อาซานางิอยู่ที่บนดาดฟ้าอย่างที่ผมคิดไว้จริงๆ
โดยปกติแล้วปประตูชั้นดาดฟ้าจะถูกล็อค แต่เนื่องจากตอนนี้เป็นช่วงเวลากิจกรรมและอาซานางิก็เป็นคณะกรรมการด้วย ทำให้เธอมีกุญแจติดตัวอยู่
“โย้”
“…โย้”
อาซานางิกำลังจับรั้วของชั้นดาดฟ้าพร้อมกับมองลงไปข้างล่างด้วยสายตาคลุมเครือ
“ทำไมทำหน้ามืดมนแบบนั้น? ดูไม่สมกับเป็นเธอเลยนะ”
“หนวกหูน่ะตาบ้า ฉันบอกว่าอยากอยู่คนเดียว นายไม่ได้ยินหรือไง?”
“สิ่งที่เธอต้องทำก็แค่ล็อคประตูจากด้านใน เธอสามารถทำแบบนั้นได้ถ้าอยากอยู่คนเดียวจริงๆ แต่เธอก็ไม่ทำ นั่นมันก็เหมือนเธอบอกว่าให้ผมไล่ตามมานั่นแหละนะ”
“ฉันเกลียดนาย มาเอะฮาระคนบ้า”
“ครับ ครับ …อะนี่ ทิชชู่ เอาไปเช็ดหน้าเช็ดตาซะ”
“……”
อาซานางิคว้ากระดาษทิชชู่ไปจากมือของผมโดยที่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ ก่อนนำมันไปสั่งน่ำมูกพรืดใหญ่
อาซานางิในตอนนี้นั้นดูเป็นเด็กขี้แยอย่างมากซึ่งไม่เหมือนกับเธอยามปกติเลย…ไม่สิ อาจจะเป็นเพราะในตอนปกติเธอจะพยายามอย่างเต็มที่ และในตอนนี้ก็คือตอนที่เธอถอดหน้ากากออก บางทีนี่อาจจะเป็นตัวตนจริงๆของเธอก็ได้
“อาซานางิ”
“…หือ”
“เธอนี่เป็นคนที่สุดยอดจริงๆนะ…ยังคงทำตัวเป็นปกติได้ทั้งๆที่แบกเรื่องมากมายไว้บนบ่าแบบนี้”
ถ้าเธอไม่ได้เป็นคนเล่าออกมาเอง ทั้งผมทั้งอามามิซังก็คงไม่มีใครสังเกตเห็น
ความรู้สึกระแวงจากการที่โดนเพื่อนหักหลัง ความรู้สึกคับข้องใจ ความรู้สึกโดดเดียวจากการที่คนรอบตัวค่อยๆหายไป และยิ่งไปกว่านั้นก็คือความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจต่ออามามิซัง…ผู้ที่เป็นเพื่อนรักของตัวเอง
ถ้าเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนแอ คงไม่สามารถทนต่อเรื่องราวเหล่านี้ได้
“เธอทำได้ดีที่สุดแล้วล่ะ อาซานางิ สุดยอดไปเลยล่ะ”
“…ใช่ไหมล่ะ ฉันทำดีที่สุดแล้ว ชมฉันอีกเยอะๆสิ”
“อา…เธอทำได้ดีแล้ว ทำได้ดีมากจริงๆ”
ฉันพูดพร้อมกับลูบหัวของอาซานางิไปด้วย…เหมือนกับตอนที่เธอเคยช่วยปลอบผมในตอนนั้น
“อ่า~~ ฉันพูดออกไปหมดแล้วจริงๆ ทั้งเรื่องที่ชอบ ทั้งเรื่องที่เกลียด ทั้งหมดเลย…แต่มันกลับไม่รู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด ฉันนี่มันแย่จริงๆ แย่ที่สุด…”
“อาซานางิเกลียดตัวเองงั้นหรอ?”
“มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือไง ฉันทั้งพูดทำร้ายความรู้สึกของยู แล้วก็เรื่องที่เก็บเรื่องมาเอะฮาระไว้เป็นความลับ ทั้งโกหกเพื่อที่จะได้แอบไปเที่ยวเล่นไปกับมาเอะฮาระด้วย…คนแบบนี้น่ะ จะไปชอบลงได้ยังไง”
และยิ่งไปกว่านั้น เธอทำเรื่องแบบนี้ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่เป็นหลายครั้ง เพราะแบบนี้จึงอาจกล่าวได้ว่าเธอทำเรื่องเลวร้ายกับอามามิซังมากกว่าสองคนนั้นซะอีก
อย่างไรก็ตามมันก็เป็นความผิดของผมด้วยที่ทำให้เรื่องราวมันดำเนินมาถึงจุดนี้ เพราะว่าผมบอกให้อาซานางิเก็บเรื่องนี้เป็นความลับจากทุกคนในชั้นเรียน รวมไปถึงอามามิซังด้วย ดังนั้นนี่จึงเป็นเรื่องที่เข้ากับสถานการณ์ทางฝั่งของอาซานางิพอดี ทำให้เธอสามารถโกหกได้ง่ายขึ้น
เอาเถอะ มาจนถึงตอนนี้แล้วก็คงจะแก้ไขหรือทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะนะ
“นี่ อาซานางิ”
“…อือ”
“อาซานางิ หลังจากนี้เธอจะทำยังไงต่อไปล่ะ?”
“นั่นมันหมายถึงเรื่องไหนล่ะ?”
“ผมหมายถึงเกี่ยวกับอามามิซังน่ะ ต่อจากนี้เธอจะทำยังไงต่อไปล่ะ จะทำตัวเหมือนปกติ? หรือว่าจะเว้นระยะห่างกันสักพัก?”
คำพูดที่เธอพูดออกมาไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้อีกแล้ว และรวมถึงความรู้สึกของเธอที่ล้นออกมาในตอนนั้นเองก็ไม่สามารถฟื้นฟูได้เช่นเดียวกัน
ดังนั้นผมเลยต้องมาพูดกันถึงเรื่องที่เราต้องทำต่อจากนี้ไป ทั้งส่วนของอาซานางิกับอามามิซัง และส่วนของผมและอาซานางิด้วย
“…งั้นฉันของถามหน่อยสิ หลังจากนี้มาเอะฮาระจะทำยังไงต่อไปล่ะ?”
“ผมเป็นคนถามก่อนนะ…เอาเถอะ จะตอบก่อนก็ได้”
“…อืม”
“ผมคิดว่าควรจะรักษาระยะห่างไว้จะดีกว่าไหมนะ?”
“นั่นนายหมายถึงใครล่ะ?”
“ผมกับอาซานางิ”
อันที่จริงผมเริ่มคิดถึงเรื่องนี้ตั้งแต่ที่โดนอามามิซังจับได้แล้วล่ะ
เนื่องจากโดยนิสัยของทั้งผมและอาซานางิแล้ว ถึงเราจะเล่นด้วยกันต่อไป พวกเราก็คงจะไม่สามารถสนุกกันได้อย่างเต็มที่ แม้ว่าเราจะพยายามทำตัวให้เหมือนปกติ แต่ความรู้สึกผิดที่มีต่ออามามิซังที่โดนพวกเราหลอกมาจนถึงตอนนี้คงจะตามมาหลอกหลอนพวกเราอยู่ตลอดแน่นอน
และถึงพวกเราจะชวนอามามิซังมาเล่นด้วยกัน แต่สุดท้ายมันก็มีแต่จะทำให้อาซานางินึกย้อนไปถึงวันเก่าๆสมัยที่เธออยู่ม.ต้น มันคงจะเป็นบรรยากาศที่กระอักกระอ่วนน่าดูเลยล่ะ
ดังนั้นผมจึงคิดว่าพวกเราควรที่จะหยุดความสัมพันธ์แบบนี้เอาไว้ก่อน อาซานางิควรที่จะให้ความสำคัญไปกับการคืนดีกับอามามิซังเป็นอันดับแรก แล้วค่อยมาคิดถึงเรื่องของเราหลังจากนั้น หรือรอให้เรื่องต่างๆสงบลงไปก่อน
“ไม่เป็นไรน่า การเว้นระยะห่างไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะเลิกเป็นเพื่อนกันสักหน่อยนี่นา…เราแค่ไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นด้วยกันสักพักเอง”
“แต่ว่า มาเอะฮาระ…”
“ยังไงเราก็ยังเรียนอยู่ห้องเดียวกันดังนั้นเราก็ยังได้เจอกันอยู่ตลอดทุกวันนั่นแหละนะ แล้วอีกอย่างพวกเรายังสามารถส่งข้อความหากันได้เหมือนเดิม นอกจากนี้เพราะพวกเราเป็นคณะกรรมการ การที่เราจะมีพูดคุยกันบ้างตอนอยู่ในห้องเรียนก็คงไม่มีปัญหาอะไร…”
“มาเอะฮาระ!”
