนาวก็พัดเข้ามาปะทะพวกเราทันที
แม้ว่าจะพึ่งอยู่ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน แต่เวลานี้คือช่วงกลางคืนส่งผลให้อากาศในตอนนี้หนาวราวกับอยู่ในช่วงกลางฤดูหนาว
“อู~~ หนาวชะมัดเลย! ต่อไปนี้คงต้องใส่ถุงน่องด้วยแล้วล่ะมั้ง”
“ไหวไหม? เอานี่ ถุงร้อน”
“ขอบคุณนะ…มากิ…นายนี่มัน…”
“อะไรเหรอ?”
“เปล่า ไม่มีอะไร ถึงฉันจะบ่นอะไรไป มากิก็คงบอกว่าตัวเองเน้นฟังก์ชั่นในการใช้งานมากกว่าอยู่ดีนั่นแหละนะ”
อุมิเริ่มบ่นเมื่อสังเกตเห็นชุดที่ผมใส่อยู่
ผมสวมชุดแจ็กเก็ตสีดำ ที่ด้านล่างสวมด้วยกางเกงยีนส์สีเข้ม และแน่นอนว่ายังใส่เสื้ออีกหลายชั้นไว้ด้านในเพื่อป้องกันความหวานเย็น
“โธ่ ถึงตอนกลางคืนคนจะน้อยมากก็เถอะ แต่ตอนนี้นายกำลังเดินอยู่กับสาวสวยนะ…ดังนั้นฉันขอให้นายช่วยคิดเรื่องแฟชั่นเพิ่มอีกสักนิดนึงได้ไหม…แล้วอีกอย่างนายใส่ชุดสีเข้มขนาดนี้ในตอนกลางคืนแบบนี้ ถ้าเกิดเดินๆไปแล้วโดนรถชนขึ้นมาจะทำยังไง?”
“อุ……”
เพราะอุมิยกหัวข้อเรื่องฟังก์ชั่นการใช้งานขึ้นมาก่อน ทำให้ผมไม่สามารถยกหัวข้ออันนี้มาโต้แย้งเธอได้…แล้วถ้าผมบอกเธอไปว่า ถ้ากลัวโดนรถชนก็แค่ติดแถบสะท้อนแสงเพิ่มเข้าไป…สถานการณ์ของผมในตอนนี้ก็คงจะยิ่งแย่ลงไปอีก
“อย่างงั้นเหรอ…อาจจะเป็นเพราะตอนที่ไปซื้อเสื้อผ้า ผมเอาแต่เลือกซื้อแต่ชุดสีพื้นๆพวกสีเทา สีดำอะไรพวกนี้ล่ะมั้ง…เมื่อก่อนก็เคยลองใส่พวกชุดที่มันสีสดๆเหมือนกัน แต่รู้สึกว่ามันไม่เข้าท่าเท่าไหร่”
“หน้าตาก็อาจจะมีส่วน…แต่ทรงผมก็สำคัญนะ ถ้ามากิไปตัดเอาหน้าม้านั่นออก บางทีนายอาจจะเปลี่ยนลุคไปเลยก็ได้นะ…อาจจะล่ะนะ…”
“ขออภัยด้วยที่หน้าตาของผมมันแย่นะครับ”
“โม่~ ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย…มากิในตอนนี้น่ะ มีใบหน้าที่อ่อนโยนกว่าตอนปกติเยอะเลยล่ะ แล้วอีกอย่างฉันคิดว่าความประทับใจน่ะจะเปลี่ยนไปตามบรรยากาศรอบตัวเรา ดังนั้นนายก็อย่าคิดมากเกินไป”
เป็นแบบนั้นเองงั้นเหรอ?…แต่ถ้าอุมิเป็นคนพูดมันก็ค่อนข้างน่าเชื่อถืออยู่ล่ะนะ