“อุ…”
อาซานางิเขย่าไหล่ของผม ผมจึงกลับมามีสติอีกครั้ง
“มาเอะฮาระ ใจเย็นๆ ไม่เป็นไรนะ ค่อยๆพูดก็ได้ ฉันจะคอยรับฟังนายเอง เพราะฉะนั้นช่วยใจเย็นลงหน่อยนะ”
“อา…”
เมื่อผมใจเย็นลงแล้ว พอมองย้อนกลับไปถึงประโยคที่ผมพึ่งพูดออกไป ทั้งๆที่บอกว่าคิดถึงเรื่องของอาซานางิ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย…ผมคิดแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น
แม้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความรู้สึกของอาซานางิ แต่ผมกลับพยายามยัดเยียดความคิดเห็นของตัวเองให้กับอาซานางิ
“…ขอโทษนะ ดูเหมือนว่าผมจะสติแตกเกินไปหน่อย”
“อืม~ ฉันเองก็ต้องขอโทษด้วย ฉันมัวแต่คิดถึงแต่ตัวเองไปจนลืมไปว่านายไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องแบบนี้มาก่อน”
ใช่…นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้มีเพื่อนและก็เป็นครั้งแรกที่ผมมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของความสัมพันธ์กับคนอื่น
คนโดดเดียวแบบผมกลับคิดว่าตัวเองจะสามารถช่วยแก้ปัญหาด้านความสัมพันธ์ที่มีมาอย่างยาวนานของอาซานางิกับอามามิซังได้…ผมไปเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากที่ไหนกัน
“มาเอะฮาระ เอานี่ จับมือฉันแล้วหายใจเข้าลึกๆ”
“…อืม”
ผมทำตามที่อาซานางิบอก หายใจเข้าลึกๆสอง ถึงสามครั้ง
นี่มันเหมือนกับตอนที่ผมทำกับเธอเมื่อตอนช่วงเช้าที่ผ่านมาเลยนี่นา
“เป็นไง? ใจเย็นลงหรือยัง? นายเห็นไหมว่านี่มีกี่นิ้ว?”
“สามนิ้ว…เฮ้ ฉันไม่ไปได้หัวกระแทกมานะ”
“ฮะๆ ดูเหมือนนายจะไม่เป็นอะไรแล้วนะ แต่ว่า…ขอจับมือต่ออีกหนน่อยได้ไหม?”
“…อืม ได้สิ”
สุดท้ายผมก็กลายเป็นคนที่โดนอาซานางิปลอบจนได้สินะ
แม้ว่าผมจะทำเป็นพูดเท่ๆกับอามามิซัง แต่พอได้มาอยู่ต่อหน้าอาซานางิ ตัวผมก็กลายมาเป็นแบบนี้ไปซะได้…นี่มันไม่เท่เลยสักนิด
“มาเอะฮาระ ขอถามอะไรนายหน่อยสิ?”
“…จะถามอะไรล่ะ?”
“นายช่วยตอบมาตามตรงทีสิ…ถ้านายไม่ได้เล่นกับฉัน นายจะรู้สึกเหงาบ้างไหม?”
“…..เอ่อ”
ถึงผมจะแสร้งทำเป็นบอกว่าไม่เหงา ยังไงอาซานางิก็คงจะดูออก ดังนั้นผมเลยตัดสินใจที่จะตอบไปตามความรู้สึกจริงๆ
“…เหงาสิ”
สุดท้ายถึงผมจะทำตัวเข้มแข็ง แต่นี่ก็คือความรู้สึกจริงๆของผม
จนถึงเมื่อไม่นานมานี้ ผมคิดว่าตัวเองเหมาะกับการที่จะต้องอยู่คนเดียวมากกว่า การเข้าสังคมเป็นเพียงเรื่องยุ่งยากและเป็นสิ่งที่ไม่ควรก้าวเท้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน
อย่างไรก็ตามนั่นเป็นสิ่งที่ผมคิดผิด…ความจริงแล้วผมไม่ได้เข้มแข็งอะไรเลย…ผมแค่มีชีวิตอยู่มาโดยไม่เคยเข้าใจ ไม่เคยรับรู้ถึงความสบายใจของการที่ได้อยู่กับใครสักคนที่ผมห่วงใย
แต่แน่นอนว่าการมีเพื่อนย่อมมีปัญหาตามมามากมาย แต่ผมก็ยังรู้สึกสนุกไปกับช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกันกับอาซานางิ และผมก็สามารถที่จะหัวเราะให้กับปัญหาทั้งหมดที่เข้ามาได้
และก็อย่างที่ผมบอก การเว้นระยะห่างไม่ได้หมายความว่ามิตรภาพของผมกับอาซานางิจะหายไป แต่ยังไงก็ตาม…ความรู้สึกเหงาก็คือความจริงเช่นกัน
“นี่มาเอะฮาระ”
“คราวนี้อะไรอีกล่ะ?”
“มาเอะฮาระ เรื่องของเรา นายยังอยากที่จะสานความสัมพันธ์กับฉันต่อไปไหม?”
“อยากสิ แล้วผมก็อยากให้เธอคืนดีกับอามามิซังด้วย”
“ฮะๆ นายนี่โลภมากจริงๆ แต่ถ้าเป็นยูเธออาจจะเห็นด้วยกับนายก็ได้นะ”
“ระ-เรื่องแค่นั้นฉันรู้หรอกน่า เพราะงั้นก็เลยบอกให้พวกเราห่างกันสักพักยังไงล่ะ”
“นั่นสินะ พวกเราหลอกยูมานาน คงต้องรีบปรับความเข้าใจกับเธอก่อน ไม่งั้นเรื่องของฉันกับมาเอะฮาระคงไม่สามารถเดินต่อไปได้”
ถ้าหากผมหวังที่จะให้อามามิซังให้อภัยเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น และยังสามารถสานความสัมพันธ์กับอาซานางิต่อไปได้ มันดูออกจะเป็นการมองโลกในแง่ดีเกินไปหน่อย
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมต้องคิดให้รอบคอบ
“แต่ฉันเข้าใจความรู้สึกของมาเอะฮาระแล้วล่ะ ขอบคุณนะ ที่ยอมบอกกับฉันตามตรง”
“ด้วยความยินดี…ว่าแต่เธอตัดสินใจได้แล้วหรอ?”
“อืม…ถึงจะยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ แต่ก็คิดว่ามันคงเป็นทางที่ดีที่สุดสำหรับเราทั้งคู่…แล้วก็สำหรับยูด้วย”
ใบหน้าที่ดูหดหู่ของอาซานางิหายไปแล้ว และตอนนี้เธอก็กลับมาดูเป็นอาซานางิที่สุดเท่เหมือนกับปกติ
“เข้าใจล่ะ ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับไปหาอามามิซังกันเลยไหม?”
“อือ”
พวกเรารีบเดินกลับไปหาอามามิซังที่กำลังรอการกลับไปของพวกเราอยู่เพียงลำพัง
พวกเรายังคงจับมือกันไปจนถึงนาทีสุดท้ายก่อนที่จะเจอกับอามามิซัง และอามามิซังก็ไม่ได้ระแคะระคายเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย…
☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆
ปล. เอาล่ะครับ ได้เวลาบ่นท้ายตอน ช่วงนี้ผมปรับสำนวนการแปลนิดหน่อย(จริงๆไม่นิด) คือตอนนี้เรียกได้ว่าแปลเอามันครับ โดยไม่ได้อิงตามต้นฉบับญี่ปุ่น 100% คิดคำแบบไหนออก แล้วมันเข้ากับบริบทผมใส่ยับครับ(ฮา) ถ้าไม่ชอบแบบนี้ก็บอกกันได้นะครับ
ปล2. ตอนนี้จะมีบางส่วนที่มาเอะฮาระใช้คำว่า ฉัน แทรกมาบ้างแล้ว ตามรูปแบบบริบทที่ผมมองว่ามันควรจะพูดว่าฉันสิ ไม่ใช่ผม แต่ก็ยังไม่ได้ปรับแบบทุกอันนะครับ จะมีแค่บางประโยคไปก่อนนะครับ ตามระดับความเป็นกันเองกับอุมิจัง
ปล3. จริงๆผมตามเสพนิยายจากเพจแปลอื่นๆด้วยนะครับ แต่ยิ่งดูแล้วยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโคตรจะขี้เกียจในการทำภาพประกอบเลยครับ(ฮา) เอาจริงๆตอนแรกก็มีแผนจะแปลมังงะด้วย แต่พอไปศึกษาขั้นตอนการทำมาจริงๆก็ขอลาก่อยแล้วกันนะครับ แค่นึกว่าตัวเองต้องมาคลีน มานั่งจดประโยคที่ตัวละครพูด มานั่งเรียงประโยคใหม่ บัยครับ ขอแปลนิยายแบบสบายๆอย่างนี้ดีกว่า(ฮา)
ปล4. อันนี้พิมพ์เองไม่ใช้การพิมพ์ด้วยเสียง ก็จะมีการตรวจคำผิดมาบ้างแล้ว แต่ถ้าเจอก็แจ้งได้นะครับ
ขอบคุณที่ติดตามครับ ยังไงก็ขอฝากเพจ Facebook ด้วยนะครับที่ –> Durimtok Channel <–