“เข้าใจแล้วใช่ไหม? งั้นเรามาคุยเรื่องนี้กันต่ออาทิตย์หน้านะ”
“อือ เอาไว้อาทิตย์หน้านะ”
เจอกันอาทิตย์หน้า ในเวลาเดิม ในสถานที่เดิม ในที่ที่มีแค่เราสองคนเหมือนเดิม
หลังจากสัญญากันแล้ว เราก็ค่อยๆเดินไปตามถนนที่นำไปสู่บ้านตระกูลอาซานางิกันอย่างเงียบๆ
“…อุมิ”
“อืม”
ย่านที่อยู่อาศัยในเวลานี้ไม่มีใครอื่นนอกจากเราสองคน ในขณะที่พวกเราเดินไปตามฟุตบาทริมถนนที่สว่างจากไฟถนนเป็นระยะๆ ผมก็เลยถือวิสาสะจับมือของอาซานางิเอาไว้
และเนื่องจากอากาศที่ค่อนข้างหนาว ผมก็เลยดึงมือขออุมิมาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ต
เพราะแบบนี้จึงทำให้ผมรู้สึกว่าเราใกล้ชิดกันมากกว่าปกติ
“มุมุ…ถึงจะไม่อยากยอมรับก็เถอะ…แต่เสื้อแจ๊กเก็ตตัวนี้ก็อุ่นจริงๆนั่นแหละ”
“ใช่ไหมล่ะ? แล้วนอกจากมันจะอุ่นแล้วยังสามารถเอาถุงร้อนใส่เข้าไปได้ด้วยนะ”
“อืม ครั้งนี้จะยอมให้ทีนึงแล้วกัน”
“ขอบคุณ แต่ว่านะ…ถ้ามีคนอยู่เยอะๆก็คงทำแบบนี้ไม่ได้หรอก…จะว่าไงดี มันค่อนข้างน่าอายไปหน่อยล่ะนะ”
“…ตรงนี้เอาจริงๆก็ค่อนข้างอันตรายอยู่นะ”
มันคงจะตลกพิลึกถ้าเกิดอยู่ดีๆมีนักเรียนคนอื่นในชั้นเรียนมาเห็นพวกเราในตอนนี้…แต่ว่านะ ถึงต่อให้มีใครมาเห็นจริงๆ ผมก็ไม่สนใจหรอก
ผมไม่ได้มีความตั้งใจที่จะเป็นแค่เพื่อนสนิทของอุมิอยู่แล้ว และอีกอย่างผมก็ไม่ได้มีความคิดที่จะแอบซ่อนความสัมพันธ์ของพวกเราด้วย
และผมก็อยากที่จะทำตัวเหมือนปกติกับอุมิในตอนที่ที่อยู่ที่โรงเรียนด้วย
…แต่ว่า การเรียกเธอด้วยชื่อต้นตอนอยู่ที่โรงเรียน…คงยังไม่ไหวจริงๆนั่นแหละนะ
“เอาล่ะ ส่งแค่ตรงนี้ก็พอแล้วล่ะ”
เมื่อพวกเราเดินมาถึงทางรถไฟ หากเดินต่อไปอีกหน่อยก็จะถึงบ้านของอาซานางิแล้ว อุมิจึงค่อยๆดึงมือของเธอออกมาจากกระเป๋าเสื้อของผม ตอนนี้เราหยุดยืนอยู่ตรงหัวมุมถนน
“จะดีหรอ? เดินไปส่งถึงหน้าบ้านก็ได้นะ”
“ถ้าแบบนั้นแม่ก็จะรู้น่ะสิว่ามากิมาส่ง…ถ้าเป็นแบบนั้นแม่ต้องจับมากิเข้าบ้านแน่นอน แล้วถ้านายหาข้ออ้างดีๆไม่ได้ นายได้นอนค้างที่บ้านฉันแน่…มากิแน่ใจนะว่าสู้แม่ฉันไหว?”
“เรื่องนั้น…อืม ไม่ไหวจริงๆนั่นแหละ”
ถ้าพูดถึงโซระซัง…เรื่องแค่นี้เธอคงไม่ถือว่าเป็นการรบกวนจริงๆนั่นแหละ
และต่อให้โซระซังอนุญาต แต่ในบ้านของอุมิตอนนี้ก็ยังมีพ่อกับพี่ชายของอุมิอยู่ด้วย ทั้งไดจิซัง กับริคุซัง…ผมยังไม่เคยเจอทั้งคู่มาก่อน ดังนั้นการเข้าไปในบ้านของอุมิตอนนี้ดูจะมีอุปสรรค์มากเกินไปหน่อย
“งั้นก็คงต้องแยกกันตรงนี้ล่ะนะ”
“อือ งั้นเอาไว้เจอกันที่โรงเรียนนะ”
“อืม”
เราโบกมือลากันเบาๆ…ผมมองตามแผ่นหลังของอุมิที่กำลังเดินข้ามทางรถไฟไปอย่างช้าๆ
อุมิที่กำลังก้าวเดินไปตามทางในตอนนี้…เธอไม่ได้ดูเป็นเด็กสาวสุดเท่หรืออะไรทั้งนั้น เธอก็เป็นเพียงแค่เด็กสาวม.ปลายธรรมดาๆคนหนึ่งที่สามารถมองหาได้ทั่วไปตามถนน
“อ๊ะ! มากิ ขอโทษนะ! ฉันลืมเรื่องสำคัญไปเรื่องนึง!”
ในตอนที่ผมกำลังจะหันหลังเพื่อเดินกลับบ้าน อุมิก็วิ่งกลับมาหาผมราวกับว่าเธอพึ่งจะนึกเรื่องอะไรบางอย่างออก
แต่ตอนก่อนออกจากบ้านผมก็เช็ครอบบ้านไปแล้วรอบนึงนะว่าอุมิไม่ได้ลืมอะไร
“เกิดอะไรขึ้น? ถ้าเธอลืมอะไรเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันเอามาให้ก็ได้”
“อา ขอโทษนะ ไม่ใช่พวกกระเป๋าตังหรือโทรศัพท์มือถืออะไรพวกนั้นหรอก…นายช่วยยื่นหูมานิดนึงได้ไหม?”
“? อา ได้สิ”
“ถ้างั้นก็…ขอรบกวนหน่อยนะ….”
ทันใดนั้น…เสียงของรถไฟที่กำลังวิ่งผ่านไปตามรางรถไฟก็ดังก้องขึ้นมาพอดี
…พร้อมๆกับที่อุมิกระซิบประโยคบางอย่างที่ข้างหูของผม
“——-“
“….เอ๊ะ?”
“เอาล่ะ คราวนี้ก็บ๊ายบายจริงๆแล้วนะ~ ต่อจากนี้…พวกเราก็…ค่อยเป็นค่อยไปนะ”
อุมิที่แก้มถูกย้อมไปด้วยสีแดงวิ่งหนีหายไปอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่แรงสั่นสะเทือนและเสียงของรถไฟที่วิ่งผ่านไปมาทำให้ร่ายกายของผมสั่น แต่ตัวผมเองก็ไม่สามารถขยับไปจากจุดที่ยืนอยู่ได้เลยแม้ว่าอุมิจะหายไปจากระยะสายตาแล้วก็ตาม
“ค่อยเป็นค่อยไปงั้นเหรอ?…ฉันเองก็คิดเหมือนกันนั่นแหละ…แต่…ทำแบบนี้มันขี้โกงไม่ใช่รึไง?”
ผมเองก็คิดว่าบางทีอาซานางิเองก็อาจจะมีความรู้สึกเหมือนกันกับผม…แต่พอผมได้ยินสิ่งนี้ออกมาจากปากของเจ้าตัวเองแล้ว…ผมก็ยังอดที่จะรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้จริงๆ
—ขอบคุณที่ให้ความสำคัญกับฉันก่อนเสมอ…ฉันรักนายนะ…
เหมือนกันตอนที่เธอมานอนค้างที่บ้านผมคราวที่แล้ว…ดูเหมือนว่าคืนนี้ผมก็คงจะนอนไม่หลับอีกแล้วสินะ….
☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆
ปล. ตอนใหม่ครับ แปลไว้นานแล้วพึ่งมีเวลามาเคลียร์คำผิด กับแต่งประโยคใหม่ครับ
ปล2. ถ้าสนใจอ่านตอนต่อไปล่วงหน้า..เรียนเชิญได้ที่ Durimtok Channel | Facebook ครับผม
ขอบคุณที่ติดตามครับ
Durimtok